กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3877)

เถรี 01-10-2013 12:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๕ สิงหาคมที่ผ่านมา ที่วัดจัดอบรมพระนวกะ ก็คือ อบรมพระใหม่ของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ปีนี้มีพระเณรทั้งหมด ๔๑๑ รูป พออบรมเสร็จ ตอนบ่ายก็วิ่งขึ้นเชียงใหม่ ความจริงไม่คิดจะไปหรอก กะว่าจะนอนพักสักคืนหนึ่ง แล้วตีสองวันที่ ๑๖ ก็ค่อยขึ้นไป เพื่อที่จะถึงวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ที่ลำพูนตอนเช้ามืด แต่ปรากฏว่ามีผู้หวังดี ไปปล่อยข่าวว่าอาตมาจะไป พวกเชียงใหม่เขาโทรศัพท์มากันหูดับตับไหม้ ท้ายสุดก็เลยต้องวิ่งขึ้นไปเชียงใหม่ อยู่เชียงใหม่ครึ่งวันแล้วก็วิ่งลงมาลำพูน ถึงลำพูนค่ำวันที่ ๑๖ พอดี ก็สรุปว่าเป็นความเมตตาของโยมที่กลัวว่าอาตมาจะงานน้อย..!

เช้าวันที่ ๑๗ สิงหาคม อยู่ช่วยงานหลวงพ่อสิงห์ ทำบวงสรวง รับสังฆทาน พุทธาภิเษก สืบชะตาเสร็จ ประมาณ ๑๑ โมงกว่าก็ฉันเพล ฉันเพลเสร็จก็บินมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน มาเผาศพของหลวงพ่อทวิชของหลวงพ่อนิล ตอน ๕ โมงเย็น บินจากลำพูนลงมาด้วยรถยนต์ บินจริง ๆ เขาเหยียบมาแค่ ๒๔๐ เท่านั้น..! ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทัน จากลำพูนลงมาแค่ ๔ ชั่วโมงครึ่ง ท้ายสุดมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุประมาณ ๔ โมงครึ่ง มาถึงก่อนงานเขานิดหนึ่ง

ส่วนใหญ่พอขึ้นเหนือทีไร กลับมาไม่กี่วัน ก็จะได้ใบสั่งทางไปรษณีย์มา โดนไป ๗๐๐ บาททุกงวด วิ่งความเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด แต่น่าเจ็บใจ..ตอนวิ่ง ๒๐๐ กว่าดันไม่ถ่าย ไปถ่ายตอนร้อยกว่า ไม่อย่างนั้นจะเก็บไว้เป็นสถิติว่า โดนจับความเร็วขนาดนี้จริง ๆ นะ ญาติโยมโปรดอย่าเลียนแบบ ไม่ใช่เรื่องสนุก งานมีต่อเนื่องกัน ไม่ไปเร็วก็ไม่ได้

มีอยู่เที่ยวหนึ่งโดนจับก่อนจะถึง อ.เถิน ตำรวจเขาก็โบก ตอนนั้นพระครูแสงชัยยังไม่ได้บวช ก็เบรกเอี๊ยดรถเลื้อยเป็นงูเลย ตำรวจ ๔ คนโดดหนีกันหมด พอคุณจ่าโผล่หน้ามาถึง คุณแสงชัยก็ส่งใบขับขี่ให้ “ไม่เอาครับ ผมจะเอาพระ ขอพระหลวงพ่อให้ผมด้วย ขับเร็วขนาดนี้ต้องมีของดีแน่เลย” อาตมาล้วงพระให้ไป ๔ องค์ “ขออีก ๒ องค์ครับ ยังมีเพื่อนดักอยู่ข้างหน้าอีก ๒ คน” เพื่อนดักรออยู่ข้างหน้า ถ้าหลุดจากด่านนี้ ข้างหน้ายังจับได้อีกชุดหนึ่ง สรุปว่าอย่าไปทำอย่างนั้น..อันตรายมาก

ปกติเวลาตำรวจเจอพระก็มักจะปล่อยผ่านไป คราวนี้เจอพระมาเร็วขนาดนั้นเลยขอวัตถุมงคลแทน"

เถรี 01-10-2013 12:45

ถาม : ตะกรุดพระแม่ธรณี ถ้าเอาไปแยกแต่ละดอกออกจากกัน อานุภาพจะยังใช้ได้เหมือนปกติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : แล้วมีข้อห้ามอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ห้ามคนที่ไม่มีเอาไปใช้ ตะกรุดเขาต้องครบชุด ถ้าไม่ครบก็ได้อักขระไม่ครบ ๗ ตัว

ถาม : แล้วถ้าแยกแต่ละดอกออกมา แล้วพกไว้ตามที่ต่าง ๆ ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้จะทัดหู จะอมไว้ในปาก จะฝังไว้ในเนื้อ อะไรก็ได้ ให้อยู่ครบ ๗ ดอกก็แล้วกัน

เถรี 01-10-2013 12:52

ถาม : การที่จิตรวมเป็นสมาธิ จะรู้ได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ความเป็นสมาธิ ดูง่าย ๆ ว่า ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แล้วเราไม่สนใจ นั่นแสดงว่าจิตเริ่มรวมแล้ว แล้วถ้าถึงขนาดตัดจากอารมณ์ภายนอก อยู่แต่ข้างในไม่รับรู้ข้างนอกเลย นั่นรวมแน่ ๆ

ถาม : แล้วถ้าเราไม่ได้ยินข้างนอก อยู่แต่ข้างใน ?
ตอบ : อันนั้นเริ่มรวมมากแล้ว ก็คือพอเริ่มทรงตัว ได้ยินแต่จะไม่สนใจ เห็นก็ไม่สนใจ อยู่แต่ข้างใน แล้วจะแน่นมากขึ้น ๆ บางทีตึงเป๋ง เหมือนอย่างกับกลายเป็นหิน

ถาม : ถ้าแน่นมาก ๆ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ตายหรอก เป็นแค่อาการเท่านั้น เรารับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปสนใจ ถ้ามีลมหายใจอยู่ก็ดูลมไป ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็ภาวนาไป ถ้าไม่มีก็ดูว่าตอนนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ อยากเป็นอย่างไรก็ช่าง

ถาม : เลิกจากสมาธิออกมาแล้วสบายใจ ?
ตอบ : จ้ะ..เวลาเลิกออกมารู้สึกโล่ง เบาสบายอย่าบอกใครเลย ตอนไม่เลิกนี่ตัวแข็งโป๊ก เริ่มมาถูกทางแล้วจ้ะ ต่อไปทำแล้วอย่าคิดไปอยากได้อย่างนั้นอีก เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ถ้าเราไปอยากได้ ใจจะไม่นิ่ง เข้าไม่ถึง ภาวนาไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม ถ้าเป็นก็ตามดูไปเรื่อย ๆ อย่ากลัวก็ใช้ได้ เรากำลังทำความดีอยู่ ตายตอนนั้นอย่างแย่ ๆ ถ้าจิตทรงตัวก็ไปเป็นพรหม

เถรี 01-10-2013 13:01

ถาม : เวลาที่จับศูนย์กลางกาย มักจะวูบลงไปเรื่อย ?
ตอบ : ก็ลงไปเรื่อย ๆ อย่างที่เขาบอก กำหนดจุดศูนย์กลาง ของศูนย์กลาง ของศูนย์กลาง ลงไปเรื่อย ๆ เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ ถ้าไม่ใช่ดวงปฐมมรรคเกิดขึ้น ก็อาจจะก้าวข้ามขั้นไปเป็นธรรมกายเลย แต่ขอให้ลงกลางไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น

มีบางคนบอกว่าลงไปเรื่อย ๆ มืด ๆ กลัวจะลงนรกไปเลย ไอ้บ้า...! นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน ตามลงไปเรื่อย ๆ ถ้าดวงปฐมมรรคไม่ปรากฏเสียก่อน ก็อาจจะได้ธรรมกายไปเลย

เถรี 01-10-2013 13:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตามหลักเวชศาสตร์วรรณนาของตำราแพทย์แผนไทย เขาบอกว่าคนถ้าอายุ ๓๕ ปีขึ้นไป ให้หาอาหารที่มีรสขมมากินบ้าง โดยเฉพาะสักปักษ์ละ ๑ - ๒ ครั้ง ปักษ์หนึ่งก็ครึ่งเดือน ตีเสียว่าสัปดาห์ละครั้งก็แล้วกัน

อาหารรสขมของเรามีมะระ ต้องเป็นมะระขี้นก มะระจีนไม่ขมหรอก มีมะระ สะเดา เพกาที่ชาวบ้านเรียกว่าลิ้นฟ้า อย่าให้ถึงขนาดบอระเพ็ดเลยนะ เขาทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม ไม่มีรสขมเลย ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ล้างรสขมออกได้อย่างไรก็ไม่รู้ แช่อิ่มมาเหลืองใสเลย

ถ้าตำราของหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ใช้เถาบอระเพ็ดยาว ๑ คืบ เคี้ยวกินไปเลย บางคนเอาขนาดพันรอบหัวตัวเอง ไอ้นั่นเกินคืบ น่าจะ ๒ คืบกว่า ท่านก็เคี้ยวกินของท่านได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน คือร่างกายของคนเราอย่างน้อย ๆ ก็ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้พออายุมากขึ้น ธาตุมักจะพร่อง หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าฮอร์โมนเริ่มขาด พอธาตุพร่องก็ต้องหาทางเสริมธาตุ แล้วยาที่มีรสขมนี่เป็นเรื่องแปลกมาก ถ้าร่างกายร้อนเกิน ยาจะไปปรับให้เย็น ถ้าร่างกายเย็นเกินจะไปปรับให้ร้อน เป็นตัวยาที่ประหลาดที่สุดอยู่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น..โบราณเวลาเขียนตำรับยา จะต้องแทรกยาดำไว้เสมอ เพราะยาดำมีรสขม เพื่อเอาไปปรับธาตุโดยเฉพาะ

เขามีรสขม รสเผ็ด รสจืด รสหวาน รสมัน รสฝาด รสฝาดนี่สมานแผล เขาแยกยาตามรส คนโบราณต้องชิมยาทุกอย่าง ต้องเรียนให้ได้ขนาดท่านปู่หมอชีวกฯ ถึงจะเก่งจริง "

เถรี 01-10-2013 13:13

ถาม : ผมนั่งสมาธิตามที่ท่านสอนคราวที่แล้ว เมื่อก่อนเป็นดวงวูบวาบ เดี๋ยวนี้เป็นเสี้ยวแค่นี้ ?
ตอบ : กำหนดภาวนาแล้วนึกถึงตรงนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้าสว่างเต็มที่เมื่อไรเดี๋ยวภาพพระจะโผล่มาเอง

ถาม : ผมกลัวครับ ผมเห็นพญานาคตัวสีขาวใหญ่เท่าตึก ผมทำสังฆทานไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเห็นอยู่ ?
ตอบ : เขามาดูแล จะไล่เขาไปไหน ? เวลาทำอะไรเราจะได้ปลอดภัย ที่ถวายสังฆทานให้จะได้ไล่ไปไกล ๆ ใช่ไหม ? เขาเรียกว่ากลัวไม่เข้าเรื่อง ...(หัวเราะ)...

เถรี 01-10-2013 18:20

ถาม : ดูตอนนี้นึกว่าท่านเพิ่งอายุ ๓๐ ปี
ตอบ : ฉันแก่ถอยหลัง แต่โยมแก่ขึ้นหน้า โยมอายุ ๗๗ ปี ฉันอายุ ๕๕ ปี ห่างกัน ๒๒ ปี เลขซ้ำทั้งนั้นเลย ความจริงถ้าฉันตะกายอยู่เต็มที่ก็ประมาณ ๗๗ ปี ทำความดีไว้เยอะ ๆ ทำทาน ศีล ภาวนาไว้ จะอยู่กี่ปีก็ช่างเถอะ อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป

อยู่ ๗๗ ปีอย่างนี้บ้างเอาไหม ? มีหลายคนบอกว่าไม่เอา ขอตายก่อน ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าเดี๋ยวไม่สวย อยู่นานแล้วแก่เดี๋ยวไม่สวย อาตมาก็นึกว่าเข้าถึงธรรมเลยอยากตาย

เถรี 02-10-2013 18:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "พอสิ้นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ มหาเถรสมาคมมีมติให้หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็เท่ากับเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั่นแหละ ปรากฏว่าปีนี้ท่านที่ไม่เคยไปวัดปากน้ำก็ไป กลายเป็นถนนทุกสายมุ่งสู่วัดปากน้ำ ปกติอาตมาเอารถเข้าไปไม่ได้หรอก ตัวเล็กเกินไป เข้าแล้วไปเกะกะเขา แต่จะเข้าเสียอย่าง เลยใช้วิธีติดสินบน ถึงเวลาก็ขอเจ้าที่ท่าน ไปถึงก็ไหลตามรถคันหน้าเข้าไป ปรากฏว่าคันหน้าเป็นหลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน

ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกที่ว่าง มหาเถรสมาคมมีมติให้หลวงพ่อพรหมเวที วัดไตรมิตร ขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ก็เท่ากับตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะอยู่ในมือของท่าน แบบเดียวกับการที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดพิชัยญาติ ขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ตอนนั้นท่านยังเป็นเจ้าคุณพรหมโมลีอยู่ ก็เท่ากับแถมตำแหน่งสมเด็จฯ ให้นั่นเอง เป็นที่รู้กัน

หนตะวันออกเป็นคณะสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุด มีพระมากที่สุด คุมภาคอีสานและภาคตะวันออก ส่วนเจ้าอาวาสวัดสระเกศก็ตั้งท่านเจ้าคุณพรหมสุธีรักษาการณ์ การดูแลพระภิกษุสามเณรที่เดินทางไปต่างประเทศ ก็ท่านเจ้าคุณพรหมสุธีรับเป็นประธานศูนย์ไป

ท่านใดมีโอกาสก็ไปกราบสักการะสังขารของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศบ้างนะ ท่านบอกว่า ตอนเป็น ๆ ไปรับพรท่านมาเยอะแล้ว ตอนท่านมรณภาพแล้วไปขอพรท่านบ้าง วันสรงน้ำ อาตมาวิ่งจากทองผาภูมิมา ไปถึงวัดสระเกศตอนเที่ยง ๕๐ นาที ตามข่าวเขาบอกว่าเปิดสรงน้ำบ่ายโมง ไปถึงปรากฏว่าพระท่านนั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อย มียืนอยู่แค่ ๓ รูป ตายละวา...มาเกือบไม่ทัน ก็วิ่งไปต่อท้ายเขาเป็นรูปที่ ๔

พระครูอมรโฆษิตเดินมาถึงก็ “อ้าว... อาจารย์จะเข้าสรงเลยหรือครับ” บอกท่านว่า “ถ้าได้เลยก็ดี” ท่านจึงไปขอตัดแถวโยมให้เข้าไปสรง พอตอน
สรงน้ำสังเกตว่าทำไมเขาถ่ายรูปกันจัง พอออกมาถึงจะรู้ว่าเป็นพระที่เข้าไปถวายน้ำสรงเป็นชุดแรกเลย คนอื่นท่านยังนั่งรอกันอยู่ อาตมาคิดว่าไม่ทัน เพราะเห็นเขานั่งกันหมด ยืนอยู่แค่ ๓ รูป อุตส่าห์ไปต่อแถวเป็นรูปที่ ๔ ท้ายสุดก็เลยเอาหน้าไปออกหนังสือพิมพ์ไทยรัฐโดยไม่ได้เจตนา ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านนั่งกันหมด แม้กระทั่งหลวงพ่อสมเด็จพระวันรัต นึกว่าเขาสรงกันไปหมดแล้ว ยังคิดว่าเรามาเกือบไม่ทัน"

เถรี 02-10-2013 19:17

ถาม : เคยมีความรู้สึกอิ่ม มองทุกอย่างเหมือนกับรู้สึกเมตตา แต่ทำไมเป็นอยู่ชั่วคราวแล้วหายไป ?
ตอบ : นึกย้อนหลังไปจ้ะ ว่าตอนนั้นเราคิดอะไร ทำอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วก็คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น ทำแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นอีกครั้ง เพราะว่าลักษณะนั้นเป็นการเข้าถึง แล้วเรารักษากำลังใจไว้ไม่อยู่ การหายไปจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ดีอยู่อย่างที่เหมือนกับหลอกให้เรากินของอร่อย แล้วต่อไปเราจะตะเกียกตะกายหาทางกินให้ได้อีก ทำต่อไปเรื่อย ๆ จ้ะ

ถาม : รู้สึกเย็น ๆ ดีแต่เป็นอยู่ได้ ๒ - ๓ วัน
ตอบ : ๒ - ๓ วันนี่ได้เยอะมากแล้ว บางคนเข้าถึงแค่พักเดียว สำคัญตรงต้องประคองอารมณ์ไว้ให้ได้ ส่วนใหญ่เราไปเผลอสติ ปล่อยก็หลุดหายไป คราวนี้เราทำแล้วเราอยากได้ใหม่ ตัวอยากได้ทำให้ใจไม่มั่นคง ฟุ้งซ่าน ก็เลยไม่ได้สักที ย้อนไปนึกถึงว่าตอนนั้นเราทำอะไร แล้วก็ทำอย่างนั้นใหม่ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสไว้ในโพชฌงค์ ๗ ว่ามีธัมมวิจยะ ต้องรู้จักแยกแยะ ว่าถ้าทำอย่างนี้ผลอย่างนี้จะเกิดขึ้น ผลอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร ดังนั้นต้องหาเหตุให้เจอ ไม่อย่างนั้นการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าจ้ะ

ถาม : ไม่รู้ว่าหายไปไหนค่ะ
ตอบ : ไม่ได้หายไปไหนหรอก อยู่แถว ๆ นั้นแหละ แต่ว่าคลำหาไม่เจอ

ถาม : มีความรู้สึกว่าหายไปค่ะ ครูบาอาจารย์บอกไม่หาย แต่ว่าเราไม่รู้จะเอาคืนมาอย่างไร ?
ตอบ : ไปเริ่มต้นใหม่ ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนเดิมจ้ะ จะทำให้เรารู้ว่าอารมณ์ที่ทำให้เราประกอบไปด้วยเมตตาจริง ๆ เป็นอย่างไร เป็นมิตรกับคนและสัตว์ไปหมด เห็นเขาก็รักก็สงสารไปหมด ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใคร ไม่คิดจะเบียดเบียนใครด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ อยากให้เขาพ้นทุกข์เหมือนกัน อยากให้เขามีความสุขแบบเดียวกัน

ถาม : เป็นอารมณ์ที่ดี ทำไมไม่กี่วันหายไปเลย
ตอบ : ถ้าอยากได้ก็ไม่มีทางได้หรอกจ้ะ เรามีหน้าที่ภาวนา ทำเหมือนเดิม ส่วนจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องของเขาอย่าไปสนใจ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวก็มาใหม่ แต่ถ้าไปอยากได้เข้า ก็ฟุ้งแล้วจะไปไม่ถึง นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะมีปัญหาตรงนี้ พอทำถึงจุดที่คิดว่าดีแล้วก็อยากจะให้ได้อย่างนั้น พออยากจะให้ได้อย่างนั้น ตัวอยากก็บังเสียแล้ว ทำอะไรก็เข้าไม่ถึงเสียที

ถาม : ตอนที่ได้ตอนนั้นพยายามประคองอารมณ์ไว้ แต่ไม่ได้
ตอบ : ตอนช่วงที่ได้มาแล้วให้เอาสติจดจ่อต่อเนื่อง รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ได้ไปตั้งใจประคองเอาไว้ มัวแต่กินเพลิน พอมัวแต่กินเพลินผลก็หมด ถึงย้ำหนักย้ำหนาว่านักปฏิบัติต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องให้ได้ ถ้ารักษาต่อเนื่องไม่ได้ก็ยังเอาดีไม่ได้

เถรี 02-10-2013 19:31

ถาม : ดวงจิตของคนที่ตายไปแล้ว เขาจะสามารถโทรศัพท์ได้ไหมคะ ?
ตอบ : สบาย....คณะของวัดป่าละอู ที่เขาไปวัดท่าซุง เขาจัดร้านตอนเช้า ๆ เพื่อรอเปิดร้านขายของ แล้ววิทยุมือถือ Walkie Talkie ยังไม่ได้เปิดหรอก เขาก็กดเล่น “ฮัลโหล เทวดาเจ้าขา วันนี้ช่วยให้ขายของดี ๆ นะจ๊ะ” วิทยุไม่ได้เปิดหรอก แต่มีเสียงตอบว่า “นี่เทวดาจากดาวดึงส์นะจ๊ะ เมื่อวานขาย (ไอ้โน่นไอ้นี่) วันนี้มี (ไอ้นี่ ๆ) ใช่ไหม ?” ประเภทสนุกไปเลย แต่คนฟังขนหัวตั้ง..!

ถาม : แล้วแปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร อยากติดต่อด้วยก็ไปคุยกับเขา พอเขาคุยด้วยก็ไปกลัวเขาอีก

ถาม : มีคนที่ตายไป พอสาร์ทจีนเขาก็บอกว่า ให้โทรศัพท์ไปหาพี่น้องเขาด้วย เขาก็โทรศัพท์มาหาคนรู้จัก คุยก็เป็นเสียงเขานี่แหละค่ะ เขาบอกอยู่ป่าหิมพานต์ จะมาได้เฉพาะวันโกน
ตอบ : พอถึงเวลาวันโกนก็เตรียมชาร์จโทรศัพท์ไว้เลย

ถาม : เป็นไปได้ใช่ไหมคะ?
ตอบ : ได้จ้ะ วันโกนของเราคือวันพระของเขา เวลาของเราเดินช้าไป ๑ วันของเขา

ถาม : แล้วดวงจิตแบบนี้เป็นแบบไหนคะ ?
ตอบ : ก็กึ่งเทวดาแล้วจ้ะ

ถาม : เขาบอกว่าจะติดต่อได้อีก ๒ ปี แล้วเดี๋ยวเขาก็จะไปแล้ว
ตอบ : มีอะไรก็ถามเขาไปเรื่อย ป่าหิมพานต์มีหวยไหมจ๊ะ ?

ถาม : เขาบอกว่าบอกหวยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะเสื่อม
ตอบ : แสดงว่ากันไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรจ้ะ ให้คุยได้แล้วกัน ถ้าติดขัดเรื่องทำมาหากินก็ลองคุยกับเขาดู ถ้าไม่เหลือวิสัยจริง ๆ เขาก็พอจะช่วยได้ เป็นเรื่องปกติจ้ะ

ถาม : ไม่เคยอ่านเจอในหนังสือที่ไหน ก็คิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ค่ะ
ตอบ : เป็นไปไม่ได้เพราะเรายังไม่เจอ เจอแล้วก็เป็นไปได้เองแหละ

เถรี 02-10-2013 19:33

ถาม : สามีก็บอกว่าบอกเบอร์โทรศัพท์เขาไปสิ เดี๋ยวเขาก็โทรกลับ วันโกนเขาก็โทรมา
ตอบ : แสดงว่าเดี๋ยวนี้ป่าหิมพานต์เขาพัฒนาแล้ว บอกเขาว่าคราวหน้าติดต่อมาทางอีเมล์ดีกว่า หรือไม่ก็ส่งไลน์แชทกันไปเลย

ถาม : ยังว่าเดี๋ยวจะส่งไอโฟน ๕ ไปให้
ตอบ : อย่าไปเล่นกับเทวดานางฟ้า อยากได้อะไรเขาแค่นึกก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้น..จะไปไลน์ไปแชทกับท่าน เดี๋ยวท่านก็มาหรอก ที่โน่นของเขาสำเร็จรูป อยากได้อะไรก็นึกเอา

ถาม : เราก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้
ตอบ : ที่อาตมาเล่ามาก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก พูดเล่น ๆ เขาตอบมาจริง ๆ

ถาม : ยังไม่ได้เปิดเครื่องใช่ไหมครับ?
ตอบ : วิทยุเขายังไม่ได้เปิดเลย เขารอเวลางานจริง ๆ ถึงจะได้เปิด พูดเล่น ๆ ก่อน ที่ไหนได้เสียงตอบดังอู้เลย

ถาม : ต้องเคยเนื่องกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อีกอย่างวาระต้องเปิดพอดี ถ้าวาระไม่ถึง เขาก็ติดต่อไม่ได้

เถรี 02-10-2013 19:37

ถาม : อารมณ์ที่เข้าถึงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืออารมณ์แบบไหนคะ ?
ตอบ : มีความเคารพอยู่เต็มหัวใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้ด้วยเหตุแห่งชีวิต พูดง่าย ๆ ก็คือให้ตายลงไปก็ไม่ยอมล่วงเกิน

เถรี 02-10-2013 19:42

ถาม : อาหารทะเลทำให้เป็นริดสีดวงหรือครับ ?
ตอบ : อาหารทุกอย่างที่เป็นโปรตีน ไม่ต้องอาหารทะเลก็ได้ เพราะว่าโปรตีนโมเลกุลจะละเอียด มักจะเกาะลำไส้ ทำให้เราต้องใช้แรงเบ่งมาก ริดสีดวงก็เจริญเติบโต

ถาม : แล้วอย่างพวกถั่วก็มีโปรตีน
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันนี่แหละ เขาถึงได้ไม่ให้กินอย่างเดียว อย่างน้อย ๆ ก็ ๓ ต่อ ๗ ถ้าอยากจะหายริดสีดวงก็อาศัยข้าวกล้องเป็นหลัก แล้วก็ตามมาด้วยผัก เอาข้าวกับผักเสีย ๗ ส่วน เนื้อสัตว์ ๓ ส่วน โดยประมาณ

ถาม : แล้วภูมิแพ้เรื่องทางเดินหายใจ พอจะมีทางรักษาให้หายขาดได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีหมอยาจีนเขารักษาได้ ยาไทยนี่ยังไม่เคยเจอ

เถรี 02-10-2013 20:03

ถาม : ไปกราบพระอาจารย์เปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก หน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่างเลย ไปครั้งหลังหน้าตาก็เหมือนเดิม หน้าตาไม่เปลี่ยน
ตอบ : สมัยเด็ก ๆ ไปกราบท่าน ท่านส่งหนังสือให้ อาตมาแบ ๒ มือรับ ท่านเลยมองหน้า ไม่เคยเจอใครรับหนังสือท่านี้ ต้องบอกว่าในลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เปลี่ยนท่านถือว่าอาวุโสระดับต้น ๆ เลย เพราะส่วนใหญ่ล่วงลับกันไปแล้ว

ถาม : ท่านอายุ ๘๐ แล้วหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ...ดูอย่างไรก็ประมาณ ๕๐ เท่านั้นแหละ ความจริงก็มีเปลี่ยน แต่ท่านเปลี่ยนช้าหน่อย เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ได้สังเกต

เถรี 02-10-2013 20:04

ถาม : อาจารย์ครับ ทำอย่างไรถึงจะเข้าฌานลึก ๆ ได้เป็นประจำครับ ?
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินเลย ซ้อมบ่อย ๆ พอมีความคล่อง นึกเมื่อไรก็เข้าได้เมื่อนั้น ภาษาบาลีเขาเรียกสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงฌานในระดับต่าง ๆ แล้วมีวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน เพราะฉะนั้น..สำคัญที่ซักซ้อมอย่างเดียว ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เข้าฌานสลับฌานให้ได้

เถรี 02-10-2013 20:08

ถาม : เวลาที่เราคิดมาก ถ้าเราอยากปล่อยให้ใจว่าง ๆ เราจะทำอารมณ์อย่างไร ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกจ้ะ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ก็คือส่งใจไปยังอดีต โหยหาอาลัยอยู่นั่น ส่งใจไปอนาคต ฟุ้งซ่านอยากเป็นนั่น อยากได้นี่ อดีตผ่านไปแล้ว รถที่ออกจากท่าไปแล้ว เรานั่งไม่ได้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง รถที่ยังไม่เข้าท่าก็นั่งไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องปัจจุบันนี้เท่านั้น เพียงแค่รถตรงหน้าของเราที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ก็คือลมหายใจเข้าออก

ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก จิตใจไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ความคิดต่าง ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะความคิดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นพาไปรัก โลภ โกรธ หลง นี่จะเป็นความคิดที่อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงนี้เฉพาะหน้า หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ไฟที่เผาเราอยู่ด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ที่เราคอยไปใส่เชื้ออยู่ตลอดเวลา จะดับลงชั่วคราวเพราะไม่มีเชื้อไฟ ความสุขความสงบจะเกิดกับเราชั่วคราว

คราวนี้พอรักษาไว้ได้นาน ๆ กำลังใจผ่องใสมากขึ้น ๆ เราจะเห็นช่องทางเองว่าทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้า

เถรี 02-10-2013 20:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเคยไปวัดท่าการ้องมาบ้าง ? วัดท่าการ้องมีส้วมสวยที่สุดในประเทศไทย น่าจะเป็นแถวอยุธยากระมัง ? ลองไปหาดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้ มีแน่ ๆ เลย ดูแล้วเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ดึงคนเข้าวัด แต่อาตมากลัวว่าถ้าโยมแปลเจตนาผิด ชาติต่อไปจะเกิดเป็นหนอน เพราะไปวัดแล้วตั้งใจไปดูส้วม ไม่ได้ตั้งใจไปไหว้พระ เพราะฉะนั้น..การไปวัดท่าการ้องห้ามวางกำลังใจผิดนะ วางกำลังใจผิดเกาะส้วมแน่ ๆ เลย"

เถรี 02-10-2013 20:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายท่านคงเห็นสะพานมอญแล้ว เขาสร้างขึ้นมาใช้ชั่วคราว แทนสะพานหลวงพ่ออุตตมะที่โดนน้ำซัดขาดไป เห็นแล้วทึ่งว่าฝีมือชาวบ้านทำได้ขนาดนั้น ลักษณะเหมือนกับแพลอยน้ำ แล้วมีการทำโค้งขึ้นให้เรือลอดได้ด้วย เสียอยู่อย่างเดียวว่า จะย้ายให้ห่างจากสะพานเดิมเพราะแม่น้ำซัดไปกระทบ ปรากฏว่าเจ้าของแพท่องเที่ยวเห็นแก่ตัวมากไปหน่อย ไม่ยอมขยับแพ อ้างว่าขยับแพแล้วเดี๋ยวไม่มีลูกค้าไป คนประเภทนี้รับประกันว่าไม่ใช่สายพุทธภูมิเด็ดขาด สายพุทธภูมินี่เห็นความลำบากของผู้อื่นเมื่อไรโดดไปช่วยเลย

นี่ขนาดคนทั้งอำเภอไปขอร้องยังไม่ยอมย้าย ขยับออกไปแค่ ๓๐ เมตรเอง กลัวลูกค้าจะไม่ไป ถ้าคนที่เคยชินกับการเสียสละ พอไปเจอบุคคลประเภทนั้นแทบจะไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วยเลย"

เถรี 02-10-2013 20:49

ถาม : ภิกษุที่เป็นวิกลจริตพอบวชเข้ามาแล้วห้ามสึกหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ห้ามสึก แต่สึกไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านสึกด้วยความเต็มใจหรือเปล่า

ถาม : เหมือนมีพระวินัยเว้นไว้ด้วยว่า ยกเว้นภิกษุวิกลจริต
ตอบ : จำเป็นต้องเว้น เพราะท่านไม่ได้มีเจตนาจะไปละเมิดศีล แต่ทำไปเพราะตอนนั้นสติไม่สมบูรณ์

ถาม : แล้วถ้าคนที่บวชไปแล้วปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกิดวิกลจริต พระพุทธศาสนาจะเลี้ยงไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จนกว่าจะหาย ส่วนหายแล้วท่านจะอยู่หรือไม่อยู่อีกเรื่องหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านยกไว้ให้เลย เรียก อมูฬหวินัย เป็นพระวินัยที่ยกให้สำหรับภิกษุที่กระทำอาบัติในระหว่างวิกลจริต ว่าปรับท่านไม่ได้ เพราะตอนนั้นไม่มีสติ การที่ภิกษุจะลาสิกขาหรือว่าสึกจากความเป็นพระ ท่านบอกว่าต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บุคคลที่รับรู้การสึกต้องเป็นผู้ที่รู้เดียงสา ก็คือเข้าใจว่าท่านขอสึก ไม่ใช่สึกกับต้นโพธิ์..!

จะว่าไปแล้วท่านก็กันเอาไว้เหมือนกัน เพราะถ้าท่านไม่อยากจะสึก พอได้สติขึ้นมา อ้าว...ทำไมเรากลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว

เถรี 02-10-2013 20:51

ถาม : คนที่เขาเป็นกระเทย วันหนึ่งความรู้สึกที่เขาอยากเป็นผู้หญิงขาดสะบั้นลง แสดงว่าอกุศลกรรมตรงนั้นขาดลงหรือครับ ?
ตอบ : น่าจะหมดกรรมแล้ว แต่ตอนนั้นจะกลับคืนเป็นคนปกติได้ยากแล้ว เพราะเป็นมาทั้งชีวิตจนกระทั่งเคยชินแล้ว พอถึงเวลาเลิกเป็นขึ้นมานี่คงตีหน้าไม่ถูก

เถรี 03-10-2013 11:29

ถาม : มีกระเทยเขาบอกว่าเขาไม่เป็นกระเทยแล้ว จากนั้นไปบวช บวชได้พรรษาหนึ่งแล้วสึก อยากทราบว่าจะผิดเพราะหลอกลวงหรือไม่ ?
ตอบ : จะหลอกลวงอะไร ? โดยเพศเขายังนับเป็นผู้ชายอยู่ ถ้าหากว่าอวัยวะครบ ๓๒ ก็บวชได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าการแสดงออกเป็นลักเพศ ก็คือลักษณะจริตกิริยาเป็นผู้หญิงมากกว่า พระอุปัชฌาย์จะพิจารณาดูว่าให้บวชได้ไหม ถ้าความเป็นผู้หญิงมีมากเกินไปก็จะไม่ให้บวช เขาถือว่าเป็นวิบัติ คือคุณสมบัติไม่ครบ แต่ถ้าสามารถเก็บอาการได้ พระอุปัชฌาย์สามารถให้บวชได้..ไม่มีปัญหา เพียงแต่อย่าไปเอาจิ้งจกโยนใส่ท่านแล้วกัน หลุดกรี๊ดออกมาเดี๋ยวเป็นเรื่อง..!

เถรี 03-10-2013 11:31

ถาม :ผมยังมีความอยากอยู่ อยากแล้วก็ดิ้นรนเพื่อที่จะได้ของที่เราต้องการมา ก็เลยเบื่อในความอยากนั้นขึ้นมา เป็นความเบื่อในความอยาก ?
ตอบ : เริ่มเป็นนิพพิทาญาณแล้ว คือในวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง จะมีอาทีนวานุปัสสนาญาณ ก็คือเห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย แล้วจะเกิดนิพพิทาญาณ ก็คือความเบื่อหน่ายขึ้นมา หลังจากนั้นก็จะเป็นมุญจิตุกัมยตาญาณ อยากจะไปให้พ้น ๆ แล้วก็เป็นปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หาทางหนีไปให้พ้น จะต่อเนื่องกันมาเป็นชุดเลย ถ้าเริ่มได้ตัวหนึ่งก็จะเหยียบก้าวต่อ ๆ ไปเลย แล้วก็ไปลำบากตรงสังขารุเปกขาญาณ เพราะว่าตรงนั้นต้องปล่อยวางได้จริง ๆ ไม่ใช่เบื่ออย่างเดียวแล้วจะสำเร็จ

เถรี 03-10-2013 11:33

ถาม : ถ้าบูชาตะกรุดกำลังพระแม่ธรณีไปแล้ว เปลี่ยนมือหรือเปลี่ยนเจ้าของได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็เปลี่ยนไปสิ ใครเขาว่าอะไรเล่า ?

ถาม : เปลี่ยนมือแล้วอานุภาพจะเปลี่ยนไหมครับ ?
ตอบ : อ้าว..แน่นอน เปลี่ยนมือจะไปเหลืออานุภาพอะไร ก็คุณไม่ได้พกไว้ ท่านก็ไปรักษาคนอื่นแทน ต้องบอกว่าคนเขียนนั้นเขียนถูก แต่กำกวมไปหน่อย เปลี่ยนมือแล้วไม่มีอานุภาพ ก็แน่ ๆ อยู่แล้ว เราถือปืนอยู่คนก็กลัวเรา แต่ถ้าไปส่งปืนให้คนอื่น เขาก็ไปกลัวคนอื่นแทน

ขอร้องอย่าไปแยกชิ้นส่วนนะจ๊ะ ตะกรุดกำลังพระแม่ธรณี ๗ ดอก อักขระ ๗ ตัว ไปแยกชิ้นส่วนเมื่อไรก็ได้ไปไม่ครบ บางทีตัวเองไม่ได้ กะจะไปแกะของเพื่อนมาสักดอก พอแกะของเพื่อนมาก็เจ๊งทั้งคู่ เพราะที่เหลือมีไม่ครบ ตัวเองก็ได้มาไม่ครบ

เถรี 03-10-2013 11:36

ถาม : จะมีอยู่วันหนึ่งที่บ้านอนุสาวรีย์ท่านหมอชีวกมาบอกตำรายารักษาเลือด มีทองพันชั่ง มีหญ้าหนวดแมว มีตะไคร้ ยาขนานนี้รักษาโรคมะเร็งได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : รักษาโลหิตเป็นพิษ จริง ๆ แล้วน่าจะใช้กับพวกฟอกไต เพราะว่ามีของเสียในเลือดมาก คนที่ไตไม่ทำงาน จะเกิดอาการโลหิตเป็นพิษ ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วก็ตาย

ถาม : มีหญ้าหนวดแมว ๓ บาท ทองพันชั่ง ๓ บาท ขิง ๑ บาท มีตะไคร้ ๑๐ บาท แล้วมีอะไรอีกอย่างนะครับ ?
ตอบ : อาตมาจำได้ว่าไม่มี ๑ บาทนะ ๓ บาททั้งนั้นแหละ ยกเว้นตะไคร้ใส่เยอะหน่อย ไปเปิดดูในเว็บเขามีอยู่ ห้องยาแพทย์แผนไทย ถ้าเป็นเอดส์อาการไม่หนักนักก็พอบรรเทาได้ เพราะรักษาโรคเลือดโดยตรง

ต้องถามดร.ตั้ม ท่านไปแนะนำรักษาคนที่หมอไม่รับแล้ว กะว่าตายแน่ ปรากฏว่ารักษาหาย ก็ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของท่านปู่หมอชีวกฯ วันนั้นไม่รู้ท่านว่างอะไร อยู่ ๆ ท่านก็มา ไหน ๆ ก็มาแล้ว อาตมาก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านมือ


ถาม : ที่ว่ากี่บาทนี่คือน้ำหนักไม่ใช่ราคาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : น้ำหนักจ้ะ ไม่ใช่ไปซื้อตะไคร้ ๑๐ บาทแล้วเขาให้มาครึ่งต้น เป็นน้ำหนักจ้ะ

เถรี 03-10-2013 11:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีบางวัดโยมเอาเหรียญไปถวายเยอะ ๆ ทางวัดบอกว่าไม่รับ แสดงว่าวัดนั้นไม่เคยโดนแบบอาตมา งานกฐินวัดเกาะพระฤๅษี ได้เหรียญสลึงมา ๑ ถังสังฆทาน..! เขาตั้งใจไปแลกมา ใหม่เอี่ยมเป็นทองเลย นับจนหูตาลายได้มา ๗,๐๐๐ บาท ไม่รู้เขาถือเคล็ดอะไร ตั้งใจไปแลกมาถวายโดยเฉพาะ ไม่ได้นึกถึงคนนับอย่างอาตมาเลย ๒๘,๐๐๐ เหรียญ กว่าจะนับครบปวดหลังจะแย่ หูตาลายหมด..!"

เถรี 03-10-2013 15:56

ถาม : อาหารบางอย่างมีแบคทีเรีย ถ้าเรากินเข้าไปก็เท่ากับว่าเป็นบาป ผิดศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : กินไปเยอะ ๆ ไม่มีอาหารชนิดไหนที่ไม่มีแบคทีเรียหรอก ฉะนั้น..กินลงไปเถอะ แบคทีเรียเป็นสิ่งที่มีแค่วิญญาณ เหมือนกับพวกต้นไม้กินสัตว์ อย่างพวกกาบหอยแครง หยาดน้ำค้าง หม้อข้าวหม้อแกงลิง มีแค่สัญชาตญาณ ยังไม่มีจิต จึงไม่นับว่าเป็นการฆ่าสัตว์

เถรี 03-10-2013 16:02

ถาม : เขาบอกว่าเลี้ยงปลามังกรแล้วจะเสริมให้ร่ำรวย ไม่ทราบว่าสมควรจะเลี้ยงดีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่สมควรจ้ะ เพราะว่าต้องให้อาหารเป็น ๆ กับเขา เชื่อเถอะ...ถ้าเขามีแล้วรวยก็คงจะรวยกันหมดแล้ว ปลามังกรนอกจากจะแพงแล้ว ก็ดีแค่ตรงชื่อเท่านั้น ถ้าชื่อไทยจริง ๆ ก็ไม่ดีหรอก คนไทยเรียกชื่อปลาตะพัด หากจะเลี้ยงปลามังกรหวังให้รวย ไปนั่งภาวนาพระคาถาเงินล้านดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาทำบาปด้วย

ปลามังกรกินแต่ของเป็น ๆ เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบ หย่อนลงไปกินหมด อะโรวาน่าคือปลามังกร ถ้าอะราไพม่าตัวยาวเป็นเรือเลย นั่นปลาช่อนอเมซอน ต้องให้กินปลาทูสดทีละ ๒ กิโลกรัม เลี้ยงไปเลี้ยงมาใหญ่คับบ่อ เจ้าของเลยคิดจะเอาไปไว้ที่เกาะพระฤๅษี ปรากฏว่าวางยาแรงไปหน่อยเลยตาย เขาตั้งใจวางยาให้ซึม ๆ จะได้เอาขึ้นรถได้ง่าย แต่ยาแรงไปหน่อย ตายเลย..!

เถรี 03-10-2013 16:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่คิดถึงอันตราย เขานึกแต่ความสนุกอย่างเดียว บางทีถึงขนาดเผาบ้านทั้งหลัง เขานึกสนุกก็เลยอยากรู้อยากเห็น พอเขาเห็นว่าห้ามเล่นไม้ขีด ก็ลองดูว่าทำไมถึงห้าม เวลาเด็ก ๆ ทำอะไรเสียหายไม่ต้องไปดุเขาหรอก

เวลาอาตมาเลี้ยงหลานก็อย่างนั้นแหละ ห้ามเล่นไม้ขีด แต่ถ้าจะเล่น เอาไป ๒ กล่องเลย ลองให้พอ

ที่ต่างประเทศ พ่อแม่เขาไม่ได้ตามใจลูกนะ จะตามก็ตามมา ไม่ตามก็ทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ ท้ายสุดเด็กก็ต้องวิ่งตามเอง เป็นบ้านเราโตเป็นควายแล้วยังต้องอุ้ม..!"

เถรี 03-10-2013 16:08

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคมที่ผ่านมา ทางวัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมพระนวกะ ปี ๒๕๕๖ ปกติแล้วจะสั่งโต๊ะจีน ๘๐ โต๊ะ ปรากฏว่าเหลือทุกปี ปีนี้ก็เลยสั่งแค่ ๖๐ โต๊ะ นั่งเบียดกันแน่นเลย โต๊ะละ ๘ รูป อาตมาบอกพระวัดเราว่าไปยึดโต๊ะไว้ก่อน คนอื่นมีกินไม่มีกินก็ช่าง ปรากฏว่าได้ผล ของทุกอย่างหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือติดโต๊ะเลย

งานหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายน ปกติจะตั้งโต๊ะจีน นิมนต์พระทั้งอำเภอ ปีนี้จะนิมนต์เฉพาะเจ้าอาวาส เพราะนิมนต์พระทั้งอำเภอ มีโต๊ะจีนเลี้ยง แต่เขาไม่ค่อยมา ปีนี้ถ้ามาแล้วไม่ใช่เจ้าอาวาสจะไล่กลับให้หมด ...(หัวเราะ)...

เจ้าอาวาสกับเจ้าสำนักมีประมาณ ๗๐ รูป พระวัดเรามี ๕๐ รูป โต๊ะจีน ๒๐ ตัว ๑๒๐ คน ลงเต็มพอดี ถ้าไม่ทำอย่างนี้เขาก็ไม่จำ รู้อยู่อย่างเดียวว่าไปวัดท่าขนุนไปเมื่อไรก็มีกิน เพราะฉะนั้น..ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ครั้งนี้จะได้รู้ว่าถ้าไปผิดเวลาก็ไม่มีกิน"

เถรี 03-10-2013 16:10

ถาม : พอปฏิบัติแล้วได้อารมณ์นี้ ไม่เท่าไรก็ลืม ?
ตอบ : ธรรมดา..ถ้าทำได้เมื่อไรก็จะไม่ลืม ถ้ายังทำไม่ได้ก็ลืมทุกคนแหละ ไปนั่งภาวนาจับลมหายใจเป็นหลัก จะได้สร้างสติให้มากขึ้น เรื่องของหลักธรรมจริง ๆ ถ้ายังทำไม่ถึงเดี๋ยวก็ลืม ต้องทำถึงแล้วจะจำแม่น

เถรี 03-10-2013 16:37

ถาม : นิวรณ์ตัวถีนมิทธะแก้ยากมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ไปวิ่ง..!

ถาม : ไม่อยากหลับค่ะ เสียดายเวลาการปฏิบัติ
ตอบ : ร่างกายของเราถ้าเหนื่อยจากงานก็เพลีย ร่างกายไม่ไหว ให้ใช้วิธีนอนภาวนา ตั้งใจว่านอนลงก็เหมือนกับคนตาย ถ้าตายขอไปพระนิพพานอย่างเดียว เอาใจจดจ่อกับพระนิพพานแล้วก็ไปเลย

ถาม : ไม่ต้องการนอนค่ะ คือเรารักษากำลังใจมาทั้งวัน แต่ต้องมาเสียเอาตอนตัดหลับไป ๒ - ๓ ชั่วโมง
ตอบ : เสียดายใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)...

ถาม : เสียดายค่ะ
ตอบ : เราหลับแน่ ๆ อยู่แล้วเพราะร่างกายเหนื่อยมาทั้งวัน ยอมพักหน่อยเถอะ

ถาม : ไม่อยากยอมค่ะ
ตอบ : จะเอาชนะก็ต้องก็ต้องมีความสามารถ เป็นเรื่องปกติ เป็นกันทุกคน มีอยู่อย่างเดียวคือว่า ภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจหลับและตื่นเท่ากัน กว่าจะถึงตรงนั้นก็ต้องบังคับตัวเองมากหน่อย ต้องบังคับไม่ให้หลับ ตอนแรกที่อาตมาหัดคือฟังเทปธรรมะ แล้วตั้งใจว่าเราต้องได้ยินทุกคำ ก็ต้องเงี่ยหูฟัง กว่าจะไม่ให้หลับได้ก็เป็นปี ๆ พอทำให้ไม่หลับได้ กลายเป็นอยากหลับขึ้นมาอีก

พอถึงตอนไม่หลับแล้วง่าย เพียงแต่ทำความเข้าใจว่าร่างกายเรานอนอยู่ ก็ได้พักอยู่แล้ว


ถาม : ส่วนใหญ่แล้วจะโดนกิเลสตีเอาตอนหลับค่ะ มาในรูปแบบความฝัน
ตอบ : ไม่หลับได้แหละดี เพราะจะได้ระมัดระวังกิเลสได้

เถรี 03-10-2013 16:38

ถาม : ปกติตอนที่เราเหนื่อยหรือเพลีย พอเรานอนแล้วไม่ได้ทรงอารมณ์สมาธิ จะใช้เวลานานมากในการพักผ่อนจึงจะหายเหนื่อย แต่ถ้านอนแบบทรงอารมณ์สมาธิ ใช้เวลาแค่นิดเดียวก็หายเหนื่อยแล้ว เพราะจะมีมุมหนึ่งในสมาธิ ที่พอเราเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วหลบเข้าไปพักได้ จะมีอยู่มุมนั้นจริง ๆ เข้าเมื่อไรก็พักผ่อนได้เมื่อนั้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดหลับ ซึ่งไม่กี่นาทีก็หายเหนื่อย
ตอบ : เรื่องจริง แต่ว่าถ้าเราไปฝืนร่างกายมาก ๆ ร่างกายจะเครียด ต่อไปการปฏิบัติจะเสีย

ถาม : ไปเจอพรรคพวกทางสายพระป่า เขาปฏิบัติแบบไม่หลับไม่นอนทั้งวัน ก็อยากจะทำบ้าง เขาทำได้เราก็ต้องทำได้
ตอบ : ได้..แต่ว่าเราต้องรู้เขตจำกัดของตัวเอง ถ้าไม่รู้เขตจำกัดของตัวเอง เดี๋ยวก็อยู่ ๆ จะน็อกไปเฉย ๆ

ถาม : อีกอย่างหนึ่ง เมื่อก่อนหนูเป็นคนเปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง แต่พอตอนหลังกลายเป็นคนไม่อยากพูด แม้แต่เรื่องการปฏิบัติก็ไม่อยากพูด พอถึงจุดหนึ่งจะเป็นโดยอัตโนมัติ เพราะเห็นโทษว่าวุ่นวายเปล่า ๆ
ตอบ : พูดแล้วเสียเวลา

ถาม : ใช่ค่ะ หลายอย่างจะไปลงตรงที่คำว่าเสียเวลา แม้กระทั่งเมื่อก่อนเราไปไหนกับพรรคพวก เช่น ไปงานบุญ ยอมรับว่าไปแล้วมีความสุข แต่ก็ยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะยังต้องเนื่องด้วยผู้อื่น ถ้าเนื่องกับคน ๑ คน เราก็วุ่นวายไป ๑ คน เนื่องด้วยคน ๒ คน เราก็วุ่นวายด้วยคน ๒ คน เห็นโทษจากการวุ่นวายกับผู้คนนี้ว่าเป็นทุกข์ การที่มีความสุขที่สุดคือสันโดษ ไม่เนื่องด้วยผู้ใด
ตอบ : เอาแค่พอดีแล้วกัน เพราะเรายังต้องอยู่ในสังคม

ถาม : เมื่อก่อนเห็นคนเขามีของดี ๆ ใช้ของสวย ๆ มีรถหรูขับ มีอะไรหลายอย่างที่เสริมเกียรติ เสริมฐานะ แล้วรู้สึกว่าอยากได้ ต้องการมีสิ่งพวกนี้เพิ่ม แต่ตอนนี้กลายเป็นตรงกันข้าม มีแต่ความรู้สึกต้องการละออกไป ไม่ต้องการเป็นเจ้าของของสิ่งใด เพราะเป็นแค่ธาตุดิน มีแค่เท่าที่จำเป็น อย่างเช่น โทรศัพท์มีแค่ว่าให้ใช้โทรออกรับสายเท่านั้น ไม่ได้ต้องการไฮเทคหรือหรูหราราคาแพงเลย มองที่ว่าแค่ได้ใช้เท่านั้น กลายเป็นว่าปัจจุบันเราแทบจะไม่มีอะไรเลย กลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร ซึ่งเป็นความสุขที่สุด เพราะเบา
ตอบ : ปัญญาเริ่มเกิด ต่อไปจะมองของแต่คุณค่าการใช้งานจริง ๆ อะไรที่ประเภทคุณค่าเทียม ราคาสูงเปล่าประโยชน์น้อย ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ พระพุทธเจ้าท่านให้แต่บริขาร ๘ จะเอาอะไรมากมาย

ถาม : แต่ขอยืนยันว่าถีนมิทธะแก้ยาก
ตอบ : ยากทุกคน ไปดูพระโมคคัลลาน์สิ ระดับนั้นยังโดนเล่นจนพระพุทธเจ้าต้องไปบอกวิธีแก้

เถรี 03-10-2013 16:45

พระอาจารย์เล่าว่า "ไปถวายน้ำสรงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เจอพวกเราเยอะแยะ ด้วยความเคยชินคือพวกเราจะควักเงินถวาย เสียมารยาทสุด ๆ..! จะทำบุญก็ทำกับทางวัดสิ อาตมาไปงานแท้ ๆ กลับควักเงินมาถวาย ต้องบอกว่ากำลังใจนึกถึงเรื่องทานอย่างเดียว ลืมนึกถึงความเหมาะสม"

เถรี 03-10-2013 16:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอแก่แล้วมักจะเหงา ถ้าคนแก่ไม่มีลูกอยู่ใกล้ ๆ ก็จะไปทุ่มเทให้กับหลานหรือเหลน ฉะนั้น..หลานหรือเหลนมักจะโดนตามใจจนเสียคน"

เถรี 04-10-2013 06:27

ถาม : ลุกออกจากบ้านจะไปอาบน้ำ ปรากฏว่าตกบันได หล่นลงมาขยับไม่ได้เลยค่ะ
ตอบ : ถึงคิวเขาทวงก็ให้เขาไปเถอะ ตอนช่วงนั้นจะเหมือนกับขาดสติ เหมือนกับเราไม่รู้ตัวไปวูบหนึ่งแล้วก็จะโดน ที่อาตมาโดนทุกครั้งจะเป็นแบบนี้ ปกติไม่เคยขาดสติเลย ขนาดรถชนตูมตามยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด นี่อยู่ ๆ สติจะขาดหายไปเฉย ๆ จังหวะที่กรรมเข้ามาแทรก จะทำให้เป็นลักษณะอย่างนั้น

เถรี 04-10-2013 18:42

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงระยะที่ผ่านมา ในอินเตอร์เน็ตมีเรื่องที่เรือดำน้ำไปเจอนางเงือกเข้า เงือกตัวนั้นเซ่อซ่าอีท่าไหนไม่รู้ อาจจะอยากรู้อยากเห็น อยู่ ๆ ก็มาแปะตรงกระจกเรือดำน้ำ ทำหน้าเหวอตกใจ คราวนี้เรือดำน้ำเขามีกล้องถ่ายอยู่ ก็เลยติดมา

ความจริงเงือกที่อาตมารู้จัก เป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ ไม่ใหญ่หรอก ยาวสักแขนเดียวเต็มที่แล้ว หน้าตาก็ไม่ได้ดูดีน่ารักเท่าไรหรอก แต่เนื่องจากว่าเราไปนึกถึงนางเงือกของพระอภัยมณี และเงือกน้อยของฝรั่ง (ลิตเติ้ลเมอร์เมด) เลยคิดว่าหน้าตาน่ารักมาก..ใช่ไหม ?

ความจริงบ้านเรามีเงือกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โบราณก็เจอกันบ่อย สมัยก่อนพอถึงเวลาเขาก็เคี่ยวน้ำอ้อย เสร็จแล้วเทใส่ภาชนะเพื่อให้แข็งตัว แล้วคว่ำเป็นฝา ๆ เขาว่าหน้าของเงือกใหญ่เท่างบน้ำอ้อย ตัวเต็มที่ก็ประมาณแขนเดียว ถ้าเห็นหน้าก็ไม่มีอารมณ์จะกินหาง เพราะหน้าตาน่าเกลียด แต่เป็นปลาจริง ๆ มีตัวผู้ตัวเมียเหมือนกัน อยากจะจัดเขาอยู่ในภูมิอสุรกายประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน

เราไปโดนเงือกของพระอภัยมณีหลอกว่าตัวใหญ่ แล้วเราก็คิดว่าน่าจะสวยมาก โดยเฉพาะคุณจักรพันธุ์..ใช่ไหม ? วาดรูปนางเงือกออกมาเช้งวับเลย อย่าไปหลงคารมว่าเงือกสวยนะ ถ้าใครเห็นเงือกตัวจริงสวย แสดงว่ากำลังป่วยตาลายเลย..!"



หมายเหตุ : คลิปเจอนางเงือก http://www.youtube.com/watch?v=G4UstZpNcsA

เถรี 04-10-2013 18:42

ถาม : ตอนธุดงค์ เคยเจอผีกองกอยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เจอ..เขาคงกลัวอาตมาจับกิน ตอนธุดงค์หิวไส้ขาดเลย ฉันอาหารวันละมื้อเดียวแล้วเดินทั้งวัน ตอนนั้นถ้าผีกองกอยมาตูจะกินให้ดู..! ไม่ใช่ให้มากินเรานะ เจอพระบ้า ๆ แบบนี้เข้า เขาเลยไม่กล้ามากวน

เถรี 04-10-2013 18:46

ถาม : นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าไม้ครู เอาไว้ตัดเคราะห์ เอาไว้ให้ลาภ เอาไว้สอนธรรม เป็นต้น ด้านหัวเอาไว้ตัดเคราะห์ เอาไว้สอนธรรมะ ด้านปลายเอาไว้ให้ลาภ ถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าเขาควรจะได้หรือเปล่า แล้วไปให้ เขาก็จะเอาลาภของเราไปแทน ฉะนั้น..ให้ส่งเดชเดี๋ยวก็ดีเอง ไม่ต้องไปเที่ยวตามหา เพราะว่าไม้ครูทำไม่กี่อัน ทุกคนจะมีรายชื่อบันทึกอยู่ ถ้าไม่มีรายชื่ออยู่ในบันทึกของทางวัดท่าขนุน แปลว่าได้มาจากที่อื่น

เถรี 04-10-2013 18:53

ถาม : ทำไมใจถึงมักปรามาสพระ ?
ตอบ : เรื่องของการปรามาสพระถือเป็นเรื่องปกติ เราทำความดีมา มารเขากลัวว่าเราจะพ้น ก็หลอกให้เราปรามาสพระไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าเรามัวแต่เดือดเนื้อร้อนใจฟุ้งซ่านอยู่ เราก็จะไม่มีกำลังใจทำความดี ให้ตั้งใจขอขมาพระไปเรื่อย ๆ พวกนี้ทนลูกตื๊อไม่ได้หรอก พอเห็นเราไม่สะดุ้งสะเทือนเดี๋ยวเขาก็ไปเอง

เถรี 04-10-2013 18:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคำถามว่าฆราวาสรักษาธุดงควัตรได้ไหม ? ธุดงควัตรมี ๑๓ ข้อ เป็นฆราวาสทั่วไปรักษาได้ ๒ ข้อ คือ กินอาหารมื้อเดียวได้ ๑ และไม่รับอาหารที่มาภายหลัง ๑ นอกนั้นจริง ๆ เป็นงานของพระภิกษุสามเณร

ภิกษุณีก็ธุดงค์ได้ แต่ว่าธุดงค์ของภิกษุณีลดไปหลายข้อ เพราะภิกษุณีไปไหนต้องมีเพื่อนไปด้วย เลยกลายเป็นว่าคลุกคลีกับหมู่คณะ ไม่ได้ปลีกวิเวก

ศีลของภิกษุณีไม่อำนวยให้รักษาธุดงค์ข้ออยู่ป่า เพราะเขาบังคับว่าภิกษุณีต้องอยู่ในอาวาส ห้ามอยู่ปนกับพระ แต่ไม่ให้อยู่นอกเขตวัด ก็ต้องมีที่อยู่เฉพาะของตัวเอง แล้วเรื่องของการห้ามอาหารที่มาภายหลัง ศีลของภิกษุณีก็บังคับไว้ ส่วนเรื่องของการอยู่กลางแจ้ง อยู่โคนไม้ อยู่ป่าช้า ผู้หญิงทำไม่สะดวก ฉะนั้น..ธุดงค์ของภิกษุณีน่าจะเหลืออยู่ประมาณ ๘ ข้อเท่านั้น"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว