![]() |
ถาม : ผมฟังซีดีหลวงพ่อวัดท่าซุง มีบางอารมณ์ที่เคลิ้ม ๆ เหมือนจะหลับแต่ไม่หลับครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นสภาพจิตกำลังจะทรงเป็นฌาน แต่สติตามไม่ทัน ถ้าเราสามารถก้าวข้ามไปได้ หลังจากนั้นจะเริ่มเป็นปฐมฌาน ถาม : พอเราถึงจุดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเราควรภาวนาต่อ หรือควรจะหยุดภาวนา ? ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ก็กำหนดคำภาวนาต่อไป ถ้าจะหยุด ถึงเวลาจะหยุดเอง หรือว่าหายไปเอง ไม่ใช่เราไปบังคับให้หยุด ถ้าหยุดก็ให้ตามดูเฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วสมาธิจะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ถาม : เวลาถึงฌานหนึ่ง ภาพพระจะยังไม่สว่างใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเป็นฌาน ๑ จริง ๆ ภาพของพระจะสว่างแต่ไม่ได้สว่างมาก แต่ถ้าเป็นสีขาวก็ลักษณะขาวเฉย ๆ ถาม : เป็นแบบขาวขุ่นหรือขาวใสครับ ? ตอบ : ขาวแบบผ้าขาวหรือกระดาษสีขาว จะเรียกว่าขาวขุ่นก็ได้ ถ้าขาวใสจะเป็นอีกระดับหนึ่ง สมาธิต้องสูงกว่านี้ ถาม : แล้วลงรายละเอียดอย่างไรครับ ? ตอบ : ไม่ต้องสนใจ ถ้าไปสนใจรายละเอียดจะไม่ก้าวหน้าไปไหน ถึงเวลาถ้าเราไม่สนใจ ความชัดเจนจะมีขึ้นเอง ถ้าไปมัวสนใจก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่ได้ไปไหน ถาม : หมายถึงเราไม่ต้องไปพยายามมองรายละเอียดเลย ? ตอบ : ไม่ต้องไปมองรายละเอียด ให้รู้ว่าภาพรวมเป็นอย่างไรก็พอ |
ถาม : เวลานึกภาพองค์พระให้อยู่ตรงกลางของกาย ควรอยู่เหนือสะดือหรือตรงไหนครับ ?
ตอบ : เรากำหนดไว้ตรงไหนของร่างกายก็ได้ เพียงแต่ว่าการกำหนดไว้ตรงจุดกึ่งกลางกาย ตรงที่สุดของลมหายใจ เพื่อให้เป็นไปตามลมหายใจเข้าออก ช่วยให้เรากำหนดได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่ถ้าเรามีความคล่องตัวแล้ว จะเอาไว้ส่วนไหนของร่างกายก็ได้ ถาม : ความจริงแค่เพื่อความสะดวกเท่านั้น ? ตอบ : ใช่..เพื่อความสะดวก เพราะว่าเราควบกับลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่ได้ควบกับลมหายใจเข้าออก เราจะกำหนดไว้ตรงไหนก็ได้ |
ถาม : ถ้าคนที่ปฏิบัติในคาถาเงินล้าน ติดอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ จะได้ผลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เท่าที่ดูมา พอเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าทำต่อเนื่องจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนจะได้ผล เพียงแต่ว่าการทำต่อเนื่องของเรา อย่าทำเพราะอยากได้ ถ้าทำเพราะอยากได้ ความฟุ้งซ่านจากความอยากจะตัดไปเกือบหมด พูดง่าย ๆ คือเรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง ถ้าทำใจอย่างนี้จะได้เร็ว |
ถาม : ทำไมเสาร์ห้าต้องอยู่เดือนธันวาคม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจเลยว่าเสาร์ห้าจะอยู่เดือนธันวาคม เสาร์ห้าอาจจะมีเดือนไหนก็ได้ เป็นเรื่องปกติตามรอบของจันทรคติ แต่จากประสบการณ์ที่อาตมาเจอมาก็คือ มักจะอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังคับขันอันตรายทุกครั้ง ก็เลยกลายเป็นว่า พอมีเสาร์ห้าพระ หรือพรหม หรือเทวดา หรือครูบาอาจารย์ ท่านจะใช้โอกาสนั้นในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น..การกล่าวถึงวันเสาร์ห้าของอาตมาจึงไม่ค่อยเหมือนคนอื่น |
ถาม : น้ำที่ใช้สรงพระบรมสารีริกธาตุของปีก่อนและปีนี้นำมารวมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..จะกี่ปีก็รวมกันได้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังผลิตตะกรุดกำลังแม่พระธรณีอยู่ ตอนแรกว่าจะมักง่ายทำเป็นแผ่นเดียว ปรากฏว่าต้นตำรับท่านไม่ยอม มีประท้วงด้วย..! อย่างไรก็ต้องใช้ ๗ แผ่น แล้วก็ให้ทำเป็นเนื้อเงินกับเนื้อทองคำด้วย แต่ให้แค่อย่างละ ๑๐๘ ชุดเท่านั้น ถึงเวลาไปแย่งกันเองก็แล้วกัน กะว่าจะให้เสร็จก่อนงานทอดกฐิน พูดง่าย ๆ ว่าให้ร่วมทำบุญกฐินของวัดท่าขนุน
คราวนี้ก่อนกฐินจะมีงานอยู่ ๓ งาน คืองานหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ วัดสระพัง เขาหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ๗ องค์ ถัดไปก็งานหล่อพระอุบาลีเถระ วัดไร่แตงทอง อาจารย์สายชลท่านล็อกคออาตมาติดมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะเรียน ปปส.มาด้วยกัน อย่างไรก็ต้องไปวัดเขาให้ได้ ถัดไปก็วันที่ ๘ กันยายน งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๘ องค์ วัดตะเคียนงาม เจอไป ๓ งานน่าจะพอ เสก ๓ งานยังไม่พอก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ปกติไม่เคยเสกนาน เขียนเสร็จเสกในตัวก็ใช้ได้เลย ไม่ใช่ตะกรุดเป็นทองหรือเงินเฉย ๆ เท่านั้น ลูกคั่นกลม ๆ นั่นก็ยังเป็นทองหรือเงินแท้ด้วย อย่าเพิ่งตกใจ ราคาไม่แพงหรอก ก็บอกเขาแล้วว่าไม่ได้ทำเอากำไร เป็นการทำตามคำสั่ง ในเมื่อสั่งให้ทำก็ทำ แล้วจริง ๆ ของอาตมาเอง ถ้าเงินมาเยอะก็เหนื่อยมาก กะว่าเนื้อเงินชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ทองคำชุดละ ๕,๐๐๐ บาท จะพยายามไม่ให้เกินนั้น ตะกรุดเล็ก ๆ ๗ ดอก ให้เขารีดบาง ๆ บอกให้รีดบางเป็นกระดาษเลย รู้สึกว่าลูกคั่นจะหนักกว่าเยอะ ตัวตะกรุดเองไม่หนักเท่าไรหรอก แล้วมีมือถักไหม ๗ สีของเราเองอยู่ ไม่ต้องไปจ้างเขาถักให้ ไม่ได้ถักยาว ๆ นะ ถักเรียงเป็นพวง เอาไว้แขวนหน้ารถก็ได้ แต่อย่าให้เขารู้ว่าเป็นทองคำแท้ ถ้าเขารู้ว่าเป็นทองคำแท้โดนปล้นแน่เลย..! ตอนแรกว่าจะทำเป็นดอกเดียว ลักษณะเป็นตะกรุดลูกอม สายเมืองกาญจน์ก็ต้องตะกรุดลูกอมโลกธาตุ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว แต่ปรากฏว่าต้นตำรับท่านไม่ยอม ของท่านต้อง ๗ ดอก ลำบากคนทำ ต้องม้วนกันมือหงิกเลย" |
ถาม : การทำกุมารทองที่ส่วนใหญ่เขาจะเอาวิญญาณผีมาทำ รู้สึกว่ามีพระรูปหนึ่งท่านช่วยให้กุมารทองจากผีนั้นกลายเป็นเทวดา ?
ตอบ : หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม ไปเปิดหาดูในอินเตอร์เน็ต ท่านมรณภาพนานแล้ว หลวงปู่แย้ม ลูกศิษย์สายตรงก็อายุ ๘๐ กว่าปีจะ ๙๐ ปีแล้ว สรุปว่ารุ่นคุณเกิดไม่ทันหรอก ถาม : ท่านทำบุญให้หรืออุทิศให้ครับ ? ตอบ : ไม่ได้ถามท่าน ท่านใช้คำว่า "ข้าเสกให้เป็นเทวดาหมดแล้ว" |
ถาม : ขอความเมตตาให้ช่วยอธิบาย ทุกข์กับทุกขสัจจะครับ
ตอบ : ทำไมต้องไปอธิบายด้วย ? อะไรที่ต้องทนเป็นทุกข์ทั้งหมด เอาง่าย ๆ แค่นั้น เรื่องพวกนี้เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ เพราะว่าการรู้เป็นหน้าที่ของคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปสอนเขา ให้เรารู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรแล้วก็เลิกสร้างสาเหตุของความทุกข์ไม่ให้เกิดแก่เราก็พอ ถึงเวลาก็มัวแต่ไปหาอยู่ว่าทุกข์กับทุกขสัจจะเป็นอย่างไร ทุกขสัจจะคือความทุกข์ที่เป็นจริง เป็นจริงอย่างไร ? คืออยู่กับเราจริง ๆ เวลาความทุกข์ทั่วไปปรากฏขึ้น นั่นแหละคือทุกขสัจจะ อันหนึ่งคือความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นกับเรา อีกอย่างหนึ่งเป็นความจริงในทุกข์ที่ปรากฏขึ้นกับเรา ก็มาพร้อมกันนั่นแหละ มัวแต่ไปหาข้ออธิบายอยู่ก็พอดีไม่ต้องทำอะไรกัน บุคคลที่มีวิสัยจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าต้องรู้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น..เรื่องที่เราไม่ต้องเรียน ท่านก็ต้องเรียนเสียแทบเป็นแทบตาย ของเราอยากลำบากแบบนั้นหรือ ? |
ถาม : ตะกรุดกำลังแม่พระธรณีมีอานุภาพอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพคือทำให้คนแย่งกันจอง..! ตะกรุดกำลังแม่พระแม่ธรณีจริง ๆ เป็นมหาเสน่ห์ แต่คราวนี้ท่านบอกว่าอยู่ที่ไหนก็จะปลอดภัย ยายผีป่าให้คำจำกัดความว่า "ตราบใดที่ตีนยังติดพื้นอยู่ก็จะปลอดภัย" อาตมาบอกว่า "ถ้าเอ็งขับรถก็เอาตีนแตะถนนไว้ด้วยแล้วกัน..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การพิมพ์หนังสือแต่ละครั้งหมดเงินไปเป็นแสนบาทเหมือนกัน แต่นึกถึงกำลังใจของโยมที่อ่านหนังสือแล้วต้องยอมลงทุน แบบเดียวกับที่ท่านอาจารย์ดร. มนตรา อ่านเสร็จแล้วปีติมาก อดไม่ได้ เขียนลงในบล็อกเลย ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์สักคนหนึ่งก็ถือว่าคุ้มแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ อะไรที่เป็นเนื้อหาธรรมะหลัก ๆ เขาไม่ค่อยอยากได้ ต้องเอาประเภทสอดแทรกไปทีละนิดหน่อย รู้สึกว่าจะได้ผลมากกว่า
สำหรับเว็บวัดท่าขนุน เพื่อน ๆ ที่เรียนกันอยู่ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมักจะเข้าไปดูกันแล้วก็บอกว่า “อาจารย์เล็ก ผมจ้างทำเว็บให้วัดผมบ้างได้ไหม ?” อาตมาบอกว่า “เว็บวัดท่าขนุนผมเองไม่ได้ไปทำหรอก โยมเขาทำให้” เขาบอกว่าเว็บน่าสนใจตรงที่มีข้อมูลใหม่อยู่ทุกวัน อาตมาบอกว่านั่นขึ้นอยู่กับความขยันของเขา และเว็บของเรามีผู้รับผิดชอบแต่ละห้องต่าง ๆ กันไป แต่ละคนก็จะต้องหาเนื้อหามาลงในห้องของตัวเอง เขาบอกว่าเว็บของวัดอื่น ๆ ส่วนใหญ่มีหน้าเดียว ทั้งปีทั้งชาติไม่ได้เปลี่ยนไปไหนเลย เข้าไปแล้วไม่มีอะไรใหม่ก็เลยเบื่อ เว็บวัดท่าขนุนต่อให้ไม่มีอะไร กระทู้ทำบุญก็ยังเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย ขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเว็บทุกท่านได้โปรดทราบว่า เว็บวัดท่าขนุนได้รับคำชมเชยจากเพื่อนฝูงของอาตมาเป็นอย่างสูง เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเว็บที่ไหน active ขนาดนี้ มีข้อมูลใหม่ทุกวัน ความจริงก็เป็นลีลาในการเรียกแขกอย่างหนึ่ง ค่อย ๆ ลงทีละนิด ลงเยอะอ่านทีเดียวหมดก็ไม่มีอะไรใหม่ อยากจะอ่านต่อเนื่องก็ต้องเข้าเว็บทุกวัน ปรากฏว่าโยมที่ไม่ได้เข้าเว็บวันเดียว ตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ๓ เนื้อหมดไปแล้ว ตอนแรกอาตมาจะมักง่าย ทำแบบวัดหนองบ้านเก่า คือเขียนอักขระ ๗ ตัวอยู่ในตะกรุดดอกเดียว ปรากฏว่าโดน "ชยันโต ฯ" มา ท่านบอกว่า ทำอะไรให้เหมือนต้นฉบับเขาบ้างได้ไหม ? ก็ในเมื่อเขาจองกันกระจาย คนมาทีหลังไม่ทัน ลงสำรองไว้เยอะแยะ ก็เลยต้องใช้วิธีเลี่ยงบาลี ทำแค่ ๑๐๘ ดอกตามคำสั่ง ก็เอาเป็นเนื้อละ ๑๐๘ ดอกแล้วกัน นับอย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๘ หรอก จะว่าไปแล้วเรื่องของผี เรื่องของเทวดา จริง ๆ จะว่าตรงไปตรงมาก็ใช่ จะว่าพลิกแพลงได้ก็ใช่ ขึ้นอยู่กับเราเหมือนกัน เจ้าอ้อย(ศัลยา) ถูกผีตามมาทวงชีวิต บอกว่าสัญญาว่าจะอยู่แค่ ๑๘ ปีเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว อาตมาก็เลยบอกว่ายังไม่ถึง ผียืนยันว่าถึง อาตมาถามว่าถึงอย่างไร ? เขียนให้ผีดูว่านี่เลขอะไร นี่สิบ (๑๐) ใช่ไหม ? "ใช่" นี่แปด (๘) ใช่ไหม ? "ใช่" รวมแล้วสิบแปด (๑๐๘) ต้องเท่านี้ ตกลงว่าผีสู้ไม่ได้สะบัดหน้าหนีไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ยังไม่เห็นมาอีกเลย..!" |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่อาวุโสว่า "โยมทั้งหลายไม่ต้องทำอะไรมากนะจ๊ะ เราอายุมากแล้ว ค่อย ๆ ฝึกค่อย ๆ หัดอย่างคนอื่นก็ทำไม่ไหวแล้ว นึกถึงพระอย่างเดียว ถ้าตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่าน เอาแค่นั้นพอ ไม่ต้องคิดอะไรมาก นึกถึงภาพพระไว้ จะชัดหรือไม่ชัดอย่างไรก็ช่าง ขอให้นึกได้เท่านั้น
ตั้งใจนึกถึงพระพร้อมกับลมหายเข้าออก ให้ได้สักครั้งละ ๓ นาที ๕ ที ตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าชีวิตของเราสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรือว่าได้รับอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขออยู่กับพระอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่ต้องเสียเวลา ปล่อยให้รุ่นใหม่ ๆ เขาฝึกกันไป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเคยพูดเล่น ๆ ว่า ถ้าต้องเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ เพราะทำไว้จนได้เยอะเหลือเกิน โต๊ะฉันยาว ๓ เมตรครึ่ง อาตมานั่งหัวโต๊ะ จะไปเอื้อมถึงท้ายได้อย่างไร กับข้าววางจนไม่มีที่จะวาง เกิดจากนิสัยตัวเองที่ชอบทำบุญทีเดียว ถ้าโยมนั่งตรงนี้นาน ๆ จะสังเกตเห็น โยมบางคนถวายสังฆทาน ๑ ชุด ๒ ชุด ๓ ชุด ๔ ชุด ๕ ชุด ถวายไปเรื่อยชุดละ ๑๐๐ บาท ถ้าเป็นอาตมาก็เทตูมเดียวหมดไปเลย กลายเป็นว่าถึงเวลาจะได้อะไรก็จะได้เยอะ มาทีเดียวเลย ไม่ใช่ค่อย ๆ มาทีละน้อย
โยมที่ไปปฏิบัติธรรม พอพระออกบิณฑบาตก็เหมือนกัน ถึงเวลาออกไปใส่บาตร โยมซื้อมังคุดถุงหนึ่งประมาณหนึ่งกิโลกรัม โยมก็ใส่พระรูปละ๑ ผล ศิษย์วัดก็เก็บจนเซ็ง ถ้าเป็นอาตมาก็ใส่ลงไปทีเดียวทั้งถุง เออ..นิสัยทำบุญแบบนี้แหละ ที่ถึงเวลาได้รับก็ไม่เหมือนกัน พวกทำบุญตูมเดียวอาจจะได้รางวัลที่ ๑ ประเภทมังคุดทีละผลก็อาจจะได้เลขท้าย ๒ ตัวไปเรื่อย ๆ" |
ถาม : หลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูล ชาวบ้านเขาบูชาด้วยอะไรครับ ?
ตอบ : ข้าวต้มมัด ถาม : ไส้กล้วย ไส้เผือกอะไรก็ไม่ต่างกันใช่ไหมครับ ? ตอบ : อะไรก็ตาม..ขอให้เป็นข้าวต้มมัด คนแถวชัยนาท อุทัยธานี เขาจะเคารพหลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูลเป็นพิเศษ เพราะว่าปาฏิหาริย์ท่านมาก คนขออะไรก็มักจะสำเร็จ อาตมานี่แทบตายเพราะหลวงพ่อธรรมจักรมาแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อธรรมจักรมาเข้าฝันว่า ใครที่มีลูกชายคนหัวปี คือมีลูกคนโตเป็นผู้ชายนั่นแหละ ให้เอาข้าวต้มมัด ๘๐ มัดไปถวายพระ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่อย่างนั้นแล้วลูกจะตาย อาตมาบิณฑบาตไปครึ่งทาง บ้านที่ ๑ ออกมาใส่ข้าวต้มมัด ๑ ตะกร้า ๘๐ มัด อาตมาก็หิ้วถูลู่ถูกังไป บ้านที่ ๒ โผล่ออกมา ข้าวต้มมัดอีก ๑ ตะกร้า พอเห็นเข้าก็ "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ..เดี๋ยวโยมเอาไปถวายที่วัดเอง" เห็นพระหิ้วไม่ไหวแล้ว อีกปีหนึ่งคนที่เกิดปีมะ กับคนที่เกิดวันศุกร์ ให้ไปขอเงินคนอื่นให้ได้ ๒๙ บาท แล้วเอาไปถวายพระเป็นสังฆทาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โอ้..กลายเป็นขอทานกันทั้งเมือง มีข้อแม้ด้วยนะ ขอได้บ้านละบาทเดียว ไม่ใช่บ้านหนึ่งมี ๒๐ คน ขอ ๒๐ บาท..ไม่ใช่ ขอได้บ้านละบาทเดียว ดูวิธีการของท่านแล้วสุดยอดจริง ๆ อันดับแรก..คนที่กลัวตาย จะได้นึกถึงบุญกุศลไว้ อันดับที่ ๒ ต้องลดมานะตัวเองไปขอคนอื่นเขา อันดับที่ ๓ ได้ถวายสังฆทาน ท่านสามารถทำให้คนทำบุญได้เยอะขนาดนั้น แล้วก็มีผลตามที่ท่านบอกด้วย อาตมาไม่ได้อยู่แถวนั้นมา ๒๐ ปี ก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อธรรมจักรท่านบอกอะไรชาวบ้านอีก แต่เวลามีเลือกตั้ง สส. สจ. อะไรก็ตาม เขาไปเริ่มขบวนแห่ที่วัดหลวงพ่อธรรมจักรกันทั้งหมด กราบขอพรหลวงพ่อธรรมจักร ถวายพวงมาลัย จุดประทัด เสร็จสรรพเรียบร้อยค่อยแห่ออกจากวัดไปหาเสียง อาตมาก็ได้แต่คิดว่า แล้วหลวงพ่อจะให้ใครเป็น ? เล่นมาขอกันทุกคน แต่เป็นได้คนเดียว..! |
อาตมามีโอกาสผ่านไปก็แวะไปกราบท่าน หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปยืน สูงเกือบ ๒ เมตร ตามประวัติท่านบอกว่าลอยน้ำมา แล้วคนก็อัญเชิญท่านขึ้นที่วัดธรรมามูล ปรากฏว่าพอปีถัดมา คนก็สังเกตว่าท่านหายไปไหน มัวแต่ไปตามทางด้านอื่น ปรากฏว่าท่านกลับมาที่ในโบสถ์ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ที่ชัดที่สุดคือมีสาหร่ายติดอยู่ที่ฐานพระ เขาก็เลยเหมาว่าท่านอยากเล่นน้ำ เลยหนีลงไปเล่นน้ำมา ถึงเวลาครบรอบปีที่อัญเชิญท่านขึ้นมา ก็เลยมีพิธีอัญเชิญท่านสรงน้ำ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านลงน้ำเองอีก
สมัยก่อนแถวนั้นมีหลวงพ่อผล วัดดักคะนน ท่านดังมาก คนที่ไปชัยนาทก็เลยได้แวะ ๒ ที่ ไหว้หลวงพ่อธรรมจักรเสร็จก็เลี้ยวเข้าวัดหลวงพ่อผล อยู่ใกล้ ๆ กัน พอสิ้นหลวงพ่อผลแล้ว หลวงพ่อธรรมจักรก็ยังดังเหมือนเดิม อาตมาเองเคยติดสินบนหลวงพ่อวัดเขาพลอง หลวงพ่อโตองค์เบ้อเริ่มเลย ตรงใกล้ ๆ สวนนกชัยนาท บนท่านไว้ว่าถ้าถูกรางวัลที่ ๑ จะถวายผ้าห่ม แล้วก็ไม่เคยซื้อหวย วันดีคืนดีก็มีโยมถวายล็อตเตอรี่มา อาตมาก็บอกว่า เอ้า..ใครก็ได้ไปช่วยตรวจที มีอยู่ครั้งหนึ่งถูกเหมือนกัน แต่เป็นเลขท้าย ๒ ตัว กำลังรออยู่ว่าถ้าถูกรางวัลที่ ๑ จะได้ไปแก้บนท่านสักที |
ถาม : ถ้าผมเช่าพระพุทธรูปมาถวายพระ แล้วญาติโยมเขาเห็น เขาอยากทำบุญด้วย ก็ให้เงินมา ผมจะเอาเงินที่ได้มาไปใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...เงินทั้งหมดที่รับมาอย่าให้เกินมูลค่าพระพุทธรูป เกินเมื่อไรเอ็งซวยเมื่อนั้น สมมติว่าพระพุทธรูปราคา ๒,๐๐๐ บาท รับจากคนอื่นมาได้แค่ ๑,๙๙๙.๙๙ บาท ถ้าไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาทก็เป็นสิทธิ์ของคุณ เกินเมื่อไรเป็นของสงฆ์ทันที รีบเอาไปถวายพระเสีย จริง ๆ แล้วก็คือเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะเขาตั้งใจถวายพระพุทธรูปแก่พระ ในเมื่อเป็นดังนั้นก็ไม่ใช่สิทธิ์ของเรา ต้องถวายพระไปด้วย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ปีนี้นิมนต์พระ ๒๙ รูป จะมีพระใหม่ที่ไม่เคยมา ๑ รูป คือ หลวงพ่อสรวง วัดเขาพระ ที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก่อนนี้จะนิมนต์ก็ไม่มีที่อยู่ ครั้งนี้เจอกันกลางทางก็เลยนิมนต์ท่านเลย "อย่าลืมงานผมนะครับ" ท่านอยู่ลพบุรี จริง ๆ แล้วพระปฏิบัติของพวกเราจะมีอยู่ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักท่านหรือไม่ หรือว่าท่านจะยอมแสดงตัวหรือไม่ หลายต่อหลายรายที่ปฏิเสธสุดใจขาดดิ้น ไม่ยอมยุ่งกับชาวบ้าน
ส่วนใหญ่แล้วพระที่มาในสายปฏิบัติ ถ้าเป็นไปได้จะไม่ยุ่งกับชาวบ้าน ต่างคนต่างอยู่จะดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมา เป็นงานที่พระท่านมอบหมายให้ เป็นงานที่ครูบาอาจารย์ท่านมอบหมายให้ เป็นงานที่พรหมเทวดา หรือท่านที่ไม่เห็นตัว อาราธนาขอให้ช่วยทำ หรือว่าเป็นเวรเป็นกรรมที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่อดีต ถึงเวลาแล้วต้องมาทำ เรื่องแบบนี้หนีไม่ได้หรอก หนีแค่ไหนก็โดน" |
ถาม : จิตเป็นโมหะ คือลักษณะอาการเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในบาลีเขาใช้คำว่า เซื่องซึม น่าจะอยู่ในลักษณะของคนใจลอย ใจลอยค่อนข้างจะขาดสติ ในเมื่อขาดสติ หาทางไปไม่ได้ ถือว่าจัดอยู่ในโมหะ คือความหลง ไปไม่เป็น ไปไม่ถูก ถาม : อย่างเช่นเชื่อคำพูดอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นจริง ? ตอบ : อันนั้นจะเรียกว่าหลงไม่ได้ ต้องเรียกว่าปัญญาไม่ถึง ถือมงคลตื่นข่าว โมหะจริง ๆ ควรจะอยู่ในลักษณะกำลังใจที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ครองอยู่มากกว่า แต่เท่าที่ได้ฟังเขาอธิบายมาคือ สภาพจิตเซื่องซึม งุนงง เลยสรุปลงไปว่าขาดสติ ถาม : มีสติอยู่แล้วไม่มีปัญญา เป็นไปได้หรือครับ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วสติกับปัญญาเป็นของคู่กัน จะมากจะน้อยต้องมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้าสติเกินปัญญาก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไร ถ้าปัญญาเกินสติ ก็จะโฉ่งฉ่างบุ่มบ่าม แล้วก็พลาดได้ง่าย ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ จึงต้องไปพร้อม ๆ กัน คือต้องเท่า ๆ กัน อย่างไหนมากกว่าหรือน้อยกว่า จะเกิดอาการอย่างที่ว่ามา ที่บอกว่าถ้ามีสติแต่ไม่มีปัญญาเลย เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็ใช่..เพียงแต่ว่ามีมากมีน้อย |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานในหลวงเสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวังไกลกังวล พร้อม ๆ กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ช่วงนี้ที่ไกลกังวลอากาศน่าจะไม่ดีนัก มรสุมกำลังเข้า แต่ก็ไม่แน่ว่าด้วยพระบารมี ไปถึงฟ้าอาจจะเปิด อากาศดีไปเลยก็ได้ เมื่อวานทหารเรือยิงสลุตรับ โดยธรรมเนียมก็คือ ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องยิงสลุต ๒๑ นัด
ความจริงก็ต้องบอกว่า การแสดงความเคารพบางอย่างทำให้คนที่ไม่เข้าใจ เข้าใจผิดได้ อย่างสมัยก่อนเวลาเรือปืนฝรั่งเข้ามา เขามาในนามของพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ต้องยิงปืนรับ กลายเป็นว่าเขาคิดว่ายิงเขา จึงใส่คืนมา เลยรบกันเละ..! พอ ๆ กับเวลาเราไปอินเดีย เนปาล ทิเบต พวกถือธรรมเนียมเก่า ๆ เขาชอบใจจะแลบลิ้นให้ คนไทยก็ไม่เคยชิน อยู่ ๆ มาแลบลิ้นใส่หน้าตูทำไมวะ ? ถ้าเราอ่านในพุทธประวัติ อุปกาชีวก ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกแต่ว่าไม่ได้ฟังธรรม เพราะว่าตั้งใจจะสึกไปแต่งงานกับโยมที่พาไปรักษาโรคเบาหวาน เอ๊ะ...เรื่องเดียวกันหรือเปล่านะ ? อุปกาชีวกกำลังจะไปแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อน เจอพระพุทธเจ้าที่เพิ่งออกจากการเสวยวิมุติสุขใหม่ ๆ เป็นคนแรกเลยที่ได้เจอ แต่ไม่ได้ประโยชน์จากตรงนั้น ท่านเดินทางผ่านไป พระพุทธเจ้ากำลังจะเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระองค์ท่านเสด็จมาปรากฏว่าฉัพพรรณรังสีแผ่ออกมาด้วย อุปกาชีวกเห็นแล้วก็แปลกใจ นึกว่าไฟไหม้ป่า เพราะเห็นประกายพุ่งแปลบปลาบไปหมด แต่แปลกใจว่าไม่มีควัน เลยเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมฉัพพรรณรังสี เห็นเข้าก็เกิดความทึ่งมาก อุปกาชีวกถามว่า ท่านนับถือใครเป็นศาสดา ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านไม่ได้นับถือใครเป็นศาสดา เพราะท่านเป็นสยมภู คือผู้รู้ด้วยตนเอง บาลีบอกว่าอุปกาชีวกไม่เชื่อ เลยสั่นศีรษะแลบลิ้นให้แล้วเดินจากไป แต่ถ้าไปดูแขกในปัจจุบัน ถ้าใช่คือสั่นหัว ถ้าไม่ใช่คือพยักหน้า แลบลิ้นคือแสดงความเคารพ คราวนี้อุปกาชีวกไม่ได้ประโยชน์ตรงนั้น เพราะว่าจะรีบกลับไปแต่งงาน แต่อุปกาชีวะสอบถามว่า ถ้าต่อไปจะไปหาพระพุทธเจ้า จะไปหาได้ที่ไหน ท่านบอกว่าให้ไปหานักบวชที่เรียกว่าอนันตชินะ แปลว่าผู้ชนะโดยไม่มีประมาณ" |
"อุปกาชีวกไปแต่งงานกับลูกสาวเพื่อน ได้ลูกมา ๑ คน โดนเมียด่าอยู่ทุกวัน ด้วยความที่ตัวเองเป็นนักบวช ไม่เคยทำมาหากิน จึงทำมาหากินไม่เป็น ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้าน เมียก็ต้องทำงานงก ๆ ทั้งวัน ถึงเวลาลูกซนก็ด่าลูกกระทบผัว "ไอ้ลูกปริพาชกขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่นั่งกินแล้วนอน ไม่รู้จักทำงานทำการอะไร"
ต้องบอกว่าวาระของบุญเข้ามาถึง ทุกวันทนได้ วันนั้นอุปกาชีวกทนไม่ได้ บอกว่า "เราเป็นผู้ที่ไม่มีอะไร แต่ตอนนี้เราได้ข่าวว่า เพื่อนที่เรารู้จักคือพระสมณะโคดม เราไปหาเพื่อนของเราก็ได้" ที่มั่นใจว่าเป็นสมณะโคดมเท่านั้น เพราะศาสดาอื่นไม่เคยได้ยินว่ามีฉัพพรรณรังสี ว่าแล้วอุปกาชีวกก็คว้าไม้เท้าได้เดินลงเรือนไปเลย ถามข่าวคราวแล้ว ได้ยินว่าพระสมณโคดมอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ก็ตรงดิ่งไปเลย พอไปถึงปรากฏว่าเจอพระอานนท์ แสดงว่าอุปกาชีวก ตั้งแต่เจอพระพุทธเจ้าจนกระทั่งไปหาพระองค์อีกครั้ง ระยะเวลาเกิน ๒๐ ปี เพราะพระอานนท์ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในพรรษาที่ ๒๐ กว่า มิน่า..อยู่จนลูกโต โดนด่าทุกวันยังอุตส่าห์ทนอยู่ได้ พระอานนท์สอบถามว่ามาหาใคร ? อุปกาชีวกบอกว่า มาหาพระอนันตชินะ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า เช้านี้อุปกาชีวกจะมา จึงสั่งพระอานนท์ไว้ก่อนว่า ถ้ามีคนมาถามหาพระชื่ออนันตชินะ ให้พามาหาเรา พออุปกาชีวกเจอพระพุทธเจ้าก็จำได้ บอกว่าองค์นี้แหละที่เจอกันในราวป่าตอนนั้น ก็เล่าให้ฟังว่าไปแต่งงาน ตอนนี้ชีวิตรักขมมาก มีลูกโตแล้วก็จริง แต่เมียด่าอยู่ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านเลยเทศน์อนุปุพพิกถาให้ฟัง เป็นเนื้อหาการเทศน์ที่กล่าวถึงเรื่อง อานิสงส์ของทาน การรักษาศีล การทำความดีเบื้องต้นแล้วไปสวรรค์ แล้วท้ายที่สุดวกกลับมาเรื่องความน่าเบื่อหน่ายของการครองเรือน ในที่สุดก็วิธีการที่ออกจากการครองเรือน อุปกาชีวกได้ฟังแล้วเลื่อมใส ขอบวช แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรม ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล ต้องบอกว่ายังเป็นโชคดีของท่านที่เลี้ยวไปทัน ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปก่อนก็จบเลย เจอเป็นคนแรกแต่ไม่ได้อะไร เสียของเปล่า ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของวาระบุญวาระกรรม วาระการบรรลุมรรคผล ต้องรอระยะการสั่งสมไประยะหนึ่ง จนกระทั่งเขาใช้คำว่ามีอินทรีย์หรืออุปนิสัยแก่กล้าพอแล้ว เมื่อรับธรรมเข้าไปถึงจะเกิดผล เหมือนดอกบัวที่ชูช่อพ้นน้ำ พอเจอแสงอาทิตย์จึงจะบานได้ อุปกาชีวกเจอพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกหลังตรัสรู้ แต่ต้องรออีกกว่า ๒๐ ปี กว่าจะได้ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสไปปฏิบัติจนบรรลุมรรคผล ความจริงท่านชื่อ อุปกะ แต่ท่านเป็นอาชีวก บาลีเลยเอาสองตัวมาเชื่อมกัน อุปกะ + อาชีวก = อุปกาชีวก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสว่า อัปปิจฉตา...ทำให้มักน้อย สันตุฏฐิตา...ปฏิบัติไปแล้วจะเกิดความสันโดษ ยินดีตามมีตามได้ ไม่โลภมาก สัลเลขตา...ปฏิบัติแล้วขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ปวิเวกตา...ชักนำให้ออกจากหมู่ เพราะถ้าคลุกคลีกับหมู่คณะ โอกาสปฏิบัติธรรมแล้วจะเกิดความก้าวหน้าก็มีน้อย"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอ่านผลงานวิจัยของฝรั่ง เขาบอกว่าถ้าคนเราโกรธน้อย ร่างกายจะทรุดโทรมช้า มานึกถึงภาษาบาลีที่ใช้คำว่า ไฟโทสะจะเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมเร็ว เออ..ตรงกัน งานวิจัยของฝรั่งในที่สุดก็มาลงในพระไตรปิฎก คนที่สามารถรักษากำลังใจของตัวเองได้ ร่างกายจะโทรมช้า แต่ว่าแก่เหมือนคนอื่นนั่นแหละ เปลือกนอกหลอกหน่อยเดียวเอง
พยายามรักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไรเรารู้หมด แต่ว่าเราคุมมันได้ไหม ? ส่วนใหญ่ที่เราคุมไม่ได้เพราะ ๑. สติ ไม่พอที่จะยับยั้ง ๒. สมาธิ กำลังไม่พอที่จะหยุด ๓. ปัญญา หาวิธีการไม่เจอว่าจะจัดการอย่างไร ? เรื่องพวกนี้ต้องพยายามเน้น ระดับของเราต้องเน้นที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติจะมี แล้วปัญญาจะเกิด สมาธิเหมือนกับแกนกลาง สติกับปัญญาเหมือนลูกตุ้มตาชั่ง ถึงเวลาก็ชั่งน้ำหนักว่าสถานการณ์อย่างนี้จะจัดการอย่างไร ?" |
ถาม : สมาธิแก่กล้า จำเป็นไหมว่าสติต้องแก่กล้าด้วย ?
ตอบ : ต้องไปด้วยกัน ปัจจุบันอาตมายืนยันเลยว่าบางสายปฏิบัติผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาบอกให้ใช้เฉพาะอุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิเท่านั้น ท่านใช้คำว่า เมื่อเรากำหนดจดจ่อต่อเนื่องนานไป ๆ เหมือนเราสะสมงาทีละเมล็ด นานไปก็มีเมล็ดงามากพอ ที่จะคั้นเอาน้ำมันไปใช้งานได้ อาตมาเองฟังแล้วมานั่งเซ็ง ก็ตูมีงาทั้งเกวียนแล้วทำไมต้องมาเก็บทีละเมล็ด ? เขาบอกว่าไม่ได้ อินทรีย์ ๕ ต้องเสมอกัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันไม่สามารถจะใช้งานได้ อ๋อ..นี่ลอกพระไตรปิฎกมาเป๊ะ ๆ เลย ในเมื่อผมมีสมาธิอยู่แค่นี้ ทำไมไม่ปรับศรัทธา สติ วิริยะ ปัญญา ให้ขึ้นมาเท่ากัน ทำไมทะลึ่งให้ลดสมาธิลงไป ? คนเราใส่เกราะอยู่ดี ๆ จะให้ถอดเกราะ ทิ้งอาวุธขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน มือเปล่า ก็มีหวังตายฟรี ฉะนั้น..อาตมายืนยันว่า ถ้าปฏิบัติแบบนี้ ชาตินี้ไม่ต้องหาคนได้มรรคผลหรอก ถ้าเป็นพื้นฐานขั้นแรกจะได้ เพราะคนกำหนดสติจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า สติที่ดำเนินไปเฉพาะหน้าจะไม่ไปวุ่นวายกับกิเลส แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไร เป็นโดนกิเลสตีหงายท้องทุกราย ก็เลยกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้ เขาทำได้หน่อยหนึ่ง แล้วไปแนะนำอย่างนั้น พอสมาธิเริ่มสูงเขาให้กำหนดตัวรู้ กำหนดรูปนั่ง กำหนดรูปยืน กลายเป็นดึงสมาธิย้อนกลับมา คนขึ้นบันไดแล้วก็โดนลากกลับมาอยู่ขั้นแรกทุกทีเลย แล้วเมื่อไรจะถึงจุดหมายเสียที ถาม : ผู้ได้สมาธิแก่กล้าแล้วต้องมาเจริญสติให้มากขึ้น ? ตอบ : ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้วสมาธิขนาดนั้น สติต้องมีเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่ปฏิบัติ วิริยะมีไหม ? ถ้าไม่มีก็ไปไม่ถึงขั้นนั้น เหลืออย่างเดียวคือปัญญา ว่าจะจัดการอย่างไร ? |
ถาม : เขาบอกว่า "วิริยะต้องสมดุลกับสมาธิ ถ้าสมาธิมีมากจะเกียจคร้าน" ผมไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : การที่เรานั่งเฉย ๆ เขาเห็นว่าเกียจคร้าน แต่จริง ๆ แล้ว เขาทำไม่ได้เองก็เลยอธิบายมาแบบนั้น ถ้าทำเองจะเห็นว่าในระยะที่สมาธิดำเนินไป ข้างในจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง ไปโดยอัตโนมัติ แต่เขาเห็นว่าเรานั่งเฉย ๆ เขาเลยบอกว่าต้องไปนับ ๑ ใหม่ ต้องอย่างนั้นถึงจะขยัน ถาม : ผมก็งง เพราะว่าพอเข้าสมาธิแล้วก็มีความขยัน ไม่เห็นจะลดละเลย ? ตอบ : ถ้าไม่ขยันใครจะไปนั่ง ? แต่คราวนี้เขายืนยันว่าทำให้เกียจคร้าน ทำให้เซื่องซึม อาตมาก็ว่าเข้าสมาธิแล้วสภาพจิตสดชื่น แหลมคม ว่องไวกว่าปกติ อะไรที่เข้ามารู้ทันหมด จะว่าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ ถ้าเราไปว่าเขา ก็เท่ากับเราไปโจมตีสายการปฏิบัติของเขา อาตมาเลยมีความเห็นว่า สายการปฏิบัติทุกสาย ถ้าเอาคนเข้าวัดได้ก็ใช้ได้ คนเข้าวัดก็คือคนที่ขาดที่พึ่งทางใจ เหมือนกับคนหิว ถึงเวลาต้องการอาหาร อาหารจะรสชาติเฮงซวยอย่างไรก็ขอให้ได้กินเถอะ พออิ่มขึ้นมา ต่อไปเขารู้ว่าอาหารรสไม่ถูกปาก เดี๋ยวเขาก็ไปหาร้านที่ถูกใจเขาเอง ฉะนั้น..อันดับแรกให้เอาคนเข้าวัดได้ก่อน เพียงแต่ว่าใครไปสายโน้นก็เดินไกลหน่อย |
ถาม : ในการเจริญเมตตา มีการบริกรรมแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีหญิง มีชาย มีพระอริยเจ้า มีมนุษย์ เทวดา พรหม มีโอปาติกกะ ทำอย่างนั้นได้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ควรจะเป็นทั้งหมดพร้อมกัน แต่ว่าบางอาจารย์ท่านแนะนำให้แผ่ไปทีละอย่าง ก็ดีเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ให้ผู้หญิง ให้ผู้ชาย ให้พรหม ให้เทวดา แต่อาตมาถนัดให้ทีเดียวหมด เวลาเรากำหนดใจแผ่เมตตาไปถึงระดับหนึ่ง จะเหมือนกับตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า กระแสเมตตาที่แผ่ออกไป ถึงทุกภพทุกภูมิได้ง่ายมาก ขนาดโลกเราเหมือนลูกอะไรเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่ใต้ตัวเรา กำหนดจิตคลุมได้ทั้งโลกเลย ต้องทำลักษณะอย่างนั้น สภาพจิตของเรามีอยู่ส่วนหนึ่ง คือ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ตั้งใจอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ความคล่องตัวต่างกันเท่านั้นเอง การแผ่เมตตาเบื้องบนถึงพรหมชั้น ๑๖ เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก เบื้องขวางเป็นโลกธาตุที่ประมาณไม่ได้ ฉะนั้น..จะว่าไปแล้วไม่มีข้อจำกัด ถาม : ในขณะแผ่เมตตาต้องเป็นฌานไหนครับ ? ตอบ : จะเป็นฌานไหนก็ได้ ขอให้ได้สักฌานกำลังก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่ถึงฌาน เป็นแค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ ยังทำไม่ได้แบบนั้น ถาม : ผมเข้าใจว่าต้องบริกรรมไปเรื่อย ๆ พอแนบแน่นแล้วค่อยแผ่ ? ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน คือกำหนดแผ่ไปเรื่อย ๆ แล้วสมาธิจะทรงตัวมากขึ้น ๆ กับอีกอย่างหนึ่งคือเข้าสมาธิให้ทรงตัวไปเลย แล้วค่อยแผ่ออกไป ท่านที่คล่องตัวแค่คิดก็เป็นแล้ว |
ถาม : มีปัจจัยอะไรที่เกื้อหนุนให้เราเข้าถึงสภาพจิตคนหนึ่ง เช่น เขาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ใจอยู่ในระดับรู้ได้ดี แต่ว่าจะมีตอนหนึ่งก่อนที่จะนำอธิษฐาน ...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : เกิดจากคำอธิษฐานที่ว่า "เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ารู้เหตุนั้นได้โดยไม่ต้องกำหนดจิต" พอเราไปเปิดเครื่องรับแล้วสัญญาณเข้ามา เราก็รับได้ ถาม : ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าหนูจะเปิดบ้าง ว่างวดหน้าหวยออกอะไร ? ตอบ : สบาย...ลองดูได้เลย ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยรองรับ ไม่มีไม่ได้ การปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจะมีคำอธิษฐานอยู่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้ารู้ได้โดยชัดเจนแจ่มใส โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" คราวนี้รู้หรือยังว่าเพราะอะไร ? บางอย่างเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร แต่ความจริงเราตั้งใจจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราลืมความตั้งใจนั้นไป |
ถาม : จิตที่เป็นอสังขตธาตุ คืออะไร ?
ตอบ : คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่งอีกแล้ว เรียกว่าอสังขตธาตุ ต้องบอกว่าเป็นธาตุที่อยู่ตัวแล้ว ตามที่เขาว่ามาก็คือว่ากำลังใจของพระในระดับนั้น การปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีแล้ว การยินดียินร้ายไม่มีแล้ว กลายเป็นสภาพจิตที่ปราศจากการปรุงแต่ง เรียกว่าอสังขตธาตุก็ชัดเลย ถาม : มีเครื่องหมายอันใดที่บรรลุมรรคผล ? ตอบ : ถ้าบรรลุจริง ๆ จะมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ญาณ เครื่องรู้จะบังเกิดขึ้นกับตนเอง รู้ว่าชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ของเราจบแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือพระท่านจะเสด็จมาให้คำพยากรณ์เอง ส่วนใหญ่ประเภทหลังนี้มาในสายของอภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ พระจะเสด็จมาบอกเอง เพราะท่านรับได้ชัดเจน ส่วนสุกขวิปัสสโกหรือเตวิชโช จะเกิดญาณคือเครื่องรู้ว่าเราไปถึงระดับไหนแล้ว |
ถาม : ขอคำแนะนำในการปฎิบัติ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ทำให้จริงก็แล้วกัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเรารู้กันทุกคน แต่ทำยังไม่จริง ทุ่มเทไปเลย ประเภทถ้าไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย แล้วจะสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่พวกเรายังทำไม่จริง ยังประเภทชักเข้าชักออก ต้องถามว่า ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนากี่ชั่วโมง ? เอาแค่นี้ก็รู้แล้ว |
มีพระมากราบขอขมาหลวงพ่อช่วงเข้าพรรษา "ภาษาพระเขาเรียกว่าทำวัตร จริง ๆ ก็คือสมัยก่อนนั้นช่วงเข้าพรรษาประมาณครึ่งเดือนแรก พระที่ท่านจำพรรษาอยู่ในที่ต่าง ๆ จะไปกราบรายงานตัวต่อครูบาอาจารย์ ว่าตอนนี้ตนเองไปอยู่ที่ไหน มีความสุขความทุกข์อย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านจะได้รับรู้เอาไว้ ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือ จะได้รู้ว่าท่านไปอยู่ที่ใด
ส่วนลักษณะของการยืน สมัยก่อนเขาถือว่าการเคารพมากคือการยืนแสดงความเคารพ ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า พรหมหรือเทวดามาถวายความเคารพพระพุทธเจ้า "ยืนอยู่ในส่วนที่ควรข้างหนึ่ง" สมัยก่อนแสดงความเคารพด้วยการยืนไหว้" |
ถาม : ผมอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแต่เขาไม่รับ เขาจะขอจองเวรผมต่อไป จะให้ผมทุกข์ทรมานอยู่จนสิ้นอายุขัย ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะทำอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : กิน นอน ภาวนา ไม่ต้องไปสนใจ เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา คุณจะไปเดือดร้อนอะไร ถ้าเขาจะทำเราได้แปลว่าช่วงนั้นกุศลของเราขาดช่วงลง ทำให้อกุศลแทรกได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างกุศลใหญ่ โดยเฉพาะการภาวนาให้ต่อเนื่องไว้ ดูว่าชาตินี้เขาจะมีปัญญามาไหม ? ถ้ามาได้ก็ภาวนาต่อ รอชาติถัด ๆ ไป แน่จริงเอ็งไปทวงให้ได้ก็แล้วกัน..! |
ถาม : ทุกครั้งที่ผมประพฤติสุภาพเรียบร้อยอ่อนน้อม ผมจะโดนรังแกกลั่นแกล้ง ?
ตอบ : จงสุภาพอ่อนน้อมต่อไป ถ้าเขาตบหน้าข้างซ้าย ก็ยื่นหน้าข้างขวาให้ตบ ถ้าไม่พอก็นอนลง..เชิญเลยพี่..กระทืบซ้ำได้เลย เป็นการฝึกเมตตาบารมีและขันติบารมีของเราด้วย ดูว่าเราอดทนอดกลั้นได้แค่ไหน คุณลองไปอ่านขันติวาทีดาบสในพระไตรปิฎกดู แล้วจะรู้ว่าท่านอดทนแค่ไหน |
ถาม : มีวิธีลดอายุขัยไหมครับ ?
ตอบ : มี..กินเยอะ ๆ เขาว่ากินมากจะตายเร็ว ฝรั่งบอกว่า You are what you eat. ภาษิตจีนบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก แต่เภทภัยออกจากปาก จงระวังปากให้ดี |
ถาม : สมี แปลว่าอะไร ?
ตอบ : สมี แปลว่า พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง ถาม : สมีคำ แปลว่าอะไร ? ตอบ : ก็แปลว่า นายคำผู้ต้องอาบัติ ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสืออดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๒ มี ๒๐ เรื่อง ตอนที่ ๑ เอาไปให้ท่านอาจารย์ ดร. มนตรา ท่านก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ เขียนชมลูกศิษย์ของท่านไว้ในบล็อกส่วนตัวจนเลิศลอย เวลาคนอื่นเขียนถึงเรา อาตมาชอบอ่าน ไม่ได้ชอบอ่านที่เขายอเรา แต่อยากรู้ว่าคนอื่นมองอาตมาในแง่มุมแบบไหน
โบราณเขาบอกว่าคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ลองนึกดูว่าหนังที่ห่อหุ้มตัวเรา ย่อมไม่มีทางใหญ่กว่าเสื่อได้..ใช่ไหม ? เพราะตัวเรานอนอยู่บนเสื่อยังเหลือตั้งเยอะแยะ หนังเราต่อให้คลี่ออกมาทั้งตัวก็ไม่มีทางใหญ่กว่าผื่นเสื่อ ท่านจึงเตือนให้รู้ว่า ถึงมีคนรัก ก็มีคนเกลียด แล้วคนที่เกลียดก็มักจะมากกว่าด้วย คือเป็นการเตือนใจให้เราทำความดีอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคนเกลียดมากขึ้นแล้วจะอยู่ลำบาก" |
ถาม : ที่วัดท่าซุงมีหมาทรงฌานได้ ไม่ทราบว่าที่วัดท่าขนุนมีหมาทรงฌานได้แบบเจ้าทหารหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยได้อยู่เลยไม่ได้สังเกต สุนัขที่ท่าขนุนทรงฌานได้อย่างหนึ่ง คือถ้าได้ยินเสียงเจ้าอาวาสจะหนีสุดชีวิต..! จำขึ้นใจเลย โดยเฉพาะหมานี่แปลก ตรงไหนที่ห้ามมักจะไป คนอื่นเขาก็ไม่ตีจริง ๆ จัง ๆ แต่อาตมาตีจริง ๆ เพราะถือว่าถ้าเราเมตตาเขา เราต้องสอนให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไอ้ดอกรัก โดดขึ้นสำรับพระแล้วฉี่รด ทำเครื่องหมายไว้เลย แบบนั้นโทษหมาไม่ได้..ต้องโทษคน โอ๋จนเสียหมา ทำขนาดนั้นยังไม่ตีให้รู้จักจำ อาตมาตีกระจายเลย มุดหนีเข้าใต้เตียง อาตมาก็มุดเข้าตามไปตี คนอื่นกลัวไอ้ดอกรักเพราะดุมาก อาตมาไม่กลัวก็ตีไปเรื่อย ทดสอบว่าตัวเองเหนียวจริงหรือเปล่า ท้ายสุดไอ้ดอกรักทนเจ็บไม่ได้ก็ต้องหนี หลังจากนั้นมาพอได้ยินเสียงอาตมา จะเผ่นแนบเลย..! ตอนอาจารย์สมพงษ์ยังอยู่ ไปเตะไอ้ดอกรักแล้วโดนกัดเหวอะเลย แม่ชีวราภรณ์บอกว่า " โอ๊ย..อาจารย์โดนกัดเข้าอย่างนี้ ยังออกเหรียญรุ่น ๑ ไม่ได้หรอก อาจารย์เล็กโดนกัดอยู่ทั้งวันยังไม่เห็นจะเข้าเลย" ปากอย่างนี้จะไม่ได้อยู่วัด เจ้าอาวาสโดนกัดยังไปซ้ำเติมอีก..! ปีนี้เฉพาะตึกประจวบดีตึกเดียวมีลูกหมา ๔๐ กว่าตัว พวกสัตว์จะมีลูกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอาหาร อาหารมากจะมีลูกมาก หมาครอกหนึ่งมี ๖ ตัว ๘ ตัว ไม่มีน้อย ๆ เลย ทำให้พระต้องลำบาก อดตาหลับขับตานอนไปกับลูกหมา เพราะว่าร้องทั้งคืน นมแม่มีไม่พอกิน พระต้องเดือดร้อนมาชงนมให้ลูกหมากิน ไปนึกถึงที่วัดไร่ขิง เจ้าคุณรวมท่านใช้ให้พระใหม่ไปติดป้ายว่า ห้ามเอาหมาแมวมาปล่อยวัด พระใหม่ไปถึงก็ติดป้ายว่า "ผู้ใดเอาหมาแมวมาปล่อยวัด ตกนรก ๕๐๐ ชาติ" ท่านเจ้าคุณบอก "มึงรีบเอาลงเลย" ถามว่าใครจะช่วยจัดการได้บ้าง พระใหม่อีกรูปหนึ่งยกมือ แต่งเป็นกลอนด้วยนะ “ที่นี่มีมากแล้วทั้งแมวหมา โยมไม่ต้องจัดหามาถวาย ที่ต้องการคืออิฐหินดินและทราย ปูนก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา” สรุปแล้วได้วัสดุก่อสร้างมาเยอะเลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของครู โบราณถือว่าเป็นหลักชัยหลักหนึ่งของชีวิต พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา สั่งสอนเราให้เอาตัวรอดในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ที่จะคุ้มครองตัวเรา คุ้มครองครอบครัว ช่วยในการทำมาหากินและช่วยป้องกันประเทศชาติ
ดังนั้นสมัยก่อนครูนี้สำคัญที่สุด เขาถึงได้มีการไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ ถ้าพวกเราเคยศึกษาคาถา จะมีพระคาถาอยู่บทหนึ่งเรียกว่าโองการมหาทมื่น โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา..ฯลฯ ชัดไหม ? ความมั่นใจในคุณครูบาอาจารย์ที่ปกเกศปกเกล้า ที่อบรมสั่งสอนตัวเองมา ทำให้เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นถึงขนาดนั้น ว่าถ้าเอ่ยถึงครูเมื่อไรก็ไม่มีใครสู้ได้ ถ้าเราไปดูในวรรณคดีไทยเรื่องต่าง ๆ จะเห็นว่าเขาเอ่ยถึงครูด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความเคารพจริง ๆ อย่างแสนตรีเพชรกล้า ถือว่าเป็นยอดทหารเอกของล้านนา บอกกับพลายงามว่า พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง เอ่ยถึงครูด้วยความเคารพศรัทธาและภาคภูมิใจสุด ๆ ว่าที่ตัวเองเก่งกาจมาได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยฝีมือของครูที่ได้อบรมมา" |
"ถ้าไปดูเรื่องของไกรทอง ไกรทองอย่างเก่งก็สูงไม่เกิน ๔ ศอก ก็วาหนึ่งใช่ไหม ? ชาละวันเป็นไอ้เข้ยักษ์ยาวตั้ง ๙ วา ๑๘ เมตรนะจ๊ะ เรือหางยาวยังสั้นกว่าเลย ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาใครจะไปกล้า แต่ไกรทองไปลอยแพ เสกคาถาเรียกชาละวันขึ้นมา เป็นเรากล้าไหม ? อยู่ห่างฝั่งสัก ๑๐๐ เมตรดีกว่า เรื่องอะไรจะลงไปอยู่กลางน้ำ ไกรทองมองเห็นตะเข้ใหญ่ รุกไล่โบกหางวางร่า บนฝั่งทะลึ่งทะลั่งเป็นโกลา ก็รู้ว่ากุมภาชะลาวัน รู้ว่าตัวแสบมาแล้ว กินหมอตะเข้ไปเป็นสิบแล้ว
ไกรทองแทนที่จะกลัว ไม่ได้กลัวเลย จ้องชะงักยักคอหัวร่อคิก ถกผ้าขยิกขยิกไม่มีพรั่น โอมอ่านโองการอาจารย์พลัน เป่ากระฉอกระลอกลั่นประจักษ์ตา ความมั่นใจทำให้จิตเกิดสมาธิเกิดพลัง เสกคาถาก็เห็นผลทันตาเลย คราวนี้โดนชาละวันเกยแพล่ม ตัวเองจมน้ำ..เสร็จเขาแน่ ๆ ปรากฏว่าไกรทองไม่หนี ถ้าหนีก็ตาย..ลักษณะเดียวกับคนถือดาบถืออาวุธ ถ้าหันหน้าสู้โอกาสรอดยังมี แต่ถ้าวิ่งหนีโอกาสตายเกินร้อย..! เขาบอกว่า ไกรทองเข้าชิดติดชนัก อยู่ห่างไม่ได้ อยู่ห่างจระเข้ได้เปรียบ แต่พอเข้าใกล้ตัวเองถือหอกยาวกลับเสียเปรียบ ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา เชื่อดี คือเชื่อในความรู้ที่ครูบาอาจารย์สอนมา เชื่อในความสามารถที่ตนเองฝึกฝนมา เชื่อในคุณความดีของครูบาอาจารย์ว่าปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ ตรงนี้ไปตรงกับเวสารัชชกรณธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ธรรมที่ทำให้คนกล้า มีศรัทธา ศีล วิริยะรัมภะ พาหุสัจจะ สติ ปัญญา แต่ว่าตัวศรัทธา คือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าความเชื่อมั่นประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ว่าพระรัตนตรัยดีจริง เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์กำจัดภัยได้จริง ๆ เชื่อมั่นในคุณครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อมั่นในตัวเอง" |
"สรุปว่าเรื่องของครูบาอาจารย์ ในสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึก) ในชีวิต ถึงเวลาจะใช้วัตถุมงคลก็นึกถึงครูบาอาจารย์ก่อน อย่างพวกเรา ถึงเวลาก็นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก่อน คราวนี้คนสมัยโบราณ เวลาเขาเชื่อเขาเชื่อแบบเต็มร้อย ที่เชื่อแบบเต็มร้อยเพราะว่า สมัยก่อนสภาพจิตของเขากิเลสไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนความต้องการพื้นฐานก็คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เท่านั้นเอง ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต มือถือ รถยนต์
สมัยนี้กิเลสท่วมทับมากขึ้น ความเชื่อถือที่กำลังใจยึดจึงน้อยลง เหมือนน้ำประปา โดนต่อแยกไปหลาย ๆ ท่อ ก็ไหลเบาลง แต่สมัยก่อนท่อต่อท่อแยกไม่ค่อยมีก็ไหลแรง แบบเดียวกับขุนแผนสมัยเด็ก ยังเป็นพลายแก้วอยู่ อยากจะเรียนวิชา ในเมื่ออยากจะเรียนวิชาก็ไปหาแม่คือนางทองประศรี พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ นางทองประศรีก็ดีใจ อยู่ ๆ ลูกจะบวช ครานั้นนางทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน วัดส้มใหญ่ปัจจุบันอยู่ตรงบ้านหนองขาว เขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ชัดไหม ? เรียนต้องได้ เรียนต้องสำเร็จ เหมือนสมัยนี้เรียนต้องจบ ส่งลูกไปเรียนต้องได้แน่นอน มั่นใจขนาดนั้นเลย แสดงว่าสมัยก่อนใครไปเรียนต้องสำเร็จ สมัยนี้เราเคยชินว่าเรียนแล้วต้องจบปริญญา อาจจะมีติดยา รีไทร์ ท้องก่อนแต่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่จบ แต่สมัยโน้นไปเรียนเรื่องของอภิญญาต้องสำเร็จ พ่อแม่มั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นขนาดนั้น ทุกอย่างที่เป็นของยากในสมัยนี้ ก็เป็นของง่ายในสมัยโน้น จึงเลือกครูเลือกอาจารย์ได้เลยว่าท่านไหนเก่งก็ไปเรียน" |
"สมัยอาตมาเด็ก ๆ หลวงปู่หลวงพ่อที่เก่งกล้าสามารถมีอยู่รอบบ้านเลย บ้านอยู่แถวกำแพงแสน ก็ต้องหลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง ขยับมาหน่อยก็หลวงปู่แตง วัดดอนยอ หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ขยับไปอีกนิด หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หมดยุคนี้แล้วก็ต้อง หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หมดรุ่นนี้แล้วก็เป็น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นี่แค่นครปฐมอย่างเดียวนะ ก่อนหน้านี้อีกตั้งเท่าไร
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว รุ่นอาตมาทันหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ตอนเรียนอยู่ ป.๕ - ป.๖ ยังมีใบโฆษณาพระของท่านส่งไปที่โรงเรียน ให้ทำบุญบูชาวัตถุมงคล เพื่อที่จะทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่บุญ ตอนนั้นองค์ละ ๑๐ บาท เด็กอย่างอาตมาเห็นว่าแพงเป็นบ้าเลย สมัยนี้ไปดูสิ ไม่มีเป็นหมื่นเป็นแสนจะบูชาได้ไหม ? ขยับไปสุพรรณบุรีมีใคร หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ดุสุด ๆ ดุชนิดที่ใครตะโกนว่าหลวงพ่อแดงมาแล้วนี่ เด็กแสบเด็กซนแค่ไหนก็วิ่งหนีกระจายเลย หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ รอบบ้านรอบวัดเลยนี่ ๒ จังหวัด ออกมาทางกาญจนบุรี ก็มีหลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ ถ้ารุ่นเก่าจริงเก่งจริงของกาญจนบุรีก็ต้อง หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ยิ้มนี่นอกจากรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปถึงวัดแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังฝากองค์เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ยิ้มมีลูกศิษย์ลูกหาดังระเบิดอย่าง หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ครูบาอาจารย์แต่ละคน ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ผลิตครูบาอาจารย์จะโด่งดังขนาดไหน ? สมัยนั้นใครไปเรียนวิชากับหลวงปู่ยิ้ม ท่านทดสอบเลย เอาเทียนไปคนละต้น ไปนั่งภาวนาเพ่งไส้เทียนให้ขาด ถ้าไส้เทียนไม่ขาด ไม่ต้องมาขอเรียน แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานกสิณ ถ้าไม่ใช้พลังจิตก็ต้องประเภทใช้กสิณไฟเผาเลย เพราะถ้าไม่มีพื้นฐาน วิชาที่ท่านถ่ายทอดไปก็ไม่มีผล พระปิดตาหลวงปู่ยิ้มจึงเป็นหนึ่งในเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง" |
"ถัดจากหลวงปู่ยิ้มมาก็รุ่นหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่ดี หลวงปู่ใจ นี่เป็นรุ่นลูกศิษย์ รุ่นเก่าของทางนครปฐมก็มีหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก ท่านมีลูกศิษย์คือหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง
หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก เขาขอให้หลวงปู่แช่มช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ ท่านรับภาระปกครองสงฆ์ไม่ไหว..แก่แล้ว ไปขอให้หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ที่เป็นลูกศิษย์ ช่วยดูแลแทนที หลวงพ่อแช่มพอได้ข่าวว่าหลวงปู่ทาจะมา ก็เอากาน้ำชามา ขัด ๆ ถู ๆ เสก ๆ เป่า ๆ ต้มน้ำชารอไว้ หลวงปู่ทาเดินจากวัดพะเนียงแตกฝ่าทุ่งไปถึง ก็นิมนต์ขึ้นมานั่งพัก กราบพระอุปัชฌาอาจารย์ ถวายน้ำร้อนน้ำชา หลวงปู่ทาฉันเสร็จก็เดินกลับ ลืมว่าตัวเองจะมาทำอะไร..ต้องอย่างนั้น เรียนวิชามาต้องเล่นครูได้ ล่อนะจังงังเข้าไป ครูทำอะไรไม่ถูก กลับไปถึงวัดนึกขึ้นมาได้ "ไอ้แช่มเล่นกูเสียแล้ว" สอนวิชาไปแท้ ๆ เอามาสอยครูเสียเอง เราจะเห็นว่าขนาดครูสอนมา เอามาเล่นครูกลับยังไหว..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เกาะพระฤๅษี ทางเหมืองสองท่อลงทุนปักเสาไฟฟ้าเข้าไปเอง เขาลงทุนปักเสาเดินสายไฟลงหม้อแปลงเอง หมดไปหลายสิบล้านบาท การไฟฟ้ามีหน้าที่ขายไฟให้อย่างเดียว ฉะนั้น..ไฟห้ามดับเด็ดขาด ถ้าไฟที่นั่นดับ การไฟฟ้าจะโดนปรับเป็นนาที เขาทำสัญญากันไว้
สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีสบายใจมาก ขนาดต้นไม้ใหญ่ล้มทับสายไฟขาด ๓ เส้น กระชากเสาหักล้มไป ๕ ต้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวันก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้าเป็นที่อื่นไม่มีทางเสร็จ เป็นวัน ๆ ก็ไม่เสร็จ แต่ที่นั่นต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จโดนปรับเป็นนาที มีสรรพกำลังเท่าไร ต้องระดมกันมาหมดเลย งานที่ยากเย็นแสนเข็ญ ทำที่อื่นอาจใช้เวลา ๓ วันเสร็จ ที่นั่นครึ่งวันก็เสร็จแล้ว แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือสภาพการรู้ของจิต อาตมานอนหลับอยู่ ไฟฟ้าช็อต..หม้อแปลงระเบิดบึ้ม..! ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ก็รู้ว่าช็อตตรงไหน ใกล้ไกลเท่าไร เดินไปดูได้เลย ตรงตามที่รู้เลย พอหม้อแปลงระเบิด ไฟดับหมดทั้งเกาะ อาตมาก็คว้าไฟฉายไปดูว่าจริงหรือเปล่า อีก ๒๐ กว่านาทีรถวิ่งมาถึงแล้ว แก้ตรงนั้นแหละ หลับอยู่เฉย ๆ ก็เห็นภาพชัด ๆ เลยว่าช็อตตรงไหน อย่างที่โยมเมื่อเช้าถามว่า เอาเหตุปัจจัยอะไรมารู้ เพราะตัวเองไม่ได้ตั้งใจอยากรู้สักหน่อย ? อาตมาบอกว่าเกิดจากคำอธิษฐานกรรมฐานของพวกเราที่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" ก็ตัวเองไปอธิษฐานเอาไว้ทุกครั้งที่สมาทานพระกรรมฐาน ถึงเวลาสภาพจิตจึงทำงานเอง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:54 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.