![]() |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระอยู่รูปหนึ่งเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า บวชจนอายุ ๘๐ ปี ไม่ได้ความดีอะไรเลย คือพระฉันนะ พระฉันนะเป็นสหชาติ คือผู้เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้า ที่เกิดพร้อมกันก็มีพระพุทธเจ้า พระนางพิมพาราชเทวี นายฉันนะมหาดเล็กประจำพระองค์ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทองทั้ง ๔ ทิศ
พอใคร ๆ ออกบวชกัน นายฉันนะก็บวชบ้าง นายฉันนะบวชแล้วไม่ฟังคำของใคร พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนอะไรไม่ฟังทั้งนั้น ความรู้สึกของท่าน ไม่ได้รู้สึกว่าท่านเป็นพระฉันนะ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือพระพุทธเจ้า ท่านรู้สึกว่านั่นคือพระลูกเจ้า คือเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วตัวท่านก็คือนายฉันนะ อำมาตย์คนสนิท พอพระไปเตือนให้ท่านประพฤติปฏิบัติให้สมกับความเป็นพระ ท่านก็ว่าเขากลับว่า "ท่านเป็นใคร ถึงบังอาจมาสั่งสอนผม" แม้กระทั่งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะในฐานะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไปสั่งสอน ก็โดนสวนกลับว่า "ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? สมัยพระลูกเจ้าออกบวช มีผมอยู่คนเดียว พวกท่านอยู่ที่ไหนกันก็ไม่รู้ ตอนนี้มาบอกว่าผมชื่อสารีบุตร ผมชื่อโมคคัลลานะ ผมเป็นอัครสาวก.." ถ้าอยู่วัดท่าขนุนสมัยนี้ก็น่าจะถูกไล่ออกจากวัดไปนานแล้ว แต่ว่าสมัยนั้นพระท่านส่วนใหญ่หมดกิเลสแล้ว ไม่ได้กิเลสท่วมหัวเหมือนกับอาตมา ท่านก็เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ ในเมื่อไม่ฟังคำสอนก็ไม่สอน ปล่อยเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก่อนปรินิพพานได้สั่งพระอานนท์ว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คำว่าลงพรหมทัณฑ์ก็คือลงโทษกันอย่างผู้ใหญ่ พระอานนท์ก็กราบทูลถามว่า ลงพรหมทัณฑ์ทำอย่างไร พระองค์ท่านตรัสว่า อย่าให้พระภิกษุสงฆ์ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมกับพระฉันนะ พระฉันนะจะพูดอะไร จะทำอะไร ปล่อยไปตามสบาย" |
"หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน มีการทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา พระอานนท์ได้ประกาศขึ้นกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า พระพุทธเจ้าสั่งให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พระมหากัสสปะที่เป็นประธานในที่ประชุม สอบถามความเห็นทุกคนแล้ว ไม่มีใครคัดค้าน ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ ห้ามภิกษุทุกรูป ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมใด ๆ กับพระฉันนะทั้งสิ้น
พระฉันนะอายุ ๘๐ กว่า ๆ เพราะท่านเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ถวายพระเพลิงไปเรียบร้อยแล้ว ได้ยินว่าพระทำสังคายนาพระธรรมวินัยก็ใจจดใจจ่อ อยากดูว่าเขาทำกันอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แปลกใจว่าสังคายนาเสร็จแล้ว ไม่มีพระมาบอกสักรูปเดียวว่าเขาทำอะไรกันในนั้น ก็โดนห้ามกิน ห้ามนอน ห้ามทำสังฆกรรมด้วยแล้วนี่ พอดีมีสามเณรเดินผ่านมา เณรไม่โดนห้าม ท่านห้ามเฉพาะพระ พระฉันนะก็สอบถามสามเณรว่า "ผลของการสังคายนาเป็นอย่างไร ทำไมไม่มีพระมาแจ้งฉันบ้าง ?" พูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ "ข้าก็เป็นผู้ใหญ่ ทำไมพอประชุมกันเสร็จแล้วไม่มีการมาบอกมากล่าวกันบ้าง" สามเณรก็บอกว่า "พระอานนท์ได้ประกาศในที่ประชุมสงฆ์ว่า สมเด็จพระบรมศาสดาสั่งลงพรหมทัณฑ์แก่ท่าน" พระฉันนะก็สะดุ้ง ถามว่าลงพรหมทัณฑ์อะไร สามเณรตอบว่า ประกาศไม่ให้สงฆ์ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมกับท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระฉันนะได้ยินเป็นลมไปเลย ท่านต้องตะเกียกตะกายไปขอเข้าพบพระอานนท์ บาลีท่านใช้คำพูดตลก ๆ ประโยคหนึ่งว่า พระอานนท์ขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์ จึงยอมให้พระฉันนะเข้าพบได้ ทำไมพระอานนท์ต้องขอความคุ้มครองจากคณะสงฆ์ ก็เพราะเกรงว่าพระฉันนะจะลุยไปอัดเอา ลองนึกดูให้ดีนะ อย่าคิดว่าท่านอายุ ๘๐ นะ คนสมัยโบราณอายุ ๘๐ ยังแข็งแรงมาก แล้วพระฉันนะท่านแข็งแรงเหนือมนุษย์อยู่ด้วย ถามว่าทำไมแข็งแรงเหนือมนุษย์ ? วิเคราะห์ได้จากในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงในหลายวาระด้วยกัน ที่เห็นถนัดชัดเจนที่สุด ก็คือเมื่อพระพุทธเจ้าจะออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วประตูเมืองปิด นายฉันนะคิดว่า "เราจะอุ้มม้ากัณฐกะที่มีพระลูกเจ้านั่งอยู่บนหลัง กระโดดข้ามกำแพงไป" แข็งแรงขนาดนั้นพอจะให้กลัวได้หรือยัง ? ไม่ใช่อุ้มคนเฉย ๆ นะ ม้าอีกตัวหนึ่งด้วย บุคคลที่ได้รับการคัดสรรมา ฝึกฝนให้เป็นองครักษ์ประจำกายของเจ้าชายสิทธัตถะ ตลอดจนกระทั่งเป็นองครักษ์ของว่าที่พระเจ้าจักรพรรดิ ฝีมือต้องระดับไหน คาดว่าในแผ่นดินคงจะหาผู้เปรียบได้ยาก" |
"ถ้าถามว่าพระอานนท์เป็นพระอรหันต์แล้วยังกลัวอยู่หรือ ? กลัว..กลัวว่าถ้าขืนลุยมาทำร้ายพระอรหันต์ พระฉันนะจะตกนรก ปรากฏว่าพระฉันนะท่านได้สำนึก ไม่ได้ลุยมาทำร้าย หากแต่มาร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนว่า พระคุณเจ้าอย่าให้ผมฉิบหายจากความดีเลย มาสำนึกได้ตอนวาระสุดท้าย พระอานนท์ถามว่า "แล้วจะให้ทำอย่างไร ?" "ขออย่าให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่ข้าพเจ้าเลย" พระอานนท์จึงบอกว่า "นี่เป็นคำสั่งของพระบรมศาสดา ในเมื่อเป็นคำสั่งของพระบรมศาสดา ไม่อาจจะแก้ไขได้ แต่ก็พอมีวิธีจะแก้ไขบ้าง"
พระฉันนะก็ถาม "มีวิธีใดที่จะแก้ไขได้ ?" พระอานนท์ก็แจ้งให้ทราบว่า เพราะท่านดื้อ ใครว่าใครสอนอะไรก็ไม่ฟัง ถ้าหากว่ายอมรับการสั่งสอนจากคณะสงฆ์ ก็อาจจะได้รับการยกโทษให้ พระฉันนะก็ยอมรับ พระอานนท์ท่านก็เลยแสดงมรรค ๘ และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการให้พระฉันนะ บอกว่า "ถ้าอยากให้สงฆ์เลิกการลงโทษ ให้นำข้อธรรมนี้ไปตั้งใจปฏิบัติ" ตอนนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว พระนางพิมพาราชเทวีก็ไม่อยู่แล้ว ท่านไปพระนิพพานกันหมดแล้ว เหลือพระฉันนะคนเดียวไม่มีใครเป็นที่พึ่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าที่คิดเป็นที่พึ่ง แต่เป็นที่พึ่งในลักษณะเป็นเจ้านาย ไม่ได้เป็นที่พึ่งในลักษณะของพระพุทธเจ้าที่เป็นสรณะของชีวิต แต่พระองค์ก็ไม่อยู่แล้ว ก็เท่ากับท่านไม่มีใคร ในเมื่อเหลียวมองรอบกายไม่มีใคร ก็เหลือแต่อาตมาผู้เดียว ก็จำเป็นต้องยึดหลักธรรมเป็นที่พึ่ง หมดพยศ ลดทิฐิ หันมาเกาะพระธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว ก็เหลืออย่างเดียวคือถ้าเดินตรงทางก็จบ ปรากฏว่าท่านเดินตรง เพราะพระอานนท์ท่านแสดงมรรค ๘ ให้ ย่อลงมาก็เหลือศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งใจปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ รอดไปหวุดหวิด ไม่อย่างนั้นท่านก็ใกล้จะวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเหมือนกัน เพราะอายุเท่ากับพระพุทธเจ้า" |
"ส่วนใหญ่แล้วบรรดาคนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้อง หรือว่าญาติผู้ใหญ่ มักจะเป็นอะไรที่พระต้องหนักใจเสมอ เพราะสอนยาก เนื่องจากท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เห็นพระเป็นพระ แต่เห็นพระเป็นลูกเป็นหลาน เป็นญาติเป็นโยม เป็นเพื่อนเป็นฝูง อาตมาเองบวชใหม่ ๆ โยมแม่ไม่ไหว้หรอก ผ่านไปหลายพรรษา อาตมาไปงานบวชหลานชาย ปรากฏว่าหลานชายบวชเสร็จ แม่ก็มากราบหลาน แล้วก็เมินลูก บรรดาน้าก็ถามว่า "ทำไมพี่ไม่ไหว้พระลูกชาย แต่ไปไหว้พระหลานชาย ?" แม่ก็บอกว่า "ลูกกู..ทำไมต้องไหว้มันด้วย ?" เห็นหรือยังว่าชัดแค่ไหน ?
เพราะฉะนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าจะไปโปรดพระประยูรญาติ ยังต้องให้พระกาฬุทายีล่วงหน้าไปก่อนเป็นเดือน ๆ แสดงปาฏิหาริย์เหาะให้เห็นอยู่ทุกวัน ยังไม่สามารถจะสร้างความเลื่อมใสให้แก่ศากยวงศ์ทั้งหมด เพราะพระกาฬุทายีเก่งแน่ แต่พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรยังไม่เคยเห็น เป็นเสียอย่างนั้น ไม่มีอะไรสอนยากยิ่งกว่าคนใกล้ชิด ตราบใดที่คนใกล้ชิดไม่ได้เห็นพระเป็นพระ แล้วมีมากต่อมากด้วยกัน ส่วนใหญ่พอไปอยู่วัดก็ไปเบ่งกับคนในวัด ทำให้ระเบียบวินัยเสีย ดังนั้น..อาตมาถึงได้ออกระเบียบวัดเอาไว้ว่า ผู้ใดมาอ้างว่าเป็นพี่น้องหรือพวกพ้องพระภิกษุแล้วละเมิดระเบียบวินัย ให้ไล่ออกจากวัดแล้วห้ามเข้าวัดอีกตลอดชีวิต ถ้าสามารถเอาญาติตัวเองอยู่ คนอื่นก็เอาอยู่ได้หมด เพราะฉะนั้น..ไปเบ่งที่วัดท่าขนุนได้จ้ะ อาตมารับรองเจริญแน่..! บรรดาลูกเจ้าพ่อโดนกันไม่เว้นแต่ละราย ไปวัดแล้วไม่คิดว่าเป็นพระ ไม่คิดว่าเป็นนาค คิดว่าเป็นลูกเจ้าพ่อ ปรากฏว่าเจ้าพ่อวัดท่าขนุนเฮี้ยนกว่า บรรดาลูกผู้ใหญ่ ลูกนายก อบต. ลูกนายกเทศมนตรี โดนมาทั้งนั้น มีรายหนึ่งโดนไป แล้วก็มาโวยวายว่า "ลูกผมได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระสังฆราช ไปทำกับลูกผมอย่างนั้นได้อย่างไร ?" ต่อให้รับพระราชทานจากในหลวงด้วย ถ้ามาทำผิดระเบียบวัดก็โดนเหมือนกัน การได้รับพระราชทานชื่อจากพระสังฆราชเป็นการรับประกันว่าลูกต้องดีใช่ไหม ? อาตมาจะได้ขอจากพระสังฆราชบ้าง..!" |
"สมัยที่ยังเป็นฆราวาส อาตมาอยู่ที่ท้ายซอยอ่อนนุช ก็มีอิสลามมาก ถึงเวลามีเรื่องมีราวกันขึ้นมา ต้องบอกว่าพวกเขามีความดีอยู่อย่างหนึ่งคือสามัคคีกันมาก ถึงเวลามีเรื่องนี่มาทั้งหมู่บ้าน แต่ขอโทษ..อาตมาไม่กลัวว่ะ..! ถือว่าสิบนิ้วเท่ากัน ดาหน้าเข้ามาได้เลย แล้วพวกเขาก็ดันฝีมือห่วยกว่า
ในเมื่อคนมากก็ไม่กลัว คนน้อยก็อัดกระจาย ก็เลยต้องแจ้งตำรวจอย่างเดียว ตำรวจรู้ว่าอาตมาไม่เป็นฝ่ายผิดแน่ แต่ไม่กล้าเข้าข้าง ต้องสั่งปรับทั้ง ๒ ฝ่าย ข้อหาก่อการทะเลาะวิวาท โดนไปฝ่ายละ ๔๐๐ บาท แล้วมีการมาแอบกระซิบขอโทษทีหลังด้วยนะ “ขอโทษครับพี่ ถ้าไม่ทำอย่างนี้โรงพักพัง เขามากันทั้งหมู่บ้าน” ก็เอ็งดันไปกลัวทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจ ข้าไม่เห็นต้องกลัวเลย อยู่มาจนป่านนี้ไม่เห็นบ้านจะพัง มีแต่คนจะมารื้อบ้านแต่โดนเตะกองอยู่หน้าบ้านทุกที เขาบอกเหตุผลกับตำรวจว่า "ลูกผมตะมะหนังสือแล้ว ไม่ทำผิดหรอก" คำว่าตะมะหนังสือ ก็คือศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว แหม..ขนาดนักศึกษาแพทย์ยังฆ่าหั่นศพ ถ้าศึกษาคัมภีร์แล้วไม่ทำผิดก็ดีนะสิ อาตมาจะได้ไปเป็นอิสลามบ้าง ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่าเหตุผลคล้าย ๆ กัน เหตุผลของเขาก็คือลูกเขาเรียนคัมภีร์แล้ว ไม่ทำชั่วหรอก ของรายที่ได้รับพระราชทานชื่อจากพระสังราชก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่เอามาอ้างกันได้ด้วยนะ ก็คงเหมือนกับสมัยก่อนบวชพระ เขาเรียก "ไอ้ทิด" จริง ๆ แล้วมาจากคำว่าบัณฑิต แปลว่าบวชเรียนมาแล้ว เท่ากับเตือนว่าห้ามทำชั่ว คนสมัยก่อนท่านละอายชั่วกลัวบาปกันเป็นปกติ สมัยนี้เขาไม่ค่อยจะกลัวกัน ไม่ใช่สึกแล้วไม่ทำความผิดอย่างสมัยก่อนนะ ขนาดบวชอยู่ยังทำผิดกันเป็นปกติ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่วัตถุมงคลที่อาตมาทำราคาแพง มาจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกก็คืออาตมามีคติประจำใจว่าสร้างพระต้องสวย เพราะถ้าของสวยคนเห็นแล้วจะศรัทธา ค่าแรงช่างก็เลยสูง ประการที่ ๒ ก็คือวัตถุบางอย่างอาตมาใส่ไม่อั้น อย่างพระปิดตารุ่นแรก เนื้อนวโลหะอาตมาใส่ทองคำไป ๑๐๐ บาท เป็นโยมกล้าใส่ไหม ? เขาใส่กันแค่ ๙ บาท ในเมื่อใส่ไม่อั้นก็เลยแพง คนเขาสงสัยองค์นิดเดียวทำไมตั้งสามสี่พันบาท ก็ทองตั้ง ๑๐๐ บาท พอถึงเวลาจะมีการทำพิมพ์ด้วยเลเซอร์ก็จะแพงเข้าไปอีก
ในเมื่อไม่อั้นเรื่องวัสดุ ยอมใช้เทคโนโลยีสูง ๆ แล้วก็ต้องการความสวย ราคาเลยแพง แต่ก็มีวัดอื่นเขาประทับใจ อยากจะให้วัดท่าขนุนช่วยทำวัตถุมงคลให้ ขอโทษ..ไม่มีอารมณ์ว่ะ...! ปกติเขาขึ้นพิมพ์กันด้วยขี้ผึ้ง ของอาตมาให้แกะพิมพ์ด้วยหินอ่อน พิมพ์หินอ่อนจะคมชัดกว่า คราวนี้ค่าแกะ ถ้าช่างฝีมือดี ๆ ที่เรียกใช้อยู่ พิมพ์หนึ่งก็ตั้งห้าหมื่นบาท องค์นิดเดียวเอง” |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ควรเชื่อ อนาคตเกิดจากการทำนายปัจจุบัน อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า ถ้าเราขับรถด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะไปถึงกาญจนบุรีภายใน ๑ ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าหากว่าเราวิ่งด้วยความเร็วเกิน ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็จะไปถึงก่อน อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง อาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลย ใครบอกว่าไม่ดี ก็เอาจนดีได้ บอกแล้วว่าอนาคตแก้ไขได้ อนาคตก็คือปัจจุบันนี่แหละ เพียงแต่เลยไปหน่อย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเลิกเชื่อ คัมภีร์อี้จิงบอกว่า "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน" อาตมาเองก็เคยโดนทำนายว่าจะเละอย่างนั้นเละอย่างนี้ แต่ก็ทำจนดีได้ |
ถาม : ซื้อหวยไม่ถูกค่ะ ?
ตอบ : บุญไม่พอจ้ะ ไม่ต้องคิดมาก เคยเล่นแล้วถูกบ้างไหม ? ถาม : เคยค่ะ ตอบ : อย่าเล่นเกินนั้น สมมติว่าเราเคยถูก ๒๐ บาท ก็อย่าซื้อเกินนั้น เพราะบุญที่เราทำมามีผลแค่นั้น ถ้าต้องการมากเกินนั้นเลขก็จะเลื่อนไป ไม่ถูกหรอก |
ถาม : การเป็นพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกถือเป็นการทำบุญด้วยหรือเปล่าคะ หรือเป็นหน้าที่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจสงเคราะห์เขาด้วยพรหมวิหาร ๔ ก็เป็นบุญด้วยในตัว ในขณะเดียวกันก็เป็นหน้าที่ซึ่งเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น..ก็เอาบุญด้วย |
ถาม : บ้านท่ามะขาม มาจากท่าม้าข้ามหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาจริง ๆ น่าจะเป็น "ท่าม้าขาม" คาดว่าตลิ่งสูงแล้วม้าไม่ค่อยกล้าลง คำว่า "ขาม" แปลว่ากลัวเกรง ม้ากลัว ไม่กล้าลง คนเรียกไปเรียกมาจึงกร่อนกลายเป็นท่ามะขาม แต่คราวนี้เขาดันไปคิดว่าควรจะเป็นคำว่า "ม้าข้าม" มากกว่า แล้วก็แผลงเป็นมะขาม แต่คราวนี้ประวัติเขามาอย่างนั้นอาตมาก็ขี้เกียจไปงัดข้อกับเขา ส่วนใหญ่แล้วแม่น้ำแควน้อยแควใหญ่น้ำจะแรง พอน้ำแรงแล้วตลิ่งจะสูง คุณลองนึกถึงสมัยที่เป็นทางลูกรัง เมื่อปี ๒๕๐๖ คุณยังต้องวิ่งผ่านอู่ทองไปก่อนแล้วจึงเข้าพนมทวน เดี๋ยวนี้มีทางตัดตรงแล้ว ตอนนี้ถ้าเราไปพูดถึงทางเส้นทางเก่าไม่มีใครรู้จักหรอก ใครจะไปนึกว่ากาญจนบุรีสมัยก่อนคุณต้องวิ่งผ่านสามแยกจระเข้สามพันก่อน คนละทิศละทางกับปัจจุบันเลย เส้นนั้นก็จะวิ่งผ่านเขาชานหมาก คำว่า "เขาชานหมาก" เกิดจากหลวงพ่อคงซึ่งเป็นอาจารย์ของขุนแผน เอาชานหมากขว้างกบาลเณรแก้วที่เป็นขุนแผนนั่นแหละ คราวนี้เณรแก้วหลบ ชานหมากเลยไปตกอยู่ตรงนั้นกลายเป็นภูเขา พวกเรื่องเก่า ๆ ต้องเจอคอเดียวกันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่แถวนั้นก็ไม่รู้เรื่องหรอก ถาม : ตรงที่เณรแก้วบวช ? ตอบ : ตรงนั้นเขาเรียกว่าวัดใหญ่ดงรัง แต่เดิมชื่อวัดส้มใหญ่ อยู่ตรงบ้านหนองขาว ก่อนเข้าพนมทวน ถาม : มีถ้ำพ่อขุนไกร แสดงว่าท่าน... ? ตอบ : รกรากของท่านเป็นคนเมืองกาญจน์ฯ คราวนี้พอรับราชการแล้วเขาส่งให้ไปตั้งค่ายเพื่อต้อนสัตว์มาให้พระเจ้าแผ่นดินล่าที่ศรีประจันต์ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าเวลาท่านจะไปซื้อไม้ ท่านเอาเรือวิ่งไปแค่อู่ทองก็เจอป่าเสือป่าช้างแล้ว จะเอาไม้เท่าไรก็มี |
ถาม : สัตว์เดรัจฉานที่เขาเสวยกรรมในภพภูมินั้น เขาจะทราบได้ไหมครับว่าที่ตนมาเกิดเป็นเดรัจฉานเพราะกรรมอะไร ?
ตอบ : บางชนิดก็ทราบ แต่ถ้าเป็นที่อื่นอย่างสัตว์นรก เปรต อสุรกายพวกนี้จะรู้โดยอัตโนมัติเลยว่าตัวเองโดนลงโทษเพราะอะไร แต่สัตว์เดรัจฉานนี่รู้เฉพาะบางตัวเท่านั้น ถาม : ข้อแตกต่างว่าเมื่อเป็นมนุษย์เขามีสติสัมปชัญญะได้ แต่สัตว์เดียรัจฉานมีไม่ได้ แสดงว่าส่วนนั้นหายไปจากเขาใช่ไหมครับ ? ตอบ : ในความเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า ความยั้งคิดจึงไม่มี โดยเฉพาะว่าสัตว์เดรัจฉานคติของเขาก็คือ ผู้แข็งแรงกว่าถึงจะอยู่รอดได้ ฉะนั้น..เราจะเอาแบบธรรมเนียมของคนไปใช้กับเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าพวกที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับคน พวกนี้กรรมของการเป็นเดรัจฉานของเขาจวนจะหมดแล้ว ถ้าเราเลี้ยงเขาดี ๆ ใจเขาเกาะคนเขาก็จะเกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระเกาะความดีได้ก็เกิดเป็นเทวดา ถาม : ถ้าโดยสรุปก็คือมนุษย์ที่ไม่ทราบว่าอะไรเป็นกรรมที่ให้ทำให้เขาได้รับผลอย่างนั้น ๆ แต่สัตว์ที่อยู่ในภพภูมิอื่น ๆ ล้วนแต่ทราบด้วยกันทั้งสิ้นใช่ไหมครับ ? ตอบ : มนุษย์กับเดรัจฉานไม่ค่อยจะรู้ มีรู้เพียงบางราย แต่ถ้าอยู่ในภพอื่นภูมิอื่นที่เป็นภพละเอียด เขาจะรู้ทั้งหมดว่าตัวเองเกิดที่นั่นเพราะอะไร ถาม : ในด้านผลของกรรม สิ่งที่จะเกิดกับเราไม่ใช่สิ่งที่ลิขิตมาแล้ว หมายความสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับบุญกับการกระทำของเราด้วยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม่มีการกระทำอย่างอื่นเพิ่มเติม กรรมจะส่งผลอย่างแน่นอนเหมือนกับลิขิตไว้ แต่คราวนี้เรามีโอกาสที่จะทำบุญทำบาปเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงของกรรมก็จะมีไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ว่าไม่ตายตัว ถ้าเราสร้างความดีไว้มาก ๆ ผลของกรรมก็ตามไม่ทัน หรือว่ากลายเป็นอโหสิกรรมไปเลย แต่ขณะเดียวกันถ้าเราสร้างความชั่วโดยส่วนเดียวก็เฮงอีกเหมือนกัน |
ถาม : การที่เรานั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนกุศลแล้วเกิดขนลุก นี่เกิดจากอุปาทานของเรา หรือว่าเกิดจากวิญญาณของเขามารับส่วนกุศล ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ในบริเวณนั้น สภาพจิตของเราถ้าไม่หยาบเกินไปนักก็จะรู้สึก การแสดงความรู้สึกส่วนใหญ่ก็คือขนลุก เนื่องจากว่าเวลาที่เขาพยายามจะแสดงให้เห็นว่าเขามา เขาต้องดึงเอาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม บริเวณนั้นเข้าไป เพื่อพยายามจะรวมให้เป็นร่างหยาบให้เราได้เห็น การที่เขาดึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไป ทำให้ความร้อนในบริเวณนั้นลดลงโดยอัตโนมัติ เราก็จะขนลุกเหมือนคนกำลังหนาว ฉะนั้น..ตีเสียว่าอุปาทานก็แล้วกัน แต่อย่าอุปาทานบ่อย เดี๋ยวจะกลัว..! |
ถาม : ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้แล้วหรือกรรมที่จะสร้างใหม่ แล้วบุคคลที่ได้อภิญญา ท่านรู้ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในกาลยาวไกลข้างหน้า สิ่งนั้นจะเที่ยงหรือครับ จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยหรือครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างไม่เที่ยงอยู่แล้ว ในเมื่อไม่เที่ยงอยู่แล้วก็เป็นปกติที่กรรมจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เพียงแต่ว่าบุคคลที่ได้อภิญญา ได้ยถากัมมุตาญาณ ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้จะยอมรับกฎของกรรม พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าลองแก้ไขแล้วไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ท่านก็ยอมรับเอาดื้อ ๆ อย่างพระธุดงค์ที่ภูกระดึงโดนงูใหญ่กิน โดนกลืนไปตั้งครึ่งค่อนตัวแล้ว แต่แปลกมาก..ทำไมกลืนจากทางปลายเท้าก็ไม่รู้ ? พรานไปเจอเข้าปรึกษากันว่าจะฆ่างูเพื่อช่วยพระ พระท่านก็โบกมือห้าม บอกว่าท่านเคยทำกรรมไว้กับงูตัวนี้ ก็เลยขอชดใช้เขา นั่นทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ จะหนีก็หนีได้ แต่ท่านก็ปล่อยให้งูกิน |
ถาม : บุคคลพยายามที่จะเจริญภาวนาแล้วจิตสงบระดับหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ที่เคยได้ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ คือมีแล้วเสื่อม เกิดจากเหตุผลอะไรครับ ?
ตอบ : เพราะว่าไปปล่อยให้กิเลสท่วมทับใจตนเอง เมื่อกิเลสท่วมทับใจตนเอง สมาธิก็เสื่อม พอสมาธิเสื่อมจะทำใหม่เพื่อให้ได้เหมือนเดิม ก็ไปเกิดความอยากว่า เราอยากให้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา สภาพจิตฟุ้งซ่าน โอกาสที่จะสงบอย่างนั้นก็ไม่มี ถาม : ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่เจริญสมาธิแล้วจิตสงบได้ระดับหนึ่ง แล้วหยุดไม่เจริญต่อ อีกหลายปีขณะที่อยู่ว่าง ๆ จิตสบาย ๆ ปรากฏนิมิตขึ้นมาซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างนี้เป็นเพราะกรรมเก่า หรือเป็นเพราะเขาคิดไปเอง หรือว่าเพราะอะไรครับ ? ตอบ : เขาเรียกว่ากรรมนิมิต คือความดีความชั่วแสดงเหตุให้ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรรมนิมิตมักจะเกิดขึ้นขณะที่สภาพจิตสบาย ๆ อยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับอารมณ์ใจตอนนี้ของเรา ก็คือว่าไม่ตั้งใจมาก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจก็ทรงตัวกว่าปกตินิดหนึ่ง นิมิตเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาหากว่าไปตรงร่องพอดี ถาม : แล้วในขณะที่พยายามนั่งสมาธิกลับไม่เกิด แต่ช่วงที่เฉย ๆ ว่าง ๆ ปล่อยจิตเบา ๆ กลับเกิด ? ตอบ : สมาธิสูงเกินอุปจารสมาธิก็ไม่เห็นอะไร ต่ำเกินไปก็ไม่เห็นอะไร ต้องพอดี ๆ ดังนั้น..เวลาเรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่กำลังเกินอุปจารสมาธิ เพราะอยู่กับองค์ภาวนา แต่ว่าขณะเดียวกัน ในอารมณ์ทั่ว ๆ ไปเราก็ปล่อยทิ้งเลย กลายเป็นต่ำกว่าอุปจารสมาธิ ต้องให้พอดี ๆ จึงจะเห็นได้ ซึ่งคนที่ทำตรงจุดนั้นแล้ว ต้องหัดสังเกตอารมณ์ใจ ถึงจะจำได้ว่าจุดพอดีของตัวเองคือตรงไหน ถ้าโดยทั่ว ๆ ไปก็ได้แต่บอกกันเฉย ๆ ว่า “ทำให้พอดี” แต่กว่าจะรู้ว่าพอดีอยู่ตรงไหน ก็ต้องคลำกันเป็นการใหญ่ |
ถาม : ส่วนใหญ่คนไทยก็เคยเข้าวัดทำบุญ พอจะทราบว่าดีว่าก่อนตายให้เอาจิตไปไว้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่พอจะตายกลับไปในที่ไม่ดี ?
ตอบ : เพราะไม่มีความมั่นคงในภพภูมิที่ดี กำลังใจน้อยคนที่จะเกาะความดีมั่นคงจนพึ่งตัวเองได้ โบราณท่านถึงแนะนำให้มีการบอกทางก่อนที่คนจะตาย อย่างเช่นให้บอกว่า “อะระหัง” หรือ “พุทโธ” แต่ว่าบางทีขนาดมีคนบอก กรรมก็ยังบันดาลให้ตนเองเข้าใจผิดไปตามกรรมที่ทำมา อย่างมีชายคนหนึ่งกำลังตาย ก่อนหน้านั้นอาชีพของแกก็คือจับปลา ลูกหลานเห็นก็ไปแนะนำบอกว่า “พุทโธ..พุทโธ” แกก็บอกว่า “แกงปลาเทโพ” ก็แปลว่ากำลังใจไปเกาะอยู่แต่กรรมหนักที่ตัวเองทำไว้ ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมดีมาจนกระทั่งกำลังใจทรงตัว จนใจเกาะดีโดยส่วนเดียว โอกาสที่จะพลาดมีเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน บางคนทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวแล้ว ถ้าวาระกรรมที่หนักกว่ามาแทรก เขาอาจจะขาดสติ แล้วต้องไปรับกรรมก่อนก็มี หลายรายที่ลงไปที่ตำหนักพญายม เขาก็แปลกใจว่าตนเองเจริญกรรมฐานมาหลายปีไม่เคยทิ้ง ทำไมถึงต้องลงมา พอสอบถามแล้วเขาบอกว่าก่อนที่เขาจะขาดใจตาย อยู่ ๆ ได้ยินเสียงเหมือนใครเอาอะไรขว้างข้างฝา แล้วตัวเองสะดุ้ง สติขาดจากการภาวนา นั่นเป็นแรงกรรมบันดาลให้เป็นไป |
ถาม : อารมณ์ก่อนจะตายถ้าเจ็บปวดและทรมานมาก ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนตอนคลอดลูก ทำให้ขาดสติ ไม่สามารถทรงสติสัมปชัญญะได้ ต้องไปอบายภูมิ ข้อนี้ต้องแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาวนาจับลมหายใจเข้าออก ให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นปกติ ถ้าอารมณ์ทรงตัวอยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตกับประสาทจะเป็นคนละส่วนกัน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจิตส่วนจิต ร่างกายส่วนร่างกาย ในเมื่อสภาพจิตไม่รับรู้อาการเจ็บปวดของร่างกาย ก็จะเกาะอยู่กับภาพพระหรือการภาวนาของตัวเอง ยิ่งอาการแย่ลงมากเท่าไร ภาพพระหรือการภาวนาก็ยิ่งชัดเจนแจ่มใสมากขึ้นเท่านั้น |
ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไว้ว่าคนไปสวรรค์เปรียบได้กับเขาโค มีจำนวนน้อย คนไปนรกเปรียบได้กับขนโค มีจำนวนมาก ในยุคปัจจุบันนี้ที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ข้อนี้ยังเป็นจริงขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : เป็นปกติ สมัยนี้โคไม่ค่อยจะมีเขาด้วย..! แปลว่าแย่กว่าสมัยก่อนอีก เนื่องจากว่าคนเราไหลตามกระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไปมากกว่าเดิม โอกาสที่จะรอดมีน้อยมาก เอาแค่ประเทศไทยเรา ๖๘ ล้านคน มีคนเข้าวัดเจริญภาวนาเป็นปกติสักกี่คน ? อาตมายืนยันว่าทั่วประเทศไทยมีไม่เกินสามแสนคน แล้วสามแสนนี่เปรียบกับเขาวัวยังไม่ได้เลย เพราะอีกฝ่ายหนึ่งตั้ง ๖๘ ล้านคน..! |
ถาม : ในฐานะที่เราเป็นลูกหลาน เราไปบอกกับพ่อแม่ผู้มีพระคุณของเราว่า โลกนี้ประมาทไม่ได้เลย เพราะว่ามีแต่ความยากลำบากรออยู่ข้างหน้า แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย กุศลจะเป็นของเราไหมครับ ?
ตอบ : กุศลเป็นของเราเป็นปกติ แต่ว่าบางทีโทษใหญ่จะเกิดกับผู้รับฟัง เพราะส่วนใหญ่แล้วญาติผู้ใหญ่ไม่ค่อยมีความเชื่อถือในบุตรหลานตัวเอง เพราะเห็นว่าเลี้ยงมากับมือ คิดว่าจะรู้อะไรนักหนาเชียว วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่ไปบอกไปว่า แต่ว่าทำตัวเองให้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขาสงสัยแล้วถามเราค่อยบอกเรื่องหลักการปฏิบัติให้ ถ้าอย่างนั้นเขาจะเชื่อถือมากกว่า เพราะตัวเราเป็นพยานในการปฏิบัตินั้นเองแล้ว |
ถาม : ที่เขาพูดกันว่าถ้าอยากได้ยศได้ตำแหน่งให้ไปกวาดลานวัด ลานเจดีย์ ข้อนี้มีผลจริงไหมครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยได้ยิน ที่ได้ยินมาก็คือว่าการทำความสะอาดลานวัด ลานเจดีย์ ถ้าทำด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ คนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังมีโอกาสหายได้ สิ่งนี้มีการแนะนำอยู่ในพระไตรปิฎก ที่พระนางโรหิณีป่วยเป็นโรคเรื้อน แล้วพระอานนท์ก็แนะนำให้ไปกวาดลานเจดีย์ ท่านก็ทำอยู่นาน ทำด้วยความมุ่งมั่นและเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ โรคเรื้อนก็หาย เหตุที่เป็นโรคเรื้อนเพราะว่าในอดีตชาติเคยไปด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นคนขี้เรื้อน ฉะนั้น..ในตรงจุดนี้จะเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่าก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคผิวหนังต้องไปทดลองดู ถาม : ทีนี้คนที่อยากได้ยศตำแหน่ง มีข้อปฏิบัติอย่างไรไหมครับ ? ตอบ : ไปหาครูบาอาจารย์อะไรที่มีคาถาช่วยให้สำเร็จ แล้วขอท่านมานั่งภาวนาดีกว่า บุญใหญ่กว่ากันเยอะเลย ถึงจะไม่ได้ยศได้ตำแหน่ง แต่ก็เท่ากับเราสร้างมหากุศลให้ตัวเอง |
ถาม : การเล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เราเล่น ๆ แล้วเป็นสักกายทิฐิหรือครับ ?
ตอบ : จิตใจเราจะไปยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นสักกายทิฐิคือส่วนหนึ่งของตัวเรา ทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารยากยิ่งขึ้น อย่างเช่นเฟซบุ๊กของเรา พอถึงเวลาเราขึ้นสเตตัสไป แล้วคนเข้ามาแสดงความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เราก็โกรธเขาแล้ว ก็เหมือนกับเขาไม่เห็นด้วยกับตัวเรา ฉะนั้น..เท่ากับว่าเรากำลังสร้างส่วนหนึ่งของเราเพิ่มขึ้น เราก็ต้องไปยึดในส่วนนั้นมากขึ้น บางคนก็หัวทิ่มอยู่ทั้งวันไม่ไปไหนเลย |
ถาม : การไม่ประหยัด เป็นคนที่ฟุ้งเฟ้อกับวัตถุเป็นอกุศลไหมครับ ?
ตอบ : จะว่าเป็นอกุศลก็ไม่ใช่ แต่ขณะเดียวถ้าเราไปดูที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตระกูลที่มั่งคั่งไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้นาน เพราะสถาน ๔ คือ เกิดจากการที่ ไม่แสวงหาของที่หายไป ๑ ไม่ซ่อมแซมของเก่า ๑ ใช้จ่ายโดยไม่รู้จักประมาณ ๑ และตั้งผู้ทุศีลเป็นพ่อเรือนแม่เรือน ๑ เพราะฉะนั้น..การที่เราฟุ่มเฟือยก็จะไปผิดอยู่ในส่วนของธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ เรียกว่าโอกาสที่จะล้มละลายมีสูง |
ถาม : การที่เราทำบุญแล้วไม่ไปบอกกล่าวหรือโอ้อวดว่าเราได้ทำ คือทำเพื่อบุญแบบเงียบ ๆ กับคนที่ทำบุญแล้วก็เล่าให้คนอื่นฟังเพื่อให้โมทนาบุญ แบบไหนจะได้บุญมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้าบอกให้คนอื่นโมทนาบุญ ตนเองจะได้ในส่วนของปัตติทานมัยเพิ่มขึ้นด้วย แต่ว่าต้องมีว่ามีเจตนาที่ต้องการให้คนอื่นเขาได้ความดีในส่วนนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ไปบอกเพื่ออวดเขา |
ถาม : เขาบอกว่าคนทำบุญมาดีถึงได้ใช้ของดี อย่างเช่นนางวิสาขา แต่ทางศาสนาพุทธสอนว่าให้ประหยัดมัธยัสถ์ ?
ตอบ : ท่านบอกว่าให้สันโดษ คำว่าสันโดษมี ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามลาภที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามที่กำลังตัวเองหามาได้ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ก็เขารวยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันโกฏิ ตามฐานะของเขาก็สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ คำว่า "สันโดษ" ไม่ได้แปลว่าต้องประหยัดมัธยัสถ์ในลักษณะของการทำตัวปอน ๆ เขามียินดีตามสารูปคือตามฐานะของตน ที่ในหลวงยืนยันว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่จน ก็คือท่านเอามาจากในเรื่องของสันโดษนี่เอง แล้วก็มียถาลาภสันโดษ ยินดีตามลาภที่ได้ ถ้าเกิดอยู่ ๆ ไปถูกล็อตโต้เป็นพันล้าน จะซื้อเครื่องบินส่วนตัวใช้ก็เอาสิ |
ถาม : เราเป็นปุถุชน มีทั้งบุญและบาปที่เราทำผสมกันไป ถ้าเราไปส่งเสริมชาวบ้านเลี้ยงไหมเพื่อเอาใยไหมมาทำผ้า หรือว่าส่งเสริมเขาเลี้ยงปลา หรือว่าปลูกพืชผักซึ่งต้องฆ่าแมลง อย่างนี้คนที่ส่งเสริมไม่บาปแย่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าเจตนาที่เราส่งเสริมนั้น เราตั้งใจให้เขาฆ่าหรือเปล่า ? ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็มักจะอยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าเห็นคนอื่นมีความสุขตนเองจะทุกข์เท่าไรก็ยินดี ออกไปทางด้านของพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์นี่เราใช้กำลังใจคนทั่วไปวัดท่านไม่ได้ กำลังใจของท่านถ้าเพื่อความสุขของคนส่วนรวมท่านยอมลำบากคนเดียว ในส่วนของการส่งเสริมผู้อื่น อย่างในหลวงของเราส่งเสริมให้ปลูกพืชเมืองหนาว ส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวเขา เราก็ต้องดูด้วยว่าแต่ละโครงการของท่านจริง ๆ จะหลีกเลี่ยงจากการฆ่าสัตว์ก็ได้ โดยเฉพาะว่าบุคคลทั่วไป ถ้าไม่สามารถจะรักษาศีลได้ตลอดเวลา หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าให้รักษาเป็นเวลาก็ได้ อย่างเช่นว่าถึงเวลาเราเข้าไร่เข้านาไป อาจจะต้องมีการฆ่าหนอนฆ่าแมลง อันนั้นก็ถือว่าช่วงทำงาน แต่ถ้าช่วงก่อนทำงานหรือหลังจากทำงานแล้ว เราก็สามารถที่จะรักษาศีล เจริญภาวนาสร้างความดีใส่ตัวได้ |
ถาม : ตัวคิดกับตัวรู้ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตัวรู้คือเรา ตัวคิดเป็นสิ่งที่ใจของเราทำงาน แต่คราวนี้พอถึงเวลาสภาพจิตมีความเป็นทิพย์เกิดขึ้น ความรู้ที่เข้ามาจะตรงเข้าไปในใจของเราเลย คือต่อสายตรง ถ้าหากว่าความรู้ในช่วงนั้นเกิดขึ้นนี่ พริบตาเดียวสามารถอธิบายกันได้ครึ่งค่อนวัน สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้ายังคิดอยู่เราต้องบังคับให้เป็น แต่ถ้าหากว่ารู้นี่ไม่ต้องบังคับ มาเองเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเคยเห็นรอยจารของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว อย่างของหลวงปู่นาคนี่ท่านจารลงบนพระปิดตาเนื้อเมฆพัด ลึก ๆ ชัด ๆ หลวงปู่บุญท่านจารลงบนหลังหอยเบี้ย ลึก ๆ ชัด ๆ เหมือนอย่างกับเราจารลงบนดินน้ำมันเลย นั่นต้องไม่ใช่กำลังข้อมือเฉย ๆ ต้องเป็นอำนาจของกสิณด้วย”
|
มีโยมมาถวายผ้าอาบน้ำฝน พระอาจารย์กล่าวว่า "ผ้าอาบน้ำฝนกับผ้าจำนำพรรษาก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ภาษาบาลีเรียกว่า วัสสิกสาฏก แปลว่า ผ้าอาบน้ำฝน คราวนี้คนไทยเราเรียกง่าย ๆ ว่าผ้าจำนำพรรษา ไม่ได้ไปจำนำอะไรหรอก คือผ้าที่ถวายให้พระใช้ประจำในระหว่างพรรษา เอาไว้สำหรับผลัดอาบน้ำ ถ้าพ้นพรรษาไปแล้วต้องทำวิกัปเป็นสองเจ้าของ กันพระบางรูปสะสมผ้า"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนโบราณเขาด่ากันไม่มีคำหยาบสักคำ เวรัญชพราหมณ์ไปหาพระพุทธเจ้า คราวนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่ลุกขึ้นต้อนรับ ไม่จัดอาสนะ ไม่จัดน้ำใช้น้ำฉันให้ ท่านก็เลยด่าเอาว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้ธรรมเนียม ทำไมผู้ที่อาวุโสกว่ามาแล้วถึงไม่ลุกรับ ไม่จัดอาสนะ ไม่ตั้งน้ำใช้น้ำฉันให้ แล้วก็ลำเลิกเบิกประจานไปว่า คนเขาว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่หาสมบัติมิได้
พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่า “ใช่..เพราะว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ นั้นเราละจนหมดสิ้นแล้ว” ท่านด่าว่าพระพุทธเจ้ากล่าวถึงการไม่ทำ คือที่โน่นเขาด่ากันเรื่องมีกรรมไม่มีกรรม คราวนี้กรรมเขาแปลว่าการกระทำ กล่าวถึงการไม่ทำ พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่า “ใช่..เพราะว่าเราไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตแล้ว” ด่าอะไรมาท่านบอกว่าใช่หมด บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้กล่าวถึงการขาดสูญ สมัยก่อนเขานิยมลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ใครไม่มีลูกถือว่าต้องตกนรกขุมปุตตะ พระภิกษุบวชมาแล้วไม่มีลูกเขาถือว่าขาดสูญ พระพุทธเจ้าก็รับรองว่า “ใช่..เพราะว่าตถาคตเองสูญไปจากราคะ โลภะ โทสะ โมหะและอกุศลทั้งมวลแล้ว” ด่าอะไรมาท่านรับรองว่าใช่หมด ท่านด่าว่าพระสมณโคดมเป็นผู้ช่างรังเกียจ พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่า “ใช่..เพราะว่าตถาคตรังเกียจในบาปอกุศลทั้งปวง” มีปัญญาด่าก็ด่าไป ท่านด่าว่าพระสมณโคดมเป็นผู้ช่างเผาผลาญ ความจริงนี่เป็นคำด่าทั้งหมดนะ แต่ว่าพระพุทธเจ้ารับรองว่า “ใช่..เพราะว่าตถาคตเผาผลาญเสียซึ่งราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ให้มีอะไรเหลืออยู่” ด่าว่าพระสมณโคดมเป็นผู้ไม่ผุดไม่เกิดแล้ว พระองค์รับรองว่า “ใช่..เพราะตถาคตทำให้สิ้นสุดเสียซึ่งการนอนในครรภ์แล้ว ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกแล้ว” เวรัญชพราหมณ์ก็คงด่าจนเหนื่อย พระพุทธเจ้าท่านนั่งยิ้มรับอย่างเดียว แถมอธิบายให้ฟังอีกว่าด่าถูกแล้ว..ใช่เลย.. อะไรทำนองนั้น แล้วพระพุทธเจ้าก็ถามว่า “พราหมณะ..ดูก่อน..พราหมณ์ ถ้าลูกไก่ตัวใดเจาะฟองไข่ออกมาก่อน ลูกไก่ตัวนั้นสมควรจะนับเป็นพี่ได้หรือไม่ ?” เวรัญชพราหมณ์ก็ตอบว่า นับเป็นพี่ได้ ก็เพราะว่าเขาออกจากฟองไข่มาก่อน "ฉะนั้น..ผู้เป็นพี่ย่อมอาวุโสกว่าใช่ไหม ?" ก็ใช่ ถ้าอย่างนั้นตถาคตเป็นผู้ที่เจาะทำลายเสียซึ่งอวิชชา เข้าถึงวิชชาก่อนใคร อย่างนั้นตถาคตควรจะเป็นผู้อาวุโสกว่าหรือเปล่า ? เวรัญชพราหมณ์ตอบว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ใช่ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่ทำลายเสียซึ่งอวิชชาแล้ว เหมือนอย่างกับลูกไก่ที่เจาะพ้นฟองไข่แล้ว ฉะนั้น..การที่ไม่ลุกรับ ไม่ปูอาสนะ ไม่ตั้งน้ำใช้น้ำฉันให้ เพราะไม่เห็นว่าผู้ใดสมควรที่จะให้พระองค์ท่านทำอย่างนั้น ถ้าพระองค์ท่านทำอย่างนั้นให้ บุคคลนั้นก็จะศีรษะแตกเป็น ๗ เสี่ยง พระองค์ท่านก็เลยต้องไม่ทำ เวรัญชพราหมณ์ถึงได้ยอมรับว่า ที่พระพุทธเจ้าไม่ลุกรับนั้นเป็นการสมควรแล้ว" |
มีโยมเอาบาตรมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เดือนตุลาคม หลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านจะครบ ๑๐๐ ปี อาตมาทำโครงการถวายท่านหลายโครงการ มีสร้างศาลาพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ดำเนินการไปตอนนี้จวน ๆ จะได้ชั้นหนึ่งแล้ว หมดไป ๒๕ ล้านกว่า ๆ โครงการทำหนังสือประวัติวัดท่าขนุน โครงการสร้างวัตถุมงคล ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ดำเนินการจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมด
โครงการบวชพระ ๑๐๐ รูปถวายกุศลหลวงปู่ คราวนี้โครงการบวชพระ ๑๐๐ รูป คนสมัครเกิน เลยขยายเป็น ๑๐๘ รูป คนก็สมัครเกินไปอีกแล้ว ตอนนี้น่าจะ ๑๑๓-๑๑๔ รูป ต้องเอาแค่ ๑๐๘ รูปก่อน เพราะว่า ๑๐๘ รูปนี่บวชกันเป็นวัน ๆ อยู่แล้ว คราวนี้พระ ๑๐๘ รูป อย่างอื่นมีครบ ขาดแต่บาตร โยมเอาบาตรมาพอดีเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมถวายข้าวของเครื่องใช้ในครัวเยอะ ๆ แล้วนึกถึงแม่ชีพิมพ์ (อุบาสิกาพิมพ์วรา ทิพยบุลสิทธิ์) อาตมาส่งแม่ชีพิมพ์ไปเรียนปริญญาเอกที่ศรีลังกา แม่ชีพิมพ์อยากฉันอาหารไทยแต่หาเครื่องปรุงไม่ได้ ป่านนี้คงกำลังสำลักเครื่องปรุงอยู่ เพราะว่าเพิ่งส่งไปให้ ก่อนหน้านั้นส่งอีเมล์มาบ่อย ๆ พอส่งของกินไปให้ หายคิดถึงเมืองไทย ตอนนี้ไม่ส่งอีเมล์มาเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นผู้หญิงก็ลำบาก แต่งตัวสวยถ้าไม่เหมาะกับสถานที่ก็ต้องระมัดระวัง แต่อย่าถึงขนาดน้องเจมี่นะ โดนด่ากระจายเลย ความจริงแล้วน้องเจมี่ล้าหลังหลายร้อยปี ลองไปดูรูปตามวัดบางวัดแถว ๆ พระประแดง ผู้หญิงมอญเขาก็แต่งตัวแบบนั้นแหละ เขานุ่งผ้าแบบป้ายข้าง ไม่ได้เย็บเป็นถุง ก็เป็นเหมือนสบงพระ ถึงเวลาเดินก็ชะเวิบชะวาบแบบนั้นแหละ ที่หนักกว่านั้นคือ สมัยก่อนเขานุ่งแต่ท่อนล่าง ข้างบนเขาไม่ค่อยไม่ใส่อะไรกัน ผู้ใหญ่ไม่ค่อยใส่เสื้อทั้งผู้หญิงผู้ชาย เพิ่งจะมาใส่กันเมื่อไม่นานนี้เอง"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานปฏิบัติธรรมช่วงอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา หลังจากนั้นก็เป็นงานปฏิบัติธรรมของพระ เพราะว่าเจ้าคณะภาคมีนโยบายว่าให้ปฏิบัติธรรม ๓ วันก่อนเปิดสำนักเรียน ก็ลงที่ท่าขนุน..ไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะทั้งอำเภอมีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่วัดเดียว
เดือนสิงหาคม มีงานวันแม่ ถือเป็นงานใหญ่ เป็นช่วงที่ช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนพระ ปกติก็จะร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก กับวัดพระพุทธบาทเขาน้อย ถวายท่านช่วยสร้างปีละล้าน มาปีนี้หลวงพ่อมณฑล วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส บอกว่า "อาจารย์เล็ก..ช่วยผมหน่อยเถอะ ผมไม่ค่อยมีเอกลาภกับใคร ไม่เหมือนกับอาจารย์เล็ก ตอนนี้วัดเป็นหนี้เขาอยู่ ช่วยปลดหนี้ให้ผมด้วย.." อาตมาเลยให้โยมเปิดกระทู้ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก และปลดหนี้วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส ให้ไปจองพระ ถ้าใครเข้าเว็บไม่เป็นให้จองกับคุณก้านบัวเลยก็ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาส่งพระปลัดเผื่อนเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา พรรษานี้ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน ปริญญาโทพอเข้ากรรมฐานแล้ว ก็วิเคราะห์ผลการปฏิบัติเป็นวิทยานิพนธ์ ปีนี้วัดท่าขนุนส่งเรียนเยอะหน่อย มีปริญญาเอก ๕ ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรีอีก ๗ แต่ละเดือนจ่ายเป็นแสนเลย ถ้าหากว่าเดือนไหนจ่ายค่าเทอมด้วย ก็ตก ๖-๗ แสนบาท ฉะนั้น..โยมไม่ต้องเกรงใจจ้ะ ที่ทำบุญกันมานี่ อาตมาใช้เงินเป็น ไม่ค่อยจะเหลือหรอก
จะว่าไปแล้วมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ค่าเทอมยังไม่แพงมาก อย่างปริญญาเอก ค่าเทอม ๙๐,๐๐๐ บาท ข้างนอกนี่ ปริญญาโท ๙๐,๐๐๐ บาท บางแห่งก็ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนมหาวิทยาลัยพระ ปริญญาเอกเพิ่งจะ ๙๐,๐๐๐ บาท ปริญญาโท ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท แต่วันก่อน พระมหาจรูญโรจน์ เบิกไป ๔๕,๐๐๐ บาท ถามว่าทำไม ? ท่านว่ามีไปดูงานต่างประเทศ ต้องจ่ายค่าเครื่องบินด้วย ยังดีไม่ไปไกล ถ้าไกลคงจ่ายกันอ่วมเลย รุ่นของอาตมาเขาส่งไปดูงานยุโรป เจอไป ๑๑๗,๐๐๐ บาท แต่ว่า ๑๑๗,๐๐๐ บาทนี่ ไม่รู้ว่าบริษัททัวร์จะขาดทุนหรือเปล่า ? เพราะว่าไปนอนที่เมืองฟอเรนซ์ เฉพาะค่าห้องคืนหนึ่ง ๒๘,๐๐๐ บาท ปกติแล้วในเมืองท่องเที่ยว เราไปเที่ยวข้างในแล้วไปนอนกันนอกเมือง ครั้งนั้นคนขับรถวิ่งวนรอบเมือง ถามเขาว่าโรงแรมนี้อยู่ที่ไหน ? แล้ววนกลับมานอนข้างมหาวิหารฟอเรนซ์นั่นแหละ เจอไปคืนละ ๗๐๐ ยูโร ได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือก ตั้ง ๒๘,๐๐๐ บาท แล้วพระไปตั้ง ๒๓ รูป..! แต่ไปยุโรปแล้วภูมิใจ ภาษาอังกฤษของพวกเราเก่งกว่า คนยุโรปเขาค่อนข้างหยิ่ง ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสเขาใช้ภาษาฝรั่งเศส อิตาลีเขาใช้ภาษาอิตาเลี่ยน สวิสเขาใช้ภาษาฝรั่งเศสกับเยอรมัน พอพูดภาษาอังกฤษแล้วพวกเราเก่งกว่า ปลื้มใจว่าเขาสู้เราไม่ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนจะมีหมาชาวบ้านอยู่ ๒ ตัว ตัวดำใหญ่พันธุ์ลาบาดอร์ แล้วก็มีพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ ชื่อเจค็อบ หนีเจ้าของมาอยู่วัด เจ้าของมาไล่ต้อน เอาโซ่ล่ามกลับไป เผลอเมื่อไรก็หนีมาอยู่วัดอีก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า เวลาเลี้ยงหมาให้ดูตรงใต้คาง ตรงใต้คางหมาจะมีตุ่มอยู่ตุ่มหนึ่ง มีขนแข็ง ๆ ยาว ๆ ถ้าขนเส้นเดียว ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น เป็นหมาที่มาจากข้างบน ถ้าคนเลี้ยงมีบารมีน้อยกว่า เขาจะหนีไปหาคนที่มีบารมีเท่ากัน หรือสูงกว่า
ถ้าใครเลี้ยงหมาแล้วหมาหนี โปรดทราบว่าบารมียังสู้หมาไม่ได้..! ถ้ามีขนเส้นเดียวจะเป็นราชาหมา ราชาหมาไม่กลัวหมาที่ไหน ไปตัวเดียวที่ไหนก็ไปได้ หมาอื่นไม่กล้าทำอะไร ถ้าขน ๔ เส้นขึ้นไปเริ่มดื้อ คุยไม่รู้เรื่อง ขน ๑ เส้น ๒ เส้น ๓ เส้น คุยรู้เรื่อง สั่งครั้งเดียวรู้ คราวนี้ที่วัดมีหมาของญาติโยมหนีมาอยู่เรื่อย หนีมาเขาก็ตามคืน เผลอเมื่อไรก็หนีมาอีก อาตมาเองสมัยทำงานในกรุงเทพใหม่ ๆ ไม่ได้เลี้ยงหมาสักตัว ก่อนบวชมีหมาอยู่ ๑๑ ตัว หมาชาวบ้านหนีมาทั้งนั้น ตอนที่ยังไม่ได้บวชมีหมา ๑๑ ตัว ชอบใจอยู่ตัวชื่อนางแดง อาตมาเรียกว่าไอ้หมารู เพราะชอบขุดรูอยู่เอง แล้วเขาไม่ง้อเราด้วย ถ้านางแดงขุดรูแปลว่าจะคลอดลูกแล้ว พอถึงเวลาเอาข้าวคลุกไปให้กิน นางแดงจะเลือกหมูเลือกปลากินหมด แล้วทิ้งข้าวไว้ เขาไม่ง้อหรอก ถึงเวลาหิวจะวิ่งเข้าตลาดไป พักเดียวลากไส้กรอกอีสานมาทั้งพวงเลย..! ปรากฏว่าบรรดาลูก ๆ ของนางแดง มีนางหรั่งที่รับคุณสมบัติของแม่มา นางหรั่งตัวสีน้ำตาลเข้มทั้งตัว หูตูบ ๆ หน่อย แต่ตาสีน้ำข้าว เลยเรียกว่านางหรั่ง นางหรั่งเป็นหมารูเหมือนกัน ถึงเวลาจะคลอดลูกจะขุดรูลงไปทำเป็นโพรงใหญ่ ถึงเวลาพวกเราไปขอดูลูกไม่เป็นไร ถ้าเป็นคนแปลกหน้าจะโดดจากรูมากัดเลย แล้วก็ลักษณะเดียวกับแม่ คือไม่ง้อคนเลี้ยง ให้อาหารไม่ดี ไม่เป็นไร รู้จักหากินเอง วิ่งเข้าตลาดไปหาเองได้ อีกตัวหนึ่ง ตัวใหญ่มาก ไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร เหมือนหมาป่าเลย สีดำทั้งตัว เรียกว่าไอ้หมี เจ้าหมีหนีมาถึงก็มาตีซี้อยู่เรื่อย พอเจ้าของมาเจอก็เอาโซ่ลากกลับบ้านไป เผลอหลุดจากโซ่เมื่อไรเจ้าหมีก็หนีมาอยู่เรื่อย อาตมาเลยสงสัยว่าเจ้าของบารมีสู้ไอ้หมีไม่ได้ จึงหนีไปหาคนอื่นอยู่เรื่อย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วทางราชการเวลาส่งจดหมายมาว่า วันนั้นวันนี้จะทำเรื่องนั้นงานนี้ นิมนต์พระคุณเจ้าด้วย ขอโทษ..อาตมาไปไม่ได้ ถ้าอาตมารับงานอื่นแล้ว งานใหม่สำคัญแค่ไหนก็ไม่ไป ยกเว้นงานหลวง งานหลวงคือพระราชพิธี ไม่ใช่งานที่ข้าราชการเขาจัด ถ้าเป็นงานราชพิธีของในหลวง ของพระราชินี ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะไป จะยอมทิ้งงานอื่น ถ้าไม่ใช่งานหลวง ไม่ไปหรอก ใครนิมนต์ไว้ก่อนก็ไปที่นั่นแหละ"
|
ถาม : คนที่ปฏิบัติแล้วมีอาการต่าง ๆ เช่น ฟ้อนรำ เป็นเพราะว่าเขามีกรรมแทรกหรืออย่างอื่นแทรก ?
ตอบ : บางอย่างก็แทรก แต่จริง ๆ บางคนก็เป็นปีติด้วย ถาม : บางคนติดปีตินานเกิน ? ตอบ : ถ้าเรามัวแต่อาย มัวแต่กลัวอยู่ จะติดอยู่ตรงนั้น ข้ามไม่ได้เสียที ถาม : เขาจะค้างอยู่อย่างนั้นเป็นยี่สิบปีแล้ว ออกไม่ได้เลย ? ตอบ :ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลยแล้วจะหาย ถ้าไม่ปล่อยให้เต็มที่ เมื่อไรก็เมื่อนั้น ก็จะติดอยู่อย่างนั้น ถาม : บางคนก็เป็นหมา ไม่อาบน้ำเลย ? ตอบ : ต้องดูวิธีการฝึกของครูบาอาจารย์เขา อาตมาก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้ไปเห็นการฝึกปฏิบัติของสำนักนั้น บางทีก็เหมือนกับการสะกดจิตว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น ต้องดูว่าครูบาอาจารย์เขามีวิธีแก้ไหม ถาม : เขาแก้ไม่เป็น ? ตอบ : แก้ไม่เป็นก็ติดอยู่แค่นั้น ถาม : เป็นปีไม่อาบน้ำอยู่อย่างนั้นเลย หลานผมเป็นพญาหมาอยู่อย่างนั้น ? ตอบ : ต้องช่วยเตือนเขาว่าตอนนี้เขาเป็นคน..ไม่ใช่หมา |
พระอาจารย์สนทนากับพระด้วยกันว่า "ผมคอยสังเกตอยู่ทุกเดือนว่าเขาจะขวางอย่างไรไม่ให้ผมมาทำงานที่นี่ คือทุกครั้งจะต้องหาเรื่องให้ป่วยจนได้ ปรากฏว่าก่อนจะมาสอนหนังสืออยู่ที่วัดใต้ จะบ่าย ๔ โมงอยู่แล้ว อากาศ ๔๑ องศา พอวิ่งขึ้นไปถึงลิ่นถิ่นเริ่มเข้าเขตทองผาภูมิ ฝนก็ตก อากาศลดเหลือ ๒๔ องศา ต่างกัน ๑๗ องศา..! แล้วจะเหลือไหมเล่า ? อากาศทองผาภูมิกับกาญจนบุรี ต่างกัน ๑๗ องศา ก็เป็นไข้
แค่นั้นยังไม่พอ ออกบิณฑบาตตอนเช้า ฝนกระหน่ำตั้งแต่ไปยันกลับ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีจีวรแห้งเฉพาะที่เอามือกำไว้อยู่แค่นี้ ผมบอกกับพระใหม่ว่าพระพุทธเจ้าท่านลำบากกว่าเราเยอะ พระองค์ท่านเป็นสุขุมาลชาติ เกิดภายใต้เศวตฉัตร อีก ๗ วันความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะมาถึงแล้ว ยอมสละเศวตฉัตรมาตกระกำลำบาก ๖ ปีเต็ม ๆ ของพวกเราตากฝนแค่นี้ไม่ลำบากหรอก ฉะนั้น..จงตากฝนต่อไป..! คิดดูว่าเขาหาเรื่องให้ผมป่วยจนได้ โดยเฉพาะว่าผมไม่ได้เอาตัวรอดคนเดียว จะเอาคนอื่นไปด้วย เขาต้องขวางสุดชีวิตเลย ผมสังเกตอยู่ทุกเดือน เขาเอาจนได้ ก็ดีเหมือนกัน ป่วยจะได้เห็นความไม่ดีของร่างกายชัดขึ้น จะได้ไม่หลงไปอยากได้ใคร่ดี ถ้าเขาปล่อยให้ผมแข็งแรง ๆ อาจจะหลงระเริง ยังดีที่ป่วยตลอด ผมไปนึกถึงหน่อย (ร.อ.หญิงสุพรรณี ครองแถว) เป็นพยาบาลอยู่ตึกคุ้มเกล้า โรงพยาบาลภูมิพล ตึกที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยเกือบจะที่สุดในประเทศไทย เส้นโลหิตในสมองแตก ถ้ารู้ทัน..อย่างไรก็รักษาได้ ปรากฏว่าหน่อยก่อนออกเวรบ่นกับเพื่อน ๆ ว่าปวดหัวมาก ขอไปนอนก่อน ช่วงนอนนี่แหละน่าจะเส้นโลหิตในสมองแตก แล้วก็น็อกไปเลย คนอื่นเห็นว่าน้องเขาเหนื่อย ก็ปล่อยนอนข้ามวันเลย ถ้ารู้ตัวอย่างไรก็รักษาได้ แต่นี่ข้ามวัน เรียบร้อย..จะไปรักษาอย่างไร อยู่ในที่ที่เครื่องมือพร้อมที่สุด แต่รักษาไม่ได้ เพราะกรรมบัง ทำให้ทุกคนคิดว่าน้องเขาเหนื่อย ให้นอนพักไป นอนกันเป็น ๑๐ ชั่วโมง เส้นเลือดในสมองแตกไปตั้งนานแล้ว จะเหลืออะไร เวลากรรมเขาจะเล่นงาน เขาก็หาช่องว่างเอาจนได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง มีอยู่จุดหนึ่งที่เห็นว่าดีมาก ๆ เลย ก็คือญาติโยมที่ไปวัดรู้ว่าตัวเองควรที่จะทำอะไร ไปถึงก็มองหางานที่เหมาะกับตัวเอง ถึงเวลาก็ต่างคนต่างทำงานนั้น ๆ เต็มกำลังของตน ไม่ต้องมีใครสั่ง พอทำไปทำมารู้จักมักคุ้นกันมากขึ้น ๆ ก็เกาะกันเป็นคณะ ก็จะรู้ว่าคณะนี้ควรทำหน้าที่อะไร คณะนี้ทำหน้าที่รักษาความสะอาด คณะนี้เป็นแม่ครัว คณะนี้ช่วยงานสังฆทาน คณะนี้ช่วยจำหน่ายวัตถุมงคล เป็นต้น
คนใหม่มาก็รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร วิ่งไปหางานทำ พอได้งานแล้วต่อไปก็ทำงานหน้าที่นั้น ๆ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นการแสดงออกให้เห็นชัดว่าในเรื่องของบารมี คือกำลังใจของแต่ละคนนั้น สั่งสมกันมาเต็มจริง ๆ รู้จักทำงานเอง ไม่ต้องรอให้เรียกใช้ไหว้วาน ไม่น่าเชื่อว่าวัดที่ใหญ่โตขนาดนั้น มีญาติโยมไปทีหนึ่งสองแสนสามแสน ไม่ต้องจ้างแรงงานเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนนอกจากไปทำเองแล้ว ยังควักกระเป๋าทำบุญอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก พวกเราอาจจะไม่ได้สังเกต หรือไม่ก็เห็น แต่ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่อาตมาอยู่ข้างใน เห็นอย่างชัดเจน จึงทำให้รู้สึกว่าในเรื่องกำลังใจได้เปรียบกว่าที่อื่นมาก เพราะว่าทุกคนทำงานด้วยใจจริง ๆ หลายต่อหลายวัด ขนาดสั่งยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก เมื่อเดือนที่แล้วมีงานพระราชทานเพลิงหลวงพ่อพระเทพเมธากร ทางเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีแต่งตั้งกรรมการดำเนินงาน ท่านใช้คำว่าคณะสงฆ์วัดท่าขนุน ท่านไม่ตั้งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนะ ท่านเอาทั้งวัดเลย วัดอื่นท่านตั้งเป็นตำแหน่ง ๆ ของวัดท่าขนุนท่านตั้งทั้งวัดเลย แล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถ้าไม่มีพระวัดท่าขนุนอยู่ มีหวังงานเละแน่ ๆ อาตมาส่งพระไปช่วยงาน ๕ รูป บวกกับของทางวัดพุทธบริษัท ซึ่งก็คือวัดท่าขนุนนั่นแหละ อีก ๒ รูป แล้วก็พระครูปลัดปรีชา รองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รวมเป็น ๘ รูป ต้องแบกงานทั้งวัด" |
"พระเณรของทางวัดท่ามะขามไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร ขนาดสั่งงานแล้วยังทิ้งหน้าที่ ถ้าเป็นของวัดท่าขนุนแล้ว หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านค่อนข้างมั่นใจว่างานไม่เสียแน่ ท่านเลยตั้งคณะสงฆ์วัดท่าขนุนเป็นกรรมการ แต่ว่าตอนเก็บกระดูกอาตมาต้องเหมาลงไปอยู่ในโลงเหล็กที่เขาเผา แล้วก็ใช้มือกวาดและกอบเอา ขึ้นมาก็ลายพร้อยไปทั้งตัว มีแต่ขี้เถ้ากระดูกติดมา คนอื่นเขากลัวผี อาตมานี่ถ้าเป็นคนแล้วไม่กลัว ถ้าเป็นผีอาตมาก็ไม่กลัวหรอก ตอนเป็น ๆ ยังไม่กลัวเลย จะไปกลัวอะไรตอนตาย แต่คนมักจะทำใจกันไม่ได้
แล้วก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่คนแปลกใจกันมากว่า หลังจากเผาแล้วทำไมมีลวดอยู่เยอะแยะไปหมด ถามว่าหลวงพ่อท่านโดนไสยศาสตร์หรือเปล่า ? อาตมาบอกว่า "ไอ้บ้า..เอ็งใส่ดอกไม้จันทน์ลงไปเท่าไร ?" ดอกไม้จันทน์มีลวดพันทุกอัน ใส่ไปเป็นพัน ๆ ช่อ ลวดก็เป็นหอบ ถึงเวลาก็เอาลวดขึ้นมาเขย่า ๆ ให้ขี้เถ้าออก แล้วก็โยนลวดทิ้ง แล้วก็กอบเอาขี้เถ้ากระดูกขึ้นมา แต่พอมานึกถึงว่า คน ๆ หนึ่งพอเผาเสร็จก็เหลืออยู่แค่ ๒ พาน แล้ว ๒ พานนี่ก็เป็นถ่านเป็นอะไรเสียเยอะเลย ไปนึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า รูปํ ชีรติ มจฺจานํ รูปคือร่างกายนี้ ถึงเวลาย่อยยับไปได้ นามโคตฺตํ น ชีรติ แต่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไม่ได้ย่อยยับดับสลายไปด้วย ดังนั้น..คนโบราณเขารักชื่อเสียง รักเกียรติ รักวงศ์ตระกูล ก็เลยไม่ค่อยมีใครทำอะไรที่เสียหาย เพราะถ้าเสียก็เสียทั้งตระกูล ดังใน โคลงโลกนิติที่เขาว่า พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี พฤษภคือวัว เดือนพฤษภาคมก็คือเดือนของวัว กาสรคือควาย กุญชรคือช้าง โททนต์คือฟันทั้งคู่ ก็คืองา เสน่งคือเขาสัตว์ ไม่ใช่ “เสน่ห์” ส่วนใหญ่เด็กรุ่นหลังคิดว่าเขาเขียนผิด บางคนเรียก เขนง เสนง หรือเสน่ง นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา คนเราตายแล้วไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ความดีความชั่วเอาไว้เท่านั้น ดังนั้น..คนเราต้องมีหลักการดำเนินชีวิต “อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง” ไม่ใช่อยู่เขาก็หมั่นไส้ ไปเขาก็จุดประทัดไล่ส่ง" |
"สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ หลังจากนั้นไม่นานหลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการามก็มรณภาพ อาตมาเห็นข้อเปรียบเทียบหลายอย่าง งานของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีเจ้าภาพจองสวดตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย บางวันสามสิบสี่สิบราย ถ้าโยมถามว่าเยอะขนาดไหน ? ขนาดที่ว่าอาตมาต้องสวดพระอภิธรรมตั้งแต่ ๐๘.๓๐ น. ถึง ๒๐.๓๐ น. ทุกรายไปถึงก็ต้องไปสวด กุสลา ธัมมาฯ ให้เขา กว่าจะ อนิจจา วะตะ สังขาราฯ กรวดน้ำอะไรเสร็จ ชุดใหม่ก็มาต่อ ถึงต้องผลัดเวรกัน แล้วชุดของอาตมาก็ทำลายสถิติเสมอ วันนี้ ๒๒ ราย งวดต่อไป ๒๕ ราย งวดต่อไป ๓๐ ราย งวดต่อไป ๓๓ ราย เยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขารู้ว่าคาถาเงินล้านมีผลจริง ๆ
คราวนี้หลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อันดับแรกท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ถ้านับตำแหน่งในงานคณะสงฆ์ก็นับว่าสูงสุด เป็นรองแต่สมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นเจ้าคุณพระราชพรหมยาน เป็นชั้นราช ขึ้นมาแค่ ๒ ระดับ ยังมีชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นพรหม กว่าจะถึงสมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค หลวงพ่อวัดท่าซุงจบ ๔ ประโยค แต่หลวงพ่อสมเด็จ ฯ วัดราชผาติการาม มีเจ้าภาพสวดศพเฉพาะเสาร์อาทิตย์ พูดง่าย ๆ คือเก็บครบ ๑๐๐ วัน มีเจ้าภาพเฉพาะเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาไม่มี แล้วญาติโยมที่เป็นฆราวาสแทบจะไม่มีไปเลย มีแต่พระ ในด้านคุณธรรม หลวงพ่อวัดราชผาติการามกับหลวงพ่อวัดท่าซุงท้ายสุดไปพระนิพพานเหมือนกัน แต่เราเห็นความต่างในเรื่องของศรัทธาเลื่อมใสที่ญาติโยมเห็นอย่างชัดเจน รายหนึ่งมีสวดเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ส่วนอีกรายมีเจ้าภาพเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:44 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.