กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3952)

เถรี 25-12-2013 16:33

ถาม : พระอาจารย์ไม่ไปนำม็อบกับเขาหรือครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม เพื่อที่จะเอาความเด่นความดังเฉพาะตัว ถือว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก เพราะว่าอาศัยพระพุทธศาสนาเป็นบันไดเหยียบขึ้นไปเพื่อความเด่นของตัวเอง

พระเรามีหน้าที่เตือนสติเมื่อโยมจะเลยธง ไม่ใช่มีหน้าที่พาโยมวิ่งจนเลยธง เอาไว้เดี๋ยวพอถึงสมัยศาสนาของท่าน ก็คงจะมีคนประท้วงกันตลอด เพราะท่านมาสายพุทธภูมิเหมือนกัน

บ้านเราเล่นการเมืองกันแบบไร้สติ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบ้าน จะเป็นสังคม บ้านก็มีกฎเกณฑ์ของบ้าน สังคมก็ต้องมีกฎเกณฑ์ของสังคม จึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ใช้กฎหมู่เข้าว่า กฎหมู่เป็นนิสัยของสัตว์เดรัจฉานที่ยังทิ้งไม่หมด เคยเห็นหมารุมกัดตัวอื่นไหมเล่า ?

ในเมื่อเราพัฒนาจนถึงระดับเป็นมนุษย์แล้ว แต่ยังเอานิสัยของสัตว์มาใช้อยู่ ก็แปลว่าไม่ได้พัฒนาก้าวไกลไปจากสภาพเดิมเท่าไรนัก ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ มีกติกาอยู่ แพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ เขาจะบริหารเฮงซวยห่วยแตกขนาดไหน ก็เก็บเอาไว้ ถึงเวลาก็เอาไปอภิปรายกันในสภา ชนะไม่ได้เพราะเขามีเสียงข้างมาก ก็พยายามที่จะแสดงหลักฐานให้ปรากฏแก่ชาวบ้านเขา ถึงเวลาชาวบ้านเขาก็จะรู้เองว่าควรจะเลือกใคร ต่อให้ประชาธิปไตยบ้านเราแย่ขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าในสภาพปัจจุบันนี้ สภาพปัจจุบันนี้ถามว่าถ้าชนะแล้วจะให้ใครเป็นนายกฯ ? จะให้นายหัวสุเทพเป็น ? ไปถวายคืนพระราชอำนาจ แล้วในหลวงท่านบอกหรือว่าท่านจะรับ สิ้นสติกันชัด ๆ..!

บ้านเราส่วนใหญ่แล้วขาดสติ เฮไปตามข้อมูลที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองไว้ นักการเมืองทุกคนบอกความจริงเราไม่ถึงครึ่ง เรื่องที่เหลือก็คือที่เขาต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของเขา แล้วเราก็เอาไปทุ่มเท เย้ว ๆ ถามว่าผลประโยชน์ตกอยู่แก่ประเทศชาติหรือเปล่า ? สมัยก่อนบ้านเราเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย ตอนนี้เป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน นั่นแหละ..ก็ที่ไปเย้ว ๆ อยู่นั่นแหละ ตัวถ่วงเศรษฐกิจดีนัก ในเมื่อเศรษฐกิจไปไม่ได้ แล้วประเทศชาติจะไปรอดได้อย่างไร ?

เถรี 25-12-2013 16:46

ถาม : ถ้าเราปล่อยเขาไปเขาไม่ทำบ้านเมืองล่มจมหรือครับ ?
ตอบ : นั่นคุณคาดว่า..เรื่องเกิดหรือยัง ? พวกที่ทำให้บ้านเมืองฉิบหายล่มจม ก็คือพวกที่ขายทรัพย์สิน ปรส.ไปราคาถูก ๆ ให้ต่างชาติ แล้วจนป่านนี้โดนดำเนินคดีหรือเปล่า ? ปัจจุบันนี้ก็ไปนำม็อบอยู่นั่นแหละ นั่นฉิบหายมากที่สุด เห็นชัดเจนที่สุด

นักการเมืองบ้านเราเล่นการเมืองแบบสาดโคลนใส่กัน ประเภทถ้ากูชั่วมึงก็เลว เห็นว่ามีสมัยของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์นี่แหละที่เล่นแบบสุภาพสตรี แล้วก็มาเห็นความงามของการเมืองก็ช่วงผู้ว่าฯ สุขุมพันธ์ แข่งขันกับพลตำรวจเอกพงศพัศ ดูงามอยู่ช่วงแรก พอตอนท้ายอีกพรรคกลัวสู้ไม่ได้ ก็ถล่มกันด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ให้ชาวบ้านเขาตาลีตาแหกเข้าใจว่าเป็นจริง

เพราะฉะนั้น..บ้านเราจะพัฒนาให้เทียมประเทศอื่น ๆ ได้ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วถือมงคลตื่นข่าว ในเมื่อถือมงคลตื่นข่าว จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อุตส่าห์เห็นเขาแข่งกันแบบสุภาพบุรุษ หาเสียงโดยที่ไม่โจมตีใคร แต่พอยกสุดท้ายดูท่าจะไปไม่รอด ก็กลับไปใช้วิธีเดิม ต้องบอกว่าน่าเสียดาย กลายเป็นขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชาเหมือนเดิม ไม่ได้อะไรดีขึ้นเลย

เถรี 25-12-2013 16:56

ตั้งแต่ปฏิวัติปี ๒๕๔๙ มาจนป่านนี้ ประเทศเราถดถอยมาตลอด โอกาสที่จะเดินหน้าแทบไม่มีเลย เพราะรัฐธรรมนูญสกัดไว้หมดทุกทาง เนื่องจากคนร่างรัฐธรรมนูญเต็มไปด้วยความอคติ ไม่มีความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทุกคนมาต้องโกง ต้องเลว ก็เลยร่างเงื่อนไขที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ แล้วโดยเฉพาะที่ผิดหลักนิติธรรมที่สุดก็คือ ไปเอาความผิดย้อนหลัง

มีกฎหมายประเทศไหนบ้างที่เอาความผิดย้อนหลัง จะเอาที่ไหนมา ตราบใดที่ไม่มีกฎเกณฑ์ก็แปลว่าทำแล้วไม่ผิด มีกฎเกณฑ์เมื่อไรแล้วทำถึงจะผิด แต่นี่เขาเอาความผิดย้อนหลัง ก็แปลว่าหลักนิติธรรมที่ทั่วโลกเขายึดถือมา ประเทศเราไม่ได้ยึดเลย เพราะฉะนั้น..จะให้ประเทศชาติสุขสงบย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก เริ่มต้นก็หลงทางแล้ว ก็ดูสิ..ยอมกันไหมนั่น ?

ทั่วโลกไม่มีใครยอมรับเผด็จการ แต่เขากลัวว่าผลพวงของเผด็จการจะสูญหายไป แล้วทุกวันนี้อย่างพวกศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติเห็น ๆ ถูกละ..คุณบอกว่าคุณเอาขึ้นมาถ่วงดุล แต่คราวนี้อย่าลืมว่าผู้แทนประชาชนทั้งประเทศ เขาคัดกรองมาแล้วในรัฐสภา แล้วยังไปคัดกรองซ้ำในวุฒิสภาอีก คนทั้งหมดทั้ง ๕๐๐ - ๖๐๐ คน ช่วยกันพิจารณามา เทียบกับคนแค่ ๓ - ๕ คน ใครจะรอบคอบกว่า ? บอกได้คำเดียวว่าสงสารในหลวง

ถ้าเป็นนิสัยแบบสมัยก่อนของอาตมาก็ฟ้าผ่าตายหมดแล้วพวกนั้น..! เสียดายสมัยนี้ทำไม่ได้ กำลังเย้ว ๆ อยู่ ให้ดำเป็นตอตะโกสัก ๗ - ๘ ศพ ดูสิใครจะนำขบวน นำอีกผ่าอีก พูดแล้วคัน เดี๋ยวทำจริง ๆ แล้วอย่าดันมีใครสวมรอยนะ เดี๋ยวตูซวยเอง..!

ถึงได้ถามว่าปัจจุบันเขาต่อต้านอะไรกัน ต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม อาตมาเห็นด้วย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนทำต้องมีความผิด ถ้าไม่มีความผิดก็ไม่เกิดความเข็ดหลาบ แล้วเดี๋ยวก็ไปทำใหม่ แล้วปัจจุบันเขาต่อต้านอะไรกัน ? ถามดูสิ..มีจุดมุ่งหมายไหม ? ที่เย้ว ๆ อยู่นั่นทำอะไรกัน ล้มทักษิณ ทักษิณอยู่ที่ไหน ? ออกจากประเทศไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว แล้วถามว่าโค่นล้มระบอบทักษิณ ระบอบทักษิณหน้าตาเป็นอย่างไร ? มีใครอธิบายให้อาตมาฟังได้บ้าง ?

ถ้าบอกว่าระบอบทักษิณโกงกิน แล้วโรงพัก ๓๙๖ แห่ง เสาโด่เด่นั่นไม่โกงเลยใช่ไหม ? ระบอบทักษิณเผด็จการ แล้วที่เอาทหารมาฆ่าประชาชนเกือบร้อยศพนั่นเรียกว่าอะไร ? สรุปแล้วก็โจรร้องให้จับขโมย แล้วก็ดันมีคนไปเชื่อด้วย ฟังแล้วเครียดเปล่า ๆ

เถรี 25-12-2013 17:06

ถาม : เอาตอนจบดีกว่าครับ ผลจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อเช้าถึงได้บอกว่าให้ทุกคนช่วยกันอุทิศส่วนกุศลให้นายหัวสุเทพ เผื่อแกจะหาบันไดลงได้เจอ ตอนนี้ใกล้เหวไปทุกทีแล้ว ถ้าเขาถอยเสียตั้งแต่ทางรัฐบาลประกาศล้มเลิกการพิจารณาเกี่ยวกับ พรบ.นิรโทษกรรมทุกฉบับ จะเป็นจังหวะที่สวยที่สุด การเลือกตั้งครั้งต่อไปนี่เพื่อไทยหืดจับแน่นอน ดีไม่ดีคะแนนเสียงทั่วประเทศหดไปเกินครึ่ง

แต่คราวนี้นายหัวแกเล่นเลยธง ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันเยอะ เรื่องชาวบ้านเดือดร้อนนี่เขาจำนานนะ เขาจำนานพอ ๆ กับไปหลอกหลอนว่าระบอบทักษิณจะยึดประเทศไทย แต่เขาเห็นแต่เสื้อเหลืองยึดสนามบิน แล้วตอนนี้นายหัวก็ทำให้รถติดทั้งกรุงเทพฯ ปกติถ้าออกจากท่าขนุน ๖ โมงเช้า ไม่เกิน ๑๐ โมงต้องมาถึงที่นี่ วันก่อนอาตมาถึงตอน ๑๑ โมงครึ่ง

ถึงบอกว่าโชคดีที่รัฐบาลนี้เขาไม่ให้ทหารไปจัดการ ส่วนไหนที่เขาทำถูก เราก็ว่าถูก ส่วนไหนที่เขาทำผิด เราก็ว่าผิด แต่ปัจจุบันนี้เขาสามารถพูดขาวเป็นดำ พูดดำเป็นขาว ก็ต้องบอกว่าพลาดกันคนละยก คุณทักษิณประเมินผิด คิดว่าฝ่ายค้านปลุกระดมชาวบ้านไม่ขึ้น ก็เล่นสุดซอยเลย ส่วนคุณสุเทพก็ประเมินผิด ได้คืบจะเอาศอก ตอนนี้หาบันไดลงไม่ได้

คุณทักษิณประเมินผิด แกก็นอนกระดิกเท้าอยู่ดูไบ..จะไปเดือดร้อนอะไร แต่คุณสุเทพประเมินผิดนี่คนจ่ายอ้วก เพราะว่าวันก่อนคนทางทองผาภูมิมาเป็นคันรถ บอกว่าได้ไปคนละพัน แล้วลองนึกดูว่าม็อบ ๑๐,๐๐๐ คน จะรับไปเท่าไร แล้วถ้า ๑๐๐,๐๐๐ คนล่ะ..ใครจ่าย ?

เถรี 25-12-2013 17:10

ถาม : เขาไปด้วยหัวใจบริสุทธิ์ครับ
ตอบ : มีกี่คน ?

ทุกอย่างมีรายจ่ายหมด ในเมื่อทุกอย่างมีรายจ่าย สำคัญที่สุดคือรายจ่ายของประเทศชาติ การเมืองไม่นิ่ง ชาวต่างชาติก็ไม่มาลงทุน ในเมื่อไม่มาลงทุน เศรษฐกิจก็ไม่โต มีแต่จะถอยหลังไปเรื่อย โลกปัจจุบันไปเร็วมาก เรายืนอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว

ก่อนหน้านั้นอาตมาว่าพม่าบริหารประเทศภาษาอะไร ปี ๒๕๒๔ ชายแดนด่านเจดีย์สามองค์ เงินไทย ๒ บาท แลกพม่าได้ ๑ จั๊ต ปี ๒๕๕๖ เงินไทย ๑ บาท แลกพม่าได้ ๒๗ จั๊ต แล้วคุณลองคิดดูว่า ปัจจุบันของเราจะถอยหลังไปอีกเท่าไร ไม่ต้องไปคิดถึงสมัยที่ ๑ ดอลลาร์แลกได้แค่ ๒๐ บาท ปัจจุบันนี้รั้งให้อยู่ในระดับไม่เกิน ๓๐ บาทนี่ก็แย่แล้ว

เถรี 25-12-2013 17:17

ถาม : ต้องวางกำลังใจอย่างไรครับ พระนิพพานก็อยากได้ เงินก็อยากได้ ?
ตอบ : หาเงินก่อน ถ้าตายแล้วไปพระนิพพานไม่ต้องใช้ ทุกคนก็ทำอย่างนั้นกันทั้งนั้นแหละ ถึงบอกว่าทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด จบแล้วก็จบกัน ต้องบอกว่าเงินเป็นสิ่งสมมติ สร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างความเดือดร้อนให้กับเรา

เถรี 25-12-2013 17:22

ถาม : ถ้าคนรอบตัวติดอยู่กับสมมติอยู่ แล้วเราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เราก็สมมติตามเขาไป เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าคุณอย่าเผลอไปติดในสมมติก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าวางกำลังใจแบบนั้น ก็เหมือนกับไร้ใจ ไม่สนอะไรเลย ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : มีหน้าที่ ถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณดีที่สุดแล้ว แมวที่ไหนจะตำหนิได้ เราอยู่กับโลกก็ต้องเคารพสมมติทางโลก แต่อย่าไปยึดติดกับโลกก็พอ

ถาม : ยากครับ แค่เห็นลูกเดือดร้อนก็ไม่ไหวแล้ว ?
ตอบ : ไม่ยาก..ก็เกิดอีกไม่กี่ชาติ..!

เถรี 25-12-2013 17:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้คนได้ยินจราจรเป่านกหวีด จะรู้สึกผวาคิดว่าม็อบมา พัฒนาเร็วนะ จากมือตบมาเป็นตีนตบ คราวนี้มาเป็นนกหวีด ต่อไปไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาหน่อย ขายนกหวีดได้ ช่วยให้ดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่พาบรรลัยไปเสียเยอะ..!"

ถาม : คนที่ไปร่วมชุมนุมก็มีกรรมสิครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าไปทำอะไรกัน ช่วยกันสุมฟืนใส่ไฟกันไปเรื่อย ถ้าไปด้วยโทสะก็ลงนรก ถ้าไปด้วยโมหะก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ถาม : แล้วถ้าคนข้างถนน เขาไปด้วยกันเพื่อไปกินฟรีละครับ ?
ตอบ : คุณเป็นคนให้เขากินหรือ ?

ถาม : เปล่าครับ
ตอบ : ก็มองสิ..มีโอกาสเราก็กินบ้าง..!

ถาม : ผมเห็นคนจตุจักรบอกว่า เขาไปเพราะเขาไปกินฟรี ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ขอแค่กินข้าวนะ ไม่ขอเงินด้วยนี่นับว่าเกรงใจแล้ว

เถรี 25-12-2013 17:28

ถาม : ปีหน้าคนเต็มบ้านวิริยบารมีแน่ เพราะรถไฟฟ้ามาถึงแล้ว ?
ตอบ : ไม่แน่ รถไฟฟ้าจริง ๆ ราคาแพงนะ ความพิลึกพิลั่นทุเรศทุรังของบ้านเราอีกอย่างหนึ่งก็คือทางด่วน ยิ่งนานไปยิ่งแพง ของที่ใช้เก่ามีแต่ราคาตกไปเรื่อย แล้วทำไมบ้านเรายิ่งนานไปยิ่งแพง เพราะพวกสัมปทานต่าง ๆ ในบ้านเราเอื้อประโยชน์ อนุญาตให้ทำ แล้วดูสิว่าจะเอาประเทศที่ไหนอยู่ ถึงบอกว่าอยู่ในลักษณะของแม่ปูสอนลูกปู บอกว่าเดินตรง ๆ สิลูก แล้วแม่ก็เดินคดเป็นงูเลื้อยเลย

เถรี 25-12-2013 17:45

หลังจากที่พระอาจารย์เทศน์สั่งสอน มีโยมทำบุญถวายค่ากัณฑ์เทศน์ ท่านจึงกล่าวว่า "ไม่ได้ต้องการกัณฑ์เทศน์ ต้องการให้เอาสิ่งที่ฟังไปทำ ไม่ใช่ฟังด้วยความปลื้มใจว่ากูรู้เยอะขึ้น ๆ แต่กูก็ไม่เคยเอาไปใช้สักที..!"

เถรี 26-12-2013 11:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราตรรกะวิบัติอย่างไรไม่รู้ พูดง่าย ๆ ว่าอคติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ถึงได้ ๒ มาตรฐานตลอด เราจะเห็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่ว่าความปราศจากอคติ คือไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะหลง เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้วรักษาความยุติธรรมไม่ได้

ไปนึกถึงท่านฮิตเลอร์ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านว่า ถ้าท่านลงมาเกิดในยุคปัจจุบันนี้คิดจะทำอะไร ท่านบอกว่า “ตายเกินครึ่ง..!” เราไปดูประเทศจีนว่าขนาดเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเปิดให้คนสามารถถือครองทรัพย์สินได้ เขาก็กอบโกยกันชนิดไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จะโดนลงโทษประหารชีวิตไปเท่าไรเขาก็ไม่สนใจ คนที่ตายก็ตายไป คนที่อยู่ก็โกงกินกอบโกยกันต่อไป

เรามานึกถึงสิงคโปร์ ประเทศเล็ก ๆ นิดเดียว ถึงขนาดต้องใช้วิธีเฆี่ยนประจานเพื่อป้องกันพวกฉี่ในลิฟต์ อะไรจะขนาดนั้น แล้วดูอย่างของยุโรปอเมริกา ที่กฎหมายของเขาศักดิ์สิทธิ์กว่าเรา ก็ยังมีคนโกงเป็นปกติ เพียงแต่ว่าโกงแบบแนบเนียนขึ้น จับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่เขาถือว่าเป็นอารยะขนาดนั้น บางประเทศเหมือนอย่างกับว่าเขาตั้งใจเปิดธนาคารให้คนฟอกเงินโดยเฉพาะ ก็เลยเห็นว่าของเขาที่ถือว่าเจริญ ก็เป็นต้นแบบ ๒ มาตรฐานเห็น ๆ

กฎหมายมีเอาไว้สำหรับบุคคลที่เกรงกลัว ลักษณะที่มีจิตละอายชั่วกลัวบาป ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ พระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้ว่า หิริโอตตัปปะเป็นโลกบาลธรรม คือธรรมในการคุ้มครองรักษาโลก ถ้าคนเรามีหิริโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อผลของความชั่ว ไม่กล้าทำความชั่ว ทุกอย่างก็จบ คราวนี้พอขาดหิริโอตตัปปะ ก็ทำทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นว่า มีกฎหมายมาขนาดไหนเขาก็จะทำของเขา"

เถรี 26-12-2013 11:50

ถาม : ถ้าเราไปแต่ก็ไม่ได้ยินดีกับกิจกรรมทั้งหมดของการชุมนุม จะเป็นการโมทนาบาปไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่ได้ออกรบทุกครั้งนะ มีอยู่งานหนึ่งมีหน้าที่ส่งเสบียงเท่านั้น ยังโดนแทบอ้วกเลย ถ้าไม่ยินดีจะไปกับเขาทำไม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “นี่แหละ..พวกส่งเสบียง สมน้ำหน้ามัน..!”

เถรี 26-12-2013 11:59

พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "เวลาแม่ชีอยู่กับพระ ให้ถือหลักของพระไว้ว่า "ไม่แน่ใจอย่าทำ" ศีลของพระเขามีว่า ต้องอาบัติเพราะไม่ละอาย ต้องเพราะไม่รู้ ต้องเพราะสงสัยแล้วขืนทำ ต้องเพราะสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ต้องเพราะสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ต้องเพราะลืมสติ ฉะนั้น..ให้ถือหลักการนั้น สงสัยก็อย่าไปทำ เอาให้แน่ใจแล้วค่อยทำ ไม่อย่างนั้นพลาดขึ้นมาแล้วได้ไม่คุ้มเสีย

ส่วนใหญ่บุคคลที่อยู่กับพระไประยะหนึ่ง แล้วมักจะเกิดความเคยชิน พอเกิดความเคยชิน คำว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “อย่างไรก็ได้” เกิดขึ้น ก็จะลำบากมาก เพราะพาให้เกิดโทษได้ง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า ให้เกรงใจในภิกษุทั้งเป็นผู้เก่า ผู้ปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า จะดีจะชั่วอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยสิ่งที่เขาห่มอยู่ก็คือธงชัยพระอรหันต์ เขาเอาผ้าเหลืองไปห่มต้นโพธิ์ เอาผ้าเหลืองไปห่มตอยังยกมือไหว้ได้ โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" เอาปลอดภัยไว้ก่อน แต่คราวนี้เราอยู่ในเหตุการณ์ บางอย่างถ้าจะเอาอย่างนั้นก็เสียหาย ทำไปแล้วก็ขอขมาพระเสีย"

เถรี 26-12-2013 12:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราสังเกตเป็น จะเห็นว่าท่านที่สร้างบุญใหญ่มักจะได้ผลตอบแทนเร็วมากเลย อย่างท่านเจ้าคุณธงชัยก็สร้างมณฑปถวายหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร คราวนี้ว่าหลายท่านก็ไปมองด้านอื่นโดยที่ไม่ได้มองว่าบุญใหญ่ที่ท่านสร้างไว้คืออะไร ไปมองว่ามีเส้นมีสายให้ยุ่งไปหมด หลวงพี่อาจินต์ได้พระครูชั้นเอก แต่ได้ในฐานะที่เป็นธรรมทูตอยู่ต่างประเทศ ได้ในนามของวัดไทยที่เยอรมัน ไม่ใช่ได้ในนามวัดท่าซุง ส่วนใหญ่ระยะหลังเขาจะให้พระธรรมทูตต่างประเทศมาก เพราะว่าไปทำงานใหญ่ให้กับพระศาสนา"

เถรี 27-12-2013 19:04

ถาม : เมื่อวานมีท่านผู้รู้บอกว่า อันนี้เป็นคาถาพระพุทธเจ้า เราควรที่จะสวด แต่ว่าไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด ?
ตอบ : มาจากบทปฏิจจสมุปบาท แสดงซึ่งความสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าต้องมีเหตุ ผลถึงจะมี ถ้าเราสร้างเหตุอย่างนี้ คือเอาม็อบไปเป่านกหวีด ผลก็คือชาวบ้านเขาเดือดร้อน ถ้าชาวบ้านเขาเดือดร้อนขึ้นมา เวลาเลือกตั้งคะแนนคุณก็จะได้น้อย จะสัมพันธ์กันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ในเมื่อคะแนนคุณได้น้อย คุณก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็แปลว่าจะต้องแพ้ต่อไปอีก ๔ ปี..!

แต่คราวนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะอวิชชา คือความไม่รู้นั้นมีอยู่ จึงเกิดสังขาร การปรุงแต่งขึ้นมา ในเมื่อสังขาร การปรุงแต่งเกิดขึ้น วิญญาณคือความรู้สึกจึงเกิด เมื่อวิญญาณเกิดขึ้น ก็ต้องมีสิ่งที่อาศัยคือนามรูปหมายถึงร่ายกายนี้ ในเมื่อนามรูปเกิดขึ้น ก็จะมีสิ่งที่ช่วยในการสัมผัส เรียกว่า ผัสสะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไล่ไปเรื่อยจนท้ายสุดก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย พระองค์ท่านจึงตรัสว่า ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็ต้องตัดตั้งแต่อวิชชา ทุกอย่างก็จะจบ


ถาม : ท่านช่วยให้คำจำกัดความของอวิชชา ?
ตอบ : อวิชชาคือความรู้ไม่ทั่ว รู้ไม่หมด อย่างเช่น ตาเห็นรูปแล้วไปนึกคิดปรุงแต่งทั้ง ๆ ที่รูปนี้เป็นโทษ เราไม่รู้ เราก็เลยไปคิดต่อ อย่างเช่นว่า สวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ แล้วก็จะเกิดอาการว่า ชอบใจไม่ชอบใจ ชอบใจเป็นราคะ ไม่ชอบใจเป็นโทสะ กิเลสกินเราทั้งคู่ ฉะนั้น..ถ้าเราสักแต่ว่าเห็น ก็จะทำอันตรายเราไม่ได้ ทุกอย่างก็เหมือนกัน หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เหมือนกันหมด

ถาม : ก็เหมือนกับไม่ได้สอนให้คนรู้จักคิดเป็นขั้นตอน ให้ตัดเลย สักแต่ว่าเห็น ?
ตอบ : ท่านสอนให้คิดเป็นขั้นตอน มีทั้งหมดอยู่ ๑๒ ขั้นตอนจนกระทั่งถึงเกิด แก่ เจ็บ ตายในปัจจุบัน แล้วท่านให้คิดย้อนกลับไปหาต้นว่าจะถึงความดับได้อย่างไร แต่คราวนี้พวกรายละเอียดมีเยอะ อธิบายกันหนังสือเป็นเล่ม ๆ ฉะนั้น..เข้าอินเตอร์เน็ตไปค้นหาคำว่าปฏิจจสมุปบาทจะเจอคำอธิบายเอง

ถาม : พระพุทธเจ้าท่านสอนปฏิจจสมุปปบาท หรือสอนอริยสัจ ๔ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนในตอนนั้น แต่ว่าทั้งหมดท้ายสุดก็คือความสิ้นทุกข์ ก็แปลว่าต้องย้อนกลับมาหาอริยสัจทั้งนั้น เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน สอนเหมือนกันจะรับไม่ไหว คนนี้ความรู้ว่าใกล้จะจบแล้วก็สอนความรู้ระดับปริญญาเอกไป คนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นก็ ก.ไก่ ข.ไข่ไป

ถาม : อย่างนั้นขอถามให้ตรง ๆ ว่าอย่างโยมนี่ต้องศึกษาแบบไหนคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าจ้ะ เพราะฉะนั้น..ตอบไม่ได้ โยมต้องไปศึกษาเอาเอง ชอบตรงไหนก็ทำตรงนั้น

เถรี 27-12-2013 20:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่แก่ก็ร่วงโรยไป คนที่กำลังจะเกิดก็โผล่มา วนเวียนไปเรื่อยไม่รู้จบ ถ้าเรามองเห็นแล้วจะรู้สึกว่าน่ากลัว เหมือนคนว่ายน้ำอยู่กลางทะเลไม่เห็นฝั่ง ตะกายไปเรื่อย จมตายแล้วก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ตะเกียกตะกายต่อไป รู้สึกเหมือนอยู่ในนรกอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะในนรกก็ตาย ๆ ฟื้น ๆ เพียงแต่ในนรกเร็วกว่า ตายไปไม่กี่อึดใจก็ฟื้นแล้ว แต่ในโลกมนุษย์ใช้เวลา ๘ - ๙ เดือน แล้วยังต้องตะเกียกตะกายทุกข์กันทีเป็นหลายสิบปี"

เถรี 27-12-2013 20:31

ถาม : พระโพธิสัตว์ทำความผิดแล้วยังต้องลงนรกหรือคะ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ท่านลงนรกเป็นปกติ ขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ช่วยเขาต่อ

ถาม : แม้ไม่ได้เจตนาหรือคะ ?
ตอบ : ไม่เจตนาก็ผิดโว้ย..! แต่ของท่านนี่บางทีเจตนาเลย เพื่อความสุขของคนหมู่มากท่านก็ตั้งใจละเมิดศีลเลย เพื่อให้คนอื่นเขาไม่เดือดร้อน อย่างเช่นไปวางระเบิดเวทีม็อบอะไรอย่างนี้..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แทบจะไม่ปรากฏ ส่วนใหญ่ท่านละเมิดศีลเพราะคนอื่น คือถ้าในเรื่องของส่วนรวมหรือความเดือดร้อนของบุคคลอื่น เช่น เห็นเขาจะอดตายแต่ตัวเองไม่มีทางอื่นจะช่วยเขา ก็ไปขโมยอาหารมาให้เขาอย่างนี้

เถรี 27-12-2013 20:44

พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมบางท่านว่า "อะไรที่ทำผิดพลาดไปแล้วให้ลืมเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่ ถ้ามัวไปคิดอยู่ใจของเราจะหมอง ปุถุชนแปลว่าผู้หนาด้วยกิเลส มีความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะบางเวลาไปเจอประเภทคู่เวรคู่กรรม ทำให้พลาดง่ายที่สุด พูดอะไรไม่น่าเชื่อสักหน่อย เราก็ไปเชื่อเขาได้"

เถรี 27-12-2013 21:06

ถาม : เวลาที่เรารวบรวมสมาธิไม่ได้ หรือตั้งใจปฏิบัติธรรมไม่ได้ดี ทำไมจึงมีความรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาด ไม่กล้าตัดสินใจ ทำนองนั้น ? ?
ตอบ : เกิดจากสัญชาตญาณของมนุษย์ทั่วไป ถ้าไม่กลัวก็เป็นพระอรหันต์สิจ๊ะ ความกลัวเนื่องจากไม่แน่ใจว่าผลของการตัดสินใจจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อตัวเราอย่างไร แล้วผลกระทบนั้นอาจจะทำให้เราเดือดร้อนขนาดไหน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยไม่กล้าตัดสินใจ

ถาม : คือวิจิกิจฉาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เรียกว่าวิจิกิจฉาหรอก ต้องบอกว่าเป็นไปโดยสัญชาตญาณการกลัวภัยมากกว่า ตราบใดที่สติ สมาธิ ปัญญายังรวมตัวไม่เข้มข้นพอ ก็จะมีสภาพอย่างนั้นทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้น

เถรี 27-12-2013 21:10

ถาม : เวลาเจอการกระทบทางโลก กรณีหัวหน้างานด่าลูกน้อง ก็มีปัญหาตามมา เราก็มานั่งนึกว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ พอเราฝืนสักพักหนึ่งก็ไม่เถียง พอผลสุดท้ายมานึกว่าเขาพูดไปของเขาอย่างนั้นค่ะ อย่างนี้เรียกว่าหน้าด้านแก้ปัญหาเป็นครั้งคราว หรือถูกแล้ว ?
ตอบ : ถ้าตราบใดสิ่งที่เราพูดยังไม่สามารถส่งผล หรือว่าเป็นอิทธิพลให้เขาเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำได้ ก็อย่าพูดดีกว่า

ถาม : เราก็ทำหน้าด้านไม่ไปใส่ใจ ?
ตอบ : ได้ยินเหมือนกับไม่ได้ยิน จริง ๆ ก็คือหลักการปฏิบัติธรรมขั้นสูงเลย เพียงแต่ว่าได้ยินเหมือนกับไม่ได้ยินนั่นเกิดจากปัญญา แต่เราเป็นลักษณะเหมือนกับหนีปัญหา ถ้าเราสามารถฟังได้โดยไม่กระทบกระเทือนใจเลย สักแต่ว่าเป็นเสียงผ่านหูไปจะดีที่สุด

เถรี 28-12-2013 20:53

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เวลาทำบุญอย่างอน เดี๋ยวจะกลายเป็นอสูร อสูรที่ว่าไม่ใช่อสุรกาย เป็นเทวอสุรกาย คืออสุรกายจำพวกเทพ ท่านทำบุญผสมความโกรธ ฉะนั้น..ถ้างอนแบบนี้ก็เสร็จหมด"

ถาม : พวกเล่นการพนัน เขาว่ามีผีพนันสิง จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นประเภทแพ้ใจตัวเอง ผีพนันมีจริง ๆ แต่ถ้าผีกิเลสจะห้ามยาก ผีกิเลสอยู่ในใจตัวเอง ต้องถามพระครูแสง สมัยก่อนไปอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย พวกคนไทยที่ไปอยู่ซาอุฯ กว่าจะได้กลับบ้านเป็นปี ๆ เหล้ายาก็ไม่มีกินเพราะเขาห้าม ก็เลยหาทางเล่นการพนันกัน พระครูแสงไม่ชอบเล่นการพนัน แกก็ไปแค่ดู ๆ แต่วันนั้นคันอะไรขึ้นมาไม่รู้ เลยลองหยอดดู ปรากฏว่าพอกลับมาถึงที่พักแล้ว นอนแล้วอยากไปเล่นอีก แกก็แปลกใจว่าทำไม เพราะไม่เคยเป็นอย่างนี้ ก็เลยนั่งกรรมฐาน

ด้วยความที่เคยฝึกมโนมยิทธิมา พอนั่งกรรมฐานก็เห็นผียืดออกมาจากผนังครึ่งตัว มาลากแกไปเล่นต่อ แกเลยถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ผีก็เลยเล่าให้ฟังว่าเจ้ามือผูกแกไว้ใช้งาน ถ้าใครไปเล่นแล้วต้องมาลากไปเล่นใหม่ ทางด้านมาเก๊า ฮ่องกง บ่อนต่าง ๆ จะจ้างพวกหมอผี พอถึงเวลามีคนเสียพนันจนหาทางออกไม่ได้ แล้วฆ่าตัวตาย เขาจะไปขอญาติว่าขอจัดงานศพให้ ญาติเห็นว่าเป็นประเภทผีพนันเขาไม่รักอยู่แล้ว พอมีคนจัดงานศพให้ ตัวเองไม่เสียเงิน ก็รีบอนุญาตให้เขา

ปรากฏว่าเขาเอาหมอผีไปผูกวิญญาณไว้ เพื่อเอาไว้พาคนเข้าบ่อน จัดงานศพให้ก็จริง แต่คนตายคงทุกข์ทรมานอีกนาน ต้องทำงานให้เขาจนกว่าจะพอใจ ฉะนั้น..ใครเข้าบ่อนแล้วมีปัญหา โปรดทราบ เขาเล่นกันอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่ออาทิตย์ก่อน สามีของวรรณอยากเข้าบ่อนเขมรไปดู ศึกษาว่าเป็นอย่างไร คราวนี้ตัวเองไม่มีพาสปอร์ต แต่วรรณเดินทางเข้าออกไทยเขมรเป็นปกติ เพราะเป็นหลานพี่วิไล วรรณก็เลยต้องเข้าไปเพื่อบรรยายให้สามีฟังว่าบ่อนหน้าตาเป็นอย่างไร ปรากฏว่าเข้าไปแล้วรู้สึกทันทีว่ามึนไปหมด แล้วก็อยากจะเล่นแต่การพนัน ก็เลยอาราธนายันต์เกราะเพชร ...(หัวเราะ)... เออ..สติยังดีอยู่

คราวนี้พอเข้าไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติ พวกที่ดูแลบ่อนอยู่คงจะดูออก เลยมาเดินวนอยู่ ๓ รอบ ๔ รอบ ๕ รอบ ว่าคนนี้มีอะไรดี เขาถึงทำอะไรไม่ได้ ปรากฏว่าวรรณใส่เสื้อยืดของสามีไป มีหนังสือ Rayal Thai Army พวกนั้นเลยไม่กล้ายุ่ง สามีของวรรณเป็นทหารอยู่กรมสรรพาวุธ พวกนั้นเห็นตราทหารไทยก็เลยถอย

อบายมุขแปลว่าปากทางแห่งความเสื่อม ปากทางแห่งอบายภูมิ
ถ้าเศร้าหมองมาก ๆ ก็ลงอบายภูมิเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เป็นนักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง แม้กระทั่งขี้เกียจทำงาน ก็เป็นอบายมุขทั้งหมด ขี้เกียจทำงานประเภทเกาะเขากินไปวัน ๆ จะมีคนเลี้ยงสักกี่คน เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน กำลังใจก็ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ

อบายเป็นทางเสื่อม ทางต่ำ สมัยก่อนมีหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่เกี่ยวกับการพนันโดยเฉพาะเลย พวกนั้นเล่นกันด้วยฝีมือ แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้วิธีไสยศาสตร์ดึงคนเข้าไป สมัยเขาทรายไปต่อยมวยที่อินโดนิเซียก็โดนไสยศาสตร์ เขาบอกว่าต่อยไปแล้วเห็นคู่ต่อสู้เป็น ๓ คน ๔ คน แล้วจะต่อยคนไหนล่ะ ? พอหมดยกบอกพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงตะโกนบอกผู้จัดการ คุณแชแม้ (นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์) รีบเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่แขวนคออยู่ ทำน้ำมนต์ราดหัวให้ ถึงได้สติคืนมา

เถรี 28-12-2013 20:57

ไสยศาสตร์มีมาแต่ดั้งแต่เดิม คนเราก่อนที่จะรู้จักศาสนา ต้องพัวพันกับไสยศาสตร์มาก่อนทั้งนั้น เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าเผ่าไหนพันธุ์ไหนก็ตาม ท้ายสุดก็จะมีผู้นำทางจิตวิญญาณอยู่คนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหมอผี พวกนี้ต้องบอกว่า born to be เกิดมาแล้วก็รู้เห็นพวกนี้ อย่างที่อาตมาไปลองของกับหมอผีกะเหรี่ยง แค่อยากรู้ว่าเวลาผีมาแล้วจะเป็นอย่างไร พอไปอยู่ในพิธีผีไม่เข้ามา ไปยืนหัวค้ำภูเขาอยู่ข้างนอก หมอผีกะเหรี่ยงเขาไม่เริ่มพิธีสักที เพราะผียังไม่เข้ามา ก็แสดงว่าพวกเขารู้เห็นกันทุกคน

ในเมื่อรู้เห็นกันทุกคน ก็เหมือนคนปกติทั่วไป พอผีไม่เข้ามาก็ทำพิธีไม่ได้ ท้ายสุดอาตมาต้องถอนสมอ ปรากฏว่าพอถอยออกไป ผีลงแล้วอาละวาด เมื่อก่อนผีไม่เคยอาละวาด เพราะปกติมาก็ลงได้เลย พอผีมาอาละวาด เจดีย์ไม้ไผ่ที่ปัก ๆ ไว้ ร่างทรงเอาแขนกวาดหักหมดเลย ไม้ไผ่นะ เอาแขนเปล่า ๆ กวาดหักหมดเลย อาตมาก็ว่าไอ้ห่..นี่ซ่ามาก ต้องเล่นสักหน่อย แอบเล่นไม่ให้หมอผีรู้ ว่าคาถาสะกด เอาหัวแม่เท้าจิกดินไว้ เขามีเคล็ดลับที่ตรงนั้น

ผีอาละวาดสุดชีวิตเลย จะออกก็ออกไม่ได้ ปรากฏว่าเกือบชั่วโมง อาตมาเองก็เหงื่อไหลท่วมตัวเลย กูจะเสร็จมันไหมนี่ ? ปรากฏว่าผีหมดสภาพก่อน..ยอมกราบ ท้ายสุดก็ลงมากราบ ถ้าต่อได้อีก ๑๕ นาที อาตมาเสร็จก่อนแน่ ลองกับพวกนี้ไม่ได้หรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเสมอว่า อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ เพราะเขาไม่ต้องพัก แต่พวกเราต้องพัก ตอนพักนี่แหละที่จะเสร็จเขา

อาตมาตั้งใจแกล้งเฉย ๆ ไม่ได้จะไปเฉ่งใครโดยตรง ใครจะไปนึกว่าสะกดแทบไม่อยู่ กลั้นใจว่าแล้วเอาหัวแม่เท้าจิกดินไว้ อย่ายกขาขึ้นจนกว่าเราคิดจะปล่อย ถ้ายกหัวแม่เท้าขึ้นเมื่อไรก็หลุด เท่าที่ศึกษามาที่ขำที่สุดคือคาถาไสยศาสตร์ เป็นหัวใจพระธรรมทั้งนั้น ส่วนใหญ่เอาจากพระไตรปิฎก แปลกดีนะ...เอาศาสนาพุทธไปเล่นเรื่องผีได้

เถรี 28-12-2013 21:03

พวกเจ้าพ่อเจ้าปู่ทั้งหลายส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่มหิทธิกาเปรต ก็จะเป็นกาลกัญจิกอสุรกาย แล้วก็จะมีพวกกระจิ๊บกระจ๊อยเป็นบริวาร อาตมาไปที่หาดใหญ่ พอดีตรงกับช่วงกินเจ เขาก็มีแห่เจ้า น่าจะชื่อหมู่บ้านจันทร์วิโรจน์กระมัง ? เขามีศาลเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ปรากฏว่านอกจากแห่เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ยังมีเจ้าพ่อเสือ มีกวนอู มีนาจา ขบวนรถเป็น ๑๐ คัน อาตมาก็ไปยืนดูว่าเขาจะลงทรงอย่างไร ยืนดูอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงก็ไม่ทรงสักที อาตมาก็คิดว่า "เมื่อไรจะทรงวะ ? ร้อนจะตายชัก จะ ๑๐ โมงอยู่แล้ว ตูไม่รอแล้ว.."

ท้ายสุดก็เลยตั้งใจกำหนดใจดู ปรากฏว่าเห็นเจ้าที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ถามว่าเมื่อไรจะลงทรงสักที ? เจ้าที่ก็บอกว่า "พวกเขาเกรงใจท่านครับ" เลยบอกเจ้าที่ว่า "ช่วยบอกเขาว่าลง ๆ สักทีอยากดู.." โอ้โห..คราวนี้ลงกันเป็นสิบเลย ลงกันใหญ่ ปรากฏว่าดันไปลงเจ้าของหมู่บ้านเองด้วย พออนุญาตให้ลง เลยลงกันฉิบหายวายป่วง คราวนี้ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมรู้เข้าว่าคนนี้คุมขบวน ไปลงเข้าแล้วใครจะคุม ? ก็เลยไปขอร้องให้ออกแล้วลงคนอื่นแทน แต่เขาแทงปากไปแล้ว เหล็กตั้ง ๓ - ๔ อัน ร่างทรงแกดึงออก เอาผ้ายันต์จีนรูดปื๊ดเดียวแผลหายหมดเลย ไม่มีเหลืออะไรเลย เออ..เข้าท่าดี ไม่ต้องเสียเวลาเย็บ ไม่ต้องเสียค่าทำแผล

เลยตั้งใจถามเทวดาว่าทำไมมีแต่พวกนี้ ? ส่วนใหญ่เป็นผีทั่ว ๆ ไป ท่านบอกว่า จริง ๆ แล้วมีท่านคุมขบวนคนเดียวก็พอ ลักษณะมาโดยถือรับสั่ง คือเจ้าแม่ท่านอนุญาต ก็มาโดยถือรับสั่ง มาแล้วพวกนี้แสดงให้คนเห็นแล้วศรัทธา จัดเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง ก็เลยอนุญาตให้ลงได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้ลงหรอก เพราะเทวดาก็อยู่ตรงนั้น อาตมาถึงได้เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้เอง ปรากฏว่าไปดู ๆ ในขบวนแห่แล้วก็ขำ มีเจ้าแม่กวนอิมไม่พอ มีตั่วเหล่าเอี้ย
(เจ้าพ่อเสือ) ด้วย ตั่วเหล่าเอี้ยคือพระอินทร์ เวรแล้วกู มิน่าล่ะ..ถึงไม่กล้าลง อาตมาเป็นเด็กเส้นใหญ่ เป็นลูกเป็นหลานท่าน ไปแล้วใครจะไปกล้าลง

ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย พวกนี้ก็อาศัยบารมี อย่างบางทีเจ้าพ่อเจ้าแม่ท่านไม่ได้ทำอะไรเราหรอก ท่านเป็นเทวดา แต่ว่าพวกบริวารโกรธ จึงเล่นแทน อย่างบางคนไปดูถูกเหยียดหยามไม่ให้ความเคารพท่าน พวกนี้ลงมือแทน ศาลไหนที่เซ่นด้วยเหล้า พวกนี้จัดการแทนหมด เทวดาเขาไม่ยุ่งกับเหล้าหรอก แต่นี่เจ้าที่มาคุมขบวนไม่ให้แตกแถว เวลาไปเจอพวกนี้ บางทีของบางอย่างที่เราไม่รู้ก็จะได้รู้

เถรี 28-12-2013 21:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนดีจริง ๆ ยังไม่มีอำนาจ ถ้าคนดีจริงมีอำนาจ ผู้นำไม่เอาเสียอย่าง หัวไม่ส่าย หางก็กระดิกไม่ได้ ดูอย่างตำรวจยุคปัจจุบัน ผบ.อดุลย์แกเฉ่งจริง ๆ ประเภทย้ายยกโรงพัก ถ้าเป็นอาตมาโดนหนักกว่านั้นอีก ตูให้ออกไว้ก่อน แต่แกก็ให้ออกเป็นชุดเลยนะ ถ้าโดนอย่างนั้นเขาจะกลัวกัน อีกอย่างหนึ่งที่อยากได้คือเรื่องของตำรวจ ขอให้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง อย่างเช่นว่าให้สิทธิ์ผู้บังคับการณ์จังหวัดแต่ละจังหวัด รับสมัครตำรวจเลย เอาเฉพาะคนในจังหวัดนั้น ถ้าผิดพลาดอะไรก็ปลดออกไปเลย แล้วก็ฝึกคนใหม่ ปลดออกไปแล้วฝึกคนใหม่ เอาพวกจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ก็ได้ เอามาแล้วมาฝึกแบบธรรมเนียมของตำรวจ แล้วบรรจุเข้าไป เขาเป็นคนพื้นที่ รู้ทางหนีทีไล่ดี โจรขโมยที่ไหนก็เล่นยาก โดยเฉพาะว่าอยู่ในพื้นที่ตัวเองนาน ๆ ไปก็รู้ซอกรู้มุมทะลุปรุโปร่งหมด

ประเภทอยู่ ๓ เดือน ๖ เดือน ยังไม่ทันจะเดินทั่วเลย โดนย้ายอีกแล้ว งานก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในลักษณะป้องปรามได้ ป้องปรามคือกันไม่ให้เรื่องเกิด เคยได้ยินเซียนพระท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าแขวนสมเด็จวัดระฆังมา ๔๐ ปี ไม่เคยเจอปาฏิหาริย์อะไรเลย นี่แหละคือสุดยอดปาฏิหาริย์ คือแขวนแล้วไม่เจอเหตุร้ายอะไรให้ตัวเองต้องรู้ว่าบารมีพระเป็นอย่างไร บอกว่านี่แหละคือสุดยอดปาฏิหาริย์แล้ว ก็ลักษณะเดียวกับป้องปราม ก็คือกันไม่ให้เหตุเกิด เก่งกว่าไปปราบ

แต่คราวนี้บ้านเราคงอีกนาน แต่ถ้าได้หัวก้าวหน้าอย่าง ผบ.เพรียวพันธ์ ผบ.อดุลย์ ต่อไปตำรวจจะดีขึ้นเยอะ อย่าง ผบ.เพรียวพันธ์ ก่อนที่จะเกษียณครึ่งปี ท่านยกงานให้ ผบ.อดุลย์ทำไปเลย จะจัดคนย้ายคนอย่างไร ทำไปเลย ท่านมีหน้าที่เซ็นรับทราบอย่างเดียว ที่นี้พอลูกน้องมาเห็น อ้าว..คนนี้แน่นอนแล้วว่าจะเป็น ผบ.ตร. คนก็แห่ไปทางด้านโน้น ไม่ต้องมากั๊ก กลัวว่าเจ้านายเก่าจะเหม็นขี้หน้า ท่านยกให้ทำงานก่อนครึ่งปีเลย ก่อนเกษียณ

ก็ถือว่าเป็นความคิดของอาตมา ที่ว่าอยากให้คนในพื้นที่ได้รับใช้คนในพื้นที่ของตัวเอง ให้เขาค่อย ๆ โตในพื้นที่ตัวเอง โดยเฉพาะว่าถ้าผิดเองก็
ให้ออก ไล่ออก ปลดออกไปเลย เขาก็จะกลัว ไม่กล้าทำผิดเอง เพราะว่าหมดอนาคต ถ้าชื่อติดตัวแดงก็เรียบร้อย ไม่ต้องทำมาหากินเลย"

เถรี 29-12-2013 21:09

ถาม : พระในภาคตะวันออก เช่น ระยอง ชลบุรี ที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : มีที่จันทบุรีเลย ก็คือ หลวงพ่อมนัส ตอนนี้ท่านย้ายไปสำนักฝึกกรรมฐานฟื้นฟูจิตเขาแหลม ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ที่ทุ่งจันดำ แล้วย้ายไปคลองเกวียนลอย เพราะคนไปรบกวนเยอะ ท่านก็หนีลึกเข้าไปเรื่อย ๆ คนก็ตามยันเตเลย ส่วนแถว ๆ ระยอง ชลบุรี ไม่ได้ยินว่ามี

ถาม : วัดทรงเมตตาวนาราม ?
ตอบ : หลวงพ่อบุญส่งก็ไม่ได้ถือว่ามาจากสายหลวงพ่อหรอก ท่านมีความเคารพในด้านของหลวงพ่ออยู่ ส่วนครูบาสันยาสี อาตมาไม่เคยเจอหน้าเลย แต่เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน

ถาม : เจอครูบาบุญชุ่มตั้งแต่เมื่อไร ?
ตอบ : เจอมาตั้งแต่ก่อนบวช เจอตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร เจอหน้ากันทีไรท่านเรียกหลวงพี่จ่อย คำว่าจ่อยภาคเหนือแปลว่าเล็ก ท่านบวชอยู่กับหลวงปู่ครูบาชุ่ม พอสิ้นหลวงปู่ครูบาชุ่มก็มาอยู่กับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย คราวนี้ทางด้านเหนือจะเคารพพระที่บวชตั้งแต่เป็นเณรเพราะถือว่าบริสุทธิ์ ท่านเองปฏิปทาการปฏิบัติเคร่งครัดอยู่แล้ว คนก็นับถือศรัทธามาก คนขึ้นมากขึ้นทุกที ๆ จนเป็นพันเป็นหมื่น ทหารพม่าก็เลยไล่ท่านออกมา ไม่ให้อยู่ที่เมืองพง เพราะพวกพม่ากลัวว่าจะพาคนไปประท้วงรัฐบาล ถ้าพระรูปไหนมีลูกศิษย์ลูกหามาก โดนพวกทหารพม่าเล่นงานหมด เขาระแวงว่าจะพาไปประท้วงรัฐบาล ก็น่าระแวงอยู่หรอก บ้านเราพระยังไปนำม็อบเลย..!

เถรี 29-12-2013 21:20

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ที่วัดมีกระรอกบินพิการอยู่หนึ่งตัว อาทิตย์ก่อนทำวัตรเย็นเสร็จ จะไปทำวัตรรอบที่สอง แม่ชีบอกว่ากระรอกตกจากต้นไม้ลงมา สงสัยจะกัดกันเอง คงโดนกัดที่หลังจนเป็นอัมพาต เลยไปเก็บเอาไว้ ทิ้งอาหารให้เขากิน รุ่งเช้าเขามาเกาะขอบลัง พยายามตะกายออกมา ใช้ ๒ ขาหน้าลากไป อาตมาสงสารเลยช่วยจับ ปรากฏว่าโดนเขากัดซะนี่ คือเขาบาดเจ็บเลยหงุดหงิด เลยกัดเอา ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลเลี้ยงอยู่ เขากัดขาตัวเองทิ้ง เพราะพิการใช้งานไม่ได้ คงคิดว่าติดกับอะไรสักอย่าง เลยกัดทิ้ง..!

พวกสัตว์เขาตัดสินใจเด็ดขาดมาก อย่างพวกเสือเวลาติดกับจะกัดขาตัวเองทิ้งเลย จะได้ไปต่อได้ ถ้าใจคอเราเด็ดขาดแบบนั้น ปฏิบัติธรรมได้ผลแน่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็ดขาดไม่พอ"

เถรี 29-12-2013 21:38

ถาม : พระอรหันต์โดนหลอก แล้วท่านไม่รู้ว่าโดนหลอก สามารถเป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : แล้วใครไปยืนยันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ?

ถาม : มีอาจารย์รูปหนึ่งท่านยืนยัน ?
ตอบ : จำไว้ว่าการพยากรณ์บุคคลเป็นพระอรหันต์ เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าใครหลอกพระอรหันต์ กรรมก็เป็นของคนนั้น

ถาม : อย่างกรณีท่านเอาจุด ๆ นั้นมาบอกต่อ ?
ตอบ : สำหรับพระอรหันต์ในเรื่องของการรู้ธรรมจะไม่มีพลาด เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครหลอกท่านได้ในเรื่องนี้ เรื่องธรรมะไม่มีใครหลอกท่านได้ ท่านรู้จบแล้ว มีแต่ท่านจะหลอกเรา ...(หัวเราะ)...

อ่านในพระไตรปิฎกแล้วชอบใจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือว่าสมัยนั้นคนที่มีความสามารถ เขาก็มักจะว่าเป็นพระอรหันต์ คราวนี้พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ใคร ๆ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านรู้หรือเปล่าว่าปฏิปทาของการเป็นพระอรหันต์คืออะไร ?" ท่านก็ตอบไม่ได้ "วิธีการที่จะทำให้รัก โลภ โกรธ หลง หมดไปทำอย่างไร ?" ท่านก็ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า "แล้วท่านพยากรณ์ตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" คราวนี้ยิ่งใบ้รับประทานกันไปใหญ่

ในเรื่องนี้ต้องให้ผู้ที่หน้าที่พยากรณ์ คือพระพุทธเจ้าบอกเท่านั้น ถ้าใครว่าอย่างไร เราก็แค่รับฟังไว้ด้วยความเคารพ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนหลอก


ถาม : อย่างที่ท่านพูด ท่านโดนคนรอบข้างหลอก ?
ตอบ :เราก็อย่าไปเอาเรื่องทางโลกสิ เราก็เอาเรื่องทางธรรม ท่านสอนให้เราปฏิบัติอย่างไร เราก็เอาอย่างนั้น เรื่องทางโลกท่านอาจจะพลาดได้ เพราะว่าพระไม่ได้ข้องกับโลกอยู่แล้ว เอาหลักธรรมของท่านมาปฏิบัติก็พอ อย่างอื่นทิ้ง ๆ ไปบ้าง อย่าแบกโลกไว้ แบกแล้วก็หนัก

เถรี 29-12-2013 21:45

ถาม : บนสวรรค์มีการบวชหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เคยเจอ

ถาม : ผมคิดว่า พระอรหันต์....
ตอบ :คุณจะบวชพระให้เป็นพระแบบไหน ? ถามหน่อย..ถ้าท่านที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ใครจะไปบวชท่านได้ บวชหรือไม่บวช ท่านเป็นอยู่แล้ว

ถาม : ผมคิดว่าท่านที่เป็นเทวดา แล้วใครเป็นอุปัชฌาย์
ตอบ : เทวดาเขาไม่เสียเวลามาบวชหรอก ท่านเป็นเทวดาอยู่ ศีล ๒๒๗ ข้อ ถ้าท่านคิดจะรักษา ท่านรักษาได้ยิ่งกว่าเราอีก เพราะว่าจิตที่เกลือกกลั้วกับรัก โลภ โกรธ หลงมีน้อยกว่าเรา ท่านก็ปฏิบัติตามกติกาไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาบวช ต้องบอกว่าเทวดา ความดีท่านสูงกว่าเราเยอะ และจำนวนมากมหาศาลเลยที่ความดีสูงกว่าอาตมาด้วย จนบัดนี้ก็อาศัยความดีท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าลำพังอาตมาเองก็เจ๊งไปนานแล้ว

เถรี 04-01-2014 13:09

ถาม : ปกติพระจะมีการปลงอาบัติตลอด ถ้าเกิดวันนั้นท่านผิดอาบัติ แล้วไม่ทันปลงอาบัติแต่มรณภาพไปก่อน เศษกรรมจะมีผลต่อท่านไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าใจท่านก่อนมรณภาพเกาะอะไร ถ้าใจเกาะความดี และไม่ใช่อาบัติหนักจริง ๆ กรรมนั้นก็เอาท่านไม่อยู่ แต่กรณีของเอรกปัตตนาคราช เกิดจากใจท่านเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าท่านไม่ได้ปลงอาบัติ เพราะไปจำพรรษาอยู่คนเดียว

ตอนนั้นเอรกปัตตนาคราชไปเล่นน้ำแล้วไปถอนต้นตะไคร้น้ำ ตะไคร้น้ำเป็นต้นหญ้าสูงท่วมหัว ลักษณะเหมือนกอกก พอไปทำต้นตะไคร้น้ำหลุด ไม่ได้ปลงอาบัติเพราะอยู่คนเดียว ในใจก็มัวแต่กังวลอยู่ ตอนตายใจอยู่ในสภาพที่กังวลอยู่ ถือศีลภาวนามา ๒ หมื่นปีกลายเป็นพญานาค ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยก็น่าจะไปเป็นเทวดาหรือพรหม

เถรี 04-01-2014 13:11

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานโยมมาขอให้ลงแผ่นทอง ว่าจะไปสร้างหลวงพ่อพระมหามุนี ไปสร้างที่พม่าแล้วก็ยกกลับมาเมืองไทย ทำเรื่องให้ยุ่งอีก ถามท่านว่าทำไมต้องไปสร้างที่พม่าแล้วยกกลับไทย ? ไม่สร้างที่ไทยเลยจะได้ไม่ยุ่งยาก ท่านให้เหตุผลว่า อยากให้คนไทยที่ไปตายอยู่ที่นั่นได้โมทนา แหม..ผีที่ตายไม่ได้อยู่ตรงนั้น อยู่ที่ไหนนึกถึงเขาก็รีบโมทนา ในเมื่อท่านทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ก็เอา ไม่ว่ากัน ถ้าทำได้ก็สร้างคุณมหาศาลกับพุทธศาสนา"

เถรี 04-01-2014 13:14

ถาม : พระเจ้าอโศกฯ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านไปพระนิพพานแล้ว เหลือแต่พวกเรานี่แหละ มีพระเจ้าอชาติศัตรูที่ลงข้างล่าง โทษที่ฆ่าพ่อทำให้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เพราะอนันตริยกรรมปิดหมด แต่ว่าท่านเองช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนา ถึงขนาดอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ท่านก็เลยลงแค่สัญชีพนรก ไม่ต้องลงอเวจี แต่..แค่นั้นก็สาหัสแล้ว

เถรี 04-01-2014 13:15

ถาม : ถ้าพระอยู่องค์เดียว โดนอาบัติแล้วจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : วิธีแก้คืออย่าให้โดน

ถาม : บอกบริสุทธิ์ใช้ตอนไหนครับ ?
ตอบ : ลงโบสถ์ อยู่ไม่ถึง ๔ รูป ไม่สามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ ให้บอกบริสุทธิ์ ถ้าอยู่รูปเดียวให้อธิษฐานอุโบสถ

เถรี 04-01-2014 13:29

ถาม : การรู้ทุกข์ เราต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ทำไมเราถึงไม่สำเร็จเป็นพระอริยเจ้า แสดงว่ารู้ของเรากับรู้ของพระอริยเจ้าต่างกันหรือครับ ?
ตอบ : คุณรู้แค่สัญญา แล้วคุณรู้ไหมว่าทุกข์เกิดจากอะไร ? เราต้องรู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร แล้วยังไม่พอ ยังต้องไม่สร้างเหตุนั้นด้วย คราวนี้สติเรายังไม่สมบูรณ์ พอถึงเวลาเราไปสร้างเหตุอีกก็จะทุกข์ไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่าทุกข์ เมื่อปริญญาคือกำหนดรู้รอบแล้ว ก็ให้ปหานะ คือละเสียหรือว่าฆ่าให้ตาย ของเราตอนนี้ปริญญายังรู้ไม่รอบเลย ไม่ต้องไปพูดถึงปหานะ เลยกลายเป็นว่าเรารู้แล้วแต่ทำไมยังทุกข์อยู่

ถาม : รู้รอบนี่พระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคามี รู้เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : รู้เหมือนกันแต่ความละเอียดไม่เท่ากัน แต่ว่าท่านสามารถละได้ตามกำลังของตน ละได้มากหน่อยก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงกว่า ละได้น้อยก็เป็นขั้นต่ำกว่า

เถรี 04-01-2014 15:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ทุกคนจำไว้ขึ้นใจเลยว่า อารยะขัดขืนอะไรก็ตามเขาไม่ทำผิดกฎหมายหรอก ถ้าทำผิดกฏหมายไป อารยะขัดขืนอย่างไรก็หาเรื่องซวย ฉะนั้น..การบุกรุกสถานที่ราชการ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเขา ซวยจริง ๆ นะ..จะบอกให้ เพราะข้าราชการเขาจัดเป็นเจ้าหน้าที่พนักงาน ถือว่าขัดขวางการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่สักกรมหนึ่ง นับคดีรายหัวนี่ตายเลยนะ"

เถรี 04-01-2014 15:55

ถาม : เรารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการเกิด เราต้องการไปพระนิพพาน ถือว่าเป็นการรู้ที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : เป็นแค่การอธิษฐานคือความตั้งใจเท่านั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่าเห็นโทษของการเกิดจริง ๆ จนกระทั่งหมดความอยากไปเลย พอหมดความอยากก็แค่รู้เฉย ๆ

ถาม : จะเป็นหมดความอยากตามแต่ละเหตุการณ์ไปครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ห่างไกล ต้องหมดอยากทุกเรื่อง คราวนี้เรายังแค่รู้เฉย ๆ ทุกข์ยังอยู่เป็นปกติ ก็อยู่ที่ว่าเรามีปัญญาพอไหมที่จะทิ้งเหตุของทุกข์นั้นเสีย ?

ถาม : แล้วพระโสดาบันรู้เหตุของทุกข์ทุกอย่างเลยไหมครับ ?
ตอบ : ของท่านต่อให้รู้ กำลังก็ละได้แค่นั้น เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญา มี ๓ ระดับ ของพระโสดาบันส่วนใหญ่เน้นที่ศีล พระอนาคามีเน้นที่สมาธิ ทุกส่วนจะมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่แล้ว แต่เน้นหนักที่ตรงไหน ถ้าสมาธิน้อย ปัญญาน้อย กำลังในการตัดได้น้อย ก็เป็นพระโสดาบันเพราะท่านเน้นที่ศีล ศีลดี สมาธิดี ปัญญายังไม่เพียงพอก็เป็นพระอนาคามี ถ้าศีลดี สมาธิดี ปัญญาในการตัดดี ละได้หมดจริง ๆ ก็จบเลย

เถรี 05-01-2014 19:53

ถาม : วันก่อนไปตลาดแล้วมีปลาดิ้นมาลงข้างล่าง ก็เลยขอซื้อปลาไปปล่อย แต่แม่ค้าบอกว่าไม่ต้องซื้อไปปล่อย เพราะอย่างไรมันก็ตาย สรุปว่าหนูไม่ได้ซื้อไปปล่อย จริง ๆ แล้วหนูควรจะต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ซื้อไปปล่อย ปลาจะรอดหรือตายเป็นเรื่องของเขา เราได้ปล่อยแล้ว

เถรี 05-01-2014 19:59

พระอาจารย์กล่าวกับพระรูปหนึ่งว่า "ถ้าคุณมีโอกาสให้ไปหาหมอนะ มาลาเรียมาแล้ว บางทีตอนไข้ขึ้นเราอาจจะทำอะไรไปแบบไม่รู้ตัว ผมเป็นจนชำนาญ มองหน้าก็รู้แล้วว่ามาลาเรียรับประทาน ขนาดใส่อังสะกันหนาวยังไม่รู้ตัวอีก ลองสังเกตดูช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ไข้จะขึ้น ต้องบอกว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นมา ๓๐ กว่าปี เป็นตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ พอเวลาไข้ลดก็เป็นคนปกติ ๆ นั่นแหละ แต่ตอนไข้ขึ้นบางทีทำอะไรไม่ถูก ขนาดทรงสมาธิเป๊ะ ๆ เลยนะ เดินจงกรมอยู่รู้ว่าถ้าไข้ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะขาดสติเลย บังเอิญว่าไม่ถึงระดับนั้นสักที จึงยังคุมสติตัวเองได้ ตรงจุดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรับอาบัติกับภิกษุที่เวทนากำเริบ เพราะบางทีอาจจะมีสติสุดท้ายลงไปช่วยทำให้ไข้ลด

หลวงพ่อชาก็เหมือนกัน หลวงพ่อชาท่านเป็นมาลาเรีย ลูกศิษย์ก็ต้มน้ำบอระเพ็ดให้ฉัน วันนั้นท่านยกขึ้นมา ใคร ๆ ก็คิดว่าจะยกขึ้นฉัน แต่ท่านราดหัว เปียกทั้งตัวเลย ปรากฏว่าไข้ลด เพราะโดนน้ำเลยไข้ลด ปกติแล้วมาลาเรียจะกลัวน้ำ ไม่ค่อยกล้าโดนน้ำ ท่านเล่นเอาน้ำบอระเพ็ดเทรดตัวเอง ปกติเขากินแก้มาลาเรีย แต่ท่านเล่นเทราดตัวเองแก้ไข้

เฮ้อ..! ๓๐ ปีเต็ม ๆ บางทีมีสติอยู่แล้วเวทนากำเริบ สุดยอดทรมานเลย ให้หมดสติสลบไสลไปเลยเสียจะดีกว่า"

เถรี 05-01-2014 20:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่เด็ก ๆ ซน เป็นเวลาที่เขาศึกษาและพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้น..อย่าไปห้ามเขา คอยดู ถ้าอะไรจะเกิดอันตรายก็บอกเขา ถ้าเขายังอยากทำอยู่ก็ปล่อยให้ทำไปเลย พอเจ็บตัวแล้วเขาจะจำ เพราะได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตนเองจริง ๆ"

เถรี 05-01-2014 20:07

ถาม : ก่อนที่จะฝึกมโนมยิทธิควรจะฝึกอานาปานสติให้คล่องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากจะฝึกมโนมยิทธิ อย่าพยายามฝึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวได้ยิ่งดี เพราะถ้าคุณฝึกจะอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตอนที่คุณอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะไม่เห็นอะไร

ถาม : กสิณก็ต้องเอาอานาปานสตินี่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากสิณจะทิ้งอานาปานสติไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าคำภาวนาจะควบลมหายใจเข้าออก ส่วนใหญ่คนที่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาบ้าง จะฝึกมโนมยิทธิได้ยากที่สุด คือกำลังเกินไปแต่ไม่พอ เกินอุปจารสมาธิแต่ไม่ถึงฌาน ๔

เถรี 05-01-2014 20:09

ถาม : มโนมยิทธิถ้าเห็นถือว่าฌานสี่หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าแค่เห็นภาพเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าไปถึงที่นั่นได้เป็นฌาน ๔

ถาม : ผมเคยได้ยินว่าฌานสี่ใช้งาน
ตอบ : อันเดียวกันแหละ เพียงแต่ว่าอย่างหนึ่งอยู่ที่เราฝึก อีกอย่างหนึ่งเราใช้ออกด้วยความคล่องตัวแล้ว กำลังเท่ากันนั่นแหละ ฌาน ๔ ทั่ว ๆ ไปเป็นเหมือนมวยซ้อม แต่ฌาน ๔ ที่ใช้ในมโนมยิทธิเหมือนขึ้นเวทีจริงแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว