กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4010)

เถรี 19-03-2014 19:19

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีโยมมาบูชาพระมหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ เนื้อนวโลหะ บอกว่าองค์ของตัวเองให้พี่สาวไปแล้ว ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าเทวดารักษาพระไปเข้าฝันพี่สาว บอกว่าขอไปอยู่ด้วย พี่สาวก็ไม่รู้จัก เห็นแต่ว่าเป็นพระลักษณะแบบนี้ ๆ พอเจอน้องชายเห็นแขวนอยู่ที่คอ ก็เล่าให้ฟัง น้องชายก็เลยต้องสละให้ไป ตัวเองมาบูชาองค์ใหม่ แสดงว่าเทวดาท่านเลือกเจ้าของเอง น้องชายสงสัยว่าพี่สาวเห็นพระก็ทำขนลุกขนพอง ที่แท้พระองค์นี้เองที่ไปเข้าฝัน"

เถรี 19-03-2014 19:41

ถาม : บางทีเราเดิน ๆ อยู่ก็สะดุด เหมือนมีใครมาทำ แต่ก็ไม่มีใครครับ ?
ตอบ : นึกว่ากรรมแล้วกัน เรื่องแบบนี้มีเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าสติของเราสมบูรณ์ก็ไม่โดน พวกนี้จะแทรกมาตามวาระกรรม

เถรี 26-03-2014 12:39

ถาม : ตอนนี้ฟุ้งซ่านค่ะ
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกจะไม่ฟุ้ง คิดเรื่องอื่นก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจใหม่ ถ้าอยู่กับลมหายใจได้ก็ไม่ฟุ้งแล้ว

เถรี 26-03-2014 12:40

พระอาจารย์เล่าว่า "พวกเราน่าจะรู้จักเจงกิสข่านกันทุกคน ท่านถือเป็นจอมจักรพรรดิคนหนึ่งของแผ่นดินจีน ซึ่งตอนนั้นเป็นจักรวรรดิมองโกล เจงกิสข่านสร้างจักรวรรดิที่ใหญ่โตมโหฬารมาก กินพื้นที่ทั้งเอเชียและยุโรป ปรากฏว่าทุกวันนี้เขาค้นหาสุสานเจงกิสข่านไม่เจอ เขาเชื่อว่าบรรดาสมบัติต่าง ๆ ที่ตีชิงมาได้จากการยึดบ้านยึดเมือง จะยังฝังรวมอยู่กับศพของเจงกิสข่าน แต่ขออภัยเถอะ หากันทั้งชาติก็คงไม่เจอหรอก ที่เจอก็เป็นของคนอื่น

ตอนเจงกิสข่านตาย เขาให้เอาศพไปเลี้ยงอีแร้ง ไม่มีซากเลย เป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุดในโลก ไม่สูญเสียทรัพยากรใด ๆ ทั้งสิ้น แถมไม่ต้องเสียเวลาฝังหรือเผาอีก"

เถรี 26-03-2014 12:44

พระอาจารย์กล่าวถึงแหวนปลอกมีดว่า "พวกเรารุ่นหลัง ๆ ไม่เคยทำเหล็กรัดปลอกมีด เขาทำปลอกขึ้นมากันมีดบาด สมัยก่อนใช้โลหะ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง แม้กระทั่งทองคำ ตีเป็นปลอกรัดมีดไว้ ถามว่ารัดปลอกมีดเขารัดแบบไหน ? ก็เผาไฟให้ขยาย ขยายแล้วก็สวมเข้าไป พอเย็นลงก็รัดแน่นพอดี เขาเลยเรียกโลหะเกลี้ยง ๆ ที่รัดปลอกมีดว่า แหวนปลอกมีด

สมัยนี้เห็นแล้วรำคาญตา บางทีเขาเขียนว่า "แหวนปอกมีด" ไม่รู้เห็นมีดเป็นผลไม้หรืออย่างไร คนสมัยหลังไม่ค่อยรู้ศัพท์ เจอเยอะมากเลย "รักสามเศร้า" จะเศร้าอะไรนักหนา หรือเห็นว่ามี ๒ คนแล้วอีกคนมายุ่งด้วย ก็เลยเศร้าทั้ง ๓ คน

เส้า ที่นี้หมายถึงก้อนเส้าที่วางรองหม้อไห เวลาสมัยก่อนเขาหุงต้มกัน แล้ว ๓ เส้าคือ มี ๒ คนแล้วคนที่ ๓ แทรกขึ้นมาเลยเป็นรักสามเส้าคือ ๓ คนแย่งกัน เดี๋ยวก็มีรายการทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาด แต่สมัยนี้เขียน รักสามเศร้า อาตมาก็สงสัย จะดราม่าอะไรนักหนาวะ..!"

เถรี 26-03-2014 12:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนโบราณเขาอวยพรให้เด็ก เขาว่าให้เย็นเหมือนฟัก ให้หนักเหมือนแฟง ให้อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ให้เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว เวลาเขารับขวัญเดือนเด็กก็เลยมีพวกฟักแฟง มีก้อนเส้า แล้วก็มีแมวคราว คือ ตัวผู้ตัวโต ๆ

เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนแฟง คือให้เป็นคนใจคอเยือกเย็นหนักแน่น อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ก้อนหินที่เอามาตั้งหม้อตั้งไหให้เราหุงต้ม จะไปไหนได้ ก็อยู่แต่ในบ้าน เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว แมวกลางคืนไม่นอนหรอก จะเดินร้องหง่าว ๆ ทั้งคืน ก็ถือว่าเฝ้าบ้าน ความจริงกลางคืนเป็นเวลาที่แมวออกหากิน แต่ความเชื่อของโบราณเขาว่าแมวเฝ้าบ้าน"

เถรี 27-03-2014 14:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่มักจะเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง เขาจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบุคคลมี ๔ ประเภท มีอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะ ถ้าไปเอาประเภทธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวเนยยะก็ตาย ศาสนาก็ไปไม่ได้

อย่างศาสนาของเรา นักวิชาการสร้างแผนภาพเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานล่างสุดมีขนาดใหญ่ ก็คือพวกที่ยังติดพิธีกรรม ในช่วงกลางก็เป็นพวกที่เริ่มเข้าหาศีล สมาธิ ในช่วงปลายเป็นพวกที่ปฏิบัติครบในไตรสิกขา ก็คือมีปัญญาร่วมด้วย ก็แปลว่าขึ้นไปก็เหลือนิดเดียว คราวนี้ในส่วนที่ว่ามา เคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า ต่อให้คนพูดเอง เอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้ล้วน ๆ ก็ไม่ทำหรอก แต่มักจะแสดงความเห็นให้ดูเก๋ เท่ ฉลาด

ถ้าเราไปดูบาหลีซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลกถึง ๒๕๐ กว่าล้านคน บาหลีเป็นเกาะเล็ก ๆ นิดเดียว แต่เป็นฮินดู และความเป็นฮินดูเหนียวแน่นชนิดอิสลามแทรกไม่เข้า วันหนึ่ง ๆ มีการบวงสรวงบูชาพระเจ้า ๔ - ๕ รอบ เช้ายันค่ำ ต้องมานั่งเตรียมเครื่องบูชาไปถวายที่เทวาลัย กลับมาทำงานหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ไปต่ออีกรอบแล้ว หากเป็นงานเทศกาล วันเกิดของเทพเจ้าองค์นั้น วันฉลองของเทพเจ้าองค์นี้ ก็แทบไม่ต้องทำมาหากิน ไปกันทั้งวันเลย

นั่นพิธีกรรมล้วน ๆ แต่ทำไมพิธีกรรมเขาถึงได้เหนียวแน่นจนอิสลามแทรกไม่เข้า ? เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะว่าเขาใช้พิธีกรรมทำจนกระทั่งเป็นฌานไปแล้ว เป็นอนุสติ คือระลึกถึงเทพเจ้าของเขา นึกถึงเทวดาที่เขาเคารพ

แบบเดียวกับอิสลาม อิสลามที่เคร่งครัดทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง การที่เขาทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง ก็คือหลักปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เน้นตรงตัวสมาธิ ดังนั้นบรรดาอิสลามที่เคร่งครัด เขาถึงยึดพระเจ้าของเขาอย่างเหนียวแน่นสุดชีวิต เพราะเขาสร้างสมาธิจากการละหมาด ถ้าไม่มีตัวนี้อยู่ ไม่สามารถที่จะรักษาอิสลามิกชนเอาไว้ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรหล่อเลี้ยงจิตใจเขา

ดังนั้น..จะเห็นว่าในเรื่องของพิธีกรรมจริง ๆ ถ้าทำถูก ทำเป็น แล้วทำแบบจริง ๆ จัง ๆ ต้องบอกว่าเป็นส่วนในการค้ำจุนพระศาสนาที่สำคัญ ต้นไม้ต้นหนึ่ง เราจะเอาแก่นอย่างเดียว ต้นไม้อยู่ไม่ได้หรอก..ตายแน่ ต้องมีกระพี้ด้วย ต้องมีเปลือกด้วย นักวิชาการส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาเกิน อะไรที่ยากแล้วดูดีก็พยายามที่จะพูด"

เถรี 27-03-2014 14:33

"พุทธศาสนาของเรา ถ้าเอาพิธีกรรมที่เห็น ๆ คือใส่บาตรตอนเช้า ถ้าเราสามารถใส่บาตรได้ทุกเช้า ถึงเวลาเกิดความรู้สึกขาดไม่ได้ แสดงว่าการให้ทานของเราควบกับศีลไปในตัว เพราะว่าตอนเราใส่บาตรเราไม่ได้ล่วงศีลแม้แต่สิกขาบทเดียว จึงก่อให้เกิดสมาธิ เท่ากับว่าสามารถสร้างฌานสมาบัติจากพื้นฐานของทาน หลังจากนั้นเราจะไปต่อยอดอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่เราจะพิจารณา

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า ถ้าไม่มีโอกาสใส่บาตรก็ให้ถวายข้าวพระทุกวัน แล้วก็จะมีพวกนักวิชาเกินคอยเที่ยวมาไล่งับ ไล่กัด ไล่ตำหนิชาวบ้าน บอกว่าไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎก จะเรียกพวกนี้ว่าอย่างไร ? ปทปรมะ ก็ดูจะยกย่องเกินไป ต้องเรียกว่ามิจฉาทิฐิ

ปทปรมะเป็นคนฉลาด ฉลาดมาก ๆ เลย แต่ฉลาดแบบไม่รับความคิดคนอื่น จึงเข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่มิจฉาทิฐิไม่เอาใครไม่พอ หลงทางอีกต่างหาก แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปฏิบัติธรรมก็ไม่เอาหรอก กูอ่านพระไตรปิฎกอย่างเดียว แล้วมาวิเคราะห์ว่าพระไตรปิฎกมาจารึกขึ้นหลังพุทธกาลล่วงมาแล้วตั้ง ๓๐๐ - ๔๐๐ ปี ต้องมีการแต่งเติมขึ้นมาเพื่อสรรเสริญคุณศาสดาของตน ว่าให้ชุ่ยไปหมด อ่าน ๆ ไปแล้วก็สงสารเขา ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน

เขาโจมตีเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ว่ากลบแก่นแท้ของศาสนา เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก เสกวัตถุมงคลขึ้นมาทำให้ชาวบ้านยึดติด อย่างกับว่าถ้าไม่มีวัตถุมงคลแล้วชาวบ้านจะไม่ยึดติดอย่างอื่น หลวงปู่ดู่ท่านถึงบอกว่า "ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" แล้วเป็นเรื่องแปลกว่า นักวิชาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะจบด็อกเตอร์กัน มีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ ฉลาดจริงหรือเปล่า ? แม้กุศโลบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โบราณจารย์ทำให้ใจเราเกาะความดีเบื้องต้นก็ยังมองไม่เห็น แล้วจบด็อกเตอร์มาได้อย่างไร ?"

เถรี 27-03-2014 14:36

ถาม : ถ้าเราร่วมทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าองค์พระยังสร้างไม่เสร็จ ทองยังไม่ได้ติด อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์จะสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : บุญได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำ แค่คิดจะทำก็ได้แล้ว แต่ถ้าลงมือทำเมื่อไรก็สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น..รีบทำ มีที่ไหนก็ทำ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท ทำไปเถอะ สำคัญตรงที่ได้ทำ

เถรี 27-03-2014 14:47

ถาม : ปฏิบัติธรรมมา เกิดอาการทางร่างกายก็คือเกร็ง แรก ๆ ก็เป็นอย่างนี้ พอหลังไปนาน ๆ จะตึงมากขึ้น เวลาเดินออกกำลังกายจะเหมือนเกร็งตลอดเวลา จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : รู้ตัวก็ผ่อนคลายสิ ประเภทรู้แล้วไม่ผ่อน ก็ฉลาดน้อย

ถาม : บางจังหวะก็ไม่รู้ตัวครับ ?
ตอบ : ดีแต่เข้าออกไม่เป็น ลักษณะของการทรงสมาธิ ต้องทำให้เกิดความชำนาญในการเข้า ความชำนาญในการออก ความชำนาญในการไปตามลำดับ ความชำนาญในการไปสลับกัน คุณทำได้อย่างเดียวก็คือเข้าแล้วไม่ออก

เรื่องการตอบปัญหาจริง ๆ ครอบคลุมเอาไว้หมดแล้ว ยกเว้นพวกขี้เกียจหา เลยมาเอาถามใหม่ สรุปว่าถามเหมือนเดิม

เถรี 27-03-2014 14:52

ถาม : การชำระหนี้สงฆ์ ได้ตั้งแต่ตอนที่จิตเราคิดจะสละออกแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ได้แค่ส่วนเดียว ถ้าลงมือทำถึงจะได้เต็ม ส่วนพระจะสร้างเสร็จไม่เสร็จเป็นเรื่องของเขา

ถาม : ถ้าเราตั้งจิตเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ แล้วคนเขาเอาเงินที่เราทำนี้ไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับเรา อานิสงส์ของเราได้ไปแล้ว

เถรี 27-03-2014 15:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วพบกันในโลก ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมานั้นไม่มีเลย"

เถรี 30-03-2014 20:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาวางแผนจะสร้างที่พักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ตอนแรกว่าจะเอาอาคารแบบหอพักสัก ๕ ชั้น นึกไปนึกมาแล้ว คงจะแออัดน่าดู เอาหลังเดี่ยว ๆ ดีกว่า หลังเดี่ยวนอนสักหลังละ ๕ - ๑๐ คน แบบรีสอร์ท"

ถาม : สร้างอยู่แถวไหน ?
ตอบ : ว่าจะสร้างไว้รอบ ๆ เมรุ ถ้าใครอยากสบายก็ไปผจญกับผีหน่อยแล้วกัน ไปเห็นเขาทำแล้ว อยู่แถว ๆ เลยแยกแก่งเสี้ยนไปไม่ไกล ว่าจะไปถามราคาเขาดู ถ้าราคาไม่โหดมากก็จะให้เขายกไปตั้งทีละหลัง

ตอนช่วงนี้ผลิตเงินไม่ค่อยทันใช้ แค่ค่าก่อสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ตกเดือนละล้านกว่าบาท ศาลาผ่านไปหนึ่งปี จะครบหนึ่งปีวันที่ ๒๗ มีนาคมนี้ จ่ายไปแล้ว ๑๗ ล้านกว่าบาท ได้แค่ที่เห็น ที่เขาตั้งงบไว้ ๔๐ ล้าน อาตมาบอกแต่แรกแล้วว่า ร้อยล้านไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า ? พอศาลาเสร็จก็จะเริ่มทยอยทำที่พักของโยม

เรื่องซื้อที่ไม่ต้องซื้อแล้ว คนอื่นเขาซื้อไปแล้ว เพราะว่าเขาไม่ยอมแบ่งขาย ส่วนอาตมาต้องเก็บเงินไว้เผื่อสำรองในการก่อสร้าง ก็เลยไม่กล้าเอาไปใช้ เพราะถ้าเอาไปใช้หมด เกิดฉุกเฉินขึ้นมาจะยุ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาว่าจะซื้อที่ไว้ทำสถานที่ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะที่ตรงนั้นแถวรอบ ๆ บึงน้ำน่าสร้างกุฏิปฏิบัติธรรมมาก แหล่งน้ำซับแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ อาตมาทำเกาะพระฤๅษี ชาวบ้านเขาก็บอกว่าสร้างรีสอร์ทไปทีหนึ่งแล้ว

เถรี 30-03-2014 20:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของหลวงพ่อโหน่งต้องบอกว่าเอาอานุภาพอย่างเดียว เพราะท่านทำด้วยดินท้องนา ถึงเวลาเผากันทีเป็นลำเรือ ๆ สมัยนั้นใครขอก็ขนไปเลย กว่าเขาจะรู้ว่าของดีก็หมดไปแล้ว"

ถาม : หลวงปู่จีน เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ยิ้มอีกทีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : องค์เดียวกัน หลวงปู่พระครูพรหมวิหารคุณนั่นแหละ

ถาม : พระครูพรหมวิหารคุณนะครับ ?
ตอบ : องค์เดียวกัน ท่านยิ้มทั้งวันเขาเลยเรียกว่า หลวงปู่ยิ้ม คราวนี้ท่านเป็นลูกจีน บางคนก็เรียกหลวงปู่เจ๊ก หลวงปู่จีน อย่าลืมนะว่าสมัยนั้นขึ้นเป็นพระครูได้นี่เกียรติคุณต้องดังระเบิดเลย หลวงปู่ปานกว่าจะเป็นพระครูได้เล่นเอาอายุเกือบเกษียณแล้ว หลวงปู่จงท่านอยู่มาเป็นหลวงตาธรรมดา ๆ จนกระทั่งมรณภาพไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะท่านไม่เอายศไม่เอาตำแหน่ง ท่านช่วยเขาไปเรื่อย

หลวงปู่จงออกจากวัดไป บางทีครึ่งปีไม่ได้กลับวัด ด้วยความมักง่ายของคน พอเจอท่านในงานก็ “บ้านดิฉันอยู่ไม่ไกลค่ะ นิมนต์หลวงพ่อด้วย” ต่อไปเรื่อย ๆ ท่านก็ไปกับเขาเรื่อย ลูกศิษย์ต้องเอาเกวียนไปตามกลับ บางทีข้ามไป ๔ - ๕ จังหวัด ครึ่งปีไม่ได้กลับหรอก จากตรงนั้นไปไม่ไกล แต่จากวัดท่านไกล นิมนต์กันต่อไปเรื่อย ท่านเองก็เมตตาเขาเหลือเกิน นิมนต์ก็ไปสงเคราะห์เขาทั่วไปหมด

หลวงปู่จงท่านอายุยืนจริง ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่ปาน แต่หลวงปู่ปานมรณภาพแล้ว หลวงปู่จงอยู่มาอีก ๓๐ กว่าปี หลวงปู่จงมามรณภาพตอนอาตมาจะเข้าชั้นป.๑ อยู่แล้ว มรณภาพปี ๒๕๐๘ สมัยอาตมานี่เขาเข้าเรียนกัน ๘ ขวบ

งานประจำปีวัดบางนมโค เขาเอารูปปั้นหลวงปู่ปานมาตั้งไว้ แล้วก็มีตู้รับบริจาค หลวงปู่จงนั่งลงนะหน้าทอง เป่ากระหม่อมให้เขาอยู่ตรงนั้น ๙ วัน ๙ คืน ผ่านไปนับเงินได้ ๘,๐๐๐ บาท เปิดตู้หลวงปู่ปานนับเงินได้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงปู่จงบอกว่า “เสียท่าท่านปาน นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรได้ ๘,๐๐๐ บาท เราเป่าหัวคนจนจะเป็นลมได้ ๘,๐๐๐ บาท” แต่นึกถึง ๘,๐๐๐ บาทสมัยนั้น สร้างโบสถ์สวย ๆ ยังแค่ ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น ๘,๐๐๐ บาทเทียบกับรายรับสมัยนี้ก็หลายล้านบาท.."

เถรี 30-03-2014 20:43

พระเครื่องหลวงปู่ปานท่านบอกว่าให้ญาติโยมบูชาองค์ละบาท สมัยนั้นแพงสุด ๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละไม่กี่สตางค์ อาตมาจำได้ว่า ตัวเองเข้าเรียนชั้นป.๑ ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเพิ่งจะสลึงเดียว

หลวงพ่อฤๅษีขออนุญาตว่า หลวงปู่ปานเป็นหนี้อยู่ ๔,๐๐๐ บาท ก็เกือบสร้างโบสถ์ได้หลังหนึ่ง จึงขอกรรมการวัดว่าไม่ให้ตั้งราคา ให้โยมเขาบูชากันเอง กรรมการก็บอกว่า “ถ้าเกิดไม่พอล่ะ ?” หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าไม่พอเดี๋ยวข้าเทศน์ใช้หนี้ให้เอง” กรรมการก็เลยตกลง

ปรากฏว่าได้เงินถล่มทลายเลย ท่านบอกว่าต่ำสุดเขาให้ ๓ บาทอยู่ ๒ คน แล้ว ๕ บาทอยู่ ๒ คน นอกนั้นให้ ๑๐ บาทขึ้นไปทั้งนั้น ได้มากกว่าที่ต้องการหลายเท่า สมัยนี้องค์งาม ๆ ราคาเป็นล้าน สมัยนั้นองค์ ๕ บาท ๑๐ บาทเอง ค่าของเงินก็ต่างกันจริง ๆ

อาตมาไปทำความสะอาดคลังหลวงปู่มหาอำพัน เจอทองแผ่นหนัก ๓ บาท เขาเขียนราคาติดหน้ากระดาษที่ห่อเอาไว้ กระดาษนี่กรอบหมดแล้ว “บาทละ ๔๐๐” โอ้..เมื่อไรจะมีบาทละ ๔๐๐ ให้พวกเราซื้อบ้าง ? ไม่รู้เขาถวายหลวงปู่มหาอำพันไว้ตั้งแต่ตอนไหน เพราะว่าท่านทิ้งเอาไว้ก้นคลังพัสดุ แล้วก็ไม่มีใครได้ไปดูไปแลเลย เพราะพระธรรมยุตท่านจับเงินจับทองไม่ได้

เถรี 31-03-2014 16:10

มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาก็ซื้อ-ขายทองอยู่อย่างนี้แหละ จนกระทั่งคุ้นอยู่กับร้านอยู่ ๒ - ๓ ร้าน อย่างบ้วนฮั่วล้งหรือฮั่วเซ่งเฮง ร้านบ้วนฮั่วล้งนั้นเป็นเพื่อนกัน เขาเรียนจบวิศวะฯ มา พ่อแม่ไม่ยอมให้ไปทำงาน ให้อยู่ช่วยขายทอง แล้วจะเรียนไปทำไม ? วิศวะฯ สมัยก่อนนี่สุดยอดพอ ๆ กับแพทย์เลย แต่เรียนจบมาให้ไปขายทอง ขายทองอาศัยแค่ประสบการณ์ ไม่ต้องใช้หัวขนาดนั้นก็ได้

ช่วงที่ทองไมครอนออกมา ร้านทองโดนหลอกไปเยอะ เพราะว่าตัดอย่างไรก็เป็นสีทอง แล้วข้างนอกเขาเคลือบหนา ๆ ไว้ เอาหินลองทองไปขูด ๆ หน่อยแล้วหยอดน้ำกรดลงไปก็เป็นทอง หลอกกินไปเยอะ สมัยนี้ถ้าเป็นทองแท่งใหญ่ ๆ ก็อันตราย เพราะเขาฝังข้างในมา แล้วพวกนี้เก่งมาเลย คำนวณน้ำหนักได้พอดี เขาใช้วิธีเคลือบทองแท้เข้าไปแล้วกะให้ได้นำหนักเดียวกับทอง

ยังเคยคิด ๆ อยู่ว่าความจริงเรามีวิธีหาเงินง่าย ๆ นะ คือไปที่ภูเขาทอง โกยมาทีละถุง สัก ๓ - ๕ กิโล แล้วก็หิ้วเข้าร้านไปขาย แต่ก็อันตรายเหมือนกัน อันดับแรก ถ้าคนรู้ก็ไม่ปลอดภัย อันดับที่สอง ไม่มั่นใจว่าการซื้อขายแบบนั้นต้องเสียภาษีหรือเปล่า ถ้าต้องเสียภาษี เราเป็นพระก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระแบบไม่รู้ตัว ซวยพอกัน


ถาม : ที่ภูเขาทอง ทองเป็นทรายหรือครับ ?
ตอบ : เป็นทรายเม็ด ๆ ถ้าอย่างเม็ดใหญ่ ๆ ประมาณเม็ดข้าวโพด เป็นตะปุ่มตะป่ำหน่อย ตอนแรกด้วยความที่ไม่เคยเห็น ก็นึกว่าเป็นทองก้อน ๆ พอเห็นของจริงจึงรู้ว่าเป็นทราย ที่ซาอุดิอาระเบียก็มีภูเขาทอง ใครไปเที่ยวเขาก็ใส่ขวดเล็ก ๆ ขายให้เป็นที่ระลึก แต่ไม่ใช่ทองแท้ นั่นเป็นแร่ไพไรต์ เขาบอกว่าตันหนึ่งสามารถสกัดทองได้ ๒ บาทซึ่งก็คุ้ม แต่ว่าคนซาอุฯ รวยจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้ว จึงปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ปัจจุบันนี้ถ้าอพยพต่างด้าวออกจากซาอุดิอาระเบียหมด พวกนั้นตาย เพราะทุกวันนี้เขาทำอะไรไม่เป็น ต้องอาศัยคนอื่นทำทั้งนั้น เป็นแต่กินกับนอนแล้วก็ผลิตลูก

เถรี 31-03-2014 16:14

ประเทศกาตาร์ พัฒนาประเทศจนล้ำยุคสุดยอด เพราะประเทศเขามีขนาดเล็ก วิ่งสุดประเทศแค่ ๘๐ กิโลเมตร ผู้ปกครองของเขาชื่อเจ้าชายอะไรจำไม่ได้แล้ว ขับรถสำรวจประเทศทุกวัน ดูความเป็นอยู่ของประชากรอย่างใกล้ชิด ดูพวกโครงการก่อสร้างอะไรต่าง ๆ วิ่งพักเดียวก็ทั่ว วนดูทุกวัน

สิงคโปร์ประเทศเล็ก ๆ เขาก็บริหารได้ดี ต้องบอกว่าดูแลทั่วถึง กาตาร์ประเทศเล็ก ๆ เขาก็บริหารได้ดี ใครจะไปนึกว่ากลางทะเลทรายจะทำให้เจริญได้ขนาดนั้น อาบูดาบี ดูไบ พวกนี้เขาเรียกสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือหลายประเทศมารวมกันเป็นประเทศใหญ่ แต่ว่าการปกครองของเขาก็ยังต่างคนต่างดูแลแต่ขึ้นกับศูนย์กลาง


ถาม : พม่านี่ขึ้นกับคนกลางไหมครับ ?
ตอบ : พม่านั้นต่างคนต่างอยู่ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าพม่าพบหยกหนัก ๕๐ ตัน ที่จริงเขาเจอมาเป็น ๑๐ ปีแล้วนะ แต่เขาปิดข่าวเอาไว้แล้วค่อย ๆ สกัดขึ้นมาขายทีละหน่อย เพราะเขารู้ว่าถ้าข่าวหลุดไปแล้วทหารจะมายึด ในที่สุดข่าวก็รั่วไปจนได้ เขาเจอตั้งแต่สมัยที่อาตมาไปพม่าใหม่ ๆ จะ ๒๐ ปีได้แล้ว

เถรี 31-03-2014 16:23

ถาม : นิโรธสัญญาในสัญญา ๑๐ กับนิโรธในอริยสัจ มีอรรถะต่างกันอย่างไรหรือคล้ายกันครับ ?
ตอบ : คล้ายกัน ถ้าจะเอาแน่ ๆ ก็นิโรธในอริยสัจ เพราะแปลว่าหลุดพ้นแล้วแน่ ๆ

ถาม : ถ้านิโรธสมาบัติมีส่วนของวิปัสสนาญาณอยู่ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : อยู่กึ่งกลาง ไม่ใช่สมถะและไม่ใช่วิปัสสนา

เถรี 02-04-2014 21:22

ถาม : เป็นไปได้ไหมครับที่คน ๆ หนึ่งแขวนพระองค์หนึ่งสายหนึ่งก็ใช้ได้ปกติ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอคนนี้มาแขวนปุ๊บ จะต้องมีเรื่องมีปัญหาทุกที ?
ตอบ : เท่าที่ประสบการณ์ผ่านมา มีพระรุ่นไฟไหม้มือของหลวงพ่อฤๅษี พกเมื่อไรนี่ แหม...ฮึกเหิมอยากตีกับชาวบ้านเขาประจำ แต่อาตมารู้ทันอารมณ์ตัวเอง ก็เลยระงับได้ ไม่อย่างนั้นก็คงโดดใส่เขาไปแล้ว

ถาม : แต่นี่เป็นเหตุการณ์ข้างนอกนะครับ ?
ตอบ : กรณีนี้ยังไม่เจอ เพราะว่าเท่าพกมาก็มีแต่ส่งผลในด้านดี

เถรี 02-04-2014 21:41

ถาม : ที่เขาบอกเกี่ยวกับผู้ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตวงศ์..?
ตอบ : โตเทยยพราหมณ์อยู่อเวจี พระเจ้าอชาตศัตรูอยู่สัญชีวนรก อยู่ข้างล่างทั้งคู่จ้ะ สมัยนี้คนเก่งมีเยอะ หลายท่านบอกว่า ตนเองเป็นท่านนั้นท่านนี้ในอนาคตวงศ์ แล้วเขาหากันได้ครบ ๑๐ องค์เสียด้วย อาตมาก็สงสัย เพราะในอนาคตวงศ์บางท่านไปพระนิพพานแล้ว ฉะนั้น..คนเก่งมีเยอะ อย่าไปเถียงกับเขาเลย

เถรี 02-04-2014 21:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราตั้งแต่ลืมตาตื่น จะเด็กจะผู้ใหญ่ก็โดนกินทั้งนั้นแหละ"

ถาม : ในกรณีที่จิตปฏิสนธิก็กินตั้งแต่ตอนนั้นหรือครับ ?
ตอบ : กินมาก่อนนั้นอีก แต่นี่หมายถึงว่าในแต่ละวัน สภาพจิตของเราตอนหลับจะทิ้งไปชั่วคราว ลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็โดนกินใหม่

เถรี 02-04-2014 21:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำราโหงวเฮ้งฉบับแรกของโลกที่มีหลักฐานชัดเจนคือมหาปุริสลักษณะ ไม่มีใครเถียงได้ เพราะว่าเขาดูกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว"

เถรี 03-04-2014 21:50

ถาม : การงานสะดุด ?
ตอบ : ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้สม่ำเสมอทุกวัน ถ้าทำจริง ๆ จัง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนเท่านั้นแหละ งานจะทับตาย เมื่องานสะดุดก็ต้องหาบุญใหญ่มาช่วย บุญใหญ่ที่สุดก็คือภาวนา แล้วถ้าภาวนาคาถาเงินล้าน ก็จะมีความคล่องตัวมาก

ถาม : อย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : อย่างเดียวก็พอแล้วจ้ะ ขอให้ทำจริงเท่านั้นแหละ

เถรี 03-04-2014 21:54

ถาม : กำหนดวันกฐินปลดหนี้ที่วัดรัตนานุภาพแล้วยังคะ ?
ตอบ : กำหนดไว้ตั้งนานแล้ว มีอยู่ในเว็บไม่ใช่หรือ ? ในกำหนดการประจำปี ๒๕๕๗ วันที่ ๒๖ ตุลาคม วันอาทิตย์ ต้องไปตั้งแต่วันศุกร์เหมือนเดิม เพราะเราจะไปถึงวันเสาร์แล้วค้างคืนหนึ่ง พอเช้าวันอาทิตย์ทอดกฐินเสร็จก็ตัวใครตัวมัน คงได้เหมารถไฟกันอีกแล้ว คราวที่แล้วเหมารถไฟเขาไปเท่าไร ? ๒ ตู้ใช่ไหม ? ๘๐ ที่นั่ง นอนคุยกันไป

เถรี 03-04-2014 22:42

ถาม : มีวัตถุมงคลที่เป็นคู่ปรับไสยศาสตร์ไหมคะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรอย่างไรเล่า คู่ปรับไสยศาสตร์โดยตรง พกติดตัวแล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้องทุกวัน

ถาม : ยังมีตะกรุดมหาสะท้อนไหมคะ?
ตอบ : เลิกทำแล้วเพราะอันตราย บางคนเอาไปเล่นเขาถึงตาย อาตมาเลยโดนพระท่านตำหนิมา

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าใครเขาทำอภิญญาแล้วไปใช้วิธีนี้จะเสื่อม ส่วนใหญ่แล้วที่ไสยศาสตร์ทำแล้วมีผลเพราะว่าเรากลัว ถ้าไม่กลัวนี่ ประเภทเรียกว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว

เถรี 04-04-2014 19:40

ถาม : พุทธวจนะที่กล่าวว่า “อวิชชาแต่ก่อนไม่ปรากฏ แต่บัดนี้มี” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ก็คือ สภาพของจิตของเราถ้ายังไม่ปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายที่เป็นโทษก็ยังไม่เกิดขึ้น พอปรุงแต่งขึ้นมาเมื่อไร สิ่งที่เป็นโทษจะเกิดขึ้นทันที ก็แปลว่าเราทำไปโดยไม่รู้ ความไม่รู้ก็คืออวิชชา มีหลายท่านสงสัยว่าใครเป็นตัวสร้างกิเลส แต่ไม่สงสัยว่าตัวกูเป็นคนสร้างกิเลส..! เพราะว่ามีการปรุงแต่งถึงได้เกิดขึ้น ตัวเองไปชอบใจไม่ชอบใจ ยินดียินร้ายนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

ถาม : เป็นเพราะเหตุปัจจุบัน ?
ตอบ : อวิชชาเป็นอดีตเหตุ การเกิดมาเป็นปัจจุบันผล ตัณหาเป็นปัจจุบันเหตุ การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบเป็นอนาคตผล ฉะนั้น..ถ้าเราไม่สร้างเหตุ ผลก็ไม่มี สร้างเมื่อไรก็มีเมื่อนั้น

ถาม : ในชีวิตประจำวันตอนที่เราไม่มีสมาธิ เราโดนกิเลสกินอยู่ตลอดเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถึงมีสมาธิ มีโอกาสโดนกิเลสละเอียดกินอยู่ตลอดเวลา แต่บางช่วงอย่างเช่นว่าสลบ หมดสติ แล้วไม่ได้ทำอะไร หรือว่าหลับไป ตอนช่วงนั้นก็แค่อยู่ในสภาพจิตของเราที่มืดบอด ไม่ได้ทำดีทำชั่ว

เถรี 04-04-2014 19:42

ถาม : “ในขณะแห่งญาณที่รู้แจ้งซึ่งอวิชชา” รู้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นช่วงเวลาที่เห็นว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร ก่อนที่จะรู้เห็นอย่างนั้นได้ สติ สมาธิ ปัญญาต้องได้รับการสั่งสมมามากพอ ขณะเดียวกัน สภาพของความแหลมคมของปัญญาก็ต้องสามารถแทงทะลุไปถึงสิ่งที่ถูกปิดบังอยู่ตามลำดับ อย่างเช่นว่าส่วนของกิเลสหยาบที่แสดงออกภายนอก กิเลสปานกลางที่คุกรุ่นภายใน กำลังรอการระเบิดออกมา หรือกิเลสละเอียดที่เป็นสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา

เถรี 04-04-2014 19:43

ถาม : จะมีอาการแบบไหนครับ ที่เป็นญาณทัสนะ ?
ตอบ : ประกอบไปด้วย ๑. รู้เห็น ๒. ใช้ความพยายามในการละ ๓. ตัดละได้ ๔. รู้ชัดว่าตนเองละได้ ๕. ทบทวนอยู่เสมอ ก็คือไม่ประมาท ในตอนสุดท้าย จะทบทวนขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า เพื่อความมั่นใจว่าตนเองสามารถละได้แน่นอนแล้ว ถ้ารู้เห็นเฉย ๆ เรียกว่าญาณทัสสนะ ถ้าตัดละได้ เรียกว่าวิมุตติญาณทัสนะ

เถรี 04-04-2014 19:51

ถาม : อนุปาทิเสสนิพพานยังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ไหม ?
ตอบ : เขาบอกว่า ถ้าตราบในที่ไตรสิกขายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ตราบนั้นเกิดได้อยู่ตลอด วิสัยของแต่ละคนสั่งสมมาไม่เหมือนกัน ถ้าวิสัยของท่านสั่งสมมาอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ถาม : จะมีความแตกต่างอย่างไรระหว่างสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน ?
ตอบ : ท่านอธิบายไว้ว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสแล้วยังมีขันธ์ ๕ อยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสพร้อมกับดับขันธ์ไปด้วย พูดง่าย ๆ คืออย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลพร้อมกับตาย กับอีกอย่างหนึ่งเข้าถึงมรรคผลแล้วยังอยู่ได้

ถาม : แต่ในพระพุทธวจนะท่านแสดงว่า “ปรากฏแม้ในปัจจุบันอยู่”
ตอบ : ในเรื่องของพวกนี้ เรามากล่าวถึงไม่มีประโยชน์ เหตุที่ไม่มีประโยชน์เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงจริง ได้แต่คิดว่า คาดว่า ตอบไปก็ไม่รู้ว่าตอบถูกหรือเปล่า คนถามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถามไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร

เถรี 04-04-2014 19:56

ถาม : ในขณะแห่งมรรคแต่ละมรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตตมรรคมีความแตกต่างอย่างไรบ้างเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ ?
ตอบ : ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคจะมีความรักในพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ประเภทตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี ถ้ามาถึงสกทาคามีมรรค เหมือนอย่างกับว่าความรักความโกรธหายไปเฉย ๆ ความจริงยังมีอยู่ แต่เนื่องจากอำนาจของการก้าวเข้าถึงสูงกว่าอารมณ์โสดาบันทั่วไปมาก ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของ ราคะ โทสะ เบาบางลงเหมือนกับไม่เหลือ

ในส่วนของอนาคามิมรรคจะรู้สึกรังเกียจร่างกายนี้เป็นที่สุด ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา ประเภทเดินผ่านคนอื่นบางทีอ้วกแตกใส่เขา จะโดนเขาชกหน้าเอา ถ้าในส่วนของอรหัตตมรรคจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรที่ควรค่าแก่การยึดถือไว้"

เถรี 04-04-2014 20:01

ถาม : อย่างไหนถึงเรียกว่ารูปในนาม ?
ตอบ : ถ้าส่วนไหนก็ตาม ที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทร่างกายของเรา ก็จัดอยู่ในส่วนของนามทั้งหมด ส่วนประเภทที่ว่ามือเราจับต้องแล้วสามารถสัมผัสได้ หรือว่าสายตามองเห็นเรียกว่ารูป คราวนี้ส่วนไหนก็ตามถ้าเกินจากตรงนี้ไปก็จัดอยู่ในนาม แต่ถ้าสายรูปนามที่เขาเรียนมาละเอียดจริง ๆ เขาก็มีรูปในนามอีกต่างหาก ก็คือเสียงที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้ยิน กลิ่นที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ได้กลิ่น เป็นต้น

ถาม : ประสาทร่างกายก็เป็นส่วนที่สัมผัสไม่ได้ ?
ตอบ : ประสาทร่างกายทั่ว ๆ ไปสัมผัสไม่ได้เขาจัดเป็นส่วนของนาม แต่อย่างของเสียง เราสัมผัสได้ แต่ว่ามองไม่เห็น เขาเลยเรียกว่ารูปในนาม ถ้าไปศึกษาสายนี้จะสนุกสนานไปอีกนาน สายนี้ที่สำคัญจริง ๆ ก็คือวัดปราสาททองที่สุพรรณบุรี มีคนปฏิบัติตามสายนี้มากเหมือนกัน

เถรี 04-04-2014 20:06

ถาม : คนที่ได้สมาธิแล้วเกิดญาณทัสนะ เห็นสภาพร่างกายมีความแปรเปลี่ยนไป จัดว่าเป็นวิปัสสนาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเห็นจริงแล้วสภาพจิตยอมรับ ว่าสภาพร่างกายมีธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นแค่ญาณ คือเครื่องรู้เฉย ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ให้เห็นให้ได้ก่อน ส่วนปัญญาเพียงพอที่จะปล่อยวางหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที

เถรี 04-04-2014 20:06

:4672615:เก็บตกเดือนมีนาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว