กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3991)

เถรี 10-02-2014 10:23

อาตมานี่เกิดกลางนา โยมแม่ทำคลอดตัวเองเสร็จสรรพก็กลับบ้าน คนโบราณเขารู้จักอยู่ไฟจึงแข็งแรง สมัยนี้ไม่อยู่ไฟไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บออด ๆ แอด ๆ มีลูก ๒-๓ คนก็แย่แล้ว พวกเราน่าจะลองไปผจญภัยอย่างนั้นดูบ้าง มีชีวิตอยู่กลางป่าเสือป่าช้างไม่พอ เสือคนก็ยังคอยปล้นอยู่ ต้องตะเกียกตะกายทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้พอ ซ้ำยังต้องเลี้ยงลูกอีกเป็นสิบคน

อาตมาพาโยมแม่ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ด้วยความที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า คนบ้านเดียวกันสอนกันไม่ได้หรอก ต้องให้คนอื่นสอน ก็เลยไปฝากครูพรรณีสอน ครูพรรณีสอนโยมแม่อยู่พักหนึ่ง ก็เดินหัวเราะออกมา ถามว่า “ท่านเล็ก..สอนแม่อย่างไร ถามแม่ว่าเกิดมาทุกข์ไหม ? แม่บอกไม่ทุกข์”

หลักการของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็คือ ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เบื่อหน่าย ย่อมไปพระนิพพานไม่ได้อยู่แล้ว อาตมาบอกว่า “ครูพูดผิด ให้พูดใหม่ ไปถามแม่ว่าทุกข์ไหม ? แม่ไม่รู้หรอก ต้องถามว่าลำบากไหม ? แบบนั้นแม่บรรยายได้ ๓ วัน ๓ คืน” คนโบราณเขาไม่เข้าใจหรอกว่าทุกข์แปลว่าอะไร แต่ถามว่าลำบากไหม ? ถามแม่ดูสิ เล่าได้ ๓ วันไม่จบหรอกว่าชีวิตนี้ลำบากแค่ไหน

ฉะนั้น..บางทีในเรื่องการสอนกรรมฐาน ไปเจออาจารย์ที่ไม่เข้าใจลูกศิษย์ บางทีพาลูกศิษย์ไปไม่ได้หรอก แบบเดียวกับที่อาตมาไปฝึกมโนยิทธิใหม่ ๆ ครูฝึกคนแรกสอนอาตมาไม่ได้หรอก ถามว่า “สว่างไหม ? เห็นอะไรไหม ?” หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไรวะ ? ไปได้คนข้างหลังถามว่า นึกถึงภาพพระได้ไหม ? โอ๊ย..สบายอยู่แล้ว ฉะนั้น..บางทีครูฝึกถ้าพูดไม่ตรงจริตของเรา แทนที่เราจะฝึกได้ก็ฝึกไม่ได้ไปเลย

เถรี 10-02-2014 10:25

มีโยมที่ตั้งท้องกำลังนั่งช่วยทำไส้ผางประทีป พระอาจารย์จึงกล่าวว่า " โบราณเขาห้ามตัดอะไรนะ คนท้องเขาห้ามตัดโน่นตัดนี่ เขากลัวว่าลูกจะแหว่ง จะพันจะผูกอะไรก็ทำไปแต่อย่าไปตัด เขากลัวเด็กออกมาแล้วจะขาด มีอวัยวะไม่ครบ ๓๒"

เถรี 10-02-2014 19:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครไปเลือกตั้งมาบ้างจ๊ะ ? ได้ยินว่าบางหน่วยเปิดไม่ได้ จำไว้ว่าคนเราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้บางครั้งจะไม่ถูกใจก็เถอะ โดยหลักการแล้ว บ้านเราปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แปลว่าพระองค์ท่านก็ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับในรัฐธรรมนูญด้วย นั่นคือหลักการที่ถูกต้องซึ่งเราจะทิ้งไม่ได้

ฉะนั้น..ถึงเวลาแม้ใครเขาจะขัดขวางอย่างไร สิ่งที่ถูกต้องก็คือต้องไปเลือกตั้ง ไม่มีใครในโลกนี้สามารถทำให้คนทั้งหมดมีความยินใจและพอใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ทุกรัฐบาลในโลกถึงได้มีฝ่ายค้าน ในเมื่อกฎกติกาของเขามีอยู่ ถ้าเราปฏิบัติตามกฎกติกาปัญหาจะน้อยที่สุด แต่ถ้าไม่ทำตามกติกาเมื่อไรบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่รู้จบ

ส่วนใหญ่แล้วคนเราไม่ค่อยชอบทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่มักจะทำในสิ่งที่ถูกใจ จึงกลายเป็นฝืนกฎเกณฑ์กติกา แต่ละอย่างที่ได้ยินม็อบเขาว่ามา ส่วนใหญ่แล้วเป็นการคิดว่าคาดว่า สรุปผลเอง ต้องบอกว่าเป็นการฟังความข้างเดียวหรือว่ารับข้อมูลข้างเดียว ต่อให้เรารับข้อมูลทั้ง ๒ ฝ่ายก็ยังไม่ใช่ข้อมูลที่แท้จริง เพราะว่าแต่ละคนก็จะพูดแต่ในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์กับตัวเอง ถ้ายิ่งฟังข้อมูลข้างเดียวก็ยิ่งเละเข้าไปใหญ่

ฉะนั้น..ทุกอย่างจึงต้องยึดหลักการเอาไว้ก่อน เรื่องพวกนี้ในปัจจุบันเขาไม่ยึดหลักการกัน ต่อให้ทำการปฏิวัติประชาชนสำเร็จ แล้วจะเอากฎหมายที่ไหนมารองรับ ? จะเอาอำนาจที่ไหนมาดำเนินการ ? เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ ถ้าไปล้มรัฐธรรมนูญก็กลายเป็นกบฏไปอีก

เรื่องพวกนี้ที่วุ่นวายอยู่ก็เพราะว่ากฎเกณฑ์เขามีอยู่ แม้จะไม่เป็นที่ถูกใจของคนทั้งหมด แต่ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการอย่างนั้น จะเอาความมันในอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้ แล้วโดยเฉพาะพระของเรา จะเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เพราะพระเรามีหน้าที่เป็นหลักของสังคม มีหน้าที่คอยเตือน คอยบอก ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก้าวล่วงเลยกฎเกณฑ์กติกาไป ไม่ใช่ไปนำม็อบเสียเอง..!

เรามาดูว่าแค่ ๒๕๕๗ ปี ศาสนาของเรายังสับสนวุ่นวายจนขนาดนี้ พอยิ่งนานไป ๆ สัทธรรมปฏิรูปมีมากขึ้น ๆ ก็จะกลบบดบังแก่นแท้ไป ถ้านักปฏิบัติ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ไม่ศึกษาให้ถึงแก่นแท้ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้ ต่อไปในส่วนของสะเก็ดก็จะหุ้มเปลือกหนาขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วก็หาแก่นไม่เจอ"

เถรี 10-02-2014 19:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่อาตมาไปยุโรปมา ขากลับช่วงประมาณสักน่าจะตีหนึ่งตีสองของกลาง ๆ ทาง ก็มีเพื่อนเก่าท่านมาเตือน บอกว่าให้ปรับนาฬิกาในตัวเองให้เป็นเวลาของเมืองไทย ที่เขาเตือนเขาบอกว่าไม่อย่างนั้นแล้วจะเมาเครื่องไปหลายวัน ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Jet lag

อาตมาก็ถามว่าทำอย่างไร ? ท่านบอกว่าก็ส่งกำลังใจไปอนาคตซึ่งจะเป็นเวลาของประเทศไทย เพราะที่มาจากยุโรปเป็นเวลาในอดีต เวลาที่นั่นเดินช้ากว่าบ้านเรา กำหนดใจไปข้างหน้ากี่ชั่วโมงให้ตรงกับเวลาเมืองไทย แล้วก็ล็อกเอาไว้ก็จะได้เวลาเมืองไทย ถึงเวลาก็จะได้ไม่เมาเครื่อง เพราะว่าเวลาในตัวเรากับเวลาจริงนั้นเป็นเวลาเดียวกัน อาตมาก็ลองทำดู

พอกำลังใจได้ตรงเวลาเมืองไทยล็อกไว้เสร็จ โอ้พระเจ้า..! หิวไส้ขาดเลย เวลาเมืองไทยตรงกับแปดโมงครึ่ง แต่ที่นั่นยังตีหนึ่งตีสองอยู่ คราวหน้าต้องมาใกล้ ๆ ก่อนแล้วค่อยขยับ เล่นให้ทำตั้งแต่กลางทาง จนนั่งไม่เป็นสุขเลย"

เถรี 11-02-2014 14:14

ถาม : จะบวช มาขอคำแนะนำครับ ?
ตอบ : ไปวัด..ไม่เห็นมีอะไรให้แนะนำเลย จะบวชก็ไปวัดเท่านั้นเอง ไปบอกกับพระอุปัชฌาย์ท่าน นัดแนะวันเวลากันไป บวชนั้นไม่ได้สำคัญหรอก สำคัญตอนบวชแล้วต่างหากว่าทำอย่างไรจะรักษาศีล รักษาความเป็นพระของเราให้ได้ ตอนนั้นแหละจะรู้ว่านรกมีจริง..!

ชีวิตของความเป็นพระเป็นชีวิตที่โดนจำกัด โดนตีกรอบด้วยศีล ปกติชีวิตของฆราวาส อาตมาเคยเปรียบว่า เหมือนกับปล่อยเราเดินอยู่ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางทีเดินอยู่ทั้งปีไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก แต่ชีวิตของความเป็นพระ เขาเอาเรากับเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงเดียวกัน เสือฟัดเราทุกวันแหละ สิ่งที่เคยคิดก็คิดไม่ได้ เคยพูดก็พูดไม่ได้ เคยทำก็ทำไม่ได้ จะอกแตกตาย..!

ลองบวชดูเถอะ แล้วใครที่ตั้งใจว่าบวชแล้วจะเอาดีให้ได้ อาตมารับประกันว่านรกมีจริงแน่นอน..! การบวชจะเริ่มเบา เริ่มมีความสบายขึ้น ก็ต่อเมื่อเรากับศีลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีสติมากพอที่แค่ขยับตัวก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ซึ่งถ้าจะทำถึงระดับนั้นได้ ก็ต้องทรงสมาธิกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในเรื่องของมาติกมาตา ที่พระท่านบอกว่าท่านไม่สามารถรักษากำลังใจไว้ได้ เพราะว่าศีลมีเยอะ อายโยมที่รู้ใจตัวเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นให้รักษาศีลข้อเดียว คือรักษาใจไม่ให้คิดชั่ว ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ก็จะเริ่มมีความสุขขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเครียดอยู่ทุกวัน

เถรี 11-02-2014 14:16

ถาม : คนที่ฆ่าตัวตาย ?
ตอบ : เขาว่าต้องฆ่าไปจนกว่าจะครบ ๕๐๐ ครั้ง

ถาม : ทำไมถึงต้องฆ่าจนครบ ๕๐๐ ครั้ง ?
ตอบ : เป็นกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาทำซ้ำ ๆ จนกว่าจะหมดกรรมอันนั้น แต่คราวนี้ตัวเลขไปลงที่ ๕๐๐ พอดี

ถาม : ๕๐๐ ครั้ง หรือ ๕๐๐ ชาติ ?
ตอบ : ๕๐๐ ชาติ ถ้าใครฆ่า ๕๐๐ ครั้งไม่ตายนี่อย่าไปฆ่าอีกเลย

ถาม : ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาจะได้รับไหม ?
ตอบ : พวกฆ่าตัวตายนี่ส่วนใหญ่ยังไม่หมดอายุ ถ้าทำบุญไปให้เขาส่วนใหญ่เขาจะได้

ถาม : ที่บ้านเขาไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ?
ตอบ : ก็ทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าหมดอายุ แล้วก็ไปตามเวรตามกรรมของตัวเอง เกิดใหม่ก็ฆ่าใหม่อีก

เถรี 12-02-2014 21:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ยังแปลกใจอยู่ว่า ถึงเวลามีคนแจ้งความว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกบฏ ศาลไม่รับแจ้ง บอกว่าหลักฐานไม่ชัดเจน นำคนเดินปิดหน่วยราชการเสียทั่วกรุงเทพฯ นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ? แต่พออีกฝ่ายหนึ่งไปแจ้งความว่านายกฯ ใช้พรก.ฉุกเฉินโดยไม่ชอบต่อกฎหมาย กลับรับแจ้งทันที

เออ..ตลกดี สรุปว่ากำลังเผาตัวเองอยู่หรืออย่างไร ? ของพวกนี้ทำไปเท่าไร ชาวบ้านเขาเห็น ก็เท่ากับว่าศาลกำลังลดความน่าเชื่อถือของตัวเองไปเรื่อย สองมาตรฐานเห็น ๆ อคติเกินไป เห็นชัด ๆ เลย ในเมื่อคุณเลือกข้างก็เสียความยุติธรรม ตราชั่งเขาห้ามเอียง"

เถรี 12-02-2014 21:33

ถาม : ขอมสมัยพระเจ้าพรหมกับขอมสมัยสุโขทัยเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขอมสมัยโน้นต้องบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่เป็นคนละพวก ตกลงฟังรู้เรื่องไหม ? เผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่เป็นคนละพวก เพราะว่าสมัยนั้นขอมมีอำนาจมายันลพบุรี แล้วคราวนี้มีอยู่พวกหนึ่ง ก็คงจะขัดคอกันเอง คิดว่าไปหาบ้านหาเมืองของตัวเองอยู่ก็ได้ ก็พาพวกลุยขึ้นเหนือไป คราวนี้ไปเจอเชียงแสนรักสงบ ตีง่าย ก็เอาเลย

คำว่า "ขอม" หลวงปู่อ่ำท่านบอกว่าแปลว่าครู แสดงว่าสมัยก่อนพวกนี้เขาจะมีวิชาความรู้เหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ ซึ่งก็น่าจะใช่ เพราะสามารถสร้างปราสาทหินได้ขนาดนั้น ลองไปดูปราสาทบันทายศรี ที่เขมรเรียกบันทายสตรี อาตมาก็เลยเรียกปราสาทบั้นท้ายสตรี หมดเรื่องไปเลย เป็นปราสาทหินที่ต้องบอกว่า ค่อนข้างจะเล็กถึงเล็กที่สุด แกะสลักหินละเอียดยิบเลย สามารถกลึงลูกกรงหินโดยใส่รายละเอียดได้เหมือนกับกลึงไม้ ไปดูเท่าไรก็ไม่เบื่อ

ตรงนั้นจะมีวงดนตรีคนตาบอด อาตมาไปไล่แจกเงินเขา วงดนตรีคนตาบอดไม่แปลกหรอก แต่ว่าคนที่เป็นคนนำวงไม่ได้ใช้เครื่องดนตรี เขาใช้ใบไม้ เด็ดออกจากต้นที่เขานั่งอยู่นั่นแหละ แล้วก็เป่าไปเรื่อยเป็นสารพัดเพลง เห็นแล้วชอบใจ เขาตาเสียแต่มีความสามารถ เพราะว่าพวกสายตาเสียต้องเอาหูมาทดแทน เอาประสาทสัมผัสมาทดแทน ฉะนั้น..หูเขาก็จะไวต่อเสียงดนตรีมาก อาตมาไปไล่แจกเงินเขาทั้งวงเลย

สรุปไปเขมรไม่ได้ใช้เงินตัวเองสักบาท แถมยังเหลือกลับมาอีกตั้งเยอะตั้งแยะ ใช้แต่ค่าเครื่องบิน ตอนอยู่ที่นั่นไม่ได้ใช้อะไรเลย ไปถึงโยมก็แลกเงินให้มัดเบ้อเร่อ บอกให้เอาไปใช้ ไปไล่ใส่ตู้ ทำบุญไปเรื่อยเปื่อย เขมรกับอินโดนีเซียคล้าย ๆ กันตรงที่ว่าค่าเงินเล็ก เงินเขมรเวลาใช้ตัดท้าย ๒ ตัวจะเป็นเงินไทย เอา ๐ ออก ๒ ตัว เหลือเท่าเงินไทย ของเขา ๒,๐๐๐ บาท มาถึงเมืองไทยเหลือ ๒๐ บาท

ส่วนจุดที่น่าไปมาก ๆ เลยก็คือ พนมกุเลน มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่บนยอดดอย เขาแกะจากยอดดอยเลย เป็นพระนอน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระธุดงค์จากเมืองไทยไปเห็นแล้วชอบใจท่าไหนก็ไม่รู้ หินอาจจะมีลักษณะเป็นทรงคล้ายอยู่แล้ว ก็เลยแกะเป็นพระนอนองค์เบ้อเร่อ แล้วสร้างอาคารครอบไว้ กลายเป็นว่ายอดภูเขาทั้งยอดกลายเป็นศาลา สมัยก่อนพระไทยเวลาธุดงค์ไปเขมร ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ต้องไปให้ถึง ก็คือต้องไปไหว้พระนอนที่ยอดพนมกุเลน หลวงปู่สรวงพาลูกศิษย์ไปบ่อย

แต่ถ้าไปอย่างหลวงปู่สรวงนี่ ไปแล้วต้องกินใบไม้ใบหญ้า หลวงปู่ท่านเดินไปเรื่อย ท่านไม่หิวไม่เหนื่อย ลูกศิษย์จะตายเอา ท้ายสุดต้องประท้วง บอกว่าหิว..เดินไม่ไหวแล้ว หลวงปู่ท่านก็รูดใบไม้ให้ “เอ้า! กิน” กินลงไปอิ่มเหมือนกัน ท่านว่าอย่างนั้น

เถรี 12-02-2014 21:38

ถาม : เสนาสนะแปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : ที่อาศัยของพระ จะเป็นกุฏิ เป็นศาลาอะไรก็ได้ อยู่ตรงไหนก็เรียกเสนาสนะ ถ้าหากว่าไม่มี อยู่โคนต้นไม้ก็เรียกเสนาสนะ

ถาม : แล้วรถยนต์ของวัดละครับ?
ตอบ : รถยนต์ของวัดเป็นสังหาริมทรัพย์ ยกเว้นว่าคุณจำพรรษาในรถ ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเสนาสนะได้..!

สมัยหลวงพ่อสมชายวัดเขาสุกิมยังอยู่ ท่านมีรถยนต์เป็นเสนาสนะ ท่านแทบไม่ได้ลงจากรถเลย ในช่วงพรรษาไปไหนได้ไม่เกิน ๗ วัน วันที่ ๗ ท่านกลับมาถึงวัดก็นั่งรออยู่บนรถ สว่างปุ๊บออกต่อเลย คนเราแปลก ยิ่งแก่กลับยิ่งใช้ อย่างอื่นแก่แล้วหมดราคา แต่พระยิ่งแก่คนก็ยิ่งใช้

เถรี 12-02-2014 21:51

ถาม : ผมเคยได้ยินว่าอย่าสร้างพระตากแดดตากฝน ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าก็เหมือนกับพ่อใหญ่ เราเอาพ่อไปตากแดดตากฝน เข้าท่าไหมเล่า ? ท่านบอกว่าท่านไม่สบายใจ เพราะฉะนั้น..ถ้าสร้างก็ให้มีอาคารด้วย

ถาม : เวลาที่ได้รับบอกบุญสร้างพระอยู่กลางแจ้งล่ะครับ ?
ตอบ : ก็สร้างกับเขาไปสิ เขาอุตส่าห์บอกบุญ ถ้าเขาไม่บอก เราก็ต้องไปตะเกียกตะกายหาสร้างเอง

ถาม : เราทำบุญเพราะคิดว่าจะได้ทรัพย์สินให้มากขึ้น ในกรณีของพระอริยเจ้า พระโสดาบันท่านคิดอย่างไรครับถึงทำบุญ ?
ตอบ : ท่านทำเพื่อเป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา รู้ว่าดีก็ทำ คนอื่นเห็นจะได้ทำตาม

เถรี 12-02-2014 21:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "พอสภาพจิตละเอียดมากขึ้น ๆ ทำให้รู้รอบจริง ๆ ขนาดชีพจรเหลือเต้นเบานิดเดียว แต่ได้ยินเสียงดังอย่างกับตีกลองเพล"

เถรี 18-02-2014 19:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑ มีนาคม ช่วงรับสังฆทานอาตมาคงต้องหนีไป ๒ ชั่วโมง ไปรับโล่สันติภาพจากหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ไม่รู้ว่าทางเขาเห็นอาตมาทำงานอะไรเกี่ยวกับสันติภาพ ทั้ง ๆ ที่ตีกับชาวบ้านประจำ เขาให้รางวัล Peace Foundation ได้มาแบบงง ๆ อยู่ ๆ ก็เอาเอกสารมาให้เซ็น แล้วก็บอกวันที่ ๑ มีนาคมไปรับกับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ อะไรความดีจะปรากฏได้ขนาดนั้น !?"

ถาม : เขาบอกว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเข้าข้างธรรมกาย ?
ตอบ : ว่าท่านเข้าข้างธรรมกาย ? จะไม่เข้าข้างได้อย่างไร ก็ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อให้ท่านไม่เข้าข้างเลย เขาก็จะกล่าวหาอยู่ดี พระอย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำก็ยังมีคนนินทา ปล่อยเขาเถอะ แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา เขาบอกว่าหลวงพ่อพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปเดิน ๆ มอง ๆ ซ้ายขวาหน้าหลังเสร็จ “สวยดีหรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้” ติจนได้..เอากับเขาสิ

กระทั่งพระพุทธเจ้ายังหนีไม่รอด ใครจะนินทาก็ว่าไป หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านมีแต่ให้มาตลอดทั้งชีวิต ก็ยังนินทาท่านจนได้

เถรี 18-02-2014 19:13

"ส่วนใหญ่แล้ว ญาติโยมเขาไม่รู้ว่าโทษของการปรามาสพระรัตนตรัยนั้นรุนแรงขนาดไหน เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาแล้วก็นินทาพระนินทาเจ้าเป็นของสนุก อย่างหลวงพ่อพุทธอิสระเหมือนกัน ต่อให้สิ่งที่ท่านทำไม่ถูกต้องขนาดไหนก็ตาม ถ้าท่านยังรักษาศีลไม่บกพร่องอยู่ ระวังอย่าไปแตะต้องเข้า..! โบราณท่านฉลาด ถึงได้บอกว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ คนสมัยใหม่ไม่รู้โทษ แล้วก็ชอบอวดความรู้ของตนเอง โดยเฉพาะความรู้หลายส่วน เป็นความรู้ที่เกิดจากการประมาณการเอา ซึ่งไม่ใช่ความจริง ก่อให้เกิดโทษแก่ตัวเองเปล่า ๆ"

เถรี 18-02-2014 19:21

ถาม : ระบบการปกครองในพุทธศาสนา ?
ตอบ : อธิปไตยคือความเป็นใหญ่ ๓ ประการ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด จะมีอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือพวกเผด็จการ โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือเอาเสียงข้างมาก ธรรมาธิปไตย ถือความถูกต้องเป็นใหญ่

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญในเรื่องของระบอบการปกครองใด ๆ เลย เพราะพระองค์ท่านทราบดีว่าทุกอย่างอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ระบอบ พระองค์ท่านถึงได้กล่าวว่า แต่ละระบอบต้องมีหลักธรรมอะไรมาประกอบถึงจะดีจริง คือต้องเป็นธรรมาธิปไตย

ในเรื่องของอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ จะเห็นว่าอย่างพระมหากษัตริย์ของเรา สมัยก่อนเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช นั่นอัตตาธิปไตยชัด ๆ เลย แต่ทำไมสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศของเราเจริญกว่าญี่ปุ่นอีก พอมาสมัยนี้สมัยโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เละเป็นโจ๊กเลย ถึงได้บอกว่าถ้าอัตตาธิปไตย ระบอบกษัตริย์ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม มีราชสังคหะ มีจักรวรรดิวัตร โลกาธิปไตยก็ต้องเป็นอปริหานิยธรรม

คนกลุ่มหนึ่งมักจะไม่ค่อยมีความคิด เพราะว่าถนัดในการคล้อยตามคนนำ พระพุทธเจ้าตรัสบาลีอยู่ประโยคหนึ่งว่า กลุ่มคนถ้าไม่มีผู้นำก็จะพบแต่ความเสื่อม ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าใครเขากล้านำ ก็จะตาม ๆ กันไป อย่างบรรดา ส.ส. ของเรา ถามว่าเลือกได้คนดีที่สุดหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ดีที่สุด แต่ว่าเขากล้านำ ในเมื่อเขาเสนอตัวมาก็เลือกกันไป

เถรี 18-02-2014 19:27

สมัยก่อนคนเรายังใช้กำลังเป็นใหญ่กันอยู่ จะสังเกตว่าบรรดานักรบเก่ง ๆ ก็ได้รับการเคารพนับถือ ไม่ต้องอะไรมากมายหรอก อย่างพวกชนกลุ่มน้อยของจีน พวกมองโกล พวกหุย พวกไป๋ ฯลฯ พอถึงเวลาใครมีความสามารถ ก็จะเชื่อถือเชื่อฟังคนนั้น พออ่อนแอก็โดนรุมทันทีเลย เพราะฉะนั้น..จีนในยุคก่อนที่จะสร้างกำแพงเมืองจีนจะเดือดร้อนอยู่เสมอ เพราะพอกษัตริย์มีท่าทีอ่อนแอลง ทางนอกด่านก็บุกไปปล้นไปฆ่าจนเป็นเรื่องปกติ

แม้กระทั่งปัจจุบันก็เหมือนกัน ใครกำปั้นโตกว่าคนนั้นก็เสียงดังกว่า ดูอย่างสหรัฐอเมริกา ตัวเองครอบครองนิวเคลียร์ตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ห้ามคนอื่นมี ก็คล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าเนียนขึ้น บอกว่าเป็นผู้รักสันติภาพ เข้าไปลุยกับอิรักกับอัฟกานิสถานจนเละเป็นโจ๊กเลย ตอนนี้ตั้งท่าจะเล่นซีเรียแต่ชาวโลกเขาไม่เอาด้วย ก็ได้แต่กระอึกกระอักอยู่

ปัจจุบันนี้เหมือนกับว่าหลายฝักหลายฝ่าย ต่างคนต่างออกมาแสดงความคิดเห็น อย่างพวกนักวิชาการก็จะให้ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปคุยกับคุณสุเทพ เพื่อจะได้ปรองดอง เขาก็ได้แต่แสดงความเห็นว่าต้องทำอย่างนั้น ใคร ๆ ก็รู้ ไม่ต้องให้นักวิชาการหรอก แต่คุณสุเทพเขาประกาศแล้วว่าเขาไม่คุยด้วย เพราะฉะนั้น..คุณแสดงความเห็นไปก็ไร้ประโยชน์

ขณะเดียวกัน กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ก็บอกว่าตรงนั้นมีปัญหา ตรงนี้มีปัญหา ต้องเลื่อนการเลือกตั้ง ถ้ามีปัญหาก็เป็นหน้าที่คุณต้องแก้ไข ไม่ใช่หน้าที่รัฐบาลต้องไปเลื่อนการเลือกตั้ง สมัยนี้หลงประเด็นกันหมด เพราะการเลือกตั้งทุกครั้งมีปัญหา เขาถึงต้องมี กกต.ขึ้นมา เขามีมาเพื่อให้คุณแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ให้คุณมาบอกว่าต้องเลื่อนการเลือกตั้ง

เถรี 18-02-2014 19:28

ถาม : จะยืดเยื้อถึงสามเดือนไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง ๓ เดือนหรอก เดือนนี้เดือนหน้าก็รู้เรื่องแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยาก..เพราะว่าบ้านเราการแตกร้าวลึกเกินไป ถึงระดับผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกันแล้ว ฝ่ายไหนเป็นใหญ่ขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะค้านตะบัน เขาไม่ได้ค้านในลักษณะสร้างสรรค์ แต่ในปัจจุบันนี้เขาค้านเพื่อไม่ให้ทำงานได้ เพราะถ้าไม่ค้านเอาไว้ อีกฝ่ายทำงานได้เดี๋ยวจะโกยคะแนนเสียงไปหมด เพราะฉะนั้น..ประชาธิปไตยบ้านเราจึงเป็นประชาธิปไตยแบบถอยหลังลงคลอง

มาจากคน ๆ เดียวแหละ ก็คือคุณสนธิ แกปลุกปั่นจนกระทั่งคนจำนวนหนึ่งเห็นด้วย กรอกข้อมูลใส่หูไปทุกวัน ๆ เป็นจริงบ้าง ไม่เป็นจริงบ้างก็เอาเถอะ ขอให้สะใจเข้าไว้ ก็เลยกลายเป็นสร้างความแตกแยก จากคนดี ๆ กลายเป็นเกลียดชังชนิดที่ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง คนเราโกรธได้ แต่อย่าเกลียด เพราะเกลียดนั้นฝังรากลึก ไม่น่าเชื่อว่าเขาใช้ระยะเวลาแค่ไม่นาน ทำให้คนไทยแตกแยกได้ขนาดนั้น

อย่าลืมว่าทั้งหมดไม่มีใครหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง มีเบื้องหลังทั้งนั้น คุณสนธิที่ด่ามันปาก แกก็ขายจาน ASTV ของแกไปเรื่อย พอแกด่าจบ แกก็มีเงินในกระเป๋าตั้งหลายพันล้าน แกก็พอแล้ว กูไปแล้ว บ้านเมืองจะพังอย่างไรก็ช่างหัวมัน กูเงินได้แล้วนี่ ตรงนั้นเขาไม่ได้คิดถึง เขาคิดถึงแต่ว่าตอนนี้กูรวย ถ้าคิดอย่างพวกเราก็เป็นนักการเมืองไม่ได้

เถรี 18-02-2014 19:32

ถาม : ปัญหาประเทศชาติขณะนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นเพราะกรรม ถามไปถามมาก็วนกลับมาที่เดิม

ถาม : อีกนานไหมครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นว่าในหลวงจะยืนหยัดได้นานเท่าไร ถ้าในหลวงไม่สามารถยืนหยัดได้ จะฉิบหายมากกว่านี้ เรื่องพวกนี้เป็นประเภทเกินตาย ถ้าเลยจากตรงนี้เดี๋ยวนี้ไปเมื่อไร ถือว่าเลยตายทั้งนั้น เสียเวลาไปสนใจ

ตอนนี้ประเทศไทยเราล้าหลังที่สุดในอาเซียนแล้ว ช้ากว่าลาว เขมรแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้
บ้านเราก็จะช้าไปเรื่อย ๆ เสียเวลาไปกังวล

ถาม : จะมีนักการเมืองที่ดีปรากฏไหมครับ ?
ตอบ : มี..อยู่ดูให้ได้เห็นก็แล้วกัน

อาตมาไม่เคยสนใจ เป็นอย่างไรก็ช่าง เราทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดก็พอ รับเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้ามา นอกจากไม่พ้นทุกข์แล้ว ยังเพิ่มความทุกข์ให้อีก ส่วนใหญ่พวกเราดูหนังไม่จบ ดูไม่จบแล้วพยายามจะคาดการว่าจบอย่างไร แต่คนที่เขาดูหนังจบแล้ว หรือเลิกดูแล้ว เขาก็ไม่สนใจ

เถรี 18-02-2014 19:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องมือทำให้คล่องตัวขึ้น แต่ทำให้คนเสื่อมสมรรถภาพลง เครื่องมือเก่งขึ้น ลองไปขึ้นเขาแข่งกับชาวบ้าน พวกที่เคยนั่งแต่รถอย่างพวกเราก็ตาย ต้องเดินให้ชาวบ้านวิ่งไล่ให้ได้อย่างอาตมา เขาถึงจะยอมรับนับถือ"

เถรี 18-02-2014 19:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเรื่องราวประวัติศาสตร์จะยืดยาวแค่ไหน เขาใช้วิธีจำด้วยมุขปาฐะ ก็คือใช้ท่องจำเอา จากรุ่นต่อรุ่น รุ่นต่อรุ่น บางอย่างก็แต่งเป็นเพลง บางอย่างก็แต่งเป็นนิทาน เล่าสืบ ๆ กันมา แม้กระทั่งพระไตรปิฎกก็จำแบบมุขปาฐะมาเรื่อย ๆ ๓๐๐ กว่าปี ถึงได้จารึกเป็นตัวอักษรที่เมืองมตเลของศรีลังกา เพราะว่าสมัยนั้นเริ่มมีการปรารภว่า ปัญญาของคนเริ่มทรามลง จะจดจำรายละเอียดทั้งหมดให้ได้เหมือนคนเก่าเริ่มยาก จึงต้องใช้วิธีจารึกลงใบลาน

ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นว่า ให้พระไตรปิฎกอยู่ในใบลานแทน คนก็ไม่เก็บไว้ในสมอง จึงตกต่ำไปเรื่อย ๆ มาถึง ปัจจุบันเราก็ให้เครื่องคอมพิวเตอร์จำแทน ก็จะแย่ลงไปอีก

ไปนึกถึงอันตรธานปริวัตรของปฐมสมโพธิกถาว่า ก่อนจะสิ้นพระศาสนา พระอินทร์ท่านต้องมาพิสูจน์ว่า พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญหมดสิ้นแล้วหรือยัง จึงแปลงเป็นชายแก่เอารถเข็นใส่ทองคำเท่าลูกฟักมา ถ้าใครจดจำคำสอนให้พระไตรปิฎกได้ให้สาธยายมา จะมอบทองคำนี้ให้ ก็ไม่มีใครจำได้แม้แต่ปิฎกเดียว ก็ไม่มีใครท่องได้ จำได้แม้แต่พระสูตรเดียว เอาแค่พระพุทธวัจนะประโยคเดียว ก็ไม่ได้

พอถึงระดับนั้นพระอินทร์ก็จะประกาศว่า พุทธศาสนาขณะนี้หมดสิ้นไปจากโลกแล้ว สั่งการให้ท้าวมหาราชถอนกำลังกลับได้ ปล่อยให้ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกไป กลายเป็นว่าเครื่องมือสมัยนี้ จะทำให้ความจำเสื่อมไปเรื่อย"


ถาม : ทักษะเป็นสัญญาหรือเป็นส่วนไหนของตัวเราคะ ?
ตอบ : ก็ต้องบอกว่าผสมผสานกัน เป็นทั้งสัญญา เป็นทั้งในส่วนของสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ก็คือรวม ๆ กัน เราจะสังเกตว่า ถ้าคนไม่รู้หนังสือจะจำแม่น อย่างสมัยก่อนคุณแม่ของอาตมาไม่รู้หนังสือ แต่ไปแลกข้าว ไปค้าขาย ลูกค้ามีกี่คน ใครซื้ออะไรไว้ตั้งแต่วันไหน เป็นเงินเท่าไร แกจำได้หมด แต่พอรุ่นอาตมาเรียนหนังสือ ใช้วิธีจดก็ไม่ได้จำ พอจดไม่ได้จำ ก็กลายเป็นว่าความจำก็เสื่อมไปเรื่อย ยิ่งสมัยนี้ให้เครื่องจำแทน ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

เถรี 18-02-2014 19:44

ถาม : ถ้าเราเริ่มปฏิบัติ..?
ตอบ : อย่าไปอยากได้อภิญญาสมาบัติแบบคนอื่นเขา เพราะวิสัยของแต่ละคนทำมาไม่เท่ากัน สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรไม่ให้กิเลสกินใจเราได้ นั่นสำคัญที่สุด ถ้ารักษาสภาพจิตของเราไม่ให้กิเลสกินได้ มีความผ่องใสอยู่นาน ๆ ต่อไปสภาพจิตชินต่อการไม่มีกิเลส ถึงเวลาก็สามารถที่จะหลุดพ้นได้

เถรี 18-02-2014 19:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อไปเด็กรุ่นใหม่พอเริ่มจะซนจะทำอะไรได้ พวกเราก็เอาไอแพ็ดหรือไอโฟนให้ เด็กก็จะนั่งนิ่ง ๆ ทั้งวัน จิ้ม ๆ อยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนหรอก แต่ร่างกายนิ่งแบบนั้นไม่ได้ ต่อไปก็จะอยู่ในลักษณะที่กำลังใจได้ แต่กำลังกายไม่มี จะทำอะไรก็ลำบาก จึงต้องคิดเครื่องมือที่สั่งการด้วยเสียงหรือสั่งการด้วยสมองขึ้นมา"

เถรี 19-02-2014 10:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในสัปปุริสธรรม ๗ เรื่องของการรู้เหตุรู้ผล (ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา) เท่ากับว่าเราใกล้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเข้าไปแล้ว ก็ในเมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีเกิดจากอะไร ทำแล้วผลเป็นอย่างไร เราก็ไม่ไปแตะต้อง สิ่งที่ดีทำแล้วได้ผลอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ในสิ่งที่ดี

แต่คราวนี้ที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ถึง ๗ อย่าง เพราะไม่ได้เฉพาะตน แต่เพื่อผู้อื่นด้วย รู้เหตุ รู้ผล แล้วก็ต้องรู้ตน ว่าตัวเราเป็นใคร กำลังทำอะไร เราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำอะไรที่ไหน เมื่อไร อย่างไร รู้ประมาณ ต้องรู้ว่ากำลังของเราอยู่ในระดับไหน อะไรเป็นจุดพอดี มัชฌิมาปฏิปทาเฉพาะตน รู้กาลเทศะ ความเหมาะสมไม่เหมาะสมในสถานที่ ณ เวลานั้น ๆ

รู้ชุมชน ก็คือบุคคลทั่วไปเขามีความต้องการอย่างไร เขากำลังต่อต้านการเลือกตั้ง แล้วเราก็ไปเย้ว ๆ อยู่คนเดียวว่ากูจะเลือกตั้ง ก็โดนเหยียบแบนอยู่ตรงนั้น แล้วก็รู้บุคคล แต่ละคนมีความรักชอบเกลียดชังอะไร ถึงเวลาจะได้ทำให้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงในสิ่งที่กระทบกระทั่งกับเขา ถึงจะอยู่รวมกับเขาได้อย่างมีความสุข นี่เป็นการอธิบายอย่างย่อ ๆ เพราะอธิบายอย่างยาว ๆ เป็นวันก็ไม่จบ"

เถรี 19-02-2014 10:14

ถาม : พระสุทินนกลันทบุตรเสพเมถุนกับภรรยาเก่า ต้องอาบัติปาราชิกแต่ทำไมบรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ลูกชายยังบรรลุเลย พ่อจะไม่บรรลุได้อย่างไร ถ้ายังไม่มีกฎหมายไม่ถือว่าผิด ต่อเมื่อบัญญัติกฎหมายขึ้นมาแล้วยังทำ ถึงจะผิด เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นว่าที่ผ่านมา ที่เขาออกกฎหมายมาเล่นงานอดีตนายกฯ ทักษิณนั้นผิดหลัก เพราะตอนท่านทักษิณทำยังไม่มีกฎหมายนี้ เพราะฉะนั้น..ท่านสุทินนกลันทบุตรไม่ผิด ท่านเป็นอาทิกัมมิกะ (ต้นบัญญัติ) เมื่อท่านไม่ผิดท่านก็มีโอกาสได้มรรคได้ผล เพราะไม่มีอะไรไปปิดทางท่าน

ศีลที่มานอกพระปาฏิโมกข์ ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวกับมารยาท เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ เกี่ยวกับกิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกวัตร ฯลฯ เกี่ยวกับเรื่องการดูแลร่างกายของตนเอง ปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ กระทั่งเข้าห้องน้ำห้องส้วมต้องทำอย่างไร มีรายละเอียดหมด ไปอ่านในหนังสือวินัยมุข เล่ม ๒ แต่ขอร้องคนบวชใหม่อย่าเพิ่งไปอ่าน เดี๋ยวจะไม่กล้าบวช..!


ถาม : อภิสมาจารศีลคือส่วนไหน ? คือพวกอนุบัญญัติหรือเปล่า ?
ตอบ : คนละเรื่องกันเลย..เป็นศีลที่อยู่นอกพระปาฏิโมกข์ หนังสือ ๒ เล่ม ก็คือบุพพสิกขาวรรณนากับวินัยมุข เล่ม ๒ รอให้บวชได้สักพรรษาหนึ่งแล้วค่อยไปอ่าน ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่กล้าบวชหรอก แบบเดียวกับนาคที่วัดท่าขนุน ไปเป็นนาคอยู่ วันรุ่งขึ้นหนีกลับบ้านเลย บอกว่าอยู่ไม่ได้แล้วศีลพระมีตั้ง ๒๑,๐๐๐ ข้อ ต้องโทษพระครูแสง วิชาการจัด ในเมื่อตัวเองจบปริญญาโทเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ก็เลยอธิบายอย่างแบบมีที่มาที่ไป โยงไปเลยว่าพระวินัยปิฎกมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นาคก็เข้าใจผิดว่าศีลพระมีตั้ง ๒๑,๐๐๐ ข้อ เผ่นไปเลย

ถาม : ผมได้อ่านพระวินัยแล้วเจอว่าพระพุทธเจ้าท่านให้เหตุว่าทรงบัญญัติพระวินัยไว้ คำว่า "เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ แปลว่าอะไร ?
ตอบ : ถ้าคุณไม่ทำสิ่งนั้นซึ่งเขาเห็นว่าชั่ว ทุกคนก็เห็นว่าดี ในเมื่อเห็นว่าชั่วเขาไม่รับเข้าหมู่ คุณเองที่จะเดือดร้อน ในเมื่อหมู่เขาเห็นว่าดีด้วย เราก็อยู่อย่างสนิทสนมกลมเกลียว ไม่มีวิปฏิสาร คือความเดือดเนื้อร้อนใจ การปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลก็เป็นไปโดยง่าย

เถรี 19-02-2014 10:17

ถาม : ผมอ่านเจอมาว่า ถ้าฆราวาสจับของแล้วจะไม่เสียองค์การประเคน จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าใจยังผูกอยู่ ไม่เสียการประเคน แต่ส่วนใหญ่แล้วทางธรรมยุตเขาจะถือว่า เพื่อความปลอดภัยให้ประเคนใหม่เลย คือของที่ประเคนถ้าตราบใดยังไม่ได้ยกให้คนอื่น ยังเป็นของเรา ต่อให้คนอื่นเขามาล้วงไปจากบาตรของเรา ส่วนที่เหลือก็ยังเป็นของเราอยู่ดี แต่เพื่อความปลอดภัย ครูบาอาจารย์ก็เลยว่าไหน ๆ แล้วก็ให้ประเคนใหม่เสียเลย แล้วอย่าไปเสือกรู้ดีนะ..! รู้ว่ายังไม่ขาดประเคน กูเลยไม่ให้ประเคนใหม่ เดี๋ยวอาจารย์ท่านก็ไล่เตะออกจากสำนัก ส่วนใหญ่เขาทำแล้วตัวเองไม่ทำก็อยู่กับเขาไม่ได้

เป็นพระใหม่สงสัยให้สอบถาม อย่าไปมั่วเองเพราะผิดได้ และอย่าไปจับผิดคนอื่น เห็นเขาทำผิด ถ้าเมตตาก็บอกกับเขาว่า อันนี้น่าจะไม่ถูกต้อง ถ้าเขาไม่ฟังก็เลิก ไม่ใช่ไปจ้ำจี้จ้ำไช ประเดี๋ยวก็ได้วางมวยกัน โดยเฉพาะพระใหม่กับพระใหม่ด้วยกัน อ่านตำราเล่มเดียวกันนั่นแหละ กูจับผิดมึง มึงจับผิดกู มีทุกที่ จะว่าไปแล้วก็ตัวกูของกูนั่นแหละ ไอ้นั่นก็กูดีกว่า อย่าลืมว่าในความเป็นพระของเรา ยังแค่สมมติสงฆ์อยู่ เพียงแต่เราเปลี่ยนเครื่องแบบ เปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตเท่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีเต็มตัวอยู่

ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังตรงจุดนี้ โอกาสที่จะกระทบกระทั่งกับคนอื่นก็มีมาก ยิ่งถ้าไปเจอวัดที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านไม่ได้คอยดูแลใกล้ชิด เดี๋ยวก็มีการตีกันวัดแตก..!

เถรี 19-02-2014 10:18

ถาม : ของสงฆ์ ?
ตอบ : อะไรที่อยู่วัดก็เป็นของสงฆ์ทั้งนั้นแหละ

ถาม : ถ้าเอาหมาวัดไปเลี้ยงติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก พระทั้งวัดเต็มใจยกให้ ไม่ติดหนี้สงฆ์หรอก เอาไปเถอะ พระก็เลี้ยงไม่ไหว ๒๐๐-๓๐๐ ตัว อย่างอื่นเป็นของสงฆ์นี่ติดหนี้สงฆ์แน่ ๆ แต่ถ้าลูกหมาเอาไปเถอะ พระทั้งวัดเต็มใจยกให้

หมาเขาเห็นคนเลี้ยงเป็นจ่าฝูง คือเป็นผู้นำฝูง เพราะฉะนั้น..เวลาคนเลี้ยงเดินไปไหนก็จะคอยตาม

เถรี 19-02-2014 10:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนจีนถือว่าสีแดงกับสีทองเป็นมงคล สีเหลืองนี่เขาสงวนไว้ให้พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น เป็นสีประจำองค์ฮ่องเต้ ของไทยเราถือเอาสีน้ำเงินเป็นสีประจำองค์พระมหากษัตริย์ เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๖ ประสูติวันพฤหัสบดี แต่ปัจจุบันนี้วันพฤหัสบดีเขาให้เอาเป็นสีแสด

วันศุกร์สมัยก่อนสีม่วง เดี๋ยวนี้สีฟ้า วันเสาร์สมัยก่อนสีดำ เดี๋ยวนี้กลายเป็นสีม่วงยุ่งไปหมด พวกเรียนมา ๒ ยุคอย่างอาตมา เรียนยุคเก่าแล้วไปเจอยุคใหม่นี่ บางทีก็สับสนจนเครียดไปเลย"

เถรี 19-02-2014 10:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนกุมภาพันธ์วันที่ ๘ มีงานของครูบาหน่อแก้วฟ้า วัดร่องคือที่พะเยา ต้องไปพุทธาภิเษก งานของท่านจัดพุทธาภิเษกตอนบ่ายโมง ไม่รู้ว่าออกเช้ามืดจะทันหรือเปล่า ? เพราะว่างานรัดตัวมาก จะไปตั้งแต่วันที่ ๗ ก็ไม่ไหว

เดี๋ยวนี้บรรดาครูบาลำบาก อยู่ทางเหนือแล้วก็เบียดกันไปเบียดกันมา หลุดไปอีสานบ้าง ภาคกลางบ้าง ยุ่งไปหมด ครูบาหน่อแก้วฟ้าก็ไปที่อำเภอคง จ.นครราชสีมา งานวันที่ ๑๐ พฤษภาคมท่านนิมนต์ที่อำเภอคง อาตมาก็ไปไม่ได้ ติดรับสังฆทานอยู่ที่นี่

งานหลวงตาวัชรชัยวันที่ ๑ พฤษภาคมก็ไม่ได้ไป เพราะตอนแรกถามท่านแล้วว่าปีหน้าวันที่ ๑ เหมือนเดิมหรือเปล่า ? คราวนี้ท่านบอกอยากจะทำวันเสาร์อาทิตย์ ๒๕ - ๒๖ เมษายน เพราะว่าหลวงตาท่านเกิด ๒๙ เมษายน อาตมาก็กันวันที่ ๒๖ ไว้ให้ท่าน ปรากฏว่าถึงเวลางานเขาเลื่อนกลับไปวันที่ ๑ พฤษภาคมที่อาตมารับงานอื่นไว้แล้ว จะย้อนกลับมา ๒๖ ก็ไม่ได้ เพราะว่ารับงานชาวบ้านไปแล้วเหมือนกัน

แต่ได้ยินว่าลูกศิษย์จะเอาเหรียญพระยอดฟ้าไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุนเอง สรุปว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าพิธีวัดท่าขนุนให้ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะขายไม่ออก ต้องลองดูว่าหนีงานได้ไหม ? ความจริงงานอย่างนั้นไม่อยากจะขาด เพราะว่าชุมนุมพี่น้องพร้อม ๆ หน้ากัน ต้องโทษหลวงตาว่าไม่เด็ดขาด เปลี่ยนวันเสียได้ แต่จริง ๆ เป็นวันที่ ๑ แล้วก็ให้ ๑ ไปตลอดก็หมดเรื่อง เพราะว่าชาวบ้านจะได้รู้ว่าเป็นงานประจำ"

เถรี 19-02-2014 10:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนมกราคมอาตมาจ่ายค่าหนังสือไป ๖,๐๐๐ กว่าบาท เกินงบไปเท่าตัวกว่า หนังสือมาประดังออกพร้อม ๆ กัน ปกติอาตมาตั้งงบซื้อหนังสือไว้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เดือนนี้โดนไป ๖,๐๐๐ กว่าบาท แล้ว ๖,๐๐๐ กว่าบาทนั่นอ่านไป ๕,๐๐๐ กว่าบาทแล้ว เหลืออีกเล่มครึ่ง อ่านหนังสือเร็วไม่ใช่ดี เพราะถึงเวลาแล้วไม่มีหนังสือให้อ่าน

ตอนอยู่วัดท่าซุง ปลัดน้อยอยู่รุ่นเดียวกัน เป็นน้องชายดร.ปริญญา มาถึงก็ “เฮ้ย...ยืมเล่มนี้หน่อย” อาตมาก็บอกว่า “มึงอ่านไปแล้ว” แกบอกว่า “นั่นแหละ..จะอ่านใหม่” ถามว่าทำไม ? “กูลืมไปแล้ว” แกก็ไปอ่านสบายใจเฉิบ ตอนมาคืนก็บอกว่า “อ่านหนังสืออย่างมึง ไม่สนุกหรอก เพราะอ่านแล้วเสือกจำได้ กูอ่านแล้วจำไม่ได้ ถึงเวลาอ่านเมื่อไรก็สนุก” จริงของเขา

ถึงเวลาแกเข้าห้องไปเสร็จก็ “เฮ้ย...ไปจัดห้องให้กูบ้างสิ” ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า “ห้องกูรกไปหมด ขนาดป๋ามาเยี่ยมยังต้องแหวกถึงเอาเก้าอี้วางให้ท่านนั่งได้” ขนาดหลวงพ่อไปเยี่ยม ยังมีที่แค่ให้เก้าอี้วางเท่านั้น สุดยอดจริง ๆ ปกติหลวงพ่อท่านไม่ไปห้องคนอื่น ที่ไปลักษณะนั้นแสดงว่ามีงานจะสั่ง แล้วปลัดน้อยก็ทำเสีย ท่านให้ตั้งฐานานุกรมของท่าน ปลัดน้อยก็มัวแต่สบายใจ พิมพ์เสร็จแล้วเห็นหลวงพ่อท่านป่วย ไม่เอาไปให้เซ็นสักที ตกลงอาตมาก็เลยไม่ได้เป็นพระครูกับเขา เป็นแต่ตราตั้งที่พิมพ์เสร็จแล้วไม่มีลายเซ็น แต่จะช้าจะเร็วก็ต้องเป็น ออกมาจากที่นั่นก็เป็นจนได้"

เถรี 20-02-2014 10:23

พระอาจารย์พูดถึงมีดบ้านจ่าตุ่มว่า "ด้วยความที่เขาเสียเวลาทำนานมาก มีมีดอยู่เล่มหนึ่ง อาตมาต้องรออยู่ ๒ ปีกว่า กว่าจะเสร็จ รู้สึกว่าทิดเก้าจะบูชาต่อไปกระมัง ? เล่มที่แกะสลักเป็นรูปพญานาค เพราะฉะนั้น..บางทีงานบ้านจ่าตุ่มมีเงินก็ซื้อไม่ได้ เพราะว่าต้องรอให้ช่างเขามีอารมณ์ที่จะทำ ถ้าอารมณ์ไม่ดีเขาก็ไม่ทำ เขากลัวงานจะเสีย

ด้วยความที่รบมาทุกชาติอาตมาก็เลยชินกับอาวุธ มีอยู่วันหนึ่งอยู่ที่วัดพุทธบริษัท ท่านกอล์ฟเขาประหยัดจนเกินเหตุ มีดหักเหลือปลาย มีอยู่แค่นิ้วกว่า ๆ ยังเก็บไว้ใช้อีก อาตมาจับมาเดาะ ๆ เล่น เออ..น้ำหนักดี เขาถามว่าขว้างได้ไหมครับ ? อาตบอกว่าสบาย เหวี่ยงไป ติดโด่เด่ให้ดูเลย "โอ้..โหเป็น
ไปได้ ปลายมีดแค่นั้นยังขว้างได้" "ได้..ถ้าคุณรู้น้ำหนักแล้วก็กะระยะถูก"

เดี๋ยวนี้ช่างบ้านจ่าตุ่มทำงานเล็ก ๆ ไม่ไหวแล้ว อายุมากขึ้นทำให้สายตาไม่ค่อยดี ทำงานละเอียดไม่ไหว ช่างเดือนก็เกษียณไปทำนา ไม่ต้องใช้สายตามาก ถ้างานจุกจิกพวกสร้อยแหวนนาฬิกาเขาจะทำได้ ถ้างานมีดงานละเอียดทำไม่ได้แล้ว"

เถรี 20-02-2014 13:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครมีความรู้บ้างว่าเลเซอร์ยิงลงบนหินได้ไหม ? หินจะแตกหรือเปล่า ? แล้วทำได้ขนาดใหญ่ที่สุดแค่ไหน ? อาตมาอยากจะยิงบาตรน้ำมนต์สักใบหนึ่ง กว้างไม่มากหรอก แค่ประมาณ ๖๐ นิ้ว..! บาตรน้ำมนต์มีอยู่แล้ว แต่หนักมาก ยกขึ้นยกลงเดี๋ยวหลุดมือขึ้นมาก็แตก จึงต้องเก็บไว้ก่อน"

เถรี 20-02-2014 13:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องบอกว่าเป็นเพราะอวิชชา ซึ่งตอนนี้แปลว่าไม่รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องแปลว่าโง่ด้วย จึงไปยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดอุปาทาน ยึดฝ่ายสีเหลืองสีแดง"

เถรี 20-02-2014 13:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระหินต้องคอยลงน้ำมันไว้เรื่อย ๆ ใช้โลชั่นหรือน้ำมันลงไว้ ถ้าไม่มีอะไรก็น้ำมันทำครัว เช็ดไว้สักสัปดาห์ละครั้งก็จะสวยอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นพอแห้งสนิทแล้ว ผงหินที่อยู่ในรอยแกะจะขึ้นมาขาว ๆ

หลวงพ่อหินเขียวที่วัด พระที่วัดเอาน้ำมันมะพร้าวลง ต้องเป็นประเภทน้ำมันมะพร้าวบีบเย็น มีการเลือกด้วย ตอนแรกบอกว่าน้ำมันในครัวนั่นแหละ จะเป็นตราอะไรก็ใส่ไปเถอะ ท่านยังอุตส่าห์ไปซื้อน้ำมันมะพร้าวอย่างดีมาลง"

เถรี 20-02-2014 13:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกบรรดาหมวกไหมพรมที่โยมถวายกันไปนั้น นอกจากช่วยพระได้แล้ว ยังช่วยนักเรียนได้ไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยคน เพราะอากาศที่ทองผาภูมิ เมื่อวันก่อนยัง ๑๔ องศาเซลเซียสอยู่เลย คราวนี้ช่วงประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมาอากาศทรงตัวอยู่ที่ ๙-๑๐ องศาเซลเซียส แล้วทองผาภูมิหนาวขนาดนั้น บ้านอีต่องจะหนาวกว่าอีกประมาณ ๔-๕ องศาเซลเซียส ต้องเอาพวกบรรดาเครื่องกันหนาวไปแจกเด็ก ๆ ที่บ้านอีต่อง เด็กนักเรียนก็เลยใส่หมวกไหมพรมเหลืองไปทั้งยอดดอยเลย..หนาวแย่จริง ๆ

เขายังบอกว่าถ้าไม่ได้หลวงพ่อช่วยไว้ ปีนี้ดูท่าว่าจะเป็นไข้กันหมด..ไม่เหลือ สรุปว่าของมีไว้ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของพระ ถ้าช่วยใครได้ช่วยเขาไปก่อน อะไรที่เป็นสาธารณประโยชน์ทำไปเถอะ มัวแต่ไปประท้วงกันอยู่ว่าเลือกตั้งไม่เลือกตั้ง คนจนจะหนาวตายกันหมดแล้ว เดี๋ยววันอาทิตย์ไปเลือกตั้งก็ติดมีดติดไม้ไปด้วย มีปืนมีระเบิดก็เอาไปด้วย ถึงเวลาอาจจะต้องมีการเปิดทางกวาดล้างก่อน กกต.ก็อย่าลืมใส่เสื้อเกราะกันกระสุนไปด้วยนะ..!

เป็นเรื่องแปลกมากเลย บ้านเราทำไมตรรกะวิบัติอย่างนี้ ต้องการประชาธิปไตย แต่กลับใช้กำลังบีบบังคับไม่ให้คนไปเลือกตั้ง ?!?"

เถรี 25-02-2014 19:55

ถาม : เวลาเราเจ็บป่วยเรื่องร่างกาย เกี่ยวกับพวกขา เป็นกฎของกรรมหมดเลยหรือเจ้าคะ ?
ตอบ : เป็นเศษกรรมจากปาณาติบาต เรารักษาได้ แก้ไขได้ก็แก้ไขไป ถ้าหมดท่าจริง ๆ ค่อยยอมรับกฎของกรรม ถ้าไม่เคยทำไว้ก็ไม่เจอหรอก ยอมรับเถอะว่าก่อนนี้เราคงจะเกเรน่าดู เคยเกเรไว้ก็ต้องโดนบ้าง

เถรี 25-02-2014 20:56

ถาม : มีคนให้ของผมมา ตอนหลังผมมารับรู้ว่าเป็นไสยศาสตร์ ถ้าเรามาถวายพระ จะเป็นอะไรหรือเปล่า ?
ตอบ : ถวายมาแล้วก็จบ

ถาม : ผมกลัวมีปัญหา ?
ตอบ : ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วไม่ค่อยมีปัญหาหรอก

ถาม : เป็นพญาครุฑ ร.๕ ?
ตอบ : ใครทำ ? ถ้าวัดวาอารามจะทำพวกนี้ต้องขออนุญาตจากสำนักพระราชวังก่อน การทำเรื่องยุ่งยากมาก

เถรี 25-02-2014 21:07

ถาม : (เกี่ยวกับเรื่องงาน)
ตอบ : งานมีให้ทำเยอะแยะ ส่วนใหญ่แล้วไปเลือกงาน ตั้งความหวังสูงเกิน ตั้งแต่เกิดมาอาตมายังไม่เคยตกงานเลย เพราะทำทุกอย่างที่ขวางหน้า

มีที่ไหนก็สมัครไป ถ้าไม่มีก็ทำอย่างอื่นแก้ขัดไปก่อน

เถรี 26-02-2014 18:43

ถาม : คนนี้ฆ่าตัวตายที่อินโดนีเซีย เพราะมีปัญหากับสามี ?
ตอบ : จำไว้นะ ถ้ามีปัญหาครอบครัวให้ฆ่าคนอื่น ถ้าตัดเขา ฆ่าเขาออกจากใจของเราได้ เราก็ไม่ต้องเสียเวลาไปฆ่าใคร

ถาม : ถ้าเราอุทิศไปเขาจะได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : สบายเลย พวกฆ่าตัวตายนี่ยังไม่ถึงอายุ ใครให้เขาได้หมดแหละ บางทีเราเห็นว่าคนที่ตายไม่ปกติ ที่เขาเรียกว่าตายโหงหรือตายไม่ดี แต่ถ้าญาติรู้จักทำบุญให้ก็ได้หมด

เถรี 26-02-2014 18:44

ถาม : พลังจักรวาลมีจริงไหมคะ ?
ตอบ : ทำไมจะไม่มี ถ้าไม่มีแล้วจักรวาลจะเคลื่อนไหวได้อย่างไรเล่า ? เพียงแต่ว่าคนที่รับได้เอามาใช้ไม่ถึงครึ่งเปอร์เซนต์ แล้วกลายเป็นครูบาอาจารย์กันไปใหญ่โต

ถาม : ใช้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เห็นเอามารักษาโรคบ้างอะไรบ้าง อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อาตมาเกือบตายไปทีแล้ว เห็น ๆ อยู่ว่ามีประจุไฟฟ้าอยู่ในอากาศ ดันดึงเข้ามาใส่ตัว เกือบจะโดนระเบิดตายแล้ว ร่างกายรับไม่ไหว เพราะเยอะเกินไป

เถรี 01-03-2014 21:06

พระอาจารย์เล่าว่า "คุณหมอถามอาตมาว่าโดนหมากัดหรือ ? พออาตมาบอกว่าลิงกัด เขาก็ตีหน้าแปลก ๆ เพราะว่าโยมวิโรจน์ที่อยู่ที่วัดโดนลิงกัดเหวอะหวะไปหมด ขนาดเอานิ้วชี้แหย่เข้าไปในแผลได้ สำหรับอาตมา ถ้าตัวไหนกัดเข้าแสดงว่าต้องเซียนจริง ๆ

เมื่อตอนอาจารย์สมพงษ์ยังอยู่ หมาเป็นขี้เรื้อน อาตมาก็ไปจับหมาทายา หมาไม่คุ้นจึงโดนกัด กัดจนเลือดท่วม ก็ช่างหัวมัน ทายาไปเรื่อย จนกระทั่งเสร็จ แล้วก็ไปล้างน้ำ ปรากฏว่ากัดไม่เข้า แล้วเลือดมาจากไหน ? ก็เลยไปดู ปรากฏว่าหมากัดจนเขี้ยวหักเลย เลือดออกที่ปากแล้วก็หยดใส่อาตมา แต่ลิงตัวนี้เขี้ยวไม่หัก

ที่วัดมีลิงอยู่ ๒ ตัว เป็นลิงที่โบราณเรียกว่าลิงเสน ที่หน้าแดงก้นแดง บางคนเรียนว่ากะเสน บางคนเรียกว่ากะบุด ตัวประมาณเด็ก ๔ – ๕ ขวบได้ วันนั้นตัวเมียแหกกรงออกมา อาตมาจึงต้องไปไล่จับ ความจริงทำกรงใหม่ให้นานแล้ว แต่พอบอกลูกน้ำ (ดร. ชลาลัย เรืองหิรัญ ) ให้เอายาสลบไปยิงหน่อย ลูกน้ำบอกว่าลิงอายุมากแล้ว โดนยาสลบไปสองสามรอบแล้ว กลัวว่าจะไม่ฟื้น กะระดับยาไม่ถูก น้อยไปก็ไม่สลบ มากไปก็อาจจะไม่ฟื้น จึงไม่ได้ย้ายกรงเสียที

พอลิงแหกกรงออกมา อาตมาไปไล่จับมัน ปรากฏว่าลิงก็เสียท่าเหมือนเดิม คือจังหวะที่หันหลังเตรียมกระโดดหนี ถูกอาตมาคว้าขาหลังได้เหมือนครั้งก่อน พอคว้าขาหลังได้ อีกมือหนึ่งก็ต้องขยุ้มคอเอาไว้ กันลิงหันมากัด พอคว้ามาได้ก็เอาไปใส่กรงใหม่ ตีปิดปากกรงไว้ก็เหลืออีกหนึ่งกรง ก็มีแต่คนเชียร์ว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้ย้ายอีกตัวไปด้วยเลย แรงเชียร์ดีแต่ไม่มีใครกล้าไปจับ จึงเป็นเวรกรรมของเจ้าอาวาส ที่ต้องมุดเข้าไปกัดกับลิง พอคว้าคอลิงก็กัดใหญ่ เพราะเข้าไปเผชิญหน้ากันตรง ๆ ท้ายสุดจับยัดใส่กระสอบได้ หิ้วไปใส่กรงใหม่

เสร็จแล้วก็โทรบอกหมอฉลองของ ทางโรงพยาบาลทองผาภูมิให้หมอมาทำแผลถึงที่วัดเลย ทั้งฉีดยากันบาดทะยัก ยาแก้ปวด แก้อักเสบ.. มาเป็นกุรุส ถามว่า “ทำไมต้องเยอะขนาดนี้ ?” “หลวงพ่อเป็นวีไอพี” เล่นขนยามาจะหมดคลัง สรุปว่าโดนฉีดยาเจ็บกว่าโดนลิงกัดตั้งเยอะ หมอก็ฉีดแบบจิ้มจึ๊กแล้วก็กดเลย บวมเป็นก้อน ยังดีว่ายาที่ฉีดเป็นยากันบาดทะยัก ส่วนยากันโรคพิษสุนัขบ้านั้นไม่ได้ฉีด เพราะต้องฉีดต่อเนื่องกันทุกวัน และได้ข้อสรุปว่า ถ้ากรงพังอีกทีแล้วทำกรงใหม่ อาตมาก็คงต้องไปจับเองอีก"

เถรี 01-03-2014 21:08

"อาตมาบอกกับทางวัดว่าอย่าพยายามหาสัตว์อะไรมาเลี้ยง เพราะว่าสัตว์ป่า โดยสัญชาตญาณจะช้าจะเร็วเดี๋ยวก็ต้องกัดใครสักคน ขนาดนางอาย (ลิงลม) เห็นตัวเล็ก ๆ เชื่อง ๆ ไปไหนก็คลานช้า ๆ ถึงเวลาโตเป็นหนุ่มเป็นสาว อยากหาคู่ขึ้นมาก็กัด ตอนปฏิบัติธรรมครั้งที่แล้ว ใครเอากระรอกบินไปด้วยก็ไม่รู้ ? หนีไปอยู่กับพระตั้งนาน เจ้าของถึงรู้ว่ากระรอกหาย

ตอนนี้ก็เหลือแต่อาการช้ำ ๆ เพราะลิงกัดได้แรงจริง ๆ ถึงไม่เข้าก็ช้ำขนาดนั้น ต้องยอมรับว่าสัตว์แข็งแรงกว่าคนเยอะ คอยระวังอยู่อย่างเดียวคือไม่ให้โดนกัดตั้งแต่ข้อมือออกไป ข้อมือข้อเท้ากันไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า วิชาสายนี้ต้องเว้นข้อมือข้อเท้าไว้ กำลังใจของลูก ๆ เกินคน ถ้าไม่มีจุดอ่อนบ้างเดี๋ยวเล่นชาวบ้านเขาอยู่เรื่อย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว