![]() |
เพราะฉะนั้น..ก็ต้องมีความเหมาะสมทั้ง ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปอุบัติ สรุปแล้วในบรรดาอนันตจักรวาลนี้ มงคลจักรวาลคือโลกมนุษย์นี้เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติ แล้วถามว่าโลกอื่น ดวงดาวอื่นมีพระพุทธเจ้าเสด็จไปสงเคราะห์ไหม ? มี...ถึงเวลาพระองค์ท่านก็เสด็จไปสงเคราะห์เขา หรือไม่พระสาวกสำคัญต่าง ๆ ก็ไปสงเคราะห์เขา
แปลว่าดวงดาวอื่นที่มีมนุษย์และสัตว์ ส่วนใหญ่จะมีจำนวนน้อย อย่างในสุริยจักรวาลของเรามีอยู่ ๒ ดวงเท่านั้นคือโลกเรากับดาวพระศุกร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณดาวพระศุกร์จะดีใจหรือเสียใจ เกิดมาทั้งทีมีสัตว์อยู่แค่ ๒ ดวงดาว แต่ว่าดาวพระศุกร์เขาดีกว่าเพราะว่ามนุษย์กับสัตว์เป็นเพื่อนกัน โลกของเรานี่มนุษย์คอยแต่จะกินเพื่อน พวกเราโชคดีที่สุดเพราะว่าช่วงภัทรกัปเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ เป็นช่วงที่อนุมัติจบเยอะ พระพุทธเจ้าบรรลุทีละ ๕ พระองค์ แต่อนุมัติจบเยอะก็จริง แต่นานเนกาเลจนประมาณไม่ได้ แล้วโผล่มาที ๒ ภัทรกัปติดกัน เราเอาแค่ในพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ทีเราเรียกว่า อัฏฐวีสตินายกา คือผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๒๘ ท่าน คือพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์และองค์ปัจจุบันอีก ๑ พระองค์ องค์แรกเลยก็คือพระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วโลกว่างไป ๑ อสงไขยกัปถึงได้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง น่ากลัวขนาดไหน ไม่ได้ว่างไปทีละกัปนะ ว่างไปทีละอสงไขย อสงไขยนี้มนุษย์ทั่วไปนับไม่ได้ อสังขยา แปลว่า นับไม่ได้ แต่ในความเป็นเทวดาเป็นพรหม ความเป็นทิพย์ท่านสามารถนับได้ ที่ว่านับไม่ได้นี่ เพราะการนับมาตราส่วนของเขา เราไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เช่นท่านบอกว่า ๑๐๐ ปีเอาเมล็ดงาไปหยอดใส่ถังเหล็กที่กว้าง ยาว สูงด้านละโยชน์ ๑๐๐ ปีเมล็ดงาหยอดไปเมล็ดหนึ่ง ๑๐๐ ปีหยอดไปเมล็ดหนึ่ง จนกระทั่งถังใบนั้นเต็มเสมอขึ้นมายังไม่ได้กัปหนึ่งเลย แล้วเราจะมีโอกาสหยอดเม็ดแรกไหม ? ในเมื่อเม็ดแรกยังไม่มีโอกาสหยอด ก็เลยเป็นอสงไขยก็คือนับไม่ได้ ดังนั้น..ช่วงนี้ของพวกเราก็อย่างไรเสียเกาะในส่วนของทาน ศีล ภาวนาให้มั่นคง ต่อให้ไปพระนิพพานไม่ได้ หลุดไปเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็โล่งใจไปที อย่างไรเสียอีก ๖ พระองค์ท่านตรัสรู้เมื่อไร ท่านก็ช่วยกวาดไปแน่ ๆ แต่ถ้าใครประกันความเสี่ยงไปก่อนได้ก็ไปเลยนะ ไม่ต้องรอ เพราะมัวแต่รออยู่ ถ้าเผลอลงข้างล่างเมื่อไร คราวนี้ ๖ พระองค์ผ่านไปหมดยังไม่ได้ขึ้นมาหรอก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วหนีหนี้มา ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ในเมื่อหนีหนี้มา ถ้ากลับไปเมื่อไรเจ้าหนี้เขาทวงได้ เขาเล่นครบทุกอย่าง แต่ละคนนิสัยสร้างความดีมาขนาดเรานี่ พระพุทธเจ้าผ่านไปทั้ง ๒ ภัทรกัปไม่ได้ขึ้นมาหรอก มีโอกาสก็รีบไขว่คว้าให้เต็มที่ไปเลย เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง |
พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ที่ผ่านมา มีเพียง ๒ พระองค์ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ คือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโกนาคมน์กับพระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ เพราะโลกยุคนั้นถือว่าพราหมณ์มีตระกูลที่สูงกว่า นอกนั้นก็เกิดเป็นกษัตริย์ทั้งหมด
ต้นไม้ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนแรกจะไม่ได้เรียกว่าต้นโพธิ์ แต่จะมีชื่อเฉพาะของตัวเองว่าเป็นต้นอะไร อย่างเช่นเป็นต้นไผ่ แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้นไผ่นั้นก็จะเรียกว่าต้นโพธิ์โดยอัตโนมัติ อย่างของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา แรก ๆ ก็ไม่ได้เรียกว่าไม้โพธิ์ เขาเรียกต้นอัสสถพฤกษ์ ก็คือต้นใบหางม้า เพราะใบโพธิ์จะมีปลายแหลม ๆ ยาวมาเหมือนกับหางม้าห้อยอยู่ แต่พอพระพุทธเจ้าไปนั่งตรัสรู้อยู่ข้างใต้ ต้นใบหางม้าเลยกลายเป็นต้นโพธิ์ เป็นพระศรีมหาโพธิ์ คราวนี้ในส่วนของนาคะ บ้านเราแปลว่าต้นกากะทิง หรือบางคนเรียกว่าสารภีทะเล แต่ทางพม่าเขาแปลว่าต้นบุนนาค บุนนาคหรือกากะทิง หรือสารภีทะเล เป็นไม้ตระกูลเดียวกันหมด เชื่อว่าสามารถที่จะเสียบกิ่งทาบกิ่งข้ามพันธุ์กันได้เลย เพราะลักษณะดอกคล้าย ๆ กัน จะมีบุนนาค สารภี กากะทิง การะเกด มีใครรู้จักไม้โบราณ ๆ พวกนี้บ้างไหม ? ดอกคล้าย ๆ กันหมด แต่ว่าทางด้านพม่าเขาเชื่อว่าเป็นต้นบุนนาค เพราะฉะนั้น..ที่พม่าแย่งกันปลูกบุนนาคในวัด เผื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า อาจจะเป็นต้นใดต้นหนึ่งได้มีโอกาสเป็นไม้โพธิ์ของท่าน ส่วนต้นไม้บางประเภทเขาเรียกชื่อโบราณ อย่างต้นสิรีสะ เป็นไม้ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่ากกุสันโธ คัมภีร์โบราณแปลว่าต้นซึก มีใครรู้เรื่องบ้างว่าต้นซึกหน้าตาเป็นอย่างไร ? คุณติ๊กรู้จักต้นซึกไหม ? ที่บ้านก็มี ทางเหนือเขาเรียก จ๊าก๋าม ก็คือต้นฉำฉาหรือจามจุรีนั่นแหละ ส่วนต้นสาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เป็นสาละที่เราไม่รู้จักกัน เรารู้จักแต่สาละลังกา หรือลูกแคนนอนบอล สาละลังกาหอมมาก ใครเคยได้กลิ่นจะจำติดจมูกเลย ต้นสาละที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ใช่สาละลังกา เป็นอาตมาก็ไม่เสี่ยงไปปรินิพพานใต้สาละลังกา เพราะอาจจะปรินิพพานก่อนเวลา เพราะลูกใหญ่เหลือเกิน ตกลงหัวก็เป็นเรื่องเลย..! |
สาละที่ว่านี่ ถ้าเราเรียกง่าย ๆ คือสาละอินเดีย ดอกคล้าย ๆ ดอกจำปายักษ์ ไม่ใช่แค่ใหญ่นะ ถ้าเทียบกับมืออาตมาคงประมาณปลายนิ้วชี้ถึงนิ้วโป้งเวลากางออก ที่โบราณเขาเรียก ๑ เกียก ความยาวระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ถ้าความยาวระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วกลางคือ ๑ คืบ ต้องวัดตัวเองดูว่า ๒ คืบจะได้ศอกหนึ่งพอดีของทุกคนเลย คืบใครก็ศอกคนนั้น
คราวนี้ต้นสาละทำให้คุณหมอมโน (ดร.นพ.มโน เลาหวณิช) ตอนแกบวชอยู่ใช้ฉายา เมตตานันโท บวชอยู่ที่วัดธรรมกาย แล้วธรรมกายส่งไปเรียนต่อปริญญาเอก ตอนหลังเขาเห็นว่าจะคุมไม่อยู่ก็เลยขับคุณหมอออก คุณหมอก็เลยมาเป็นนักวิชาการทางศาสนาอยู่ระยะหนึ่ง หมอเมืองไทยเราเก่ง เป็นได้ทุกเรื่องยกเว้นเป็นหมอ..! นักการเมืองก็เป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีอะไรเป็นหมด เห็นไม่เป็นอยู่อย่างเดียวคือหมอที่ตัวเองเรียนมา คุณหมอทำงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่ง ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรินิพพานใต้ต้นสาละแน่นอน หลักฐานก็คือว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเดือน ๖ สาละไม่ได้บานเดือน ๖ แสดงว่าคุณหมออ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่ว เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้ชัดว่า “สาละออกดอกนอกฤดูกาล” สงสัยอ่านข้ามไปประโยคเดียว ฉะนั้น..ถ้าอยากรู้จักสาละอินเดียคงต้องไปประเทศอินเดียถึงจะรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จะว่าไปแล้วทรงดอก ถ้าจับลูกยางจับเอาปลายที่เป็นครีบลง แล้วครีบหุบ ๆ หน่อยหน้าตาจะเหมือนดอกสาละ อาตมาไม่รู้จะเปรียบอย่างไร เป็นดอกจำปาขนาดยักษ์แล้วกัน แล้วแปลก ช่อดอกไม่ได้ชี้ขึ้น แต่ทิ่มลง |
ถาม : ในสมัยของพระศรีอาริย์ที่เขาบอกว่ามีแต่ความสุข แล้วคนจะเห็นทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าสอนหรือคะ ?
ตอบ : เห็นสิ..คนฉลาดขนาดนั้น แม้แต่หายใจยังเห็นว่าทุกข์เลย ลองนึกสิว่าต้องกินอยู่ทุกวันนั้นทุกข์ไหม ? เขาฉลาดกว่าเรา ของที่เราเห็นว่าเล็ก ๆ เขาเห็นใหญ่เบ้อเร่อเลย คนยุคนั้นถ้าเรียนก็จบด็อกเตอร์หมดทุกคน บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้อย่างเดียวเลย |
พระอาจารย์เล่าว่า "โบราณเขาศึกษาการหนุนเสริม การหักล้างกัน การกำเนิดกันของธาตุ เขาบอกว่าน้ำกำเนิดลม ถึงเวลาน้ำระเหยเป็นไอลอยขึ้นไป พอลอยขึ้นแล้วเกิดอะไร ? ก็ต้องมีที่ไหลมาแทน นั่นก็คือลม ฉะนั้น..น้ำกำเนิดลม ลมหนุนเสริมไฟ สังเกตว่าไฟไหม้ที่ไหนลมจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดินกำเนิดไม้ ต้นไม้อย่างไรขาดดินไม่ได้หรอก ที่เขาปลูกกันโดยไม่ใช้ดินทุกวันนี้มีธาตุดินอยู่แต่เขาไม่รู้ เพราะว่าน้ำไม่ใช่น้ำธรรมดา ต่อให้โยมตักน้ำใส ๆ มาแล้ววางไว้ก็ต้องตกตะกอน มีธาตุดินแฝงอยู่ข้างในอยู่แล้ว
เขาบอกว่าเขาปลูกต้นไม้โดยไม่ใช้ดิน ใส่ในน้ำแล้วหยอดปุ๋ยอย่างเดียว ที่ไหนได้..มีดินอยู่โดยไม่รู้เองต่างหาก ไม้กำเนิดไฟ แหย่เข้าไปเมื่อไรก็ไฟลุกเมื่อนั้น ฉะนั้น..โยมอยู่มุกดาหารจะหนาวลม เพราะอยู่ใกล้น้ำโขง ถึงเวลาลมในน้ำโขงตีขึ้นมา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม หลวงปู่องค์นี้เคยเล่าหลายครั้งแล้วว่า ท่านมีความสามารถพิเศษหลายอย่าง โดยเฉพาะวิชากระสุนคด กระสุนคดถ้าว่าคาถาจนมั่นใจแล้วจะยิงปืน ยิงคันกระสุน ยิงหนังสติ๊ก จะยิงไปทางไหนก็ตาม โดนเป้าทุกที ต่อให้เป้าอยู่ข้างหลังแล้วยิงไปข้างหน้าก็ไปโดนข้างหลัง เขาถึงได้เรียกวิชากระสุนคด ทางปักษ์ใต้เขาเรียกว่าธนูสั่ง หนังสติ๊กบ้านเราปักษ์ใต้เราเรียกยางนู ฉะนั้น..ธนูของปักษ์ใต้นี่ไม่ใช่ธนูอย่างบ้านเรา
วัดอนงคารามสมัยนั้นเป็นสวนกล้วย อยู่ใกล้ ๆ บ้านสมเด็จย่า สมัยนั้นมีโรงยาฝิ่น พวกนักเลงยาฝิ่นก็ดูดฝิ่นทั้งวัน พวกดูดฝิ่นเรี่ยวแรงไม่ค่อยมีหรอก เขาบอกว่าพวกดูดฝิ่นต้องใช้หัวคิด จะคิดได้สุขุมลึกซึ้งมาก ในเมื่อไม่มีเรี่ยวแรงจะทำการทำงานก็ไม่ได้เรื่อง ก็ลักเล็กขโมยน้อย ขโมยกล้วยวัดสบายดี เอาไปขายแล้วเอาเงินไปซื้อฝิ่น หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านไม่ได้หวงกล้วยหรอก แต่ท่านกลัวคนติดหนี้สงฆ์แล้วจะลงอเวจีมหานรก ท่านก็เลยต้องดัดสันดาน ใช้คันกระสุนยิงกระสุนคดนี่แหละ ถึงเวลาก็ป้าบ..! หลังแอ่น ท่านก็สั่งเด็กวัดไว้ "เห็นใครขโมยกล้วยตะโกนบอกหลวงตาด้วยนะ" เด็กก็ "ครับ" แล้วก็เล่นไปเรื่อย พอเห็นเขาขโมยกล้วยถึงเวลาเขาต้องตัดต้นกล้วยก่อน ต้นกล้วยล้มเสียงดัง พวกเด็กวัดก็ตะโกน “หลวงตา..คนขโมยกล้วย” หลวงพ่อสมเด็จวัดอนงค์ฯ ท่านก็ใช้คันกระสุนยิงออกหน้าต่าง หน้าต่างก็ไม่ได้ตรงกับสวนกล้วยสักหน่อย แต่ยิงทีไรโดนกลางหลังทุกที แล้วคันกระสุนนี่แรงกว่าหนังสติ๊กตั้งหลายเท่า เป็นเหมือนคันธนูแต่ไม่ได้ใช้ลูกธนู ใช้ลูกกระสุน ถ้าคนยิงไม่เป็นก็จะยิงโดนหัวแม่มือตัวเอง เวลายิงต้องบิดรังกระสุนหน่อยหนึ่งแล้วยิงผ่านไป ถามว่าคันกระสุนแรงขนาดไหน ? แรงขนาดยิงกระบอกไม้ไผ่แตก..! สมัยก่อนเขาใช้ล่าสัตว์เล็ก ๆ อย่างพวกกระต่าย ชะมด อีเห็นพวกนั้น ผลปรากฏว่าพวกดูดฝิ่นมันฉลาด พอโดนยิงทีไรสังเกตว่าโดนกลางหลังทุกทีเลย คราวนี้ไปวัดอนงค์ฯ เลยเอาแผ่นสังกะสีผูกหลังไป สุดยอด..! พอถึงเวลาเด็กตะโกน “หลวงตา..คนขโมยกล้วย” หลวงพ่อสมเด็จฯ คว้าคันกระสุนยิงไปเสียงดัง "ผ่าง..!" พอได้ยินเสียงว่ายิงโดนสังกะสี หลวงพ่อสมเด็จท่านรู้ก็ด่าซะลั่น “ไอ้ห่..เล่นตาตุ่มเสียเถอะ” ซัดป้าบ..! เข้า คราวนี้ซวยหนัก ตั้งใจยิงหลังแค่จุก ๆ ไปโดนตาตุ่มเข้าเดินไม่ได้เป็นอาทิตย์เลย" |
"ที่เล่ามานี่เพื่อจะบอกว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดอนงค์ฯ ท่านเก่งขนาดนั้น มีครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนั่งคุยอยู่กับเพื่อนท่าน มีท่านเจ้าคุณไสว ท่านเจ้าคุณยิ้ม ท่านเจ้าคุณสรภาณกวี สมัยที่ยังเป็นพระใหม่บ้าง เป็นเณรบ้างเรียนบาลีอยู่ เวลาท่านคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติ หลวงพ่อท่านอยู่คณะ ๔ ห่างจากตำหนักสมเด็จไกลลิบเลย แต่พอคุยกันผิด รุ่งเช้าตอนฉันทีไรหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านจะบอกว่า “เมื่อคืนที่คุณคุยกันเรื่องนั้น ๆ ผิดนะ ต้องอย่างนี้” แล้วท่านก็แก้ให้ หลวงพ่อทั้ง ๔ ก็ “เออ..ท่านรู้ได้อย่างไรวะ ?” เปิดตำราดู วิเคราะห์วิจัยกัน ประเภทไม่ได้บอกก็รู้ อยู่ไกล ๆ ก็รู้ มีอะไรบ้าง
ปรากฏว่าไปวิจัยกันที่ไหน ? วิจัยกันอยู่ใต้ถุนกุฏิสมเด็จ ท่านบอกว่า “ไม่ใช่อภิญญา ท่านวิเคราะห์ว่าอภิญญายังต้องตั้งท่า ประเภทไม่ตั้งท่าแล้วรู้ต้องเป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างเดียว พอฟันธงเสร็จ ธงหล่นใส่กบาลดังโป๊กพร้อมกันเลย ไม่รู้ว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านมายืนอยู่ข้างวงคุยกันตอนไหน ไม้เท้าลงหัว ๔ คนเหมือนเสียงเดียวกันเลย แล้วท่านก็กำชับว่า "ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ห้ามพูดเรื่องนี้เด็ดขาด..!" ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนกวนตายเลย สี่ท่านก็คลำพระเศียรสิ ถามหลวงพ่อสมเด็จฯ ว่ามาเมื่อไรครับ ? ท่านว่า “มาเมื่อเอ็งคุยกัน” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า “บันไดกุฏิสมเด็จเก่าแก่จะตายชัก เดินทีลั่นเอี๊ยดอ๊าดไปหมด มาอย่างไรเงียบฉี่เลย” กำชับเสร็จสรรพว่าเรื่องนี้ห้ามบอกใครจนกว่าท่านจะตาย แล้วทำอย่างไร ? “ช่วยประคองที ขึ้นบันไดไม่ไหว” ตอนมา ๆ อย่างไรไม่รู้ ตีกบาลเสร็จเรียบร้อยให้ช่วยประคองไปส่งที ถึงได้บอกกับโยมว่าแก่แล้ว ตอนมาดันมาเองได้ ตอนกลับต้องให้คนประคองไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ไปมาแบบไร้ร่องรอย เคยเห็นคาตาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่บอกว่าเห็นคาตาก็ไม่ได้หรอก เพราะไม่เห็นว่าท่านไปทางไหน แต่ท่านไปแล้ว ปกติที่วัดท่าซุง พระในวัดก็ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นเวรโรงครัว คราวนี้เวรโรงครัวจะมีหน้าที่ตีกลองเพลด้วย อาตมาเองเป็นเวรโรงครัวด้วย และเวรเฝ้าหน้าตึกของหลวงพ่อท่านด้วย ถ้าวันไหนไม่ได้เป็นเวรโรงครัวก็เป็นเวรเฝ้าหน้าตึก ถ้าเวรอื่นส่วนใหญ่แล้วเป็นพระใหม่ ตีกลองเพลยังไม่เป็นก็ต้องขึ้นไปตีแทนเขา" |
"ปรากฏว่าครั้งนั้นพระใหม่ของพรรษานั้นที่เป็นเวรคือพระครูเปรื่อง ตานี่เก่งมากเลย บวชปุ๊บเป็นพระครูเลย เพราะว่าเป็นครูอยู่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ในเมื่อตัวเองเป็นครู บวชปุ๊บก็เป็นพระครูเลย พวกเราก็เรียกพระครูเปรื่อง ท่านชื่อนายเปรื่อง รอดเทศ พอได้คิวที่จะตีกลอง ก่อนเพล ๑๐ - ๑๕ นาที พนักงานตีกลองก็ต้องปีนขึ้นไปบนหอกลอง ซึ่งอยู่ข้างห้องยามนั่นแหละ พออาตมาเห็นพระครูเปรื่องเดินมาก็ถาม “เฮ้ย..ตีกลองเพลเป็นหรือเปล่า ? ถ้าไม่เป็นก็บอกนะ เดี๋ยวหลวงพี่จะตีให้”
พระครูเปรื่องบอกว่า “โอ๊ย..สบายมากครับ ผมตีออกจะบ่อยไป” แล้วแกก็ปีนขึ้นไป คราวนี้นาฬิกาที่วัดท่าซุงดังทุก ๆ ๑๕ นาที พอ ๑๕ นาทีจะดังครั้งหนึ่ง ๓๐ นาทีดัง ๒ ครั้ง ๔๕ นาทีดัง ๓ ครั้ง พอ ๖๐ นาทีดัง ๔ ครั้งพร้อมกับตี พอนาฬิกาดังครั้งที่ ๔ เสียงกลองต้องดังพร้อมกับเสียงบอกเวลา พอดังครั้งที่ ๔ ปุ๊บพระครูเปรื่องก็รัวกลองเลย เป็นจังหวะเชิดสิงโตไม่ใช่กลองเพล..! อาตมาได้ยินนี่คอหดเลย ซวยทั้งมึงทั้งกูแล้วงานนี้ จริง ๆ ด้วย ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดประตูแอ๊ด ออกมาด่าลั่นเลย “โคตรแม่มึงไม่เคยฟังคนอื่นเขาตีหรือยังไง...!” แต่อาตมาสิงง หลวงพ่อท่านอยู่ในห้องอัดเสียงซึ่งอยู่ในตึกอินทราพงษ์ ก็แปลว่าประตูห้องอัดเสียง ๑ บาน แล้วเดินมาประตูตึกอินทราพงษ์อีก ๑ บาน แล้วตึกอินทราพงษ์เชื่อมต่อกับตึกนนทา อนันตวงษ์ก็มีประตูแล้วก็บันไดอีก ๓ ขั้นด้วย หลังจากนั้นมาก็ต้องออกประตูตรงหน้าอาตมาอีกบานหนึ่ง ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดประตูแอ๊ดเดียว อาตมาก็กะว่ากูโดนฟ้าผ่าตรงนั้นแน่เลย ที่ไหนได้..ท่านไปยืนเท้าเอวด่าอยู่ใต้หอกลอง ก็ประเภทเดียวกันนั้นแหละ พอด่าเสร็จสรรพต้องประคองท่านเข้ากุฏิ ตอนไปก็ไปได้ อย่างนั้นต้องบอกว่าไปด้วยใจจริง ๆ คราวนี้ไปเจออีกท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่น้อย ถ้าจำไม่ผิดท่านฉายา ชยวํโส อยู่วัดบ้านปง มรณภาพไปแล้ว ถ้ายังอยู่เล่าไม่ได้หรอก คนแถว ๆ นั้นต้องบอกว่าโชคดีมหาศาลเลย หน้าวัดอยู่คนละฝั่งกับวัดทุ่งหลวง คือวัดทุ่งหลวงของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เข้าไปปุ๊บเป็นวัดป่าอรัญวิเวกของหลวงพ่อเปลี่ยน เลยเข้าไปเป็นวัดบ้านปงของหลวงปู่น้อย ถัดไปอีกเป็นวัดบ้านเด่นของครูบาเทือง ใครอยู่แถวนั้นนี่ทำบุญเพลิดเพลินเจริญใจมากเลย พอไปถึงที่วัด พระท่านเห็นหน้าท่านจำได้ก็บอกว่า “นิมนต์อาจารย์ด้านในเลยครับ หลวงปู่อยู่ข้างใน” ด้วยความคุ้นชินก็ตรงดิ่งไปที่กุฏิท่าน เปิดประตูเข้าไปไม่เจอ มีแต่เตียงเปล่า ๆ ดูไปที่ห้องน้ำเห็นประตูห้องน้ำแง้มอยู่ ก็เดินไปเรียก "หลวงปู่ครับ ๆ " เงียบ..ไม่มีคนตอบ ก็ค่อย ๆ ผลักเข้าไปดูก็เจอห้องน้ำเปล่า ๆ เอาละสิ..แล้วไหนพระที่เฝ้าหน้ากุฏิอยู่ท่านบอกว่าหลวงปู่อยู่ข้างใน ก็เลยเปิดประตูหลังออกไปที่ลานหลังกุฏิ ก็ไม่มีใคร..มีแต่รั้ว มองซ้ายมองขวาเห็นหอกลองอยู่ บันไดเกือบ ๒๐ ขั้นก็คิดว่า เออ..เดี๋ยวขึ้นไปดูข้างบน เผื่อหลวงปู่อยู่ที่ไหนมองจากข้างบนคงจะเห็นบ้าง" |
"ปรากฏว่าเดินขึ้นไปเกือบจะถึงขั้นสุดท้าย โผล่พ้นพื้นหอกลองไป เห็นหลวงปู่ท่านเดินเขลงสบายใจอยู่ข้างบน พออาตมาเดินพ้นพื้นท่านก็พลิกตัวขึ้นมา บอกว่า “อ้อ..มาแล้วหรือ ?” ก็กราบท่าน ท่านบอกว่าลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่า หลวงปู่ท่านออกลายคนแก่ เพราะตอนนั้นอายุ ๙๙ ปีแล้ว ท่านบอก "อุ้มหน่อย..เดินไม่ไหว.."
คราวนี้หลวงปู่ท่านตัวนิดเดียว อาตมาสังเกตดู พระที่อายุหลักร้อย องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้นไม่มีตัวใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแก่แล้วกระดูกหดหรืออย่างไรไม่รู้ หลวงปู่บุดดาก็องค์นิดเดียว หลวงปู่ทองเทศก็องค์นิดเดียว หลวงปู่น้อยก็องค์นิดเดียว ในเมื่อท่านให้อุ้ม อาตมาไม่เห็นว่าหนักก็อุ้มท่านลงมา เปิดประตูข้างหลังให้ท่านนั่งที่เตียง มีโยมเขานั่งรอกันอยู่ ไปนึกขำตรงนั้น บันได ๒๐ กว่าขั้นท่านขึ้นไปได้อย่างไรตอนที่คนไม่เห็น แต่ตอนคนเห็นนี่ต้องอุ้ม ก็ลักษณะเดียวกัน ถ้าคนไม่เห็นท่านก็ทำนั่นทำนี่ของท่านได้ ถึงเวลาคนเห็นท่านก็ต้องยอมเป็นคนแก่ หลวงปู่น้อยมรณภาพไปหลายปีแล้ว แถวนั้นตอนนี้ก็เหลือหลวงปู่เปลี่ยนกับครูบาเทือง หลวงปู่เปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก ดูท่าว่าท่านจะโดนหนักกว่าอาตมา จนป่านนี้แล้วหน้าตายังไม่แก่เลย อายุน่าจะ ๘๐ ปีได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ทองเทศอยู่วัดท่าซุง มรณภาพตอนอายุ ๑๐๒ ปี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของปีชง เรื่องของปีมะ ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ เลขทะเบียนรถ ยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าชีวิตอยู่ลำบากขนาดนั้นก็ไปพระนิพพานดีกว่านะ หมดเรื่องหมดราวไปเลย ปู่ย่าตาทวดไม่เห็นท่านจะห่วงกังวลเรื่องแบบนี้ ถึงได้บอกว่ายอดวีรบุรุษของไทยท่านหนึ่งชื่อนายทองเหม็น ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ชื่ออยู่ชั่วฟ้าดินสลาย จำง่ายอีกต่างหาก
การเปลี่ยนชื่อจะมีแต่คนใหม่นั่นแหละที่เรียกชื่อใหม่ คนเก่า ๆ ก็เรียกชื่อเดิมอยู่ดี สมัยอยู่กองพลทหารราบที่ ๙ ตอนนั้นยังใช้ชื่อค่ายกาญจนบุรี ปัจจุบันเป็นค่ายสุรสีห์ ก็มีจ่าสิบเอกแสวง ผินวงศ์ดวง จ่าแสวงก็ใกล้เกษียณแล้ว อายุตั้ง ๕๖ ปีแล้ว เมาเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า เพื่อน ๆ ก็เป็นนายทหารกันหมดแล้ว ตัวเองกระทั่งนายสิบอาวุโสยังไม่ได้เป็นเลย ทั้ง ๆ ที่จะเกษียณแล้วนะ ปกตินายสิบอาวุโสทำหน้าที่นายทหารก็คือว่าที่นายร้อย แต่จ่าแสวงไม่ได้เป็นกับใครหรอก เพราะว่าเมาหัวทิ่มทุกวัน ท้ายสุดไปให้หมอดูว่าทำไมไม่ได้เลื่อนกับเขาบ้าง หมอดูบอกว่าชื่อเป็นกาลกิณี ให้เปลี่ยนชื่อใหม่ จ่าแสวงก็ทำเรื่องยื่นจ่ากองร้อย ผู้บังคับกองร้อยเซ็นอนุมัติก็วิ่งไปส่งจ่ากองพัน ผู้บังคับกองพันเซ็นอนุมัติก็วิ่งส่งผู้การกรม ผู้การกรมอนุมัติก็วิ่งส่งผู้บัญชาการกองพล จากผู้บัญชาการกองพลปกติแล้วต้องผ่านแม่ทัพภาค แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นกองพลทหารราบที่ ๙ เป็นกองพลพิเศษ ไม่สังกัดทัพภาคใดเลย ขึ้นกับ บก.สูงสุด ก็เลยวิ่งเข้า บก.สูงสุด ปรากฏว่าได้รับการอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อได้ ทางด้าน บก.สูงสุดก็แทงเรื่องกลับมาที่กองพล จากกองพลลงมาที่กรม จากกรมลงมาที่กองพัน จากกองพันมากองร้อย จ่าสิบเอกแสวง ผินวงศ์ดวง ก็เลยสาบสูญไปจากโลก กลายเป็นจ่าสิบเอกมณเฑียร ผินวงศ์ดวง แต่เพื่อนก็เรียก "ไอ้แหวง" เหมือนเดิม แล้วก็เมาสุนัขไม่รับประทานเหมือนเดิม ก็โดนแป้กต่อไป เพราะฉะนั้น..เรื่องของการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียง เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์อะไร ถ้าไม่เปลี่ยนความประพฤติก็เท่านั้นแหละ ฉะนั้น..ถ้าใครรู้ตัวว่าอะไร ๆ ไม่ดีเกิดขึ้น ให้พิจารณาความประพฤติตัวเอง อย่าไปดูอย่างอื่นว่าหมายเลขโทรศัพท์ไม่ดี ทะเบียนรถไม่ดี เลขที่บ้านเป็นกาลกิณี หรือชื่อไม่ได้เรื่อง อาตมาเกือบ ๆ จะอยากเชื่อว่า พวกหมอดูหมายเลขโทรศัพท์นี่สงสัยบริษัทขายโทรศัพท์จ้างไว้ หมายเลขของอาตมาได้คะแนน ๓๕๗ จากคะแนน ๑,๐๐๐ แปลว่าใช้ไม่ได้ แย่มาก..แต่ก็ใช้มาอยู่ทุกวัน สมัยเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม มีเพื่อนผู้หญิงชื่อนางสาวสมศักดิ์ สระทองทราย ขอยืนยันว่าเพื่อนผู้หญิงนะ สวยมากด้วย สมัยนั้นยังไม่มีระบบการใช้คลื่นในการตรวจ ในเมื่อไม่มีระบบการตรวจด้วยคลื่นก็เลยไม่สามารถที่จะแยกเพศทารกได้ สงสัยพ่ออยากได้ลูกชายมาก เลยตั้งชื่อไว้ก่อนว่าสมศักดิ์ พอออกมาเป็นลูกสาวก็เลยเลยตามเลย เป็นเด็กหญิงสมศักดิ์ เรียนมัธยมปีที่ ๓ สมัยก่อนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แต่ไม่เห็นคุณเธอจะอายใคร จากเด็กหญิงสมศักดิ์เป็นนางสาวสมศักดิ์ก็สมศักดิ์หน้าตาเฉย มีความสุขดีออก เท่อยากบอกใคร เป็นผู้หญิงชื่อสมศักดิ์หาได้ที่ไหน..ใช่ไหม ? เราจะเห็นว่าจริง ๆ เรื่องของชื่อไม่ได้สำคัญ อยู่ที่เราพอใจ แต่สงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนผู้ชายที่ไล่จีบกันตรึมเขารู้สึกอย่างไร ที่ไปเรียกเธอว่าสมศักดิ์" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนี้คนมามากกว่าเมื่อวานตั้งเยอะ แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เมื่อวานมีนักเลงดีย่องมาตั้ง ๕ - ๖ ตัว กะจะมาเฉ่งอาตมา ถึงได้ต้องถามตาเฟิร์สว่าเป็นวันอะไร ที่แท้วันเสาร์ พวกนี้วันเสาร์กับวันอังคารจะเป็นวันแรงของเขา
ตอนแรกก็ไม่ทันรู้ตัว ปรากฏว่ามีอยู่รายหนึ่งย่องมาจนใกล้เลย พอหันไปเห็น อ้าว..! ก็เลยต้องทำให้เขารู้ว่าตูป่วยแต่ตัวนะโว้ย เวลาไหนที่ป่วยนี่ตูจะแข็งแรงสุด ๆ ถ้าเอ็งอยากจะลองก็เอา เขาเห็นก็เลยถอยไป ต้องบอกว่าเป็นวาระของเขา แล้วเขาก็อยากจะรู้ว่า อาตมาเองนอกจากวันเวลาไม่อำนวย ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ จะแน่จริงสักแค่ไหน" |
ถาม : เวลาอากาศหนาว ๆ เข้ากสิณหรือเข้านิโรธสัญญาครับ ?
ตอบ : ไม่อาบน้ำดีที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาเข้าอะไรสักอย่าง เขาไม่ได้บังคับว่าต้องอาบ ขนาดอินเดียร้อนจะตายชัก พระพุทธเจ้ายังให้ ๑๕ วันอาบหนึ่งครั้ง ยังโชคดีเราไม่ได้อยู่อินเดีย สาเหตุที่พระพุทธเจ้ากำหนดให้พระที่อินเดียอาบน้ำ ๑๕ วันต่อครั้ง เพราะว่าพระไปแช่อยู่ที่ท่าน้ำเลย พอพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปจะสระสรง เห็นพระอยู่ก็เกรงใจ..รอ รอจนค่ำก็ต้องเสด็จกลับ เจอแบบนี้ไปหลาย ๆ ครั้งเข้าจึงกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงกำหนดว่า ถ้าอยู่ในมัธยมประเทศ ๑๕ วันเป็นอย่างต่ำถึงอาบน้ำได้ครั้งหนึ่ง ถาม : อากาศที่นั่นเย็นหรือครับ ? ตอบ : ร้อนตายชัก อินเดียเขาไม่ร้อนแบบบ้านเรานะ ร้อนแห้ง ๆ ไม่มีเหงื่อ ร้อนแบบนั้นเป็นลมร่วงไม่รู้ตัว เพราะเหงื่อออกไม่ทัน โดนความร้อนระเหยไปหมด |
ถาม : อรูปฌานแต่ละอย่างเป็นเอกเทศซึ่งกันและกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ ต้องเรียกว่าสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะว่าต้องได้รูปฌาน ๔ ก่อน เมื่อได้รูปฌาน ๔ แล้วก็เริ่มต้นที่อากาสานัญจายตนฌาน ก็คือจับกสิณขึ้นมากองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณ แล้วก็เพิกภาพไป ตั้งใจจับความว่างของอากาศแทน จนอารมณ์ทรงตัวเต็มที่ในระดับฌาน ๔ คราวนี้ต่อไปเป็นวิญญาณัญจายตนฌาน เป็นการกำหนดความรู้สึกก็คือว่า แม้อากาศจะว่างไร้ขอบเขต แต่ยังสามารถกำหนดได้ด้วยความรู้สึก ก็คือวิญญาณของเรา ก็เลยไปกำหนดความไม่มีขอบเขตของวิญญาณที่กว้างขวางกว่าอากาศแทน จึงเป็นการสนับสนุนกัน พอไปอากิญจัญญายตนฌาน ถึงแม้ว่าวิญญาณที่กว้างขวางไร้ขอบเขต ยังมีความรู้สึกที่ชัดเจนปรากฏอยู่ เขาก็เลยจับอากิญจัญญายตนฌาน ก็คือความไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะฉะนั้น..แต่ละอย่างต้องไปตามลำดับ ถึงจะสนับสนุนกันได้ สักแต่ทำกระโดดไปกระโดดมาไม่ได้หรอก พอทำ ๓ อย่างแรกได้ อย่างที่ ๔ มาเองโดยอัตโนมัติ ก็ในเมื่อไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว อะไรเกิดขึ้นก็ช่าง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รู้สึกก็เหมือนกับไม่รู้สึก ถ้าจะทำอรูปฌาน ต้องได้รูปฌานคล่องตัวก่อน แล้วได้กสิณอย่างน้อย ๑ กอง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ถ้าเป็นไปได้ก็คือไม่ใช่อาโลกกสิณด้วย เพราะอาโลกกสิณส่วนใหญ่เกิดจากแสงสว่าง ลักษณะคล้าย ๆ กับความว่างของอากาศ ดังนั้น..คนที่ไม่ชำนาญอาจจะจับไม่ติด |
ถาม : ผู้ที่ได้อภิญญา ๕ เขาได้แต่รูปฌานหรือครับ ?
ตอบ : แค่ฌาน ๔ ธรรมดากับกสิณ ๑๐ ก็เป็นอภิญญา ๕ เต็ม ๆ แล้ว เพียงแต่มีใครเขาอยากได้ต่อ ก็ทำอรูปฌานต่อเท่านั้นเอง ถาม : ท่านได้ฌานสี่แล้วน่าจะกระโดดไปที่อรูปฌานเลย ? ตอบ : ท่านเล่นกสิณได้แค่บางส่วน แล้วใช้แค่ส่วนเดียว บอกแล้วว่าอรูปฌานเขาต้องการพื้นฐานกสิณแค่กองเดียว |
ถาม : คนที่เป็นพระอนาคามีแล้ว อีกนิดเดียวก็เป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมบางคนถึงไปที่สุทธาวาสอีก ?
ตอบ : ไม่ใช่บางคน แต่เป็นส่วนใหญ่ ก็ถ้าปัญญาไม่ถึงแล้วจะไปพระนิพพานอย่างไร ไม่ใช่ว่าท่านไม่อยากไป การสั่งสมของสติ สมาธิ ปัญญา มายังไม่เข้มข้นถึงที่สุด ก็ต้องติดอย่างนั้นก่อน ตัวอย่างที่น่าเสียดายที่สุดก็คือหลวงปู่พุฒ (หลวงปู่พระราชอุทัยทวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี) วัดทุ่งแก้ว ชื่อวัดนี้ไพเราะมาก ชื่อวัดมณีสถิตกปิฏฐาราม คือเขายุบให้วัดทุ่งแก้วกับวัดมะขวิดรวมเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นมณีสถิตก็คือทุ่งแก้ว ส่วนกปิฏฐะก็คือมะขวิด ก็เลยมาต่อกันกลายเป็นวัดมณีสถิตย์กปิฏฐาราม หลวงปู่พุฒมีโอกาสเป็นพระอรหันต์เห็น ๆ เลย ก่อนตายใจไปคิดอยู่วูบเดียวเท่านั้นว่า บัญชีวัดยังไม่ได้มอบหมายให้ใครดูแล ไม่ใช่ไม่เรียบร้อยนะ ทำเรียบร้อยทุกอย่าง แต่ยังไม่ได้มอบให้ใคร เท่านั้นแหละ..เรียบร้อยเลย ไปอยู่แค่พรหมชั้นที่ ๑๒ เท่านั้น เพราะในส่วนของอาสันนกรรมเป็นกรรมที่สำคัญมาก แค่ช่วงก่อนตายนิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าเราดูในหนังสืออ่านเล่นของหลวงพ่อวัดท่าซุง จะเห็นหลายคน ก่อนตายอยู่ ๆ ได้ยินเสียงเคาะข้างฝาปัง.! สะดุ้งหันไปเกาะเสียงนั้นแทน ใจหลุดจากความดีเหมือนกัน นั่นกรรมมาทวง ยังดีว่าถึงเวลาเจอท่านลุง ๔ คน นุ่งแดงใส่แดงมารับ ถาม : อย่างท่านพรหมมหาชินนะปัญชระ เป็นพระอรหันต์ แต่อยู่ที่พรหม ? ตอบ : นอกตำรา นั่นเป็นประวัติที่ร่างทรงว่ากันมา ไม่ใช่ความเป็นจริง พระอรหันต์เหมือนวัตถุที่ไม่มีเชื้อแล้ว ก่อไฟอย่างไรก็ไม่ติด ไม่อยากไปพระนิพพานก็ต้องไปอยู่ดี ฟังอะไรบางอย่างแล้วต้องแยกแยะให้ออก บ้านเรา ฮินดู พุทธ ไสยศาสตร์ปนกันให้มั่วไปหมด แถมมีมหายานเข้ามาแทรกอีกด้วย สงสารเด็กรุ่นหลัง ๆ ว่าจะแยกแยะไหวไหม วัดท่าขนุนมีเจ้าแม่กวนอิมพร้อมศาลาอยู่หน้าวัด เจ้าแม่กวนอิมสูง ๒ เมตรครึ่ง เสียค่าหล่อไป ๔ - ๕ แสนบาท แล้วมีพระพิฆเณศวร์อยู่ใกล้ ๆ กัน ศาลา ๒ หลัง อาตมารื้อกระจายเลย ประกาศว่าวัดไหนต้องการให้มาเอาไปได้ เดี๋ยวเดียวหมดเกลี้ยง พระพิฆเณศวร์เป็นเทพของฮินดู อาตมาไม่ได้รังเกียจท่านหรอก เพราะองค์ท่านเป็นเทวดา ทรงความดีมาก แต่ถ้าญาติโยมไม่เข้าใจ ต่อไปจะปะปนกันมั่ว แล้วศาสนาพุทธจะมัวหมอง เจ้าแม่กวนอิมก็เป็นมหายาน ต่อให้เป็นพุทธเหมือนกันก็ตาม ท้ายสุดก็เลยใช้อำนาจเจ้าอาวาส อาตมาเคารพนับถือท่านแม่เป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ถ้าคนอื่นเขาเห็นคุณค่า ก็เชิญท่านแม่ไปอยู่กับเขาก่อนแล้วกัน พระที่วัดท่านให้ความเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า ตอนพระอาจารย์ยังอยู่..เรื่องพวกนี้ก็ชัดเจน พอหมดพระอาจารย์ไปแล้ว เดี๋ยวก็คงมาใหม่ อาตมาบอกว่า เออ..ให้มาช้าหน่อยก็แล้วกัน |
ถาม : ที่พม่ามีผีชื่อนัตหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : นัตเหมือนกับพระภูมิเจ้าที่ ที่เขาเรียกว่าอารักษ์ หรือเจ้าพ่อหลักเมืองอะไรประมาณนั้น จะเป็นผีประเภทหนึ่งที่เขานับถือเหมือนเทวดา แม้กระทั่งพระเจ้าเมกุฏิของเชียงใหม่ เขายังนับถือเป็นหนึ่งในผีนัตของพม่า พระเจ้าเมกุฏิของเชียงใหม่นี่ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทางพม่าให้ความเคารพนับถืออยู่ เลยกลายเป็นว่า แม้กระทั่งกษัตริย์ทางล้านนาของเราก็ยังไปเป็นผีนัตของพม่า แล้วพม่าจะมีอยู่ทั่วประเทศ ๓๗ ตน ถ้าจำไม่ผิดนะ..อยู่ที่รัฐฉาน ๙ ตน ตอนอาตมาขึ้นไปรัฐฉานครั้งแรกก็ไปกัน ๙ คนพอดี เด็กท้ายรถเก็บก้อนหินยัดขึ้นรถมาอีก ๑ ก้อน ก็เลยถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าถ้าไป ๙ พอดีแล้วเท่ากับไปตีเสมอท่าน จะเกิดอุบัติเหตุอันตรายได้ แล้วทางขึ้นเขาของพม่า ต้องบอกว่าไม่ใช่งูเลื้อย แต่เหมือนกับเอาเส้นขนมจีนสาดไปส่ง ๆ อย่างนั้น ก็เลยต้องระมัดระวังหน่อย อะไรที่เขาเชื่อก็ต้องเชื่อ ถึงเวลาผ่านศาลแต่ละแห่ง คนขับต้องลงไปจุดธูปบอกกล่าว ต้องไปถวายน้ำ ถวายของ แล้วถึงเดินทางต่อไป ผีนัตที่สำคัญที่สุดของพม่าคือสักกะยามิน สักกะแปลว่าสวรรค์ มินแปลว่ากษัตริย์ จอมกษัตริย์แห่งสรวงสวรรค์ เขาเล่นเอาพระอินทร์ไปเป็นผีนัตด้วย เป็น ๑ ใน ๓๗ องค์ของเขา |
ถาม : ....อายุน้อย ?
ตอบ : เขาดูบารมี ถ้ารัศมีกว้างไกลครอบคลุมคนอื่นได้ ถือว่าบารมีมากพอที่จะเป็นได้ พออินทกเทพบุตรขึ้นไป พระอินทร์ก็เกิดสลด อินทกเทพบุตรรัศมีกว้างกว่า พระอินทร์จึงต้องลงไปแอบใส่บาตรพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติ ถอนสมาธิออกมาก็พิจารณาว่า ใครหนอจะสงเคราะห์เรื่องอาหารแก่เราได้ ? เล็งทิพจักขุญาณไปก็เห็นชาวนาแก่ ๆ อยู่ ตั้งใจว่าวันนี้ถ้ามีพระผ่านมาเราจะใส่บาตร นั่นคือความตั้งใจที่พระท่านรับรู้ ท่านก็ไป ปรากฏว่าพอเปิดบาตร ชาวนาตักข้าวจะใส่เท่านั้นแหละ พระมหากัสสปะได้กลิ่นข้าวจำได้ นี่เป็นข้าวทิพย์นี่นา พอรู้สึกว่าเป็นกลิ่นข้าวทิพย์ก็ไม่ทันแล้ว พระอินทร์ท่านเทลงบาตรไปแล้ว พระมหากัสสปะก็ดุเอาว่า ทำไมท้าวสักกะท่านทำอย่างนี้ เพราะว่าเราตั้งใจจะสงเคราะห์ผู้ที่ยากจน ท่านก็บอกว่าท่านเองก็ยังจนอยู่ เพราะว่ารัศมีสู้ลูกน้องไม่ได้ ด้วยความปีติ ท่านเหาะขึ้นไปท่านก็ประกาศผลบุญของท่าน สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อะโห ทานัง ปะระมะทานัง มหากัสสะเปนะ อัมเหหิ ทานัง อาสะวะขะยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ท่านประกาศในทานที่ท่านได้ทำดีแล้วต่อพระมหากัสสปะ แต่พวกเราบางคนถึงเวลาก็ใช้ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง เหมือนกัน แต่ไม่รู้ที่มามาอย่างไร แต่ของท่านต่อท้าย นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ |
ถาม : พระอรหันต์เข้านิโรธสมาบัติเป็นปกติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านที่เข้าได้ ท่านก็เข้าเป็นปกติ บาลีใช้คำว่าอยู่สุขวิหาร คือการอยู่ที่ปราศจากกิเลส ไม่อยากคลุกคลีกับโลก อย่างหลวงพ่อขี้ค้างคาว วัน ๆ นั่งเงียบ ค้างคาวขี้รดจนท่วมเอวก็ปล่อยไป ข้างในท่านเป็นสุขก็แล้วกัน |
ถาม : ตะปูสังขวานรที่เขาไปถอนจากวัดร้าง ?
ตอบ : ตะปูสังขวานร เป็นตะปูหล่อ ส่วนใหญ่จะหล่อด้วยสำริด เขาเอาไว้สำหรับยึดตรึงพวกเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่ก่อสร้างวัดหรือก่อสร้างวัง ถ้าอยู่ในวัด พระสวดมนต์ทำวัตรทั้งปี เขาถือว่าเป็นการบรรจุพลังความศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอยู่แล้ว ถ้าอยู่ในวังเขาถือว่าเป็นที่อยู่ของผู้มีบารมีอยู่ ก็ย่อมได้รับอำนาจบารมีจากท่านไปด้วย เขาก็เลยถือเป็นวัตถุอาถรรพ์อย่างหนึ่ง ที่เอาไว้สำหรับหลอมสร้างวัตถุมงคล หรือไม่ก็ทำมีดหมอ ถาม : คนที่ไปถอนติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ? ตอบ : ไปถอนที่วังไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ หนีตำรวจให้ทันก็พอ..! ถาม : ที่วัดร้างล่ะครับ ? ตอบ : จะร้างหรือไม่ร้างก็เป็นวัด ติดหนี้สงฆ์หัวโตพอกัน |
ถาม : ฟ้าผ่าเกี่ยวกับเทวดาไหมครับ ?
ตอบ : โบราณเขาเชื่ออย่างนั้น แต่วิทยาศาสตร์บอกว่า เป็นเพราะอิเล็กตรอนในอากาศวิ่งลงมาหาโปรตอนบนพื้น แต่มีเรื่องแปลกอยู่ก็คือว่า โบราณเขาเห็นฟ้าผ่าตรงไหน เขาจะไปคุ้ยหาตรงนั้น แล้วจะได้ขวานหินเล็ก ๆ มา เรียกว่าขวานฟ้า สมัยก่อนที่ฝึกมวยกับครูเขตร์ เวลาพันมือครูสอนว่า ถ้ามีขวานฟ้า เวลาพันมือให้เอาขวานฟ้าซ่อนไว้บนหลังกำปั้นด้วย นอกจากทำลายอาถรรพ์ได้แล้ว ยังทำให้หมัดหนัก ถ้าต่อยเหมาะ ๆ ทีเดียว คู่ต่อสู้ก็ชักไปเลย ทางด้านกะเหรี่ยงเขาเชื่อว่า ขวานฟ้ามีฤทธิ์อำนาจของเทพอาวุธอยู่ในตัว เพราะเกิดจากฟ้าผ่า ทำให้สามารถขับไล่พวกภูตผีปิศาจได้ แล้วที่ตลกกว่านั้นก็คือ บ้านไหนมีขวานฟ้า เวลาตากข้าวเปลือก เขาจะเอาขวานฟ้าไปซุกไว้ในกองข้าวเปลือก ทำให้ไก่ไม่กล้าเข้าไปกิน แปลกมากเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าเห็นกองข้าวเปลือกกองไหนที่ไก่มีเยอะแยะ แต่วน ๆ อยู่ไม่กล้าเข้าไปกิน ลองไปคุ้ยดู ถ้าเจอแล้วก็อมไว้..! ถาม : ขวานฟ้ารูปร่างเป็นขวานหรือครับ ? ตอบ : เป็นหินที่มีรูปเหมือนหัวขวานเล็ก ๆ ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเจอก็ไม่เกินฝ่ามือ ส่วนใหญ่ก็ประมาณ ๒ นิ้วมือ เป็นสีแดงบ้าง สีดำบ้าง แล้วแต่ว่าไปเจอแบบไหน แปลกตรงที่ว่า ทำไมต้องไปเจอตรงที่ฟ้าผ่าด้วย แล้วตรงอื่นทำไมเขาไม่เจอกัน ? |
เรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือดินผ่าฟ้า ไม่ใช่ฟ้าผ่าลงดิน แต่เกิดจากโปรตอนในพื้นรวมกันมากขึ้น ๆ แล้ววิ่งขึ้นไปหาอิเล็กตรอนในอากาศเอง อาตมาเคยเจอคาตาอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน หน้าฝนพรรษานั้นน่าจะกลางพรรษาปี ๒๕๔๔ กำลังนั่งอบรมพระอยู่ คราวนี้มุมที่อาตมานั่งนั้นหันไปทางเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ๆ เห็นประกายไฟจากฐานเจดีย์พุ่งขึ้นไป จนพระเจดีย์เป็นสีชมพูสว่างจ้าทั้งองค์เลย นั่นคือลักษณะของดินผ่าฟ้า ที่ทางด้านพม่าเรียกว่าอสูรยิงเทวดา กว่าจะหาจรวดพื้นดินยิงสู่อากาศได้คงจะยาก นาน ๆ ถึงจะเกิดที
ที่บ้านหนองบัวทางฝั่งพม่าก็มีต้นจามจุรีต้นหนึ่ง แตกตั้งแต่โคนยันยอดเลย ลักษณะที่โดนดินผ่าฟ้านี่แหละ พุ่งจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลย แล้วก็แห้งตาย แต่ความจริงลักษณะนั้นเป็นวัตถุอาถรรพ์นะ เอามาแกะพระได้ แต่ว่าเขาคงไม่มีความรู้กัน ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของดินผ่าฟ้านี่เกิดในทะเลเสียมาก บางทีเรียกกันว่าพรายทะเล คือแสงจะรวมกันสว่างขึ้น ๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ถ่อซึ่งเขาปักยึดเรือไว้ บางคนเขาคว้ามีดฟันถ่อขาด ก็ยังพุ่งสว่างขึ้นมาอีก ต้องรีบตัดเชือกปลดโซ่ แล้วก็รีบพายหนีสุดชีวิต เพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าจะฟาดลงตรงนั้น แต่เขาเรียกพรายทะเล ไม่รู้หรอกว่าเป็นโปรตอนมารวมกันแล้วก็พุ่งขึ้นไป ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ต้องอาศัยสื่อ อย่างพระเจดีย์วัดท่าขนุนแกนในเป็นเหล็ก เขาสานเหล็กเป็นโครงทั้งองค์ก็เลยไม่เป็นไร วิ่งขึ้นไปบนยอด ถึงสายล่อฟ้าก็พุ่งขึ้นไปฟ้าได้ ถ้าอย่างต้นจามจุรีต้นนั้นไม่มีอะไรเป็นแกน อาศัยต้นเป็นแกน เลยรับแรงไฟฟ้าไม่ได้ พอน้ำในต้นเดือดก็ต้นแตกกระจายเลย พวกหาปลาสมัยก่อนที่ใช้เรือฉลอมจะเจอกันบ่อย ถาม : ขวานฟ้าเป็นเหล็กมีไหมครับ ? ตอบ : ขวานฟ้าเหล็กยังไม่เคยเจอเลย เคยเจอแต่ที่เป็นหิน ที่เป็นเหล็กน่าจะเป็นขวานสำริดของมนุษย์โบราณมากกว่า อาตมาก็ยังมีอยู่อันหนึ่ง หน้ากว้างเกือบฝ่ามือ ขวานสำริด สนิมเขียวทั้งอันเลย สมัยที่หัดมวยกับครูเขตร์ ท่านบอกว่าถ้าหาได้เอามาพันไว้ในหลังหมัด ชกคู่ต่อสู้ทีเดียวรู้เรื่องกันไปเลย |
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พระมหาสุชาติ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ขออนุญาตสร้างเหรียญหลวงปู่สาย ๑๐๐ ปี ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่ออุตตมะ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่สาย ของวัดท่าขนุนมีรูปเหรียญหลวงปู่สายคู่หลวงพ่ออุตตมะอยู่รุ่นหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นการดำเนินการสร้างโดยคุณสมใจ มาโนช"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า “ดูซิ..แกเคยเป็นหมาหรือเปล่า?” โอ้โฮ..ฝูงเบ้อเริ่มเลย แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ เคยไปเกิดเป็นหมาในนรกด้วย หมาพันธุ์นั้นนี่ถ้ามาอยู่บนโลกคนคงตกใจตาย ตัวใหญ่กว่าเจค็อบอีก รู้จักไหม..? เจค็อบในเรื่องทไวไลท์ เป็นหมาป่าที่สู้กับผีดิบ"
ถาม : แล้วทราบไหมครับ ว่าทำไมถึงเกิดเป็นหมาในนรก ? ตอบ : ตอนนั้นไม่ได้ดู ดูอย่างเดียวว่าเคยเกิดเป็นหมาหรือเปล่า เกิดเป็นหมาในนรกเหนื่อยอย่าบอกใครเลย เหมือนกับโดนตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่า ถ้าเห็นสัตว์นรกต้องโดดใส่ไว้ก่อน เท่ากับไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยจะตายชัก..! |
ถาม : คนที่ชื่อยาก อ่านยาก มีผลต่อชีวิตเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อนฝูงรังเกียจ เรียกแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร ถาม : ขอความเมตตาตั้งชื่อด้วยครับ ตอบ : เสียเวลา..เรื่องของชื่ออย่าเอามาเป็นสาระในชีวิต พวกที่เปลี่ยนชื่อลองสังเกตดูสิ เพื่อนเขาเรียกชื่อใหม่เสียที่ไหน เห็นเรียกกันแต่ชื่อเก่า สังเกตว่าสมัยโบราณต้องเอาชื่อที่น่าเกลียดน่าชังเอาไว้ เพราะว่าผีจะได้ไม่รัก ขนาดสุดยอดวีรบุรุษของประเทศยังชื่อทองเหม็นเลย คนชื่อทองเหม็น ส่วนควายชื่อไพเราะเชียว ควายชื่อบุญเลิศ..! |
ถาม : พุทธภูมิที่บารมีเฉียด ๆ ปรมัตถ์ คำอธิษฐานพอจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายเริ่มมีผลแล้ว ต้องบอกว่ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ก็ดูงานที่ไม่ใหญ่เกินไปสิ เล่นงานใหญ่ยักษ์มหึมาเลยก็ไม่ไหว เอาไว้รอบารมีเต็มแล้วค่อยว่ากัน |
ในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ถ้ากำลังเราไม่พอ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทตีไปสอนไปแบบอาตมา เอ็งอยากร้องก็ร้องไป แบบนี้ไม่มี ถ้ากำลังไม่พอก็สู้เขาไม่ได้
เขาบอกว่า ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลัง ถึงเวลาต้องรีบบีบน้ำตาไว้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็พกหัวหอมไว้ ผ่าแล้วก็เช็ดตา สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ เข้าไปสู่สังคมไหนก็ไม่หวั่นไหว มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหม อยู่ในหมู่ท้าวสักกะ อยู่ในหมู่ของพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมู่ของพราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่มีความหวั่นไหวเลย คนอื่นคัดค้านฐานะของพระองค์ท่านไม่ได้ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้ ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่ตรัสรู้ ตถาคตบอกกล่าวทางอันนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น" |
ถาม : พวกของประจำตัวสัตว์ อย่างพวกเขี้ยวเสือไฟ พวกนี้จะเป็นของใคร ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตัวเองตั้งใจสร้างบารมีมา บางทีชิ้นส่วนของเขาก็มีเทวดารักษาอยู่ หรือไม่ก็กำลังของตัวเขาเองนั่นแหละ ถาม : อย่างเสือที่มีเขี้ยวไฟ ก็เป็นบุญของเขาที่มีอำนาจ ทีนี้คนที่ได้ไปเนื่องกับเสือตัวนั้นหรือเป็นบุญต่างหากของเขาเองเลย ? ตอบ : น่าจะต้องแยกเป็น ๒ สภาวะด้วยกัน สภาวะแรกก็คือ เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา สภาวะที่สองก็คือ เป็นบุญบารมีของเขาเองที่จะได้ของอย่างนั้นมา เขาเรียกว่าของคู่ตัว ถาม : ถ้าเราเนื่องกับเขา อย่างนี้เวลาเราทำบุญอะไรเราก็ให้เขา ? ตอบ : ให้เขาไปเถอะ ยิ่งให้เขาไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีผู้ช่วยที่มีกำลังมากเท่านั้น พระเจ้าพรหมมหาราชมีของคู่บารมีเป็นเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอม งูประเภทนี้ต่อให้ไปนอนบนหลังคนยังไม่รู้ตัวว่าอยู่บนหลังงู พวกสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะสัตว์มีอำนาจ ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่ซากแล้ว คาดว่าพลังอำนาจที่ติดอยู่แผ่ออกมา ทำให้สัตว์อื่นรู้ว่านี่อันตราย..อย่าไปใกล้ ก็เลยทำให้คนที่มีชิ้นส่วนของเขาอยู่นั้นปลอดภัย |
ถาม : อย่างเขากวาง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขากวางจะหาเขากวางคุด ถ้าไม่มีก็ ๓ ยอด ๗ ยอด ๙ ยอด หาไปเถอะ ถ้าจะเอาของขลังจริง ๆ ต้องตายโดยธรรมชาติ เพราะว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะหนังเหนียว แคล้วคลาด ไม่ค่อยจะตายผิดปกติเหมือนอย่างอื่น ถาม : อย่างฟันคน ? ตอบ : บางคนเขาเรียกเขี้ยวแก้ว ฟันที่เกิดบนเพดานปาก อาตมาเองตอนเด็ก ๆ ตกใจแทบตาย เพราะฟันงอกที่เพดานปาก วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก..คอยเลียอยู่เรื่อย ถาม : ขึ้นตรงกลางเลยหรือคะ ? ตอบ : ตรงกลาง คราวนี้พอเขี้ยวที่เป็นฟันน้ำนมหลุด ก็ค่อยเลื่อนมาจะแทนที่ แต่แทนไม่หมดหรอก มาไม่ถึง เพราะจากที่ลึกเกินไป เลื่อนมาไม่ถึง ถาม : ตอนนี้ฟันยังอยู่กับตัวหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ผุไปแล้ว แสดงว่าตัวเองก็ยังอาศัยไม่ได้ ยังผุอยู่เลย ถาม : นึกว่ามีคนเลี่ยมไปแล้ว ? ตอบ : ไม่รู้หมอเอาเศษฟันไว้ใช้บ้างหรือเปล่า แต่ว่าอุดแล้วอุดอีก ขูดแล้วขูดอีก |
สมัยก่อนหลวงปู่กาหลง ที่เขาเรียกว่า หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว ท่านทำวัตถุมงคลแล้วก็ท้าว่า ถ้าใครไม่มั่นใจ ให้แบกปืนไปลองได้เลย อาตมาก็เอาปืนไป จะไปยากอะไรเพราะชอบลองอยู่แล้วนี่ ท่านทำตะกรุดอะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นตะกั่วน้ำนมโบราณพัน ๆ ปี ได้มาจากตามพวกปราสาทหิน น่าจะเป็นโลหะที่เขาเทเพื่ออุดร่องยึดร่อง แต่เห็นว่าเป็นพวกตะกั่วป่า ท่านเองก็ทั้งปลุกทั้งเสกอย่างดี มีการจับเขี้ยวแก้วเสกเพื่อเพิ่มพลังด้วย อาตมาขอลองนัดเดียว เปรี้ยงเดียวเหลือติดอยู่นิดเดียว เกือบขาดกลาง เสียของไปเลย..ตั้งแพง พันกว่าบาท
ลืมไปว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนว่า คนที่มีลายมือคัดของ ของดีแค่ไหนก็ยิงออก แล้วอาตมาก็ลืมไปว่า ไม่ใช่แค่หลวงปู่มีเขี้ยวแก้ว อาตมาก็มี ตกลงก็กลายเป็นว่าอาตมามีมากกว่า ตะกรุดหลวงปู่จึงเละไปเลย ตอนเด็ก ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน ว่าทำไมฟันมาขึ้นตรงเพดานปากนี้ ได้แต่เลีย ๆ เล่น รำคาญเพราะปลายฟันค่อนข้างแหลม ถาม : เป็นฟันหน้าหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เป็นฟันเขี้ยว มาตอนหลังปลายบิ่น เพราะว่าซ้อมมวยไทยกับพระครูแสงตอนเป็นฆราวาส จังหวะศอกกลับ ปกติจะต้องหมุนตัวตีแบบปลาดุกยักเงี่ยง แต่คราวนี้พระครูแสงแหกตำรา แกตีเสยขึ้นเหมือนกับที่เขาเรียกศอกสอยมะม่วง อาตมาเห็นมาผิดจังหวะไขว้มือรับไม่ทัน ทำให้แรงไม่พอที่จะกดศอกเขาไว้ จึงลอดการ์ดเข้ามาที่ปลายคาง เปรี้ยงเดียวฟันกระแทกกัน ปลายเขี้ยวบิ่นไปเลย แปลว่าเขี้ยวแก้วเสื่อมความขลังตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บิ่นเองเลย พอปลายบิ่นแล้วก็เหมือนกับว่าทำให้เป็นเหตุให้ฟันผุ แต่ก่อนคนอื่นเขาคิดว่าพี่น้องตีกันจะตาย เวลาซ้อมมวย อัดกันจริง ๆ จัง ๆ แต่พระครูแสงไม่ค่อยอึด เป็นคนไม่ค่อยทนเจ็บ พอโดนหนัก ๆ เข้าก็มักจะถอดใจไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ถ้ามาอีกที คนที่บอกว่าเลิกแล้วก็คืออาตมานั่นแหละ บังเอิญว่าทนกว่ากันอยู่ทีเดียวทุกครั้ง ท่าศอกสอยมะม่วงนี่ สมัยก่อนเห็นมี สมาน ดิลกวิลาศที่ใช้ พวกเราเกิดไม่ทันหรอก เพราะว่ารุ่นของสมาน ดิลกวิลาศ เป็นรุ่นเดียวกับ อภิเดช ศิษย์หิรัญ ดีไม่ดีเป็นรุ่นพี่ด้วย แต่คราวนี้สังคมสมัยนั้นเหมือนกับนิยมนักสู้ เด็ก ๆ ก็ชอบเลียนแบบวีรบุรุษ ถึงเวลาเล่นกัน เอ็งเป็นคนนั้น ข้าเป็นคนนี้ ถ้าวันไหนผู้ใหญ่มาบอกว่า คนนั้นชนะคนนี้ คนนี้ชนะคนนั้น โอ๊ย..เฮกันใหญ่ แต่ต้องชมว่าครูมวยสมัยก่อนท่านเก่งจริง ๆ ถ้าครั้งนี้แพ้ ไปครั้งหน้าจะไม่แพ้อีก ต้องแก้ไขได้ |
ถาม : เทคนิคหลักการพวกนี้ใช้ได้กับคนเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนดีกว่าตรงที่มีสมอง เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ใช้กำลัง แทบจะไม่มีสัตว์ที่ใช้สมองในการสู้กัน แต่ว่าสัตว์ก็มีวิธีรักษาตัวของเขา จากการที่เคยเกิดเป็นสัตว์หลายต่อหลายที จะรู้ว่าจะมีวิธีรักษาตัวไม่ให้บาดเจ็บ เพราะถ้าบาดเจ็บ อันดับแรกก็คืออาจจะหากินลำบาก ถึงแก่ชีวิตได้ ทำให้หลบหนีศัตรูลำบาก โดนพวกแมลงวันซ้ำเติมบ้าง ถ้าวางไข่ลงไปได้นี่บรรลัยเลย เพราะตัวเองไม่รู้จะเอาออกอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็คือ ถ้าตัวเองบาดเจ็บ อาจจะเสียพื้นที่ในการทำมาหากิน คู่แข่งที่ชนะจะไล่เราออกไป ถ้าไม่ออกก็อาจจะถึงตาย |
ถาม : ผมตั้งใจจะบวช จะมาปรึกษาว่าบวชที่ไหนดี ?
ตอบ : แล้วทางบ้านเขาไม่ว่าอะไรแล้วหรือ ? ถาม : ไม่ว่าครับ ตอบ : ไม่ว่าก็ไปเถอะ ชอบที่ไหนก็ไป ไม่ได้สำคัญอยู่ตรงสถานที่บวช ถ้าเรามีหลักการปฏิบัติ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือ ไม่ค่อยปฏิบัติ แถมไปเที่ยวจับผิดชาวบ้านเขาด้วย ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวัน ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไปบวชที่นั่นก็ ๕ ปีนะ ถ้าไม่ ๕ ปีไปที่อื่นไม่ได้ กัดฟันทนไป ถ้าไม่ตายเสียก่อน เราว่ากันตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก วันก่อนทิดวิชาที่สึกไป มาขอนิมนต์ท่านนวยไปเป็นเจ้าอาวาส เขาจะถวายที่ให้สร้างวัด ก็เลยถามท่านนวยว่าครบ ๕ ปีหรือยัง ? “ครบพอดีครับ” “เออ..อย่างนั้นไปได้” ในช่วง ๓ พรรษาแรกเป็นช่วงศึกษาพระธรรมวินัย ปีแรกก็ศีล ๒๒๗ ปีที่สองก็อภิสมาจาร ศีลที่นอกพระปาติโมกข์อีกเป็นร้อย ๆ ปีที่สามก็ศึกษาหลักการปฏิบัติแบบธรรมเนียมต่าง ๆ อีก ๒ ปีก็ว่าให้อยู่ตัว จะว่าไปช่วง ๓ ปีก็คือช่วงที่จะกอบโกยจากครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด สมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยให้ความใส่ใจกับลูกศิษย์ บวชแล้วก็ทิ้ง ๆ ไปฝากตัวอยู่ที่วัดท่าขนุนตั้งไม่รู้เท่าไร แม้กระทั่งพระครูหน่อย เลขาของอาตมานี่ค้นหาประวัติไปเถอะ พระครูหน่อยบวชเมื่อไร ทำไมไม่เจอประวัติเลย ค้นปีใกล้ ๆ ก็ไม่เจอ ค้นขึ้นหน้าก็ไม่เจอ ค้นถอยหลังก็ไม่เจอ ก็เลยมาถาม อาตมาบอกไปว่าพระครูหน่อยบวชมาจากชลบุรี แล้วมาขออยู่ด้วย คราวนี้อยู่มา ๑๐ กว่าปี คนเขาเลยนึกว่าเป็นพระวัดท่าขนุนตั้งแต่แรก พระครูน้อยบวชมาจากวัดดินแหลม สรุปว่าไม่ค่อยจะมีที่บวชแท้ ๆ จากวัดท่าขนุนสักเท่าไรหรอก ที่บวชส่วนใหญ่ก็สึกกันหมด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเหมือนกับตะวันกำลังขึ้น ส่วนผู้ใหญ่อยู่ช่วงกำลังบ่ายคล้อยลง อาทิตย์อัสดงเมื่อไรก็จบ แต่บางคนก็อย่างกับพลุ ขึ้นพรวดเดียวแล้วดับไปเลย ทุกอย่างล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ปิดงานได้ ๒ ชิ้นใหญ่ คือ หลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพร ๘๔ พรรษาธรรมิกราช กับหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ปิดบัญชีไปก่อนสิ้นเดือน พระครูหน่อยเริ่มถามรายละเอียดแล้ว “สีแบบนี้จ่ายเท่าไร ?” จะเอาอย่างบ้าง บอกท่านว่า "ค่าสี บวกค่าแรง บวกเครื่องพ่นสีอีกเครื่องหนึ่ง ประมาณ ๔๙๐,๐๐๐ บาท ไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท" ถ้าใช้สีทองนี่หลายล้านบาท สีทองของฮาโตะ ที่ไม่ใช่แบบเกรดเยี่ยมนัก เกรดมาตรฐานทั่ว ๆ ไป แกลลอนละ ๔,๐๐๐ บาท สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกต้องใช้ประมาณ ๒๐๐ แกลลอน ก็เท่ากับประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คิดรวมอย่างอื่น ค่าแรงยังไม่ได้คิดเลย"
ถาม : ทำความสะอาดได้ไหมคะ ? ตอบ : สีทองทำความสะอาดยากหน่อย เพราะว่าสีค่อนข้างหยาบ ถึงเวลาแล้วฝุ่นจะเกาะติด อาตมาไปศึกษาแล้วว่า สีพ่นเรือเกาะได้ติดเหนียวแน่นกว่า อีกอย่างพออะไรเกาะแล้วฉีดล้างได้เลย ต่อไปพอถึงเวลาก็ขอแค่รถดับเพลิงมาฉีดน้ำล้างทีเดียวสะอาดเอี่ยม ถาม : สีที่ใช้นี่แกลลอนเท่าไรครับ ? ตอบ : ไม่รู้แกลลอนเท่าไร แต่อยู่ในงบ ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นแหละ ใช้ ๒ ที่ ที่พระองค์ใหญ่กับที่มณฑป แล้วเครื่องพ่นสียังอยู่กับเรา ซื้อแล้วเป็นของเรา ช่วงปีใหม่นี้รถผ่านกี่คัน จอดถ่ายรูปกันแหลกไปเลย ยายจุ่นเปิดขายน้ำอยู่ ๒ ชั่วโมง ขายได้ประมาณพันกว่าบาท ทำงาน ๒ ชั่วโมงได้พันกว่าบาท ตอนแรกอาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่ไปขายทั้งวัน เพราะคนมาทั้งวัน เขาบอกว่า “ต้องปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ได้บูชาพระ” สรุปแล้วคืออยากได้พระ เลยต้องทนอยู่ปฏิบัติธรรม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีนักธุรกิจใหญ่บอกว่า ถ้าสังเกตคนขึ้นเขา จะเห็นว่าเวลาขึ้นเขาเราต้องก้ม แต่เวลาลงเขาเราต้องยืด เพื่อที่จะให้สมดุลกับน้ำหนักตัว เขาจึงสรุปว่า ถ้าบุคคลที่คิดจะปีนป่ายขึ้นที่สูง หรือต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าไปยืนตรงทื่อ ก้มให้ใครไม่เป็น ก็แปลว่าชีวิตคุณมีแต่ขาลง เขาว่าเสียเจ็บเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฐมพุทธวจนะ อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสังฯ.... เป็นอเนกชาติ คือนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ที่ได้เที่ยวแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหานี้ จนต้องเกิดบ่อย เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอยู่ในกองทุกข์ ดูก่อนตัณหาผู้สร้างเรือน บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถที่จะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว
ทางพม่าเขาใช้คาถาบทนี้ในการปลุกเสกพระ ตอนแรกอาตมาก็สงสัย พระมีอยู่ด้วยกัน ๕ รูป นั่งล้อมวง ต่างคนต่างจุดเทียนไว้หน้าตัวเอง นั่งล้อมวงหน้าองค์พระ แล้วเสกด้วยบทอเนกชาติฯ ตามกำลังวัน ถ้าเป็นวันศุกร์ก็มากหน่อย เสกเสร็จก็พรมน้ำมนต์ เป็นอันว่าพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหน ๆ อาตมาก็อยู่ในพิธีแล้ว จึงอธิษฐานภาพพระครอบทั้งหมู่บ้านไปเลย เผื่อให้ทุกคน" ถาม : เขาถือคติอย่างไรคะ ถึงเสกบทนี้ ? ตอบ : เขาถือความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือประโยคนี้ เรียกว่าปฐมพุทธวจนะ คือพอบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เปล่งอุทานขึ้นมา เป็นอเนกชาติที่เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์แล้วทุกข์อีกจนนับไม่ได้ ก็เพราะว่าต้องการจะแสวงหาตัวเจ้าตัณหาที่เป็นตัวสร้างภพสร้างชาติให้ บัดนี้ก็ได้เจอหน้าแล้ว บ้านเรือนอะไรเราหักทิ้งหมดแล้ว เจ้าไม่สามารถจะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว วิสังขาระคะตัง จิตตัง สภาพจิตที่เข้าถึงความไม่ปรุงแต่งแล้ว ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา ย่อมเข้าถึงความสิ้นไปของตัณหา |
ถาม : นิโรธในอริยสัจสี่กับนิโรธในสมาบัติ เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกันนะ นิโรธในอริยสัจ ๔ คือการดับแบบไม่มีเชื้อ หมายความว่าไม่เกิดอีกแล้ว ส่วนนิโรธในนิโรธสมาบัตินั้น ต่อให้มีเชื้ออยู่ก็สามารถเข้าถึงได้ อย่างเช่นพระอนาคามี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..อย่างหนึ่งเป็นการที่กำลังใจของตนเองปลีกออกจากสัญญาและเวทนาทั้งหมด เขาเรียกว่าเข้าถึงนิโรธเหมือนกัน ส่วนอีกอย่างเป็นการหมดกิเลสจริง ๆ เพราะฉะนั้น..นิโรธในอริยสัจ ๔ กำลังจะสูงกว่า ยกเว้นว่าท่านที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นผู้ที่เข้าถึงนิโรธในอริยสัจ ๔ แล้ว ถาม : นิโรธสมาบัติ ? ตอบ : ยังสามารถที่จะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดหมดจริง ๆ ถาม : ยังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังไม่ถึงใจหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าเป็นเรื่องของนิโรธสมาบัตินี่จิตกับกายจะแยกส่วนกันเลย จะไม่สนใจอะไรที่เกิดขึ้นกับกายเลย ถาม : คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า ? ตอบ : กำลังใจไม่เกาะร่างกาย แต่สนใจไปที่อื่น จะเป็นภพอื่นหรือจะเป็นพระนิพพานก็ได้ ถาม : ในขณะนั้นมีคำภาวนาหรือลมหายใจไหมคะ ? ตอบ : ตรงนั้นไม่ต้องแล้วจ้ะ ร่างกายจะเป็นอะไรก็ช่างแล้วจ้ะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาบัวท่านได้เปรียบกว่าพระรูปอื่นที่ว่า ท่านเรียนปริยัติมาก่อน ก็ไปดูตำราให้พอรู้ว่าจะต้องเดินช่องไหน ส่วนท่านอื่นต้องให้ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดทีละหน่อย ๆ "
|
ถาม : ตอนไปร่วมพิธีเปิดงานฯ ที่ตลาดทองผาภูมิ พระอาจารย์บอกว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่พอกลับมาฟังเทศน์ที่วัด พระอาจารย์ว่าเป็นอุเบกขาในมุทิตา ซึ่งตรงกับที่คนอื่นเขาเข้าใจกัน ก็เลยรับปากว่าจะมากราบเรียนถาม ?
ตอบ : อุเบกขานิ่งกว่า มุทิตาดูดีกว่า ถาม : มุทิตาในอุเบกขา กับอุเบกขาในมุทิตา ต่างกันอย่างไรคะ ? ตอบ : ต้องดูว่าขึ้นกับอะไรก่อน ยินดี รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวาง เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องกระทบกระเทือน เพราะว่าจะยินดีหรือยินร้าย เป็นโทษทั้งคู่ นี่ก็เป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่ถ้าตัวเองสามารถหยุดได้แล้ว โดยมีความเมตตากรุณาเป็นปกติ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย แต่ไม่ออกอาการ อันนี้เป็นอุเบกขาในมุทิตา กลับข้างกัน อย่างหลังมั่นคงกว่า อย่างแรกอาจจะเผลอได้ ถาม : ตอนได้ยินพระอาจารย์บอกที่ตลาดคำเดียวว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา ตอนนั้นมีความเข้าใจดีมาก แต่อธิบายให้คนที่ไปด้วยกันให้เข้าใจไม่ได้ เพราะเขาแย้งว่า เคยได้ยินแต่อุเบกขาในมุทิตา ? ตอบ : เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ถ้าฟังควรจะฟังตอนนั้น เพราะบางทีกำลังของท่านที่ส่งมา พอเราฟังจะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้ด้วย ว่าที่เข้าใจนั้นคืออะไร |
พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาพระทั้งหลายเขาเปิดใจคืนสุดท้ายของการอบรมปฏิบัติธรรมประจำปี มีอยู่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กของเราท่านพลังมาก..! มากกว่าท่านเจ้าคุณหลายเท่า..! ท่านถึงเอาพวกเราอยู่ ถ้าท่านไม่มีพลังอย่างนี้นะ เอาเราไม่อยู่หรอก แหม...ก็มีเท่าไรอาตมาใส่แค่หมด ป่วยจะตายดันบอกว่าพลังมาก..!"
|
ถาม : พอทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะทำให้หายจากอาการป่วยได้ แต่ว่าถึงทำได้ ปกติครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่หนีอาการเจ็บป่วยนี่คะ ?
ตอบ : เราต้องการดูเวทนา เรารับได้เพราะโรคไม่หนักเกิน ถ้าโรคหนักเกินก็ต้องใช้วิธีทำไม่รู้ไม่ชี้แทน อยากเป็นก็เป็นไป แล้ววิธีนี้บรรดาลูกศิษย์ยังทำไม่ถึง ถาม : หากแยกจิตกับประสาทออกจากกันก็ไม่รับรู้อาการแล้ว หรือไม่ก็อาราธนาคุณพระรักษาก็ได้ ? ตอบ : เหมือนกัน บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านใช้ธรรมโอสถรักษาเองมาไม่รู้เท่าไรแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าท่านไม่สอน ก็แปลว่าท่านกลัวว่าคนจะไปติดอยู่แค่นั้น ต่อไปจะไม่ยอมรับว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ ถาม : ทำไมไม่หนี ? ตอบ : หนีได้ใครไม่หนีวะ ? อย่างประเภทเจ็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างอาตมา หนีได้ก็หนีสิ ใครจะมานั่งทน ถาม : ปกติพระท่านมีวัตรที่ต้องทำสมาธิและมีคำอธิบายในการปฏิบัติอยู่ จึงเข้าใจว่าท่านน่าจะทราบกันแล้ว ทำไมยังต้องสอนเรื่องนี้ ? ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีพื้นฐานเก่ามาจริง ๆ ต้องสอนต้องสั่งกันทั้งนั้น อีกอย่างก็คือ ต้องสร้างความเชื่อถือให้เขาด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฐานะสูง มีสมณศักดิ์สูง ไม่ก็เป็นพระสังฆาธิการระดับสูง ไม่ค่อยฟังใครหรอก ปีก่อน ๆ ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์คุม เอาไม่อยู่..หนีกันกระจายเลย ถ้าบอกว่าให้นั่งละก็..เหลือพระอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง อย่างที่ป้านุชบอกว่า เดินทักพระได้ทุกรูป เพราะท่านไม่ยอมอยู่ในที่ปฏิบัติ เนื่องจากว่าพระวิปัสสนาจารย์ส่วนใหญ่ตรงเป็นไม้บรรทัด และเป็นมวยเชิงเดียว ถึงเวลาไม่เข้าใจลูกศิษย์ ก็ไม่สามารถที่จะเอาอยู่ อาตมาเป็นประเภทครูสอนไว้หมดทุกอย่างแล้วนี่ ไม่ว่าจะมาท่าไหนก็สามารถที่จะแก้ให้เขาได้ เขาก็ชอบใจกัน ถึงเวลาไม่ว่าจะคุยเล่นหรือว่าจะปฏิบัติจริง เขาก็ยอมนั่งอยู่กัน เพราะเขาอยากรู้ว่าอาตมาจะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขา |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:46 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.