กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4024)

เถรี 19-04-2014 10:36

ถาม : ปฏิวัติครับ ?
ตอบ : ปฏิวัติก็ต้องให้หัวหน้าคณะปฏิวัติลงนาม ต้องโทษพวกเรียนนิติศาสตร์อย่างพวกคุณนี่แหละ ตาชั่งเอียงข้างเห็น ๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่ยึดหลักก็หลักลอย พอหลักลอยคนเขาก็เห็นชัดว่าเป็นอย่างไร แล้วนี่พวกเสื้อแดงจะไหวหรือแดดขนาดนี้ ? ยังขำ ๆ ที่เขาบอกว่าไปเกณฑ์ต่างด้าวมา เขาก็เลยต้องงัดบัตรประชาชนให้ดู เรื่องปล่อยข่าวทำลายกันนี่ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชังมาก คือเรารู้ว่าการโกหกก็ไม่ดีแล้ว แล้วนี่การโกหกยังเป็นการทำลายคนอื่นด้วย

ส่วนใหญ่ที่เกิดเรื่องนั้นเกิดจากนักวิชาการ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่าน ๆ มา ศึกษาให้ลึกสักนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ราชวงศ์ไหน จะมีการหักล้างกันลับ ๆ อยู่ข้างใน เพื่อที่มุ่งหวังยศตำแหน่งที่ตนเองต้องการ
จะได้ จะมีการทำลายล้างผู้อื่นแบบไม่ต้องคำนึงถึงหลักการ เหตุผล หรือศีลธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้เกิดชัยชนะก็พอ

คราวนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ สูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่าไปโดยไม่สมควรที่จะเสีย อย่างตอนผลัดราชวงศ์แล้วฆ่าบริวารเก่าจนหมด ส่วนใหญ่ข้าราชการทั้งหลายเหล่านั้นกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า มีฝีมือ มีประสบการณ์ในการทำงาน ในการบริหารประเทศ มาในยุคปัจจุบันอย่างเราที่เห็น ๆ ก็บ้านเลขที่ ๑๑๑ ตัดเอาคนมีฝีมือออกไป เหลือแต่มวยชั้นสองชั้นสามมายังอุตส่าห์แพ้เขาอีก เฮ้อ..!

เถรี 20-04-2014 10:00

ถาม : ความรู้สึกที่ไม่ชอบว่ามีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม ไม่มีสาระ ?
ตอบ : อันนี้ต้องบอกว่าปัญญาเริ่มเห็นธรรม ในเมื่อปัญญาเริ่มเห็นธรรมก็ต้องเน้นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่ายิ่งเน้นก็จะยิ่งชัดขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดสามารถก้าวเข้าสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือปล่อยวาง เห็นความเห็นธรรมดา ยอมรับกฎของกรรมได้ก็จะสบาย ไม่ว่าเกิดสภาวะอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าต้องไปต่อต้านดิ้นรน เพราะธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จะเกิดความสุขขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

ถาม : กลัวว่าจะกลายเป็นตัวไม่พอใจ ?
ตอบ : ดูว่าถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ยังเกิดก็เป็นกิเลส ถ้า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด พร้อมที่จะจากไปตลอดเวลา อันนั้นเป็นปัญญา

เถรี 20-04-2014 10:05

มีโยมลองใส่เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงคราม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เสื้อไม่สวยที่สุดในโลกหรอก แต่น่าจะขลังที่สุด เพราะด้านหลังมีพระพุทธเจ้า ๓๗ พระองค์เข้าไปแล้ว เขาเอาเคล็ดมาจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้ จะมีอิทธิบาท ๔ สติปัฏฐาน ๔ สัมปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ รวมแล้ว ๓๗ อย่างด้วยกัน แล้วก็มีสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วก็มีพระพุทธเจ้า ๓๖ พระองค์ล้อมอยู่

คาถา ๓ ตัวก็กำแพงแก้ว ๗ ชั้น พุทธัง สัตตะปการัง ธัมมัง สัตตะปะการัง สังฆัง สัตตะปะการัง ปกติจะไม่กล้ารบกวนสมเด็จองค์ปฐมท่าน แต่งานนี้เป็นรูปท่าน อย่างไรก็คงต้องเอา"

เถรี 21-04-2014 09:50

ถาม : พี่ที่อยู่นอร์เวย์ได้รับเชิญไปพูดที่โบสถ์คริสต์ให้คริสตศาสนิกชนฟังเรื่องพุทธศาสนา ได้รับคำถามที่น่าสนใจจากคริสตศาสนิกชน เช่น เขาถามว่าอะไรคือแก่นของพุทธศาสนา ?
ตอบ : แก่นแท้ของพุทธศาสนา คือ ละเว้นความชั่วทั้งปวง (ละกายชั่ว - ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย, ละวาจาชั่ว - ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์, ละความชั่วทางใจ - คิดโลภ อยากได้จนเกินพอดี (ถ้าไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมจัดเป็นสัมมาอาชีวะ) คิดอาฆาตพยาบาท (โกรธได้ แต่โกรธแล้วให้ลืมเสีย) มีความเห็นผิด (คิดว่าไม่มีศาสนาก็เป็นคนดีได้ ฯลฯ)

ทำแต่ความดีให้ถึงพร้อม (ดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตรงข้ามกับข้างบน) พยายามละกิเลส (ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ = หลงผิด เห็นความชั่วเป็นความดี) ให้หมดไปจากใจ

ถาม : อะไรคือหลักคำสอนและหลักปฏิบัติของพระพุทธองค์ที่สามารถนำมาใช้ในการดำรงดำรงชีวิตประจำวันได้ ?
ตอบ : ศีล (สำหรับคนเริ่มต้น) สมาธิ (สำหรับคนที่รักษาศีลได้แล้ว) ปัญญา (สำหรับคนที่รักษาศีลและทรงสมาธิได้)

เถรี 21-04-2014 09:52

ถาม : อะไรคือ Meditation ? ท่านปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : การสงบนิ่ง ไม่มีการปรุงแต่งให้ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มปฏิบัติด้วยการกำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวเมื่อไรให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันหนัก นานไปเมื่อมีความคล่องตัว ก็จะสามารถสงบได้ในทุกเมื่อ

ถาม : ปรัชญาแห่งศาสนาพุทธและการเจริญสติมีส่วนเหมือนกันหรือสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อมีสติก็จะระลึกได้ว่า เราต้องเว้นจากความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม (สมบูรณ์) เพื่อจะได้มีปัญญาในการชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกองกิเลส

เถรี 21-04-2014 09:53

ถาม : เราสามารถนับถือศาสนาพุทธและคริสต์พร้อมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ศาสนาไหนที่หลักการปฏิบัติไม่ขัดกัน ย่อมสามารถนับถือและปฏิบัติพร้อมกันได้

ถาม : หากให้ท่านจินตนาการว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์สนทนากัน ท่านคิดว่าท่านทั้งสองจะสนทนากันเรื่องอะไร ?
ตอบ : เราทั้งสองสอนให้พวกเขาทำความดี ละเว้นความชั่ว หวังว่าพวกเขาคงไม่เอาหลักการเหล่านี้ไปคุยข่มกัน ว่าของใครดีกว่า เพราะจะเป็นการเพิ่มกิเลสแทนที่จะเป็นการลดกิเลส

เถรี 21-04-2014 10:00

พระอาจารย์เล่าประวัติครอบครัวให้ฟังว่า "โยมพ่อแต่งงานกับแม่ใหญ่ที่เมืองจีน แต่ตอนอพยพมาเมืองไทย แม่ใหญ่กับพี่สาวคนโตไม่มาด้วย โยมพ่อก็เลยต้องมากับพี่ชายคนโตเพียงสองคน พอมาเมืองไทยก็มาแต่งงานกับโยมแม่ อายุห่างกันมาก ห่างกันเกือบสองรอบ เพราะถ้าพ่ออยู่ปีนี้อายุ ๑๑๓ ปีแล้ว แม่ยัง ๘๐ กว่าปีอยู่เลย

เมื่อทำงานได้เงิน โยมพ่อก็ฝากเงินไปทางโพยก๊วน สมัยก่อนพวกที่มาจากเมืองจีนต้องฝากเงินผ่านโพยก๊วนกลับไป เพราะไม่มีระบบธนาคาร พวกโพยก๊วนนี่ต้องบอกว่าเป็นต้นตำรับธนาคารนั่นแหละ แต่ว่าเป็นธนาคารที่ส่งไปต่างประเทศโดยเฉพาะ เสียค่าธรรมเนียมให้เขานิดหน่อย แล้วเขาส่งให้ถึงทุกที่ สมัยนี้ยังเก่งสู้ไม่ได้เลย

คนสมัยก่อนเขามีความซื่อตรง ประเภทที่เขาสอนกันว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” สมัยเด็ก ๆ เวลารถเมล์วิ่งมา เป็นรถที่มีโครงตัวถังเป็นไม้ ต้องใช้หมุน ๆ หัว กว่าจะสตาร์ทติดเหงื่อท่วมตัว ก็ฝากข้าวฝากของ ฝากเงินฝากทองไปได้ ไม่หาย ฝากไปถึงใครที่บ้านเป็นทางรถเมล์ผ่าน เขาก็ช่วยเอาไปส่งให้ ถ้าเราจะเอาของไปขายในเมือง แล้วตัวเองไม่ว่าง ก็ฝากเขาไปได้ กระเป๋ารถเมล์กับคนขับรถจะไปจัดการให้เสร็จสรรพ เขาก็รับค่าแรงไปนิดหน่อย ดู ๆ แล้วว่าสังคมยุคนั้นดีตรงที่ว่า เพื่อนบ้านรอบข้างช่วยเป็นรั้วแทน ถึงเวลาทำมาหากิน มีอะไรก็แบ่งสรรปันส่วนกัน บ้านโน้นแกงหม้อหนึ่งก็ตักมาแบ่งบ้านนี้ถ้วยหนึ่ง เวลาบ้านนั้นมีอะไรก็เอาไปแบ่งกัน แบ่งปันสู่กันกิน

คราวนี้พอโยมพ่อส่งโพยก๊วนหลายทีก็มีพิรุธให้แม่จับได้ แม่ก็เลยจัดการส่งเอง ถ้าบอกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตั้งนาน แล้วแม่เขามีนโยบายอย่างที่บอกว่า ส่งลูกให้เรียนทุกคน พวกพี่ชาย พี่สาวส่วนใหญ่จะเรียนภาษาจีน เพราะตอนนั้นสังคมรอบข้างยังใช้ภาษาจีนกันหมด แม้กระทั่งรุ่นอาตมาไปโรงเรียนยังพูดไทยไม่ได้เลย ครูต้องตีบังคับให้พูดไทย พอครูตีอาตมาก็ด่าเป็นภาษาจีน ครูก็ตีหนักขึ้นเพราะครูฟังออก..!

คราวนี้เมื่อลูกเรียนกันมาก ๆ แม่ก็ส่งไม่ไหว รุ่นของพี่ก้องเรียนที่บางลี่บ้านตาบ้านยาย โรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาคม มารุ่นของพี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์เรียนโรงเรียนบ้านยาง (อินทรศักดิ์ศึกษาลัย) ที่กำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๒๒ กิโลเมตร รุ่นพี่มุกดา
กับอาตมาเรียนโรงเรียนการบินกำแพงแสน ต้องขี่รถจักรยานไปกลับวันละ ๑๒ กิโลเมตร"

เถรี 21-04-2014 10:05

"อาตมาไม่เคยไปโรงเรียนสาย จะไปแต่เช้าทุกวัน ไปช่วยภารโรงเปิดห้องเรียน คราวนี้ห้องเรียนมีเยอะมาก เพราะมีทั้งโรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน พื้นที่มีเยอะก็เลยมีสารพัดห้อง ระดับมัธยมมีห้องภาษาอังกฤษ ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องภาษาไทย นักเรียนเดินเรียน ครูอยู่กับที่ พอถึงเวลาก็หิ้วกระเป๋า หิ้วรองเท้าเดินไป วางรองเท้าหน้าห้อง เข้าห้องเรียนไปสวัสดีคุณครูแล้วก็เรียน ถ้าอยู่ห้องคิงก์ ถึงเวลาชั่วโมงภาษาอังกฤษเขาจะมารับไปเข้าแล็บ จะมีลิงกัวโฟนที่เขาเอาไว้ฝึกนายทหารไปต่างประเทศ ก็เลยค่อนข้างจะได้เปรียบที่อื่นเขาในเรื่องภาษา

พอเรียนจบ มศ.๓ อยากจะเรียนต่อ แต่แม่บอกว่าส่งไม่ไหวแล้ว ให้น้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ ก็ชวนไปสมัครเรียนกัน อาตมาไปเป็นเพื่อนเขาเฉย ๆ ตอนนั้นโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่งเปิดเป็นปีแรกพอดี พอเอาใบสุทธิ สมัยก่อนไม่ใช่ รบ. นะ เป็นใบสุทธิ เอาไปให้ เขาเห็นเปอร์เซ็นต์การเรียน เขาบอกว่า “ไม่ต้องสมัคร รับเลย” แค่จ่ายค่าเทอมเท่านั้นพอ กลับมาบอกแม่ว่าค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แม่บอกไม่มีปัญญาส่งหรอก แพงโคตรเลย..สมัยนั้น

สมัยนั้นการเรียนระดับพาณิชยการหรือว่า ปวช. เริ่มดัง คนนิยมเรียนกันมาก เพราะถือว่าเรียน มศ.๔ มศ.๕ กับมหาวิทยาลัยรวมแล้วเสียเวลาไปตั้ง ๖ ปี ไปเรียนพาณิชย์ ๒ ปีก็ทำงานได้แล้ว เขาก็เลยนิยมเรียนกัน อาตมาไม่มีสิทธิ์เรียน แม่ยืนยันว่าส่งไม่ไหว ฉะนั้น..ไปทำงานเถอะ ก็เลยต้องเข้ากรุงเทพฯ มาหัดงาน

ไม่อยากจะบอกว่า ที่แรกที่มาหัดงานในกรุงเทพฯ ก็คือตรงตลาดพลูนี่แหละ น่าจะประมาณต้นปี ๒๕๑๙ พอออกจากชั้น มศ.๓ ก็มาหัดงาน สมัยก่อนถ้าอยากทำงานเป็น ต้องไปรับใช้จนกระทั่งนายช่างเขายอมถ่ายทอดวิชาให้ พี่ชายคือพวกพี่ก้องเกียรติ พี่ประสิทธิ์ พี่สุรกานต์ ไปหัดงานกันถึงปากช่อง นครราชสีมา ไปฝึกงานซ่อมรถยนต์ แล้วก็มาเปิดอู่ซ่อมรถกัน

อาตมาเองก็มาหัดงาน จำได้ว่าชื่อร้าน จ.แสงยนต์ เป็นตึกแถว ๓ ชั้น ตอนนั้นถือว่าเป็นอาคารที่ใหญ่โตมโหฬารในความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าสมัยนั้นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คือตึกโชคชัยสเต็กเฮาส์
ของฟาร์มโชคชัย สูงตั้ง ๒๒ ชั้น อยู่ตรงสุขุมวิท แล้วก็มีอีกที่คือโรงแรมอินทรา ตรงประตูน้ำออกมาทางด้านราชปรารภ ที่สูงกว่าใครในช่วงนั้น เขาคงรื้อทิ้งไปนานแล้ว ตึกสูงที่สุดในประเทศไทยสูงตั้ง ๒๒ ชั้น สมัยนี้ ๒๒ ชั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป คอนโดมีเนียมที่ไหนก็ทำได้"

เถรี 21-04-2014 10:09

"หัดงานอยู่ ตื่นตี ๕ นอนตี ๓ ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง เพราะว่าเขาต้องใช้งานจนคุ้ม ทำงานก็ดึก ๆ ดื่น ๆ งานหนัก แล้วบางทีง่วงมาก ๆ เวลาถอดล้อรถยนต์พวก ๖ ล้อจะโดนทับตาย เพราะว่าสมัยนั้นยังตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ อยู่ พอไปถอดล้อรถก็ต้องใช้กากบาท ไม่มีแม่แรงลมเหมือนสมัยนี้ ถอดน็อตเสร็จถึงเวลางัดล้อออกมา มัวแต่งงขี้ตาอยู่เพราะง่วงจัด จะโดนล้อรถทับตาย..!

ทำงานอยู่หลายปี น่าจะ ๒ ปีกว่าเริ่มเป็นงาน จึงไปสมัครงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม อยู่ท้ายซอยอ่อนนุช เป็นโรงงานผลิตตู้เซฟยี่ห้อโตโยมิสุ ตู้เซฟยี่ห้อนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีอยู่อาตมามั่นใจว่าปลดล็อกได้ทุกตู้ ไม่ต้องใช้คาถาอะไรหรอก เพราะจำรหัสได้ จะตั้งรหัสเดียวกันทุกตู้ เวลาออกจากโรงงานจะเป็นรหัสเดียวกันหมด
ถึงเวลาก็ให้เจ้าของไปเปลี่ยนรหัสใหม่เอาเอง ถ้าใครไม่เปลี่ยนอาตมาสามารถปลดล็อกได้หมด

ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนกสี เข้าไปใหม่ ๆ ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ๖ วันจ่ายที เขาจะจ่ายเป็นสัปดาห์ แล้วก็รอไปเถอะ เถ้าแก่มาจ่ายเงินไม่เป็นเวลาหรอก บางวัน ๔-๕ โมงเย็นก็มาแล้ว บางวัน ๓ ทุ่มกว่ายังไม่มาเลย จนกระทั่งไปโวยวายกับแม่บ้านชื่อพี่เอื้อย ว่าทำไมเถ้าแก่ไม่เห็นใจพวกผมเลยหรือ ? มาจนดึกขนาดนี้ นี่พวกผมยังต้องกลับบ้านอีก เขาบอกว่า “เราก็ต้องเห็นใจเถ้าแก่ด้วย พกเงินมาทีเยอะ ๆ ถ้ามาตรงเวลาถูกเขาดักปล้นเอาได้เหมือนกัน” ก็จริงของเขา แกมาไม่เคยตรงเวลาสักครั้ง มาเช้า มาเย็น มาสาย มาดึก ค่าแรง ๒๕ บาทต่อวัน กินอยู่เอง
รับเงินครั้งแรก ๑๕๐ บาทรู้สึกว่าเยอะจริง ๆ

ทำงานไปทำงานมา ๗ เดือน เขาเลื่อนขึ้นให้เป็นหัวหน้าแผนกสี ค่าแรง ๗๐ บาทต่อวัน ก็คิดว่า เออ..ฝีมือของเราเพียงพอที่จะหางานทำที่อื่นแล้ว ก็เลยลาออก เพราะว่าอายุก็น้อย โตเร็วเกินไป คนที่หมั่นไส้ก็มี เลยลาออกไปหางานทำที่อื่น ไปได้งานอู่ซ่อมรถยนต์ กลายเป็นเด็กหัดใหม่อีก การทำสีตู้เซฟ ตู้เซฟเป็นเหลี่ยม ๆ คุณทำอย่างไรก็ได้ ให้เป็นสี่เหลี่ยมเรียบกริบขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว แต่รถยนต์ชิ้นส่วนมีโค้ง ๆ ตายละวา..ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว"

เถรี 22-04-2014 13:10

"พระครูแสงเขาทำงานมาก่อน พระครูแสงติดนิสัยพี่ชายคนใหญ่มา ทำงานละเอียดมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนใจร้อน นิสัยขี้โมโห แต่ถ้าเรื่องของงานศิลป์นี่เขาจะละเอียด พระครูแสงเขาวาดรูปเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาเลียนแบบการ์ตูนได้เหมือนต้นฉบับเลย เขาก็เลยทำงานได้ดีกว่า ทำไปทำมาพี่ประสิทธิ์เปิดอู่ซ่อมสีรถ พี่ก้องเกียรติเปิดอู่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ พี่สุรกานต์ช่วยงานพี่ก้องเกียรติอยู่ พี่ชูชาติเป็นพี่เขยก็ซ่อมเครื่อง กลายเป็นคนละทิศคนละทางกันหมด

คราวนี้อาตมาถนัดงานสี ออกมาก็เลยกลายเป็นมาช่วยงานพี่ประสิทธิ์ จากที่ตัวเองมีค่าแรงวันละ ๗๐ มาช่วยงานพี่ประสิทธิ์กลับไม่มีค่าแรง เพราะพี่ประสิทธิ์เขาบอกว่า “เอ็งทำ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกิจการนี้ข้าก็ยกให้เอ็ง” พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างหนึ่งว่าจะบวช งานทุกอย่างก็ทำเพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อพี่น้อง ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย แกคิดจะบวชอย่างเดียว

ช่วงที่มาทำงานกับพี่ประสิทธิ์นี่แหละ มีโอกาสได้เจอหลวงพ่อฤๅษี เพราะว่าช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๑๙ ปลาย ๆ ปี ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อฤๅษีมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ตอนที่โยมพ่อตาย พี่ก้องเกียรติก็เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานไปให้ ตอนนั้นพิมพ์เป็นครั้งแรกเลย เห็นว่าอาตมาดูแลพ่อมาทั้งวันทั้งคืน ๖ ปีเต็ม ๆ ก็เลยเอาหนังสือกรรมฐานไปทิ้งไว้ให้ บอกว่า “อ่านดู..ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจที่พ่อตาย”

พออ่านก็เสร็จ..ติดหนับเลย ก็แอบฝึกไปเรื่อย คราวนี้พอความสนใจมากขึ้น ๆ ประกอบกับ ๒ ปีก่อนหน้านั้นครูเขาสอนพื้นฐานการปฏิบัติกรรมฐานให้แล้ว ช่วงนั้นใคร ๆ ก็เลยว่าครูกับลูกศิษย์คู่นี้มันบ้า อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่าเขาชวนไปทำบุญกับหลวงพ่อ ใหม่ ๆ ไม่ไปหรอก ฝากเงินไปทำบุญครั้งละ ๑๐ บาท สมัยนั้นยังมีธนบัตรใบละ ๕ บาท ๑๐ บาทอยู่ พอทำไปทำมาก็สงสัยว่าเขาไปอะไรกันทุกเดือน ๆ ก็เลยเกาะท้ายมอเตอร์ไซค์พี่เขาไปด้วย เสร็จแล้วฝึกมโนมยิทธิได้ ท้ายสุดไม่ต้องให้เขาชวนหรอก ไปเองเลย"

เถรี 22-04-2014 13:13

"ทำงานไปจนอายุ ๒๑ ปี มีหมายเกณฑ์มา ให้ไปคัดเลือกทหาร ช่วงนั้นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อให้ตัดสินใจ เพราะว่าพี่ประสิทธิ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคนรับช่วงกิจการ แต่ว่าพระครูแสงเขาไปทำอยู่ก่อนแล้วตั้ง ๓ ปี พระครูแสงเรียนจบ ป.๗ ก็เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานเลย ไม่เรียนมัธยม ส่วนอาตมายังตื๊อเรียนมัธยมมาอีก ๓ ปี หาเงินเรียนเอง คราวนี้ด้วยความที่พระครูแสงมาก่อน แกก็ทำงานแบบไม่มีเงินเดือนเหมือนกัน โดยมีความหวังว่า ท้ายสุดกิจการนี้ก็เป็นของแกเหมือนกัน ก็มานึกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าเรามาก่อน ๓ ปี เขาบอกว่ากิจการนี้จะยกให้เรา แล้วอยู่ ๆ พอพี่ชายมาเขาบอกจะยกให้คนอื่น ถึงเป็นพี่เราก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน จึงอยู่ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจ

พอมีหมายเกณฑ์มาเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า ตกลงเราไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาแย่งสมบัติกัน ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเป็นทหาร แต่คราวนี้แม่สิ แม่ไม่เคยยอมให้ลูกเป็นทหารสักคน ไปวิ่งเต้นเสียเงินเสียทองให้กับทางอำเภอมาทุกคน ก็ห้ามแม่ไว้ว่าอย่าไปเสียเงิน แม่ก็เลยเอาแบบว่า มีหลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนศักดิ์สิทธิ์พาไปหมด ไปบนไม่ให้ลูกเป็นทหาร

อาตมาไปถึงก็จุดธูปจุดเทียนกราบงาม ๓ ครั้ง บอกว่า “หลวงพ่อครับ อยู่เฉย ๆ นะครับ ผมอยากเป็น” ไม่อยากให้หลวงพ่อมายุ่งกับอนาคตของตัวเอง ว่าอย่างนั้น พอถึงวันคัดเลือกก็ไปสมัคร เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ออกมาบอกว่า “แม่..เรียบร้อยแล้วครับ ได้ใบแดง” แม่บอกว่า “เอ็งไม่ต้องมาโกหก ปีที่แล้วเขาจับกันตอนบ่าย เอ็งไปสมัครใช่ไหม ?” แม่พาลูกมาหลายคน..แกรู้ จากอำเภอมาถึงบ้าน แม่แกด่าจากอำเภอ
ยันมาถึงบ้านเลย..!"

เถรี 22-04-2014 13:19

"วันแรกเขาพามาแยกตัวกันที่มณฑลทหารบกที่กรุงเทพฯ นี่แหละ ตรงกองพลที่ ๑ เขาแจ้งว่าวุฒิฯ มัธยม อายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี สามารถเรียนต่อนักเรียนนายสิบ ได้จะเรียนไหม ? ก็เกิดแรงบันดาลใจว่า เราอยากเรียนมานานแล้ว สมัยนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าการเรียนทหารไม่เสียเงินเสียทอง เพราะไม่เหมือนกับสมัยหลัง ๆ ที่ทางโรงเรียนจะมีคนเข้าไปแนะแนวการศึกษาให้ สมัยนั้นต้องตรัสรู้เอง ก็เลยไม่รู้ ถ้ารู้นี่โดดเข้าไปเรียนนานแล้ว

พอเข้าไปแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ต้องเสียอะไรเลย เสื้อผ้า ที่อยู่ที่กินอะไรเขาให้หมด แล้วมีเบี้ยเลี้ยงให้อีกต่างหาก พอมีให้เรียนก็เลยไปเรียน ผลการเรียนก็ดันออกมาเกินชาวบ้านชาวเมืองเขาอีก เพราะฉะนั้น..ถึงเพื่อนฝูงเขาจะเหม็นขี้หน้าขนาดไหน เขาก็ต้องพึ่งพาอาศัย เพราะเขาต้องให้ช่วยเขาในเรื่องเรียน

จนกระทั่งไปถึงจุดอิ่มตัวตรงที่ว่า ทำงานตรงไปตรงมาแล้วไปขวางทางเพื่อน เขาก็เลยฟ้องร้อง ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่คุมพวกของหนีภาษีไปส่งคลัง ปกติแล้วจะหายหกตกหล่นเข้ากระเป๋าคนอื่นเป็นประจำ คราวนี้อาตมาไปลงบัญชีทุกชิ้น มีการเซ็นรับเซ็นส่ง เบี้ยวไม่ได้ กลายเป็นไปเกะกะทางเขา เขาก็เลยฟ้องเอา

ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวว่าโดน มารู้เอาตอนที่จ่ากองพันเขามากระซิบถามว่า “เอ็งไปทำอะไรผิดหรือเปล่า ? เจ้านายเขาสั่งตรวจสอบบัญชีทุกธนาคาร แล้วก็ไปรษณีย์ด้วย ว่ามีการฝากเงิน โอนเงิน ส่งเงินกลับบ้านหรือเปล่า ?” อาตมาก็สังหรณ์ใจว่าเรื่องอะไร อยู่ ๆ เจ้านายมาตรวจสอบ ตอนนั้นก็ยังซื่อเกินไป ไม่รู้หรอกว่าโดนเพื่อนเล่นเข้าให้แล้ว"

เถรี 22-04-2014 13:20

"ในที่สุดก็มีหนังสือจากกองพันแจ้งมาว่า ให้เข้าไปที่กองพลเพื่อรับการสอบสวน พอได้ยินเท่านั้นแหละ เกิดความรู้สึกว่า “ในเมื่อกูทำดีไม่ได้ดี แล้วจะทำไปทำไม ?” ก็เลยพิมพ์ใบลายัดใส่อกเสื้อไปด้วย พอไปให้เขาสอบสวนก็ให้การตามความเป็นจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการตัดสินว่าไม่มีความผิด อาตมาก็วางใบลาโป้ง..! ลงต่อหน้าคณะกรรมการเลย บอกว่าผมขอลาออกครับ บรรดาเจ้านายเขาก็ตกอกตกใจกัน

ส่วนใหญ่แล้วทหารไม่มีใครกล้าลาออกจากงาน เพราะเขาทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่อาตมาทำอะไรก็ได้ เขาก็ยังบอกว่า “ถึงออกไปแล้วมาทำงานให้กูแล้วกัน กินเงินเดือนกู” อาตมาก็บอกว่า “ไม่เอาหรอกครับ คนอย่างผมถ้าไปแล้วไปเลย” สรุปว่าเพื่อนเขาอ่านขาด แต่อาตมาไม่เข้าใจเพื่อนเอง เพื่อนเขารู้ว่าถ้ามัวหมองขึ้นมาลักษณะอย่างนี้อาตมาจะไม่อยู่ ต้องถอยให้เขาอยู่ดี แต่อาตมาเองไม่รู้จักเพื่อน ว่าเพื่อนเราถึงเวลาแล้วไปขัดผลประโยชน์ เขาก็มาเหยียบกันอย่างนี้ก็ได้..!

เพราะว่าถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความผิด แต่ประวัติติดตัวแดงไปแล้ว ว่าเคยโดนสอบสวนข้อหาทุจริต พอถึงเวลาถ้าเป็นคู่แข่งใครเพื่อตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เขายกตรงนี้ขึ้นมาตีนี่เสร็จเลย ก็เลยตัดสินใจออก มาหางานทำใหม่"

เถรี 22-04-2014 13:22

"ช่วงที่ไปสนุกสนานกับชีวิตทหาร พี่ประสิทธิ์ที่ตั้งใจว่าจะบวช กลับไปแต่งงาน เนื่องจากว่าพี่เขาไปถามหลวงพ่อฤๅษีกลางบ้านสายลมต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ เลย ด้วยความเคยชิน นิสัยไม่กลัวใคร เสียงดังฟังชัดอยู่แล้ว ไปถึงก็ถามว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชแล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?” หลวงพ่อท่านก็ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดเหมือนกันว่า “โคตรแม่มึงทำเองแล้วกูจะไปบอกได้อย่างไรเล่า..!” เพราะถ้าขยันก็ได้ ถ้าขี้เกียจก็อด

แต่คราวนี้พี่ประสิทธิ์น่าจะวาระกรรมมาถึง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านทดสอบลูกศิษย์นี่ท่านใส่หนัก ๆ ชนิดไม่เลี้ยงเลย ประเภทที่ว่าถ้าผ่านได้ก็ไปเลย ถ้าผ่านไม่ได้ก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ พี่ประสิทธิ์แกไปตีความว่าบวชไปก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น..แต่งงานดีกว่า น่าจะคิดว่าไปเป็นพระอรหันต์ของลูกดีกว่า อะไรอย่างนั้น

เรื่องการแต่งงานอาตมาต้องชมพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เขาครอบพี่ชายอยู่หมัดเลย จนกระทั่งทุกคนในบ้านบอกว่า "ตกลงนี่เอ็งแต่งออกหรือแต่งเข้า ?" เพราะว่าจากที่ทำทุกอย่างเพื่อพี่ เพื่อน้อง เพื่อพ่อแม่ กลายเป็นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวข้างโน้น ต้องบอกว่าพี่สะใภ้คนนี้เก่ง ขนาดพี่เขาถูกรางวัลที่หนึ่งพวกเราก็ไม่มีใครรู้ พี่สะใภ้แอบเอาเงินซื้อที่ไว้ ๒๐ กว่าไร่ที่หนองจอก พวกเรามารู้เอาตอนที่แกจะตายแล้ว ก็ต้องชมว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ว่าลูกผู้หญิงถ้าทำลักษณะอย่างนั้น ทางบ้านผู้ชายจะไม่มีใครคบด้วยแน่ ๆ"

เถรี 23-04-2014 10:05

"ฝ่ายพี่ชายที่แต่งงานมีพี่ชายใหญ่แต่งกับพี่บุญฉัตร พี่วิเชียรแต่งกับพี่หงส์ ต้องบอกว่าเป็นพี่สะใภ้ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พี่ก้องแต่งกับพี่หอม พี่ประสิทธิ์แต่งกับพี่เตียง พี่สุรกานต์คบหาสมาคมกับแฟนมาเป็น ๑๐ ปี ถึงขนาดประเภทส่งเสียให้ร่ำเรียน แต่ปรากฏว่าพอเขาไปเจอที่ถูกใจกว่าเขาก็ไปเลย ตกลงพี่สุรกานต์เขาเลยกลายเป็นโสด

ทางด้านฝ่ายพี่สาวมีพี่อรทัยแต่งกับพี่ไพบูลย์ ก็ไปเป็นเจ้าแม่ทุ่งคอก พี่อรทัยเขาขยัน ทำงานเก็บเงิน ได้เงินมาซื้อห้อง ซื้อตึก ซื้อจนกระทั่งตลาดทุ่งคอกเกือบทั้งตลาดเป็นของเขาหมด พอมีลูกก็ยกให้ลูกคนละหลัง ยกให้หลานคนละหลัง ลูกหลานแต่ละคนทำกิจการ กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ต้องบอกว่าพี่ไพบูลย์แกทำบุญมาโคตรจะดีเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ ก็เดินแกว่ง กินกาแฟ เล่นหมากรุก กิจการทุกอย่างพี่อรทัยทำหมด พี่เขยคนนี้สุดยอดจริง ๆ ไม่เคยลำบากเลย

พี่พนารัตน์แต่งกับพี่อุดม ต้องบอกว่าพี่พนารัตน์เป็นที่พึ่งของครอบครัวอยู่หลายปี ก่อนหน้านั้นทางพี่อรทัยกับพี่พนารัตน์จะมีเพื่อนซี้อยู่ก็คือพี่อ๋ากับพี่แมว ทั้งสี่สาวนี่ดังระเบิดเถิดเทิง เหมือนอย่างกับว่าเป็นดอกไม้งามอยู่กลางป่า มีแต่คนกล่าวขวัญถึง ขึ้นบ้านกันหัวกระไดไม่แห้ง แล้วก็ประเภทหนังเหนียวจริง ๆ ไม่ยอมแต่งกับใครง่าย ๆ ช่างเลือก ท้ายสุดก็แต่งงานแต่งการไปทุกคน

ถ้าจำไม่ผิด พี่อ๋าไปแต่งกับเจ้าของโรงสีที่นนทบุรี พี่แมวแต่งกับเสมียนโรงแรมวันชัย ที่ปากช่อง ใกล้ทางขึ้นเขาใหญ่ แต่ว่าไม่ได้พึ่งกิจการสามีเท่าไรหรอก เพราะว่างานเสมียนสมัยก่อนก็อย่างว่าแหละ ดูแลกิจการเหมือนกับเป็นของตัวเอง ทุ่มเท แต่ได้เงินเดือนหน่อยเดียว พี่แมวเขามาเปิดร้านขายอาหารชื่อพรมงคลอยู่ที่ตลาดปากช่อง พอดีช่วงนั้นการออกอีสานมีอเมริกาตัดถนนให้ ปากช่องกลายเป็นชุมทางใหญ่ โอ้โฮ..รวยไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่ารถทัวร์พอถึงเวลาก็มาจอง ขนาดทำอาหารไม่ไหว จ้างลูกจ้างเป็น ๑๐ คนก็สู้ไม่ไหว ต้องบอกว่าแต่ละคนเขาก็มีทางชีวิตของเขาเอง

พี่อรวรรณแต่งกับพี่ชาติ พี่ชาติจริง ๆ ก็ทำงานอยู่กับพี่ก้องนั่นแหละ ทำไปทำมาก็เลยคว้าเอาพี่อรวรรณไปด้วย ประเภทที่ว่าทำงานอยู่ด้วยกันมานาน จากลูกน้องก็มาเป็นน้องเขยแล้วกัน"

เถรี 23-04-2014 10:20

"คนสุดท้ายในบ้านที่แต่งงานก็คือพี่มุกดา คงไม่มีใครรู้ว่าพี่มุกดาก็มีครอบครัวเหมือนกัน พอแต่งงานก็ไปดูแลบริหารกิจการงานให้เขาเจริญรุ่งเรือง แต่พี่มุกดาตกต้นไม้ พิการตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีลูก ทางด้านคุณสามีเขาเป็นคนจีน ครอบครัวเขาเลยตั้งข้อรังเกียจ เขาก็เลยไปหาเมียน้อยมายัดให้ลูกชาย โดยที่พี่มุกดาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้

ท้ายสุดพี่มุกดาคงเห็นว่า ทำอะไรให้เขาทุกอย่างแล้วยังทำกันอย่างนี้อีก ก็อย่าไปอยู่กับเขาเลย จึงออกมาเฉย ๆ เขามาตามง้ออยู่เป็นปีเหมือนกัน แต่ว่าพี่เขาฉลาด เขาไม่กลับไปหรอก ด้วยความที่พี่มุกดาแกบริหารงานทุกอย่าง พอออกมาแล้วสะใภ้คนใหม่เขาทำงานไม่เป็น แล้วพี่เขยก็กำลังเล่นการเมือง คือสมัคร สก. ก็เลยไม่ได้ไปดูแล ให้พี่สะใภ้คนใหม่บริหารงาน เจ๊งเรียบร้อย เรื่องของงาน ถ้าไม่ได้ทุ่มเทดูแลใกล้ชิด แล้วไว้วางใจให้คนอื่นทำแทน ถ้าได้คนที่ไว้วางใจได้ก็ดี ถ้าไว้วางใจไม่ได้นี่มีโอกาสเจ๊งสูงมาก

สรุปว่าที่บ้านตั้งแต่อาตมาลงไปไม่มีใครแต่งเลย เพราะว่าแต่ละคนเขาเหมือนกับรอให้ไปตามลำดับ อาตมาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่งได้แต่งไปเลย จนกระทั่งท้ายสุดน้องสาวคนเล็กก็คือนิด มาแต่งเอาตอน ๔๐ กว่า เพราะว่าเห็นใจว่าผู้พันจี๊ดตามมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะติดนายร้อยใหม่ ๆ คิดดูว่าร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก พันตรี ผ่านไปกี่ปี ? ในเมื่อผู้ชายเขาอึดขนาดนั้นจึงยอมแต่งด้วย

ตอนที่ขึ้นไปแต่งงาน เขากล่าวอะไรกันบนเวทียังขำ ๆ เขาบอกว่าเพื่อนฝูงอย่าหาว่าเขามีรสนิยมวิปริตนะครับ เขาก็นิยมพวกสูงยาวขาวตึงเหมือนกัน แต่กลายเป็นสูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง ไปแล้ว รอนานไปหน่อย เขารอได้นานขนาดนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าอึดใช้ได้เลย สมัยนี้นะหรือ ? ประเภทส่งไลน์ไป ๓ ครั้งไม่ตอบก็เลิกกัน เอาแค่นี้ก่อน..เดี๋ยวนินทาชาวบ้านเขาเยอะ"


ถาม : นี่ก็ครบพี่น้องทุกคนแล้วครับ ?
ตอบ : หลานยังมีอีกเยอะ หลาน ๓๐ กว่าคน เหลนอีกเป็น ๑๐ คน และยังมีตามมาอีกเรื่อย ๆ เลยจากหลานไปนี่จำได้ไม่กี่คน

เถรี 23-04-2014 10:25

มีเรื่องตลกว่าพ่อกับแม่ส่งเงินไปเมืองจีนเท่าไร ๆ เขาก็บอกว่าไม่พอ จึงต้องถามว่าทำไม ? ท้ายสุดทางด้านพี่สาวใหญ่ทางโน้นบอกว่าจะเอาไปซื้อจักรยาน คือในสมัยนั้นจักรยานเป็นความใฝ่ฝัน เหมือนคนไทยอยากขี่รถเบนซ์ อย่าลืมว่าประเทศเขาเคยครองตำแหน่งประเทศที่มีจักรยานมากที่สุดในโลก เพิ่งจะมาเห่อรถยนต์กันไม่กี่ปีนี่เอง โตโยต้าวีออสโรงงานใหญ่ที่สุด กำลังผลิตเต็มที่ปีละ ๓๐๐ คัน คนจีนจองปีหนึ่งแสนกว่าคัน ผลิตให้ทันไหมล่ะ ?

ในช่วงเด็ก ๆ มีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง เรียกฮุ้นเจ็ก ชื่อแกแปลว่าเมฆ อาเจ็กคนนี้เป็นบัณฑิตแล้วหนีมา เพราะว่าสมัยนั้นเมืองจีนเขากวาดล้างปัญญาชน แกมาแล้วต้องบอกว่าแกคิดผิด แกคิดจะมายึดอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ แกมาก็มาอาศัยอยู่ในกลุ่มคนจีน เพราะว่าสมัยนั้นเขาจะ
อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ อย่างคนจีนก็จะรวมกลุ่มกันแถวนครปฐม แถวท่ามะกา หรือไม่ก็แถวสมุทรสาคร ท่าจีนแถวนั้น

ก็ปรากฏว่าอาเจ็กตระเวนไปหางานสอนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่มาเริ่มต้นชีวิตกันทั้งนั้น ต้องทุ่มเทให้กับงาน พอมีลูกมีหลานก็ใช้เป็นแรงงานในบ้านหมด ไม่มีโอกาสไปเรียนหนังสือ จากบุคคลที่ต้องบอกว่าเหมือนจบปริญญาสมัยก่อน ซึ่งน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด กลายเป็นคนที่ไม่มีความสำเร็จในชีวิตอะไรเลย เพราะผิดที่ผิดทาง พวกที่มาเป็นกรรมกรตั้งหลักได้ก่อน แต่บัณฑิตไม่มีงานทำ แกก็เที่ยวไปอยู่บ้านโน้นนิด บ้านนี้หน่อย อาศัยเขากินไปวัน ๆ ท้ายสุดมาอาศัยอยู่ที่บ้านอาตมานานที่สุด

เถรี 23-04-2014 10:29

สมัยนั้นโยมพ่อไปหักร้างถางพงได้ที่มา ๒๐๐ ไร่ กลายเป็นที่พักชั่วคราวของพวกที่มาจากเมืองจีน พอถึงเวลาใครยังหาญาติพี่น้องไม่เจอ ยังไม่มีที่ทำกินของตัวเองก็มาอยู่มากิน มาทำงานที่บ้านก่อน ก็จะมีอาเจ็กคนนี้กับอาเจ๊อีกคนหนึ่งที่มาอยู่กันทั้งครอบครัวเลย จนกระทั่งจำได้ว่าเรียนหนังสือ ป.๓ หรือ ป.๔ แล้ว ครอบครัวเจ๊น่ำฮวยแกถึงลงหลักปักฐานได้ จึงย้ายไปอยู่ในที่ของตัวเอง

สมัยก่อนเรื่องการอาศัยกันอยู่ เขาถือว่าเพิ่มตะเกียบคู่เดียว ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? ก็เพิ่มตะเกียบคู่เดียว ถึงเวลาก็เพิ่มอาหารให้เขาหน่อยแค่นั้นเอง เพราะอยู่กินกับกงสี แล้วพ่อทำไร่ยาสูบ ลูกน้องตั้ง ๓๐-๔๐ คน ก็แค่เพิ่มข้าวมาชามสองชามไม่ได้มากมายอะไร พึ่งพาอาศัยกัน แต่ว่าเห็นอาเจ็กแกเครียดเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นเด็กยังรู้ รู้เพราะว่าตัวอาเจ็กความรู้สูงแต่หางานทำไม่ได้ ต้องมาอาศัยชนชั้นต่ำที่ตัวเองเคยดูถูกว่าเป็นคนละชั้นกันกิน

ที่รู้ว่าแกเครียดเพราะแกต้องเมาทุกวัน ไม่เมาแล้วจะคิดมาก ด้วยความที่แกเมานี่แหละ วันนั้นก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก เพราะว่าโยมพ่อบอกให้ไปซื้อน้ำมันก๊าดมา อาตมาคว้าขวดเหล้าจอนนี่วอล์กเกอร์ได้ก็วิ่งไปซื้อมา พอกลับมาวางไว้ยังไม่ทันจะเติมตะเกียงเลย อาเจ็กแกเดินเซเข้ามาถึงแกก็กรอกอั้ก ๆ เข้าไปเลย แล้วสักพักแกก็ เอ๊ะ..ไม่ใช่เหล้านี่หว่า กินเข้าไปตั้งเยอะแล้วนะ

ดีตรงที่ว่าแกเคยเป็นโรคพยาธิ ถ่ายออกมาหมดเลย พยาธิก็คงไม่คิดว่ามีใครกินยายี่ห้อนี้ถ่ายพยาธิ ยี่ห้อน้ำมันก๊าด ไม่เป็นอะไรนะ..ถ่ายออกมาเฉย ๆ ในสมัยนั้นที่เห็นก็เห็นอาเจ็กคนนี้แหละ ฮุ้นเจ็กเรียนมาสูงแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นบัณฑิตแต่สู้กรรมกรไม่ได้ แล้วก็มาเห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่เตี่ยช่วยเอาไว้ กลายเป็นว่าสนองคุณด้วยโทษ บุกรุกพื้นที่บ้าง ยึดพื้นที่บ้างอะไรให้ยุ่งไปหมด เพราะว่าเตี่ยไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ว่ากฎหมายไทยมีการครอบครองโดยปรปักษ์ได้ ให้เขาอยู่เป็น ๑๐ ปี เขายึดที่เป็นของเขาเองหมดเลย แล้วเตี่ยก็ไม่อยากมีเรื่อง คนจีนเขาถือว่าขึ้นโรงขึ้นศาลกินขี้หมาดีกว่า จึงเสียพื้นที่ให้เขาไปเยอะแยะ

ถึงได้เห็นว่าแม้ว่าเราจะตั้งใจช่วยเขาก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะสำนึกบุญคุณ พอถึงเวลาก็ตอบแทนด้วยความแสบชนิดที่เราคิดไม่ถึง พอดีโยมพ่อทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ พออายุมากก็เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาตัวเอง เงินทองต้องรักษาตัวเองด้วย ส่งให้ทางเมืองจีนด้วย ลูก ๑๐ กว่าคนแม่ก็ตั้งใจให้เรียน ก็เลยกลายเป็นชักหน้าไม่ถึงหลัง พอถึงเวลาแม่ไปเที่ยวหยิบยืมเขา คนที่
เราเคยช่วยเขามากลับไม่ช่วยเลย เป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนอย่างกับต่างคนต่างมีข้ออ้าง เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่เขาลำบากแล้วมาให้เราช่วยบ้างเลย

เถรี 24-04-2014 13:48

อาประเสริฐเป็นคนที่พ่อช่วยเขาน้อยที่สุด แต่เขาช่วยกลับมาเยอะที่สุด ก็อย่างว่านั่นแหละ ทางแม่ถือเรื่องศักดิ์ศรี ติดหนี้ใครก็ต้องใช้คืนเขา พยายามที่จะรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด จำได้ว่าหลังงานศพของพ่อทุกคนเหลือแต่ตัว พี่ชายมีตึกสามชั้นอยู่ตลาดพลูต้องขายตึก อีกคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากอย่างดีก็ต้องขาย เอาเงินมาทำกงเต๊กให้พ่อ ๗ วัน ๗ คืน

ถ้าจำไม่ผิดกงเต๊กตอนนั้นคืนหนึ่งตั้งเจ็ดแปดพัน แล้วทองบาทละ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ถามว่ามีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทำ ? เพราะว่าลำบากทุกคนนะ..ไม่ได้ลำบากคนเดียว พี่ ๆ บอกว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นดูถูกเอา อาตมาได้ยินแล้วเซ็ง ทำอย่างกับว่าทำไปแล้วเขาจะไม่ดูถูกอย่างนั้นแหละ กลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทำให้ทุกคนต้องขยันโดยอัตโนมัติ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทำกันเหมือนไอ้บ้า อย่างที่บอกว่านอนตี ๓ ตื่นตี ๕ ประมาณ ๔-๕ ปีกว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ตามเดิม แล้วพี่ ๆ ก็ทยอยกันแต่งงาน

อาตมาเองตอนดูแลพ่อ เหตุผลของพี่ ๆ ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน” เหตุผลตอนที่ดูแลแม่ก็คือ “เอ็งเป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน” อาตมาโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ตอนดูแลพ่อยังเรียนหนังสืออยู่นี่ เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่ได้ทำงาน พอมาดูแลแม่ก็เป็นคนโตที่สุดที่ยังไม่แต่งงาน เป็นอะไรที่ตลกแต่หัวเราะไม่ออก

จำได้ว่าตอนดูแลพ่อ พอถึงเวลามีหนังขายยา มีลิเก มีงานวัด ถึงอยากจะไปก็ไม่ได้ไปหรอก คนอื่นเขาไปกันหมด อาตมาต้องดูแลพ่อ แล้วพ่อก็เรียกทั้งคืน เพราะแกเป็นโรคอะไรไม่รู้ กึ่ง ๆ อัมพฤกษ์ พอนอนไปสัก ๕-๑๐ นาทีเหมือนกับแข็งเกร็งไปทั้งตัว จะปวดเมื่อยทรมานมาก ต้องเรียกให้นวดทั้งคืน คราวนี้เด็กที่เรียน
ระหว่าง ป.๕ ถึง ม.ศ.๓ โดนปลุกทั้งคืนก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น..!

เถรี 24-04-2014 13:53

ไปโรงเรียนต้องไปขออนุญาตครูนอนหลับในห้อง ถึงเวลาก็ยกมือ “ครูครับ..ไม่ไหวแล้วครับ ผมขออนุญาตนอนครับ” คุณครูก็รู้ สมัยก่อนนี่ครูเขารู้จักลูกศิษย์ลึกซึ้งจริง ๆ แต่ละคนพื้นฐานครอบครัวเป็นอย่างไรท่านรู้หมด ครูบอกว่า “นอนได้..แต่วิชานี้ห้ามตกนะ” ด้วยความที่กลัวครู เกรงครูด้วย เลยกลายเป็นว่าถึงหลับก็ต้องพยายามฟัง เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้เรื่อง เลยกลายเป็นฝึกกรรมฐานได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ประเภทหลับแล้วหูต้องได้ยิน ฝึกอยู่ตั้งหลายปี เล่นจนคล่องเลย

ฉะนั้น..เวลาอาตมาหลับอยู่นี่ห้ามนินทานะ ได้ยินชัดกว่าตอนตื่นอีก ต้องฝึกนอนโดยให้ได้ยินอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้พื้นฐานการเรียนกรรมฐานจากท่านอาจารย์ณรงค์เดช บุญมี อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ณรงค์เดช บุญมีจะสอนอยู่ ๒ แนว ก็คือตามแนวหลวงพ่อวัดปากน้ำก็คือ สัมมาอะระหัง ผ่าน ๑๘ กายให้ได้ และตามแบบของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สอนให้ภาวนาคาถานั่นคาถานี่ไปเรื่อย แล้วค่อยเลี้ยวกลับมาพิจารณาใหม่ แต่ตอนช่วงนั้นไม่มีโอกาสกลับมาพิจารณา เพราะมัวแต่สนุกกับคาถาอยู่ ไปได้พื้นฐานจากตรงนั้นมามาก

พอโยมพ่อตาย พี่ชายเอาตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ ก็เลยกลายเป็นของง่าย พอมาปี ๒๕๒๑ ไปฝึกมโนมยิทธิได้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คราวนี้ตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนีแล้ว จากที่เคยคลุกคลีตีโมงกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าโยมแม่ไปเป็นกรรมการร่วมสร้างมหาเจดีย์ให้หลวงพ่อวิริยังค์ที่วัดธรรมมงคล ไปบวชชีทุกปี ๆ ละ ๑๐ วัน แม่ก็เอาอาตมาไปเป็นเพื่อน

เถรี 24-04-2014 13:55

จำได้ว่าหลวงปู่ฝั้นที่ถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ มรณภาพวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ ได้ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๕๑๘ ฝึกปฏิบัติมาด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นอยู่ เหมือนท่านวางพื้นฐานให้ก้าวผ่านมาทางสายนี้ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะบวชกับสายหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถจริง ๆ

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า อาตมาขอหวยแม้กระทั่งหลวงตาบัวมาแล้ว คราวนี้พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ พระราชทานเพลิงเสร็จ ปี ๒๑ ได้มาฝึกมโนมยิทธิ ก็เลยมาติดอยู่ทางด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแทน เพราะว่าคำสอนท่านปฏิบัติได้ง่าย สายหลวงปู่มั่นแต่ละท่านจะใช้คำว่า “ไปทำเอา ไปภาวนาเอา” ส่วนทำอย่างไร ภาวนาอย่างไรให้ไปปล้ำเอาเอง พอติดขัดอย่างไรค่อยมาถามท่าน มาเล่าถวายท่าน แล้วท่านค่อยแก้ให้ ก็เลยรู้สึกว่าลำบาก

แต่ของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะบอกรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วให้เราไปทำ จดจำรายละเอียดได้ ปฏิบัติไปเป็นขั้นตอน ก็จะรู้ว่าตัวเองมีความก้าวหน้าแค่ไหน ในเมื่อมาด้านหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วปฏิบัติได้ง่ายกว่า จึงถูกใจมากกว่า ท้ายสุดก็ติดหนับอยู่ทางด้านนี้แทน

ที่เล่าให้เขาฟังเรื่อย ๆ เพราะคนเขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์เล็กไม่เขียนประวัติตัวเอง ? จะไปเขียนทำไม ? ก็เล่าให้เขาฟังอยู่ทุกวัน เดี๋ยวเอาเดือนก่อนโน้นกับเดือนนี้ไปต่อกันก็ได้ประวัติแล้ว

เถรี 26-04-2014 14:59

ถาม : มีคนป่วยคนหนึ่งเขามีลูกหลายคน แต่ลูกต่างคนต่างเกี่ยงไม่เอา ไม่ดูแลพ่อ ?
ตอบ : คุณไปรับเขามาเลี้ยง เป็นการสร้างความดีมหาศาล ลูกผู้ชายอย่างคุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง..!

ถาม : ไม่มีปัญญาเลี้ยงครับ ?
ตอบ : แต่ละคนมีเวรมีกรรมของเขามา ในเมื่อผูกกรรมกันมาก็ต้องไปชดใช้กัน ไม่ควรไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น

เถรี 26-04-2014 15:27

ถาม : ลูกชายติดสุรามากค่ะ มีวิธีแก้ไขไหมคะ ?
ตอบ : ทางโรงพยาบาลมียาอดเหล้า ไปติดต่อรับกับหมอแล้วอย่าให้เขารู้นะ แอบใส่ให้เขากิน ถ้ากินเข้าไปนี่อ้วกแตกอ้วนแตนเลย แต่เขาจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไปขอตามโรงพยาบาลรัฐหรือพวกคลินิกบำบัดต่าง ๆ จะมีอยู่ บอกเขาว่ายาอดเหล้าก็ใช้ได้แล้ว

ถาม : มีวิธีอื่นไหมคะ ?
ตอบ : วิธีอื่นไม่มี มีแต่ไม้หน้าสาม สลบแล้วก็หายเมาไปเองแหละ ถ้าเรื่องของคนเมาอาตมาไม่เคยยุ่งด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยกเว้นว่าเมาแล้วอาละวาดก็ช่วยเสริมให้ โบ๊ะ..!ให้หลับไปเลย

ถาม : ไม่ทราบจะทำอย่างไร ?
ตอบ : พวกนี้ต้องคิดได้เอง ถ้าคิดไม่ได้ใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง สำหรับอาตมานี่แค่อย่ามาซ่าในวัดก็แล้วกัน จะกินที่ไหนก็ไปเถอะ เคยนั่งคุยกับคนกินเหล้าจนเขาทนไม่ได้ ถามว่า “อาจารย์จะไม่ห้ามผมจริง ๆ หรือ ?” อาตมาบอกว่า “เงินก็เงินของมึง ตัวก็ตัวของมึง อยากกินก็กินไปสิ” เขาบอกว่าพระอื่นไม่ต้องเห็นหรอก แค่ได้ยินว่าเขากินเหล้าก็ห้ามอุตลุด นี่อาจารย์นอกจากไม่ห้ามแล้วยังนั่งคุยได้หน้าตาเฉย เลยบอกเขาไปว่าเคยมีประสบการณ์มา ประสบการณ์ที่ว่าถ้าเขาคิดไม่ได้เองอย่างไรก็จะกิน แก้ไม่ได้หรอก ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเขาแล้วกัน

ถาม : โยมเกลียดคนกินเหล้ามาก ๆ
ตอบ : โบราณเขาบอกแล้วว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ ฉะนั้น..เปลี่ยนใจไปรักเขาหน่อยจะได้เลิกกิน ไม่ต้องไปห้ามเขาหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ ยังกินได้ถือว่ายังดีอยู่ กินไม่ได้วันไหนจะสาหัส อาตมานึกถึงพี่ชายคนโตที่มาจากเมืองจีน แกกินเหล้าแทนน้ำ คนอื่นไปทำงานหิ้วแกลลอนน้ำไป แกหิ้วแกลลอนเหล้าไป แต่ก็อยู่มาจนป่านนี้ อายุเท่าในหลวง ก็แปลว่าปีนี้อายุก็ขึ้น ๘๗ ปีแล้ว ยังสงสัยเหมือนกันว่าถ้าไม่กินเหล้าแกจะแข็งแรงขนาดไหน ?

ถาม : ตับจะไปก่อน ?
ตอบ : ช่วงนี้หยุดแล้ว หมอบอกว่าถ้ากินอีกก็ตาย เขาเลยหยุด กลัวตายเหมือนกัน

เราไม่ต้องไปกังวล เขาจะเอาไปลงขวดหมดก็เรื่องของเขา ไม่อย่างนั้นเราเครียดตายเลย ถ้าหมดวาระกรรมของเขา เขาก็จะกลับมาเอง แบบเดียวกับน้องชายอาตมา สมัยก่อนพระครูแสงเอาทุกเรื่อง จะเหล้า จะเบียร์ จะบุหรี่ จะกัญชา เล่นหมด เย็น ๆ ก็เดินหน้าแดงก่ำออกไปปากซอยแล้ว บทถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวหมดเลย ทิ้งทีเดียวหมดเลย เออ..คนอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ปกติเขากว่าจะเลิกกันได้แทบเป็นแทบตาย แต่นี่โครมเดียวไม่เอาเลย ฉะนั้น..รอก็แล้วกันว่าสักวันเขาคงหมดกรรมอันนี้


ถาม : ไม่รู้ใครจะไปก่อนนะสิ ?
ตอบ : นึกว่าเราไปก่อนแน่เพราะเราเป็นแม่ ไม่ต้องไปทนอยู่ดูเขาก็หมดเรื่อง

ถาม : ต้องสร้างบุญไว้
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป บุญที่ดีที่สุดคือใส่บาตรไว้ทุกวัน ใจจะได้เกาะความดี ใส่บาตรทุกวัน ตั้งใจว่าผลบุญนี้ขอเราไปพระนิพานในชาตินี้ก็ว่าไป

เถรี 29-04-2014 10:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้บ้างว่า "โลงศพ" กับ "หีบศพ" ต่างกันอย่างไร ? ทำไมถึงมีแต่ร้านขายหีบศพ ไม่มีร้านขายโลงศพ ? หญ้าปากคอกแท้ ๆ ถ้ายังไม่ได้ใช้งานเขาเรียกว่าหีบศพ ถ้าเอาไปใช้งานเขาเรียกว่าโลงศพ เพราะฉะนั้น..ทุกร้านเขาจะขายแค่หีบศพ ถ้าขืนขายโลงศพไม่มีใครซื้อหรอก ฟังดูแล้วเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราก็นึกไม่ถึง

แบบเดียวกับช้างเป็นเชือกกับช้างเป็นตัว ช้างเป็นเชือกคือช้างเลี้ยง สมัยก่อนเขาใช้เชือกล่าม เขาเรียกเชือกพรวน เป็นเชือกที่ควั่นมาจากป่านเส้นใหญ่ ๆ ถ้าล่ามช้างแล้วใช้เชือกพรวนไม่ได้ก็ต้องใช้เชือกหวาย เพราะหวายมีคุณสมบัติพิเศษว่าถ้ากระชากแล้วจะบาดเนื้อ ช้างจะไม่กล้ากระชาก"


ถาม : ไม่ได้ใช้หนังควายมาควั่นหรือครับ ?
ตอบ : พวกนั้นเขาใช้กันทางอีสาน

เถรี 29-04-2014 10:29

ถาม : จะพยายามวิญญาณสังวรของตัวเอง ?
ตอบ : ใช้คำว่า อินทรียสังวร สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปอย่าไปยินดียินร้ายด้วย หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด อย่าไปยินดียินร้ายด้วย เพราะความยินดีจัดเป็นราคะ ความยินร้ายจัดเป็นโทสะ โดนทั้งคู่

ถาม : เราไม่ได้ไปยินดียินร้าย แต่เป็นไปโดยสัญชาตญาณค่ะ ?
ตอบ : ต้องพยายามมีสติ หยุดให้อยู่ จะอ้างสัญชาตญาณไม่ได้ เดี๋ยวโดนพาหลงไปไกลกู่ไม่กลับ

เถรี 29-04-2014 10:30

ถาม : ทำไมพระฉันมื้อเดียวถึงอ้วนได้คะ ?
ตอบ : อาจจะฉันมากก็ได้ สมัยที่อาตมาฉันมื้อเดียวนี่ข้าวครึ่งบาตรฉันหมดนะ ข้าวครึ่งบาตรนี่ ๔-๕ จานใหญ่ ๆ เลย ถ้าสมมุติว่าทั่ว ๆ ไปเราฉันมื้อละจาน สองมื้อสองจาน แต่ว่ามื้อเดียวเจอไป ๔-๕ จานก็เกินคุ้ม จะไม่อ้วนได้อย่างไร ?

เถรี 06-05-2014 10:05

ถาม : ถ้าเราจะฝึกสวดคาถาเงินล้าน สมาธิที่ใช้เพื่อให้ได้ทิพจักขุญาณ...(ไม่ชัด). ?
ตอบ : เวลาเราภาวนานึกถึงคาถาเงินล้านขึ้นมาตรงหน้าเป็นตัว ๆ ยิ่งเห็นตัวคาถาชัดเท่าไร ก็จะเห็นผีเห็นเทวดาชัดเท่านั้น

เถรี 06-05-2014 10:12

พระอาจารย์เล่าว่า "งานพุทธาภิเษกที่วัดสระเกศ ด้วยความที่อาตมาไปก่อนก็นั่งก่อน ไม่รู้ว่านั่งไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ก็เหมือนกับฟ้ามืดวูบลงมา กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านมา แล้วท่านชี้ให้ดูว่า มีหลวงพ่อหลายท่านมาทางไสยศาสตร์โดยตรง กราบเรียนท่านว่าแล้วจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ ? ท่านบอกว่าไม่ต้องทำ ไม่รู้เหมือนกันท่านไปหยิบกระบวยมาจากไหน แล้วก็ไม่รู้ท่านไปตักน้ำมนต์มาจากไหน สาดพรึ่บลงไป กลายเป็นน้ำทองคำไหลลงมาคลุมวัตถุมงคลทั้งหมด สว่างโร่เลย ท่านแก้ง่ายนิดเดียว"

เถรี 06-05-2014 10:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "อัลปาก้า ในภาษาไทยต้องเรียกว่าทองขาว คนจีนเรียกแปะตั๊ง แพลทตินัมคือทองคำขาว รูทีเนียมคือทองคำดำ ก็จะมีทองคำ ทองคำขาว ทองคำดำ ทองเหลือง ทองขาว ทองแดง ส่วนนากจัดอยู่ในพวกโลหะผสม มีทองคำปนอยู่ร้อยละ ๓๐"

เถรี 07-05-2014 12:58

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "โยมมักจะลืมไปว่าใช้ร่างกายมาหลายสิบปีแล้ว บางทีเจ็บแล้วก็บ่น ถ้าร่างกายของเราเป็นรถยนต์คงพังไปหลายรอบแล้ว แสดงว่าร่างกายเราจริง ๆ แข็งกว่าเหล็กอีก รถยนต์ดูแลรักษาดี ๆ ใช้ ๑๐ ปีก็พัง นี่ใช้มา ๖๐-๗๐ ปีแล้ว จะไม่ให้เสียเลยก็เกินไป"

เถรี 07-05-2014 13:01

ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานครับ ?
ตอบ : ก่อนสัมภาษณ์ให้ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ ภาวนาแล้วขอความคล่องตัวทุกอย่าง

เถรี 07-05-2014 13:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากกรรมเก่า แต่เป็นแค่เศษกรรม ถ้ามีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์เป็นทานทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละครั้ง ความป่วยทุกเรื่องเกิดจากเศษกรรมเก่า..ไม่ต้องหนักใจ ทยอย ๆ ใช้เขาไป"

เถรี 10-05-2014 11:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีประสบการณ์แห่นางแมวมาบ้าง ? สมัยอาตมาเด็ก ๆ เจอบ่อยเลย แม้ว่าจะสงสารแมว แต่ผู้ใหญ่บอกว่าเอาน้ำสาดไปเยอะ ๆ ฝนจะได้ตก เหมือนกับว่าพวกผู้ใหญ่เขาหาเรื่องกินเหล้ากัน แห่นางแมวก็กินเหล้าไป ถ้าปีไหนแล้งมาก ๆ แล้วฝนล่า ฝนล่าคือมาช้า เข้าเดือน ๖ แล้ว ฝนยังไม่ลงอย่างเป็นทางการ ก็จะมีการแห่นางแมวกัน

ปกติจะมีฝนชะลาน หรือฝนชะช่อมะม่วง มาก่อนหรือช่วงมาฆบูชา แล้วก็ฝนสงกรานต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลมแรง เป็นพายุฝนฟ้าคะนอง คราวนี้ถ้าหลังงานแรกนาขวัญ งานพืชมงคล แล้วฝนยังไม่ลง คือล่าไปถึงเดือน ๖ ข้างแรมแล้วฝนยังไม่ลง ชาวบ้านจะทำการแห่นางแมว แมวตัวไหนเคราะห์ร้ายโดนจับได้ถือว่าเฮงเลย เขาจะสานกระชุใส่แมว แล้วใส่คานหามแห่ไป ร้องเพลงก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ "นางแมวเอย..มาร้องแจ้วแจ้ว ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์รดหัวนางแมว ฯลฯ" รำกันไป กินเหล้ากันไป แห่กันไป ผ่านบ้านไหน ก็เอาน้ำสาดแมวเยอะ ๆ แมวจะหนาวตายเพราะสัตว์ตระกูลแมวเกลียดน้ำ

แต่ก็แปลกดีนะ หลังการแห่นางแมวเดี๋ยวเดียวก็ฝนตก สงสัยเทวดาทนสงสารแมวไม่ไหว ก็เลยตกให้หน่อย ถ้าไม่ได้แห่นางแมวก็ตั้งเวที นิมนต์พระสวดมนต์ขอฝน อันนี้ทรมานกว่านางแมวเยอะเลย ถ้าฝนไม่ตก พระก็ลงจากเวทีไม่ได้ นั่งสวดไปเถอะ ก็คงประเภทเดียวกัน เทวดาสงสารพระ เลยตก ๆ ให้หน่อย

บทสวดเขาเรียกว่าคาถาพญาปลาช่อน สมัยพระพุทธเจ้าเป็นพญาปลาช่อนโพธิสัตว์ น้ำแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยในสระจะตายหมด ท่านต้องตั้งสัตยาธิษฐานขอให้ฝนตก อันนั้นถือว่าเป็นอธิษฐานฤทธิ์ อย่าลืมว่าท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน
แต่มีจิตประกอบด้วยเมตตาเป็นปกติ สงสารบรรดาปลาเล็กปลาน้อยจะแห้งตาย"

เถรี 10-05-2014 11:55

ถาม : อสุรกายคืออะไรคะ หมอผีส่งเขามาเข้าคนในบ้าน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ผอมโซ อดอยาก หิวโหย มีแต่พวกกาลกัญจิกอสุรกายที่ตัวใหญ่บึ้ม ใครจับได้ก็สุดยอดหมอผีแล้ว เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน

ถาม : จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เจรจากับเขาดี ๆ ถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็เตรียมมีศัตรูที่สามารถยุ่งกับเราได้ทุกเวลา แม้กระทั่งเวลานอน

เถรี 10-05-2014 11:58

:4672615:เก็บตกเดือนเมษายนปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:54


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว