![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนวันพฤหัสบดีเป็นสีน้ำเงิน วันศุกร์สีม่วง วันเสาร์สีดำ สมัยนี้วันพฤหัสบดีสีแสด วันศุกร์สีฟ้า วันเสาร์สีม่วง ทำไมมั่ว ๆ ต่างกับโบราณก็ไม่รู้ แล้วอาตมาก็ไม่รู้ด้วยเขาเปลี่ยนกันตอนไหน ตำราพิชัยสงครามเขาก็คล้ายคลึงกัน ตำราพิชัยสงครามเขาว่า
รวิสิทธิด้วย.....................อาภรณ์ (รวิก็คือพระอาทิตย์ วันอาทิตย์) แดงพิจิตรอลงกรณ์.............ก่องแก้ว ทรงแสงธนูศร...................ลีลาศ เสด็จสู่สงครามแผ้ว..............ผ่องพ้น ไพรี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ เขาเรียกว่า กุมาร, กุมารี รากศัพท์กุ มาจากกุธาตุ ในความเกลียด มาระ คือ ผู้ฆ่า ดังนั้น กุมาระ คือ ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด เพราะฉะนั้น..เด็กจะน่ารักทุกคน"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เนปาลเศรษฐกิจไม่ดี เพราะฉะนั้นเขาจะง้อนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ เกิดจากกบฏเหมา ยึดประเทศได้แล้วบริหารไม่เป็น กบฏพวกนี้นิยมลัทธิเหมา"
ถาม : ลัทธิเหมา ? ตอบ : ก็คือลักษณะออกไปทางนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์จีน เขาไปโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลง แล้วก็ดันโค่นสำเร็จเสียด้วย แต่บริหารประเทศไม่เป็น จึงถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อย ต้องอาศัยเงินต่างประเทศจากนักท่องเที่ยว ถาม : ระบบนี้ทำได้จริงในปัจจุบันไหมคะ ? ตอบ : ระบบนี้คิดได้แต่ทำไม่ได้ เพราะคนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน จะให้มีทุกอย่างเท่ากันนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ถาม : อย่างนี้ต้องเป็นยุคพระศรีอาริย์ ? ตอบ : ต้องเป็นยุคอย่างนั้น ไม่ใช่ยุคอย่างของเรา ยุคของเราประเภทดีชั่วมั่วไปหมด ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สะเทินน้ำสะเทินบกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่จริง ๆ แล้วในยุคของพวกเราเป็นยุคที่ต้องบอกว่าสนุกมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราตัดสินใจถูกหรือผิด ถ้าเราตัดสินใจถูก มีศีลมีธรรมก็เป็นอันว่ารอด ถ้าเราตัดสินใจผิด ไม่เอาเรื่องศีลเรื่องธรรมเลยก็ยาว เพราะฉะนั้น..ชีวิตยุคของพวกเรานี่แหละ จะเป็นยุคที่มันกับชีวิตมาก ให้ไปประเภทสบาย ๆ นี่เซ็งตายเลย ขนาดให้อาตมานั่งเครื่องบินไปลงทิเบตยังไม่เอา ขอขับรถเข้าทางเนปาล ๕-๖ วันกว่าจะถึง เรื่องแบบนี้ฝังรากอยู่ในใจมาตั้งแต่สมัยเด็ก อยากตะลอน ๆ ไปเรื่อย คราวนี้ชีวิตพระก็ไม่ค่อยอยู่กับที่กับทาง ค่อยถูกใจหน่อย เมื่อสมัยออกจากทหารใหม่ ๆ วางแผนไว้ว่าจะแบกเป้เดินไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น ใครมีงานให้ทำก็ทำ ได้เงินหน่อยก็ไปต่อ ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำตามที่วางแผนไว้เลย มาบวชเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นมาแบกย่ามธุดงค์แทน |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่ ๑๙ เมษายน บวงสรวงงานประจำปีของวัดพุทธบริษัท นึกถึงเรื่องการเดินทางไปทิเบต จึงขอหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เพราะว่าเคยเกิดเป็นลูกท่านที่นั่นหลายชาติ ขอท่านว่าอย่าให้หนาวมาก เพราะถ้าหนาวมากมาลาเรียอาจจะกำเริบ งานกร่อยแน่นอน ท่านถามว่า “แล้วจะเอาฝนเลยไหม ?” ตอนนี้ตรวจสอบอุณหภูมิดูท่าฝนจะมาจริง ๆ คือฤดูนี้จริง ๆ ไม่ใช่ฤดูฝน แต่ฝนมาแล้ว
ตอนนี้น้องเล็กเขาเริ่มจับเคล็ดได้แล้วว่า ถ้าอยู่ ๆ อาตมาเงียบไปเฉย ๆ แปลว่ากำลังทะเลาะกับผีอยู่ พอนาน ๆ เข้าคนที่ไปด้วยชักสังเกตเป็น บางท่านก็จี้ ๆ ออกแนวตลก อย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นั่นสุดยอดนักรบเลย คุยไปคุยมากลายเป็นตลกไปได้ ท่านเองไม่ได้อยากรบ พวกแขกจาม เป็นพวกอิสลามที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม บุกมาถล่มอาณาจักรขอมเสียราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าชัยวรมันท่านก็เหมือนกับว่า ในเมื่อไม่มีหน้าที่กูก็นั่งดู พอไม่มีคนมีฝีมือที่จะสู้แล้วท่านถึงออกหน้า ใช้เวลา ๔ ปี ตีคืนมาหมดยังไม่พอ ยึดประเทศของเขามาด้วย" |
ถาม : ถูกบังคับให้ไป...... จะเป็นกรรมเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ให้คิดว่าเราทำตามหน้าที่ ทำตามระเบียบของเขา ทำเสร็จแล้วอย่าไปคิดต่อ คิดเมื่อไรเราก็จะเดือดร้อน เพราะคิดแล้วใจเราจะหมอง นึกว่าเราทำตามหน้าที่ไป เสร็จแล้วก็ตัดแค่นั้นเลย แบบเดียวกับภรรยาของพรานกุกุกฏมิตร ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรเป็นพระโสดาบัน แต่สามีเป็นนายพราน ถึงเวลา “แม่อีหนู..ส่งบ่วงมา” “แม่อีหนู..เอาแหลนมา” ท่านก็ส่งให้ พระไปเห็นก็งง พระโสดาบันทำไมสนับสนุนการฆ่าสัตว์ ? จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ไปถามเขาก่อนว่าเขาคิดอย่างไร ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรบอกว่า เป็นภรรยามีหน้าที่ทำตามสามี สามีให้ส่งอะไรก็ส่งให้ ส่วนสามีเอาไปทำอะไรไม่รับรู้ ท่านตัดอารมณ์แค่นั้น เพราะฉะนั้น..ของเราเอง ในเมื่อหน่วยงานเขาต้องการอย่างนั้น เราทำเสร็จแล้วก็พยายามตัดให้ได้ ถ้าไปคิดแล้วใจจะหมองเอง |
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้ทุนการศึกษาระดับประถมและมัธยมให้ ๗ โรงเรียน ๑๔๔ ทุน อย่าถามว่ากี่แสน เฉพาะทุนระดับอุดมศึกษาอย่างเดียว ๒๔๐,๐๐๐ บาท โรงเรียนไหนได้รายชื่อแล้วให้ส่งมาก่อน จะได้ทยอยทำไป อย่างน้อย ๆ แหกขี้ตาขึ้นมาตี ๒ ตี ๓ ทำได้สักโรงเรียนสองโรงเรียนก็ยังดี ไม่อย่างนั้นกลับไปวันที่ ๑๒ เช้าวันที่ ๑๓ จะแจกทุนแล้ว ทำไม่ทันหรอก
วันที่ ๑๔ มีเวลาทำงานครึ่งวัน ก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปทิเบต ตอนนี้ชักจะเชื่อที่คุณมงคลเขาบอกแล้วว่า พออาตมาไปไหนก็เสียของหมด ไปยุโรปหน้าร้อนแท้ ๆ หิมะดันตกให้ดูเฉยเลย แต่ขอโทษ..เหงื่อท่วมเลย อากาศติดลบแท้ ๆ ต้องถอดผ้าออกไปชั้นหนึ่ง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โรคคนแก่ของอาตมามีเพิ่มมาอีกโรคหนึ่ง คือ อาการคัน ทายาทั่วไปก็ไม่หาย หมอบอกว่าเป็นโรควัยทอง พอวัยทองแล้วฮอร์โมนหมด ผิวจะแห้งเป็นจุด ๆ บางจุดก็เป็นปื้นใหญ่ ๆ บางจุดก็เป็นจุดเล็ก ๆ ปรากฏว่าพอทายาแก้คันสำหรับวัยทองของหมอแล้วหายเลย แสดงว่าเป็นวัยทองอย่างแท้จริง จำไว้ว่าอย่าให้ถึงอายุ ๕๕ ปีนะ แต่หมอบอกว่าบางคนเป็นตั้งแต่อายุ ๓๕ ปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย จะไปปรากฏชัดเมื่อหลัง ๔๐ ปีไปแล้ว"
ถาม : เกี่ยวกับพวกนอนไม่หลับด้วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : นอนไม่หลับเป็นเรื่องปกติ ยิ่งแก่ยิ่งนอนน้อย ธรรมชาติเขาบอกว่าให้ถ่างตาดูโลกไว้ให้มาก ๆ หน่อย เพราะเหลืออายุน้อยแล้ว วัยร่ำวัยรวยมาถึง (วัยทอง) ฉะนั้น..ต่อไปถ้าใครมาแหกตาว่าหลวงพ่อยังแข็งแรง ไม่ต้องมาพูดเลย คนแก่ชัด ๆ แล้ว..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนผลไม้ที่ดังมาก ๆ เลย คือลิ้นจี่ตรอกจันทน์ ส้มบางมด ทุเรียนเมืองนนท์ แล้วสมัยนี้มีลิ้นจี่ตรอกจันทน์ไหม ? ส้มบางมดก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ทุเรียนเมืองนนท์ราคาเป็นพันเป็นหมื่น มีเงิน ๕,๐๐๐ ไม่รู้ว่าจะซื้อได้หรือเปล่า ?
อาตมาเป็นคนไม่ชอบกินทุเรียนนะ แต่ชิมทุเรียนเมืองนนท์แล้วยอมรับว่าอร่อยจริง ๆ ตอนนั้นคุณลำพูภรรยาของคุณผดุงเกียรติ ขำภักดี นิมนต์ไปที่บ้าน แม่ของคุณผดุงเกียรติอายุจะ ๘๐ ปีอยู่แล้ว ปีนต้นทุเรียนไปเก็บมาให้ เขาบอกว่าต้นนี้อร่อยที่สุด เอามาถวายพระอาจารย์หน่อย แสดงว่าคนสมัยก่อนเขาแข็งแรง ทำงานกันทั้งวัน ให้อยู่เฉย ๆ ไม่อยู่หรอก ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย พอชิมทุเรียนเมืองนนท์เข้าไป โอ้...อร่อยเว้ย ก่อนหน้านี้อาตมาว่าทุเรียนรสชาติไม่เอาไหน สมัยเด็ก ๆ ก็ไม่ชอบเพราะกลิ่นแรง ไปนึกถึงหลวงปู่รูปหนึ่งสายหลวงปู่มั่น ท่านไม่รู้จักทุเรียน เพราะว่าทางอีสานไม่มี วันนั้นโยมจอดรถใส่บาตร น่าจะเป็นพวกกรุงเทพฯ พอโยมไปได้พักหนึ่ง กลิ่นทุเรียนออก..ท่านก็คิดว่าอะไรเหม็นอย่างนี้วะ ? ค้นไปค้นมาเจอ ขนุนเน่าดันเอามาใส่บาตร ว่าแล้วก็โยนทิ้งข้างทางไป เณรมารู้ทีหลัง น้ำตาแทบเล็ด อยากจะฉันทุเรียน หลวงปู่ไม่รู้จัก นึกว่าขนุนเน่าเอาโยนทิ้งไป" |
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดจ่าตุ่มว่า "มีดพวกนี้อย่าไปวางทิ้งนะ หายแน่นอน มีดแฮนด์เมดฝรั่งซื้อกันเล่มละ ๔๐๐-๕๐๐ ดอล์ลาร์ คุณซื้อไปแล้วไปสั่งทำปลอกหนังสักหน่อย แล้วเอาไปขายเพื่อนต่อราคาแพงกว่านี้ก็ได้ มีอุปทูตของฝรั่งเศสไปบ้านเพื่อนคนไทย เดินวนเข้าวนออก ๗ - ๘ รอบ เพื่อนสงสัยว่าวนทำอะไร ที่แท้วนไปดูมีดจ่าตุ่มที่หลังตู้ เห็นแล้วชอบจริง ๆ ท่านบอกว่าทางด้านยุโรปอเมริกา มีดแฮนด์เมดราคาแพงจัด ท้ายสุดพอท่านต้องสลับตัวไปประเทศอื่น ก่อนเดินทางกลับขอซื้อมีดเล่มนั้น ปรากฏว่าเพื่อนคนไทยให้ฟรี ดีใจแทบตาย"
|
พระอาจารย์กล่าวแนะนำสูตรยารักษาศีรษะล้านว่า "ไปถากเอาเปลือกต้นแคมาสัก ๔-๕ ชิ้น แช่กับน้ำซาวข้าวทิ้งไว้ ๓ คืน เหม็นตลบเลยแหละ แล้วทาหัวล้านบ่อย ๆ ผมจะงอก ถ้าไปทาที่ทำงานเพื่อนคงไม่เดินใกล้ นี่ถ้าคุณไม่พูดถึงอาตมาก็ลืมไปแล้วนะตำรานี้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กญี่ปุ่นกับเด็กฝรั่งจะมีเงินค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ให้ พ่อแม่จะให้อย่างเป็นทางการเลย เหมือนเป็นเงินเดือนแต่เป็นค่าขนม ถ้าอยากได้มากกว่านั้นต้องทำงาน ช่วยงาน แล้วถึงจะให้ ถ้าเด็กเขาอยากจะใช้เงินมากกว่านั้นก็ต้องทำงานเพิ่ม ถ้าเงินขาดมือต่อไปก็จะรู้จักระมัดระวัง แล้วจะมีวินัยในการใช้เงินไปเอง"
|
ถาม : เส้นลายมือขาดเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลายมือขาดเขาบอกว่า ในหลักการเป็นคนใจร้อนใจเร็ว ทำอะไรไม่ค่อยคิด ค่อยมาแก้ปัญหาทีหลัง ลายมืออาตมาไม่ขาดหรอก แต่ต่อยคนไม่เคยได้ซ้ำเลย แปลกมากเลย ไม่เคยหาเรื่องเขาก่อนด้วยนะ คือทุกครั้งที่มีเรื่องเขามาหาถึงบ้าน ในเมื่ออยากได้เรื่องอาตมาก็จัดให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยต้องแบกเขาไปส่งถึงบ้านด้วย สงสารพ่อเขา แก่มากแล้ว น่าจะใกล้ ๖๐ ปีแล้ว ผมขาวแล้ว เห็นอาตมาแบกลูกชายไปเคาะประตู แกทำหน้าไม่ถูก อาตมาบอกว่า "ดูแลดี ๆ หน่อย ถ้าเจอคนอื่นอาจจะถึงตายไปแล้ว" คนเป็นพ่อเจอเขาหามลูกมาส่ง แล้วบอกอย่างนี้จะคิดอย่างไร ? แปลกมาก..แต่ละคนที่โดนไป กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีกันหมด มีครอบครัว มีลูกมีเมียกันหมด เขาคงรู้ว่าซ่าในยุทธจักรนี้ไม่รุ่งแน่เลย ส่วนใหญ่แล้วพระครูแสงเป็นคนหามา ตอนเย็น ๆ เขาชอบไปเมากรึ่มอยู่ปากซอย พอขว้างแก้วขว้างขวด เดี๋ยวก็มาแล้ว ๓ คน ๕ คน พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งมา "พี่ ๆ น้องพี่โดนรุมอีกแล้ว รีบไปดูเร็ว" ส่วนใหญ่อาตมาไปในลักษณะห้ามทัพ ทิ้งตูมเดียวจบเลย ที่เหลือเลิกกันหมด ครั้งนั้น ๕ คน อาตมาใส่คนหนึ่งตูมกระเด็นตกน้ำ หันไปหาคนที่ ๒ เพิ่งง้างหมัด เจ้านั่นตะโกนว่า"พี่ ๆ ผมมาห้าม" "กูเห็นมึงสาวอยู่เหย็ง ๆ บอกมาได้ว่าห้าม" แต่อาตมาก็หยุดแค่นั้น ลงไปลากคนที่สลบอยู่ในน้ำขึ้นมา ไม่อย่างนั้นจมน้ำตายไปแล้ว พวกนี้เอาตัวรอดเก่ง เห็นใส่อยู่เหย็ง ๆ บอกหน้าตาเฉยว่าผมมาห้าม..! พระครูแสงตอนเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ไปมีเรื่องกับเจ้าถิ่น ต่อยกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงเกือบ ๔ โมงเย็น ต่อยกันจนหมดแรง ต่างคนต่างนั่งหอบแฮ่ก ๆ พอมีแรงก็โดดใส่กันต่อ พวกเราประเภทเด็กบ้านนอก ถึงเวลาไม่พอใจใครก็เดี่ยวกันตัวต่อตัว ไปเจอประเภทมาเป็นหมู่ก็ไม่ชิน พอตาแสงเอาเขาไม่ลงก็โกรธ เริ่มไปฝึกเพาะกายอยู่ ๓ ปีค่อยไปเอาคืน อัดเขาจนเละเลย ซ้อมอยู่ ๓ ปี มั่นใจแล้วกลับไปลุยกันใหม่ ภาษิตจีนว่าลูกผู้ชายล้างแค้น ๑๐ ปีก็ยังไม่สาย คราวแรกนั้นเละพอกัน แต่ท่านถือว่าโดนเขารุม กลับไปใหม่เอาอาตมาไปด้วย ท่านเล่นเฉพาะคู่กัดเท่านั้น ถ้าใครรุมค่อยให้อาตมาช่วย ปรากฏว่าไม่มีใครกล้ารุม ช่วงนั้นหนังสือเพาะกายประเภท Body Building เต็มบ้านไปหมด มีแต่รูปอาร์โนลด์ (Arnold Schwarzenegger) ที่ได้ชายงามจักรวาล ๓ ปีซ้อน ส่วนอีกคนคือ หลุยส์ เฟอร์ริกโน (Louis Ferrigno) ที่เล่นหนังโทรทัศน์เป็น Hulk ตัวยักษ์เขียว ๆ นึกว่าจะวัดรอยเท้าอาร์โนลด์ได้ เพราะอายุน้อยกว่า แต่ทำไม่สำเร็จ ของอาร์โนลด์ร่างกายทุกส่วนสมบูรณ์หมด กล้ามแขนตั้ง ๓๗ นิ้ว ใหญ่กว่าเอวของอาตมาอีก..! |
ถาม : เวลาเราไปวัด พระท่านให้ของวัดกับเรา ท่านก็คิดว่าเป็นของท่าน เราไม่กล้าเอา ?
ตอบ : อย่าแตะได้เป็นดีที่สุด เพราะว่าพระสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้ บางทีก็ให้ไปเรื่อยเปื่อย ของสงฆ์ต้องพระสงฆ์ทั้งวัดมีความเห็นร่วมกันว่าให้ได้ ถึงจะให้ได้ ถ้าไปอาศัยอำนาจเจ้าอาวาสคนเดียว หรือเป็นเจ้าของคนเดียวแล้วไปให้ ระวังเถอะ..จะพาโยมซวยไปด้วย..! |
ถาม : พระกริ่ง ถ้าเราเอาไปเขย่า จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : เราแค่พกติดตัว ก็อย่าเอาไปเขย่าสิ ถาม : ถ้าเราเอาพระติดตัวใส่กระเป๋าไปจะเป็นการปรามาสหรือไม่คะ ? ตอบ : ติดตัวไปด้วยความเคารพ อย่างเช่นว่าแขวนคอไป เหน็บกระเป๋าเสื้อไปไม่เป็นไรหรอก ถ้าประเภทไปทำหัวหกก้นขวิดก็ต้องดูว่าอะไรสมควร อะไรไม่สมควร อาตมาเองยังพกพระกริ่งพิชัยสงครามเลย ถ้าเป็นการปรามาสก็แสดงว่าปรามาสอยู่ทุกวัน ถ้าใส่ไว้ในกระเป๋าถือต้องระวังอย่าให้คนอื่นข้ามก็แล้วกัน บางทีเราวางกระเป๋าไว้คนเดินข้ามเฉยเลย ของเราไม่เป็นโทษหรอก แต่เขาจะเป็น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์งวดนี้มีแต่ "นักร้อง" กับ "นักดิ้น" เต็มไปหมด แสดงว่าคนที่โดนไสยศาสตร์หรือสิ่งไม่ดีมามีมาก ทั้งดิ้นทั้งร้อง คราวหน้าทิดโอหาทางว่า ตอนเขาดิ้นร้องให้เอามือถือถ่ายคลิปไว้เลย ไม่อย่างนั้นตอนถ่ายทอดสดลากสายไปถ่ายพวกนี้ไม่ได้ อาตมาขอกับท้าวมหาราชท่านว่า ถ้าสิ่งที่แฝงมาถ้าไม่ได้มีเจตนาดี ต่อให้เป็นเทวดาเป็นอะไร เอาออกให้หมด"
ถาม : เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ทรงขันธ์ไม่ได้หรือครับ ? ตอบ : คำว่ามิจฉาทิฐิไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีหิริโอตัปปะหรือไม่มีศีล หากแต่มีความเห็นผิด ไม่สนใจในเรื่องของการทำบุญกุศลต่อ ถ้าลักษณะอย่างนั้นบุญเก่าหมดนี่เจ๊งเลย |
ถาม : แบบที่หนึ่ง ฟังกรรมฐานแล้วดับไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกทีลืมไปว่าเรื่องอะไร ?
ตอบ : สติขาด ถาม : แบบที่สอง ระหว่างฟังไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หลับ จิตจดจ่อไปเรื่อย นึกย้อนกลับไปไม่ได้ แต่ทำไมเรารู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่า ? ตอบ : แบบแรกหลบไปนอน แบบที่สองก็ทำงานตลอด ยังมีแบบที่สามอีก ถาม : คือ ? ตอบ : ฟังไป ๆ ทำไมไม่จบสักที ทำไมวันนี้นานเหลือเกิน ลืมตาขึ้นมาเสียงหายวับไปเลย เกินเวลาไปเป็นชั่วโมง ๆ แล้วที่เราฟังอยู่นี่คืออะไร ? เนื้อหาไม่ขาดเลย ต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ไปลองดู..อาตมาเจอมาหลายทีแล้ว ถาม : กำลังระหว่างสองแบบ อย่างไหนดีกว่ากัน ? ตอบ : คนละอย่างกัน อย่างหนึ่งเพาะกำลัง อีกอย่างใช้กำลัง อย่างแรกคือพละ อย่างที่สองคืออินทรีย์ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีพระเราอยู่กับวัดนานเกินไป ไม่รู้ว่าโลกข้างนอกไปถึงไหนกันแล้ว ฉันแล้วยังจะเลือกอีก รู้บ้างหรือเปล่าว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อนแค่ไหน ข้าวถุงกระจิ๊ดหนึ่ง กับข้าวถุงเล็ก น้ำอีกแก้วหนึ่ง ๖๐ บาท เขาให้มาแล้วยังเลือกอีก เดี๋ยวก็โบ๊ะให้..! ส่วนใหญ่อยู่ไปนาน ๆ แล้วลืม ลืมว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ใช่กินเอาอร่อย
สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอาตมาก็ชอบกิน ตอนนั้นหูฉลามนายเก๊าถ้วยละ ๖๐๐ บาท ก็ไปลองชิมกับเขา ไม่เห็นจะได้เรื่องเลย ซูเปอร์ราดหน้าจานละ ๖๐ บาท โอ้.. ๖๐ บาท สมัยนั้นค่าแรงขั้นต่ำเพิ่งจะ ๕๔ บาทเอง ไปลองชิมดูก็แค่นั้น เพียงแต่ใส่หมูชิ้นเกือบครึ่งฝ่ามือ ๗-๘ ชิ้นก็จะเต็มจานอยู่แล้ว จะไปเอาเส้นเอาผักที่ไหนมา ? ที่ชอบใจคือบะหมี่จับกัง ชามละ ๑๐ บาท ประมาณก๋วยเตี๋ยว ๗-๘ ชาม ตอนนี้ใส่กะละมังแล้วใช่ไหม ? ก็ชามโตเท่ากะละมังใบเล็กนั่นแหละ" |
ถาม : ทำกรรมฐานแล้วเห็นพระพุทธเจ้า พอไปเล่าให้คนอื่นฟังเขาก็ว่าเราบ้า ?
ตอบ : สภาพจิตพอจะเริ่มเป็นสมาธิ เราจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ คราวนี้เราต้องรู้จักระมัดระวัง รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เรารู้แค่ไหน เราควรพูดได้แค่ไหน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะหาว่าบ้า ฉะนั้น..นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไปเที่ยวเล่าให้ใครเขาฟังได้ สภาพจิตเหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำนิ่งจะสะท้อนภาพรอบข้างออกมาได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปเขาไม่ค่อยได้เจอกัน เราก็เลยผิดปกติ |
ถาม : เดินลมหายใจติดขัด จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ก่อนจับลมหายใจให้หายใจยาว ๆ ๒-๓ ครั้งก่อน ระบายลมหยาบทิ้งให้หมด ไม่อย่างนั้นลมเริ่มละเอียด ของหยาบค้ำอยู่ เสียดกันไปเสียดกันมาบางทีก็เจ็บมาก ถาม : หายใจไม่ออก อึดอัดไปหมด ? ตอบ : ต่อไปเริ่มใหม่ ก่อนเริ่มกรรมฐานให้หายใจยาว ๆ ก่อน |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยไปงานแต่งที่ปัตตานีมาครั้งหนึ่งแล้ว จ่ายค่ารถไป ๔ รูป ๒,๘๐๐ บาท เขาถวายมา ๓๐๐ บาท เงิน ๓๐๐ บาทนี่เขาถวายมากที่สุดเท่าที่เคยถวายพระแล้ว แต่เขาลืมไปว่าพวกอาตมาเดินทางมาไกลขนาดไหน ยังโชคดีที่ครั้งนั้นไปรถไฟ ถ้าไปรถยนต์ส่วนตัวคงหมดถึง ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท ตรงจุดนี้ทำให้อาตมาต้องคิดเผื่อเวลานิมนต์พระมา ถ้าท่านมาไกล ก็จะมีค่าเดินทางให้ต่างหาก"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมายังเด็ก บ้านอยู่ใกล้หมู่บ้านลาวโซ่ง คนลาวโซ่งแทบไม่มีหัวหงอกเลย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มารู้ทีหลังว่าเขาใช้น้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน ก็ดีอยู่อย่างว่า สมัยนั้นเด็ก ๆ มักจะเป็นเหา แต่ลูก ๆ ลาวโซ่งไม่มีใครเป็นเหา เล่นเอาน้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน เหาอยู่ไม่ได้
สมัยนั้นเขาใช้ใบน้อยหน่า เอาใบน้อยหน่าตำ ๆ ให้แหลก เอาน้ำมันก๊าดใส่ลงไปสัก ๒ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วโปะหัวขยี้ให้ทั่ว เหม็นเขียวอย่าบอกใครเลย แต่ก็ได้ผลนะ ถ้าไม่อยากเหม็นต้องโกนหัวเลย สมัยเด็ก ๆ อาตมาก็นอนอยู่กับพี่สาว น้องสาว เวลาติดเหาก็ติดกันหมดเลย ผู้หญิง ผู้ชายเป็นหมด จนกระทั่งแม่ขี้เกียจตำใบน้อยหน่าให้ จึงจับโกนหัวทุกคน หรือไม่ก็ต้องซื้อหวีเสนียดมาสาง หวีเสนียดเป็นหวีที่ถี่มาก ๆ สาง ๆ ถึงเอาไข่เหาออกได้ ไม่ได้ต้องการตัวเหาหรอก เอาไข่ออกก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเกิดเป็นตัวใหม่ ไข่เหาจะติดปลายผม เป็นเม็ดเล็ก ๆ ถ้าบ้านไหนเลี้ยงลิงไปก้มหัวให้ลิง เดี๋ยวลิงก็เก็บเกลี้ยง ลิงเก่งจริง ๆ สายตาดีมาก ถึงเวลาก็ควาน ๆ จับทั้งตัวจับทั้งไข่ใส่ปากเคี้ยวหมด แต่ไม่ทันใจ เลยใช้วิธีเด็ดขาด ก็คือโกน แต่แล้วไม่นานก็ติดอีก เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเป็นกันแทบทั้งนั้น ถ้าทนกลิ่นใบน้อยหน่าผสมน้ำมันก๊าดได้ก็พอกหัวไป ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องยอมโกน สมัยนั้นโกนแล้วดูดีกว่า เพราะว่าเด็กผู้หญิงสมัยนั้นตัดผมทรงกะลาครอบ เอาขันครอบไปแล้ว ตัดเสมอหู ข้างหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลย สมัยนี้ไม่มีเหาแล้วใช่ไหม ? ก็เลยไม่ต้องทดสอบยาสูตรนี้ ใบน้อยหน่ากำมือใหญ่ ๆ เลย กับน้ำมันก๊าด ๒ ช้อนโต๊ะ ตำให้ละเอียด คลุกให้เข้ากันดี แล้วพอกหัวละเลงให้ทั่ว คนยังจะเหม็นตายเลย แล้วเหาจะอยู่ได้อย่างไร ? โยมแม่ของอาตมาโกนหัวเก่งมาก ๆ สุดยอดเลย เด็กเกิดใหม่ ๆ หัวนิ่ม ๆ ยังโกนได้ แล้วมีดโกนสมัยก่อนก็ไม่ใช่มีดโกนกันบาดเหมือนสมัยนี้ เป็นมีดที่ตัวด้ามกับใบเป็นอันเดียวกัน แล้วเป็นทองเหลือง ถึงเวลาต้องไปสะบัดลับกับสายหนัง ไม่มีบาดหัวเด็กเลย โกนได้อย่างไรก็ไม่รู้ สุดยอดจริง ๆ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนวันเป่ายันต์ที่ผ่านมา พอจัดของเสร็จ ตอนเย็นพระท่านถามว่าบูชาวัตถุมงคลเลยได้ไหม ? อาตมาก็นึกว่า เออ..ปกติวันงานนี่พระไม่มีสิทธิ์เบียดโยมเข้าไปบูชาเลย พออนุญาตว่าได้ พระท่านก็กวาดพระพุทธรูปไปกันเกือบหมด ความจริงท่านอยู่กับวัด ขอไปคนละองค์สององค์อาตมาก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ท่านอยากจะบูชาเป็นของส่วนตัว เพราะจะได้ให้คนอื่นได้"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนั้นกำลังจะขึ้นเครื่องบินที่เขมร มีโยมคนหนึ่งถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ก็ต้องเป็นกัปตัน แกรี ๆ รอ ๆ มอง ๆ อาตมาอยู่ ท้ายสุดไปดึงเอาแอร์โอสเตสที่พูดภาษาไทยได้บ้างไม่ได้บ้าง มา บอกว่าแกมีคดีอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ จะรอดหรือไม่รอด แล้วต้องแก้ไขอย่างไร ?
เขาเห็นอาตมาเป็นหมอดูไปแล้ว ก็เลยดูลายมือให้ ว่าไปเรื่อยเปื่อย ปรากฏว่าพอเสร็จสรรพเรียบร้อย ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็ตาลีตาเหลือกผ่านเครื่องตรวจเข้าไป ลืมอาราธนาพระ เครื่องตรวจร้องดังสนั่นเลย ทุกครั้งไม่เคยดัง พอดังขึ้น อาตมารู้ตัว ก็ให้เขาตรวจ รับประกันว่าหาไม่เจอหรอก เมื่องานสัปดาห์หนังสือไปกับพวกทิดตู่ พอเดินผ่านเครื่องเสร็จอาตมาก็ล้วงมีดจ่าตุ่มให้ทิดตู่ดู ...(หัวเราะ)... ทำไมเดินผ่านแล้วไม่ดัง ? เป็นอะไรที่สนุกดี ส่วนใหญ่แล้วเครื่องตรวจจะมารยาทดี เจอพระแล้วไม่ค่อยร้อง เจอฆราวาสแล้วโวยวายเสียไม่มี ขนาดกรรไกรตัดเล็บน้องเล็กยังโดนยึดเลย พอผ่านไปแล้วอาตมาก็หยิบมีดให้ดู ประเภทพกมีดขึ้นเครื่องเป็นปกติ ปลอดภัยไร้กังวล" |
"ที่พระท่านไม่ให้พกมีด เพื่อป้องกันไม่ให้ยึดถือเป็นที่พึ่ง อย่างเช่นว่าเราพกมีดไปเดินธุดงค์ เกิดอันตรายเราก็นึกถึงมีด ไม่ได้นึกถึงพระ กลายเป็นยึดมีดเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ยึดพระเป็นที่พึ่ง ฉะนั้น..เรื่องของธุดงค์สมัยก่อน มีดโกนท่านยังไม่ให้เอาไปเลย เพราะมีดโกนสมัยก่อนตัวกับด้ามเป็นชิ้นเดียวกัน ใช้เป็นอาวุธได้
"หลวงพ่อขี้เสือ" ท่านทำเสือตายไปตัวหนึ่ง ถึงเวลาท่านปักกลดเสร็จ ด้วยความที่ท่านกลัว ท่านก็เอาดุ้นไม้สะแกซุกไว้ในกลดด้วย เวลาดึก ๆ เสือมาวนรอบกลด วนไปวนมาก็ยื่นหน้ามาดม หลวงพ่อขี้เสือทนไม่ไหว คว้าดุ้นสะแกได้ก็หวดเสียเต็มที่เลย..เสือตาย..! รุ่งเช้าพระอาจารย์ต้องส่งกลับ บอกว่า ถ้าคุณไม่กลับพวกเราก็ตายหมด เป็นพระแล้วศีลขาด จะพาซวยทั้งคณะ ตอนหลังท่านเป็นนักธุดงค์ที่เก่งมาก ใครจะออกธุดงค์ต้องไปขึ้นครูกับท่าน เพราะของท่านขึ้นครูด้วยเสือตัวหนึ่ง ลืมถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า จริง ๆ แล้วท่านอยู่วัดไหน ท่านเล่าให้ฟัง อาตมาก็ฟังสนุกจนลืมถาม รู้แต่ว่าสมัยก่อนพระทางอยุธยา ก่อนออกธุดงค์จะไปขึ้นครูกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ครูบาอาจารย์พอรับขึ้นครูแล้วก็จะคอยตามดูลูกศิษย์ แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าปักกลดภาวนาไปเรื่อย เพิ่งจะหัวค่ำไม่ทันไรเลย เสือ ๓ ตัวลงมาเล่นน้ำปล้ำกันตึงตังโครมครามที่ลำห้วยใกล้ ๆ กลด ฟังไปฟังมารำคาญ เปิดกลดออกมานั่งดู ท้ายสุดเสือ ๓ ตัวค่อย ๆ เดินขึ้นบกมา กลายเป็นหลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่จาด ท่านถามหลวงพ่อฤๅษีว่า "เอ็งไม่กลัวเสือหรือ ? " "กลัวครับ แต่เสือบ้าที่ไหนจะเล่นน้ำ ?" เสือเป็นสัตว์ตระกูลแมว กลัวน้ำจะตาย กลางคืนดันมาเล่นน้ำกันตูมตาม ถ้ากลางวันร้อน ๆ ก็ว่าไปอย่าง รู้ว่าไม่ใช่เสือแน่ หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไม่มีอะไรจะทำ แปลงเป็นเสือไปหลอกลูกศิษย์กัน" |
พระอาจารย์กล่าวถามโยมว่า "มีคนไหนเกิดมาเจอมะละกอที่ลูกใหญ่สุด ๆ บ้างไหม ? จะถามว่าลูกโตแค่ไหน ? อาตมาไปธุดงค์เจอมะละกอลูกหนึ่งโตเกือบเต็มหาบ ก็คือเดินเข้าป่าไปเรื่อย ๆ กะว่าวันนี้อดละวะ ไม่กินก็ได้ ปรากฏว่าเจอชาวบ้านหาบมะละกอเดินสวนมา ข้างหนึ่งเป็นมะละกอลูกหนึ่งใหญ่เกือบเต็มหาบ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นเครื่องมือทำส้มตำ แกเจอพระก็นิมนต์ ทำส้มตำเลี้ยงเพล อร่อยดีเหมือนกัน แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่ากลางป่าอย่างนั้น แกจะไปขายส้มตำให้ใคร หรือเจตนามาเลี้ยงพระอย่างเดียว ?
ถ้าถามว่าเข้าป่าไปลึกแค่ไหน ? ต้องบอกว่าเดินพ้นถนนดินที่ป่าไม้ใช้โฟร์วีลวิ่ง เข้าไปประมาณ ๔ ชั่วโมง เดินอย่างช้า ๆ ก็ต้องได้ ๑๔-๑๕ กิโลเมตร ไปเจอแม่ค้าส้มตำอยู่กลางป่า แต่อาตมาไม่รังเกียจหรอก ขอให้มีคนเลี้ยงก็พอ ไปนึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านถามว่า "บ้านอยู่ไหนจ๊ะ ? " ถามแบบนั้นแล้วอด อาตมาจึงไม่ถามเด็ดขาด ก้มหน้าก้มตาฉันอย่างเดียว มีให้กินก็กิน อย่าไปสงสัย ฉันไปก็นึกถึงที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า เชิญท้าวเวสสุวรรณมาพบครั้งแรก ท้าวเวสสุวรรณถามว่าอยากได้อะไร คราวนี้ท่านเองก็ไม่มีอะไรที่อยากได้ แต่อยากทดสอบเทวานุภาพ เลยบอกว่าอยากได้ผักบุ้งต้มจิ้มน้ำปลาพริก ปรากฏว่ารุ่งเช้ามีโยมเอามาถวายจริง ๆ ผักบุ้งยอดหนึ่งขดมาในชามดินเผา ท่านบอกว่าชามโตเกือบเท่ากะละมัง แต่ผักบุ้งยอดนั้นปล้องโตจนเอาแขนสอดเข้าไปได้ ท่านบอกว่าฉันไม่หมด เหลือแล้วตากแห้งไว้ อ่างดินเผาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ปรากฏว่าสูญหายไปตอนสงคราม แสดงว่าของอีกที่หนึ่งใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เล็ก ๆ " |
"ถ้าใครไปวัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้าไปในศาลาที่เป็นพิพิธภัณฑ์ จะมีข้าวสารของชาวลับแลอยู่เม็ดหนึ่ง ไปดูได้ โตเกือบเท่ากล้วยหอม..! แบบนั้นเจอเข้าไปเม็ดเดียวก็พอเลย นั่นยังเป็นข้าวสารอยู่นะ ถ้าหุงสุกแล้วจะเป็นอย่างไร ? ไม่รู้ตอนนี้เขาปิดทองมิดไปแล้วหรือยัง ?
ถ้าเป็นข้าวเปลือกจะขอซื้อมาปลูก แล้วต้องบังคับคนรดน้ำให้ถือศีล ๕ ตลอด ๔ เดือน พอตกรวงเมื่อไรก็ขยายพันธุ์ ยังดีที่รวงข้าวมีเกสรตัวผู้อยู่ในตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะขยายพันธุ์อย่างไร พวกเราไม่ใช่เด็กบ้านนอก ไม่รู้ว่าข้าวตกรวงกลิ่นหอมแบบไหน ยิ่งตอนที่ข้าวสุกใหม่ ๆ นะ แหม...ยื่นจมูกตามหาเลย เคยได้กลิ่นฟางตากแห้งแล้วเปียกน้ำใหม่ ๆ ไหม ? ข้าวตกรวงหอมกว่านั้นอีก ถึงเวลาก็ต้องไปรับขวัญแม่โพสพ พอต้นข้าวสูงได้สักศอก ก็ทำพิธีรับขวัญแม่โพสพ ไปแต่งตัวให้ท่าน ถ้าไม่มีใคร ก็แม่บ้านเป็นคนทำ ส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือในการผัดหน้าทาแป้ง แต่งตัว ผ้าสไบ" |
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน จะเห็นมี... ?
ตอบ : ที่พระนิพพาน ถ้าจำเป็นต้องการมีอะไรก็จะมี ถ้าหมดความจำเป็นก็จะไม่มี เพราะเป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์พร้อม ขึ้นอยู่กับความต้องการ ถ้าเราอยากเห็น ขึ้นไปท่านก็ทำให้เห็น |
ถาม : (เรื่องน้องสาวที่เพิ่งเสีย)
ตอบ : สำหรับโยม..น้องสาวเพิ่งตาย ยังไม่ถือว่าห่างกันเท่าไร คนจีนเขาว่า “หัวหงอกส่งหัวดำ” ก็คือพ่อแม่อยู่แต่ลูกตาย คราวนี้ความตายไม่ได้มีนิมิต ไม่ได้มีเครื่องหมาย นึกจะมาก็มา แต่ถ้าดูในพระไตรปิฎกที่เขากล่าวถึงครอบครัวชาวนาว่าออกไปไถนากัน ปรากฏว่าลูกชายโดนงูกัดตาย สามีก็ฝากคนส่งข่าวกลับบ้าน บอกว่าตอนกลางวันเอาอาหารมาส่งส่วนเดียวก็พอ แล้วเอากิ่งไม้ปิดศพไว้ ตัวเองก็ไถนาต่อ คนเป็นแม่กับลูกสะใภ้มาถึง พอรู้ก็ทำหน้าที่ทำงานของตนเองตามปกติ จนกระทั่งพระไปเห็นเข้าทนไม่ได้ก็เลยถาม คนเป็นพ่อก็บอกว่า “ตอนที่เขามาเกิดก็ไม่ได้ขอให้เขามา ในเมื่อเขาจะไปก็ต้องแล้วแต่เขา” คนเป็นแม่ก็บอกลักษณะนั้น คนเป็นลูกสะใภ้ก็บอกลักษณะนั้น พระอัศจรรย์ใจมากว่าคนทั้งครอบครัวเข้าถึงธรรมเหมือน ๆ กัน เห็นสภาพความเป็นจริงของคนเหมือนกัน มาเกิดแล้วต้องตาย พอทำงานเสร็จ ตอนค่ำก็ไปเก็บฟืนมาฌาปนกิจ เผาศพแล้วก็เอากระดูกไปลอยน้ำ ถ้าเราเห็นว่าธรรมดาของทุกคน สัตว์ทุกตัว เกิดมาแล้วตายแน่ ๆ แต่เรามีโอกาสเห็นคนเกิดมากกว่าคนตาย เพราะคนเกิดใช้เวลา ๙-๑๐ เดือนเท่านั้น แต่คนเกิดมากว่าจะตายบางทีหลายสิบปี แต่ถ้าดูตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกมาเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” แปลว่าไม่มีใครรอด แล้วแต่ว่าเป็นวาระของใคร ถ้าอย่างในนิทานเซน เถ้าแก่ใหญ่เขาเปิดร้าน ขอให้ท่านอาจารย์เซนเขียนคำมงคลให้เพื่อจะติดหน้าร้าน ท่านอาจารย์เซนก็เขียนว่า “พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย” เถ้าแก่โกรธอย่าบอกใครเลย งานมงคลแท้ ๆ ทำไมมาแช่งกันแบบนี้ ? ท่านบอกไม่ได้แช่ง นี่แหละคือความเป็นจริงที่เป็นมงคลที่สุด ถ้าหลานท่านตายก่อนลูก ท่านจะเสียใจขนาดไหน ถ้าลูกตายก่อนตัวท่าน ท่านจะเสียใจขนาดไหน แต่ถ้าตัวท่านตายแล้วลูกค่อยตาย แล้วหลานค่อยตาย ทุกอย่างเป็นไปตามลักษณะของอายุขัย ก็แปลว่าเป็นโดยธรรมชาติ กว่าจะเข้าใจได้แทบจะตีกันตาย |
ถาม : เขาทำพิธีศพแบบศาสนาคริสต์ ?
ตอบ : จะทำแบบไหนไม่เป็นไร เราทำบุญส่งให้เขาก็แล้วกัน เมื่อเช้าบอกกับโยมว่า คนตายไม่มีศาสนาหรอก ถึงเวลาตายกลายเป็นผี เขาจะดูว่าใครมีความดี คนมีความดีมาก มีกำลังบุญมาก ก็เหมือนแสงสว่างในที่มืด พอสว่างขึ้นมาเขาก็อยากจะอยู่ในที่สว่างแบบนั้น ก็มักจะมุ่งเข้าไปหา แต่ว่าน้อยคนที่จะรู้ได้ว่าผีเขามา หรือบางทีขนาดตั้งใจทำบุญให้ แต่อุทิศไม่เป็นก็ไม่ถึงเขา อย่างเช่นบางคนไปขึ้นบท “อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตะรา อาจาริยูปะการา จะ..” ไล่ไปเรื่อย ให้พระอุปัชฌาย์ ให้อาจารย์ ไปไม่ถึงคนตายเสียที เพราะว่าโลกอื่นเขาตรงไปตรงมา ต้องให้เขาถึงจะได้ ถ้าไม่ให้เขาก็ไม่มีสิทธิ์ ถึงได้กลายเป็นว่าเวลาตายแล้วมักจะฉลาด ตอนมีชีวิตอยู่บางทีถือศาสนาอื่น ถือขนาดว่าเหยียบย่างเข้าศาสนสถานของอีกศาสนาหนึ่งถือว่าต้องลงนรก แต่พอตายแล้วเริ่มฉลาด รู้ว่าใครดี ใครมีบุญ ตอนเป็นผีฉลาดกว่าก็วิ่งไปหา ถาม : ตอนเขาตายอยู่โรงพยาบาลค่ะ เป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ตอนเราโทรไปเสียงนี้เหี่ยวเลยค่ะ โทรไปบอกให้เขาพุทโธ ตอบ : ต้องบอกว่าเขาพ้นทุกข์แล้ว ตอนนี้ที่ต้องตะเกียกตะกายลำบากต่อ ก็คือพวกเราที่ยังอยู่นี่แหละ |
ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ศาสนาคริสต์ก็ดีเพราะเขาก็มีการให้ทาน มีการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน อย่างที่ไปยุโรป เขาไม่มีศีล แต่ว่าพวกนกเป็ด พวกหงส์ เต็มแม่น้ำไปหมด ไม่มีใครยุ่ง แล้วใครอย่าไปแตะเชียวนะ แจ้งตำรวจจับข้อหาทารุณสัตว์ให้ยุ่งไปหมด นั่นเท่ากับเขามีศีลโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มาสมาทานศีลอย่างเราเท่านั้น ดู ๆ แล้วน่าทึ่งดี นี่ถ้าเป็นบ้านเราโดนกินหมด..ไม่เหลือหรอก นกเป็ดเต็มไปหมดเลย ถึงเวลานอนอยู่ข้างฝั่งไม่กลัวคน ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนเลี้ยง เขาบอกไม่ใช่หรอก อยู่ตามธรรมชาติ เป็นพวกเป็ดป่า หงส์ป่า |
โบราณของเราเก่ง เพราะว่ากรรม ๓ หมวด ๑๒ ประเภท มีอยู่กรรมหนึ่งเขาเรียกอาสันนกรรม คือ กรรมก่อนตาย ก่อนตายจิตเกาะอะไรจะไปที่นั่น คราวนี้โบราณของเรามีการบอกทางคนตาย ให้เกาะพุทโธ เกาะพระอรหัง คราวนี้พอจิตเกาะความดีได้ก็ไปดีก่อน ถ้าถามว่าความชั่วเคยทำมาเยอะแยะ ? นั่นส่วนชั่ว เขาไปรับความดีก่อน อย่างเช่นว่าเคยฝากเงินไว้สักร้อยสองร้อยบาท ไปใช้เงินก่อน พอใช้เสร็จค่อยไปใช้หนี้สามสิบล้านนั่นค่อยว่ากันทีหลัง
คราวนี้ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นไปข้างบนแล้วฉลาด ก็เริ่มหาทางต่อบุญ เราอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ จะเห็นว่าเทวดามาขอฟังธรรมบ้าง ขอทำบุญบ้าง เขาต่อบุญ ต้องบอกว่าโบราณเราเก่ง เขามีการบอกทางให้กับคนใกล้ตาย ลักษณะคล้าย ๆ กับทิเบต แต่ทิเบตเขาจะสอนเลยว่าก่อนตายจะรู้สึกอย่างไร จะเห็นอะไรบ้าง ตอนช่วงไหนควรจะทำจิตอย่างไร ทิเบตเขาสอนละเอียดกว่า |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครเคยกินผลไม้ที่สุกคาต้น ต่อไปกินอะไรก็ไม่อร่อย ผลไม้ในตลาดรสชาติไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าของที่มาจากต้น ส่วนใหญ่จะได้ความสด ลองไปกินพวกเงาะที่อยู่กับต้นดูนะ แล้วลองไปกินที่ตลาด ชิมดูจะไม่เอาไหนเลย คนสมัยก่อนเขาสังเกตจากสัตว์ ถ้าสัตว์รุมกินผลไม้ต้นไหน แปลว่าอร่อย แล้วก็เอามาปลูก คัดเลือกพันธุ์ ขยายพันธุ์ กลายเป็นสายพันธุ์ต้นไม้บ้านไป ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็เป็นไม้ป่าทั้งนั้น
อาตมาธุดงค์ไปเจอลูกมะพูด บางคนก็เรียกแอปเปิ้ลเมืองไทย สุกเหลืองอร่ามเต็มต้นเลย ไม่มีใครกิน จึงเก็บที่ตก ๆ มาชิม เจ้าประคุณเอ๋ย..เปรี้ยวจนเหงื่อหยด เปรี้ยวจนลิงเมิน ไม่อย่างนั้นปกติพวกลิง ค่าง กระรอก กระแต กินกันกระจายแล้ว สุกแล้วแต่เปรี้ยวกว่ากินมะนาวอีก ไปเจอต้นที่ไม่หวาน แล้วคิดว่าตัวเองโชคดี สุกเต็มต้นทำไมไม่มีใครกิน เจอไปเต็ม ๆ วันก่อนไปวัดท่าซุง เจอร้านค้าเปิดใหม่อยู่กลางทาง ชื่อร้านลุงมงคล เลยแวะเข้าไปดู ปรากฏว่ามีของที่ไม่รู้จักคือฟักข้าวกวน ปกติเคยแต่จิ้มน้ำพริก เคยแต่แกงส้ม นี่ฟักข้าวกวน เลยซื้อมาหนึ่งกล่อง ลองชิมดู รสชาติเข้าท่าดี... ระยะหลังนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เขาวิจัยเรื่องฟักข้าวว่ามีสารป้องกันอนุมูลอิสระสูงมาก ๆ เอาไว้ฟื้นฟูร่างกายหรือป้องกันมะเร็งได้ โบราณเขากินกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนรุ่นใหม่เพิ่งจะรู้จัก สมัยอาตมาเด็ก ๆ เอาไว้เป็นเป้าปืน เพราะฟักข้าวเวลาสุกลูกประมาณสองกำปั้น สีส้มแปร๊ดเลย กำลังสุกจะสีเหลือง ๆ อยู่ในใบเขียว ๆ เป็นเป้าเด่นเอาไว้ซ้อมมือ ยิงตูมกระจาย..! สมัยก่อนตามหัวไร่ชายนาจะมีเถาฟักข้าว เถาขี้กา บอระเพ็ด เถาวัลย์เปรียง รางจืด เดินไปที่ไหนก็มี สมัยนี้กลายเป็นของแพงไปหมด" |
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:11 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.