กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3754)

เถรี 25-05-2013 19:24

ถาม : ขอขยายความเรื่องวัญจกธรรมหน่อยครับ มีเวลาก็พาคุยเพลิน ๆ
ตอบ : เวลาไม่พอหรอก ถ้าจะเอารายละเอียดต้องเอาตำรามากางว่ากันทีละข้อ ให้รู้ว่าแต่ละข้อนั้นล้วนแล้วแต่มีข้ออ้างให้เข้าใจผิดได้ทั้งสิ้น การเข้าใจผิดนั้นก็มักจะอยู่ในลักษณะการเข้าข้างตนเอง ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ห้ามปรารภตนเองเป็นใหญ่เด็ดขาด ถ้าขึ้นชื่อว่าตัวเองดีเมื่อไรก็เตรียมตัวเจ๊งได้เลย

ถาม : ผมลองฟังดูคร่าว ๆ แล้ว สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เลยอยากจะเรียนถามว่า มีจุดเครื่องเตือนใจอะไรไหมครับว่าเข้าข่ายแล้ว ?
ตอบ : สมัยก่อนที่ปฏิบัติอยู่ที่วัดท่าซุง จะมีธรรมสากัจฉาหลังปฏิบัติกรรมฐานภาคค่ำ คุยกันไปคุยกันมาในระหว่างพี่น้อง ว่าแต่ละคนปฏิบัติอย่างไร ถึงเวลาติดขัดจะแก้ไขอย่างไร ท้ายสุดก็มาเรื่องที่กิเลสหลอกเราอย่างไร สรุปลงได้ว่า ทุกคนมีคาถาบทสุดท้ายประจำตัวว่า “กูไม่เชื่อมึง” โดยเฉพาะถ้าเขาบอกว่าเราดีแล้ว อย่าพึงเชื่อเป็นอันขาด

ก่อนจะออกจากวัดประมาณ ๒ - ๓ พรรษา มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ในเรือ เพื่อดูแลรักษาปลาหน้าวัด ตื่นขึ้นมาภาวนารู้สึกว่าอารมณ์ใจโปร่งเบาดีมาก กิเลสต่าง ๆ สงบเงียบเรียบร้อยไม่มีวี่แววเลย รู้สึกว่าผ่องใสเป็นพิเศษ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว

ความเคยชินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้ก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าตนเองเข้าถึงธรรมในส่วนไหน ให้พิจารณาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ ๑๐ จึงค่อย ๆ ไล่ไปทีละข้อ ๆ เมื่อดูละเอียดจนถึงปลายแล้วย้อนทวนต้น ถึงต้นแล้วย้อนทวนปลายอยู่ ๓ รอบ สรุปได้ว่าติดครบทุกข้อ..! แต่ตอนนั้นกำลังของสมาธิหนักแน่นมากเป็นพิเศษ
กิเลสก็เลยดับสนิทลงชั่วคราว ถามว่ากิเลสตายไหม ? ไม่ได้ตายหรอก หลบไปนอนที่ไหนก็ไม่รู้ เผลอเมื่อไรก็กลับมาใหม่ ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติจะเชื่อว่าดีแล้วไม่ได้เป็นอันขาด

เถรี 25-05-2013 19:27

ตอนที่มาอยู่เกาะพระฤๅษี..มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ติดขัดตรงไหนก็สอบถาม มีการแนะนำเป็นการเฉพาะตัว แล้วเขาเก่งมาก สามารถที่จะทำตามได้แทบทุกขั้นตอน จนกระทั่งวันหนึ่งแม่สาวก็มาปรารภว่า “หลวงพ่อ..คนเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นจะต้องตายเลย” ก็บอกกับเขาไปว่า ถ้าเป็นฆราวาสตายแน่ เขาบอก “ไม่เห็นหนูจะตายเลย..!”

เขาสามารถที่จะทรงฌาน แล้วรักษาอำนาจของสมาธิต่อเนื่องได้เป็นเดือนเป็นปี กิเลสไม่เกิด เขาก็เลยเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ในเมื่ออาตมาพูดแล้วเขาไม่เชื่อ เมื่อมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามา ในลักษณะของการรู้เห็น เขาก็ไปเชื่อทางด้านนั้นแทน ปัจจุบันนี้มีลูก ๔ คน สามี ๒ คน..! เพราะตอนนั้นโดนหลอกว่า เกิดมาแล้วต้องรับหน้าที่สำคัญในการรักษาประเทศชาติ โดยเฉพาะเมื่อตนเองเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว ถ้าอยากจะช่วยโลกนี้ให้ดีจริง ๆ ก็คือต้องสร้างเผ่าพันธุ์ซูเปอร์ฮิวแมนขึ้นมา เพราะว่าสามีก็บริสุทธิ์ ภรรยาก็บริสุทธิ์ ลูกเกิดมาจะต้องดีแน่ ๆ เลย ไป ๆ มา ๆ ก็เลยสบาย นั่งเลี้ยงลูกไปก็แล้วกัน

เถรี 25-05-2013 19:29

ถาม : อย่างนี้ประมาทไม่ได้เลย
ตอบ : เผลอเมื่อไรก็จะโดนดึงออกนอกทางไป เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ

ถาม : เรื่องของการปฏิบัติยิ่งทำไปเรายิ่งต้องระวังมากขึ้น หรือเราทำได้แล้วก็ไม่ต้องระวังรักษาแล้ว เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติได้แล้วต้องมีการทบทวนอยู่เสมอ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังบอกว่า “ถึงเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังพิจารณาธรรมอยู่เสมอ เพื่อความอยู่สุขของตนเอง และเพื่อความไม่ประมาท” แปลว่ายิ่งทำได้ยิ่งขยัน ถ้าทำได้แล้วทิ้งโอกาสที่จะตายมีสูงมาก..!

ถาม : คือว่ายิ่งปฏิบัติไป ความไม่ประมาทยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมก็เข้าใจผิดว่ายิ่งทำไปแล้วสบาย ๆ
ตอบ : เพราะว่าสบายก็เลยไม่ได้ไปไหนสักที ถ้าลำบากก็ตะกายไปไกลหน่อย

เถรี 25-05-2013 19:47

ถาม : ถ้าเราซื้อของเตรียมมาถวายพระ แต่ของเสียกลางทางโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วเราไม่ได้นำไปถวายพระ เราต้องชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..เพราะยังเป็นของ ๆ เราอยู่ สิ่งที่ควรทำก็คือ สร้างสติตัวเองให้ดีกว่านั้น เพราะว่าสติของตนเองบกพร่องก็เลยเกิดเรื่องอย่างนี้ บางทีญาติโยมบางท่านก็เหมือนกัน ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ไปนั่งเสียอกเสียใจอยู่เป็นนาน จิตใจเศร้าหมองอยู่ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุน บางท่านซื้อปลาไปปล่อย พอเทลงน้ำก็หงายท้องตายไปเลย แล้วก็ไปนั่งเสียอกเสียใจว่าเราทำให้ปลาตาย เขาเรียกว่าหลงประเด็น

เจตนาของเราคือซื้อปลาไปปล่อย เราได้ปล่อยแล้ว ส่วนวาระกรรมของ
ปลาเขาหนัก ไม่สามารถจะอยู่รอดได้ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ถ้าเป็นอาตมาเห็นหงายท้องก็ช้อนกลับบ้าน เอาลงหม้อเรียบร้อยไปแล้ว..!

เถรี 25-05-2013 19:49

ถาม : ที่ท่านกล่าวว่าการปฏิบัติเชื่อถือไม่ได้ ก็คือ ?
ตอบ : คำว่าเชื่อถือไม่ได้ก็คือเชื่อว่าตัวเองดีไม่ได้ ถ้าคิดว่าตัวเองดีเมื่อไรโอกาสที่จะเสียมีสูงมาก เพราะว่าถ้าคิดลักษณะอย่างนั้น อันดับแรกก็คือสักกายทิฐิ ตัวกูของกู ถูกวัญจกธรรมหลอกอีกแล้ว หลอกว่าเราดีแล้ว ขณะเดียวกันก็แบกมานะ คือความถือตัวถือตน อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า ทำไมเราถึงดี ก็ดีเพราะเราไปเปรียบกับคนอื่น กลายเป็นยกตนข่มท่านไป มานะเต็ม ๆ เลย

ถาม : ตัวเองอย่าไปเชื่อถือ ?
ตอบ : อย่าคิดว่าตัวเองดี

เถรี 25-05-2013 19:51

ถาม : ความรู้สึกกลัวความตาย กลัวการพลัดพราก เพิ่งมาเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ แล้วต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังในการปฏิบัติของเรายังอ่อนมาก ให้ไปเน้นในเรื่องของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกให้มากไว้ อานาปานสติทำให้สมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่น ถ้าสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่นปัญญาจะเกิด จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เป็นธรรมดา ธรรมชาติของกายสังขารของเราและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อความตายมีเป็นปกติ กลัวหรือไม่กลัวเราก็ตายอยู่แล้ว

ในเมื่อจะตายทั้งทีก็ทำดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าเราสามารถทำความดีจนกระทั่งมั่นใจว่าสุคติคือที่ไปของเรา เราก็จะไม่กลัวความตาย แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่มั่นใจในความดีของตัวเองก็จะกลัวไปเรื่อย ๆ ให้ไปเน้นที่ลมหายใจเข้าออกจ้ะ

เถรี 25-05-2013 19:55

ถาม : บางทีหลังจากที่สวดมนต์เสร็จก็จะเปิดฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง บางทีระหว่างที่ฟังไปเหมือนกับไม่ได้ยินเสียงเลยครับ เหมือนกับเราจะมีสติอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าภาวะที่เราไม่ได้ยินแล้วกลับมาได้ยินใหม่ เป็นเพราะเราหลับหรือว่าเรามีสมาธิมากเกินไปแล้วขาดสติครับ ?
ตอบ : สมาธิน้อยเกินไป คำว่าสมาธิน้อยเกินไปก็คือเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานขั้นหยาบ จิตกับประสาทแยกออกจากกันแล้วสติตามไม่ทัน ก็เลยรับรู้อาการอย่างอื่นไม่ได้ โปรดเข้าใจใหม่ ไม่ใช่สมาธิมากเกิน หากแต่น้อยเกินไป

ถ้าก้าวเข้าสู่ปฐมฌานละเอียดแล้วต้องการรับรู้ จะรับรู้ทุกอย่างรอบด้านได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ แต่ถ้ายังไม่ถึงตรงจุดนั้นก็มีโอกาสที่จะตัดเงียบไปเฉย ๆ แต่ถ้าบางท่านที่ไม่เคยชินกับลักษณะของฌานใช้งาน ที่สามารถจะสนใจในเรื่องอื่น ๆ ได้ ก็อาจจะเงียบไปเฉย ๆ เหมือนกันในทุกระดับฌานของตนเอง

เถรี 25-05-2013 20:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งดูโยมถวายสังฆทานบ้าง ถวายปัจจัยบ้าง บางรายวนแล้ววนอีก อาตมาก็ได้แต่นั่งขำ พวกกลัวถูกรางวัลที่ ๑ ขอเลขท้าย ๒ ตัวไปเรื่อย ๆ ถวายที ๗ - ๘ รอบ

กำลังใจในการทำบุญของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เวลาเกิดผลตอบแทนก็ตอบแทนไม่เหมือนกัน รายที่ถวายสังฆทานชุดละ ๑๐๐ บาท ๙ ชุด ถวายไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ ชุด ประเภทนี้ในเรื่องของลาภผลมาก็มาเรื่อย ๆ เหมือนกับน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย ส่วนประเภทที่เทตูมเดียวมาครบเลย ก็จะเป็นประเภทสึนามิ ผลตอบแทนก็จะต่างกัน

อาตมาเองชอบทำอะไรเร็ว ทีเดียว ลักษณะนี้พอถึงเวลาก็รับอะไรทีเดียวเลย รับกันจนเบื่อไปเลย ทุกครั้งที่ได้อะไรจะไม่เคยได้อย่างเดียว จะมาทีหลายอย่างพร้อมกันอยู่เสมอ"

เถรี 26-05-2013 19:53

ถาม : ทำไมขงเบ้งถึงล่วงรู้ดินฟ้า เขาได้อภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาเรียนอะไรก็ต้องรู้จริง เก่งจริง ดูตัวอย่างแค่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านเรียนโหราศาสตร์แท้ ๆ แต่สามารถคำนวณได้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเมื่อไร ? ที่ไหน ? ถึงขนาดมีพระราชหัตถเลขาส่งไปเชิญฝรั่งมาดูเป็นสักขีพยาน อย่างนั้นสมัยโบราณก็เรียกว่า "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่ว่าเรียนให้รู้ เมื่อรู้จริงแล้วสามารถนำไปใช้งานจริงได้ด้วย

อย่างน้อยก็มีอยู่ ๒ เหตุการณ์ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ขงเบ้งน่าจะเป็นผู้ได้อภิญญา อย่างหนึ่งก็คือ ตอนที่ไปรบกับเบ้งเฮ็ก อีกฝ่ายมีการใช้กองทัพเทวดา ก็คือเสกหุ่นพยนต์ เขาว่าเสกกระดาษเป็นกองทัพเทวดามาช่วยรบด้วย แล้วขงเบ้งทำลายอาถรรพ์ได้หมด อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลังจากตายไปแล้วสามารถบอกได้ว่า จะมีใครมาขุดหลุมศพตัวเองเมื่อไร มีจารึกบอกไว้เรียบร้อยว่า เราชื่อนั้น ตายไปในวันนั้นเวลานั้น อีก ๑๐๐ ปีให้หลังจะมีบุคคลนั้นชื่อนั้นมาขุดหลุมศพของเรา เมื่อเห็นป้ายนี้ให้หยุดอยู่แค่นี้ ถ้าขุดต่อไปเดี๋ยวจะตายเพราะเกาทันฑ์ เขาก็ไม่เชื่อ พอย้ายป้ายออกก็ไปโดนกลไก ถูกลูกเกาทัณฑ์ตายคาที่

ในสองส่วนนี้ก็น่าจะบอกได้ชัดว่า ขงเบ้งสามารถรู้อนาคตได้ อีกฝ่ายหนึ่งใช้อภิญญาในส่วนที่เป็นโลกียะคือไสยศาสตร์ แล้วตนเองสามารถแก้ตกได้ ถ้าความสามารถไม่ได้ขนาดนั้นก็คงแก้ของเขาไม่ได้

ถาม : เป็นพุทธหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นลัทธิเต๋า

ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานอย่างไร ใช้อภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : ใช้อภิญญากำกับ อธิษฐานทิ้งไว้ ถึงเวลาก็เป็นไปตามที่ต้องการ

ถาม : เป็นวัตถุธรรมดาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นวัตถุผสมกับกำลังของอภิญญา แบบเดียวกับที่ขุนแผนสร้างค่าย แทนที่จะไปตัดเสามาปัก ขุนแผนก็เอาไม้อ้อมาเสียบ ๆ พอถึงเวลาเสกคาถา ซัดข้าวสาร ก็เป็นเสาไม้จริงทั้งหมด ต้องมีวัตถุเป็นสื่อด้วย

ถาม : มีหลายคนที่ได้อภิญญา ?
ตอบ : ของพวกนี้สมัยก่อนเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องปกติเหมือนสมัยนี้เรียนหนังสือก็ต้องจบ สมัยนั้นเขาเรียนก็ต้องได้อภิญญา

เถรี 26-05-2013 20:03

ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานตลอดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : ทำเฉพาะตอนที่ป้องกันอันตราย กลไกซึ่งมีวัตถุเป็นสื่อ ถ้าทำงานตลอดเวลาก็ชำรุด จึงทำงานเฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องป้องกันเท่านั้น

เถรี 26-05-2013 20:07

ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้ว ๑ พระธรรมขันธ์ คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : คือหัวข้อธรรมข้อหนึ่ง เขาจะแบ่งเป็นหัวข้อ ไปเปิดดูในพระไตรปิฎกก็ได้ เขาจะเขียนบอกทีละหัวข้อไล่ไปเรื่อย จะมีตัวเลขวงเล็บอยู่ด้านหน้า วงเล็บหนึ่งก็คือหัวข้อหนึ่ง ไล่ไปเรื่อยจนครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

ถาม : ในปฐมสมโพธิกถาเป็นพระธรรมขันธ์ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ปฐมสมโพธิกถาเป็นของที่แต่งขึ้นใหม่ อาศัยเนื้อความในพุทธประวัติ แต่งขึ้นเป็นเนื้อหาหนังสือในอีกสำนวนหนึ่ง

เถรี 26-05-2013 20:14

ถาม : พื้นฐานมนุษย์มาจากพรหมจริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามอัคคัญญสูตรของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ฝรั่งเขางมโข่งกันต่อไป ฝรั่งพยายามจะเอามนุษย์มาจากลิงให้ได้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงหาห่วงโซ่ข้อกลางไม่ได้ ก็คือระหว่างลิงกับคน โครโมโซมจะห่างกันอยู่ ๒ คู่ เขาบอกว่าถ้ามนุษย์กับลิงมาด้วยกัน อย่างน้อย ๆ ต้องมีอีกคู่หนึ่ง แต่ยังหาไม่ได้ ในเมื่อโครโมโซมห่างไป ๒ คู่ เท่ากับเป็นคนละพันธุ์กัน จะต้องมีอีก ๑ เผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวเชื่อมตรงกลาง แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้

เรื่องพวกนี้ในความรู้สึกของฝรั่ง ก็เหมือนนิทานหลอกเด็ก เป็นพวกเทพนิยาย เขาพยายามจะหาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้

เถรี 26-05-2013 20:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงการทำบุญกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร มีญาติโยมหลายท่านทำแบบน่าชื่นชม อย่างเช่น ทำเป็นประจำ เดือนละ ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ๓๐๐ บาท บางคนทำเดือนนี้ ๓๐๐ บาท เดือนหน้า ๔,๐๐๐ บาท เดือนต่อไป ๕๐๐ บาท เดือนถัดไป ๑,๒๐๐ บาท มั่วไปหมด

คนที่เขาทำสม่ำเสมอ ต่อให้ลงบัญชีพลาด แต่ถึงเวลาก็จะรู้ว่าเขาทำแค่นี้ แล้วก็ลงให้เขาได้ บางคนขนาดทำวันเดียวกันทุกเดือน มีอยู่รายหนึ่งทำทุกวันที่ ๒๓ ของเดือน คนที่เขาทำสม่ำเสมอต้องบอกว่า นอกจากกำลังใจในจาคานุสติและทานบารมีทรงตัวแล้ว ในเรื่องของสัจจะบารมี ความแน่วแน่มั่นคง ตรงไปตรงมา สม่ำเสมอ ก็ยังมีอีกด้วย

บางทีไปคิด ๆ คำนวณตัวเลขเสร็จสรรพเรียบร้อย มองตั้งแต่ต้นยันท้าย เห็นว่าเขาทำเท่ากันทุกเดือน ก็เอา ๑๒ คูณไปเลย ปีละเท่าไร แต่ว่าหลายรายทำขึ้น ๆ ลง ๆ ตามกำลังของตัวเองในช่วงนั้น มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย บางทีก็ทำเอาอาตมาสับสนไปด้วย"

เถรี 26-05-2013 20:31

"หลักการปฏิบัติธรรมนั้น ความจริงจังสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในลักษณะของการทำ ๆ ทิ้ง ๆ เอาดีได้ยาก ต้องบอกว่าบารมียังพร่องอยู่ ถ้าลักษณะของการทำไม่สม่ำเสมอ แสดงว่าสัจจะบารมียังพร่องอยู่"

เถรี 26-05-2013 20:45

ถาม : มูลกัจจายน์อยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มูลกัจจายน์เป็นการศึกษาภาษาบาลีแบบถึงต้นรากของศัพท์เลย ลักษณะเดียวกับที่เราศึกษาหลักภาษาไทยหรือแกรมม่าของอังกฤษ แต่จะละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก มูลกัจจายน์สืบสายมาจากพระมหากัจจายนะ

สมัยนี้เขาไม่ค่อยเรียนกัน เขาบอกว่ายาก อาตมาเคยเรียนแค่ส่วนหนึ่ง ไปนั่งท่องสูตรเป็นร้อย ๆ สูตร ถึงได้รู้ว่าบาลีมีที่มาที่ไปอย่างไร ปัจจุบันนี้เขาเรียนบาลีตั้งแต่ประโยค ๑ - ๒ ถึงประโยค ๙ บางทีไม่รู้หรอกว่ามาอย่างไร เขาให้เชื่อแล้วจำอย่างเดียว ในเมื่อเชื่อแล้วจำอย่างเดียว ไม่รู้ที่มา บางคนเรียนไปก็อึดอัด ไม่รู้ว่ามาอย่างไรแต่รู้ว่าต้องตอบแบบนี้ ปัจจุบันนี้ที่ยังมีมูลกัจจายน์เรียนอยู่ คือที่สำนักวัดท่ามะโอ วัดจองคำ และสถาบันบาลีศึกษาพุทธโฆษ พวกนี้ยังชอบของยากอยู่

แต่จะเรียนมูลกัจจายน์หรือบาลีไวยากรณ์ชั้นสูง เขาบังคับว่าต้องจบประโยค ๕ แล้วถึงยอมเรียนได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีพื้นฐานแล้วจะไปไม่เป็น อาตมาเองไม่มีพื้นฐานประโยคมาก่อน แต่เคยท่องไวยากรณ์บาลีมา พอไปอ่านสูตรแต่ละสูตร ก็เข้าใจเลยว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนหน้านั้นเขาบังคับให้ท่องแล้วเชื่ออย่างเดียว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าแต่ละอย่างมีที่มาอย่างไร

เขาขึ้นบาลีว่า "อตฺโถ อกฺขรสญฺญโต" อันดับแรกต้องจดจำอักขระทั้งหมดให้ได้ก่อน จะได้แม่นยำไม่ผิดเพี้ยน เขายกตัวอย่างว่า พระไปนั่งภาวนาอยู่ริมสระน้ำตามที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอก มอบคาถาไว้ให้ คาถาคือ "ขยะวยะ ขยะวยะ" ก็คือความสิ้นไปของกิเลส ท่านก็นั่งภาวนาไป พอดีนกกระยางพุ่งลงจับปลา โผพรวดลงน้ำไป ท่านภาวนาอยู่สมาธิยังไม่ทรงตัว ได้ยินเสียงนกกระยางพุ่งลงจับปลา ก็ตกใจลืมตาขึ้นมาดู คราวนี้จำคำภาวนาที่อาจารย์ให้ไม่ได้ จำได้แต่นกกระยางลงน้ำ ก็เลยกลายเป็นคำภาวนา "พกะ อุทกะ" พกะคือนกกระยาง อุทกะคือน้ำ

พอขึ้นบาลี อันดับแรกเลยต้องจำอักขระให้ได้ทั้งหมดก่อน ว่าแบ่งเป็นกี่วรรค มีเศษวรรคเท่าไร

เถรี 26-05-2013 20:52

ถาม : คนที่จะเรียนมูลกัจจายน์ได้ต้องมีปัญญามากหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นสิ่งที่คนโบราณเขาเรียนกันและรู้กันเป็นปกติ แต่คนสมัยใหม่สมองรับขนาดนั้นไม่ไหว ก็เลยกลายเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ดูอย่างพระสมัยก่อนท่องพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้เป็นเรื่องปกติ สมัยนั้นเขาใช้วิธีส่งต่อกันแบบมุขปาฐะคือท่องจำด้วยปากเปล่า จนกระทั่ง ๕๐๐ ปีผ่านไป ถึงได้มีการจารึกพระไตรปิฎกขึ้นเป็นตัวอักษรขึ้นมาที่ประเทศศรีลังกา เขาท่องกันมา ๕๐๐ กว่าปี สมัยนี้ขนาดเราเปิดคอมพิวเตอร์ยังจำไม่ค่อยจะได้เลย

ปัจจุบันนี้ประเทศพม่ามีพระผู้ทรงจำพระไตรปิฎกได้ เรียกว่าพหูสูตรอยู่ ๙ รูปด้วยกัน อาตมาไปลุ้นเขาอยู่ ๕ ปีติด ๆ กัน สอบตกยกชั้นทุกปี สมัยนี้เขาผ่อนผันลง แสดงว่าสมองคนแย่ลงไปเยอะ เขาผ่อนผันว่าให้เก็บทีละหมวดได้ หมวดพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้ แล้วไปเก็บหมวดพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วค่อยไปเก็บหมวดพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ว่าสมัยหลวงปู่วิจิตตะ ท่านท่องรวดเดียวเลย สมัยนี้ผ่อนผันให้มากแล้ว

ที่ไปดูเพราะมีพระไทยไปสอบด้วย ปัจจุบันนี้ท่านเก็บหมวดพระวินัยได้แล้ว แต่ที่เหลือก็ติดอยู่กับที่เหมือนเดิม เกรงอยู่อย่างเดียวว่าท่องขึ้นหน้ามาก ๆ เดี๋ยวถอยหลังมาจำไม่ได้ ก็จะสอบตกอีก

เถรี 26-05-2013 20:57

พระพม่าเวลาจบพระไตรปิฎก เขาจะมีคำว่า "ตรีปิฏกะบัณฑิต" ต่อท้าย เวลาไปที่ไหนญาติโยมจะแห่กันไปทำบุญ เขาถือว่าเท่ากับเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า สามารถจำพระธรรมทั้งหมดของพระองค์ได้ โดยที่ลืมนึกไปว่า พระธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นใบไม้กำมือเดียว ในเมื่อเป็นแค่ใบไม้กำมือเดียวแล้วจะไปเป็นตัวแทนได้อย่างไร ? อีกอย่างหนึ่งก็คือ การจำได้ไม่ได้หมายความว่าทำได้ ไม่ได้หมายความว่าอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้งได้ เป็นแค่การท่องจำเฉย ๆ เท่านั้น

เขามีการสอบกันทุกปี ใช้เวลา ๑ เดือน ท่านหนึ่งจะมีพระผู้ใหญ่ ๒ รูปเป็นกรรมการ และมีฆราวาสที่เคยได้เปรียญธรรมสูง ๆ อีก ๒ คน คอยดูแลควบคุมอยู่ ๑ ต่อ ๔ พอเริ่มต้นก็ว่าไป พระผู้ใหญ่ท่านก็เปิดพระไตรปิฎกทวนอยู่ตรงนั้น ถ้าเหนื่อยขึ้นมาก็นอนพักตรงนั้นแหละ หิวขึ้นมาโยมก็เอาอาหารมาประเคน จะไปห้องน้ำห้องส้วมโยมก็ตามประกบไป ไม่มีโอกาสหลบไปเปิดตำราที่ไหนเลย ให้เวลา ๑ เดือน ต้องท่องมาให้หมด

หลวงปู่วิจิตตะที่มรณภาพไปแล้ว หนังสือกินเนสบุ๊กบันทึกว่า เป็นบุคคลที่มีความทรงจำเลิศที่สุดในโลก สามารถทรงจำอักขระต่าง ๆ คิดเป็นตัวหนังสือในหน้ากระดาษ A๔ ได้ประมาณ ๑๑,๐๐๐ หน้า ก็คือพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละ แต่ ๑๑,๐๐๐ หน้าของหลวงปู่ ท่านเก่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก

ถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งค้นหาในคอมพิวเตอร์ จะได้ข้อมูลมาเยอะแยะไปหมดเลย คุณจะใช้ตรงไหนต้องไปเลือกเอา แต่ของหลวงปู่วิจิตตะ ถ้ายกขึ้นมาคำหนึ่ง ท่านบอกได้เลยว่าข้างหน้าคือคำอะไร ข้างหลังคืออะไร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหน

เถรี 26-05-2013 21:01

ถาม : แล้วที่บอกว่า พระที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณจะมีการทรงพระไตรปิฎกด้วย ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ

ถาม : แล้วต้องท่องจำหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาท่องจำ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สรุปรวมลงที่กายสังขารนี้ ในเมื่อรู้รายละเอียดของร่างกายทั้งหมด ก็แปลว่ารู้พระไตรปิฎกทั้งหมดนั่นแหละ ดังบาลีที่ว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามาดูข้างใน ไม่ต้องไปดูที่อื่น กว้างศอกยาววาหนาคืบ นี่แหละคือก้อนธรรม เกิดก็ตรงนี้ แก่ก็ตรงนี้ เจ็บก็ตรงนี้ ตายก็ตรงนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็อยู่ตรงนี้

ถาม : แต่ผู้ทรงพระไตรปิฎกก็รู้เรื่องพวกนี้ ?
ตอบ : รู้เป็นปกติ แต่รู้ตัวนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะท่านแค่จำได้ แต่พระปฏิสัมภิทาญาณท่านรู้เพราะทำได้ รู้ลักษณะนั้นลองไปถามท่านก็ได้ อย่างหลวงปู่บุดดาไม่เคยเรียนหนังสือมา แต่ถ้าไปถามท่าน ท่านยกพระไตรปิฎกมาให้ฟังได้เป็นเล่ม ๆ เลย

เถรี 26-05-2013 21:09

ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่ากันทุกพระองค์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้น บุคคลที่เข้าถึงธรรมจัดอยู่ในบารมีระดับไหน ถ้ามีบารมีน้อยก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันมาก อาศัยหลักธรรมจำนวนมาก เพื่อที่จะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าระดับไหนมาก็จะได้มีหลักธรรมเทศน์สอนเขาได้ แต่ถ้าไปเจอสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เทศน์พระสูตรเดียวก็ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว จะเอาอะไรมาเทศน์อีก ?

ถาม : คนสมัยนี้อยากไปบรรลุธรรมสมัยพระศรีอาริย์ ?
ตอบ : ปล่อยเขาไป ถ้าเราไปได้ก่อน เราก็ไปก่อน ถ้าไปไม่ได้ค่อยไปกับเขาด้วย อยากเกิดสมัยพระศรีอริยเมตไตรย ไม่ใช่ของง่ายนะ ท่านบอกว่าต้องรักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้เป็นปกติ ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ เป็นปกตินี่คุณเป็นพระโสดาบันได้สบาย ๆ เลย

เถรี 26-05-2013 21:12

ถาม : พุทธมารดาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริย์ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านตั้งใจว่าจะไปเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านบรรลุมรรคผลไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์แล้ว แต่ท่านติดอธิษฐานบารมีว่า ตั้งใจจะเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้ง ก็เลยต้องไปเกิดในสมัยหน้าอีกรอบ

คงอยากเกิดเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ๒ ครั้ง เบญจกัลยาณีนี่สวยสู้ผู้หญิงที่เป็นพระพุทธมารดาไม่ได้นะ เบญจกัลยาณีหลัก ๆ แล้วงามเด่นอยู่ ๕ อย่าง แต่พุทธมารดามีลักษณะความงาม ๖๔ อย่าง ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง..ใช่ไหม ? ที่ชมนางรจนาว่า "งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในทั้งธรณีไม่มีเหมือน" เขาสงสัยว่าเป็นนางฟ้าลงมาหรือเปล่า ? นั่นยังไม่งามจริง ถ้า..งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์..ต้องเป็นพระพุทธมารดาเท่านั้น

เถรี 29-05-2013 20:58

พระอาจารย์ถามญาติโยมว่า "เคยลองสมมติสถานการณ์ไหมว่า ถ้าไม่มีไฟฟ้าสักครึ่งเดือนเราจะทำอย่างไร ? รับรองว่าถ้าบ้านหน้าตาแบบนี้ไม่มีคนอยู่ในบ้านหรอก ถ้าวัดท่าขนุนไฟดับสักครึ่งวัน มีแต่พระโผล่อยู่หน้ากุฏิเต็มไปหมด พวกเราเคยชินกับความสะดวกสบายที่เครื่องอำนวยความสะดวกเขาให้ ทั้งพัดลม โทรทัศน์ ตู้เย็น สารพัด พอไฟดับแล้ว ความเคยชินหายไปจะรู้สึกว่าลำบาก แต่ถ้าเราเฉย ๆ หรือไม่ก็ไม่ให้ความเคยชินเหล่านี้มาครอบงำเรา เราก็จะอยู่ได้สบาย ๆ

จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้ใส่รองเท้า กลัวอยู่อย่างเดียวคือหนามโคกกระสุน พวกนี้เม็ดเกือบเท่าหัวแม่มือ มีหนามรอบเลย ถ้าไม่ใช่โคกกระสุนนี่ไม่กลัวหรอก เดินลุยได้ทุกอย่าง ตอนไปโรงเรียนครั้งแรก ๆ ใส่รองเท้าแล้วรองเท้ากัด กว่าจะใส่รองเท้าได้ต้องพยายามอยู่เป็นปี

แต่ความรู้สึกในยุคนั้น การเป็นนักเรียนเหมือนกับเป็นบุคคลอีกชนชั้นหนึ่ง แม้กระทั่งพ่อแม่ก็รู้สึกว่าปฏิบัติกับเราต่างจากปกติ เพราะคนสมัยก่อนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หนังสือ พอมีคนรู้หนังสือแล้ว รู้สึกว่าเหมือนกับเขาให้เกียรติเรามากกว่าปกติ แม้เราจะเป็นเด็ก แต่ถ้าเราอ่านหนังสือออก ผู้ใหญ่เขาก็จะชื่นชม

เวลานั่งรถเมล์ด้วยกันเยอะ ๆ เขาจะถาม “ไอ้โน่นอะไรไอ้หนู ไอ้นี่อะไรหนู” ถ้าอ่านออกเขาจะปลื้มกันใหญ่ แต่ก็แปลก...โยมแม่อ่านหนังสือไม่ออก แต่ไปได้ทั่วไปหมด เพราะจำทางได้หมด"

เถรี 29-05-2013 21:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าดูจากตัวเลข พระยาฉัตทันต์มีกำลังมากกว่าช้างปกติหนึ่งหมื่นล้านเชือก เพราะเขาบอกว่าช้างตระกูลกาฬวกหัตถีมีกำลังมากกว่าช้างปกติ ๑๐ เชือก ช้างตระกูลคังเคยยหัตถีมีกำลังมากกว่าช้างตระกูลกาฬวกหัตถี ๑๐ เชือก ก็แปลว่าจากธรรมดาก็ต้องเป็นร้อย

ตระกูลปัณฑรหัตถีมีกำลังมากกว่าคังเคยยหัตถี ๑๐ เชือก ก็ต้องเป็นพัน ตามพหัตถีมีกำลังมากกว่าปัณฑรหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นหมื่น ปิงคลหัตถีมีกำลังมากกว่าตามพหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นแสน
คันธหัตถีมีกำลังมากกว่าปิงคลหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นล้าน มังคลหัตถีมีกำลังมากกว่าคันธหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นสิบล้าน เหมหัตถีมีกำลังมากกว่ามงคลหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นร้อยล้าน อุโบสถหัตถีมีกำลังมากกว่าเหมหัตถี ๑๐ เชือกก็เป็นพันล้าน ฉัตทันต์หัตถีมีกำลังมากกว่าอุโบสถหัตถี ๑๐ เชือก ก็เป็นหมื่นล้าน

บาลีเขาบอกว่าพระพุทธเจ้ากำลังมากกว่าช้างฉัตทันต์หัตถีอีก ฉะนั้น..ที่ท่านเดินทางวันละ ๑๒๐ โยชน์นี่เล็ก ๆ เลย พระนามของพระพุทธเจ้ามีอย่างหนึ่งก็คือ “นาคะ” ความหมายหนึ่งคือผู้ประเสริฐ ความหมายหนึ่งคือผู้ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้ว อีกความหมายหนึ่งก็คือผู้ที่มีกำลังเหมือนช้าง"


ถาม : แล้วข่าวที่พบช้างเผือกที่แก่งกระจาน เป็นช้างเผือกจริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นช้างเผือกเพราะเม็ดสีทำงานผิดปกติ ไม่น่าจะใช่ช้างเผือกจริง ๆ เพราะถ้าช้างเผือกจริง ๆ ช้างอื่นมักจะไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่คอยดูแลแวดล้อมอยู่ห่าง ๆ คราวนี้ตามข่าวเขาบอกว่าลงเล่นน้ำด้วยกัน สมัยที่ป่ายังเยอะ ๆ อยู่ คุณน้อย อินทนนท์ หรือมาลัย ชูพินิจ ไปล่าแรดเผือก ตามจนกระทั่งเจอ ยิงตูมแล้วไปดูเป็นแรดดำธรรมดา แต่มันไปเกลือกปลักที่เป็นโป่ง พวกดินโป่งจะมีแต่เกลือ พอแห้งแล้วส่าเกลือขึ้นขาวไปทั้งตัวเลย

เถรี 29-05-2013 21:27

ถาม : คนที่เขาอายุยืนเป็นร้อยปี เขาทำอะไรถึงได้อายุยืน ?
ตอบ : ปาณาติบาตน้อยจ้ะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ชาติก่อนเรื่องฆ่าคนฆ่าสัตว์ ตั้งแต่เล็กสุดถึงใหญ่สุดนี่แทบไม่เตะเลย

อายุยืนเกิดจากพื้นฐานของจิตใจที่มีเมตตา ไม่ได้ทำปาณาติบาตเอาไว้ ในเมื่อเราไม่ฆ่าเขา ถึงเวลาอายุเราก็อยู่ยั้งยืนยง แต่ก็ไม่เกินเกณฑ์เท่าไรหรอก

เว้นจากการฆ่าสัตว์อายุจะยืน เว้นจากการลักทรัพย์ ทรัพย์สินจะไม่เสียหายด้วยภัยธรรมชาติหรือโจรภัย เว้นจากการประพฤติผิดในกาม จะเป็นผู้ที่มีอำนาจ สามารถปกครองคนอื่นให้เชื่อฟังทุกอย่างได้ เว้นจากการโกหก เกิดใหม่พูดอะไรก็มีแต่คนเชื่อฟัง เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เกิดใหม่จะไม่เป็นโรคปวดหัว ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า ส่วนนี้เป็นแค่เศษ ๆ เท่านั้น เพราะว่าโทษหนักจริง ๆ ส่วนใหญ่ไปรับอยู่ข้างล่างแล้ว หลงมาเกิดเป็นคนแล้วถึงจะได้รับเศษที่เหลือ

เถรี 29-05-2013 21:33

ถาม : ทำไมพระเยซูในศาสนาคริสต์ถึงดื่มไวน์ได้คะ ?
ตอบ : ศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ จะเอาไปเปรียบกับศาสนาคริสต์ได้อย่างไร อย่าลืมว่าแม้แต่งานวิจัยของฝรั่ง เขาทดสอบด้วยการที่ให้ดื่มไวน์ ๔ แก้ว หรือเบียร์ ๒ กระป๋อง ไม่เมาหรอก แต่พอถอยรถเข้าซอง ชนบรรลัยหมดเลย เขาบอกว่าไม่เมา แต่ประสาทการกะระยะเพี้ยนไปแล้ว

ลักษณะเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่ากิเลสเหมือนอย่างกับน้ำ ศีลเป็นเขื่อนกั้น ถ้าเราปล่อยให้เขื่อนมีรูแม้แต่นิดเดียว ถ้าน้ำเจาะทะลวงผ่านได้ไปเรื่อย ๆ รูก็จะกว้างขึ้นเรื่อย ในเมื่อกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขื่อนก็พัง สู้กระแสกิเลสคือน้ำไม่ได้ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงให้งดเว้นไปเลยดีกว่า ไม่ต้องไปเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง

อาตมาก็ไม่เคยฉัน ไม่รู้ว่าเบียร์ ๒ กระป๋องเมาหรือเปล่า ? คนไม่เคยฉันนี่ลำบาก อย่างวันก่อนไปงานหลวงตาวัชรชัยที่วัดเขาวง อาตมาฉันน้ำชาเข้าไป ๔ ทุ่มแล้วยังไม่ได้นอนเลย ไม่มีอะไรจะทำก็ภาวนาคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ ขนาดน้ำชายังถ่างตาจนดึกดื่นเที่ยงคืน แสดงว่าประสาทอ่อน เคยแต่น้ำเปล่าเจอน้ำชาเข้าไปก็ตาค้าง

เถรี 29-05-2013 21:37

ถาม : เทวดาเขามีประเทศไหมคะ ?
ตอบ : มีแต่เขต แต่ละท่านจะมีเขตเฉพาะของตนอยู่ เป็นไปตามกำลังบุญ สร้างบุญไว้มากเขตก็ใหญ่โตกว้างขวาง สร้างบุญไว้น้อยเขตก็เล็กหน่อย ต้องดูตัวอย่างพระนางโรหิณี พระนางโรหิณีขึ้นไปเป็นนางฟ้า มีความสวยมาก ใคร ๆ ก็อยากได้ คราวนี้ว่านางฟ้าถ้าอยู่ในเขตวิมานของใคร ก็เป็นบาทบริจาริกาของวิมานนั้น ปรากฏว่าพระนางโรหิณีไปนั่งอยู่ตรงกลาง ๔ วิมานพอดีเลย

เขามีกติกาว่าถ้าหันหน้าไปทางไหนก็เป็นของวิมานนั้น แม่เจ้าประคุณดันนั่งก้มหน้า เทวดาจะตีกันตายสิคราวนี้ เพราะต่างคนต่างอยากได้ ท้ายสุดพระอินทร์ต้องริบไปเอง ฉะนั้น..เทวดาไม่มีประเทศ มีแต่เขตตามกำลังบุญของตัวเอง

เถรี 29-05-2013 21:40

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยสงสัยว่าตอนนี้พระเยซูท่านอยู่ที่ไหน พอดีวันนั้นขึ้นดาวดึงส์ไปก็เห็นพระเยซูท่านเดินมา แต่งตัวแบบเทวดาฝรั่ง ใส่ผ้าขาวรุ่มร่าม ๆ มีวงแสงอยู่บนหัวด้วย หลวงพ่อท่านก็เลยพูดล้อเล่นว่า “เฮ้ย...ข้างบนนี้ไม่มีนะ เทวดาที่แต่งตัวแบบนี้” ท่านบอกว่า ถ้าผมไม่มาแบบนี้ท่านก็ไม่รู้ว่าผมคือเยซู หลวงพ่อถามว่าตอนนี้ท่านอยู่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่ชั้นดุสิต เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อการตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า

สรุปว่าไม่ว่าประเทศไหน ชาติไหน ภาษาไหนก็นรกสวรรค์เดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าไปขอพบเป็นพิเศษ ท่านก็จะแสดงให้เห็นว่าของท่านแต่เดิมมาจากไหน


ถาม : พระเยซูลงมาที่ชั้นดาวดึงส์ได้ ?
ตอบ : อยู่สูงกว่าลงมาต่ำได้จ้ะ อยู่ต่ำจะขึ้นสูงกว่าต้องรอเขาเชิญก่อน ถ้าไม่มีใครเชิญก็ไปไม่ได้

เถรี 30-05-2013 09:12

ถาม : เมื่อพระบิณฑบาตกลับมาถึงวัด หนูมีหน้าที่จัดกับข้าวถุงใส่ในสำรับพระ ทีนี้พระบางรูปเห็นอาหารที่โยมใส่มาแล้วอยากฉัน จึงหยิบกับข้าวถุงนั้นออกไปใส่สำรับของตนเองเลย เท่ากับว่าผ่านมือหนูก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แล้วพระมาหยิบไปเองโดยที่ยังไม่ได้ประเคน อย่างนี้เป็นอาบัติไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของจากบาตรของท่าน แล้วใจท่านยังผูกอยู่ว่าเป็นของท่าน จะผ่านกี่มือก็ไม่ขาดประเคน ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้าเป็นของจากบาตรท่านอื่นก็โดนไปเต็ม ๆ

ถาม : เช่นเดียวกัน พอจัดสำรับพระเสร็จ เตรียมจะฉัน พระลากสำรับนั้นไปใกล้มือตนเอง เพื่อให้หนูประเคน หนูก็เลยงงว่า แบบนี้เป็นอาบัติหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่ประเคน ไปแตะต้องเข้า โดนอาบัติทุกกฎ

ถาม : กรรมการวัดที่นี่มีนโยบายให้นำกับข้าวถุงที่เหลือจากมื้อเพล ออกขายในราคาถูก (กว่าราคาจริง) บอกกับชาวบ้านว่าเป็นค่าน้ำค่าไฟวัด ไม่ทราบว่าทำแบบนี้ชาวบ้านติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสงฆ์ไม่อนุญาต ก็อเวจีกันเป็นแถว..!

เถรี 30-05-2013 09:14

ถาม : โยมที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดโรงครัว พอมีกับข้าวเหลือ โยมก็จะนำเอากลับบ้าน ซึ่งถือว่าติดหนี้สงฆ์ แต่ถ้าโยมคนนั้นบ้านอยู่ในวัดเลย (เจ้าอาวาสองค์ก่อนปลูกไว้ให้อยู่) ไม่ทราบว่าการนำกับข้าวกลับไปกินที่บ้านแบบนี้ติดหนี้สงฆ์หรือไม่คะ ?
ตอบ : จะอยู่ที่ไหนสิ่งที่เอาไปก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ดี โดนเต็ม ๆ เหมือนกัน

ถาม : ที่วัดเขาจะกำหนดให้แม่ชีมีสิทธิ์ฉันอาหารได้เท่าเทียมกับพระ ก็คือ พอพระได้กับข้าวมา แยกส่วนหนึ่งให้พระ ส่วนหนึ่งให้แม่ชี ถ้าเป็นกรณีนี้แม่ชีจะบาปหรือไม่ ? ถ้าไม่ผ่านพระสงฆ์ก่อนแต่กลับนำไปฉันได้เลย
ตอบ : แม่ชีคือฆราวาสที่ถือศีล ๘ โดนเต็ม ๆ จ้ะ..!

ถาม : หนูไม่สบายใจเรื่องนี้มานาน เพราะไม่ทราบว่าที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร เกรงว่าตัวเองจะลงนรกค่ะ
ตอบ : ถ้าจะปลอดภัยก็ทำอะไรไปเรื่อย จนท่านฉันเสร็จแล้วจึงเอาที่เหลือจากท่านมาฉัน ส่วนคนอื่นก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 10-06-2013 21:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บ้านเมืองเรา สถาบันที่ควรได้รับการเชื่อถือมากที่สุดคือศาลรัฐธรรมนูญ แต่ว่าเละเป็นโจ๊กเลย ต้องบอกว่าเขาทำตัวเอง เป็นเรื่องแปลกที่สถาบันซึ่งควรจะเป็นหลักของประเทศ และเป็นสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สถิตความยุติธรรม กลับทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเห็นความเป็น ๒ มาตรฐานอย่างชัดเจน

ถ้าช่วงที่ผ่านมาใครติดตามข่าวคราวก็จะเห็นว่า อะไรก็ตามที่พรรคเพื่อไทยยื่นไป เขาปัดทิ้งหมด แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยื่นไปเมื่อไรจะรับทันที ขณะที่สายตาชาวโลกเขาเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติปี ๔๙ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยไม่ชอบธรรม แต่สายตาของพวกเขากลับไม่ได้มองตรงจุดนั้น ก็เลยทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศชาติลดลง

จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหมดก็อยู่ที่รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่าถ้าถึงระดับนั้นแล้ว ยังโดนครอบงำด้วยผลประโยชน์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็เป็นที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะเรื่องของรัฐสภา วุฒิสภา และศาลสถิตยุติธรรม เป็นการใช้พระราชอำนาจแทนในหลวง ถ้าเลอะเทอะเหลวไหลอย่างในปัจจุบันนี้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะสะดุดขาตัวเองล้มเอง

ปัจจุบันนี้เห็นสื่อมวลชนบางคณะใช้คำว่า “เป็นกรรมการแต่ลงไปชกคนดู” คือศาลต้องอยู่ในลักษณะของกรรมการ ถ้าเพื่อไทยชกกับประชาธิปัตย์ แล้วคนดูไม่ชอบใจ โห่ไล่ขึ้นมา เพราะเห็นกรรมการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน กรรมการแทนที่จะแก้ไขตนเอง ไม่ให้เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง กลับลงไปชกคนดู ก็เลยเป็นอะไรที่ตลกในสายตาของต่างประเทศเขา

ถ้านึกถึงเกียรติภูมิของประเทศชาติ นึกถึงเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของในหลวง แล้วก็นึกถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตัวเอง ก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น คราวนี้ไปนึกถึงผลประโยชน์ที่จะพึงได้ของตนและพวกของตนเข้า ก็เลยออกมาเละเทะดูไม่ได้ ถ้าพวกเราไม่ไปมีอารมณ์ร่วมด้วยก็ไม่มีปัญหา ถ้าเกิดอารมณ์ร่วมด้วยก็จะแบ่งเป็นฝ่ายต่าง ๆ แตกกันกระเจิดกระเจิง"

เถรี 10-06-2013 21:35

"พอเห็นสภาพของบ้านเมืองและผู้คนที่วุ่นวาย ก็นึกถึงท่านชาติชาย เวลาไปงานคนอื่นเห็นงานเขาวุ่นมากเมื่อไร ท่านชาติชายจะนั่งหัวเราะ คนเราถ้าใจเริ่มสงบแล้ว ไปเห็นความวุ่นวายของคนอื่นก็เหมือนกับตลก ในสายตาของเราไม่ใช่ปัญหา แต่ในสายตาของคนที่วุ่นวาย กำลังใจไม่นิ่ง ไม่เห็นช่องทางแก้ปัญหา ก็เลยตลก เหมือนกับมดหัวขาด

เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เคยแกล้งมดขนาดนั้น มดหัวขาดจะเดินเปะปะไปหมด หาทิศไม่เจอเพราะไม่มีหัวแล้ว ในเรื่องของบ้านเมืองของเราก็เหมือนกัน ถ้าถึงเวลาเราเป็นผู้มีสติ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมได้ ไม่ไปวุ่นวายกับเขา บ้านเมืองก็ไม่เดือดร้อนยุ่งเหยิงอะไรมากมาย แต่ถ้าเราขาดสติ ไปร่วมมือกับเขา โดดลงไปเล่นด้วย คราวนี้ยุ่งแล้ว แทนที่จะเป็นคนดูกลายเป็นคนเล่น ตอนเป็นคนดูก็เห็นหมด ตอนเป็นคนเล่นนี่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกมาท่าไหน เหมือนกับคนดูมวย เชียร์ได้ทุกที่ แต่พอชกเองก็ไม่เป็นท่า"

เถรี 14-06-2013 20:31

พระอาจารย์กล่าวถึงการเลี้ยงลูกว่า "ต้องไปดูแม่ไก่ที่วัดท่าขนุน แม่ไก่ที่วัดท่าขนุนยอมกกลูกกับพื้นแค่ ๓ วัน พอถึงวันที่ ๔ แม่ไก่บินขึ้นยอดไม้เลย ลูกขึ้นได้ก็ขึ้น ขึ้นไม่ได้ก็เรื่องของลูก แม่เขายอมเสี่ยงอันตรายอยู่ที่พื้นมา ๓ คืนแล้ว พอคืนที่ ๔ แม่บินขึ้นยอดไม้เลย เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงแบบลูกเสือลูกจระเข้แบบนั้นแหละ

ฉะนั้น..เวลาเราคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ให้คิดว่าถ้าไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่แล้วเราอยู่ได้ไหม ? แค่นั้นแหละ ถ้าไม่มีพ่อแม่แล้วเราอยู่ได้ ดูแลตัวเองได้ ทำงานหาเงินได้ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถ้ายังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่นี่ อายุแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่

ลูกเสือจะอยู่กับแม่ประมาณหนึ่งปี ช่วงหลังจาก ๓ เดือนไปแล้วแม่จะพยายามหาสัตว์ จะจับสัตว์มาแบบไม่ให้ตาย แล้วก็เอามาให้ลูกซ้อมมือเล่น หัดล่า หัดตะครุบ พอคล่องตัวแม่ก็ให้ตามออกไปดูว่าแม่ล่าสัตว์อย่างไร หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกล่าเอง คราวนี้ถ้าลูกล่าสัตว์เป็นแล้วแม่ก็ทิ้งเลย ต้องอย่างนั้น เขาถึงเรียกลูกเสือลูกจระเข้"

เถรี 14-06-2013 20:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช้างที่เป็นข่าวไม่น่าจะเป็นช้างเผือก ช้างเผือกที่เป็นช้างสำคัญ ๑๐ ตระกูลไม่ค่อยจะหากินรวมกับตัวอื่น เพราะช้างอื่นจะกลัว ส่วนใหญ่ก็แค่ล้อมวงดูแลอยู่ห่าง ๆ แต่ในข่าวช้างตัวนี้ไปคลุกคลีอยู่ในฝูงด้วยกันเลยไม่น่าจะใช่

ช้างเผือกส่วนใหญ่เหมือนกับรู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาแล้วตระกูลสูงกว่าเขา แล้วช้างอื่นก็ยอมรับด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยมักจะคอยตามพิทักษ์รักษา คอยแวดล้อมดูแลอยู่ แต่ไม่ใช่ประเภทคลุกคลีตีโมงเล่นหัวกันอย่างนั้น ยกเว้นว่าเขาจะเปลี่ยนความประพฤติแล้วไปทำตัวติดดิน ซึ่งไม่ใช่..นั่นมันคน..ไม่ใช่ช้าง"

เถรี 15-06-2013 20:02

ถาม : ยุคนี้ ยังมีช้าง ๑๐ ตระกูลอยู่หรือไม่คะ ? ?
ตอบ : พวกนี้ถึงเวลาแล้วจะเกิดมาเอง จะผ่าเหล่าผ่ากอขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระก็จะเกิดมาเอง

ถาม : ต้องขึ้นอยู่กับกษัตริย์ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็คงจะขึ้นอยู่กับเรื่องของชาวบ้านด้วย อย่างช้างปัจจยนาเคนทร์ของพระเวสสันดร เวลาอยู่ฝนฟ้าตกต้องบริบูรณ์ ชาวบ้านก็สบาย แสดงว่าต้องบุญเขาส่วนใหญ่รวมกัน แต่ผู้นำถือว่าเป็นหลัก

ถ้าเราไปอ่านผู้ชนะสิบทิศ จะเด็ดทอดบ่วงคล้องช้างเผือก อ้างพระบารมีพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ อ้างแล้วอ้างอีกก็คล้องไม่ติด จวนจะค่ำอยู่แล้ว แทบจะมองอะไรไม่เห็น ท้ายที่สุดต้องอ้างบารมีตัวเองว่า ถ้าจะได้เป็นกษัตริย์ขอให้ทอดบ่วงติด ปรากฏว่าคล้องช้างติดเลย คราวนี้ก็น้ำท่วมปากบอกใครไม่ได้ ได้แต่ทูลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ว่าเป็นเพราะบารมีพระองค์ท่านจึงคล้องได้

เถรี 15-06-2013 20:08

ถาม : ทำไมช้างเผือกมีบารมีเยอะกว่าช้างอื่น ?
ตอบ : สมัยก่อนมีการศึกการสงครามเป็นหลัก ช้างเผือกมีบารมีข่มช้างทั่วไปได้ เพราะกำลังสู้กันไม่ได้ ประเภท ๑ ต่อ ๑๐ เราลองนึกถึงพระอานนท์หรือนางวิสาขาที่มีกำลังเท่า ๗ ช้างสาร

พระเจ้าปเสนทิโกศลปล่อยช้างตกมันมา ตั้งใจดูว่าใครคือนางวิสาขา ในบาลีเขาใช้คำว่า ถ้านางวิสาขาเอามือจับงวงสลัดออกไป ช้างอาจจะบาดเจ็บสาหัส ท้ายสุดไม่รู้ทำอย่างไรก็เลยเอานิ้วทิ่มหน้าผากไว้ กลัวช้างจะเจ็บ ยังดีที่ทิ่มไว้เฉย ๆ ถ้าแรงหน่อยก็คงกะโหลกทะลุ..! คราวนี้ในเมื่อกำลังต่างกันมาก ช้างด้วยกันเขาจะรู้ เมื่อช้างด้วยกันรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ถอยไว้ก่อน เมื่อช้างหนีจะรบอย่างไร ? ก็เท่ากับกองทัพแตกไปโดยปริยาย อย่างช้างปัจจยนาคถ้าอยู่ที่ไหน ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

แต่แปลก..ในบาลีเขาบอกว่า ช้างคู่บารมีพระเจ้าจักรพรรดิจะเป็นช้างตระกูลอุโบสถ ทั้ง ๆ ที่ฉัตทันตหัตถีตระกูลสูงกว่า หัตถิรัตนะ ช้างแก้วเป็นช้างสำคัญตระกูลอุโบสถ เขาระบุไว้ชัดเลย ไปดูในจักรวรรดิสูตร อังคุตตรนิกาย

ของเรามีพลายทองคำที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลำปาง ไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ? ลักษณะดีมาก ๆ เลยแต่ไม่ใช่ช้างเผือก เพราะลักษณะสำคัญมีไม่ครบ เขาก็เลยตีว่าเป็นช้างสีประหลาด

เถรี 15-06-2013 20:18

ถาม : ช้างเผือกจะต้องเป็นช้างพลายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเป็นช้างพลายหรือช้างพังก็ได้ ท่านไม่ได้จำกัดไว้ นางพญาคำแก้วมิ่งเมืองลาวก็เป็นช้างพัง

ที่น่าขายหน้าที่สุดก็คือ มัคคุเทศก์พม่าพาคณะคนไทยไปดูช้างเผือก เขาบอกว่าช้างเผือกพม่ามี ๓ ช้าง แล้วท่านทราบไหมครับว่าช้างเผือกไทยมีกี่ช้าง ? คนไทยตอบไม่ได้ ความจริงแล้วช้างเผือกไทยมี ๑๑ ช้าง แต่เนื่องจากในหลวงเป็นรัชกาลที่ ๙ จึงขึ้นระวางไว้แค่ ๙ ช้าง เขารู้เรื่องของเรามากกว่าคนไทยเสียอีก

เขาบอกว่าถ้ามาที่นี่จะได้ดูแต่ช้างเผือกเท่านั้น แต่ถ้าท่านอยากดูช้างวาดรูป ดูช้างเตะฟุตบอล ให้ไปดูที่เชียงใหม่ ให้ตายเถอะ..แนะนำคนไทยให้ไปดูช้างที่เชียงใหม่..!


ถาม : ช้างเผือกต้องมีบุญบารมีเยอะใช่ไหมคะ ?
ตอบ :จะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ กติกาของความเป็นพระโพธิสัตว์ก็คือ ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะมีอัตภาพร่างกายไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง นกกระจาบก็อย่างเช่นสรรพสิทธิชาดก ดังนั้น..ปลาวาฬสีน้ำเงินหรือไดโนเสาร์เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ เพราะใหญ่เกินช้าง

เถรี 16-06-2013 20:40

ถาม :ถ้าเกิดเป็นสัตว์ จะบำเพ็ญบารมีได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : สบาย...ถ้าเกิดเป็นกระต่ายก็กระโดดเข้ากองไฟให้พราหมณ์กิน ถ้าเกิดเป็นนาก หาปลามาได้ก็ซุกเอาไว้ก่อน ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้ใครต้องการปลาเราจะให้เขา เกิดเป็นลิงหาผลไม้มาได้ ตั้งใจว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ ถ้าได้อาหารมาเราจะให้ทานก่อน จะไม่กินจนกว่าผู้อื่นจะได้รับอาหารนี้แล้ว ถ้าเช้ายันค่ำยังไม่มีคนมาขอ ก็แสดงว่าตัวเองต้องอดไปด้วย

เถรี 16-06-2013 20:44

ถาม : กายในกับกายนอกคุยกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ยกเว้นจะตั้งใจคุยกับตัวเอง คุยในลักษณะของพระจูฬปันถก พระจูฬปันถกนั่งกรรมฐาน ถือเนสัชชิกังคธุดงค์ ไม่ยอมนอน คราวนี้โรคตากำเริบ หมอบอกว่าให้นอนหยอดยาเข้าจมูกแล้วโรคตาจะหาย ท่านก็ไม่ยอมนอน เพราะกลัวว่าจะเสียสัจจะ จนกระทั่งหมอบอกว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็รักษาไม่ได้ ต้องตาบอดแน่

พระจูฬปันถกใช้คำว่า 'ปรึกษากับกรัชกายนี้' ก็คือปรึกษากับกายที่จะต้องเน่าเปื่อยสูญสลายนี้ว่า เราต้องการธรรมะมากกว่าหรือต้องการร่างกายนี้มากกว่า ? สรุปได้ความว่าที่ปฏิบัติแทบล้มประดาตายก็เพราะต้องการธรรมะ ท่านจึงตัดใจไม่รักษา พิจารณาธรรมไป ท่านใช้คำว่าบรรลุมรรคผลพร้อมกับตาแตกทั้งสองข้าง นี่เป็นเพราะเป็นกรรมเก่าตามมา

ฉะนั้น..ถ้ากายนอกจะคุยกับกายใน ก็ต้องคุยแบบพระจูฬปันถกนี้

เถรี 18-06-2013 08:16

ถาม : ทำไมผีถึงได้กลัวคาถาไล่ผีคะ ?
ตอบ : เหมือนกับโจรกลัวตำรวจ คาถาไล่ผีเป็นบารมีพระ ผีกลัวพระเป็นปกติอยู่แล้ว ผีเหมือนกับความมืด พระเหมือนกับความสว่าง พอความสว่างมาถึงความมืดก็หายไป คราวนี้ในเมื่อเป็นคาถาที่เป็นบารมีพระ ผีก็เหมือนขโมยที่เจอตำรวจ ย่อมเผ่นก่อน แต่อย่าไปเจอขโมยหน้าด้านเข้านะ ประเภทนี้ไม่กลัวคาถาไม่พอ ยังช่วยท่องให้อีกด้วย..!

เถรี 18-06-2013 08:21

ถาม : ทำไมเราถึงจะมองเห็นใจตัวเองได้ว่าดีหรือไม่ดีครับ นอกจากอารมณ์ที่เรารับรู้ว่าเรามีราคะมีโทสะ ?
ตอบ : วัดด้วยนิวรณ์ ๕ วัดด้วยศีล วัดด้วยสังโยชน์ พิจารณาดูอยู่บ่อย ๆ หรือถ้าฝึกมโนยิทธิได้ก็ซักซ้อมเจโตปริยญาณให้คล่องตัว จะเห็นใจตัวเอง

ถาม : ซักซ้อมการมองภาพพระหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือการกำหนดดูดวงจิตตัวเอง ดูสองลักษณะ ลักษณะแรกคือดูเป็นดวงแสงหรือเป็นวงกลม ลักษณะที่สองคือเห็นเป็นกายในของเราเลย พอเห็นเป็นกายในซ้อนอยู่ข้างใน พอกายในมีความชัดเจนผ่องใสแสดงว่าสภาพจิตของเราดี ถ้ากายในมืดมัวแสดงว่าสภาพจิตของเราไม่ดี

เถรี 18-06-2013 08:59

ถาม : เพื่อนไปบวช ๗ เดือน เพิ่งลาสิกขามาเมื่อเดือนที่แล้ว ทุกวันนี้ก็อยากกลับไปบวชอีก ?
ตอบ : อยากไปก็ไปสิ ใครเขาห้าม ...(หัวเราะ)... ตัดสินใจเอาเองเถอะ ไม่ต้องถามคนอื่น อยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ ทำอะไรต้องเด็ดขาด ถ้าเด็ดไม่ขาดก็คาราคาซังไปเรื่อย

ถาม : โยมพ่อโยมแม่ไม่อยากให้เขาไป ?
ตอบ : ไปบวชท่านจะได้คิดถึงเราบ่อย ๆ เป็นอนุสติด้วย เท่ากับว่าทำให้ท่านสร้างความดีอยู่ทุกวัน ท่านนึกถึงเราก็เท่ากับนึกถึงพระสงฆ์

สำคัญตรงบวช ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้ ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ท่านไม่อนุญาต เราก็หมดสิทธิ์ แต่ถ้าเราขอบวชแล้วท่านไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องห่วงท่านหรอก การบวชของเราถ้าท่านคิดถึงเราท่านก็เท่ากับคิดถึงพระสงฆ์ เท่ากับว่าท่านได้สร้างความดีอยู่เป็นปกติ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:37


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว