กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4055)

เถรี 28-06-2014 09:09

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : คงต้องวางเฉยอย่างเดียว หรือไม่ก็ท่อง เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา

เทวปุตตมาร จริง ๆ แล้วเป็นเทวดาหรือพรหมนี่แหละ บางทีก็ตั้งใจมาทดสอบเรา บางท่านก็ตั้งใจมาก่อกวนจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็ตาม ถ้าเรามั่นคงอยู่ในศีล ท่านก็เล่นเราได้ยาก

เถรี 28-06-2014 09:10

ถาม : ถามเรื่องการวางกำลังใจ เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนขี้อิจฉา ?
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ คราวนี้เราก็เปลี่ยนใหม่ แทนที่จะอิจฉาเขา ก็ให้คิดว่า เราทำอย่างไรให้ได้อย่างเขา แสดงว่าตอนนี้เราขาดมุทิตาจิต ต้องเน้นในพรหมวิหาร ๔ ยินดีในความดีของคนอื่นเขา และอุเบกขา วางเฉย ไม่ซ้ำเติมใคร แปลว่าสมาธิยังน้อยไป ไม่สามารถที่จะห้ามใจตัวเองได้ ไปเน้นการฝึกสมาธิอีกหน่อย สมาธิน้อยไป กำลังไม่พอ เมื่อกำลังไม่พอ กิเลสก็โผล่มาก่อน

เถรี 28-06-2014 09:23

พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาไปประเทศเนปาลมา พระพุทธศาสนาในเนปาลส่วนใหญ่เป็นมหายาน เพราะว่าสืบสายมาทางทิเบต แล้วเป็นพระพุทธศาสนาที่แปลกมาก คือเขาไม่ต้องมีพระสงฆ์ก็อยู่กันได้ ถึงเวลาญาติโยมก็จะเข้าวัด ไปสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าอยากรู้อะไรก็ไปค้นพระไตรปิฎกมาอ่านกันเอง ดูแล้วยังงง ๆ ว่าเขาทำอย่างไร ? ถ้าเป็นบ้านเรามีหวังได้ตีกันบ้านแตก แล้วที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือวัดพุทธมีแต่คนฮินดูเข้ากันมากมาย

ขณะเดียวกันคนพุทธก็ไปเข้าเทวสถานของฮินดู เหมือนกับว่าเขาไม่รังเกียจว่าจะเป็นศาสนาไหน ขอให้เป็นที่เคารพที่บูชา เขาเข้าหมด ทุก ๓ ก้าว ๕ ก้าว จะต้องมีที่ให้เขาบูชาสักแห่ง แม้กระทั่งตามพื้นตามอะไรเดินไปส่งเดชไม่ได้นะ เดี๋ยวไปเหยียบที่บูชาของเขา เขาขุดดินลงไปเจอหินกลม ๆ ก้อนหนึ่งก็ก่อขอบล้อมไว้ บูชาเป็นศิวลึงค์ เออ..ดูแล้วบ้านเขาใจคนอยู่กับเทวตานุสติตลอด

เขาจะมีที่สักการะที่บูชาของเขาทั่วไปหมด บางทีกลางถนนเลย รถก็แน่นอย่าบอกใคร บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว กลางถนนเลยดันมีเทวาลัยให้คนไปบูชา ไม่ยักโดนรถเหยียบตาย คนของเขาค่อนข้างจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วก็ใจเย็นมาก บีบแตรกันสนั่นหวั่นไหว พวกเราฟังไม่รู้หรอก แต่เขาดันรู้ว่าคันไหนบีบ แล้วบีบเตือนเรื่องอะไรก็ดันรู้อีกด้วย ถึงเวลาถนนบางสายรถวิ่งไปคันเดียวเต็มถนนเลยนะ แล้วดันมีรถสวนมา เขาก็ไปของเขาได้ มีการหยุดรอ มองซ้ายมองขวา อ้อ..ข้างหลังมีที่ว่าง ก็ถอยปรู๊ดไปมุดเข้าซอย อีกคันวิ่งขึ้นหน้าเลยซอย คันนั้นออกมาก็วิ่งต่อ
บางทีก็วิ่งไปกลับรถ รถติดเต็มไปหมด ติดซ้ายติดขวา แต่เขาก็ไปของเขาได้

เถรี 28-06-2014 09:25

ในเมื่อเขาสืบสายมาจากทิเบต การไหว้พระจะมี ๒ อย่าง คือ ยืนไหว้ และกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือกราบแบบองค์ ๘ ไม่ใช่องค์ ๕ อย่างเรา คือกราบราบลงกับพื้นเลย แล้วที่น่าทึ่งคือพวกฝรั่ง ไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ไปนั่งสมาธิกันเป็นวัน ๆ ไปกราบกันเป็นวัน ๆ พวกนี้เขากราบกันทีเป็นพัน ๆ ครั้ง รู้สึกว่าฝรั่งเขาทำอะไรจริงจังกว่าพวกเรา พวกเรากราบเบญจางคประดิษฐ์ยังไม่ค่อยจะครบเลย ส่วนใหญ่แล้วลงไม่ถึงพื้น บางคนก็เอามือแปะ ๆ เท่านั้น ลงไม่ได้เพราะติดพุง ก้มไม่ลง ต้องไหว้อย่างทิเบต ลงไปทั้งตัว เล่นกราบเป็นพัน ๆ ครั้ง รับรองไม่มีพุง ไขมันละลายหมด ตอนเช้า ๆ ก่อนไปทำงาน เขาจะไปเดินสวดมนต์รอบพระสถูปเจดีย์ ๑๐๘ รอบ แล้วก็ไปทำงาน ตอนเย็นกลับมาสวดมนต์อีก ๑๐๘ รอบ แล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าเอาคาถาเงินล้านไปเผยแผ่คงรวยกันทั้งประเทศ

การบูชาพระ การสักการะสถูป เขามีผางประทีป ส่วนใหญ่ก็ทำด้วยเนย มีไส้ เป็นผางประทีปเล็ก ๆ มีผงหอม ไม้หอมต่าง ๆ โดยเฉพาะไม้สน เขาเผาจนกระทั่งพวกเราที่ไม่เคยชิน รู้สึกว่าฉุนมาก แล้วก็มีพวกผงสีต่าง ๆ ผงสีจะใช้สีแดงสีเหลืองเป็นหลัก อันนี้มาจากฮินดูแน่นอน แล้วก็มีข้าวสาร ข้าวโพด ถั่วเขียว ในลักษณะของเมล็ดพืช ซึ่งจริง ๆ ก็คือข้าวปลาอาหารที่เป็นเครื่องให้ชีวิต ซึ่งเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง อย่างที่ในสมัยพุทธกาล ท่านห้ามพระภิกษุจับข้าวเปลือกที่ติดอยู่กับรวง เพราะว่าถ้าหากมีเถยยจิตคิดจะขโมย จะต้องอาบัติปาราชิกไปเลย กลายเป็นว่าเขาถือว่าพวกธัญพืชต่าง ๆ มีข้าว มีถั่ว มีงา อะไรพวกนี้ เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปบูชาพระพุทธเจ้า บูชาเทพกัน ก็เลยเป็นเหตุให้มีนกพิราบอยู่เป็นพัน ๆ ตัวทุกวัดเลย เพราะมีคนเอาอาหารไปให้กินโดยปริยายทุกวัน”

เถรี 28-06-2014 09:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนถึงได้บอกไปว่า พระเราไม่มีฤทธิ์บ้างเลยก็ไม่ดี มีมากไปคนก็ไปติดอยู่ตรงนั้นอีก พวกมาเลเซีย สิงคโปร์ เขามาแล้ว อย่างกับว่าจะให้เราเสกให้เขาสำเร็จเดี๋ยวนั้น โดยไม่คิดจะใช้ความพยายามของตัวเองเลย อาตมาไม่ค่อยอยากจะคบหรอก แต่คนอื่นบอกว่าคบพวกนี้ไว้แหละดี จะสร้างวัดกี่วัดก็ได้เพราะเงินเขาเยอะ คือพวกนี้เขาทำบุญ แบบคิดว่าทำมากได้มาก จะทุ่มเท พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำบุญโดยที่ตัวเองและคนรอบข้างไม่เดือดร้อน ดันมีการแปลงคำสอนเป็นทำมากได้มาก

เถรี 28-06-2014 09:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ไปเทศน์งานทำบุญ ๕๐ วันหลวงพ่อพระเทพเมธากร วัดท่ามะขาม หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านไปเป็นประธาน ท่านประทานผ้าไตรมาชุดหนึ่ง อาตมาก็ดีใจ คราวนี้มีซองปัจจัยมาด้วย ก็ไม่ได้คิดอะไร รับไป กลับไปที่วัด รุ่งขึ้นเปิดออก ช็อก..! ท่านถวายกัณฑ์เทศน์มา ๕ หมื่นบาท ไม่นึกว่าจะได้เยอะอย่างนั้น กลับไปก็ทิ้งไว้เฉย ๆ รุ่งขึ้นจะลงบัญชี แกะออกมา ช็อกไปเลย

แต่คราวนี้ในงานที่เห็นแล้วไม่ชอบใจอย่างหนึ่งก็คือ ประธานฝ่ายฆราวาสใส่รองเท้าเดินลุยอยู่ในศาลา เขาปูพรมอย่างดี ปกติแล้วในเรื่องของศาสนาบ้านเราไม่ค่อยเคร่งครัด ถ้าของพม่าตั้งแต่ประตูวัดเลย ก่อนเข้าเขตวัดต้องถอดรองเท้า บางท่านพูดขำ ๆ ว่า บ้านเราถือดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระ แต่พม่าถือรองเท้าไปไหว้พระ เพราะถอดแล้วบางคนก็เหน็บหลัง บางคนก็ถือไป สถานที่สำคัญ ๆ อย่างพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เขาจะมีถุงพลาสติกให้ ถอดใส่ถุงแล้วหิ้วไป

อีกอย่างก็คือการกราบ ในพิธีต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไปตั้งเก้าอี้กราบให้ ซึ่งไม่ควรจะมี เพราะว่าของเรากราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ กราบกับเก้าอี้ไม่ได้หรอก อย่างเก่งก็แค่หัวเข่าโดนพื้น ๒ ข้าง ข้อศอกกับศีรษะลงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะติดอยู่กับเก้าอี้ ฉะนั้น..เวลาอาตมาไปเป็นประธานในงานไหน เวลากราบจะถอยพ้นเก้าอี้แล้วกราบลงกับพื้น คนทั่ว ๆ ไปก็จะมองแปลก ๆ ว่า ท่านไม่รู้จักกราบกับเก้าอี้หรืออย่างไร ? ให้เขามองไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะถาม แล้วถึงจะบอก อะไรที่ทำแล้วถูกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ให้ทำไว้ก่อน


อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเหมือนกัน ท่านจุดธูปก่อนทุกครั้งแล้วค่อยจุดเทียน อย่างที่เราเรียกกันว่า "จุดธูปเทียน" แต่มาระยะหลังรำคาญโฆษกที่นิมนต์หรือเชิญท่านประธานจุดเทียนธูป การจุดเทียนธูปหมายถึงว่าไม่มีการเตรียมอะไรไว้เลย เราต้องจุดเทียน ตั้งเทียนเสร็จเรียบร้อยถึงจุดธูปได้ แต่ในงานพิธีเขามีการเตรียมไว้ก่อนแล้ว กรุณาจุดธูปเทียนเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็ทำผิดอยู่เรื่อย หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำก็จุดธูปเทียนของท่านให้ดู แต่ไม่มีใครจำเป็นตัวอย่างหรอก ดีไม่ดีไปคิดว่าท่านทำผิดอีกด้วย"

เถรี 28-06-2014 09:29

ถาม : มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : มันไม่ได้ต่าง แต่ว่าสิ่งที่เราทำเหมือนอย่างกับว่า พระรัตนตรัยมาก่อน เพราะว่าธูป ๓ นี่แทนพระรัตนตรัย เทียน ๒ เขาตีความหมายไว้ ๒ อย่าง ก็คือเทียนแทนดวงปัญญาคือพระธรรม อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเทียนหมายถึงแสงสว่าง
หรือดวงตาเห็นธรรม ก็ได้ เรื่องที่ว่านัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี แต่คนสวนใหญ่จะไปมองว่า ในเมื่อเป็นเทียนก็ต้องแทนพระธรรม แต่ความจริงไม่ใช่ เขาไปตีความว่าโลกียธรรม โลกุตรธรรม แต่วัดท่าขนุนบางทีใส่ไป ๔ ต้น ๕ ต้นแล้วจะตีความอย่างไร ยิ่งหลังงานวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีญาติโยมไปจุดธูปเทียนบูชาพระเยอะมาก ถึงเวลาก็ต้องมาจุดที่เหลือให้หมดทีหลัง บางทีอาตมาใส่เป็นราวเลย แล้วอย่างนั้นจะแทนอะไร สำคัญตรงใจเราตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ถ้าตั้งใจบูชาก็ได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอมคือธูป ด้วยแสงสว่างคือเทียน แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า ปฏิบัติบูชาดีที่สุด แต่ถ้าอย่างไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรจะบอกกล่าวเพื่อให้คนเขาจดจำเป็นแบบอย่างกันสืบไป

เถรี 28-06-2014 09:31

"อย่างปัจจุบันงานศพ อาตมาบ่นแล้วบ่นอีก ประเภทถึงเวลาพระท่านจูงสายสิญจน์ โยมก็แย่งกันจูง แถมยังดุพระด้วย ว่าปล่อยสายสิญจน์ยาว ๆ หน่อยไม่พอจูง ต้องบอกเขาว่า ผู้ที่จูงศพ นำศพขึ้นเมรุคือพระเณร ส่วนญาติโยมไปส่งศพ ไม่ต้องไปแย่งพระจูง ให้เดินส่งตามหลังไป คนที่จะเดินนำหน้าได้คือลูกหลานที่จะถือรูปถ่ายกับกระถางธูปเท่านั้น นอกนั้นให้เดินตามหลังโลงไป บอกแล้วบอกอีกกว่าเขาจะรู้กัน มาตอนหลังนี้เริ่มจะดีขึ้น

อีกอย่างคือการแต่งตัวไปงานศพ ปกติแต่โบราณมา ถ้าหากว่าคนตายสูงด้วยวัยวุฒิ คืออายุมากกว่า สูงด้วยคุณวุฒิคือฐานันดรศักดิ์สูงกว่า เราต้องแต่งชุดขาว แต่ปัจจุบันนี้คนตายอายุ ๘๐ คนไปอายุ ๑๐ กว่าขวบแต่งชุดดำ เราจะแต่งชุดดำได้ก็ต่อเมื่อ อายุมากกว่าคนตาย หรือว่ายศศักดิ์ใหญ่กว่าคนตาย"

เถรี 28-06-2014 09:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะดูเรื่องพวกนี้ ต้องดูสำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังยังยึดถือธรรมเนียมโบราณอยู่ อย่างเมื่อล่าสุดงานพระราชทานเพลิงสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะเห็นว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านแต่งดำ เพราะว่าโดยฐานันดรศักดิ์ท่านสูงกว่า แต่คนอื่นที่ฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าต้องแต่งขาว เพราะเป็นการให้เกียรติว่าท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยยศและด้วยอายุ แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอก ตัวเองอายุไม่กี่ขวบ คนตายอายุ ๘๐-๙๐ ตูก็ไปดำปี๋อย่างนั้น

มีในหลวงรัชการที่ ๖ ที่บางงานผู้ตายยศศักดิ์ต่ำกว่า แต่พระองค์ท่านบอกว่ารักและสนิทมาก พระองค์ท่านทรงแต่งขาวให้ อันนั้นถือว่าให้เกียรติกันอย่างสูงเลย เพราะว่าในแผ่นดินจะเอาใครไปยศใหญ่กว่าในหลวงได้
"

เถรี 28-06-2014 09:36

พระอาจารย์กล่าวเมื่อมีผู้ถวายธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทรุ่นใหม่ว่า "ของใหม่ ๆ ออกมาก็ไม่เคยชิน เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็ชินไปเอง บางทีเอาธนบัตรรุ่นเก่าไปแล้วเด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ท่านกอล์ฟเอาแบงก์ ๕๐๐ รุ่นเก่าใบใหญ่ ที่ด้านหลังเป็นเรืออนันตนาคราชไปซื้อของ เด็กวิ่งไปหาผู้จัดการ ผู้จัดการบอกว่า อ๋อ..ธนบัตรรุ่นเก่า ให้ทอนไปตามปกติ เด็กรุ่นใหม่ไม่เคยเห็น ของอาตมามีธนบัตรใบละ ๑๐๐ หยวน ของจีน รุ่นที่มีรูป ดร.ซุนยัดเซ็น ไปซื้อของแล้วคนจีนทอนมาให้แท้ ๆ แต่ร้านอื่นกลับไม่รับ บอกว่าเก่าจนตกรุ่นไปแล้ว พี่จี๋ขอแลกไปเป็นที่ระลึก อาตมาใช้เป็นที่คั่นหนังสืออยู่หลายปี"

เถรี 28-06-2014 09:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "การจัดธูปเทียนแพ ถ้าโดยทั่ว ๆ ไป อย่างพิธีชาวบ้าน เขาจะหันด้านที่เป็นเทียนขึ้นข้างบน กรวยดอกไม้ เทียนแล้วธูปอยู่ข้างล่าง

แต่ถ้าเป็นพิธีหลวง จะหันด้านธูปไม้ระกำขึ้นข้างบน จะเป็นดอกไม้ ธูป เทียน จำให้แม่น ๆ ถ้าเห็นลักษณะนั้น เราจะรู้ว่าเป็นพิธีหลวง หรือพิธีชาวบ้าน เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ต้องการให้ชาวบ้านทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย ถ้าเป็นสมัยก่อนทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย เขาจะถือว่าจัญไรจะกินหัว หรือว่าคิดขบถไปเลย

เรื่องพวกนี้มีหลายต่อหลายอย่าง อย่างเช่นว่า สมัยก่อนห้องส้วมจะอยู่นอกบ้านทั้งหมด ผู้ที่จะมีส้วมอยู่ในห้องนอนได้คือพระเจ้าแผ่นดิน ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครทำตามนั้นถือว่าขบถ มาสมัยนี้ขบถกันทั้งประเทศ"

เถรี 28-06-2014 09:39

พระอาจารย์เล่าว่า "ยายทวดมาอวยพรให้พระเรวัตตะ ตอนนั้นพระเรวัตตะยังเป็นเรวัตตกุมาร อายุ ๗ ขวบ โดนจับแต่งงานแล้ว ยายทวดอายุ ๑๒๐ มาอวยพรให้ บอกว่าขอให้เห็นธรรมที่ยายได้เห็น คืออายุยืนเหมือนยาย พระเรวัตตะเห็นเข้าแล้วใจหายวาบเลย อยู่ไปแล้วผมจะแก่แบบนั้นไหม ? ภรรยาผมก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม ? ยายทวดบอกว่า ถ้าอยู่ถึงก็เป็นแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เอา เด็ก ๗ ขวบมีปัญญามากขนาดนั้น จะว่าไปแล้วถ้าเราดูในเถราปธาน หรือว่าเถรคาถา จะเห็นว่ามีหลายต่อหลายรูป อายุ ๔ ขวบบ้าง ๕ ขวบบ้าง บรรลุอรหันต์ ก็เลยกลายเป็นว่าที่เขาเอาเกณฑ์ ๗ ขวบเพื่อให้มีปัญญาพอที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะว่าเรื่องการบรรลุธรรม ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่มีโอกาส แต่ว่าท่านที่บรรลุตอน ๔ ขวบ ๕ ขวบเป็นบารมีที่สร้างมาเต็มที่เลย เหมือนดอกบัวที่กระทบแสงแดดก็บานเลย

มีคนถามว่าแล้วอายุขนาดไหน จึงจะเหมาะสมที่จะบวชเณร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าหากว่าให้เฝ้าของไว้ แล้วสามารถไล่กาหรือสัตว์ที่จะมากินของได้ ก็บวชได้ ก็แปลว่ารู้ภาษาแล้ว

แต่บ้านเราเดี๋ยวนี้ตัดสินใจยาก ๗-๘ ขวบแล้วแม่ยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย ถ้าอยากนั้นบวชแล้วพระพี่เลี้ยงเหนื่อยแย่"

เถรี 29-06-2014 19:29

พระอาจารย์กล่าวว่า “ของพระราหุลต้องบอกว่าบุญของท่านเอง พระนางพิมพาเห็นพระพุทธเจ้าพาหมู่สงฆ์ออกบิณฑบาต ก็ชี้บอกพระราหุลว่า “มหาสมณะที่เดินนำหมู่ ประดุจดวงอาทิตย์ที่แวดล้อมด้วยหมู่ดาว นั่นก็คือพระราชบิดาของเจ้า ให้เจ้าไปทูลขอราชสมบัติของพระราชบิดา” เพราะว่าตอนพระพุทธเจ้าประสูติ มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ แล้วขุมทรัพย์นั้นเป็นของคู่บุญ ถ้าไม่ใช่พระองค์ท่านแล้วคนอื่นเอาไปไม่ได้

พระราหุลได้ยินแม่สอนดังนั้นก็ย่องตามไป พระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสร็จแล้วกลับวัดไปฉัน ท่านก็ตามไป ด้วยความที่เป็นเด็ก จิตใจยังบริสุทธิ์สะอาด พอเดินเข้าเขตวัดก็รู้สึกเย็น สบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ท่านก็หลุดปากออกมาว่า “โอหนอ..สมณะ ร่มเงาของท่านช่างร่มเย็นจริงหนอ”

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถามว่า "ดูก่อน..ราชกุมาร ท่านมาด้วยเหตุใด ?" พระราหุลก็ทูลว่ามาขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทรัพย์อื่นที่จะยั่งยืนเหมือนอริยทรัพย์นั้นไม่มี ถ้าอยากได้สมบัติของพ่อ ก็ให้บวช" แล้วส่งให้พระสารีบุตรไปบวช พระเจ้าสุทโธนะเสียใจมากว่า พระพุทธเจ้าหนีไปบวชคนหนึ่ง ราชสมบัติไม่มีใครสืบทอด หวังให้พระราหุลที่เป็นหลานสืบทอด ก็มาบวชเสียอีก เลยขอร้องพระพุทธเจ้าไว้ว่า "ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากจะให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรใด ขอให้บิดามารดาอนุญาตก่อน" จึงกลายเป็นธรรมเนียม ถึงเวลาจะบวช พระคู่สวดต้องถามว่า “อนุญฺญาโตสิ มาปิตุหิ” บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือยัง ?"

เถรี 29-06-2014 19:33

"แต่ว่าก็มีตัวอย่างเช่นพระเรวัตตะ แม่ท่านเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่รู้เป็นได้อย่างไร ลูก ๗ คนเป็นพระอรหันต์หมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิ ต่างกันสุดยอด พระสารีบุตรรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วน้องชายคนเล็กต้องออกบวชแน่ จึงสั่งพระท่านเอาไว้ว่า ถ้ามีกุมารชื่อเรวัตตะมาขอบวช แล้วบอกว่าเป็นน้องของผมคืออุปติสสะ ก็ให้ทำการบวชได้ เพราะว่าโยมแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ผมเป็นพี่ชายคนโต ต้องถือว่าผมเป็นผู้ปกครองโดยธรรม ผมเป็นคนอนุญาต

พอพระเรวัตตะหนีการแต่งงาน ไปถึงสำนักสงฆ์ ก็ไปขอบวช พระท่านถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ท่านแจ้งให้ทราบว่าพี่ชายใหญ่ของผมบวชอยู่ที่นี่ชื่ออุปติสสะ พระส่วนใหญ่ท่านรู้จักในนามพระสารีบุตร ถ้าไม่ได้สั่งไว้ก็เรียบร้อย ดีที่สั่งไว้ พอรู้ก็ อ๋อ..จัดการบวชให้ บ้านนั้นก็มีพระสารีบุตรคืออุปติสสะ น้องรองก็คืออุปเสนะ น้องสาวชื่อจาลา อุปจาลา สีสุปจาลา น้องสาว ๓ คนติดกันเลย แล้วก็น้องชายคือจุนทะ น้องคนเล็กชื่อเรวัตตะ ๗ คน เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แม่เป็นมิจฉาทิฐิจนนาทีสุดท้าย
"

เถรี 29-06-2014 19:34

"พระสารีบุตรก่อนนิพพานกลับไปเทศน์โปรด ต้องบอกว่าไปถึงแม่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก แถมยังดุด่าว่ากล่าวอีก ว่ามีสมบัติอยู่มากมายมหาศาลไม่ชอบ ชอบเป็นคนกินเดน สมัยก่อนนี่เขาด่าคำนี้จะแสบมากเลยนะ พระสารีบุตรท่านก็ไม่สนใจ ว่าอะไรก็ว่าไป รับบิณฑบาตได้ก็ฉัน บรรดาพระติดตามก็บ่นว่า "อัศจรรย์จริงหนอ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรของเรา โดนคนด่าว่ากระทบกระเทียบแรงขนาดนั้นยังวางเฉยอยู่ได้" พระสารีบุตรท่านถึงบอกว่า สภาพจิตที่บริสุทธิ์ รับการกระทบจากโลกธรรมแล้วย่อมหาความหวั่นไหวไม่ได้

คราวนี้ก็ไปขอโยมแม่ว่าขอพักในห้องที่ตัวเองเกิด แม่ก็คิดว่าลูกชายใจอ่อนแล้ว อาจจะสึกออกมาครองเรือนทรัพย์สมบัติก็ได้ จริง ๆ แล้ว แม่ก็ลืม ลูกอายุมากขนาดนั้นแล้ว แม่ยังอยู่ได้..สุดยอดจริง ๆ แม่คงลืมว่าลูกแก่ขนาดนั้นแล้ว จะครองสมบัติอยู่ได้สักกี่วัน พระสารีบุตรท่านป่วย ถ่ายเป็นเลือด พระจุนทะก็ต้องนั่งเฝ้า แม่ก็ขยันตามแบบพราหมณ์ที่ดี นั่งสวดมนต์ทั้งคืน

พอยามต้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาเยี่ยม พอท่านมารัศมีสว่างไปถึงอยู่ สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า อยู่ ๆ สว่างขนาดนั้นแล้วได้ยินเสียงพูดคุย แม่ก็ตะโกนถามว่า “จุนทะเอ๊ย..ใครมาหาพี่แก ?” พระจุนทะตอบว่า “อ๋อ..ท้าวมหาราชมาเยี่ยมนะแม่” นางสารีถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า “ใหญ่กว่าเยอะเลยแม่” นางสารีพราหมณีก็คิดว่า "ไม่เป็นไร ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา" ว่าแล้วก็สวดมนต์ต่อ

พอยาม ๒ พระอินทร์มาเยี่ยม เห็นแสงสว่างมาถึงอีก ก็ถามอีก “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แก ?” พระจุนทะก็ตอบ “ อ๋อ..พระอินทร์มาเยี่ยม” นางสารีเลยถามว่า “พี่แกใหญ่กว่าพระอินทร์อีกหรือ ?” พระจุนทะก็บอกว่า "ใหญ่กว่า" นางสารีถือทิฐิ ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่กว่าพระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเรา

พอยาม ๓ ท้าวสหัมบดีพรหมมาเยี่ยม คราวนี้สว่างหนักเข้าไปอีก แม่ก็แปลกใจถามว่า “จุนทะเอ๊ย ใครมาเยี่ยมพี่แกอีก ?” พอบอกว่าท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นอธิบดีของพรหมทั้งหลายมาเยี่ยม แม่ก็แปลกใจ "พี่แกใหญ่กว่าพระพรหมอีกหรือ ?" พระจุนทะบอกว่า "ใหญ่กว่าแม่" นางสารีก็เลยเข้าไปดู เห็นท้าวสหัมบดีพรหมอยู่จริง ๆ
"

เถรี 29-06-2014 19:35

"ตัวเองเป็นพราหมณ์ เคารพพระพรหมเป็นใหญ่มาตลอดชีวิต ไม่เคยได้เห็นตัวจริง เพิ่งจะได้เห็นครั้งนี้ แล้วเห็นพระพรหมผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดด้วย ก็เพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเองมีความดีมากขนาดนั้น จึงกล่าวว่า "ในเมื่อพ่อคุณมีความดีมากขนาดนี้ ทำไมไม่บอกแม่บ้าง ?" คิดว่าบอกไปแล้วจะฟังไหม ...(หัวเราะ)...

พระสารีบุตรก็บอกว่า "เวลามีน้อย แม่อย่าเพิ่งต่อว่าเรื่องอื่น ให้ทำใจให้เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยที่ลูกยึดเป็นที่พึ่ง แล้วตั้งใจฟังธรรม" นางสารีพอฟังธรรม ด้วยความเลื่อมใสอยู่แล้ว ส่งจิตตามธรรมไปก็บรรลุพระโสดาบัน พระสารีบุตรท่านก็หมดลมพอดี คราวนี้แม่บ่นอีก "ทำไมพ่อคุณมาสอนแม่ช้าไป"

แต่ต้องบอกว่าแม่ของพระสารีบุตรท่านรวยจริง สั่งเปิดคลัง สั่งสร้างจิตกาธานด้วยไม้หอม ไม้หอมธรรมดาท่อนหนึ่งก็แพงหูดับแล้ว นี่กองฟอนทั้งหมดสร้างด้วยไม้หอม สร้างอาคารอีก ๕๐๐ หลัง สำหรับรองรับพระภิกษุที่มาร่วมงาน ไม่รู้หมดไปเท่าไร จัดงานอย่างสมเกียรติ พอเผาเสร็จสรรพเรียบร้อย พระจุนทะก็เอาบาตรบรรจุอัฐิที่เหลือ ไปกราบทูล
ให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ"

เถรี 29-06-2014 19:37

"พระสารีบุตรนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๖ เดือน ท่านนิพพานวันลอยกระทงพอดี วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระพุทธเจ้ารับเอาอัฐิมาแล้วสั่งให้ก่อสถูปไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหาร พระโมคคัลลานะก็ปรินิพพานก่อน ตอนช่วงนั้นเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มีใคร พระน้านางก็คือ พระนางปชาบดีโคตมีก็ลาไปนิพพาน

ถามว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปก่อน ไม่คิดห่วงพระพุทธเจ้าเลยหรือ ? ตอบได้ ๒ แบบด้วยกัน คือแบบแรกพระระดับนั้น ท่านปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวาระ ไม่มีความห่วงใยใด ๆ แล้ว

ประการที่ ๒ ท่านตรวจดูแล้วว่าโดยธรรมเนียมแล้ว ระหว่างพระอัครสาวกกับพระพุทธเจ้า ใครนิพพานก่อนกัน แล้วก็ได้คำตอบว่า พระอัครสาวกมีปกตินิพพานก่อน บางคนว่าเหมือนกับชิงตายก่อน กลายเป็นพระพุทธเจ้าต้องจัดงานศพให้

พระพุทธเจ้าจัดงานศพให้พระน้านางได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก เพราะว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นคนแบกแคร่ศพ มีพระอินทร์เดินนำไปที่จิตกาธาน มีพระพรหมพร้อมทั้งหมู่เทวดาและพรหมเดินตามยาวเป็นโยชน์ แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพร้อมกับหมู่ภิกษุสงฆ์ คิดว่าคงไม่มีงานศพใครในประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ก็คงลักษณะคล้าย ๆ กับสมเด็จพระสังฆราชจัดงานศพให้แม่ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ยังไม่มีพระสังฆราชองค์ใดเหลือโยมแม่ให้จัดงานศพ ส่วนใหญ่โยมแม่ไปก่อนที่ลูกจะเป็นพระสังฆราช"

เถรี 29-06-2014 19:38

ถาม : ไปสัมภาษณ์งานมา เขาเรียกไปเริ่มงานเมื่อไรคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช่เจ้าของบริษัทนี่ถึงจะบอกได้ ฮ่วย..! ถามผิดที่แล้ว ถ้าถามว่าเขาจะเรียกสัมภาษณ์อย่างไรถึงจะได้งานก็พอบอกได้ ถามว่าเรียกวันไหนใครจะบอกได้ รอไปก่อนก็แล้วกัน

เถรี 29-06-2014 19:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทวดาจัดเป็นเทวตานุสติในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีคนเคารพบูชาเมื่อไร พระอินทร์หรือท้าวสหัมบดีพรหมก็จะหาตัวผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงมารับตำแหน่งนั้น ถ้าพูดกันแบบขำ ๆ ก็คือฮินดูตั้งเทวดาได้ คือต้องหาคนมาสวมตำแหน่ง แต่ว่างวดนี้ที่ไปเนปาลเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ปกติจะเจอแต่เจ้าพ่อหลักเมือง แต่เนปาลเป็นเจ้าแม่หลัก ถ้าในเขตนั้นถ้าใครบูชาเจ้าแม่อุมาเทวี ไภรวเทวี พระสุรัสวดี พระลักษมี แกรับหมด เหมาคนเดียวเลย ชื่อจริงชื่อนภิสราเทวี ชื่อก็เพราะ สวยมากอีกด้วย แต่หลอกต้มอาตมาหัวทิ่มหัวตำ เขาบอกว่าผู้หญิงคบไม่ได้ ยิ่งสวย ๆ แบบนี้คบยากใหญ่ อาตมาไม่ค่อยรอบคอบ เพราะเป็นคนซื่อ บอกอะไรก็เชื่อแค่นั้น ใครจะไปรู้ว่าแม่เจ้าพระคุณลื่นยิ่งกว่าปลาไหลแช่น้ำมัน..!

ส่วนเจ้าพ่อหลักเมืองที่มาเลเซีย เป็นอินทกะของท้าววิรูปักษ์ ท่านชื่อนาคเทวราช (อ่านว่านาคะ) แต่ท่านแต่งตัวราวกับงิ้วมา ถามว่าทำไมแต่งตัวอย่างนี้ ? ท่านบอกว่า ที่มาเลเซีย คนตั้งศาลหลักเมืองเป็นคนจีน เมื่อคนจีนเป็นคนทำพิธีเชิญ ท่านเองพอรู้ธรรมเนียมจีนก็เลยได้รับคำสั่งให้มาดูแลตรงนั้น ท่านเลยแต่งตัวราวกับนักรบจีนของงิ้ว ถือง้าวอันเบ่อเริ่ม ถ้าท่านหนวดยาวสัก ๓ ศอกแล้วหน้าแดงหน่อย อาตมาคงคิดว่าเป็นกวนอู แต่เผอิญว่าท่านหล่อมาก"

เถรี 29-06-2014 19:41

ถาม : แล้วบรรดาพระโพธิสัตว์องค์ต่าง ๆ ของมหายานท่านมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ตัวตนท่านมีเยอะ จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน เพราะว่าท่านถือเป็นเรื่องที่เนิ่นช้า แต่พอคนรุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่สมัยพระนาคารชุน ไปพบเห็นเข้าเกิดชอบใจแล้วไปเผยแผ่ เกิดเป็นสายมหายานขึ้นมา ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งระยะเวลานานมากกว่าที่จะได้บรรลุ พระพุทธเจ้าท่านหวังประโยชน์ในปัจจุบันของเรา ประโยชน์ในอนาคตคือตายแล้วจะเป็นอย่างไร และประโยชน์สูงสุดคือบรรลุธรรม

แต่คราวนี้การเป็นพระโพธิสัตว์จัดอยู่ในธรรมอันเนิ่นช้า เพราะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ของเจ้าแม่กวนอิมท่านไปแล้ว แต่ว่าเขายังนับถืออยู่ก็มีคนทำหน้าที่แทน จริง ๆ ก็คือพระอรหันต์ อย่างอุ้ยท้อ คือองคุลีมาล ส่วนใหญ่ฟังคนจีนเขาสวดมนต์จะได้ยินเสียงเพี้ยน ๆ ฉะนั้น..ชื่อพระอรหันต์ก็จะเพี้ยนไปหมด

ไปอ่านชื่อพระอรหันต์ในภาษาจีนแล้วกลุ้มใจ บางทีทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่ ยังไม่รู้เลยว่าองค์นี้คือใคร พระราหุลเป็นราหู่ล้อ มาจากบาลีว่าราหุละ พระอานนท์เป็นอานันท้อ พระปิณโฑลภารทวาชเป็นปิงโทล่อ คนจีนจะดัดแปลงชื่อเป็นภาษาจีนหมด สินค้าจากต่างประเทศจะมีชื่อดังขนาดไหน ไปเมืองจีนจะมีชื่อจีนหมด

เถรี 29-06-2014 19:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหายานเขารุ่งเรืองแล้ว ตั้งแต่สมัยพระนาคารชุนมา พอรุ่งเรืองขึ้นมาโดยเฉพาะท่านมีความสามารถมากประเภทแสดงอภิญญา ขึ้นฟ้าลงดินกันเป็นปกติ คนก็เลื่อมใสกันมาก พอมีการตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทาขึ้นมาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็มีคนนับถือไปศึกษากันมาก โดยเฉพาะรุ่นถัด ๆ มาไม่ว่าจะเป็นท่านวสุพันธุ ท่านอสังคะ ท่านอัศวโฆส แต่ละคนสุดยอดปฏิภาณทั้งนั้น ทำให้ทางด้านมหายานรุ่งเรืองเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะพระเจ้ากนิษกมหาราชให้การสนับสนุนด้วย พระเจ้ากนิษกะที่เป็นผู้ที่สนับสนุนการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕ แล้วมีการจารึกเป็นภาษาสันสกฤตลงในแผ่นทอง ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ต้องใช้ทองตั้งเท่าไร ? หลังจากนั้นก็ส่งธรรมทูตออกไปเผยแผ่ยังดินแดนต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นพระถังซัมจั๋ง หรือหลวงจีนฟาเหียน ก็ไปศึกษาที่นาลันทา ท่านเหล่านี้เสียสละมาก จากที่ไม่รู้อะไรเลย ต้องไปเรียนจนรู้ภาษาของเขา พอรู้ภาษาของเขาแล้ว ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎกจนแปลเป็นภาษาจีนได้ ไปกันที ๒๐ ปี ๓๐ ปี สมมติว่าตอนไป ๓๐ กลับก็ ๕๐ แล้วเดินทางไกลขนาดนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่ามีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างมหาศาล
"

เถรี 29-06-2014 19:48

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พระพุทธโฆสาจารย์จนป่านนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นคนอินเดีย ถ้าอินเดียก็ยังมีอินเดียตอนเหนือ อินเดียตอนใต้ บางเสียงก็ยังบอกว่าเป็นคนมอญ เขมรก็บอกว่าเป็นคนเขมร เขมรเขามีหลักฐานน้อยมาก มีแค่วิหารหลังหนึ่งที่เป็นของเก่าชื่อวิหารพระพุทธโฆสาจารย์ แต่พม่าเขาเขียนประวัติพร้อมสถานที่เกิดเสร็จสรรพ ขณะที่อินเดียก็เองยังตกลงกันไม่ได้ว่าท่านเกิดอินเดียตอนเหนือหรืออินเดียตอนใต้ ถ้าอินเดียตอนเหนือจะเป็นพวกอารยัน ถ้าเกิดอินเดียตอนใต้จะเป็นพวกมิลักขะ ถ้าเป็นมิลักขะคนจะเสื่อมความนับถือไปเลย เพราะถือว่าส่วนใหญ่เป็นพวกวรรณะต่ำ

ในส่วนของพวกวรรณะ ยังมีการแบ่งแยกกันอีก อย่างเช่นว่าชูชกเป็นพราหมณ์ก็จริง แต่เป็นขอทาน วรรณะเขาแบ่งกันแล้วแบ่งกันอีก เขาบอกว่าต้องฟังดูว่าเป็นคนตระกูลไหน พอได้ยินว่าเป็นคนตระกูลไหนแล้วถึงจะรู้ว่าอยู่วรรณะไหน ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล ไปเรียนที่อินเดีย ไม่มีคนรังเกียจ ท่านถามว่า "โกนหัวห่มเหลืองเหมือนกัน ทำไมไม่มีคนรังเกียจ ?" อ๋อ..คุณเป็นวรรณะแพศย์ พวกพ่อค้า เพราะนามสกุลของท่าน วณิชย์กุลคือตระกูลพ่อค้า พอฟังแล้วเขาแปลออกเลย แปลกดีเหมือนกัน คนอื่นไปเป็นพระเหมือนกัน เขากลับรังเกียจ

เถรี 30-06-2014 08:45

ถาม : ถามเรื่องการประกอบอาชีพที่ผิดศีล ๕ (ไม่ชัด)
ตอบ : คนที่ไม่เข้าใจ จะคิดว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดการฆ่า ฉะนั้น..ผู้ที่เป็นพุทธมามกะ ไม่ควรทำอาชีพเหล่านี้ มี ขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่มีชีวิต แค่ขายเนื้อก็เจ๊งแล้ว เพราะน้อยคนที่จะสามารถตัดกำลังใจของตัวเองได้ ถ้าตัดกำลังใจตัวเองได้อย่างภรรยาของพรานกุกกุฏมิตรก็จบ ตัดกำลังใจตัวเองไม่ได้ไม่พอ ยังไปว่าคนอื่นเขาอีก เป็นการสร้างกรรมเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงห้ามไปเลย

เถรี 30-06-2014 08:47

พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ไปเนปาลนั่น วัดที่ลุมพินีอาตมาไม่ได้ไปถึง ที่ลุมพินีน่าจะเป็นวัดมหานิกาย เพราะว่าเจ้าคุณวีรยุทธเป็นพระมหานิกาย แต่ว่าที่ภักตรปุระ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านไปเริ่มไว้ เลยเป็นวัดธรรมยุต พระที่นั่นมาบวชมาเรียนที่วัดบวรฯ จนพูดไทยได้ชัดเลย ท่านชื่อวิปัสสี ตระกูลศากยะ เป็นตระกูลเดียวกับท่านเจ้าคุณอนิลมาน ท่านทำวัดให้เจริญดี วัดมีเนื้อที่แค่ครึ่งไร่กว่า ๆ ท่านจะซื้อเพิ่มอีกครึ่งไร่ ต้องใช้เงินตั้ง ๔ ล้านบาทไทย เลยแจ้งท่านไปว่าจะเอากฐินปลดหนี้ไปทอดให้ท่านซื้อที่ คราวนี้ท่านยังไม่ได้ตอบเมล์มา เลยไม่รู้ว่าท่านจะตอบหรือไม่ตอบ หรือป่านนี้ยังไม่ได้ดูเมล์ ท่านส่งพระเณรมาเรียนในเมืองไทย ๑๒๖ รูป ที่วัดยังมีพระอีก ๕ สามเณรอีก ๓๖ สามเณรกำลังหัดเรียนภาษาอยู่

คราวนี้กฐินที่นั่นน่ากลัว เพราะช่วงกฐินอากาศที่นั่นหนาวติดลบ ช่วงพฤศจิกายน ธันวาคม จะติดลบเลย ความจริงอาตมาไม่รู้จักวัดท่านหรอก เดินเปะปะ ๆ ไปเที่ยวดูบ้านดูเมือง แล้วมีสามเณร ๒ รูป กำลังย่อง ๆ กลับจากตลาด ก็เลยแปลกใจ มองไปข้างหน้าเห็นพระสีวลีแบบไทยชัดเลย คิดว่าต้องเป็นวัดไทยแน่ จึงตามไปดู

ปรากฏว่าเณรไปแล้วเข้าวัดไม่ได้ ต้องปีน เณรหนีเที่ยว เลยไปบอกท่านวิปัสสีเจ้าอาวาสว่า ผมตามเณรมา ท่านหัวเราะ บอกว่าจับได้แล้วว่าใครหนีเที่ยว ท่านบอกว่าวันนี้เพิ่งแจกเงินเณร พอมีเงินเลยเข้าตลาด คือที่โน่นรับเงินมาแล้วจะรวมเป็นกองกลาง ไม่เอาเป็นส่วนตัว แล้วจะแจกในวาระที่สมควร ปรากฏว่าวันนั้นเงินเดือนออก เณรหนีเที่ยว ถ้าเณรไม่หนีเที่ยวก็ไม่เจอกันหรอก"

เถรี 30-06-2014 08:49

พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว อาการเป็นเหน็บจะไม่มีเลย ลุกขึ้นเดินได้เลย ช่วงที่ไปปฏิบัติแล้วส่งอารมณ์กับบรรดาวิปัสสนาจารย์สายพองยุบ เขาจะเน้นเรื่องเวทนา พออาตมาบอกว่าไม่มีเวทนาท่านไม่เชื่อนะ ท่านอาจารย์ประเสริฐ สุมงฺคโล จากวัดเพลงวิปัสสนา ซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านพองยุบ พอบอกว่าไม่มีเวทนา ท่านว่าเป็นไปไม่ได้หรอก คุณนั่งเดี๋ยวนี้เลย นั่งต่อหน้าผมเลย อาตมาก็นั่งให้ดู เวลาประมาณ ๔๕ นาทีท่านก็เรียก พอลืมตาท่านก็สั่งให้เดินเดี๋ยวนั้น อาตมาก็ลุกเดินให้ดู จนในที่สุดท่านก็ครางอ่อย ๆ ว่า "เออ..เรื่องของสมาธินี่ระงับเวทนาได้จริง ๆ ด้วย"

ขอยืนยันเพราะว่าสมัยก่อนอาตมานั่งที ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ถ้าสมาธิทรงตัว ลุกขึ้นก็เดินได้เลย เหมือนกับว่าถ้าสมาธิทรงตัว ลมละเอียดจะเดินถึงกันหมด จึงไม่เป็นเหน็บ แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว อื้อหือม์..เหน็บกินอร่อยเหาะ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่แน่เหมือนกัน สภาพร่างกายอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แต่ขอยืนยันว่าถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย พอถึงเวลาความรู้สึกกลับมา ก็จะค่อย ๆ กระจายไปยังปลายมือปลายเท้า พอความรู้สึกกระจายไปจนทั่วถึงแล้ว ก็จะถามตัวเองว่าพร้อมที่จะลุกหรือยัง ? ถ้าพร้อมแล้วลืมตา ขยับมือ ขยับขา จะบอกตัวเองทีละขั้น ๆ เหมือนกับหุ่นยนต์ เรารู้สึกว่าช้าจนเป็นขั้น ๆ แต่ความจริงเร็วมาก พอพร้อมทุกอย่าง เราก็ลุกได้เลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เถรี 30-06-2014 08:51

ถาม : เรื่องการเข้าสมาธิในระดับต่าง ๆ (ไม่ชัด)
ตอบ : นึกจะตรงไปฌานไหนก็ได้ จะนึกโดดหกคะเมนตีลังกาไประดับไหนก็ได้ ถ้าคล่องแล้ว ไม่ต้องไปตามขั้น แต่ถ้าคนที่ไม่ชำนาญ ใหม่ ๆ จากระดับฌานสูงเช่น ฌาน ๔ ลดฮวบลงมาเหลืออุปจารสมาธิ หัวใจจะเต้นเร็วมากจนร่างกายรับแทบไม่ไหว ที่ต้องเร่งระดับการเต้นเร็วมาก เพื่อบังคับให้ร่างกายทำงานได้ ถ้าใครมีประสบการณ์อย่างนี้ให้รู้ว่า เป็นเพราะเราถอนสมาธิเร็วเกินไป

เถรี 30-06-2014 08:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปนั่งรถไฟความเร็วสูงแล้วประทับใจ นอกจากปลอดภัยแล้วยังนิ่มมากอีกด้วย จากเซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่ง ๑,๕๐๐ กว่ากิโลเมตร ถึงตรงเวลาเป๊ะตามหน้าตั๋วเลย ที่ทึ่งมากก็คือเร่งความเร็วจาก ๐ ถึง ๓๐๐ กว่า เราไม่รู้สึกเลย ไม่มีประเภทกระชากหลังติดเบาะ ไปนิ่ง ๆ อยู่ ๆ สงสัยว่าทำไมฝรั่งหันกล้องมาถ่ายรูปกันใหญ่ อาตมานั่งอยู่ตั้งนานไม่ถ่าย ปรากฏว่าตัวเลขบอกความเร็วอยู่บนหัวพอดี นึกว่าทำไมเขาเพิ่งเห็นอาตมาเป็นดาราหน้ากล้อง ตอนแรกว่าจะไปเครื่องบิน โยมเขาบอกว่า ถ้าอยากควบคุมเวลาได้ให้ไปรถไฟ ก็งง ๆ อยู่ มารู้ตอนหลังว่าเครื่องบินประเทศจีนลงผิดเวลาเป็นปกติ"

เถรี 30-06-2014 08:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วเวลาท่านอาจารย์บางท่านขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโต มักจะไม่มีเวลาทำผลงานทางวิชาการ เลยไม่ได้ขยับ ลูกน้องแซงไปหมด ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพลบอกว่า ปีนี้ต้องกัดฟันทำผลงานทางวิชาการให้ได้ ไม่อย่างนั้นลูกน้องแซงไปหมดแล้ว ขนาดท่านอาจารย์หรรษาเพิ่งอายุ ๔๐ กว่าขอศาสตราจารย์แล้ว ท่านอาจารย์หรรษาต้องบอกว่ามนุษย์มหัศจรรย์ ท่านเขียนบทความทางวิชาการคืนละเรื่อง จริง ๆ นะ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ตอนนี้เป็น รศ. อายุตอนนี้ ๔๐ ปีเศษ ขอศาสตราจารย์แล้ว

คิดว่าผ่านด้วย เพราะผลงานของท่านท่วมโลกเลย อาตมามั่นใจว่าท่านอายุไม่ยืนหรอก เพราะเร่งตัวเองมากเกินไป เดี๋ยวเชื้อเพลิงหมด แต่ว่าท่านสอนประทับใจมาก พอเข้าห้องก็ เอ้า..ทุกคนนั่งสมาธิก่อน ๑๕ นาที ลูกศิษย์นั่งไม่นั่งไม่ว่า ท่านอาจารย์ไปก่อนแล้ว นั่งเงียบเลย

ท่านสอน ๙ ชั่วโมงจาก ๘ โมงครึ่งถึง ๑๑ โมงครึ่ง แล้วก็บ่ายโมงถึง ๖ โมงเย็น พอชั่วโมงท้าย ๆ เหลืออาตมานั่งดวลเดี่ยวกับท่านอาจารย์อยู่ ๒ คน เพื่อน ๆ เผ่นกันหมดแล้ว แต่บางวันสุขภาพของอาตมาไม่ไหว พอถึง ๕ โมงเย็นต้องขอร้อง "ท่านอาจารย์พอเถอะครับ สมองผมไม่ไหว ไม่รับอะไรแล้ว" เพื่อน ๆ เขาไว้วางใจ มีแฟล็ชไดรฟ์กองเบ่อเร่อวางเอาไว้ข้างอาตมา บอกว่า "สรุปเสร็จขอจุ๊บหน่อยนะครับ" แล้วพวกท่านก็ไปนั่งกินกาแฟ เพราะนิสัยต่างกัน นิสัยของอาตมาเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องสอนเขาได้ ของเพื่อนเขาเรียนเอาแค่จบ"

เถรี 30-06-2014 13:28

พระอาจารย์เล่าว่า “ตอนนี้แม่ชีพิมพ์วรารอใจจดใจจ่อ รอคณะนิสิตที่ มจร.จะไปศรีลังกาวันที่ ๒๖ มิถุนายนนี้ อาตมาเตรียมของฝากให้ไปเพียบเลย โดยเฉพาะของกิน ที่ศรีลังกาเขากินเพื่ออยู่จริง ๆ มะพร้าวขูดแบบบ้านเรา ผัดกับเครื่องแกงแล้วคลุกข้าวกิน แม่ชีแกกินจนเซ็งแล้ว ขอปลากระป๋อง ขอน้ำพริก ขอปลาร้า ให้ยุ่งไปหมด ตอนนี้ไปเรียนภาษาอยู่เพราะว่ายังอ่านบาลีโรมันไม่ออก อาจารย์เขาถามว่าจบปริญญาตรีมาได้อย่างไร อ่านบาลีโรมันไม่ออก ก็เลยบอกว่า ของแม่ชีเรียนปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยข้างนอก ไม่ใช่มหาวิทยาลัยพระอย่าง มจร. แล้วเรียนปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา เน้นการปฏิบัติอย่างเดียว เลยไม่ได้เรียนบาลีโรมัน อาจารย์จึงผ่อนผันให้ ตอนนี้ถ้าหากว่ากลับมาคงได้หลายภาษา คงได้สับสนกับชีวิตบ้าง พอใช้หลาย ๆ ภาษาบางทีอาตมาเองก็สับสนเหมือนกัน ต้องตั้งสติว่าตอนนี้อยู่ประเทศไหน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวลืม

เคยฟังแขกพูดภาษาอังกฤษหรือเปล่า ? ฟังยากอย่าบอกใคร โชคดีที่อาจารย์ของ มจร.ส่วนใหญ่จบมาจากอินเดีย แล้วตอนเรียนที่สถาบันภาษา อาจารย์ท่านก็เปิดแต่หนังอินเดียให้ดู ทำให้อาตมาฟังจนกระทั่งชิน ไปเนปาลก็เลยสบาย ไม่อย่างนั้นแล้วฟังไม่รู้เรื่อง คือสำเนียงแปลกมากเลย แต่ชอบใจอยู่อย่าง คือเขากล้าสื่อสารกล้าพูด ไม่อาย พูดถูกพูดผิดพูดไว้ก่อน เข้าใจให้ได้ก็แล้วกัน

พวกเราส่วนใหญ่เก่งแต่ตัวหนังสือ พอไปพูดจริง ๆ มักจะใบ้รับประทาน เพราะฟังไม่ทัน ถึงฟังทันก็มัวแต่คิดเป็นภาษาไทย แปลกลับเป็นภาษาอังกฤษก็จะช้าไปใหญ่ ห้ามคิดเป็นภาษาไทย ต้องคิดเป็นภาษาของเขาเลย

เถรี 30-06-2014 13:29

ถาม : มีโยมกล่าวถึงหลวงปู่ไดโนเสาร์ ?
ตอบ : เขาเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์ ไม่ใช่ว่าท่านหัวโบราณ ไม่ใช่ว่าท่านอายุยาวนาน แต่ท่านอยู่วัดภูกุ้มข้าว ที่เป็นแหล่งไดโนเสาร์ เลยเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์ พระนักปฏิบัติของแท้ต้องอย่างนั้น ใครถามปัญหานอกทุ่งนอกท่าโดนอัดหมด..!

เถรี 30-06-2014 13:30

พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาอาจารย์ของ มจร. ท่านยิ่งแซวอาตมาอยู่ ท่านว่าอาตมาไม่เล่นเฟซบุ๊กแต่มีรูปลงเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก วันก่อนเจอท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ ท่านเพิ่งจบ ดร.ปีที่แล้ว เจอหน้าท่านยังแซว โอ้..อาจารย์พระครูเล็ก ถึงแม้ว่าเราจะนาน ๆ เจอหน้ากันจริง ๆ แต่ผมเจอหน้าอาจารย์ในเฟซบุ๊กทุกวัน ใครเอาไปลงเยอะแยะขนาดนั้นก็ไม่รู้ ?"

เถรี 30-06-2014 13:31

ถาม : เรื่องการจับกสิณไฟ (ไม่ชัด)
ตอบ : การดูไฟของเตโชกสิณให้จับลักษณะของดวงไฟ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของสี ไม่ต้องไปดูว่าเป็นสีอะไร ไม่ต้องไปดูว่าสั่นไหวแบบไหน ไม่ต้องไปดูว่าข้างนอกสีออกแดง ข้างในสีส้ม ตรงกลาง ๆ เป็นสีฟ้า ๆ ให้สนใจแค่ว่าเปลวไฟเป็นลักษณะอย่างไหนก็พอ

ระหว่างที่ฝึกอยู่ ต้องจุดเทียนไว้ตลอดเวลา ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงภาพเปลวไฟนั้น ถ้าหากว่าภาพหายไป ก็ลืมตามองใหม่ หลับตาลงนึกถึง ไม่ใช่ไปจ้องนาน ๆ ลืมตามองแค่พอจำได้ว่าเป็นอย่างไร แล้วหลับตานึกถึง ภาพก็จะติดตาติดใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็จะหายไป ให้ลืมตามองใหม่ หลับตานึกถึง พร้อมกับภาวนาควบลมหายใจว่าเตโชกสิณัง ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น จะหลับจะตื่นก็เห็นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องใช้ไฟอีก

เถรี 30-06-2014 13:32

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : การฝึกของเราทั้งหมดที่ว่ามา เหมือนกับเราก้าวไปหาของเก่า แต่การที่เราไปหาของเก่า ก็อย่าทิ้งของเดิม ก่อนจะเริ่มต้นใหม่ต้องทวนของเก่าก่อนทุกครั้ง กสิณเคยผ่านมากี่กอง ต้องทวนให้หมดแล้วถึงไปเริ่มของใหม่ อย่างเช่นว่าเราเคยผ่านวาโยกสิณ ผ่านอากาสกสิณ ผ่านอาโลกกสิณ ให้ย้อนทวนต้นก่อนทุกกอง อย่างเช่นว่าย้อนทวนแล้วเป็นแก้วใส ค่อยย้ายกองใหม่ ต้องย้อนทวนของเก่าทุกครั้ง แล้วเสร็จแล้วค่อยขยับไปฝึกของใหม่

ทุกครั้งที่จะฝึก ให้เริ่มด้วยการทบทวนศีลของเรา จะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตาม ให้ทบทวนจนมั่นใจว่าศีลของเราบริสุทธิ์แน่นอน ถ้าหากว่าเราตายลงไปตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว เอาพระนิพพานขึ้นหน้าไว้ก่อน ในเมื่อทบทวนจนเสร็จแล้ว ถึงเวลาจะพักผ่อน ให้ตั้งใจว่าถ้าเรานอนลงแล้วตายไปเลย ไม่ตื่นขึ้นมาใหม่ก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วเอาใจเกาะพระภาวนาให้หลับไป ไม่อย่างนั้นจะพลาดได้

เถรี 30-06-2014 13:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนการฝึกทิพโสต อันดับแรก เมื่อใจนิ่งสงบพอแล้ว ให้ตั้งใจฟังเสียงที่อยู่รอบ ๆ ข้างของเรา จะเป็นเสียงดัง เสียงเบาอะไรก็ตาม ฟังจนรู้สึกว่าชัดเจนทุกเสียง แล้วค่อยขยายวงให้กว้างออกไป อย่างเช่นว่าเราฟังอยู่ในห้อง ให้ได้ยินทุกเสียงที่ต้องการ ไม่ว่าเสียงพัดลม เสียงยุงบิน เสียงจิ้งจกร้อง เป็นต้น แล้วขยายวงให้เสียงออกไปห้องอื่น ออกไปทั้งบ้าน ออกไปทั่วขอบรั้ว ออกไปนอกรั้ว ทีละน้อย ๆ จนเราได้ยินเสียงชัดเจนหมด แล้วขยายออกไปทีละน้อย จนกระทั่งสามารถกว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด ค่อย ๆ ไล่ไปทีละขั้นตอนอย่าใจร้อน แต่ถ้าฝึกวิธีนี้ต่อไปจะรำคาญ ถึงเวลาใครบ่นก็ได้ยินหมด

อย่าลืมว่าขึ้นต้นด้วยการทบทวนศีลของเราทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วทบทวนกรรมฐานเก่าทุกกองที่เรามั่นใจว่าได้แล้ว ถ้าทดลองอธิษฐานใช้ผลได้ยิ่งดี คือทันทีที่เรากำหนดเป็นแก้วใสได้ ให้กำหนดกสิณกองนั้น ๆ ให้ขยายใหญ่ได้ ให้เล็กลงได้ ให้มาได้ ให้หายไปได้ แล้วลองอธิษฐานใช้ผลดู ถ้าหากว่าใช้ได้คล่องตัวแล้ว ค่อยขยับไปกองใหม่ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับว่า เราจับแพะชนแกะไปเรื่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี กลายเป็นเหนื่อยเปล่า"

เถรี 30-06-2014 13:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "การฝึกกสิณต้องใช้ให้ได้ผลก่อน ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ยังไม่ถือว่าได้จริง อย่างถ้าเราใช้วาโยกสิณ เราอยู่ตรงนี้ตั้งใจว่าเราจะไปบ้าน กำหนดจิตเข้าสมาธิตั้งใจอธิษฐานว่าเราจะไปบ้าน คลายสมาธิออกมาอธิษฐานใหม่ แล้วตัวเราไปอยู่ที่บ้านเลย นั่นคือใช้วาโยกสิณได้ผล

อย่าลืมเริ่มต้นด้วยการทวนศีลแล้วเกาะพระนิพพานไว้ก่อน เพราะสภาพจิตเรามีการจำ เกิดผิดพลาดหมดอายุขัยตายลงไป เราก็ไปจุดที่เราต้องการ พอเลิกฝึกค่อยเอาใจเกาะพระนิพพานใหม่ พักผ่อนจับภาพพระของเรา พูดง่าย ๆ ว่านอนอยู่กับพระ หลับอยู่กับพระนิพพาน"

เถรี 30-06-2014 13:44

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พอภาพไฟเป็นดวงแก้วก็ให้อธิษฐาน ขอให้เกิดแสงไฟขึ้นในบ้านก็ได้ หรือถ้าไม่มีอะไร มีอะไรก็ขอให้ติดไฟขึ้นมาก็ได้ เปลวไฟที่เกิดขึ้นเราบังคับได้ทุกอย่าง ต้องการให้ติดอยู่ที่ไหน ให้ทำอันตรายหรือไม่ทำอันตรายสิ่งใด จะเป็นไปตามความต้องการของเราทั้งหมด ฉะนั้น..ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้ ใช้กสิณไฟเป็นหลัก ไม่ต้องเปลืองค่าไฟดี ถ้ายังไม่สามารถทำได้ ยังไม่ถือว่าสำเร็จกสิณ จับเฉพาะกองจนกว่าเราจะอธิษฐานใช้ผลได้จริง ๆ พอเราอธิษฐานใช้ผลได้แล้ว ค่อยเปลี่ยนกองถัดไป ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนเราโดนหลอกให้หลงทาง ทำอันนี้ แล้วทำอันโน้น ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตลอด ไม่ได้จริงสักอันหนึ่ง ถ้าตายก่อนก็เสียท่า

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นก็ปิดห้อง เพราะคนที่ไม่เข้าใจจะหาว่าเราบ้า บอกท่านว่าขอทีละอย่าง ขอทีละอย่างให้ได้จริง ๆ ก่อน ไม่อย่างนั้นครูเยอะเกินไปต่างคนต่างสอน ลูกศิษย์ก็ตายพอดี

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ฝึกกสิณก่อน พอได้กสิณตามที่ต้องการแล้ว ต่อไปเราก็ใช้คำภาวนาของท่านให้เป็นปกติไปเลย การฝึกกสิณ เวลาทั้งวันและทั้งคืน ต้องประคับประคองให้อยู่กับนิมิตและคำภาวนานั้น ๆ จนกว่าจะได้อย่างแท้จริงแล้ว ชนิดนึกเมื่อไรก็ปรากฏเมื่อนั้น อธิษฐานใช้ผลเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ถึงจะเรียกว่าได้ผลจริง ๆ การฝึกกสิณจะยากแค่กองแรกเท่านั้น ถ้ากองแรกได้แล้ว กองอื่นง่ายเพราะว่าใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนกองเท่านั้น ถ้ากองแรกได้แล้ว กองอื่นไม่เกิน ๗ วันก็ได้หมด แล้วหลังจากนั้นค่อยไปยึด อิติสุคโต ตามที่ท่านบอก

ถาม : หากเกิดนิมิตบอกให้ทำสิ่งต่าง ๆ ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ทำให้ตัวเองมีความสามารถที่แท้จริงก่อน พอเราทำทุกอย่างได้แล้ว หลังจากนั้นเราจะรู้เองว่าควรจะทำอะไร ควรจะช่วยใคร ตอนนี้อย่าเพิ่งไปฟุ้งซ่านกับเรื่องอื่น จะทำให้เสียผลการปฏิบัติ

เถรี 30-06-2014 13:52

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : การปฏิบัติของเราจะอยู่ลักษณะกด รัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ คราวนี้กดไปนาน ๆ ถ้าเราพิจารณาตัดไม่เป็น ถึงเวลาจะเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด บางคนสะกิดหน่อยเดียวโกรธเขาเป็นวรรคเป็นเวรไปเลยก็มี ฉะนั้น..ต้องมีสติคอยระมัดระวังไว้เสมอ ถ้าหากว่าสติสมาธิอยู่กับการฝึก อยู่กับกสิณ อยู่กับคำภาวนา เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นให้รู้ว่าสมาธิเราตก หรือว่าเราหลุดจากสิ่งที่เราทำแล้ว รู้ตัวก็ให้รีบตะกายกลับไปใหม่ คว้าเอากสิณขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นโดนกิเลสตีตาย

ความจริงฝึกกรรมฐานตอนเป็นฆราวาสกิเลสเต็มหัวก็ดี สนุกมาก กว่าจะรู้ตัวก็โดนกิเลสงัดหงายท้องไปแล้ว

เถรี 30-06-2014 17:07

พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนอาตมาไปจ่ายค่าเทอม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นค่ารักษาสถานภาพนักศึกษาไปแล้ว เร็วดีแท้ ความจริงเขาเรียนกัน ๓ ปี ของอาตมาเพิ่ง ๒ ปีเอง ต้องจ่ายค่ารักษาสถานภาพนักศึกษาแล้ว ทำให้เผลอ ค่าเทอมของเทอมที่แล้วโอนไป ๒๐,๐๐๐ บาท สองคนกับพระครูปลัดปรีชา เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท เขาบอกว่าไม่ใช่ ตอนนี้เหลือ ๑๐,๐๐๐ บาทเป็นค่ารักษาสถานภาพนักศึกษา อ้าว..เทอมนี้จึงต้องเอาสำเนาการโอนเงินไปยื่นที่ฝ่ายการเงิน บอกว่าผมโอนให้ล่วงหน้ามาแล้วครับ โอนทีเดียว ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องเสียเวลาทำเรื่องคืนให้ยุ่งยาก มีอยู่รายหนึ่งเขาทำเป็นรายการให้ติ๊ก ท่านก็อ่านไม่รอบคอบ ท่านติ๊กให้โอนไปที่วิทยาเขตอื่น กว่าจะได้คืนตามอยู่ครึ่งปี ช่วงเทอมแรก ๆ จ่ายอยู่ ๙๐,๐๐๐ บาทก็เยอะสิ ถึงต้องรีบไปตามคืน"

เถรี 30-06-2014 17:08

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อะไรที่พระหรือเทวดาท่านสั่งมา ถ้าไม่เกินวิสัยที่จะทำได้ ก็ให้ทำตามนั้น อาตมาเองแหกคอกประจำเลย สั่งมาแล้วทำไม่ได้ก็ไม่ทำหรอก สั่งมาถ้าทำได้จะลองทำดู แล้วท่านรู้ว่าไอ้นี่หัวดื้อ ความจริงก็ไม่ได้ดื้อ ดูด้วยความสามารถของตนเอง กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ คำนวณทุกอย่างแล้วถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าคำนวณแล้วว่าทำไม่ได้ก็เฉย ๆ เพราะว่าบางอย่างที่ท่านมาสั่งก็ไม่ใช่ของจริง ท่านอาจจะมาลองดูว่าเรามีปัญญามากพอหรือเปล่า ขณะเดียวกันเราเชื่อฟังท่านจริงหรือเปล่า รู้จักระมัดระวังในนิมิตที่มาหรือเปล่า ก็บอกแล้วว่าไม่เกินความสามารถก็ทำ ถ้าเกินความสามารถก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต้องทำถึงจะรู้ ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร

ถึงได้บอกว่าต้องรอเวลา ในขณะเดียวกันเรื่องการปฏิบัติต้องได้ผลจริง ถ้าได้ผลจริงก็แสดงว่าไม่ใช่อุปาทาน คราวนี้ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ผิดก็ผิดที่เรา ถูกก็ถูกที่เรา ไม่ต้องไปโทษใคร

เถรี 30-06-2014 17:09

พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยนี้เป็นพระอุปัชฌาย์ยังโชคดี ส่วนใหญ่โยมที่บวชหาอัฏฐบริขารมาเอง เพราะในพระวินัยระบุไว้ชัดว่า ถ้าไม่มี พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องหาให้กุลบุตรผู้มีศรัทธา..เวรแล้ว ...(หัวเราะ)... สมัยนี้เฉพาะบาตรอย่างเดียว ใบหนึ่งก็สองพันสามพันบาทแล้ว บาตรสเตนเลสดี ๆ สองพันซื้อไม่ได้แล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว