![]() |
ถาม : คนที่บ้านเป็นโรคไทรอยด์ครับ มียาสมุนไพรรักษาไหมครับ ?
ตอบ : พวกไทรอยด์ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะไม่เคยไปศึกษาเกี่ยวกับทางด้านนี้เลย ลองไปสอบถามร้านเจ้ากรมเป๋อที่จักรวรรดิดูสิ ถามเขาว่ามีตำรายาที่รักษาเกี่ยวกับพวกนี้หรือเปล่า ที่นั่นจะเป็นต้นตำรับสมุนไพรเลย ร้านเจ้ากรมเป๋อยาจะแพงกว่าที่อื่นหน่อย แต่รับประกันทุกตัว ที่อื่นบางครั้งเอาอย่างอื่นมาปลอม อย่างเช่นเอารากสามสิบมาแทนหนอนตายอยาก เพราะหน้าตาคล้าย ๆ กัน ถาม : ตอนนี้พ่อไม่สบายมากครับ นอนไม่ได้สติ ควรแนะนำเขาอย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าไม่ได้สตินี่แนะนำไม่ทันแล้ว ถ้ายังมีสติอยู่ อย่างน้อย ๆ เอาเสียงสวดหรือเสียงพระเทศน์ให้ท่านฟัง ลองดู..ถ้าได้สติขึ้นมาก็ทำอย่างนั้น จริง ๆ แล้วเรื่องของความเจ็บป่วย ต้องไปบนหลวงพ่อ ๔ - ๕ องค์ที่วัดท่าซุง เพราะท่านจะถนัดเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยโดยตรง ถ้ามีโอกาสลองไปบนดู นึกเสียว่าเราไปเที่ยวก็แล้วกัน แต่ตั้งใจไปบนให้พ่อด้วย ว่าขอให้ท่านได้สติขึ้นมา หรือหายเจ็บป่วยอะไรก็แล้วแต่เรา |
ถาม : ช่วงหลังนี้หนูฝันแล้วแม่นด้วยค่ะ ?
ตอบ : ตายแล้ว...ฝันแม่นด้วยหรือ ? เมื่อวานอาตมาเพิ่งฝันว่าเครื่องบินตก ไถลไปอยู่ตรงหน้าประตูปราสาทริมน้ำของใครก็ไม่รู้ ? ยังไม่ทันจะช่วยใครสักคน ดันสะดุ้งตื่นเสียก่อน เครื่องที่นั่งไปยุโรปลำนั้นแหละ แม่นจริง ๆ ด้วยนะ..! ถาม : แต่ของหนูไม่ได้แม่นแบบตรง ๆ ค่ะ จะเป็นแบบตรงตีความ ตอบ : เขาเรียกว่าเทพสังหรณ์ บอกตรงเกินไปก็ไม่ได้ กว่าจะเข้าใจ บางทีเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ถาม : อย่างนี้ความฝันก็เป็นภาษาสากลอย่างหนึ่งสิคะ แล้วคนแปลความฝันเขาแปลออกได้อย่างไร เก่งจัง ตอบ : ต้องค่อนข้างเป็นคนฟุ้งซ่านและมีจินตนาการหน่อย ๆ ก็เขาสรุปไว้ว่าการฝันเป็นเพราะธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุวิปริต..กินแล้วท้องไส้ไม่ดี ฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต..ทำดีทำชั่วอะไรมา ผลจะเกิดขึ้นก็แสดงให้รู้ จิตนิวรณ์..เก็บเอาความฟุ้งซ่านไปฝัน อย่างที่อาตมาฝันว่าเครื่องบินตก เทพสังหรณ์..เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ให้รู้ เขาแยกเป็นศาสตร์มาตั้งแต่โบราณแล้ว พวกพราหมณ์เขาขยันฟุ้งซ่านเรื่องแบบนี้ เก็บข้อมูลไปเรื่อย แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นพวกกรรมนิมิต หรือเทพสังหรณ์ จัดเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ถ้าไม่มีของเดิมอยู่ก็ไม่ทราบหรอก |
ถาม : หนูเป็นไมเกรนค่ะ ตอนที่ไปนั่งสมาธิในห้องพระ ปรากฏว่าหายปวด แต่พอเดินออกมาจะกลับห้องนอน ระหว่างเดินเหมือนจะกลับมาปวดใหม่ ตอนนอนหนูก็เลยภาวนาแน่นเลย กลัวจะปวดอีกค่ะ แล้วอาการปวดก็หายจริง ๆ แต่หนูตาค้างทั้งคืนเลยค่ะ ?
ตอบ : ธรรมดา..ถ้าสภาพจิตเลยปฐมฌานหยาบไป ก็จะสว่างโพลงอยู่อย่างนั้น เราก็ภาวนาไปเรื่อย ถือว่าตัวได้นอนแล้ว ถาม : ที่เขานั่งแล้วหายคงไม่ใช่แบบนี้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : เขานั่งแล้วหายเพราะเขาหายเครียด อาการปวดก็หาย ไมเกรนเกิดจากความเครียด ต้องหยุดคิดให้เป็น ถ้าหยุดคิดไม่เป็น เราก็ได้แค่กดเอาไว้ชั่วคราว หรือไม่ก็หารากบวบ จะบวบเหลี่ยมก็ได้ บวบงูก็ได้ บวบขมก็ได้ ให้หารากบวบมา ล้างสะอาดตากแห้ง ชั่งน้ำหนักรวมกันให้ได้ ๑ ขีด ต้มกินแทนน้ำ แก้ไมเกรนสะเด็ดยาดเลย เพียงแต่ว่ารากบวบ ๑ ขีดนี่หายากหน่อย เพราะค่อนข้างมาก ถาม : หาไม่ได้สิคะ ? ตอบ : ทำไมจะหาไม่ได้ เขากินกันมาเสียเยอะแล้ว หรือไม่ก็ไปสั่งร้านขายยาให้เขาหาให้ ถาม : ตอนแรกหนูก็อยากหายค่ะ แต่ตอนหลังกลับคิดว่าเลี้ยงไว้ดูเล่นก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวจะสบายเกินไป ตอบ : ใช่ ๆ ๆ เป็นให้หนัก ๆ เลย จะได้ดูให้ชัด ๆ ...(หัวเราะ)... |
ถาม : ถ้าเราเคยเอาเงินของสงฆ์มาให้คนอื่น คนที่รับเงินเป็นหนี้สงฆ์ด้วยหรือไม่ หรือเป็นเฉพาะเราคนเดียว ?
ตอบ : คนที่เอาไปให้เป็นคนติดหนี้สงฆ์ ส่วนคุณจะเอาไปให้ใครนั่นเป็นเรื่องของคุณ เพราะเขารับจากคุณไม่ได้เอาไปจากสงฆ์ ถาม : สมมติว่าเราเอาเงินของสงฆ์มา ๑๐๐ บาท เอาไปทำนั่นนี่จนได้กำไรมา เราต้องชำระหนี้สงฆ์เท่าไรถึงจะหมดครับ ผมเข้าใจว่าชำระตามราคาเท่าที่เอามา ? ตอบ : อันนี้เข้าใจถูก แต่เขาชำระเท่าราคาปัจจุบัน อย่างเช่นในสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ราคา ๕ สตางค์ ถ้าคุณไปเอาเงินมา ๑๐๐ บาท ตอนนี้ก็อ่วมอรทัยเลย เพราะสมัยนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓๕ - ๔๐ บาท ชำระเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ถ้าเทียบยาก ให้เทียบจากราคาทอง อย่างเช่น ราคาทองสมัยนั้นบาทละ ๔๐๐ บาท สมัยนี้บาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท ก็ต้องใช้คืนในราคาบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาทนะจ๊ะ |
ถาม : สมมติว่าก่อนรับยันต์เกราะเพชร เราเก็บสิ่งของของคนอื่นได้ เช่นโทรศัพท์มือถือ เอามาใช้เป็นของเราเอง รับยันต์เกราะเพชรแล้ว เรายังใช้ของของคนอื่นที่เก็บได้ ยันต์เกราะเพชรจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชรต้องเจตนาขโมย เก็บของได้ ตั้งใจหาเจ้าของแล้วคืนเขา ถ้าหาเจ้าของคืนไม่ได้ เราใช้ไปก่อน ถ้าเจ้าของมาทวงคืน เราต้องคิดค่าเสื่อมสภาพให้เขาด้วย อันนี้ไม่ถือว่าขโมย เพราะฉะนั้น..ยันต์ไม่เสื่อม ถาม : ก่อนรับยันต์เกราะเพชรเราใช้โปรแกรมเถื่อนอยู่ หลังจากรับยันต์เกราะเพชรแล้ว เราก็ยังใช้โปรแกรมเถื่อนต่อไป ยันต์เกราะเพชรเสื่อมไหมครับ ? ตอบ : เหมือนกัน..หลังจากรับมาแล้วค่อยขโมยถึงจะเสื่อม แต่คราวนี้อย่าตั้งใจเอาเสียเต็มที่แล้วค่อยไปรับยันต์นะ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเจตนาขโมย..เจ๊งเหมือนกัน..! |
ถาม : การไปวัดแล้วถ่ายรูปกิจกรรมต่าง ๆ ในวัด เอาไปโพสต์ในอินเตอร์เน็ต เป็นธรรมทานหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เป็น แต่ได้ในส่วนของปัตตานุโมทนามัย คือคนอื่นเขาพลอยยินดีในความดีที่เราทำด้วย ยกเว้นว่าคุณไปฟังธรรมมา แล้วเอาเนื้อหานั้นไปลงให้คนอื่นอ่าน ถึงจะเป็นธรรมทาน ถาม : ใช้ของที่คนอื่นขโมยมา ศีลขาดไหมครับ ? ตอบ : ถ้าเราไม่รู้..ไม่เป็นไร ถ้ารู้แล้วก็รีบคืนเขาไป ก่อนที่จะติดคุกในข้อหาสมรู้ร่วมคิดด้วย..! |
ถาม : หนังมีลิขสิทธิ์มีคนมาขาย คนซื้อไม่ได้ขโมยตรง ๆ ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วของที่ขาย ถ้าเราซื้อนี่สิทธิเป็นของเรา แต่คราวนี้เราก็ต้องรู้ด้วยว่า คนที่เอามานั้นเอามาแบบไหน ถ้าเราไม่รู้ไม่ถือว่าผิด แต่ถ้าถึงเวลาเรารู้ขึ้นมา หรือว่าเจ้าของลิขสิทธิ์เขาทวงขึ้นมา จ่ายค่าลิขสิทธิ์เขาไปเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับขโมย ถ้าไม่รู้ก็ดูไปเรื่อย ๆ ก่อน ถาม : หนังมีลิขสิทธิ์ มีคนปล่อยให้ดาวน์โหลดในเว็บ แล้วพอดาวน์โหลดมาดู ผิดศีลหรือไม่ ? ตอบ : เรื่องของลิขสิทธิ์นี่ต้องคิดให้ดีนะ ถ้าเขาระบุไว้ชัดเลยว่าห้ามทำซ้ำ ถ้าอย่างนั้นเขาถือว่าผิด แต่ถ้าเขาแค่ขายลิขสิทธิ์เฉย ๆ คนแรกซื้อไปแล้ว แล้วก็เอามาปล่อยให้ดาวน์โหลดต่อ ก็ถือว่าคนแรกเขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ไปแล้ว..ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขามีบอกห้ามทำซ้ำไว้ชัดเจน อย่างนั้นผิดแน่นอน ถาม : ถ้าหนังเรื่องนั้นมีลิขสิทธิ์แล้วคนก๊อปปี้มาขายตามท้องตลาด เช่น คลองถม ผิดศีลไหม ? ตอบ : ตอบไปแล้ว |
ถาม : ในเว็บพลังจิต มีคนสอนบอกว่า พระนิพพานเป็นธรรมที่ไม่ได้เสวยอารมณ์ อยากทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ให้ไปพระนิพพานเสียเอง แล้วจะรู้ ถาม : เคยได้ยินว่าของสงฆ์ ตกที่ไหนก็เป็นของสงฆ์ จริงหรือไม่ครับ ? ถ้าเราได้บูชาสิ่งที่เป็นของสงฆ์มาเป็นของเรา โดยที่เราไม่รู้ เกิดตายไปจะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ ? ตอบ : ก็ตั้งใจชำระก่อนที่จะตายสิ ถาม : การที่เราไปกวาดใบไม้ในวัด แล้วตักเศษหินเศษดินทิ้งถังขยะไปด้วย จะจงใจหรือไม่จงใจ เราจะเป็นหนี้สงฆ์หรือทำลายของสงฆ์หรือไม่ ? ตอบ : ถ้าฟุ้งซ่านมากก็เป็น ถ้าไม่ฟุ้งซ่านก็ไม่เป็น เราตั้งใจทำความสะอาดวัด ยกเว้นว่าคุณตั้งใจว่าวัดนี้ดีเกินไป เดี๋ยวเราจะทำลายเสียหน่อยหนึ่ง ตั้งใจกวาดให้เยอะเป็นพิเศษแล้วเอาไปทิ้ง ถ้าอย่างนั้นถือว่าทำลายของสงฆ์ |
ถาม : การที่เราไปวัด เอาพัดลมและโทรศัพท์มือถือไปเสียบกับปลั๊กไฟวัด เป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...เมื่อครู่เขาชำระหนี้สงฆ์มาแล้ว ๒๐ บาท ถาม : เราไปวัด ใช้ไฟในวัด เปิดไฟทิ้งไว้ เป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ? ตอบ : เป็น..สมัยอยู่วัดท่าซุงหลวงพ่อท่านปรับพระเลยนะ ถ้าใช้แล้ว ถึงเวลาเลิกใช้ไม่ปิดให้ดี สูญเสียราคาครบ ๑ บาท ท่านปรับอาบัติปาราชิกเลย..! เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเบื่อมากเลย เวลาพวกเด็ก ๆ ไปอยู่ค่ายที่วัด จะต้องตามปิดไฟ ปิดพัดลม ปิดน้ำให้ตลอด จนเขาคิดว่าระบบของวัดท่าขนุนเป็นระบบอัตโนมัติ ทิ้งไว้ก็ปิดได้เอง เพราะความเคยชินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอบรมเอาไว้ ท่านถึงกับปรับปาราชิกเลยนะ ท่านยอมลงทุนติดมิเตอร์เอาไว้ทุกกุฏิเลย ถ้าใช้เกินที่กำหนดเอาไว้ จ่ายมาเสียดี ๆ ถ้าไม่เกินกำหนดก็แล้วไป ถาม : การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพื่อร่วมบุญ เช่น สร้างพระ หรือวิหารทานต่าง ๆ เจ้าของบัญชีไม่สามารถนำเงินไปทำบุญตามที่เจ้าของบัญชีประกาศไว้ตามจุดมุ่งหมายของคนโอนเงิน จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ? ตอบ : ถ้าไม่สามารถทำได้ อันดับแรกเป็นหนี้สงฆ์ก่อน อันดับที่สอง ถ้าไม่สามารถทำได้อย่างที่ประกาศไว้ แล้วเอาไปทำอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ปรับโทษย้ายเจดีย์ด้วย เพราะฉะนั้น..เรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง อย่าพยายามไปแตะเป็นอันขาด ถ้ามั่นใจเมื่อไรแล้วค่อยทำ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วความประพฤติของเด็กอยู่ที่การฝึกหัด การฝึกอบรมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพ่อแม่ไม่เข้มงวด เอาแต่ตามใจลูก ย่อมไม่มีทางฝึกลูกให้ดีได้ ตัวเราเองก็เหมือนกัน ถ้าเอาแต่ตามใจกิเลส โดยไม่คิดที่จะห้ามปราม ไม่คิดที่จะต่อต้าน ก็จะโดนกิเลสจูงไปเรื่อย ผลก็จะออกมาเหมือนกับเด็กที่ขาดการฝึกอบรมนั่นแหละ"
|
ถาม : บ้านถูกงัดมีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : มีคนอยู่ประจำหรือเปล่า ? ถาม : ไม่มีครับ ตอบ : จริง ๆ แล้วเขามีวิธีฝากบ้านไว้กับเทวดา หรือไม่ก็ตอกไม้กันขโมย ถาม : ต้องทำเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม่ทำก็เหมือนเดิม ถาม : ยาวประมาณกี่ศอกครับ ? ตอบ : ไม้กันขโมยเขาเอา ๑ ศอกของเจ้าของบ้าน จากปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก ๔ อัน ต้องไปตอกเอง |
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กน้อยลูกโยมคนหนึ่งที่กำลังจะกลับไปยุโรปว่า "กลับไปแล้ว อย่าทิ้งสมาธินะจ๊ะ มีเวลาให้ทำไว้ วันละ ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ ฝรั่งอาจจะเจริญกว่าเราทุกอย่าง แต่เรื่องของสมาธิเขาไม่มี ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรได้ดี สมาธิต้องทรงตัว ถ้ากำลังใจมั่นคงจะไม่ตกใจอะไรง่าย ๆ มีสติอยู่ตลอด เกิดอะไรขึ้นก็แก้ปัญหาได้ ฉะนั้น..อย่าทิ้งสมาธิ
ตอนนี้ทางตะวันตกของฝรั่ง พวกยุโรป อเมริกา หันมาเรียนสมาธิกันเยอะ เพราะเห็นประโยชน์ เราอยู่กับธรรมะอยู่แล้วต้องทำให้ได้ เผื่อไปสอนเขาด้วย" |
ถาม : ถ้าปฏิบัติแล้วจะละกิเลสภายในใจจะทำอย่างไร ?
ตอบ : รับรู้และเห็นโทษให้ได้ ถ้ารับรู้และเห็นโทษ ใจก็จะหาทางหลีกหนีจากกิเลส ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก จะได้มีกำลัง มีสติที่จะระงับยับยั้ง หลังจากนั้นก็พิจารณาเห็นโทษ แล้วถอนใจออกมา แต่ว่าอย่างหลังจะลำบากนิดหนึ่ง ถ้ากำลังของสมาธิพอก็ตัดได้ ถ้ากำลังของสมาธิไม่พอก็ตัดไม่ขาดสักที |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เป็นห่วงสมเด็จพระสังฆราช เพราะว่าปีนี้ทรงเจริญพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษาแล้ว ที่สำคัญก็คือสถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยดีเลย มีแต่คนจะพยายามปั่นให้ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ พระระดับสมเด็จพระสังฆราช ถ้าจำเป็นก็อาจจะทิ้งขันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศชาติให้ดีขึ้น
ตามเกณฑ์จะต้องเป็นช่วงปลายปี กลัวแต่ว่าถ้าเรื่องแรงขึ้นก็ไปเร็ว บางเรื่องที่ฟุ้งซ่านไปล่วงหน้า ถ้าทำใจไม่ได้ก็เครียด..! อีกองค์หนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือหลวงพ่อคูณ ถ้าเรื่องหนักกลัวจะไปแบบผูกแพ ผูกแพนี่ไปกันเป็นชุดเลย ไม้ไผ่ลำเดียวเป็นแพไม่ได้ จะผูกแพต้องใช้ไม้ไผ่หลายลำ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูก ถ้าเรารักลูกต้องปล่อยให้เขาทำอะไรด้วยตัวเองให้ไว ๆ ถ้ามัวแต่ไปช่วยไปโอ๋อยู่ ถ้าขาดเราเขาจะทำอะไรไม่เป็นก็เป็นที่น่าสงสารมาก เขาจะไปไหนปล่อยให้ไปเองเลย จะได้เก่งไว ๆ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใจร้อนหรือใจเย็นอยู่ที่ตัวเราคิด ถ้าเราไม่คิด ก็จะไม่ใจร้อน เวลาก็จะผ่านไปเร็ว แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่าน ใจร้อน เวลาจะเหมือนผ่านไปช้า ยิ่งถ้าคนเราเครียด คิดถึงแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ วันหนึ่งก็เหมือนกับปี สมัยที่อาตมาบวชใหม่ ๆ กว่าจะผ่านไปวันหนึ่งเหมือนเป็นเดือนเป็นปี แต่พอเลิกเครียด เวลาผ่านไปเดี๋ยวก็พรรษา เดี๋ยวก็พรรษา"
ถาม : คนในปัจจุบันรู้สึกเวลาผ่านไปไม่เร็วมาก ไม่เหมือนกับคนสมัยก่อน ตอบ : จริง ๆ แล้วเวลาก็เป็นไปตามปกติ แต่เขาไม่ต้องห่วงเรื่องการทำมาหากิน ไม่มีการแก่งแย่งกันอะไรกัน ทำให้เหมือนมีความสุขไปวัน ๆ ไม่รู้ทันตัวเวลาก็ผ่านไปแล้ว ถาม : ทำงานเจ็ดวันทรมานค่ะ ตอบ : ลองว่าเกิดมาแล้วก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ๓ วัน ๗ วันของเขาก็เหมือนของเราประเภท ๓๐ ปี ๗๐ ปี..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนที่งานจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของทองผาภูมิ ร้านที่อาตมาตั้งใจตรงเข้าไปเลยคือร้านขายแมลงทอด มีทั้งตั๊กแตน จิ้งโกร่ง จิ้งหรีด แมงสะดิ้ง แมงเหนี่ยง หนอนไหม รถด่วน
รถด่วนเวลาทอดแล้วแทบจะไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่เปลือกเปล่า ๆ ตอนแรกเขาไม่คิดจะซื้อของกัน เด็ก ๆ มีเงินติดตัว ๑๐ บาท ๒๐ บาท ท้ายสุดต้องกู้หลวงพ่อทั้งนั้น ทำให้เห็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง คือ มีทรัพย์ จ่ายทรัพย์ ไม่เป็นหนี้ ทำงานไม่มีโทษ มีเงินมีทองมีสมบัติก็ปลื้มใจหาได้เยอะ ถึงเวลาได้ใช้จ่ายซื้อของที่ชอบใจก็มีความสุข ไม่มีหนี้ไม่มีสินก็ไม่ต้องกลุ้ม ไม่ต้องเครียด ท้ายสุดทำงานที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดประเพณี ไม่ผิดศีลธรรม ท่านบอกรายละเอียดเอาไว้หมด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเขาหิ้วน้ำมาแล้วนึกถึงอนาคต หลาย ๆ ประเทศอาจจะมีคนอดน้ำตายเป็นจำนวนมาก อย่างประเทศจีนมองการณ์ไกลมากเลย ที่สร้างเขื่อนสามผากั้นแยงซีเกียง สร้างเสร็จกักน้ำจืดไว้ได้ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของโลก
อย่างบ้านเราไม่ค่อยรู้คุณค่าของน้ำจืด สมัยเด็ก ๆ ถ้าบอกว่าต้องซื้อน้ำเขากิน คงหัวเราะกันตายเลย มีแต่คนเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ ถึงเวลาก็ตั้งร้านน้ำไว้หน้าบ้าน ไปไหนก็ขอน้ำกินหน่อย น้ำบ่อเขาไม่ใช้หรอก..ไม่แล ใช้แต่น้ำฝน ลองมาดูตอนนี้ บรรพบุรุษของเราถ้าฟื้นขึ้นมา พอรู้ว่าต้องซื้อน้ำขวดละ ๑๐ บาท คงเป็นลมตายไปใหม่..! เรื่องพวกนี้อาตมาก็ฟุ้งซ่านล่วงหน้าไปเรื่อย พอถึงเวลาเกิดขึ้นจริง ๆ โยมก็คงระลึกได้ว่าอาตมาเคยพูดไว้แล้ว ไปดูสารคดีที่ทางแอฟริกาเขาหาน้ำกัน บ่อเขาลึกเป็นร้อย ๆ เมตร คนต้องเอาวัวมาลาก ลักษณะเป็นคานดึงขึ้นมาเป็นร้อย ๆ เมตรกว่าน้ำจะโผล่ขึ้นมาได้ ดึงมาครั้งหนึ่งก็ได้น้ำแค่ครึ่งถังเล็ก ๆ วัวก็วิ่งมาหวังจะได้กิน เปล่าหรอก..คนผลักวัวออก ตัวเองกรอกใส่หม้อก่อน เห็นแล้วก็น่าสงสาร วัวออกแรงแทบตายไม่ได้กิน เผ่าที่เก่งที่สุดเป็นพวกบุชแมน (มนุษย์พุ่มไม้) หาน้ำจากธรรมชาติ เดินหาเห็นก้านไม้เล็ก ๆ โผล่ออกมาจากทรายนิดเดียว ค่อยคุ้ย ๆ ขึ้นมา เป็นพืชลักษณะคล้ายหัวมันแกว หัวเบ้อเริ่มเลย เขาจะขูดเป็นฝอย ๆ แล้วบีบเป็นน้ำใส่ปาก แค่นั้นก็รอดตายวันหนึ่ง" |
"หลายคนที่มีฐานะดี ๆ อย่างบิลเกตต์ , วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาจัดตั้งมูลนิธิเพื่อจะช่วยให้คนอยู่ดีกินดีเสมอกัน ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ดี น่าสนับสนุนมาก แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราทำบุญมาไม่เท่ากัน ถ้าขาดทานบารมีก็จะไปเกิดในที่ลำบากยากแค้นอย่างนั้น ประเภทที่ไม่รู้ว่ามื้อนี้มีกิน แล้วอีกกี่มื้อกว่าจะได้กิน เด็กเกิดมามีแต่หัวโต ๆ แขนขาลีบเล็กนิดเดียว เขาถ่ายรูปมาที่พวกกาชาดสากลเข้าไปช่วย ฝรั่งก็มือใหญ่อยู่นะ มีมือเด็กประมาณ ๒ นิ้วแปะอยู่บนมือฝรั่ง
เคยมีคนให้คำจำกัดความว่า "เปรตเดินดิน" แต่นี่เขาไม่ได้ลำบากขนาดเปรตหรอก เปรตอดอยากกันเป็นกัป ไม่มีอะไรจะกิน แล้วก็ไม่ตายเพราะแรงกรรมค้ำเอาไว้ ทุกข์ทรมานไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงคนเรียกกินข้าวกินน้ำ ก็โซซัดโซเซเดินหาไปเรื่อย เดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที ท้อใจก็ลงนอนกลิ้งเกลือกไปมา คร่ำครวญว่าตนเองสร้างเวรสร้างกรรมอะไรขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีกิน ต้องมาอดอยากหิวโหยแทบล้มประดาตาย ท้ายสุดพอได้ยินเสียงเขาเรียกอีกก็เกิดความหวัง เดินต่อไปอีก กัปแล้วกัปเล่าก็เดินหาของกินอยู่อย่างนั้น ดังนั้น..พวกเราที่เกิดมาอยู่ในเขตศาสนาพุทธ รู้จักว่าทาน ศีล ภาวนาเป็นอย่างไร นับว่าโชคดีสุด ๆ แล้ว ต่อให้ลำบากอย่างไรก็ลำบากชาตินี้เท่านั้น ถ้ามีโอกาสสร้างบุญในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนาไว้ อย่างไรแล้วชาติหน้าเกิดใหม่สบายแน่ แล้วดูพวกนั้นสิ เขาต้องลำบากอีกตั้งเท่าไรกว่าจะพ้นจากเขตนั้นขึ้นมา บางทีเราตาย ๆ เกิด ๆ ไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ อย่างเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสารรอตั้ง ๙๑ กัป นั่นประเภทที่กรรมเหลือน้อยแล้ว ถ้ากรรมหนัก ๆ จะต้องทนทุกข์นานขนาดไหน..!" |
ถาม : หลับแบบรู้ตัวเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตัวหลับ แต่สภาพจิตตื่นอยู่ ถาม : อยู่ในฌานระดับไหน ? ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นระดับปฐมฌานละเอียด เท่ากับหลับนั่นแหละ..เพียงแต่สภาพจิตไม่ได้หลับด้วย ถาม : ฌานลึกกว่านี้ไม่ได้หรือครับ ? ตอบ : ไม่ใช่ลึกกว่านี้ไม่ได้ ได้..แต่ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานละเอียด ตอนเราหลับมักจะเผลอสติ กิเลสจะกินเราตอนหลับได้ ดังนั้น...ควรพยายามประคองสติซักซ้อมให้มีความคล่องตัวในฌานไว้ พอซ้อมทำไปจนคล่องตัวมาก ๆ คราวนี้ไม่ต้องเสียเวลาประคอง จะกำหนดให้อยู่ระดับนั้นได้เลย การฝึกเพื่อให้สภาพจิตอยู่ในสภาพของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะลำบากที่สุดในช่วงแรกที่ต้องการจะให้ตื่นกับหลับแล้วมีสติรู้เท่ากัน เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไรจะตัดหลับเลย อาตมาเคยตามดูจิตตัวเอง เหมือนกับเปลวเทียนที่ค่อย ๆ หรี่ลง ๆ ๆ แล้วท้ายสุดจะเหลืออยู่นิดเดียว ถ้าเราสามารถหยุดไว้ตรงนั้นได้ ก็จะตื่นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าหยุดไว้ไม่ได้ เผลอนิดเดียวก็จะตัดหลับไปเลย ตอนช่วงที่ฝึกอยู่ ซักซ้อมอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะรักษาเอาไว้ได้ บางคนตอนกลางวันประคับประคองรักษาศีล กาย วาจา ใจดีมาก พอเผลอหลับตอนกลางคืน บางทีดิ้นไปทั้งศาลาเลย กิเลสไปตีตอนหลับ สภาพจิตอยู่กับรัก โลภ โกรธ หลงนั่นแหละ แต่สติไม่รับรู้ ก็เลยปล่อยให้ปรุงฟุ้งซ่านตามสบาย อย่างที่ปริศนาธรรมบอกว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว" ประเภทลุกไหม้เป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็แปลว่ากิเลสกินใจเราทั้งหลับทั้งตื่น ถ้าสภาพจิตหลับกับตื่นรู้เท่ากัน เราก็ระวังกิเลสไม่ให้กินใจเราได้ |
เรื่องของกิเลสเขาเก่งมาก เขากินเราได้ทุกเวลาที่เผลอ บางคนตอนกลางวันมดสักตัวก็ยังไม่กล้าเหยียบ แต่พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพ บางคนประเภทเจ้าของไม่ได้ให้ แตะของเขายังไม่กล้าแตะ แต่กลางคืนฝันว่ายกเค้าคนอื่นไป ๓ - ๔ บ้าน บางทีกลางวันแม้แต่ผู้หญิงยังไม่กล้ามอง แต่กลางคืนไล่ปล้ำผู้หญิงไปแล้ว..!
ฉะนั้น..เรื่องของกิเลสมีสารพัดวิธีที่ทำให้จิตใจเราตกต่ำ เราจะได้หนีไม่รอด มีวิธีเดียวคือหลับกับตื่นสติต้องเท่ากันตลอด ถึงจะพอตีคืนมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นต่อให้กลางวันเราระวังดีขนาดไหนก็ตาม กลางคืนก็จะขาดทุนเสมอ ถาม : .....ภาวนาต่อหรือคะ ? ตอบ : ถ้าสติหลับกับตื่นรู้เท่ากัน จะภาวนาเองอัตโนมัติ ถาม : ถ้าจังหวะนั้นเราหยุดไม่อยู่ ? ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับนั้นแล้ว จิตจะดำเนินไปเองอัตโนมัติ เหมือนกับเราแค่เอาสติประคองไว้เฉย ๆ เขาจะภาวนาของเขาเอง ถ้าอยากพิจารณาเขาพิจารณาของเขาเอง เรามีหน้าที่ตามรู้อย่างเดียวเลย |
ถาม : แยกไม่ออกระหว่างศักดิ์ศรีกับสักกายทิฐิ ขอท่านช่วยอธิบายด้วยค่ะ
ตอบ : ตัวเดียวกันเลย บุคคลที่สักกายทิฐิน้อยจะไม่ค่อยคำนึงถึงศักดิ์ศรีตัวเอง อย่างเช่น พระราชาที่ลดพระองค์ลงไปไหว้ขอทานเพื่อขอเรียนวิชาตามที่พระธรรมบทว่า แต่ถ้าเรายังมีศักดิ์ศรีขึ้นหน้าอยู่ "มึงไม่รู้เสียแล้วว่ากูเป็นใคร" นั่นสักกายทิฐิเต็ม ๆ เป็นตัวเดียวกันจ้ะ ขอให้รู้ว่าถ้าศักดิ์ศรียังขึ้นหน้าอยู่ แสดงว่าเรายังแบกอยู่ ถ้าศักดิ์ศรีลดน้อยลงไปได้เรื่อย ๆ สภาพจิตจะดีขึ้น จากนั้นจะอยู่ในสภาวะแค่ว่า ถ้ารู้ว่าสิ่งนี้ทำแล้วอาจจะกระทบต่อสถานภาพในส่วนรวม เราก็จะเลี่ยงเสีย อันนี้ไม่ได้ถือศักดิ์ศรีที่เป็นมานะหรือเป็นสักกายทิฐิ แต่ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่เขา ว่าเราจะไม่ทำให้กาย วาจา ใจของเราเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ใคร อย่างสมมุติว่า ถ้าพระไปประจบคฤหัสถ์ อาจจะไปทำลายตระกูลพระพุทธเจ้า คนเขาจะคิดว่า "เออ..พระทุกรูปก็เป็นอย่างนี้เอง" ถ้าเขาตีราคาอย่างนั้น เดี๋ยวศาสนาจะอยู่ไม่ได้ ก็ต้องยั้งตัวไว้ระดับหนึ่ง อันนี้ไม่ใช่ศักดิ์ศรี แต่เป็นภาระหน้าที่ซึ่งเราต้องดูแลในภาพรวม ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้ แต่ถ้ายึดศักดิ์ศรี ไม่รู้เสียแล้วว่าอาตมาเป็นเจ้าคุณ...นั่นก็ไปเลย ต้องดูพระอนุรุทธ ในมหาปุริสสวิตกของพระอนุรุทธมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ขอผู้อื่นจงอย่ารู้ว่าเราเป็นใครเลย นั่นแหละ..ไม่มีมานะเลย แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะว่า จงอย่าชูงวงเข้าไปในสกุล ก็คืออย่าแบกศักดิ์ศรีเข้าไปในสกุล อย่าแบกฐานะเข้าไปในสกุล ทำตัวเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ส่วนพระอนุรุทธก็คือว่า ถ้าไปไหนถ้าใครไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร...ก็สบาย กลืนไปกับเขาได้เลย ไม่ต้องแบกอะไรไป พอเขารู้ขึ้นมาก็ต้องมาบริการพิเศษ นั่นคือท่านรู้ตัว แต่ถ้าไม่รู้ตัวก็ "ทำไมวะ..อาจารย์เล็กมาแล้วยังไม่มีใครมาทำอะไรให้เลย ?" แบบนั้นก็เจ๊งแล้ว |
ถาม : อย่างฆราวาส บางคนนินทาเราอยู่ แล้วเราโกรธ ถ้าเราคิดอย่างนั้น แสดงว่าเรามีมานะ ?
ตอบ : มี..ถ้าไม่มีตัวกูของกู จะไม่รับแรงกระทบ ลองนึกว่าเขาขว้างก้อนหินใส่อากาศ หินจะกระทบอะไรไหม ? แต่ถ้ามีกำแพงขวางอยู่ก็จะกระทบ ถ้าตัวกูของกูไม่มีก็คือกำแพงไม่มี ก็จะเลยผ่านไปเฉย ๆ ไม่กระทบอะไร แต่กำลังในระยะแรก ๆ ของเรา เหมือนลักษณะคนใส่เกราะหรือตั้งกำแพง กระทบแล้วก็ให้กองอยู่ตรงนั้น กระทบแล้วอย่าให้ถูกเราที่อยู่ในกำแพง ถ้ากระทบแล้วถูกเราในกำแพง เดี๋ยวก็โดดออกไปฟัดกับเขาข้างนอก ฉะนั้น...สติ สมาธิ ปัญญาในตอนแรกก็คือหยุดเอาไว้ก่อน ให้มีกำแพงก่อน จะเป็นสักกายทิฐิหรืออะไรก็ช่างเถอะ รักษาใจของเราให้ผ่องใสไว้ก่อน ถ้ามีสติก็รู้อยู่ เขาขว้างมาติดกำแพง "มันด่ากู.." ไอ้กูอยู่ตรงไหนหว่า ? อ๋อ...เขาด่าแค่เปลือก เขาไม่เห็นเราข้างในหรอก ในเมื่อด่าเปลือกไม่เห็นเรา ก็ให้ติดอยู่ที่เปลือก กระทบปังแล้วก็หล่นอยู่ตรงนั้น แบบเดียวกับที่ตลกเขาเล่นกัน "มึงด่าใครวะ ?" "ก็ด่ามึงนั่นแหละ" "เออ..ด่ามึงไม่เป็นไร อย่าด่ากูก็แล้วกัน" ลักษณะนั้นเลย แรก ๆ ก็วางให้ได้แค่นั้นก่อน..ไม่ต้องมากหรอก หลังจากนั้นถ้าสามารถทำใจให้เหมือนคนไม่มีกำแพง ขว้างมาเท่าไรก็เลยไปเฉย ๆ ตอนอาตมาฝึกใหม่ ๆ อาตมาก็ขำ เขาด่าไอ้เหี้ย..! "เออ..เก่งแฮะ เขารู้ว่าอดีตเราเคยเป็นเหี้ยมาตั้งเยอะ" ไอ้ชาติหมา..! "เออ... กูก็เคยเป็นหมา..เป็นเยอะด้วย ไอ้นี่เก่งจริง ๆ" แล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว เขาแทบคลั่ง เพราะยิ่งด่าอาตมาก็ยิ่งหัวเราะ ถาม : เขาด่าว่าไอ้หมาหรือคะ ? ตอบ : เขาด่าไม่ดี แต่สำหรับอาตมาเขาด่าดีเกิน ดูยันไปอดีต "ไอ้ชาติหมา.." แสดงว่าเขาเก่งมาก |
ถาม : เวลาที่เราเข้าฌานแล้วเราอธิษฐานให้เกิดผล ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐาน แค่นึกก็เป็นแล้ว จะเอาระดับไหนก็เข้าระดับนั้นเลย ถาม : แล้วที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าต้องเข้าสมาธิถึงระดับหนึ่ง ? ตอบ : ที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านบอกให้เข้าฌานสลับไปสลับมาให้คล่อง นั่นแหละ..ตรงนี้เลย ถ้าคล่องตัวจริง ๆ เราต้องการระดับไหน แค่นึกจะเป็นเลย เขาเรียก สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงสมาธิแต่ละระดับ ชำนาญในการเข้า เรียกว่า สมาปัชชนวสี ชำนาญในการออก เรียกว่า วุฏฐานวสี คราวนี้ทุกคำลงด้วย "นะ" หมดเลย คนก็เลยดันไปเรียกว่า "นวสี" ความจริงไม่ใช่ นวสีวถิกาหรือป่าช้า ๙ อย่าง หรือซากศพ ๙ ประเภท อธิษฐาน ต่อด้วย วสี , สมาปัชชน ต่อด้วย วสี , วุฏฐาน ต่อด้วย วสี คราวนี้คนเขาไปอ่านติดกันเป็น "นวสี" ความจริงไม่ใช่ ที่ถูกมาจาก วสีภาพ , วสีภาวะ ความชำนาญในการเข้าถึงหรือออกจากตรงนั้น ถาม : ถ้าเลยอุปจารฌานคือได้เห็นภาพ ? ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเลยอุปจารสมาธิแล้วจะไม่เห็น จนกว่าจะไปฌาน ๔ คล่องตัวถึงจะเห็นใหม่ เหมือนห้อง ๒ ห้อง อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง ลักษณะการตกแต่งเหมือนกันหมดทุกอย่าง อุปจารสมาธิคือห้องชั้นล่าง ฌาน ๔ คล่องตัวคือห้องชั้นบน ถ้าเราอยู่ห้องชั้นล่างเราจะเห็น แต่ถ้าเราเดินอยู่ระหว่างขั้นบันได เราจะไม่เห็นอะไร จนกว่าเราขึ้นไปอยู่ห้องชั้นบนแล้ว |
ถาม : เวลาสวดมนต์ คำว่า คต กับ คตา ความหมายอย่างเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : คต แปลว่า ที่ไป , คตา ไปหลายคน อยู่ระหว่างเอกพจน์กับพหูพจน์ ถาม : บางทีสระอะเป็นสระอา ? ตอบ : บางครั้งอยู่ที่เพศ ส่งเสียงอะเป็นเพศชาย ส่งเสียงอาเป็นผู้หญิง อย่างผู้ชายใช้ วันทันโตหัง ผู้หญิงใช้ วันทันตีหัง ระบุเพศด้วย ภาษาบาลีถึงบอกว่า ลิงคัตเถ ปฐมา อย่างแรกต้องให้รู้ก่อนว่าเพศอะไร หลังจากนั้นทุกคำถึงจะวิเคราะห์ได้ ถาม : บางทีก็งงค่ะ ? ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ตั้งใจสวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย จะผิดถูกอย่างไร ให้ใจมุ่งตรงก็แล้วกัน |
ถาม : รูปพระในหนังสือสวดมนต์วัดท่าขนุนสวยค่ะ
ตอบ : จริง ๆ เป็นเจตนาเลยนะ รูปพระไม่ใช่ไว้มีแค่คั่นหน้าบอกว่า ถึงเวลาทำวัตรวันใหม่ แต่ตั้งใจให้ดูเป็นอนุสติ ถ้ารูปพระออกมาสวยที่สุด ทำให้กำลังใจของเราเกาะง่าย นั่นตั้งใจให้ดูเลย |
ถาม : การเห็นในอุปจาระกับการเข้าฌานที่หนึ่งแล้วถอยมาที่อุปจาระ การเห็นจะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยลงมา จะเห็นชัดกว่าและมั่นคงกว่า มั่นคงกว่านี่อยู่ในลักษณะที่สภาพจิตเราสะอาดขึ้น ความแจ่มใสของภาพมีมากขึ้น สมาธิทรงตัวมากขึ้น คราวนี้การที่เราได้ฌานที่สูงกว่าแล้วถอยออกมา ถ้าคนที่มีความคล่องตัวจริง ๆ แม้ว่าจะอยู่ในอุปจารสมาธิ ความนิ่งของใจจะเท่ากับปฐมฌานที่ตัวเองเคยได้ ที่เขาเรียกว่าฌานใช้งานคือตรงนี้ อย่างเช่น ฌานที่ ๒ ใช้งาน ฌาน ๓ ใช้งาน ฌานที่ ๔ ใช้งาน เหมือนกัน ก็คือกำลังใจคลายออกมา แต่ความนิ่งของใจเท่ากับระดับฌานนั้น ๆ ก็เลยทำให้เกิดความมั่นคงมาก สมัยก่อนจึงต้องพยายามซักซ้อมฌานใช้งานเป็นพิเศษ เพราะสามารถทรงอยู่ได้เป็นวัน ๆ จะทำอะไรก็ทำไป แต่ความนิ่งของใจเท่ากับตอนเข้าฌานนั้นเลย ถาม : บางทีเราทำงานอยู่ จะเห็นภาพที่...? ตอบ : ทำงานต้องใช้สมาธิ ไม่อย่างนั้นงานจะผิดพลาด ถ้าสมาธิลงตัวพอดีก็เห็นภาพเอง แล้วพยายามอย่าสับสน ถ้าสับสนจะเหมือนอาตมา เห็น "ท่านเซอร์" เดินมา ต้องมองก่อนว่าคนหรือผี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกลายเป็นนั่งคุยอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจะแตกฮือไปหมด ฉะนั้น..ดูให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะนั่งพึมพำอยู่คนเดียว จนเพื่อน ๆ สงสัยว่าเครียดขนาดนี้เลยหรือ ? ถาม : ถ้าเป็นฌานอากาสานัญจายตนะ จะเห็นชัดไหมครับ ? ตอบ : เรื่องของอรูป เขาทิ้งรูปไปแล้วเลยไม่เห็นอะไร จริง ๆ แล้วถ้าเป็นอากาสานัญจายตนะ นับเป็นฌาน ๕ แต่กำลังเท่าฌาน ๔ เพียงแต่เขากำหนดกำลังใจทิ้งรูป ไปจับความว่างของอากาศแทน ในเมื่อทิ้งรูปก็เลยไม่มีรูปให้เห็น |
ถาม : ที่พระนิพพานมีไหมคะ ที่พระพุทธเจ้าใส่ฉลองพระองค์เป็นแขนยาว ?
ตอบ : ท่านใส่เป็นปกติ ขอยืนยันว่าปกติท่านใส่แขนยาว ถ้าวันไหนเห็นห่มจีวรมาแสดงว่าอั้นไว้เต็มที่เลย ถาม : สงสัยมานานว่าทำไมถึงเห็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราเห็นเทวดาเหมือนที่พระนิพพาน ? ตอบ : บางทีเราชอบอะไรสิ่งนั้นจะปรากฏ พระนิพพานมีสภาพความสมบูรณ์พร้อม จิตใจเราเคยชอบใจอะไร ถึงแม้กิเลสเหล่านี้จะบางมาก เพราะเราเข้าไปอยู่อายตนะนิพพานแล้วก็จริง แต่ความรักชอบเดิม ๆ ยังเป็นอยู่ พอถึงเวลาเรารักชอบแบบนี้ก็มีให้ ถ้าเราไม่ต้องการก็หมดไป ความสมบูรณ์พร้อมของพระนิพพานคือต้องการอะไรมีอย่างนั้น ถ้าไม่ต้องการก็หายไปเอง เทวดาถ้ามีผู้เชิญก็ไปพระนิพพานได้ ถ้าไม่มีผู้เชิญ บุคคลที่อยู่ชั้นต่ำกว่า จะไปยังที่สูงกว่าไม่ได้ ปกติแล้วข้างบนวิมานจะเป็นแก้ว ๗ ประการ แก้ว ๙ ประการ วิมานของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นแก้วแกมทอง ท่านชอบของท่านอย่างนั้น เวลาขึ้นไปวิมานของท่านก็เป็นอย่างนั้น ต้องการอย่างไรก็เอาไปเถอะ เพราะเต็มที่แล้ว ในเมื่อเต็มที่แล้วอยากได้อะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็จะขาดความเข้าใจ ถึงสัมผัสด้วยตนเอง มีความเข้าใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าสภาพแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะว่าการที่บริสุทธิ์จนถึงที่สุด ไม่ยึดไม่เกาะอะไรเลย ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปคือต้องไม่มีอะไร แต่ความจริงสิ่งที่ไม่มีคือกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ภิกษุทั้งหลาย..อายตนะนั้นมีอยู่ ในเมื่ออายตนะนั้นมีอยู่ ถึงได้บอกว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง" นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีอะไรเลยจะรับรู้ความสุขไม่ได้ ฉะนั้น..อธิบายยาก ถามว่าเป็นอัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ เป็นอนัตตาใช่ไหม ? ไม่ใช่ แล้วเป็นอย่างไร ? บอกไม่ถูก ไปดูเอาก็แล้วกัน |
ถาม : อรูปฌานมีกำลังของฌานสี่ แต่ทำไมถึงไม่เห็นภาพ ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาไม่เอาอะไรนอกจากอารมณ์ที่ตนเองจับอยู่ อย่างเช่น จับความว่างของอากาศ จับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณ จับความไม่มีอะไรเลย หรือไม่เอาความรู้สึกอื่น ๆ เลย ฉะนั้น..เรื่องของรูปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รูปไปพูดกับอรูปฌานไม่ได้ ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็เหลือแต่นาม ไม่เหลือรูปแล้ว ถาม : เหลือแต่นามหรือครับ ? ตอบ : จริง ๆ รูปยังเหลืออยู่เป็นปกติ แต่จิตไม่เอารูปแล้ว ถาม : แล้วการรับรู้ละครับ ? ตอบ : การรับรู้ภายนอกไม่มี เพราะถึงเวลานั้นแล้วอายตนะรับสัมผัสไม่มี ถ้าตายแล้วไปติดอยู่ที่อรูปพรหม จนกว่าจะพ้นเขตนั้นไป ก็ต่อเมื่อได้รับอายตนะหยาบคืนมาใหม่ จึงเกิดการรับรู้ขึ้นมาใหม่ ถาม : เรียกว่าไม่มีอายตนะหรือครับ ? ตอบ : อายตนะที่หยาบไม่มี เพราะเหลือแต่จิตอย่างเดียว |
ถาม : ตอนที่เข้าถึงมรรคเบื้องแรก กับการที่ได้ฌานสี่แล้วน้อมใจเข้าอาสวักขยญาณ เป็นคนละแบบกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละแบบกัน คนที่เข้าถึงมรรคเบื้องต้นนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างสุดจิตสุดใจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ลักษณะนั้นเขาเองใคร่ครวญเรื่องศีลนิดเดียวเท่านั้น สภาพจิตยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่มีถอยหลังอยู่แล้ว แค่ชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์เพื่อให้เข้าถึงผล ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติเพื่ออาสวักขยญาณ เป็นสภาพจิตเพื่อดำเนินไปเพื่อตัดกิเลสในแต่ละลำดับขั้น ก็แปลว่ากำลังทำอยู่ แต่ทำแล้วจะได้ระดับไหน จะเป็นโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล แล้วแต่สติ สมาธิและปัญญาในช่วงนั้น ถาม : ผมเข้าใจว่าอาสวักขยญาณเป็นอภิญญา ? ตอบ : ยิ่งกว่าอภิญญาอีก เป็นอภิญญาแท้ ๆ แต่คนเขาไม่พูดกัน ถาม : มรรคผลเทียบเท่ากับอภิญญาหรือครับ ? ตอบ : ถ้าอภิญญาทั่ว ๆ ไปก็เป็นโลกียะ เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นโลกุตตระ แต่คราวนี้ว่าพระอริยเจ้าท่านไม่ได้กล่าวถึง แต่อาตมาอยากจะบอกว่า นั่นแหละอภิญญาจริง ๆ อภิ = ยิ่งกว่า อัญญา = ความรู้ จะมีอะไรรู้เหนือกว่าการตัดกิเลส รู้ยิ่งต้องรู้ตัดกิเลส แต่คนเขาไปเน้นเรื่องอภิญญาโลกีย์มาก ไปยึดติดว่าอภิญญาต้องเป็นอย่างนั้น แต่ที่บอกว่าโลกุตรภิญญา..ใช่เลย ถาม : ถ้าเป็นปฐมฌานเขาไม่เรียกอภิญญาหรือครับ ? ตอบ : ถ้าเป็นของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเขาเรียกผลสมาบัติ คือเข้าถึงผลระดับนั้น ๆ ถาม : เรียกว่าอภิญญาหรือเปล่า ? ตอบ : ถ้าจะเรียกอภิญญาก็เรียกแบบของเรา คือโลกุตรอภิญญา คราวนี้กำลังที่ตัดกิเลสตั้งแต่ระดับอนาคามีขึ้นไปจนถึงอรหันต์ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ คล่องตัว ก็ไม่ได้รับประทาน ถ้าได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้วมาตัดกิเลสระดับพระโสดาบัน หรือสกทาคามี ถือว่าใช้ของหนักมาเล่นของเบา เอาเครื่องมือหนักมาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าถึงระดับของอนาคามีหรืออรหันต์นี่ ดีไม่ดีแทบจะไม่พอใช้งาน |
ถาม : ทำไมคนที่ได้สมาบัติถึงไม่เอาตรงนี้มาใช้ตัดกิเลส ?
ตอบ : บางคนกำลังใจเขาไม่ไปด้วยซ้ำ ยังติดอยู่แค่นั้นเลย เข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันก็มี ดูอย่างพวกโยคีสมัยพุทธกาล ส่วนใหญ่ก็สมาบัติ ๘ ทั้งนั้นแหละ แต่ติดอยู่แค่นั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงเทศน์สูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ชาละคือตาข่าย ตาข่ายดักพรหม ติดแค่พรหม ไปได้ไม่เกินนั้น คือเขาขาดตัวปัญญาในช่วงท้าย ในขณะเดียวกันก็คิดว่าการทรมานกายอย่างเดียวสามารถเข้าถึงโมกษะ คือความหลุดพ้นได้ ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ถ้าจะพูดถึงตบะก็คือความอดทนในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตบะคือการทรมานตัวเอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อผางประทีปและลอยโคมครั้งนี้มีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขหลายอย่าง ข้อผิดพลาดอันดับแรกคือคนที่ไปช่วยมักจะไม่เป็นงาน ผางประทีปสามารถวางให้ระยะห่างเท่า ๆ กันได้ แต่เขาวางไม่เท่ากัน พื้นที่ของเราในส่วนที่เป็นลานธรรมนั้น จะมีแผ่นอิฐที่มีระยะห่างเท่ากันอยู่แล้ว เราเว้นกี่ช่วงก็ห่างกันพอดี ๆ แต่เขาไม่ดูเลย วางกันไปเรื่อยเปื่อย
ส่วนทางด้านนอกที่เป็นถนน เหล็กที่เป็นตะแกรงท่อของเทศบาลเขาก็มีระยะห่างชัด ๆ อยู่ ถ้าเราวางระหว่างตะแกรงแต่ละอันก็จะเท่ากันเป๊ะ แต่เขาก็วางของเขาไปเรื่อย ตรงจุดนี้น่าจะมีคนที่เป็นงานคอยแนะนำเขาบ้าง พอแนะนำให้หน่อยเขาเข้าใจก็ทำได้เลย ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือตอนเก็บผางประทีปมีฝนตก ตอนเก็บแทนที่จะคว่ำลงก็ไปหงายไว้ ก็เปียกอยู่อย่างนั้นแหละ คนที่จะไปทำความสะอาด ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องเอาไปคว่ำก่อน เสียเวลาอยู่เป็นวัน ๆ กว่าจะแห้ง ประการสุดท้าย ใครเป็นคนบอกว่าต้องวางผางให้หมด..! พอไม่มีที่วางเขาก็วางซ้อนอันเดิมไป อาตมาถามว่าวางไปทำไม ? เขาบอกว่าเหลือ ถ้าเหลือก็เก็บไว้สำรองได้ วางจนหมดคราวหน้าต้องหล่อตายกันพอดี จะให้ใช้หมดทีเดียว รู้หรือเปล่าว่าแต่ละครั้งใช้เทียนเป็นตัน ส่วนโคมลอยคราวนี้ดีมาก จนป่านนี้อาตมายังมีแผลเต็มตัวอยู่เลย เพราะหยดทุกอัน เปลี่ยนเจ้าซื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เขาชุบพาราฟินมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่น้ำมันก๊าด เวลาพาราฟินละลายก็หยดลงมา อาตมาเองหัวหูแขนขาด่างไปหมดเลย หยดใส่ไหม้ทุกที่ ความจริงโดนทีเดียวก็พอแล้ว แต่ไปทางไหนโยมส่งให้จุดก็โดนอีก" |
ถาม : ทำอย่างไรไม่ให้ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ?
ตอบ : อันดับแรกต้องเห็นโทษก่อน ถ้าไม่เห็นโทษ จะไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่อยากหลีกไป เมื่อเห็นโทษชัดเจนแล้ว ก็มาสร้างสมาธิของเรา เพื่อที่ว่าพอถึงเวลาจะได้สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำก่อน ยังไม่สามารถจะตัดขาดได้นะ การที่เราจะสร้างสมาธิได้ต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน กำลังใจที่ระมัดระวังในศีลทำให้สมาธิเราทรงตัว ก็คือเราต้องเอาสติทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเพื่อระวังไม่ให้ศีลขาด ทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่าย ในเมื่อมีสมาธิเราก็สามารถที่จะหยุดรัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ได้แล้ว จากนั้นเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างไร ? เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเราไปยึดไปถือ เราเป็นทุกข์ไหม ? ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะยึดถือมั่นหมายอะไรได้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสมบัติของร่างกายเท่านั้น รัก โลภ โกรธ หลงอาศัยร่างกายนี้เกิด ถ้าไม่มีร่างกายนี้ก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาในร่างกายนี้อีก เราถอนใจออกมาจากการยึดถือ ก็จะเป็นคนละส่วนกัน ไม่ตั้งกำแพงแล้วใครที่ไหนจะขว้างอะไรมาถูกได้ พอถึงเวลาเราก็สามารถที่จะดึงตนออกมาจากสภาพนั้นได้ ก็พ้นไปจากรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าไม่เริ่มจากเห็นโทษ เราก็ยังยึดติดอยู่ เพราะไม่เบื่อ ไม่หน่าย จึงต้องเห็นโทษก่อน การเห็นโทษก็คือปัญญา คือสัมมาทิฐิ แล้วเราก็ค่อยมาไล่ ศีล สมาธิ ตบท้ายด้วยปัญญาอีกที ถาม : กามราคะมองไม่ค่อยเห็นโทษ ? ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าจิตยังไม่เบื่อหน่ายก็เสร็จหมด ถาม : ขนาดมีฌานกดอยู่ ? ตอบ : ระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น อย่างฤๅษีพอเหาะผ่านสระสวนอุทยาน เห็นนางกำนัลกำลังเล่นน้ำอยู่ก็ร่วงลงมาเลย ถาม : ขนาดจับภาพพระได้แล้ว ยังเกิดได้ ? ตอบ : แค่ข่มไว้เฉย ๆ ถึงเวลาเราไปยกก้อนหินออก หญ้าก็งอกงามใหม่ คราวนี้งอกเร็วเสียด้วยเพราะเก็บกดมานาน |
ถาม : แล้วการยินดีในสุขเป็นกามราคะไหมครับ ?
ตอบ :ส่วนนั้นยังเป็นรูปราคะอรูปราคะ เป็นสังโยชน์ในส่วนละเอียด ไม่ใช่เรื่องกามราคะที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่เป็นสภาพจิตที่ยึดในรูปหรืออรูปแล้วมีความสุข ถาม : คำว่ารูปราคะกับอรูปราคะ คือติดในรูปฌานและอรูปฌานหรือเปล่าครับ ? ตอบ : จริง ๆ ก็คือรูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ แต่เป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด คือรูปฌานกับอรูปฌาน ถาม : คำว่า ติดในรูปฌานและอรูปฌาน ก็คือ ? ตอบ : ก็คือฌานตั้งแต่อุปจารสมาธิไล่ขั้นไปถึงฌาน ๔ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยังข้องเกี่ยวอยู่กับรูปต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้าใช้กสิณต้องยึดรูปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในส่วนของอรูปฌาน สภาพจิตมีความสุขเพราะทิ้งรูปนั้นได้ คิดว่ารูปนี้ทำให้เกิดทุกข์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพราะความอยากต่างหากทำให้เกิดทุกข์ ถาม : อรูปนี่ไม่ใช่ในกาม ? ตอบ : อรูปเป็นความละเอียดของสมาธิจิตที่เข้าถึงในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมีความสุขประณีตกว่า ในลักษณะที่ไม่ต้องเสพเสวยด้วยอายตนะ รับรู้เพียงด้วยใจเท่านั้น จัดเป็นกามราคะแบบละเอียด จะเรียกว่ากามราคานุสัยก็ได้ |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พยายามดูว่าท่านชอบใจอะไรแล้วพยายามทำให้ได้ดั่งใจของท่าน อาจจะลำบากเราหน่อย แต่ถือว่าเราเกิดมาทุกวันนี้ก็ด้วยท่าน การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราก็ไม่มีแดนเกิด ในเมื่อท่านมีบุญคุณส่งเรามาเกิดแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ท่านทำ อะไรบางอย่างจะไม่ถูกอารมณ์เราก็ตาม ต้องถือว่าเป็นความบกพร่องของเราเอง ฉะนั้น..ตัวเราควรที่จะเลือกดูว่าท่านชอบใจอะไร แล้วทำอย่างนั้นให้ได้ แต่ถ้าพยายามทำทุกอย่างแล้ว ท่านยังไม่ชอบใจสักอย่าง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเราสร้างกรรมไว้มากเกินไป เจอสถานภาพอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดสำหรับเราไม่มีอีก ตายแล้วไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องมีแม่ด้วย ถาม : แม่เขารู้เรื่องเกี่ยวกับพระโสดาบัน ? ตอบ : เรื่องของพระโสดาบันเขาเน้นเรื่องศีลและการเคารพพระรัตนตรัย และสติสุดท้ายให้รู้อยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าแม่มีความรู้ทางด้านนี้ เวลาแม่ออกงิ้วหรือโกรธ ก็สะกิดเล่น ๆ "แม่..ตายตอนนี้ไม่ได้ขึ้นข้างบนนะ" ท่านจะโกรธมากขึ้นหรือได้สติมากขึ้นก็ช่างเถอะ สะกิดให้รู้ตัวหน่อยก็แล้วกัน ถาม : ตอนนี้มักโกรธ ไม่มีใครเอาใจถูก ? ตอบ : ถ้าอยู่ใกล้แล้วทำให้ท่านโกรธมากขึ้นก็ถอยห่างออกมานิดหนึ่ง ถ้ามีโอกาสแล้วค่อยแวะไปดูใหม่ ต้องบอกว่าธรรมดาคนแก่เป็นอย่างนั้น เลือดลมแปรปรวน จิตใจไม่ปกติ อาการอย่างนี้ เดี๋ยวเราก็เป็นเหมือนกัน ในเมื่อเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นหรือยังว่าน่ากลัวขนาดไหนที่ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็เบื่อ ไม่อยากจะเป็น ไปพระนิพพานดีกว่า |
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ เพราะเราไปจ้างคนอื่นให้ทำให้เราเห็นทุกข์ ก็ยังจ้างไม่ได้เลย แต่เขาช่วยให้เราได้เห็นทุกข์ พระพุทธเจ้ากว่าจะเกิดมา ต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถึงจะเห็นทุกข์อย่างชัดเจน ตอนนี้สิ่งทั้งหมดนี้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดีของเรา
การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละชาติ ถ้าคิดเป็นทรัพยากร กว่าจะครบ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป มากจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าสูงค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก จะไปจ้างวานเขา บังคับเขา เพื่อทำให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ ก็จ้างใครไม่ได้หรอก บังคับใครไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาแสดงให้เราเห็นอย่างชัดที่สุด ฉะนั้น..ต่อไปถ้าสภาพจิตเราพลิกกลับอีกรอบหนึ่ง เราจะรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งเลย ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางเห็นทุกข์ได้ชัดเจน ไม่มีทางที่จะเบื่อหน่ายในร่างกายและโลกนี้ได้แบบนี้ |
ถาม : การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าเลย ?
ตอบ : ก็มัวแต่กังวลแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับปัจจุบัน อย่าไปคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเก่า เขาทำอย่างไรกับเรา เขาจะทำอย่างไรกับเรา ไม่ต้องไปคิด ที่ผ่านมาแล้วช่างมัน ยังมาไม่ถึงช่างมัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกในปัจจุบัน ถ้ารักษาอารมณ์นี้ได้ความก้าวหน้าจะมี ถ้าหลุดจากตรงนี้เมื่อไรจะเริ่มทุกข์ ความก้าวหน้าจะหาไม่ได้อีกต่างหาก ถาม : เวลาอยู่คนเดียวไม่มีอะไรให้ยึด ? ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ได้สักองค์หนึ่งที่เราเคารพมากที่สุด บารมีพระครอบคลุมอยู่ทุกอณูในจักรวาลนี้ เพียงแต่เราระลึกถึงท่านหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงท่าน ท่านก็อยู่ในจิตในใจเรา พร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเหลือเรา ต่อให้เรารู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอให้เราเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นแล้วยึดท่านเป็นที่พึ่ง |
ขอให้จำไว้นะ ความทุกข์เป็นสิ่งมีค่าที่หาซื้อไม่ได้ ต่อไปถ้ากำลังใจเราสูงกว่านี้ จะขอบคุณเขาอย่างบอกไม่ถูก ดีไม่ดีจะนั่งร้องไห้เป็นวัน ๆ
ใครทำให้เราโกรธ ใครทำให้เรากลุ้ม ใครทำให้เราเกลียด ใครทำให้เรากลัว ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเข็ด ไม่อยากเกิดอีก ต่อไปเราต้องกราบขอบคุณเขาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน จ้างใครช่วยให้เราเห็นทุกข์อย่างนี้ยังไม่ได้เลย พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนโลกพลิกกลับ มองคนละมุมไปเลย สิ่งที่เคยเห็นเป็นทุกข์เป็นโทษ กลับเป็นประโยชน์ไปหมด ถ้ายังทำไม่ถึง ก็ยังวางไม่ได้ ถ้าทำถึงจริง ๆ แล้วจะเห็นประโยชน์ของทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นท่านนั่งกราบกระท่อมน้ำตาไหลอยู่ครึ่งค่อนวัน กระต๊อบหลังเดียวแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมดทุกอย่างเลย เราจะเห็นว่ากระท่อมแค่นั้น ถ้าสภาพจิตเราละเอียดอ่อนจะเห็น ทุกสิ่งทุกอย่าง ประเภทเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไม้สอย ทุกอย่างอยู่ในหลักธรรมทั้งหมด เป็นครูของเราทั้งหมด เสื้อผ้าตอนแรกใหม่ ตอนนี้เก่า ตัวผ้าเองสะอาด พอเราใส่ไปโดนเหงื่อไคลเข้าไปก็สกปรก เห็นเป็นหลักธรรมหมด ถาม : ทำไมเห็นถึงขนาดนั้นคะ ? ตอบ : ถ้าทำไปถึงแล้วจะเห็นยิ่งกว่านี้อีก ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ให้มีสติรู้ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำให้ได้ อย่าไปหยุดอยู่แค่นั้น โดยเฉพาะคำพูดบางอย่าง ถ้าไม่พูดมีประโยชน์กว่าพูด เพราะฉะนั้น..ตั้งสติอยู่กับคำพูดให้มาก ๆ บางอย่างเราพูดไปสะเทือนคนอื่น กลายเป็นเราสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว ต่อให้เขาไม่คิดเป็นศัตรูกับเรา เขาก็จะไม่ชอบหน้าเรา |
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ในเรื่องของคำพูดนั้น
วาจาที่ไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น วาจาไหนไม่มีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตก็ไม่กล่าววาจานั้น วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนไม่ชอบใจ ตถาคตรู้ว่าควรจะกล่าวเวลาไหน วาจาไหนมีประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตมักกล่าววาจานั้น ฉะนั้น..พยายามตั้งสติให้ดี ระวังเรื่องคำพูดได้ ต่อไปก็จะระวังเรื่องใจได้ พวกเราปฏิบัติในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา มามาก ตอนนี้เรื่องของศีล เราบังคับกายของตนเองได้ แต่จะไปเผลอเรื่องวาจา เมื่อคอยระวังเรื่องวาจาได้ เมื่อควบคุม กาย วาจา ได้ ต่อไปก็ระวังเรื่องใจ ไปเป็นขั้น ๆ ตอนนี้ก็ระวังว่าจะพูดคำหยาบไหม ? จะพูดเพ้อเจ้อไหม ? จะพูดส่อเสียดไหม ? จะพูดโกหกไหม ? ถาม : บางทีก็มีค่ะ ตอบ : กลับไปก็หาเหรียญมาอม อาตมาเคยอมมาแล้ว ไม่อย่างนั้นปากไว เมื่อก่อนปากไวมาก ถึงเวลาก็อมเหรียญ พอจะขยับลิ้นก็ติดเหรียญหลวงพ่อ ก็นึกได้ว่าต่อไปจะไม่พูดอย่างนั้น ๆ อีก แต่อย่าอมนานนะ เดี๋ยวเหรียญสึก ราคาตก ...(หัวเราะ)... ถาม : บางอย่างเราก็ไม่อยากจะโกหก แต่ถ้าเราพูดอย่างนั้นแล้วสถานการณ์ดีขึ้น ? ตอบ : ในเรื่องของการโกหก เขาเน้นว่าหลอกลวงคนอื่นแล้วผลประโยชน์ตกแก่เรา ถ้าผลประโยชน์ตกแก่ส่วนรวม ผิดสัก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ก็พอ อย่างสมัยก่อน เวลาขี่ม้าลากกิ่งไม้คนละ ๗ - ๘ กิ่ง ฝุ่นตลบมาแต่ไกลเลย พวกนั้นคิดว่ากองทัพม้ามาเยอะ ความจริงมีแค่ ๕ ตัว ๑๐ ตัวเอง นั่นเจตนาโกหกเลย แต่แหม..คนเขามาเป็นหมื่น ถ้าตีเราก็ตายสิ..ก็ต้องหลอกเขาก่อน... |
ถาม : นั่งกรรมฐานทีไรจะหลับทุกที ช่วงนั้นเป็นอารมณ์อะไรคะ ?
ตอบ : ปฐมฌานหยาบ พอสภาพจิตทรงสมาธิเป็นฌานแล้ว สติตามไม่ทัน ดำรงอยู่ในสมาธินั้นได้แต่สติขาดไป เพียงแต่มีตัวรู้ตัวกำหนด คือถ้าถึงเวลาแล้วจะออกจากฌาน พอได้ยิน "อิทัง ปุญญะผะลัง.." จะโผล่พรวดออกมา ต่อไปถ้าต้องการก้าวข้ามจุดนี้ได้ ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจี้ติดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าห่างเมื่อไรก็เป็นอีก... |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:48 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.