![]() |
ถาม : ทำไมไม่สะท้อนกลับไปบ้าง ?
ตอบ : ไม่อยากทำ สงสารเขา พระครูแสงตอนก่อนบวช เล่นหมอผีกะเหรี่ยงตายภายใน ๓ วันเลย ไอ้พวกเอาโทสะนำหน้า ถึงเวลาเล่นกูใช่ไหม? มึงเอาของมึงคืนไปเลย..! ของพวกนี้ต้องบอกว่าเราเมตตาเขา แต่เขาก็ไม่รู้หรอก พวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัวเมตตาหรอก แผ่เมตตาไม่ค่อยได้ผล ต้องใช้รังสีอำมหิต |
พระอาจารย์เล่าให้โยมฟังว่า "ในหนังสือเล่มนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มือสังหารไปฆ่าเขาตาย แล้วศัตรูก่อนตายบอกว่า มีแม่ตาบอดอยู่กับบ้าน จึงต้องมารับงานฆ่าคน มือสังหารก็เลยปลอมตัวเป็นลูก ไปดูแลปรนนิบัติรับใช้แทน แต่ว่าตัวเองนาน ๆ ทีก็ต้องออกไปรับจ้างสังหารเขา ก็บอกกับแม่ว่าขอไปทำงานต่างเมือง พอถึงเวลาก็กลับมาพร้อมกับทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหาร
จนกระทั่งผ่านไปหลายปี ท้ายสุดตัวเองก็อดรนทนไม่ได้ ไปคุกเข่าสารภาพกับคุณยายว่าลูกตายไปแล้ว ตัวเองต้องปลอมตัวมาแทน ด้วยความที่รู้สึกผิดจริง ๆ ยายบอกว่า ยายรู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะลูกอยู่กับยายมาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือที่จะผิดปกติอย่างนี้ ไอ้นั่นก็ต้องถามว่าอยู่ที่ไหน ไอ้นี่ก็ต้องถามว่าอยู่ที่ไหน ต่อให้ยายตาบอดยายก็รู้ ว่าแล้วยายก็แสดงฝีมือให้ดู มือสังหารก็อึ้งไปเลย นี่ยายจะฆ่าเราเมื่อไรก็ได้ ฝีมือเหนือกว่าเราหลายเท่า แต่ที่ยายไม่ทำอะไรเพราะรู้ว่าลูกตัวเองก็ผิดที่ไปฆ่าคนอื่นเขาเอาไว้ ถึงเวลาเขาเลยต้องจ้างคนมาฆ่าลูกตัวเอง แล้วก็อบรมสั่งสอนมือสังหารว่า ถ้ากลับเนื้อกลับตัวได้ก็กลับเสีย คนอย่างยายโอกาสไม่มีเพราะแก่จนเกินไปแล้ว เรายังวัยหนุ่มอยู่ ยังมีโอกาสแก้ไขตัวเองได้ จะได้ทำประโยชน์กับส่วนรวมได้ ดูถูกคนตาบอดได้ที่ไหน ยายก็ปล่อย อยากรับใช้ก็ทำไป อย่างน้อย ๆ ให้เขาได้คลายบาปในใจเขาลงได้บ้าง ลักษณะเหมือนเรื่องจีนกำลังภายในสั้น ๆ ๓ - ๕ หน้า แต่บางเรื่องหักมุมดีจริง ๆ " |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาสไปดูตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งพระราชประวัติของสมเด็จพระสังฆราชไว้ก็จะเป็นบุญตาอย่างยิ่ง อาตมาเข้าไปดูมา ๓ งานรวดแล้ว ตอนที่เขาฉลอง ๙๐ พรรษาของท่าน ที่สร้างพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์คชวัตรรุ่นแรก ตอนนี้พระกริ่งทองคำรุ่นแรกราคาน่าจะเกิน ๕ แสนไปแล้ว
ก่อนนั้นอาตมาก็บูชาไว้องค์หนึ่ง แล้วก็บูชาพระชัยวัฒน์คชวัตรทองคำไว้ ๓ องค์ และหม้อน้ำมนต์ ๒ ใบ ตอนนี้หมดเกลี้ยง เอาไปให้ประมูลหาเงินสร้างพระหมดแล้ว พระชัยวัฒน์คชวัตรรุ่นแรกสมควรหาไว้ เพราะว่าเป็นดำริของสมเด็จพระสังฆราชท่านจริง ๆ แต่รุ่นหลังที่ทำ สมเด็จพระสังฆราชท่านไม่ได้รับรู้อะไรด้วยแล้ว เป็นการฉวยโอกาสในวาระสำคัญของท่าน เพราะเขาเห็นว่ารุ่นแรกนี่คนตอบรับดีมาก ก็เลยฉวยโอกาสสร้างรุ่น ๒ ขึ้นมา หน้าตาเหมือนรุ่นแรกทุกอย่าง น่าจะบล็อกเดียวกัน เพียงแต่ไปเพิ่มตราสัญลักษณ์พระนามย่อที่ฐานเท่านั้น ตอนนั้นรู้สึกว่าหม้อน้ำมนต์จะราคาแพงมาก เพราะนอกจากจะเป็นนวโลหะแล้ว ตราสัญลักษณ์ ๙๐ พรรษาของท่านยังเป็นทองคำ พอถึงเวลานานไป ๆ นวโลหะกลับดำ เหลือแต่ตราสัญลักษณ์ที่เป็นทองสว่างโร่ ตอนนั้นจองไว้หมดทุกเนื้อเลย แม้กระทั่งรูปเหมือนลอยองค์ของท่าน ตอนนี้เหลือแต่รูปถ่ายอย่างเดียว บางคนเขาบอกว่าของมีค่าหายาก ทำไมสละเสียจนหมด ที่หายากที่สุดก็คือชีวิตเราเอง กระทั่งชีวิตยังไม่อินังขังขอบ อย่างอื่นก็คงไม่กระไรนัก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้สบายใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือเรื่องโครงร่างวิทยานิพนธ์ อาจารย์ท่านเซ็นอนุมัติให้สอบได้แล้ว ตามล่าอาจารย์กันสนุกสนาน น้องเล็กขับรถสะสมไมล์ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ขนาดพระที่วัดติดรถมาด้วยเพิ่งจะรู้ว่า แต่ละวันพระอาจารย์ไปไกลขนาดไหน วิ่งจากทองผาภูมิไปขอลายเซ็นท่านอาจารย์ที่วังน้อย พอไม่เจอตัวต้องวิ่งตามไปวัดป่าเลไลย์ ไปถึงวัดป่าเลไลย์อาจารย์ไม่อยู่ ต้องวิ่งกลับมาวัดสระเกศ เพราะ มจร.เป็นเจ้าภาพงานหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เป็นอะไรที่สนุกกับชีวิตมากเลย"
ถาม : ถ้าจบปริญญาเอกก็เป็นอาจารย์ประจำหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ตอนนี้เป็นอยู่แล้ว เป็นของมจร.อยู่ ๒ แห่งแล้ว ที่ห้องเรียนวัดใต้ กับห้องเรียนวัดไร่ขิง ถ้าขืนจบด็อกเตอร์ขึ้นมาเดี๋ยวส่วนกลางก็คงจะเอาด้วย วันก่อนเจอพระครูสุพัฒน์กาญจนกิจ บอกเขาว่า “อาจารย์โก๊ะ ถ้าหากว่าช้านี่ผมแซงเลยนะ” “โอ๊ย..นิมนต์ท่านเถอะ ผมโมทนาด้วย” ท่านเรียนก่อน ๒ ปี โดนแซงไปแล้ว อีกคนก็พระครูวิบูลกาญจโนภาส เรียนก่อน ๑ ปี แต่เสียดายที่ตั้งใจจะจบภายในปีเดียวแล้วทำไม่สำเร็จ เหมือนกับอาจารย์ท่านพยายามจะดึงเกมเอาไว้ คืออย่างไรเสียถ้าเวลาไม่ครบ ๓ ปี จะรับปริญญาไม่ได้อยู่แล้ว แล้วถ้าคนนั้นไม่อยู่คนนี้ไม่อยู่ เพื่อน ๆ บางทีเขาหมดกำลังใจ ก็เลยอยู่ประคอง ๆ กันไปก่อน เรื่องแบบนี้ต้องขยันพบอาจารย์ จะไปกลัวอาจารย์ไม่ได้ ตอนแรกที่เลือกคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ก็มีแต่คนมาขอให้เปลี่ยนเป็นท่านอาจารย์สุภกิจ ท่านอาจารย์ดร.สุภกิจ ท่านอายุมากแล้ว ท่านเห็นพวกเราเป็นลูกเป็นหลาน ท่านก็จะเมตตาแล้วก็ค่อนข้างจะผ่อนผันให้ อาตมาไปเลือกอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ โอ้โห..ด็อกเตอร์เพิ่งจบใหม่ ๆ ไฟแรงสุด ๆ เพื่อน ๆ บอกว่า “ไม่ได้นะ..อาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์แก้ทุกประโยคเลย” “เออ..นั่นแหละที่ผมต้องการ ผมจะได้รู้ว่าผมเขียนผิดอย่างไร” เขามีรายการที่ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ว่าต้องเซ็นครบ ๑๐ ครั้ง อาตมาไล่เจอท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์คนเดียวไป ๘ ครั้งแล้ว ถ้าหมูไม่กลัวน้ำร้อนนี่อาจารย์จะรักมากเลย เรียนทั้งทีต้องได้คุณภาพ แล้วต้องเจอกับอาจารย์แบบนี้ ไปเจออาจารย์ที่ท่านผ่อนผันให้ ท่านเมตตาเราก็จริง แต่เราก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นดีจริงหรือไม่ดีจริง เขาบอกว่ากลัวครูไม่รู้วิชา เพราะฉะนั้น..กลัวไม่ได้ วิ่งหาไว้ก่อน |
พอได้ยินว่าผ่านท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์มาได้ อาจารย์ท่านอื่นไม่อ่าน ท่านเซ็นอนุมัติเลย ก็ท่านให้แก้กระทั่งจุดกับจุลภาค “นี่นะอ้างอิงของคุณ ตรงนี้จะต้องเป็นจุลภาค แล้วตรงนี้จะต้องเป็นจุดนะ” ท่านละเอียดขนาดนั้น แก้เฉพาะพวกนี้อย่างเดียวอาตมาก็หน้ามืดตาลายแล้ว
ถาม : นิสัยละเอียดอย่างนี้เป็นพุทธิจริตหรือคะ ? ตอบ : ก็ต้องบอกว่าเป็นราคะจริต และต้องเป็นราคะจริตที่ประกอบด้วยพุทธิจริตด้วย เพราะว่าท่านละเอียดแล้วท่านเมตตา เป็นคนอารมณ์ดีมากเลย ล้อเล่นได้ทั้งวัน สนุกสนานเฮฮา “นี่จำไว้นะ อย่าเชียวนะไอ้หน้างอ” อาตมามีเชิงอรรถอ้างอิงเสร็จสรรพ แล้วก็เป็นหน้า ง. “เขาจะรู้ว่าเราอ่านเฉพาะแค่บทคัดย่อเท่านั้น ถ้าไม่มีหน้าอ้างอิง เอาออกไปเลย ไอ้หน้างอคอหักมีแต่ปลาทูเท่านั้น”คิดดูว่าท่านอารมณ์ดีขนาดนั้น พอท่านดุลูกศิษย์แล้วลูกศิษย์ก็ขำ เสียดายที่ท่านไม่ได้มาสายปฏิบัติ ถ้ามาสายปฏิบัติจะรุ่งมากเลย เพราะท่านอารมณ์ดีทั้งวัน เล่นสนุกได้ทั้งวันทั้ง ๆ ที่เวลานอนของตัวเองยังไม่ค่อยจะมี ลูกศิษย์ไปคอยเข้าแถวหาอยู่เช้ายันค่ำ |
อาจารย์มนตรา ดร.มนตรา เลี่ยวเส็ง ต้องบอกว่าท่านเป็นคนเคารพพระมาก ตอนแรกท่านก็ไม่รู้หรอก พอท่านมารู้ว่าอาตมานอนอยู่หน้ากระดานดำ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่กล้าเดินไปฝั่งนั้นเลย ท่านจะเขียนอยู่ซีกเดียว จนกระทั่งเพื่อน ๆ ประท้วง “อาจารย์ครับ ทำไมเขียนซีกเดียว ?” “อ๋อ..ด้านโน้นเป็นที่นอนพระครูเล็กเขา” ที่นอนอาตมาม้วนเก็บไปแล้ว ต้องบอกว่าตรงที่ปูที่นอนท่านยังไม่กล้าเดินผ่านเลย
เจออาจารย์หลายต่อหลายท่านที่ท่านให้ความเคารพพระ จนกระทั่งอยากจะเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า อย่างท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยก็เหมือนกัน แม้แต่คำเดียวก็ไม่กล้าปรามาสพระ แล้วถ้าหากว่าใครปรามาสพระ ต่อให้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านก็เถียง ท่านเป็นอนุสาสนาจารย์กองทัพบก ตอนนี้เป็นหัวหน้ากองอนุสาสนาจารย์ หัวหน้ากองยศพลตรี แต่ว่าตอนช่วงที่ท่านเป็นแค่ร้อยโท ท่านกล้าเถียงนายพล ท่านบอกว่า “ท่านครับ..กระผมขออนุญาตเรียนชี้แจงครับ” เจ้านายก็ถาม “มีอะไรจะชี้แจง ?” ”คำว่าไอ้เณรกรุณาเลิกใช้ได้ไหมครับ เณรมาจากคำว่าสามเณร แปลว่าเชื้อสายของสมณะ ไม่ควรจะที่จะขึ้นด้วยคำว่าไอ้นะครับ” ท่านเองเป็นทหารแล้วมีคนไปเรียกพลทหารว่าไอ้เณร ๆ จนท่านทนไม่ไหว นั่งเถียงผู้บังคับบัญชาเลย แต่ต้องบอกว่าด้วยความดีของท่าน เถียงขนาดนั้นผู้บังคับบัญชายังเอาไม่อยู่ กันไม่ได้ ขึ้นมาจนเป็นพลตรี ท่านเองจบเปรียญธรรมประโยค ๘ แล้วลาออกมาไปสมัครเป็นอนุสาสนาจารย์ ก่อนหน้านี้ก็บวชพระด้วย แต่ไม่ว่าจะทดสอบอย่างไร อาจารย์ท่านไม่เคยหลุด เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าสติท่านสมบูรณ์มาก ๆ เช่น ตอนอาตมาแกล้งส่งไมโครโฟนให้ แบบเดียวกับตอนที่ในหลวงพระราชทานพัด พระจะต้องจับด้านที่ต่ำกว่าพระหัตถ์ในหลวง แล้วอีกด้านหนึ่งก็แบมือรองรับให้พระองค์วางลง ปรากฏว่าวันนั้นในหลวงท่านจับติดข้างล่างเลย แล้วข้างบนก็ถึงคอพัดเลย พระองค์ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ อาตมาก็คอยดูหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศว่าจะทำอย่างไร ท่านก็จับตรงปุ่มปลายด้ามตาลปัตร แล้วด้านบนก็แบมือ ในหลวงพระราชทานลงให้ ลองกันซึ่ง ๆ หน้า เลย ลองดูชนิดที่ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม |
ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยจะละเอียดกับงานมาก ละเอียดจนกระทั่งเชื่อว่าสภาพจิตใจของท่านก็ละเอียดไปด้วย วิชาของท่านแค่ ๒ ชั่วโมง (๑๒๐ นาที) ท่านออกข้อสอบ ๑๒๐ ข้อ..! แล้วบางข้อนี่คำถามน่าทึ่ง อ่านคำถามก็หมดเวลาแล้ว ท่านยกเนื้อเพลงขึ้นมา ๑ เพลง ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ แล้วก็ยกขึ้นมาอีก ๑ เพลง จงอ่านเนื้อหาของเพลงนี้ แล้วก็มาเชื่อมต่อกับเนื้อเพลงนี้ ความหมายของทั้ง ๒ เพลงหมายความว่า ก. ข. ค. ง. จ. ท่านลองลูกศิษย์สุด ๆ เหมือนกัน
ท่านเป็นอาจารย์ที่ชื่นชมอาตมามาก ท่านบอกว่า “ไม่นึกว่าลูกศิษย์ผมจะเก่งอย่างนี้ ผมออกข้อสอบ ๑๒๐ ข้อ ท่านทำได้ตั้ง ๑๑๙ ข้อ” เพื่อน ๆ ฮากันกลิ้งเลย เพราะก่อนออกจากห้องสอบ อาตมาบอกกับเพื่อนว่า “ผมตั้งใจกาผิด ๑ ข้อ” ถ้าไม่มีที่ผิดเลยเดี๋ยวอาจารย์จะน้อยใจว่า อุตส่าห์ออกข้อสอบให้ตอบขนาดนี้แล้ว ลูกศิษย์ดันทำได้หมดเลย ข้อสอบของท่านอาจารย์ เป็นประเภทที่อาตมาต้องทำด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ สมาธิคลาดเคลื่อนไม่ได้เลย อย่างคำถามง่าย ๆ ว่า พระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู มีพระนามว่าอะไร ก. พระนางเวเทหิ ข. พระนางเทเวหิ ค. พระนางวเทหิ ง. พระนางทเวหิ ตัวหนังสือเดียวกันหมด เพียงแต่จับสลับที่กันเท่านั้นเอง คนที่จำได้ มาอ่านจนครบนี่ก็มึนรับประทาน จนตอบผิดไปเลย แล้วท่านออกลักษณะอย่างนี้แทบทุกข้อ ยังเรียนกับท่านอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ครับ ปกติผมทำข้อสอบแล้วผมไม่เคยทวนเลย มีวิชาของท่านอาจารย์นี่แหละ ที่ทำให้ผมรอบคอบขึ้น ผมต้องทวนก่อนส่งทุกครั้ง เพราะกลัวทำผิด" นาน ๆ ก็เจอที่ท่านหลุด ก็คือออกข้อสอบเพลิน ไม่มีคำตอบ อาตมาต้องขออนุญาตท่านอาจารย์ผู้คุมข้อสอบ “ขออนุญาตครับ ขอโทรหาท่านอาจารย์เจ้าของวิชาหน่อยครับ” พอท่านอาจารย์ผู้คุมสอบอนุญาตก็โทรศัพท์ไปเรียนท่าน “ท่านอาจารย์ครับ ข้อนี้ไม่มีคำตอบครับ” ท่านก็บอกว่า “ไหน..พระคุณเจ้าลองอ่านคำถามหน่อยครับ” ก็อ่านเสร็จพร้อมตัวเลือก “อือ..ไม่มีจริง ๆ” แล้วก็ต้องตกลงว่าท่านจะเปลี่ยนคำตอบไหม หรือว่าท่านจะยกประโยชน์ให้ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อาตมามีหน้าที่ทวงคะแนนให้เพื่อน จนตอนหลังท่านบอกว่า “ถ้าพระคุณเจ้าโทรมาเมื่อไร ผมรู้แล้วว่าผมพลาดแน่เลย” แล้ววิชาที่ท่านสอนแต่ละวิชา อย่างธรรมนิเทศ พระไตรปิฎกศึกษา พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ท่านออกละเอียดจริง ๆ ต้องบอกว่าเรียนให้ได้ดี ให้ได้ความรู้จริง ๆ ต้องเรียนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เรียนแล้วมีอะไรมากกว่าที่เรารู้ ในขณะเดียวกัน ในส่วนที่เรารู้แล้ว ก็จะรู้ได้ละเอียดยิ่งขึ้น |
ต้องบอกว่าโชคดีที่อาตมาได้ท่านอาจารย์ที่มีคุณภาพทั้งนั้น แต่ละท่านที่มาสอนนี่สุดยอดเลย ศ.ดร. กฤช เพิ่มทันจิตต์ จากนิด้า มาถึงก็ยกมือไหว้ “นมัสการหลวงน้าทุกท่าน ก่อนมาผมดูแล้วครับ หลวงน้าทุกท่านเคยเกิดเป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ ๕ ทั้งหมด แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน ผมก็เลยสบายใจ ผมมีหน้าที่มาถวายความรู้พวกเดียวกัน” แอบดูเสียจนหมด ท่านบอกว่า “สมองคนเรามี ๒ ซีก ซ้ายกับขวา ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ อีกด้านหนึ่งเหตุผล ในด้านของเหตุผลเราสามารถใช้ในเรื่องของความเป็นทิพย์ได้” พูดหน้าตาเฉย ศ.ดร.นะนั่น
ท่านบอกว่า “ผมเอง ตอนแรกผมก็ไม่คิดหรอก ว่าเรื่องอย่างนี้จะมีอยู่ เพราะนิสัยผมเรียนมาระดับนี้ ผมไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่ปรากฏว่าไปเจอเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาบอกว่าวันนี้ผมทำเรื่องนี้ ๆ ๆ มา ผมก็งง แอบไปดูตอนไหนวะ ? แล้วก็ทำนายผมว่า ภายในอาทิตย์นี้จะเจออะไร ปีนี้จะเจออะไร แล้วก็เป็นไปตามนั้นหมด ท้ายสุดผมก็ต้องไปถามเขาว่าคุณรู้ได้อย่างไร ? เพื่อนเขาก็พยายามอธิบายให้เป็นวิชาการ ว่าสมองแต่ละซีกทำหน้าที่อย่างไร แล้วปัจจุบันนี้เราใช้สมองซีกไหนมากกว่า ซีกไหนไม่ได้พัฒนาเลย แล้วท่านก็สอนให้ผมพัฒนาสมองซีกนั้น จนผมสามารถทำได้” เป็นเรื่องที่แปลกมาก แล้วที่คิดไม่ถึงก็คือ รศ.ดร. สมพร แสงชัย ท่านสืบสายวิชาของท่านพระยาพิชัยดาบหัก เจอกันตั้งแต่ ๑๐ กว่าปีก่อนแล้ว ที่สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ท่านมาตามหาพระกริ่งพิชัยสงคราม เพราะว่าลูกศิษย์ท่านได้ไปองค์หนึ่ง แล้วเอาไปให้ท่านตรวจสอบเรื่องพลังให้ ท่านก็แปลกใจว่าทำไมพลังขนาดนี้ พระที่ไหนปลุกเสก ไม่เคยเจอมาก่อน ก็เลยตามมา ปรากฏว่ามาเจอพระองค์ที่ ๑๑ เข้า พระกริ่งหมด ก็คว้าพระองค์ที่ ๑๑ ไปแทน คุยกันไปคุยกันมา ประเภทว่าท่านก็ให้ความเคารพนับถือ แต่เวลาท่านไม่ค่อยมี เพราะว่าท่านเองเป็นคณะอาจารย์ผู้ก่อตั้งนิด้ามา พอท่านจบมาจากอเมริกา มาเมืองไทยได้ ๑ ปี เขาก็เชิญตัวให้ไปช่วยก่อตั้งสถาบันนิด้า แล้วท่านก็ทำงานที่นั่นจนกระทั่งเกษียณ พอเกษียณแล้วเขายังไม่ยอมให้เลิก ก็ให้สอนอยู่นั่นแหละ เลยไม่ค่อยมีเวลามา ไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านรับเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรของ มจร.อยู่ด้วย พอมาเรียนปริญญาเอกก็เลยได้เจอกัน |
วันปฐมนิเทศท่านอาจารย์ก็เป็น ๑ ใน ๕ ที่ขึ้นไปคุย เพื่อจะเป็นแนวทางในการเรียนการสอน แล้วท่านก็บอกว่า “สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลาย ผมก็คงได้แค่มาบรรยายถวายความรู้ ซึ่งบางท่านก็รู้มากกว่าผมเสียอีก เพราะในนี้มีนักศึกษาอยู่ท่านหนึ่ง ผมถือว่าท่านเป็นอาจารย์ผมด้วย” แล้วท่านก็เอ่ยชื่ออาตมาขึ้นมาเต็ม ๆ คราวนี้ก็ซวยสิครับ เพราะอาตมาตั้งใจว่า พอท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ ปัจจุบันก็คือพระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร. ท่านบรรยายจบแล้วจะย่องออกมาก่อน คราวนี้พอคนรู้กันหมด แล้วจะย่องหนีตอนไหนเล่า ? ท่านอาจารย์ทำกันได้..!
พอถึงเวลาท่านบรรยายเสร็จ ก็เลยบอก “ทำอย่างนี้ผมแย่นะ ผมดีใจที่ได้มาเรียนกับอาจารย์” “โอ๊ย ไม่ใช่หรอกครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอความรู้จากพระคุณเจ้า” ว่าแล้วท่านก็ล้วงพระกริ่งพิชัยสงครามมาให้ดู ได้มาจากไหนไม่รู้ “นี่ผมแขวนติดตัวประจำเลย” ไม่รู้ไปได้มาอย่างไร เพราะตอนที่ท่านมาตามหา พระกริ่งหมดไปแล้ว ไปแอบประมูลในเว็บหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เจอท่านอาจารย์แบบนี้เข้าต้องยอมรับว่า ท่านไม่ได้เก่งแต่ทางโลกอย่างเดียว ทางธรรมท่านเก่งด้วย ท่านฝึกมาจนสามารถตรวจสอบพลังของวัตถุได้เลย แล้วก็เอาผ้ายันต์เกราะเพชรวัดท่าขนุนไปเป็นแกนของมงคล เวลาท่านทำมงคลให้ลูกศิษย์ เพราะว่าสายพระยาพิชัยดาบหักเขาจะมีการแบ่งชั้นลูกศิษย์ตามความสามารถ จะมีการสอบเลื่อนชั้นกันทุกปี ไม่ใช่สอบวิชาการนะ สอบปฏิบัติ วิชามวย วิชาดาบ ว่าของคุณไปถึงระดับไหน มีตั้งแต่ระดับ ๓ มงคลขึ้นไป ๙ มงคลนี่จะสูงสุด ปัจจุบันระดับ ๙ มงคลในประเทศไทยมีอยู่แค่ ๒ ท่าน แล้วก็ตายไปแล้ว ๑ ท่าน คือครูตุ๊ย ยอดธง เสนานันท์ ที่เป็นอาจารย์ของสามารถ พยัคฆ์อรุณ ฝีมือมวยครูตุ๊ยจริง ๆ เก่งไม่ถึงระดับ ๙ มงคลหรอก แต่ว่าครูตุ๊ยสอนเก่ง ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จทุกคน ก็เลยต้องมอบระดับ ๙ มงคลให้ จะมีการไหว้ครูทุกปี แต่ส่วนใหญ่อาตมาจะติดงาน ก็เลยไม่ได้ไปร่วมด้วย แต่ว่าท่านขออนุญาตเอายันต์เกราะเพชรของวัดท่าขนุนไปเป็นแกนทำมงคลให้ลูกศิษย์ พูดง่าย ๆ ก็คือถักมงคลโดยที่ไส้ในเป็นยันต์เกราะเพชรนั่นแหละ แล้วก็วันดีคืนดีทั้งพ่อทั้งลูกก็เอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ถ้าอยากจะรู้ต้องถามคุณติ๊ก คุณติ๊กเป็นคนแนะนำมา ก็ไม่รู้ว่าคุณติ๊กหรือเปล่าที่เป็นคนเอาพระกริ่งพิชัยสงครามไปให้ |
วิชาของท่านอาตมาตก เพราะไปไว้วางใจให้พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ (วิโรจน์ ภทฺทปญฺโญ) ท่านทำรายงาน เพราะช่วงนั้นงานที่วัดท่าขนุนถี่มาก ไม่มีเวลาทำรายงานวิชาของท่าน ก็เลยขอพระครูวิโรจน์ว่า “อาจารย์โรจน์ช่วยทำให้หน่อย แล้วส่งอีเมล์มาให้ผมตรวจสอบด้วย” ปรากฏว่าอาจารย์โรจน์ไม่ส่งอีเมล์มา ท่านมั่นใจตัวเองมาก ท่านส่งเลย งานไม่ผ่าน ท่านอาจารย์จะปรับตกทั้งกลุ่ม..!
อาตมาขออนุญาตทำใหม่ ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีเวลาแล้ว เพราะท่านต้องตัดเกรดส่งทางมหาวิทยาลัย หลวงพ่อพระครูสันติธรรมาภิรัต วัดอ้ออีเขียว ก็เลยไปช่วยต่อรองให้ บอกว่าจริง ๆ แล้วลูกศิษย์เขาทำได้ดีกว่านั้น แต่เป็นเพราะอย่างนี้ ๆ บอกเสร็จเรียบร้อย ท่านก็เลยยอมปรับเกรดให้ได้ B ไม่อย่างนั้นตกหมดทั้งกลุ่มเลย ตอนนี้ในกลุ่มของอาตมา ท่านพระครูวิโรจน์กำลังเป็นลูกตุ้มของกลุ่ม กำลังถ่วงกลุ่มอยู่ เพราะว่าท่านมาสายพระโพธิสัตว์ จะมั่นใจในตัวเองมาก ท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ตรวจไปก็บ่นไป “นี่..อาจารย์พระครู..ผมบอกให้แก้ทำไมไม่แก้ ?” ท่านก็บอกว่า “ผมว่าผมทำดีแล้วนะ” ท่านอาจารย์บอกให้แก้ แต่ลูกศิษย์มั่นใจว่าตัวเองทำดีแล้ว จะทำอย่างไรได้ ไม่แก้ก็ผ่านไม่ได้สักที บางทีเจอท่านอาจารย์กากบาดทั้งหน้าเลย “หน้านี้ผมอ่านแล้ว อาจารย์พระครูยังไม่ได้แก้ให้ผมเลย” ไปถึงก็วง “บรรทัดนี้ก็ยังไม่ได้แก้เลย” ท่านอาจารย์พระครูเกียรติศักดิ์ละเอียดจริง ๆ นะ ท่านเปิดแล้วบอกได้เลย เพราะท่านอ่านหมดทุกหน้าจริง ๆ แล้วก็ดันมาอยู่กลุ่มเดียวกัน ท่านพระครูวิโรจน์จึงกลายเป็นตัวถ่วงไปโดยปริยาย ทางท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม ผู้อำนวยการหลักสูตร ท่านมีแนวคิดที่ก้าวหน้ามาก ในเรื่องของการเรียนระดับปริญญาเอก ถ้าหากว่าปล่อยให้ต่างคนต่างทำ จะผ่านได้แค่ไม่กี่คน ท่านก็เลยจับผูกขาติดกันเป็นชุด ๆ ชุดหนึ่ง ๖ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง เสร็จแล้วทั้งชุดต้องพร้อมถึงจะให้สอบ ก็เลยต้องคอยช่วยกัน ถ้าไม่ช่วยกันก็ไปไม่รอด ตอนนี้ในกลุ่มก็มีอาตมากับท่านไพฑูรย์ ๒ รูปที่ผ่าน พระครูปลัดปรีชากับพระครูวิโรจน์ วัดสระพัง ยังติดแหง็กอยู่นั่นแหละ ของพระครูปลัดปรีชาท่านไม่น่าห่วงหรอก เพราะว่าท่านได้รูปแบบไปแล้วท่านยอมแก้ จะห่วงก็พระครูวิโรจน์ของเรานี่แหละ ว่าจะดื้อไปอีกนานเท่าไร สายพุทธภูมินี่เป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่เดินตามรอยใคร ขอเดินเองประจำเลย |
ที่ไปเรียนจุดที่ได้กำไรอีกส่วนหนึ่งก็คือ ได้เพื่อนพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง ท่านอาจารย์ตี๋ วัดทุ่งกระพังโหม ท่านอาจารย์สังเวียน วัดหนองพงนก ท่านอาจารย์วิโรจน์ วัดสระพัง คลุกคลีกันอยู่เป็นปี ๆ จนกระทั่งรู้กำลังใจกันว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้วตอนนี้ก็เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น ไม่ทิ้งกันเลย เรียนกันตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ยันปริญญาเอก
ตอนนี้ที่ขาดไปก็คือท่านอาจารย์ตี๋ กับท่านอาจารย์สายชล จบโทแล้วไม่เรียนต่อ มีหลุดมาเรียนเอกอยู่ ๒ คนนี่แหละ พระครูวิโรจน์ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็ก มันคาใจว่ะ เรียนทั้งทีก็ให้สุดทางไปเลยสิ เรียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้อย่างไร” นี่นิสัยพุทธภูมิแท้เลย ท่านเองไม่ใช่เรียนเก่งนะ เพียงแต่แนวความคิดของท่านนั้นใช่เลย เห็นว่านี่วิสัยพุทธภูมิชัด ๆ เลย ต้องรู้ให้ครบ ไม่ครบไม่เลิก พอสิ้นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศแล้วเจอหน้ากัน ท่านว่า “อาจารย์เล็ก ทำอย่างไรดีวะ ? ผู้นำไปเสียแล้ว ไม่มีคนนำแล้วพวกเราจะเดินกันอย่างไรนี่ ?” อาตมาบอกว่า “จะไปยากอะไรเล่า ก็ช่วยกันประคอง เดินไปทั้งกลุ่มนี่แหละ” |
พระอาจารย์พูดถึงพระไพรีพินาศที่กำลังจัดสร้างว่า "ถ้าวัตถุมงคลชุดนี้เสร็จทันปลายปี จะเอาไว้สำหรับแจกงานผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ อาตมาเป็นประธานโครงการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ คือทั้งหมดที่เขาเชิญไป เขาสรุปว่า นักการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ ข้าราชการของโรงพยาบาลไม่ได้ ฯลฯ ท้ายสุดเหลืออาตมากับอีกคนหนึ่งก็คือคุณสมใจ มาโนช ประธานชมรมผู้สูงอายุทองผาภูมิ ก็เหลือแค่ ๒ คนที่เป็นประธานได้ คุณสมใจบอกว่า “นิมนต์พระอาจารย์เถิดครับ” ตูก็เลยเฮง..! ต้องเป็นประธานแบบถูกบังคับให้เป็น...
ถ้าพระไพรีพินาศรุ่นนี้เสร็จเร็ว จะเอาไว้สำหรับทำผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลได้ตึกผู้ป่วยนอกมา เสียดายว่าขอห้องกรรมฐาน ๑ ห้อง แล้วเขาจัดสรรให้ไม่ได้ ถ้าได้ก็จะขอตกแต่งพื้นที่เอง เพื่อที่ว่าให้ผู้ป่วยเข้าไปนั่งกรรมฐานกันได้ เขาแค่กันห้องสงฆ์อาพาธออกมาได้ แล้วเราจะไปยึดห้องสงฆ์อาพาธมาทำห้องกรรมฐาน ก็จะเหลืออยู่แค่ห้องเดียว ไม่พอแน่ เพราะว่าเราจะไปคิดถึงแค่วัดท่าขนุนก็ไม่ได้ พระท่านทั้งอำเภอ ที่อาจจะต้องใช้ห้อง แล้วอาจจะมีจากที่อื่นมาอีก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ในเว็บพลังจิตกำลังไล่ลบข้อความกันอยู่ เพียงแต่ว่าอาตมาลบจากหน้าสุดท้ายขึ้นมา ก็คือข้อความอันไหนเหลวไหลนี่ลบหมด แล้วกระทู้ไหนที่ได้ประโยชน์ก็จะไปตามลบพวก "อนุโมทนาครับ อนุโมทนาค่ะ" เชื่อไหมว่าวันทั้งวันลบได้ประมาณหน้าเดียว แล้วก็ไปเจอพวกเก่า ๆ อย่างคุณใบไม้นอกกำมือ คุณนารายณ์อวตาร ฯลฯ ที่มากัดกันกระจายอยู่นั่น นึก ๆ แล้วก็ขำดี
พอดีประชุมผู้บริหารเว็บพลังจิต เลยเสนอเขาไปว่าช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ให้ที เพราะว่าปุ่มโมทนาของเรามีอยู่แล้ว พอถึงเวลา เนื้อหาดี ๆ แทนที่จะได้อ่าน ก็กลายเป็นว่าต้องเปิดข้ามโมทนาเป็นหน้า ๆ กว่าจะได้เจอ ขอให้ลบทิ้งให้หมดเลย ถ้าเขาโง่พอที่จะหาปุ่มโมทนาไม่เจอก็ช่างหัวมัน แล้วอีกอย่างก็คือห้องข่าวพระพุทธศาสนา ให้เสนอแต่ข่าวที่ดีเท่านั้น ข่าวอะไรที่ไม่ดี หรือว่ามีการเสี้ยมกัน เพื่อที่จะให้คนนั้นทะเลาะคนนี้ ลบทิ้งให้หมด บอกว่าข่าวไม่ดีให้เสนอแต่เนื้อข่าว อย่าใส่ความเห็นส่วนตัว แค่บอกว่าอะไรเกิดขึ้น เขาก็เลยรับไปเป็นนโยบาย ลบกันกระจาย คุณคมน์บอกว่าต้องใช้เวลาประมาณถึง ๓ ปี แต่บอกเขาแล้วว่าให้จัดการไปทีละกระทู้เลย พอเรียบร้อยเสร็จทั้งกระทู้ก็ล็อก ห้ามลงความเห็นเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กันยายนมาจนถึงเมื่อวานนี้ เฉพาะห้องของหลวงพี่เล็กห้องเดียว เขาเพิ่งแก้ไขไปได้แค่ ๗ หน้า คิดดูแล้วกันว่าเละเทะขนาดไหน แล้วพวกห้องอื่น ๆ นี่ไม่ต้องห่วงหรอก เจอพวกของขึ้นบางกระทู้นี่ ๒๐ - ๓๐ หน้าเลย กว่าจะไปคุ้ยเจอว่าข้อความไหนมีประโยชน์" |
ถาม : มีเว็บหนึ่งทำเกี่ยวกับวัตถุมงคลด้านเสน่ห์ เขาเอาภาพพระอาจารย์ในงานเป่ายันต์ไปประกอบ ?
ตอบ : เขาเอาอาตมาไปขายว่าปลุกเสกวัตถุมงคลให้เขา ไม่เป็นไรหรอก...ถือว่าแบ่งกันกิน ถ้าไม่โดนแอบอ้างแสดงว่ายังไม่ดังจริง โดนแอบอ้างแสดงว่าเริ่มดังแล้ว..! ต้องดูที่ท่าพระจันทร์ ถ้าพระอาจารย์ท่านไหนมีวัตถุมงคลปลอมที่ท่าพระจันทร์ก็แปลว่าดังแล้ว วัตถุมงคลของอาตมามีปลอมไป ๔ - ๕ รุ่นแล้ว มีพระองค์ที่ ๑๑ พระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญจักรพรรดิ แล้วอะไรอีกอย่างจำไม่ได้ ปลอมกันกระจายที่ท่าพระจันทร์ โดยเฉพาะพระกริ่งพิชัยสงครามนี่ เขาเอาลงว่าเป็นของวัดบวรฯ เลย อาศัยชื่อวัดกินได้อีกรอบหนึ่ง ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เขาปลอมได้เหมือนจริงมาก ? ตอบ : สมัยนี้เขาถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่เหมือนก็ไม่ได้ อาตมาเองก็เหลืออยู่แค่ ๔ - ๕ เหรียญ กะว่าถ้าลูกศิษย์คนไหนไปเป็นเจ้าอาวาส ก็จะให้คนละเหรียญ ให้เอาไปช่วยชาวบ้านบ้าง |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ โยมถวายของไว้ตรงหน้าเยอะแยะ ก็หยิบส่งให้พระข้างหลังเพื่อที่เขาจะได้จัดเก็บเข้าที่ ปรากฏว่าคนถวายดันเปิดขวดซุปไก่แล้วเอาฝาครอบไว้เฉย ๆ พอยกขึ้นก็เลยราดใส่จีวรตัวเอง ประเภทกลัวว่าทำแล้วจะไม่ได้บุญถ้าพระไม่ฉัน จึงเปิดไว้ให้เสร็จสรรพเลย
การทำบุญเราได้บุญตั้งแต่ตั้งใจทำแล้ว ต่อให้พระไม่เอาไปใช้เอาไปฉันเราก็ได้บุญแล้ว แต่หลายท่านจะเป็นลักษณะอย่างนั้น ก็คือกลัวจะไม่ได้บุญ ถึงเวลาอะไรมานี่ต้องเปิดฝาไว้เรียบร้อย จึงทำให้อาตมาเดือดร้อน อยู่ ๆ ไปอาบซุปไก่เสียแล้ว ส่วนใหญ่ยังติดอุปาทานอยู่ว่าถ้าเขาไม่กินไม่ใช้ให้เห็นจะไม่ได้บุญ หลายท่านก็เลยตามไปดูผลว่าพระท่านใช้หรือเปล่า ? ถ้าเป็นของอาตมาเองก็ตายแน่ เขาถวาย Booklet มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว เมื่อเช้าเพิ่งเปิดดู เขี่ยอยู่ตั้งนานกว่าจะปิดเป็น บอกเขาแต่แรกแล้วว่าอย่าเอามา เพราะเครื่องเล็กเกิน อาตมาใช้ Notebook ยังต้องใช้จอ ๑๗ นิ้ว แล้วที่ให้มาจอเล็กแค่นั้นจะไปดูอะไรรู้เรื่อง เขาบอกว่าขยายได้ ถึงขยายได้ก็จริง แต่อ่านได้ทีละครึ่งบรรทัด แล้วก็ต้องมาเขี่ยซ้ายเขี่ยขวากว่าจะอ่านได้ครบบรรทัด ประสาทจะกิน..! อาตมาค่อนข้างจะมีนิสัยอนุรักษ์ ถ้าของเก่ายังใช้งานได้อยู่ จะไม่รับของใหม่หรอก ตอนนี้กำลังหาทางจะเอา Notebook เครื่องแรกมาประมูลอยู่ ใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ตอนนี้ถ้าไม่เสียบสายไว้จะเปิดไม่ได้เลย ไฟไม่มี เพราะแบ็ตเตอรี่เจ๊งไปนานแล้ว ตอนแรกผ่านไป ๕ ปี เจ้าของร้านเขาตกใจ “พระอาจารย์ยังใช้อยู่อีกหรือ ?” “ก็ใช้สิวะ” “ของคนอื่นเขา ๓ ปีก็เจ๊งไปแล้ว” ปีนี้ ๒๕๕๖ ก็ ๘ ปีแล้ว ต้องเริ่มต้นที่ ๘ บาท เดี๋ยวว่าจะแอบใส่อะไรดี ๆ ไว้ข้างในให้ ไม่บอกด้วย ประมูลได้แล้วค่อยไปเปิดดูว่าคืออะไร แต่ต้องยอมรับว่า Notebook ของ Toshiba อึดสุด ๆ นี่ขนาดตรงที่วางมือตอนพิมพ์เป็นรูปมือเลย เพราะสีลอก แต่ก็ยังใช้งานได้อยู่" |
ถาม : พระในที่ต่าง ๆ มีความต่างกันไหมคะ จึงทำให้คนขวนขวายไปไหว้ไม่เท่ากัน ?
ตอบ : ต่างกันจ้ะ ขอยืนยันว่าต่างกัน เพราะเทวดาหรือพรหมที่ท่านดูแลรักษาพระ ความสามารถท่านไม่เท่ากัน ถาม : แต่พระคือตัวแทนพระพุทธเจ้า ? ตอบ : ถูก..ถ้าเราไหว้อย่างนั้นที่ไหนก็เหมือนกัน แต่คราวนี้ถ้าเราตั้งใจไปขอเฉพาะต้องไปตามนั้นเลย เพราะว่าแต่ละท่านมีความสามารถไม่เหมือนกัน ถาม : ตกลงคือเราไหว้เทวดา ? ตอบ : ก็คือไหว้พระนั่นแหละ แต่ตอนเราขอเทวดาที่ท่านรักษาพระท่านเป็นผู้ให้ คราวนี้ถ้าท่านศักดานุภาพมากก็ให้ได้เยอะหน่อย ใครขอส่วนใหญ่จะสำเร็จ ถ้าศักดานุภาพน้อย ขอบางทีก็ไม่ได้ เพราะว่ากำลังบุญของเราต้องเสริมด้วย ถ้าท่านรวยท่านให้ได้มาก มาเสริมของเราเต็มพอดีก็สำเร็จไว ถ้าท่านรวยน้อยท่านให้ได้น้อย เสริมไม่พอ ขอก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น..ไปเถอะ ไปไหว้หลวงพ่อปากแดงบ้างก็ได้ ส่วนใหญ่เขาไปขอหวยกัน วัดหลวงพ่อตึ๋งที่นครนายก |
ถาม : เราไปขอพระ ถ้าเราจะให้เพื่อตอบแทนท่านต้องให้อะไร หรือควรปฏิบัติบูชา ?
ตอบ : ถวายสังฆทานก็อุทิศให้ท่าน ภาวนาก็อุทิศให้ท่าน ถาม : ท่านในที่นี่คือพระหรือเทวดาคะ ? ตอบ : เทวดาที่รักษาพระองค์นั้น อาตมาใช้คำว่าเทวดาที่รักษาหลวงพ่อวัดไร่ขิงในทิศทั้ง ๔ ให้ทั้ง ๔ ทิศเลย เพราะฉะนั้น..อาตมาขออะไรหลวงพ่อวัดไร่ขิงก็ได้ทุกทีแหละ เพราะให้ท่านก่อน แล้วอาตมาก็ไม่ค่อยขอเสียด้วย ถาม : แล้ววัตถุมงคลมีเทวดารักษาไหมคะ ? ตอบ : มีจ้ะ ถ้าหากว่าพุทธาภิเษกถูกวิธี ชิ้นหนึ่งก็เทวดารักษาองค์หนึ่ง ถาม : องค์เล็ก ๆ ก็มีเทวดารักษาเหมือนกันหรือคะ ? ตอบ : มีจ้ะ พระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าเล็กจ้ะ สมัยก่อนอาตมาบวชเคยรับวัตถุมงคลมา แล้วก็นึกในใจว่า “ว้า...องค์นิดเดียว” ปรากฏว่ากลางคืนท่านมา แล้วขยายใหญ่เต็มจักรวาลเลย บอกว่า “ใหญ่แค่นี้พอหรือยัง ?” ต้องเจอแบบนั้น |
ถาม : ยาธาตุน้ำแดงมีแอลกอฮอล์ ถ้ากินนี่ผิดศีลข้อห้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากินเพื่อรักษาโรค กินตามสูตรไม่เป็นไร แต่มีเด็กนักเรียนตั้งใจกินเอาเมาเหมือนกัน กินกันเป็นขวด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็ผิด แต่ถ้ายาของลุงเดฟนี่ไม่ได้นะ ยาของลุงเดฟเล่นเอาป้าอุ๋ยสลบไปเลย ตอนนั้นลุงเดฟจะกินเหล้า แต่ด้วยความที่ป้าอุ๋ยเป็นคนซื่อ ก็ไม่รู้ว่าบรั่นดีคือเหล้า ก็ถามลุงเดฟว่าทำอะไร เย็น ๆ เห็นกินกรึ๊บหนึ่งทุกวัน คราวนี้ลุงเดฟเป็นฝรั่ง แกก็รู้ว่าคนไทยถือเรื่องศีล ๕ ลุงเดฟแกก็บอกว่า กินยา..ยานี้รักษาได้ทุกโรค ปวดหัวปวดท้องรักษาได้หมด ป้าอุ๋ยก็จำไว้ว่าขวดนี้ยารักษาทุกโรค ปวดหัวปวดท้องรักษาได้หมด ปรากฏว่าวันนั้นป้าอุ๋ยนึกอยากจะทำอาหารไทยให้สามี ก็อุตส่าห์ไปหามะพร้าวมาทำกะทิ เพราะใช้นมสดแทนแล้วไม่อร่อย แกก็ฟันมะพร้าวเพื่อที่จะขูด ปรากฏว่าพลาดไปโดนมือตัวเองเหวอะเลือดนองเลย เอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันเอาไว้ เจ็บแทบตาย เลือดก็ไหลไม่หยุดเสียที นึกขึ้นมาได้ว่ายาขวดนั้นรักษาได้ทุกโรค ป้าอุ๋ยก็เลยกรอกลงไปครึ่งขวด..! ปรากฏว่าเมาสลบเหมือดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ล้มเอาหัวไปค้ำประตูครัวอยู่ สามีเข้ามาผลักแง้มได้นิดหน่อย เห็นเลือดนองพื้นไปหมดก็ตกใจ "ใครมาฆาตกรรมเมียกู..!" กว่าจะเอาไปโรงพยาบาลได้ก็ทุลักทุเล หมอเย็บเสร็จเรียบร้อย ลุงเดฟถามว่า “ทำไมเธอถึงกินเหล้า ?” ป้าอุ๋ยบอกว่า “ก็เธอบอกเองว่ายาขวดนั้นรักษาได้ทุกโรค เจ็บขนาดนี้ไม่มีใครช่วย ก็เลยต้องกิน” ช่วยได้เหมือนกัน..เพราะกินแล้วเมาหมดสติ ไม่อย่างนั้นเจ็บตายเลย |
ถาม : ถ้าเราไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เอาเหล้าไปเซ่นไหว้ท่าน จะไม่เป็นไรหรือครับ ?
ตอบ : ไหว้ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เทวดาท่านรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ถ้าเจอท่านที่เฮี้ยนมาก ๆ อย่างกรมหลวงชุมพรก็ “เฮ้ย..พอแล้ว ไม่เอาแล้ว” เพราะสมัยก่อนต้องถวายท่านด้วยน้ำตาลเมา ตอนหลังท่านบอกว่าโดนเทวดาผู้ใหญ่ตำหนิมา ว่าเป็นเทวดาผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังให้เขาเซ่นด้วยน้ำตาลเมาอีก ท่านก็เลยต้องเลิก ถาม : กรมหลวงชุมพรท่านเป็นลูกของรัชกาลที่ ๕ หรือคะ ? ตอบ : จ้ะ..ตามประวัติว่าเป็นพระโอรสของรัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาโหมด ต้นสกุลอาภากร |
ถาม : ที่หนูทำจะมี ๒ แบบค่ะ แบบแรกภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วสมาธิก็จะดิ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดตัวก็หลุดออกไป แต่แบบนี้จะมีข้อเสียตรงที่ใช้เวลานานมาก เพราะจะฟุ้งซ่านเป็นระยะค่ะ กับอีกแบบหนึ่งเหมือนเราจะเจาะจงกดไว้เลย ทำให้หยุดฟุ้งซ่านเร็วกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า แต่สมาธิจะคาอยู่แค่นั้น ไม่ไปไกลมากกว่านั้นค่ะ จะรู้สึกเครียด ๆ หนัก ๆ
ตอบ : อย่างแรกสมาธิดำเนินไปตามขั้นตอน ค่อย ๆ ดิ่งลึกลงไป ๆ ตามลำดับที่เราทำได้ ส่วนอย่างที่สองอยู่ในลักษณะของสมาปัชชนวสี ก็คือเราทำได้แค่ไหน เราจะใช้กำลังระดับนั้นเลย เป็นการกระโดดไปเข้าสมาธิในระดับที่เราทำได้เลย แล้วการที่เรากระโดดไปเข้าในระดับนั้น ถ้าเราไม่รู้จักการเข้าออกที่คล่องตัว ก็จะทรงอยู่แค่ในระดับนั้น ดังนั้น..การทำแบบอย่างแรกของเราเสียเวลา เอาอย่างสองเลยก็ได้ แต่ต้องหัดเข้าออกให้คล่องตัว ถึงเวลาเราต้องการอยู่ระดับไหน จะได้ไปได้เลย อย่างที่สองปลอดภัยกว่าจ้ะ ไม่ต้องฟุ้งซ่านนาน ถ้าคนที่เริ่มทรงฌานทรงสมาธิได้ เขาก็จะเข้าในจุดที่ตัวเองทำได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาอีก แต่ว่าต้องซักซ้อมเข้าออกให้คล่องด้วย ถาม : แต่ก็คาอยู่แค่ตรงนั้นนะคะ ? ตอบ : อยู่จุดเดิมก็ช่างเถอะ ให้เข้าออกได้คล่อง ถึงเวลาเราจะไปทำอะไรเราจะได้ทำได้ พอซ้อมมาก ๆ เข้าเดี๋ยวก็ไปได้เองแหละ ถ้าไม่คล่องตัวก็ไปไม่ได้สักที ก็ติดอยู่แค่นั้น |
พระอาจารย์พูดเรื่องมีดหมอชาตรีที่ลงประมูลเพื่อทำบุญกฐินปีนี้ว่า "ตอนแรกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "การพุทธาภิเษกครั้งนี้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทำชาตรีได้แล้ว ถ้าพวกแกอยากได้มีดหมอก็ไปหามา.." ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจเลย อาตมาวิ่งพรวดเดียวถึงพยุหะคีรี กวาดมีดหมอที่มีอยู่ทุกร้านมาเกลี้ยงเลย ได้มาแค่ ๔๒ เล่ม แล้วก็เอามาให้เขาตีตัวอักษร ส่วนคนอื่นขยับช้าไปกันทีหลัง
ตอนอาตมาไปครั้งแรก มีดหมอปากกาด้ามงาฝักงา เขาคิดเล่มละ ๒๕๐ บาท ก็กวาดมาหมด จะเล่มใหญ่เล่มเล็กอะไรก็เอามาเกลี้ยงเลย มีใหญ่สุด ๗ นิ้วอยู่เล่มเดียว กว่าพวกจะรู้ตัวก็รอจนใกล้เวลาพุทธาภิเษกแล้ว ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ คราวนี้พอใกล้เวลาแล้ว ต่างคนก็ต่างวิ่งไป ก็เกิดอุปสงค์สูงอุปทานต่ำ ปรากฏว่าใบมีด ๓ นิ้ว มีแต่ใบไม่มีด้ามไม่มีฝัก เขาคิดเล่มละ ๖๐๐ บาท..! แต่ท่านก็จ่ายกันเพื่อให้มีเอามาเข้าพิธี อยากขยับช้า..ช่วยไม่ได้ ด้วยความที่อาตมาตีตัวหนังสือก่อน ก็เลยไม่มีคำว่ามีดหมอ มีแต่คำว่ามีดชาตรีเฉย ๆ ฉะนั้น ๔๒ เล่มแรกก็จะมีแค่คำว่ามีดชาตรี ไม่มีคำว่าหมอ แปลว่าให้ตีกับชาวบ้านเขาอย่างเดียว ไม่ได้ให้เป็นหมอ..! ส่วนเรื่องเอาแหวนจักรพรรดิลงประมูลเพราะรำคาญพวกในเว็บ ประเภทคนไม่รู้ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็จะไปจ่ายให้เขาแพง ๆ เขาโฆษณาว่ารับมาจากมือหลวงพ่อเลย อาตมายืนยันว่า เพชรจักรพรรดิหลวงพ่อท่านไม่ได้แจก แล้วจะไปรับกับมือท่านได้อย่างไร ที่จำหน่ายก็แทบจะไม่พอจำหน่ายอยู่แล้ว อาตมาเป็นคนจำหน่ายเองทุกรุ่น ทำไมจะจำหน้าตาไม่ได้ แต่ละอย่างที่เขาเอามา ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากที่ไหน แล้วก็มาบอกว่าเป็นของวัดท่าซุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเสียเงินแพง ๆ แล้วก็ได้ของไม่ได้เข้าพิธีมา ในเมื่ออาตมามีอยู่ก็เลยเอาลงเว็บประมูลกันเล่น ๆ ถ้าเป็นวงดั้งเดิมจะเป็นตัวเรือนชุบทอง แล้วท้องวงจะง้างเปิดได้ เพื่อที่ว่าใครนิ้วใหญ่กว่าจะได้ง้างออกไป ใครนิ้วเล็กกว่าก็บีบให้เล็กเข้ามา แต่ถ้าวงนี้ไปทำตัวเรือนใหม่เป็นทองคำแล้ว รู้สึกว่าทองชุบไม่สะใจ เอาไปทำเป็นทองคำเลย" |
ถาม : อยากขอความกรุณา พอดีเขากำลังแต่งตั้งรองผู้ว่าฯ
ตอบ : อยากเหนื่อยว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าอยากเหนื่อยก็ตั้งใจอธิษฐานขอกับพระท่าน อย่างไรก็ขอให้เหนื่อยสมใจ อาตมาคนหนึ่งหนียศหนีตำแหน่งสุดชีวิต ท้ายสุดก็หนีไม่รอด ไปใช้คาถาสัมปฏิจฉามิ คำนี้แปลว่าสำเร็จทุกประการ นั่งภาวนาสักเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง แล้วอธิษฐานขอเอา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขวดน้ำเขาเขียนว่า Regency เห็นคำนี้ทีไรแล้วนึกถึงวีรกรรมสมัยก่อนบวช วันนั้นเขาจัดงานแต่งงานของพี่ชาย ทางด้านฝ่ายว่าที่พี่สะใภ้ขอโต๊ะจีนให้ทางบ้านเขา ๕ ตัว แต่ปรากฏว่าเขาตะบันมากันเสีย ๑๐ กว่าตัว แขกมาเกินเป็นเท่าตัวเลย มาแล้วก็มีหลายคู่ที่เขาควงสาวมาด้วย อาตมาเองก็ช่วยงานเขาอยู่แถว ๆ โต๊ะจีน กำลังยกพวกน้ำอัดลมไปลงโต๊ะ แล้วแขกรายหนึ่งเขาก็บอก “น้อง ๆ มีเหล้าไหม ?” ก็บอกว่า “มีครับ” “ช่วยเอามาให้หน่อย”
อาตมาก็ไปหยิบ Regency มาตั้ง ปรากฏว่ามาถึง “น้อง ๆ เปลี่ยนเลย ๆ เพื่อนพี่เขาจะเอาน้ำส้ม” เขาชี้ไปที่สาว อาตมาก็ไปเปลี่ยนเป็นน้ำส้มมาวาง เขาบอก “น้อง ๆ..เปลี่ยนใหม่ ๆ จะเอาเหล้าเหมือนเดิม” อาตมาเอาขวดน้ำส้มกระแทกโต๊ะโครม บอกว่า “แดกได้ก็แดก ถ้าแดกไม่ได้มึงกลับไปเลย..!” เงียบหมดทั้ง ๑๐ โต๊ะเลย ท้ายสุด ๓ - ๔ คนนั้นก็ถอนตัวไปแบบเงียบ ๆ เพราะฉะนั้น..โปรดรู้ด้วยว่า สมัยก่อนอาตมาเป็นคนอย่างไร ๑๐ โต๊ะตูก็จะลุยให้กระจายทั้ง ๑๐ โต๊ะนั่นแหละ..! นิสัยแบบนี้ไม่ดี ที่เล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้ไว้ว่า ก่อนที่จะมาบวชเป็นอย่างนี้ แรงขนาดไหน ประเภทเตะถวายเจ้ามานับรายไม่ถ้วนแล้ว แล้วรับประกันว่าที่เขาเรียกน้องนั่นอาตมาแก่กว่าแน่นอน เพราะตอนนั้นอาตมาอายุ ๒๕ ปีแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นทหารก็เลยตัดผมสั้นเหมือนกับเด็กมัธยม สรุปว่างานนั้นกว่าจะเลิกเที่ยงคืนกว่า อาหารสักนิดหนึ่งก็ไม่เหลือติดโต๊ะไว้ เพราะคนมางานเกินเสียขนาดนั้น สรุปว่าพอล้างชามเสร็จก็หิวจนมือตีนสั่น วิ่งเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นดู เจอลูกชิ้นแช่อยู่ ก็เลยต้องเอาลูกชิ้นมาลวกแล้วต้มกับบะหมี่กินแก้หิว สั่งโต๊ะจีนเป็นร้อยตัว ต้องไปต้มบะหมี่กิน ทุเรศเป็นบ้าเลย..! พอเห็นคำว่า Regency ก็ระลึกชาติได้ นึกถึงวีรกรรมสมัยก่อน ของพวกนี้นึกได้ แต่ถึงเวลาก็ต้องลืมได้เหมือนกัน ถ้าลืมไม่ได้ปล่อยให้คาใจอยู่ ใจก็จะหมอง เกิดไปนึกเอาตอนก่อนตายก็ซวยเลย..!" |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีคนสงสัยเรื่องคาถาเงินล้าน ว่าตกลงคำแรก พรหมมา หรือ พรัหมา เรื่องของคาถาเขาห้ามสงสัย ให้ภาวนาอย่างเดียว แต่ที่อาตมาติดออกเสียงพรัมมาเพราะว่าบาลีไม่มีพรหม บาลีมีแต่ พรหฺมฺ (พรัม) ถ้าใครเคยอาราธนาธรรมได้ จะเห็น พรัหมาจะ โลกาธิปะติ สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะฯ บาลีไม่มีพรหม มีแต่พรัม เพราะเป็นอักษรกล้ำ อาตมาว่าจนชิน ก็เลยติดพรัหมา
ส่วนคำว่าปะลายันติ อาตมาแก้คู่มือให้เป็น ล.ลิงแล้ว แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่า คนตรวจปรู๊ฟของคุณชยาคมน์ทำอีท่าไหน แก้เป็นร.เรือตามเดิม บาลีไม่มีปะรา มีแต่ปะลา เพราะฉะนั้น..ต้องเป็นล.ลิง แต่ว่าไม่ต้องไปสงสัยหรอก รู้มากก็ยากนาน ตัดอารมณ์ไม่ได้ ถึงเวลาภาวนามัวแต่สงสัยใจฟุ้งซ่านอยู่ ผลก็น้อย จะผิดจะถูกอย่างไรให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป" |
"ไปนึกถึงหลวงตาที่อยู่ป่า ภาวนานะโมพุทธาแยะ ยังเสกก้อนหินกินได้เลย หลวงตาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้จดไว้ เวลาอาจารย์สอนก็อาศัยจำอย่างเดียว พอไปท่องคาถาคิดว่าเป็นนะโมพุทธาแยะ ท่านก็ว่าไปเรื่อย กำลังใจมั่นคง เสกก้อนหินเป็นขนมกินได้ ถึงเวลาไม่ต้องบิณฑบาต ปรากฏว่าวันดีคืนดี คุณมหาประโยค ๙ จากกรุงเทพฯ ก็ไปซ้อมธุดงค์ เจอกับหลวงตาเข้า ตอนเช้าชวนบิณฑบาต หลวงตาบอกไม่ต้องบิณฑบาตหรอก ว่าแล้วหยิบก้อนหินขึ้นมาเป่า กลายเป็นขนมอยู่ตรงหน้า
มหาเขาเลื่อมใสมาก หลังอาหารแล้วก็ขอเรียนวิชา หลวงตาบอกไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ภาวนา นะโมพุทธาแยะ..เป็นเรื่องเลย มหาประโยค ๙ เขารู้ว่าบาลีไม่มีแยะ มีแต่ยะ "ไม่น่าจะถูกนะครับหลวงตา ผมเรียนบาลีมา มีแต่นะโมพุทธายะ ไม่มีแยะหรอก" เจริญเถอะ...รุ่งขึ้นอดทั้งคู่ เพราะหลวงตาใจไม่มั่นคง เวลาภาวนาเมื่อไรก็นึกว่าของตัวเองผิด อดแทบตาย ต้องออกจากป่าไปทั้งคู่ หลวงตากลับไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ “ตกลงที่ผมเรียนไปนี่นะโมพุทธาแยะ หรือนะโมพุทธายะครับ” อาจารย์ถาม “แล้วคุณภาวนาอย่างไร ?” “แรก ๆ ผมเข้าป่าไป ผมภาวนานะโมพุทธาแยะ เสกก้อนหินเป็นข้าวเป็นขนมกินได้ พอตอนหลังคุณมหายืนยันว่าต้องนะโมพุทธายะถึงจะถูก มัวแต่สงสัยอยู่ก็เลยกำลังใจไม่มั่น เสกหินกินไม่ได้อีก” ปรากฏว่าไปเจอพระอุปัชฌาย์เก่ง “โถ..คุณ นะโมพุทธาแยะนั่นตัวเมีย ใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้านะโมพุทธายะเป็นตัวผู้ จะขลังกว่าอีก..!” พอพระอุปัชฌาย์ยืนยันว่าใช้ได้ ปรากฏว่าหลวงตากำลังใจมั่นคง ต่อไปเสกยะก็ได้ แยะก็ได้ กินกระจายละคราวนี้" |
ถาม : .....(ไม่ชัด).....ตกงานค่ะ
ตอบ : ไปเปลี่ยนใหม่ เป็นภาวนาคาถาเงินล้านดีกว่าไป เอาเยอะ ๆ เลยนะ สักวันละชั่วโมงต่อเนื่องไปเลย ถ้าภาวนาเป็นเดือนแล้วยังตกงานอีกก็ไปอยู่วัด..! คาถาเงินล้านนี่ถ้าใช้เป็นแยกบทก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่มั่นใจ แยกแล้วกลัวไม่ขลัง คาถาปัดอุปสรรคภาวนาไว้เยอะ ๆ อุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตจะได้ลดน้อยลง แต่ถ้าจะเอาดีก็เล่นทั้งบทนั่นแหละ บทอื่น ๆ จะได้ไปด้วย |
ถาม : ดิฉันมองเห็นพระจันทร์เป็นสีแดงน่ากลัวค่ะ ?
ตอบ : พระจันทร์แดงลักษณะนั้นแสดงว่ามรสุมกำลังจะเข้า โบราณเขาเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด ถ้าเป็นกลางวันอยู่ ๆ ฟ้าเหลืองอมส้มทั้งแถบเลย นั่นพายุใหญ่จะมา ที่ชาวเรือเรียกอุกาฟ้าเหลือง ลมอุกาจะมา สมัยก่อนต้องป๊ะหมัดที่เกาะหลีเป๊ะ ป๊ะหมัดเป็นอิสลาม แต่ไม่ได้รังเกียจคนพุทธอะไรเลย พอถึงเวลาป๊ะหมัดจะสั่งลูกสั่งหลาน จัดการเชือดแพะทำเนื้อรวนเค็มไว้เป็นกระทะใบบัวเลย ลูกก็ถามว่าเชือดทำไมเยอะแยะ ? กินไหวหรือ ? “เออน่า..เดี๋ยวมีคนมาช่วยกิน” ปรากฏว่าพอลมอุกาเข้า ทั้งลมพายุทั้งฝน ๗ - ๘ วันติดต่อกัน ออกทะเลไม่ได้เลย ไม่มีอะไรจะกิน ป๊ะหมัดแกหุงข้าวต้มแกงรอไว้แล้ว คนอื่นก็มาอาศัยแกกิน เฒ่าทะเลนี่ประสบการณ์เยอะ พอเห็นปุ๊บรู้เลยว่าสภาพดินฟ้าเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวบรรดาพวกลูกหลานจะต้องมาพึ่ง แกเห็นว่าทั้งเกาะเป็นลูกเป็นหลานของแกหมด ไม่เห็นจะรังเกียจเลยว่านั่นอิสลาม นี่คนไทย นั่นมอแกน แกสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากันหมด นั่นถึงจะเป็นพรหมวิหาร ๔ จริง ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิธีการติดสินบนนี่แหละ ที่ตั้งแต่โบราณพวกพ่อค้าเขาใช้ เพื่อให้ตนรับได้ความสะดวก ประเทศจีนเขาเรียกว่าจิ้มก้อง คือเอาบรรณาการไปให้ แล้วตัวเองจะได้ค้าขายตามสบายอย่างที่ต้องการ แต่พอมาระยะหลัง ๆ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นความชั่วร้าย
ความจริงเป็นทฤษฎีสมประโยชน์ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “Win win” ชนะทั้งคู่ ฝ่ายผู้มีอำนาจก็ได้ทรัพย์สินเงินทองไป ฝ่ายผู้เข้าไปหาก็ได้สิ่งที่ตนเองต้องการไป ซึ่งทฤษฎีนี้ตอนหลังฝรั่งเผยแพร่ให้ยุ่งไปหมด แต่ดันเห็นว่าการคอรัปชั่นไม่ดี ก็ทฤษฎีอย่างนี้แหละที่ทำให้เกิดคอรัปชั่น การรับเงินบนโต๊ะ ใต้โต๊ะอะไรก็ตาม ถ้าสามารถอำนวยความสะดวกให้เขาได้ จะว่าไปแล้วจริง ๆ ในเรื่องของศีลธรรมไม่น่าจะผิด เพราะเป็นการสมยอมกันทั้งคู่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าเขาไม่มีปัญญา แล้วเราไปบีบบังคับให้เขาหามา แต่คราวนี้ส่วนที่เสียหายก็คือไปกินกระทั่งงบประมาณแผ่นดิน สมมติว่าถ้าเราจะประมูลงานอย่างหนึ่งในราคา ๑ ล้านบาท เราก็ต้องขยายถึง ๓ ล้านบาทเพื่อเอาส่วนเกินนั้นไปจ่ายให้กับท่านที่มีอำนาจในการอนุมัติพวกนี้ ก็เลยไปกินงบประมาณแผ่นดินเข้าให้ ซึ่งตรงนี้มีปัญหาแน่ เพราะนรกข้างล่างมีอยู่ขุมหนึ่งต่างหากเลย สำหรับพวกคอรัปชั่นโดยเฉพาะ ชื่อว่ายันตปาสาณนรก จะเป็นภูเขาเหล็กลุกแดงโร่ ๒ ลูกหมุนเข้าหากัน บรรดาสัตว์นรกก็โดนบดอยู่ตรงกลางแหลกเป็นผง แล้วลมกัมมัชวาตพัดมาก็ฟื้นใหม่ กลายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ภูเขาก็หมุนเข้ามาใหม่ ไล่บดไปอีก เขาหมุนไล่บี้ไปเรื่อยจนกว่าจะหมดกรรม" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนบรรดาพ่อแม่จะมีค่านิยมย้ายลูกไปอยู่ที่สบาย ในเมื่อเป็นความต้องการของบุพการี ลูก ๆ ก็ต้องกัดฟันทำไป มีแต่อาตมาขัดใจมาตลอด แม่ไม่ให้เป็นทหารใช่ไหม ? สมัครไปเรียนเลย แม่ไม่ให้บวชใช่ไหม ? อาตมาก็ทำสิ่งที่แม่ไม่ต้องการให้ทำ ฉะนั้น..ค่อนข้างจะเป็นลูกอกตัญญูอยู่เหมือนกัน แต่บังเอิญว่าทำแล้วดีทุกอย่าง ท้ายสุดแม่ก็ต้องยอมรับ
ถึงเวลาแกก็มานั่งบ่น ๆ "ดูนะ..ปกติโต๊ะอาหารนั่งล้อมกันครบพอดี นี่แหว่งไปที่หนึ่ง มองทีไรก็คิดถึงลูกทุกที เห็นชุดเขียว ๆ เดินจากปากซอยมาคิดว่าลูก ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก กลายเป็นเด็ก รด. เดินมา.." นั่นแหละความรักของพ่อแม่ บางทีลาราชการมา ๑๐ วัน มาอยู่กับแม่ ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็นอนหนุนตักแม่ แม่ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วก็บ่น “อะไร..ยังเห็นมันนอนดิ้น ๆ เดินไม่ได้อยู่เลย นี่อายุ ๒๕ แล้วหรือ ?” คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เคยเห็นลูกโตหรอก เด็กสมัยนี้อ้อนพ่อแม่ไม่เป็น อาตมาขนาดเป็นนายทหาร อายุ ๒๕ - ๒๖ ปีแล้วยังนอนตักแม่อยู่เลย เรารักก็แสดงออกซึ่งความรักบ้างสิ จะไปบอกว่าเรารักแม่อยู่ในใจไม่ได้หรอก สมัยนี้ต้องแสดงออก รักใครเจอหน้ากระโดดกอดไปเลย เขาจะได้รู้ว่าเรารักจริง ๆ" |
"เรื่องความรักแม่นึกถึงพี่ดาร์กี้ นึกถึงทีไรก็ “เออ..คนที่รักแม่รักครอบครัวจริง ๆ ขนาดนี้ก็มีอยู่” พี่เขาเป็นนักเรียนนายสิบรุ่นพี่ ๑ รุ่น แต่เรียนทันกัน เพราะว่านักเรียนนายสิบเขาเรียน ๒ ปี พี่เขาเข้าปีก่อน อาตมาเข้าปีนี้ สังเกตอยู่อย่างว่าพี่เขาไม่เคยลาเลย เพราะถ้าเราลาจะโดนตัดเบี้ยเลี้ยง ลา ๑๐ วันก็โดนตัด ๑๐ วัน อย่างรุ่นของอาตมานี่ ๑๐ วันจะได้เบี้ยเลี้ยง ๗๐๐ บาท ถึงเวลางวดเบี้ยเลี้ยง ๓ งวด ๓๐ วันก็ได้ ๒,๑๐๐ บาท
พี่ดาร์กี้เก็บเงินส่งบ้านหมด กินอาหารก็กินแต่โรงครัวสูทกรรม ไม่เคยซื้อกินเองเลยแม้แต่นิดเดียว ความหวังในชีวิตของพี่ดาร์กี้ก็คือเรียนจบแล้วได้รับราชการ จะได้มีสวัสดิการรักษาพยาบาล เป็นการประกันความเสี่ยงให้แม่ เพราะว่าพ่อก็ไม่มีแล้ว มีแต่แม่ บ้านอยู่พนมทวน ตัวดำปี๋เลย ที่เขาเรียกดาร์กี้ก็เพราะดำมาก ส่วนใหญ่แล้วเพื่อน ๆ พอวันตรุษวันสารท ลอยกระทงสงกรานต์จะลากันหมด จะมีพวกรับจ้างเข้าเวรอยู่ ลองนึกถึงสมัยปี ๒๕๒๓ - ๒๕๒๕ รับจ้างเข้าเวรชั่วโมงละ ๗๐ บาท ตอนนั้นค่าแรงยังไม่เท่าไรเอง เข้าเวรชั่วโมงเดียวได้เกินค่าแรงขั้นต่ำอีก พวกเราก็รวยกันอื้อ วันนั้นพี่ดาร์กี้แกนอนก่ายหน้าผาก อาตมาเห็นเข้าก็ถามว่ามีอะไร ? แกก็บอกว่า วันนี้จ่าสมพรบังคับให้ซื้อข้าวผัดกระเพราไปห่อหนึ่ง คือบรรดาจ่าหรือนายทหารที่มาจากประทวน ส่วนใหญ่จะมีครอบครัว มีลูกหลายคน ก็พยายามหารายได้ให้ครอบครัวตัวเอง คราวนี้พวกนี้เขาทำหน้าที่จ่ากองร้อยบ้าง ทำหน้าที่นายทหารเวรหรือสิบเวรบ้าง ก็เอาของมาขายให้พวกนักเรียน เพราะว่านักเรียนทหารไม่มีปากมีเสียง สั่งอะไรก็ต้องทำ แต่พี่ดาร์กี้ไม่เคยซื้อข้าวผัดกะเพรา จำได้ว่าตอนนั้นห่อละ ๕ บาท สมัยนี้ ๓๐ บาทซื้อได้หรือเปล่าไม่รู้ ? พี่ดาร์กี้โดนบังคับให้ซื้อไป ๑ ห่อ แกกินเสร็จแล้วมาก่ายหน้าผาก บ่นว่า “กูกินดีอย่างนี้แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?” แกไม่เคยคิดตัวเองเลย อะไร ๆ ก็ทำเพื่อแม่ ตัวเองมาเรียนยังดีว่าแม่ยังแข็งแรงอยู่ ยังทำอะไรได้ ถึงเวลาก็ไปส่งธนาณัติให้แม่ ไม่เคยลากลับบ้านเพราะว่ากลัวว่าจะเสียเบี้ยเลี้ยง เห็นแล้วปลื้มใจแทนแม่เขาที่มีลูกอย่างนี้ ของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ด้วย แต่ละคนจะเป็นนิสัยเฉพาะของตัวเอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันสวดคาถาเงินล้าน คนที่ทำน้ำหกราดใส่หัวอาตมามีใครบ้างวะ ? ...(หัวเราะ)... ถ้ารู้จักสังเกต อยู่ ๆ น้ำราดโครมลงมา ถ้าเป็นคนทั่วไปต้องตกใจแล้ว แต่ถ้าเรารักษากำลังใจอยู่ข้างใน ไม่ส่งออกก็จะไม่ตกใจ เพราะว่าอาการตกใจก็คือ สภาพจิตวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อรับรู้อาการที่เกิดขึ้น คราวนี้พอกลับมาเร็วเกินไป จะเกิดอาการสะดุ้งที่เรียกว่าตกใจ
ถ้าใครสามารถรักษากำลังใจของตัวเองไว้ในลักษณะนี้ ก็จะเป็นคนที่ไม่ตกใจกับเรื่องอะไร สภาพจิตจะคิดแก้ไขเหตุการณ์ให้ออกมาในลักษณะที่ดีที่สุด แต่ว่าญาติโยมหลายท่านชอบทำเรื่องอันตราย ก็คือขับรถไปแล้วภาวนาไป พี่จี๋เพิ่งเอารถไปชนกระจายมา เพราะว่าขับรถไปภาวนาไป พออารมณ์ใจทรงตัว จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกจนเป็นฌานใช้งานจริง ๆ จะบังคับตัวเองไม่ได้ พี่จี๋เขาก็สงสัยว่า เห็นอยู่ว่ารถวิ่งเข้าใส่คันหน้า แล้วทำไมถึงทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้น..โปรดระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วย ถ้าจะภาวนาไปขับรถไป อย่าให้อารมณ์ใจลึกเกินไป ถ้าลึกเกินไปจนจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกันเมื่อไร เดี๋ยวอุบัติเหตุก็จะเกิดขึ้น ตัวเองไม่เป็นอะไรหรอก เพราะสมาธิคุ้มได้ แต่ทรัพย์สินเสียหาย โปรดระมัดระวังเอาไว้ด้วย อาตมาเองก็เกือบสวัสดีมาหลายทีแล้ว เพราะคนขับชอบภาวนา จนกระทั่งต้องตะโกนบอก “เฮ้ย..เมื่อไรจะเบรก ?” แล้วอาตมาก็หัวทิ่มตกเบาะทุกทีแหละ..!" |
"อาตมาตกลงใจจะทำหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ตอนนี้ข้อมูลเก็บเรียบร้อยแล้ว รูปเพิ่งจะได้มาจากตากล้องวันนี้ คาดว่าจะใส่รูปให้สะใจไปเลย เดี๋ยวเสร็จแล้วจะพิมพ์แจกตอนปีใหม่"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังกวาดล้างเว็บพลังจิตกันอยู่ เห็นเขาอาสาสมัครกัน คือเว็บพลังจิตไปเสียมากอยู่ตรงประเภทโมทนา ไม่ใช่ว่าเราไม่เปิดโอกาสให้โมทนา เราเปิดโอกาสให้ มีกดปุ่มโมทนา แต่เขาไม่ยอม เขาต้องลงกระทู้ให้ได้ ลงว่า “โมทนาครับ” แล้วก็ต่อท้ายด้วยตัวตนของเขาประมาณ ๑ หน้าอย่างนี้ กินพื้นจะตายชัก กระทู้ที่จะมีประโยชน์ถัดไป กว่าจะหาเจอบางที ๓ หน้า ๕ หน้า
ตอนนี้กำลังไล่ตามกันอยู่ ห้องใครห้องมัน รับผิดชอบกันเอาเอง อันไหนดีก็เหลือไว้ อันไหนไม่ดีก็ลบทิ้งไป โดยเฉพาะส่วนที่ให้นโยบายไปก็คือ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้ลงเนื้อข่าวอย่างเดียว อย่าไปใส่อารมณ์วิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรื่องจะบานปลายใหญ่โต ประเภทลงแล้วเสี้ยมให้พระทะเลาะกัน อย่างพุทธอิสระกับหลวงพ่อสามแยกลบทิ้งให้หมด ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นอกจากใส่ข้างโน้นหน่อย ใส่ข้างนี้นิด แล้วก็กลายเป็นพระทะเลาะกัน มีโอกาสประชุมผู้บริหารเว็บพลังจิต ก็เลยให้นโยบายไปช่วยจัดการที เขาบอกว่าค้างมานาน น่าจะต้องใช้เวลาสัก ๓ ปีกว่าจะกวาดได้เกลี้ยง อาตมาเองก็เชื่อ เพราะ ๓ วันที่ผ่านมาเขาเพิ่งจัดการในห้องหลวงพี่เล็กไปได้แค่ ๕ - ๖ หน้าเท่านั้น เพราะว่าบางกระทู้มีเป็นสิบ ๆ หน้าเลย กระทู้ไหน Hot หน่อย คนก็เข้าไปแสดงความเห็นหรือเข้าไปโมทนากันเป็น ๑๐ หน้า กว่าจะลบหมดก็มือหงิก เรื่องของเว็บพลังจิตคาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะได้โดเมนเนมคืนมา แต่ว่าคงต้องเสียเงินมาก เนื่องจากเขายึดไปเพื่อขายโดยเฉพาะ จะว่าไปแล้วของเราจดทะเบียนต่ออายุไม่ทัน เจ้าพวกนี้เล็งอยู่ ปกติแล้วเขาจะมีการเตือนล่วงหน้า แต่นี่เขาไม่เตือน เลยเผลอหมดอายุ ถูกเขาแย่งจดชื่อไปเลย" |
ถาม : พระที่บิณฑบาต ลูกศิษย์ไม่ได้มาช่วยขน ก็เลยเอากับข้าวไปแจกชาวบ้าน ?
ตอบ : แล้วจะบิณฑบาตไปเยอะแยะขนาดนั้นทำไม ? ถาม : เขาบอกว่าแจกได้ ตอบ : โง่เกินไป..ก็ในเมื่อรู้ว่าบิณฑบาตขนไม่ไหว แล้วจะเอาไปขนาดนั้นทำไม ? ถาม : ถ้าเอาแจกติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ? ตอบ : เต็ม ๆ เลย ทั้งคนกินคนให้นั่นแหละ อาหารบิณฑบาตเราต้องคิดเสมอว่าเป็นสังฆทาน พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อแม่เท่านั้น ถ้าจะให้คนอื่นต่อ ต้องเป็นของที่กินเหลือแล้ว เพราะท่านเกรงว่าถ้าทำในลักษณะนั้น อันดับแรกก็คือ ไปประจบชาวบ้านเขา อันดับที่สองก็คือ คนที่เขาถวายจะเสื่อมศรัทธา เพราะว่าไม่ได้ฉลองศรัทธาของเขา เอาไปให้คนอื่น แล้วถ้าคนเสื่อมศรัทธามาก ๆ เข้า ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ที่โยมถามว่าพระบิณฑบาตจนกระทั่งเอาไปไม่ไหว ลูกศิษย์ที่จะช่วยก็ไม่มี ก็เอาไปไล่แจกคนอื่นเขา ทำได้ไหม ? ขอยืนยันว่าไม่ได้ แล้วไม่ต้องอ้างนะว่าเอาไปไม่ไหว ก็เสือกทะลึ่งบิณฑบาตเสียเยอะอย่างนั้นทำไม ? อาตมาสมัยอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เพื่อดูแลหลวงปู่มหาอำพันที่ป่วย เดินไม่ถึงเสาไฟต้องกลับวัด เพราะล้นบาตร ของตัวเองอย่างเก่งก็ถุงหนึ่งตอนเช้า ถุงหนึ่งตอนเพล จบแล้ว ส่วนที่เหลือก็เอาไปที่ศาลาร่มเย็น ซึ่งเป็นส่วนกลาง ให้โยมเขาประเคนพระท่านอื่นไป |
เรื่องแบบนี้ถ้าถามว่าพระทำอย่างนั้นมีความผิดไหม ? ความผิดของพระผิดเป็นปกติอยู่แล้ว แต่โยมที่เอาไปจะซวย เพราะเป็นหนี้สงฆ์ไม่รู้ตัว เพราะเขาถวายพระ แล้วพระไม่ได้มีสิทธิ์ให้คนอื่นส่งเดช พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตแค่เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น ในเรื่องของการที่พระเลี้ยงพ่อแม่ ท่านก็บอกว่าสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ พอสมควร ก็คือพอที่ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้อย่างเณรคำสร้างบ้านให้พ่อแม่เป็นร้อยล้านบาท นั่นจะอ้างว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตก็ไม่ใช่ พระองค์ท่านให้สงเคราะห์ตามสมควร
อย่างในธรรมบทพระท่านบิณฑบาตมาก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ แล้วตัวเองก็ไม่มีฉัน ก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ได้ผ้ามา เอามาเย็บมาย้อมดีแล้วก็ให้พ่อแม่นุ่ง ตัวเองก็เอาผ้าเก่าขาดของพ่อของแม่มาเย็บมาย้อมมานุ่งใหม่ ไม่รู้จะให้พ่อแม่อยู่ที่ไหน ก็ไปสร้างกระต๊อบในป่าให้พ่อแม่อยู่ พระพุทธเจ้าบอกถ้าลักษณะอย่างนี้ให้สงเคราะห์ได้ ไม่ใช่ประเภทซื้อรถเบนซ์ให้พ่อคันหนึ่ง ให้แม่คันหนึ่ง ให้พี่คันหนึ่ง ให้น้องคันหนึ่ง สร้างบ้านให้อีกคนละหลัง อย่างนั้นก็เจ๊งแล้ว ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ พระเณรของเราไม่ได้ใส่ใจจะศึกษาจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์สมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้สนใจที่จะอบรมสัทธิวิหาริกของตน ประเภทบวชแล้วทิ้ง ที่เขาเรียกว่าอุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ไม่รู้จักฟัก ต้องบอกว่าปัจจุบันนี้อุปัชฌาย์ไก่ที่ฟักไข่เป็นมีน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อะไรที่ตนคิดว่าสมควร ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องผิดพระวินัยก็ทำ จะโทษท่านหรือ ? ท่านก็อาจจะบอกว่าไม่รู้ แล้วจะไปโทษพระอุปัชฌาย์ เกิดพระอุปัชฌาย์บอกว่าผมก็ไม่รู้ด้วยก็เจ๊งเลย อาจารย์ไม่รู้ ลูกศิษย์ไม่รู้ แล้วคนที่รับถ่ายทอดรุ่นถัด ๆ ไป จะมีใครรู้บ้าง ? เรื่องพวกนี้จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังให้ดี อาตมาปากเปียกปากแฉะกับพระกับเณรทุกเช้าทุกเย็นหลังทำวัตรค่ำ บางทีก็รู้สึกเบื่อตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแล้วเกิดเขาเข้าใจผิด ไปทำผิดทำพลาดอีก ตัวเองก็จะเกิดโทษด้วย เพราะว่าเป็นครูบาอาจารย์เขาแล้วไม่รู้จักอบรมสั่งสอน |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายนที่ผ่านมา คณะสงฆ์ภาค ๑๔ ประกอบไปด้วยจังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาคร ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ สวดอภิธรรมถวายหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เสร็จงานอาตมาก็เดินมารอรถแท็กซี่หน้าวัด เพื่อที่จะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่วัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์ ปรากฏว่ามีรถเก๋งวิ่งมาถึงก็เบรก “หลวงพ่อไปไหนคะ ? หนูกับแฟนจะไปส่ง” เออ...ไปก็ไปวะ เขากับแฟนก็ไปส่ง
เมื่อวานนี้หลังจากที่บิณฑบาตในงานใส่บาตรถวายกุศลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆมหาปริณายกเสร็จ ออกจากวัดท่าขนุนก็สายมากแล้ว ต้องมาฉันเพลกลางทาง แวะร้านอาหาร ฉันเสร็จสรรพเรียบร้อยมีผู้ถวาย แล้วเขาไม่ได้ถวายพระอย่างเดียว พระ ๒ รูปกับโยมอีก ๓ - ๔ คน เขาจ่ายแทนหมด หมดไป ๔๐๐ - ๕๐๐ บาท เพราะเป็นร้านอาหารป่า แล้วอาตมาดันไปสั่งปลาบึกผัดเผ็ด แพงฉิบ...เลย ไม่ได้ถามว่าเขาเป็นใคร แต่เขายืนยันว่าเขารู้จักอาตมา ระยะนี้หนีไปไหนไม่ค่อยรอด ไปหลบอยู่ซอกไหนมุมไหนต้องมีคนจำหน้าได้จนได้ อุตส่าห์ไปทำตัวลีบ ๆ นั่งฉันอาหารแล้ว เข้ามาเขายังจำได้อีก แล้ววันนั้นจะรีบมาที่นี่ จะแวะไปหาอาจารย์ที่ มจร.วังน้อยก่อน ก็เลยไม่สามารถจะฉันอาหารป่าชนิดอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นตุ่นผัดเผ็ด แย้ผัดเผ็ด พังพอนผัดเผ็ด เพราะพวกนั้นส่วนใหญ่เขาทำแบบแกงสับนก คือสับละเอียด จะมีกระดูก เสียเวลา ก็เลยสั่งปลาบึกเพราะชิ้นใหญ่ดี ลืมนึกไปว่าปลาบึกราคาแพงที่สุด ตกลงโยมที่ตั้งใจเลี้ยงก็ได้บุญไปเต็ม ๆ แต่ก็คงกระเป๋าแห้งไปเลย ถึงได้บอกว่าเรื่องของคาถาเงินล้านถ้าทำขึ้นนะ เราจะเป็นคนเงินบูด ใช้เงินไม่ได้ เก็บไว้นาน ๆ ถ้าไม่บูดก็ขึ้นราไปเลย โยมส่วนใหญ่ไม่ได้คิด ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดว่าอาตมาจะนั่งรถไฟฟ้าไป เขาก็กะเอาของมาถวาย แต่ไม่รู้จะหอบเอาขึ้นรถไฟฟ้าอย่างไร อาตมาเองนั่งรถทุกชนิดแหละ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์รับจ้าง วันไหนได้นั่งจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ สมัยก่อนเวลาจะเข้าเกาะพระฤๅษี จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ที่ปากซอย เพราะรถใหญ่วิ่งลำบาก ตั้งแต่ปากซอยเข้าไปเป็นเตาขนมครกตลอดทาง มีแต่มอเตอร์ไซค์วิ่งลัดเลาะได้ จ้างมอเตอร์ไซค์เข้าไป ๖๐ บาท วันไหนได้นั่งรถมอเตอร์ไซค์นี่มีความสุขมาก ไม่อย่างนั้นเผลอ ๆ เดี๋ยวก็มีรถอาสาไปส่ง สมัยก่อนเวลาเข้าทุ่งใหญ่ ถ้าเจอรถแล้วรถเขาถามว่าไปด้วยไหม ? บางคนเขาบอกไม่ไปด้วยหรอก..กำลังรีบ เพราะเดินเร็วกว่า รถไปแล้วไปติดหล่มตลอดทาง ต้องไปขุดไปเข็น ถ้าที่อื่นชวนขึ้นรถอาจจะไป แต่ถ้าในทุ่งใหญ่โดยเฉพาะหน้านี้ ถ้าชวนขึ้นรถไม่ไปหรอก เขาบอกเขากำลังรีบ...เดินดีกว่า" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ดร.ศุภชัย ไพจิตร นามสกุลเดิม คือ ผ่องสวัสดิ์ แล้วมาเปลี่ยนใช้นามสกุลของคุณดาวใจ ก็เป็นศุภชัย ไพจิตร ท่านมาสัมภาษณ์เรื่องอานิสงส์ของการภาวนาคาถาเงินล้าน ก็ยกตัวอย่างไล่ให้ท่านฟังไปเรื่อย ๆ แล้วก็บอกว่า “นี่ต้องดูอาตมาเอง..ตั้งแต่นั่งมายังรับเงินไม่ขาดเลย” อานิสงส์คาถาเงินล้าน เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดที่สุด
แต่ทางผู้จัดงานเขาคำนวณผิด วันสุดท้ายเขามีทอดผ้าป่าหนังสือ เพื่อเอาหนังสือไปเข้าห้องสมุด ปรากฏว่าเอาดารามา ๔ คน อาตมาไม่รู้จักหรอก รู้แต่ว่าเป็นดารา มีคนไปร่วมงาน ๒๐ กว่าคน ถ้าให้ครูบาหน่อแก้วฟ้าไปรับผ้าป่าแทน คนจะแห่กันไปเยอะกว่านี้ แสดงว่าเขาคำนวณผิด คิดว่าดาราจะเรียกคนได้มากกว่าพระ การจัดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบ ถวายสมเด็จพระสังฆราช ครั้งนี้ที่คนไปเยอะ อันดับแรกเลยก็คือ เป็นงานครั้งแรกเลยที่มีการสวดพระคาถาเงินล้าน อันดับต่อ ๆ ไปก็คือ บรรดาลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงตาวัชรชัย ลูกศิษย์หลวงตาม้า ลูกศิษย์หลวงพี่นิล ลูกศิษย์ครูบาหน่อแก้วฟ้า ฯลฯ บวก ๆ กันเข้าไปด้วย ก็เยอะไปเองโดยปริยาย ก็เลยทำให้คนไปมากกว่าที่คนจัดงานเขาคำนวณไว้ เขากะว่าเต็มที่ก็ ๕๐๐ คน แต่พวกเราไป ๒,๐๐๐ กว่าคน เกินไปแค่ ๔ - ๕ เท่าเอง..! ขนาดอาตมากะเกินไปเท่าตัวยังสู้ไม่ไหว เขาบอกว่า ๕๐๐ คน อาตมาก็บอกว่าเกิน กะเอาว่าประมาณสัก ๑,๐๐๐ คน ปรากฏว่าเกินหลายเท่า ในส่วนที่ชื่นชมก็คือ ทางผู้ประสานงาน คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา จากชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิต เขาประสานงานได้ดีมาก แล้วญาติโยมก็สู้ไม่ถอย เปียกเท่าไรก็สู้ ตกลงกลับไปเป็นหวัดกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? สรุปแล้วทุกคนมีความสุขกลับไป..ใช่ไหม? ต่อไปจะลำบาก ถ้าเป็นคนอย่างอาตมาก็เรียบร้อยเลย อาตมาถือว่าถ้าเคยภาวนาสูงสุดได้กี่จบ ก็จะเอาอันนั้นเป็นหลัก เราภาวนาสัก ๑๐๐ จบ ต่อไปจะต่ำกว่า ๑๐๐ ไม่ได้แล้วนะ เงินที่ได้รับในวันสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๐ จบถวายสมเด็จพระสังฆราช กลับไปต้องไปผึ่งเป็นวันกว่าจะแห้ง น้ำฝนลงไปสักครึ่งขันได้กระมัง ? ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน ส่วนที่ได้มากที่สุด เป็นส่วนที่พวกเรามองไม่เห็น หรือว่าน้อยคนจะมองเห็น การที่กำลังใจของคนหมู่มากรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถใช้งานได้มากกว่าที่เราจะคิดถึง อาตมาอธิษฐานเผื่อไว้เลย อันดับแรกเลยก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายที่ตายกันตอนกระชับพื้นที่ แล้วหลังจากนั้นก็ขอเลย ความดีที่ทุกท่านทำอยู่ รวมกับกำลังของพระท่านช่วยสงเคราะห์ ในเรื่องของประเทศชาติ ถ้าใครก็ตามที่ชุมนุมทางการเมือง แล้วทำไปโดยไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติ มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่มุ่งประโยชน์ส่วนรวม ขอให้เป็นฟืนเปียกจุดไม่ติด พวกเราเปียกกันหมดแล้วนี่ ได้นานเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ได้แน่นอน" |
ถาม : อานิสงส์ของการกินเจ คืออะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกจริง ๆ ก็ถือว่าคุณกำลังปฏิบัติอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนที่ปฏิบัติพรหมวิหาร ๔ ได้จริง ๆ อานิสงส์ต่ำสุดไปพรหมโลก แต่ถ้ากินเจแล้วไปอวดชาวบ้านเขาว่าตูดีกว่า ก็เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ถาม : การกินเจก็ต้องวางกำลังใจที่ถูกต้องใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...ถ้าไม่ถูกจะเป็นมานะ ถือว่ากูกินเจ กูดีกว่าเขา คนอื่นกินเลือดกินเนื้อ ยังเป็นคนเลวอยู่ ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นยกตนข่มท่าน กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ตัวกูของกู |
พระอาจารย์เล่าว่า "รับปัจจัยจากงานสวดพระคาถาเงินล้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ รับแล้วก็หนักใจ เพราะปกติตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าไว้ก็คือ เรารับเงินที่เขาให้ก็ให้เขาไว้ที่นั่น แต่ที่นั่นคือให้ในวัด คราวนี้ตรงเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ใช่วัด แล้วคนจัดงานก็ไม่ใช่พระ แล้วตูจะให้ใครล่ะ ? ถ้าให้เขาเดี๋ยวก็เป็นหนี้สงฆ์กันหัวโต ท้ายสุดก็เลยต้องหอบเงินกลับเอง
จะว่าไปแล้วก็สงสารทางด้านเจ้าภาพ ก็คือสภาศิลปินส่งเสริมพุทธศาสนาฯ เพราะว่าจัดงานแล้วขาดทุน คนไปเยอะเฉพาะวันที่อาตมาไป หลังจากนั้นก็โหรงเหรง ถึงขนาดต้องเลิกงานไปวันหนึ่ง แล้ววันสุดท้ายขนาดเอาดาราไป ๔ คน ยังมาประมาณ ๓๐ คน เขาคิดผิด เขาคิดว่าดาราเรียกคนได้มากกว่าพระ งานนี้ดาราเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว" |
ถาม : คนเขาฝากเงินมาทำบุญค่าอาหาร แล้วผมทำหาย ?
ตอบ : ก็ควักของตัวเองมา..! ถาม : แล้วถ้าผมไปขอโทษเขา กรรมจะลดลงไหม ? ตอบ : ไม่ลดหรอก เพราะเจตนาเขาเต็ม เราจะไปสร้างกรรมเพิ่ม คือไปทำให้กำลังใจเขาตก ถาม : เจ้าภาพฝากเงินมา ๗๒๐ บาท พอเราทำหาย ไม่มีเงินจะใช้หนี้ ไปขอเขาได้ไหม ? ตอบ : ขอได้ แล้วคุณจะไปให้เหตุผลเขาอย่างไร ผมขอเงินคุณ ๗๒๐ บาท เพื่อจะใช้หนี้คุณ ? ฟังแล้วงง ๆ เหมือนกันนะ ลองไปทำดูก็แล้วกัน เผื่อจะสำเร็จ ถาม : พูดง่าย ๆ ว่า พูดอย่างไรก็ได้ให้เอา ๗๒๐ บาทกลับมาให้ได้ ? ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าคุณหา ๗๒๐ บาทมาถวายพระให้ได้ ถาม : เดือนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเลยครับ เลยไม่ค่อยมีรายได้ ตอบ : ไปภาวนาคาถาเงินล้านไว้ เดี๋ยวมาเอง ต้องบอกว่าบุคลิกของคุณไม่เรียกลูกค้าเลย มีแต่ไล่ลูกค้ามากกว่า..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.