กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3713)

เถรี 24-04-2013 14:57

ถาม : ระหว่างที่เรายังมีกายหยาบอยู่ เราสามารถปฏิบัติเพื่อกายในให้ดีได้ไหม ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำได้ไหม ต้องทำอย่างนั้นแหละ เรายกจิตของเราขึ้นไปได้ขนาดไหน กายในก็เปลี่ยนไปตามนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำเลย ไม่ใช่รอ อย่างรอไปข้างบนแล้วค่อยทำ ถ้าเกิดไม่ได้ขึ้นแล้วเมื่อไรจะได้ทำ ต้องทำในชาติที่เป็นมนุษย์นี่แหละจ้ะ เอาปัจจุบันเป็นใหญ่

วิสุทธิเทพเขาเรียกว่าเทวดาผู้บริสุทธิ์ ก็คือผู้ที่อยู่บนพระนิพพาน ก็มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ก็ถือว่านึกถึงสูงสุดไปเลย เหมาทีเดียวหมด

เถรี 24-04-2013 20:17

ถาม : ถ้าเราเคารพศรัทธาสมเด็จองค์ปฐม แปลว่าเราเกิดทันสมัยท่านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทันก็ได้จ้ะ ถ้าเกิดมาตั้งแต่สมัยนั้น แล้วเหลือรอดมาถึงสมัยนี้ ก็สมควรตายจริง ๆ เพราะนานจนนับไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าผ่านไป ๓ ล้านกว่าพระองค์ ไม่ใช่ ๓ ล้านกว่ากัป แต่ละพระองค์นี่ ๒๐ - ๓๐ มหากัปทั้งนั้น ในเมื่อเกิดมาได้นานขนาดนั้น อะไรจะฉลาดจนหาทางไปไม่เจอเชียวหรือ ? ฉะนั้น..ถ้าใครบอกว่าเกิดมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐม อาตมาเลิกคบเลยนะ คนฉลาดเกินไปแบบนี้ ไม่คบด้วยหรอก

เถรี 24-04-2013 20:36

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระธรรมเสนานี อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ตอนนี้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา โตมาในสายปกครองด้วยฝีมือจริง ๆ

ปีแรกที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็เรียกขึ้นไปนั่งบนแท่นกับท่าน เพื่อสอบถามว่าไปอยู่ที่ไหน ? เป็นอย่างไร ? สบายดีหรือเปล่า ? หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเดินเข้ามาถึงมองเห็นก็ “ไอ้ห่านั่นขึ้นไปกวนท่านได้อย่างไรวะ ?” หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศหันมา “เจ้าคุณ..ผมเรียกท่านขึ้นมาเอง” หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเลยตีหน้าไม่ถูก

พอถึงเวลาทำวัตรรวม ท่านก็บอก “เจ้าคุณ..นั่งที่นั่นแหละ อาวุโสมากแล้วไม่ต้องกราบหรอก” พรรคพวกก็เลยหันไปแซว “เป็นอย่างไร พูดผิดจังหวะทีเดียวท่านไม่ให้กราบเลย” พรรคพวกเล่นพูดแบบนี้ ทำเอาท่านตีหน้าประหลาด ๆ

เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านปฏิบัติต่อพระผู้ใหญ่ที่อายุกาลพรรษามากแล้ว เห็นความนุ่มนวลและถ่อมตนของท่านจริง ๆ หลายท่านที่อายุมากแต่พรรษาก็ไม่เท่าท่าน แต่ท่านยกให้ในฐานะพระผู้เฒ่า “อย่ากราบเลย ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะ” พูดง่าย ๆ คือท่านยกให้ว่า วัยวุฒิ คุณวุฒิ คุณธรรมของท่านมากแล้ว ไม่ต้องกราบหรอก ให้เด็ก ๆ กราบก็พอ

หลวงพ่อพระพรหมดิลก ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครก็เหมือนกัน ตอนท่านเป็นเจ้าคณะภาคใหม่ ๆ พระผู้ใหญ่ในเขตปกครองไปกราบทำวัตร ท่านก็ให้พระผู้ใหญ่ไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แทน ตัวท่านเองไปนั่งกลาง ๆ รับกราบพระผู้น้อยก็พอ เล่นเอาพระผู้ใหญ่ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี 24-04-2013 20:47

ถาม : (ถามเรื่องไสยศาสตร์)
ตอบ : ต้องบอกว่าพอสมาธิเราทรงตัว เขาทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอ อย่างน้อย ๆ ต้องมีวัตถุมงคลติดตัวแล้วอาราธนาไว้ทุกวัน สมาธิเรายิ่งทรงตัวมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหมดสิทธิ์มากเท่านั้น แต่ช่วงอกุศลกรรมที่เปิดนั้นมีอยู่ ถ้าเผลอก็พลาดได้ ก็คือถ้าเขาไม่จ้องเฉ่งเรา ก็คงไม่โผล่มานานขนาดนั้นหรอก แต่ทำเท่าไรก็ทำไม่ได้ ก็เลยเบื่อไปเอง เห็นไหม..การเป็นคนดีนี่แหละที่ทำให้เขาระลึกถึงเราได้นาน ๆ..!

สำคัญที่สุดก็คือตัวเราคุ้มครองตัวเราเอง ถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว ก็ต้องอาศัยวัตถุมงคลช่วย ถ้าสมาธิเราทรงตัวก็รักษาตัวเองได้เลย พวกไสยศาสตร์กำลังใจเขาขาดตัวอุเบกขา เพราะจิตมักจะมุ่งร้ายคนอื่น ในเมื่อขาดตัวอุเบกขา สมาธิเขาจะไม่ทรงตัวจริง ๆ แค่ได้เป็นพัก ๆ ได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะฉะนั้น..ถ้าสมาธิเราทรงตัวได้ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอแล้วกัน ส่วนใหญ่พวกเราไปเผลอตอนไหน ? ตอนกำลังกิน ตอนนอนใกล้จะหลับ ตอนเข้าห้องน้ำห้องส้วม

สมัยก่อนเวลาจะไปเล่นงานพวกหนังเหนียว เขาก็อาศัยจังหวะพวกนี้แหละ ตอนกำลังกิน ตอนกำลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม เขาถือว่าทวารเปิด ก็คืออ้าปากตั้งใจจะรับข้าวเข้าไป ก็กลายเป็นว่าอะไรมาก็ต้องรับเข้าไปด้วย หรือไม่ก็ตอนนอนเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวสติจะขาด มักโดนตอนนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ให้ภาวนาไว้เป็นปกติ ถึงเวลาเช้าขึ้นมาก็อาราธนาบารมีพระให้ท่านช่วยสงเคราะห์ นึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ อันตรายใด ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้

เถรี 24-04-2013 20:54

พระอาจารย์เล่าว่า "หนุ่ม ๆ สมัยก่อนเข้าวัดบวชเรียน ต้องเรียกว่าเพื่อเตรียมมีครอบครัว เข้าไปศึกษาวิชาการต่าง ๆ พวกประเภทความรู้คาถาอาคม เอาไว้ปกป้องตัวเองและครอบครัว เพื่อจะได้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ แล้วก็ฝึกความอดทนอดกลั้น สร้างวุฒิภาวะ จากที่ทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง พอเข้าไปเป็นพระ โดนตีอยู่ในกรอบศีล ๒๒๗ ข้อ กระดิกไม่ได้เลย บีบคั้นตัวเองมาก ถ้าคุณสามารถอดทนอดกลั้นได้เป็นพรรษา ก็แปลว่าวุฒิภาวะมีมากพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้

เขาถึงบอกให้บวชเสียก่อนเบียด โบราณเราทำอะไรมีวัตถุประสงค์ทุกอย่าง ส่วนใหญ่พวกเราคิดไม่ค่อยถึงกัน ถึงเวลาไปศึกษาคาถาอาคม ทำน้ำมนต์ให้เมียคลอดลูกง่าย เสกกล้วย เสกดอกบัว

เดี๋ยวนี้บางคนบวชนานแค่ไหน ? บวชสึกไปที่บ้านยังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกว่าบวช ๓ วัน วันแรกที่บวชก็บวชตอนเย็น พอรุ่งขึ้นกลับไปเลี้ยงเพลฉลองพระที่บ้าน มะรืนสึกกลับไป เขายังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกมาได้ว่าบวช ๓ วัน..!"

เถรี 24-04-2013 21:00

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานข่าวออกว่าในหลวงเป็นห่วงเรื่องปัญหาภัยแล้ง ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร จะรีบไปคิดโครงการมาช่วย ได้ยินแล้วอาตมากลืนน้ำลายไม่ลงเลย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มี แต่พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วรักตัวเองเกินไป ในเมื่อรักตัวเองเกินไป ก็ไม่กล้าจะขยับไปทำอะไร เพราะกลัวกระทบแล้วจะรักษาสถานภาพไว้ไม่ได้ ที่ได้เห็นได้ยินกับหูกับตาตัวเอง คือมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในหลวงพระราชทานพระราชดำริ ถามข้าราชการที่เดินตามเป็นพรวนว่า “ช่วยทำวิจัยหน่อยสิ ว่าต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบกว้าง ใบแคบ ใบใหญ่ ใบเล็ก คายออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างละประมาณกี่เปอร์เซ็นต์”

เขาตอบชื่นใจมาก “ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป” ในหลวงท่านดุนะ แต่ท่านดุแบบผู้ดี ท่านดุว่า
ที่บอกว่าทำไม่ได้ ลองทำแล้วหรือยัง ? ” ถ้าเป็นอาตมาลองได้รับพระราชดำริอย่างนั้น เป็นตายอย่างไรก็ต้องทุ่มสุดชีวิตแล้ว แต่เขาพูดเต็มปากเต็มคำเลยว่าทำไม่ได้หรอกครับ เพราะหลากหลายจนเกินไป แล้วจะให้ในหลวงท่านตั้งความหวังไว้กับใคร นอกจากพระองค์ทำเอง

จะเห็นว่า ถ้าคนไทยแต่ละคนคิดว่าเราจะทำประโยชน์ได้มากที่สุดแก่ส่วนรวม....จบเลย

วันก่อนคุยกับหลวงพี่วิรัชที่วัดเขาแร่ เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินชีวิต อาตมาบอกกับหลวงพี่วิรัชว่า "ผมไม่มีปรัชญาการดำเนินชีวิตกับใครเขาหรอกครับ ผมคิดแค่ว่า มีชีวิตอยู่ก็เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เขาให้มากที่สุด ตายเมื่อไรก็จบ ไม่เห็นจะต้องไปมีปรัชญาหรู ๆ อะไรเลย"

แบบเดียวกับท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม มีคนถามท่านว่า “ยุทธศาสตร์การศึกษาของท่านอาจารย์คืออะไรครับ?” ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพลตอบว่า “ถามถึงยุทธศาสตร์ของผม แน่ใจหรือ?” “แน่ใจครับ” “เรียนให้จบ เรียนให้รู้ แค่นั้นแหละ ที่เหลือเป็นยุทธวิธี ทำอย่างไรให้รู้ได้ก็จบ” เจอท่านอาจารย์ตอบเข้าเต็ม ๆ อาตมาก็ว่าใช่ ๆ เหมือนกำปั้นทุบดิน ไม่ต้องไปวางโครงการอะไรหรูหรามาก เรียนให้จบแล้วมีความรู้แค่นั้นแหละพอ ที่เหลือก็คือจะทำอย่างไรจะให้จบไปแล้วมีความรู้ก็ใช้ได้แล้ว

เถรี 24-04-2013 21:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของจริตนิสัย มีอยู่ ๒ จริตก็คือ พุทธิจริตกับโทสจริต ความประพฤติเหมือนกันเกือบทุกอย่าง เพียงแต่พุทธิจริตประกอบไปด้วยความฉลาด ไม่ใช่ใจร้อนใจเร็วเฉย ๆ ในเมื่อตัวเองฉลาด ทำอะไรก็ง่ายไปหมด คนอื่นทำช้า พวกนี้ก็แสดงออกลักษณะว่าใจร้อน รอไม่ได้

แต่ถ้าเป็นโทสจริตมักจะเร็วแล้วพลาด พุทธิจริตเร็วแล้วไม่ค่อยพลาด กวาดบ้านก็เหมือนกัน อย่ากวาดเสียดีกว่า พวกโทสจริตหรือพุทธิจริตลากพรวด ๆ ไปเลย ให้คนมากวาดซ้ำได้อีก ๒ รอบ"

เถรี 25-04-2013 20:40

ถาม : ถ้าเราถือศีลแปดแต่แต่งหน้า ?
ตอบ : ถ้าจะผิดศีลจริง ๆ เขาหมายเอาว่า แต่งแล้วไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นก็แต่งให้เขาหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือแต่งหน้าอย่างคนมีสติ ในเมื่อเราไม่ได้มีเจตนาแต่งหน้าไปยั่วเพศตรงข้ามให้เขามารักมาชอบเรา อยู่ในสังคมเขาต้องการอย่างนั้น ก็ทำให้เขาหน่อย แล้วก็ให้รู้ตัวด้วยว่านี่เราไม่สวยจริง ถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แต่งไปเถอะ

เรื่องของศีล ถ้าเราสามารถปรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ แล้วจะอยู่อย่างมีความสุขด้วย ให้พยายามปรับหน่อย อย่าให้ศีลเสีย แต่ขณะเดียวกันถึงเวลาก็ต้องไปกับเขาได้ อย่างเช่น ถ้าเราถือศีล ๘ ไม่ได้กินข้าวเย็น เขาชวนเรา เราก็บอกว่าระยะนี้อ้วนมากแล้ว ถ้าจะเลี้ยงเปลี่ยนเป็นน้ำสักแก้วดีกว่า ดีกว่าไปบอกว่าฉันไม่กินกับแกหรอก ฉันถือศีล ๘ คนเขาจะมองเป็นสัตว์ประหลาดไป

การถือศีลต้องถืออย่างคนมีปัญญา ถ้าตรงไปตรงมา โบราณเรียกว่าตรงแบบสากกะเบือ ลักษณะอย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด เป็นโทษแก่คนอื่นด้วย เพราะถึงเวลาเขาก็เอาไปพูดไปนินทากัน กลายเป็นว่า กาย วาจา ใจ ของเราที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแท้ ๆ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษให้แก่คนอื่นได้ ฉะนั้น..ให้พยายามลด แม้ว่าวางก่อนสบายก่อนก็จริง แต่พยายามอย่าไปวางใส่หัวคนอื่นเขา ส่วนใหญ่พวกเราไปวางใส่หัวคนอื่นเขา

เถรี 25-04-2013 20:46

ถาม : ไม่ได้อยากแต่งแต่ก็จำเป็นต้องแต่ง
ตอบ : พูดง่าย ๆ ก็คือ แต่งให้ชาวบ้านเขาพอทนดูเราได้ หรือไม่ก็แต่งแล้วก็ปลงอสุภกรรมฐานไปเลย

อาตมาเองไม่ชินกับคนแต่งหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ พอได้กลิ่นพวกเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแล้วจะจาม บรรดาคนที่ไปด้วยกันก็จะรู้ พอถึงเวลาก็จะไม่แต่งไป ก็เลยไม่ชิน พอเห็นคนแต่งหน้ามา บางทีรู้สึกเหมือนเขาใส่หน้ากากมา ไม่จริงใจหรืออย่างไรบอกไม่ถูก


ถาม : แล้วทาแป้งได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าพระป่วยยังทาแป้งได้เลย สมมติว่าเป็นผื่นคัน

ถาม : ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเจตนา บอกแล้วให้แต่งอย่างมีสติ เพราะถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง นี่ไม่สวยจริงเลยต้องแต่ง หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงตาวัชรชัยท่านว่า “มึงไม่เคยเห็นเขาแต่งหน้าศพใช่ไหม?”
หลวงตาท่านว่าทีหนึ่งนี่ลูกศิษย์เหี่ยวหมดเลย นึกเสียว่ากำลังแต่งหน้าศพอยู่ก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว

เถรี 25-04-2013 20:49

ถาม : ครูบาอาจารย์ที่...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง งานใหญ่แค่ไหนก็ไม่ท้อ วิ่งใส่อย่างเดียว

ถาม : ถึงเวลาบริวารจะมา ?
ตอบ : โดยเฉพาะเรื่องบริวารจะมากเป็นพิเศษ ต่อให้ไม่มากเท่าองค์นั้นองค์นี้ แต่ก็มากกว่าแถว ๆ นั้น สมมติเขตนั้นเขาเข้าวัดเป็นหลักร้อย ของท่านก็จะเป็นหลักพันหลักหมื่น บริวารจะมาก

เถรี 25-04-2013 20:56

ถาม : ทำอย่างไรจะทำงานได้และภาวนาได้ด้วย ?
ตอบ : สติ..อย่างที่แนะนำคนเมื่อเช้า พอเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ให้เอาสติประคับประคองเอาไว้ พอประคองไว้แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ที่เหลือก็ทำงานไป ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็คล่องตัวเอง แม้กระทั่งคุยกันอย่างนี้ก็ทรงสมาธิได้

ถาม : สติตามไม่ค่อยทันค่ะ
ตอบ : ซักซ้อมสิจ๊ะ เดี๋ยวก็ทันเอง รู้ปัญหาแปลว่าแก้ได้ ถ้ารู้ปัญหาแล้วแก้ไม่ได้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือไม่ตั้งใจแก้ อย่างที่ ๒ คือฉลาดน้อยเกินไป

ถาม : ภาวนาเวลาขับรถ แล้วว่างโล่งไปเฉย ๆ พอจับความว่างนั้นก็ไม่รับรู้อาการรอบข้าง ?
ตอบ : อย่างนั้นอันตรายนะจ๊ะ ใจต้องจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นแยกใจทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ความเคยชินพอเห็นปุ๊บ ในอดีตเราเคยจับในลักษณะของอากาสกสิณ หรืออากาสานัญจายตนฌานมา เดี๋ยวว่างโล่งไปไม่รับรู้อะไรเลย ก็ชนกระจายอยู่ตรงนั้นเอง

ถาม : มันหลุด
ตอบ : ไม่ได้หลุด แต่เข้าสู่สภาวะสมาธิที่ลึกแล้วไม่สามารถบังคับร่างกายได้ เพราะว่าในอดีตเราเคยทำอย่างนั้นมา พอเห็นปุ๊บจำได้ อย่างของอาตมา ถ้าเห็นกอไผ่เขียว ๆ แล้วมีแสงแดดลอดออกมาเป็นสาย ๆ เมื่อไร เดี๋ยวกลับไปไหนก็ไม่รู้..หลายชาติเลย เป็นความเคยชิน

ถาม : ก็แบ่งได้
ตอบ : แบ่งได้ แต่แรก ๆ ไม่ได้ ไปหมดเลย พอไปหมดเลย คราวนี้จะไปบังคับรถอย่างไร กำลังขับอยู่ ขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์ยังเกิดอุบัติเหตุมาเสียเยอะต่อเยอะแล้ว แล้วอยู่ ๆ เหลือนิดเดียวหรือไม่เหลือเลยจะไหวหรือ ?

เถรี 26-04-2013 08:51

ถาม : อยากมาทำบุญ แต่เกิดอาการป่วยปัจจุบันทันด่วน ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมาร ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี

ถาม : ต้องแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดื้อไป ถึงตายก็จะไป ถ้าอย่างนั้นบ่อย ๆ พอเขารู้ว่าขวางไม่ได้ก็จะเลิก เจ้าพวกนี้กลัวคนหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านตื๊อเข้าไป เมื่อรู้ว่าขวางไม่อยู่เขาก็เลิก ไม่รู้จะขวางทำไม เสียเวลา เขาก็ไปหาทางอื่นแทน

ถาม : ใจเผลอคิดปรามาสครูบาอาจารย์อยู่บ่อย ๆ เป็นโทษไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นใจคิด เราก็ขอขมาไปเรื่อย ๆ เจ้าพวกนี้ต้องการจะกวนเราให้ขุ่น ก็คือถ้าใจเราไปพะวักพะวนตรงนั้น การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อโดนชักนำด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ถึงได้คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราก็ตั้งใจขอขมาพระ ขอบ่อย ๆ พวกนี้พอรู้ว่าทำให้เราสะเทือนไม่ได้ก็เลิก เขาต้องการจะกวนน้ำให้ขุ่น ในเมื่อกวนแล้วไม่ขุ่นก็ไม่รู้ว่าจะกวนไปทำไม ?

เถรี 26-04-2013 08:54

ถาม : มีคนที่เรารู้จัก เขาคิดถึงเรา เราจะรับรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าความคิดต่อความคิดมาชนกันพอดี ก็จะรู้เห็นกันได้ แต่คราวนี้เรื่องของการรู้เห็น เราจะถือเป็นประมาณไม่ได้ เพราะบางอย่างก็ใช่ บางอย่างก็เป็นการทดสอบกัน อาตมาเคยบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า เราเห็นเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย เขาจะกระทืบตาย เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..!

ถามว่าเราเห็นจริงไหม ? ก็จริง..เห็นเขาไล่ยิงกันมา แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะเป็นเรื่องในหนังที่เขาแสดงกัน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของทิพจักขุญาณ ยิ่งชัดเจนมากเท่าไรยิ่งต้องระมัดระวังตัวอย่างสูงมากเท่านั้น เพราะว่าเวลาเขาหลอกเรา เขาจะหลอกได้เนียนมาก เขาจะบอกความจริงถึง ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาหลอกเราเอาไว้นิดเดียว คราวนี้ถ้าเราทบทวนแล้วเห็นว่าถูกมาตลอด เราก็จะไปเชื่อเลย แต่ความจริงตอนท้ายนิดเดียวนั่นแหละผิด

เคยไปอ่านบันทึกของพระที่เขาไปอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยแล้วเกิดวิปลาส ต้องเอาเข้าโรงพยาบาล เขาบันทึกว่า “วันนี้พระท่านมาบอกว่า ระยะของมรรคผลมาถึงแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ยิ่งทุ่มเทการปฏิบัติมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น” มีผิดไหม ? ผิดตอนท้ายนิดเดียวเอง การปฏิบัติต้องพอเหมาะพอดี ไม่ใช่ยิ่งทุ่มเท่าไรก็ดีเท่านั้น พอบอกให้ทุ่มเท่าไรดีเท่านั้น พระรูปนี้ก็เลยไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ

นั่นถ้าไม่ใช่ทรงฌานได้ แค่อดข้าวอดน้ำก็อดตายแล้ว ท่านเอาแต่เดินจงกรมภาวนาทั้งวันทั้งคืน ไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ ถ้าไม่ได้สมาธิระดับนั้นนี่แย่เลย แต่คราวนี้ร่างกายเรามีขีดจำกัด ท้ายสุดก็ไม่ไหว เกิดอาการที่ว่าสติแตก กรรมฐานแตก ต้องหามเข้าโรงพยาบาลไป

เถรี 26-04-2013 08:59

เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังที่สุด การทดสอบแต่ละอย่างมาเนียนมาก ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากจะบอกว่า ความชั่วกับความดีขี่คอกันมา หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย สำคัญอยู่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ว่าอันหนึ่งพาขึ้น อันหนึ่งพาลง เราจึงต้องมีศีลเป็นกรอบ ถ้าหลุดจากกรอบของศีลหรือกรรมบถ ๑๐ เราไม่ไปด้วย อย่างไรก็ไม่หลงไกลเกิน แต่ถ้าหลุดแล้วยังไปตามก็ไกลไปเรื่อย

ช่วงนั้นเขาก็โดนหลอกให้ไปหาวัตถุชิ้นนั้นชิ้นนี้ มีพลังงานอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาพกไว้เต็มไปหมด จนกระทั่งตอนจะเอาเขาเข้าโรงพยาบาลก็ยังเถียงอีกว่าเราไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีพลัง พอดีพระครูปลัดปรีชาอยู่ด้วย เขย่าตัวถามว่า “พระอยู่ที่ไหน ? เอาพระไปไว้ไหนหมด ? ตอนนี้ไปเอาอะไรมาพกเสียเต็มไปหมด ?” ขนาดนั้นก็ยังไม่ได้สตินะ เขาหลอกได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าตัวเองรู้เองก็มั่นใจว่าใช่

อย่าลืมว่าแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์เขาก็ยอมรับว่าสสารทุกอย่าง แกนกลางคือพลังงาน เพราะฉะนั้น..คุณจะหยิบจะจับอะไรมามีพลังทั้งนั้น แต่ตอนนั้นเขาจะโดนเน้นว่า ชนิดนี้มีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนั้น ชนิดนั้นมีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนี้ แล้วก็เที่ยวไปไล่หา เวลาที่จะปฏิบัติก็ไม่มี นั่นขนาดเพื่อนพระจับตัวเขย่าถามเลยนะ ว่าพระอยู่ที่ไหน เอาไปทิ้งไว้ไหนหมด เอาแต่ของพวกนี้มา เขาก็ยังไม่รู้ตัว

ท้ายสุดก็เลยต้องส่งเข้าโรงพยาบาลให้หมอจัดการ แต่ก็อย่างว่าแหละ หมอทำอะไรไม่ได้ ขนาดย้ำกับหมอแล้วว่าระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาหนีแน่ หมอก็หัวเราะ “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้เก่งกว่าหมอเลยครับ ประตูตั้ง ๔ ชั้นแล้วรั้วสูง ๖ เมตร ดูว่าเขาจะไปอย่างไร” ปรากฏว่าไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ไปแล้ว

ก็เขาไม่ต้องไปอย่างนั้น อยากเดินออกรูไหนก็ไป เขาอยู่กับวัดขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ พี่น้องพังประตูโบสถ์เข้าไป เขาเดินทะลุออกข้างฝาเฉยเลย แล้วใครจะไปทำอะไรเขาได้..!

เถรี 26-04-2013 09:05

ถาม : แล้วทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องอาตมาจับเอง คนอื่นจับไม่ได้ แต่บอกกับพี่น้องเขาแล้ว ว่าจับให้ครั้งเดียวนะ ถ้าหมอไม่สามารถจัดการได้ก็ไม่ต้องมาโทษอาตมา อาตมาไม่ยุ่งกับกรรมของใคร จับให้ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็ยุ่งกับเขาเยอะพอแล้ว

พอเขาเดินทะลุโบสถ์ออกไป พี่ชายวิ่งมาทางประตูไล่ตามไป ปรากฏว่าเขาลืมของ พี่ชายเขาบอกว่าเห็นเขาเดินสวนมา เห็นว่าเขาเดินไม่เร็ว แต่วูบผ่านตัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะเสื้อผ้าเขากระพือตามไปเลย เพิ่งจะรู้ว่าเดินเร็วขนาดนั้น จากเดิมที่พี่ชายเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ กลายเป็นเชื่อไปเลย เพราะเห็นอยู่คาตา


ถาม : เขาได้อภิญญาหรือมีวิชาคะ ?
ตอบ : เป็นอภิญญา..ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเข้มข้นมาก ถ้าปฏิบัติถูกทางจะหลุดพ้นได้เร็ว ก็เลยโดนหลอกให้ผิดทาง จะได้ไม่ต้องพ้นเสียที

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาเรียกว่ามาร เรื่องของมารถ้าตาดี ๆ จะเห็นเป็นตัวเป็นตน ตาไม่ดีจะคิดว่าเป็นความรู้สึกในใจของเรา ในชีวิตก็ไม่คิดว่าจะต้องไปรบราฆ่าฟันกับบุคคลประเภทนั้น ขอบอกว่าทีเดียวพอ เรื่องการปะทะกำลังภายในกันแบบนั้นไม่สนุกหรอก มีแต่เสียกับเสียด้วยกัน เพราะถ้าเราเผลอสติเมื่อไรก็จะกลายเป็นโทสะ ก็คือกิเลสเกิดขึ้นมาจริง ๆ ขาดทุนยับเยินเลย

เถรี 26-04-2013 20:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ฝรั่งเขาชื่นชมประเทศไทยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน ๒ ประเทศในโลกที่สามารถเพิ่มจำนวนเกษตรกรได้ ประเทศอื่นมีแต่เกษตรกรทิ้งไปทำงานภาคอุตสาหกรรมหมด โดยเฉพาะเรื่องการจำนำข้าว จำนำยาง จำนำปาล์มน้ำมัน โครงการพวกนี้พอราคาแน่นอน ทำให้เขากล้าทำ เพราะเห็นว่าจะมีกำไรเท่าไร ในเมื่อคนของเราย้อนกลับสู่ภาคการเกษตร อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแหล่งอาหารของโลกเขาได้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่คิดว่าทำอะไรก็ได้ขอให้ได้เงินมา แต่ลืมอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าได้เงินมาแต่ไม่มีอาหารให้ซื้อแล้วจะกินอะไร

ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า ถ้าใครมีที่อย่าไปขายเสียหมด อย่างน้อย ๆ ปลูกอะไรที่กินได้ทิ้ง ๆ ไว้บ้าง ถึงเวลาคนอื่นเขาลำบาก เราก็ยังมีกิน โดยเฉพาะดูจากการกระทบกระทั่งของเกาหลีเหนือ ที่อยู่ ๆ ก็อาละวาดฟาดหัวฟาดหางขึ้นมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล ต้องบอกว่าผู้นำเขาอยู่ในระดับที่สติสัมปชัญญะน้อย อาจจะก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วถ้าก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไร ต่างฝ่ายต่างก็มีคนถือหาง มีคนหนุนหลัง เรื่องก็จะจบยาก

ถ้าอยู่ในสภาวะอย่างนั้น คนมัวแต่รบกัน ไม่มีเวลาทำมาหากิน เรื่องข้าวปลาอาหารจะกลายเป็นของสำคัญ ต้องนึกถึงที่ท่านหม่อมเจ้าสิทธิพร บิดาของสหกรณ์ไทย ท่านบอกว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง เพราะถ้าลำบากขึ้นมาจริง ๆ เงินทองกินไม่ได้ ข้าวปลาอาหารยังกินได้ ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าอย่าให้สถานการณ์หนักนัก เพราะบ้านเราอยู่ในเอเชีย ก็ถือว่าใกล้เหตุการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้ามีการใช้นิวเคลียร์กัน ถ้าลมพัดถูกทิศไม่กี่ชั่วโมงรังสีก็มาถึงแล้ว

ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรพระท่านก็บอกแล้ว ไม่มีพระกริ่งพิชัยสงครามก็เอาพระนาคปรกรุ่นนี้ (พระนาคปรกลอยองค์ฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี นาคไทย ๙ เศียร) ไปแทน อยากจะรบก็รบกันไป ถ้าใครมีเนื้อทองคำต้องมีความสามารถคุ้มครองพระได้ด้วย ปกติมีแต่ให้พระคุ้มครองใช่ไหม ? ถ้าเนื้อทองคำโดยเฉพาะหน้าตัก ๒ เซนติเมตรต้องมีความสามารถคุ้มครองพระด้วย

เรื่องของวัตถุมงคลจริง ๆ แล้วแค่องค์เดียวก็พอ แต่คราวนี้อันดับแรกก็คือได้ทำบุญ อันดับต่อไปก็คืออย่างน้อย ๆ ให้รู้ว่ารุ่นนี้เราก็มี เลยบูชากันไปเรื่อย"

เถรี 26-04-2013 20:59

ถาม : เป็นผู้รับเหมาพวกวัสดุ เขากำลังประมูล ?
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น บอกเขาว่างานตรงนี้เราขอ แล้วจะถวายสังฆทานให้ อย่างไรก็ขอให้สำเร็จนะจ๊ะ บรรดาเจ้าที่เทวดาเขาอยากได้สังฆทานยิ่งกว่าอะไรอีก บอกเขาเลยว่าช่วยหน่อย งานตรงนี้เราขอ แล้วเดี๋ยวจะถวายสังฆทานให้

เถรี 28-04-2013 19:57

ถาม : การแผ่เมตตา..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลเป็นคนละเรื่องกัน แผ่เมตตา คือ เราตั้งความหวังดีปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้เขาล่วงพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุข ส่วนอุทิศส่วนกุศลก็คือเราทำความดีอะไรมา ก็แบ่งปันให้แก่ผู้อื่นเขา

แผ่เมตตาเหมือนกับเขาหิวมา เราให้ร่มเงาแก่เขา ถึงแม้ว่าจะร่มเย็นก็จริง แต่ท้องเขายังหิวอยู่ ส่วนอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราแบ่งอาหารให้เขา เขาได้กินอิ่มก็มีความสุข ดังนั้น..ต้องคิดให้ถูก พูดให้ถูก ทำให้ถูก ไม่อย่างนั้นใช้คำพูดแบบนี้ เดี๋ยวผีก็นั่งตาปริบ ๆ ไม่ได้อะไร


ถาม : อุทิศส่วนกุศลอย่างไร ?
ตอบ : ให้เราตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่ใครก็ว่าไปเลย ถ้าตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ต่อมาก็ให้เทวดาทั้งหลาย โดยเฉพาะพระยายมราช แล้วก็ให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว

เถรี 28-04-2013 20:00

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนนอนหลับ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ยังภาวนาอยู่ แต่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้จมูกหายใจ แต่กำลังหายใจทางท้องอยู่ ก็เลยภาวนาไปเรื่อย ๆ ดูการหายใจทางท้องไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒ ชั่วโมงดันปวดปัสสาวะ จึงต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เลยเปลี่ยนมาใช้จมูกหายใจ

ตอนนั้นก็มานั่งคิด ๆ ว่า เออ...ความจริงการหายใจทางท้องก็สบายดีนะ ไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำ ท่านก็ใช้วิธีอย่างนี้ พอไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาออกซิเจนจากที่อื่น นึกไปนึกมา ถ้าอาตมาขืนดำน้ำไปจารตะกรุดแล้วต่างคนต่างอยากได้ อาตมาคงเป็นลมตายใต้น้ำ เพราะฉะนั้น..อย่าไปยุ่งเลยก็ดีแล้ว..!"

เถรี 28-04-2013 20:39

ถาม : คุณแม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ บอกว่าการรักษาทุกอย่างแล้วแต่หมอจะตัดสินใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเซ็นรับรองให้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าไปตัดสินใจแทนหมอ ว่าจะต้องทำอะไรในขั้นตอนไหน เพราะว่าถ้าตัดสินใจผิดมีสิทธิ์เดี้ยง..!

บางคนหายใจอยู่ได้ด้วยเครื่อง จิตออกไปตั้งนานเนกาเลแล้ว บางคนไม่หายใจแล้ว แต่จิตก็ยังอยู่ในร่างกาย คำว่าไม่หายใจจริง ๆ เขายังหายใจอยู่ แต่ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ปอด ดังนั้น..ถ้าเราตัดสินใจผิดมีสิทธิ์ทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้รายละเอียดมากถึงขนาดนั้น ต้องปล่อยให้เป็นงานของหมอเขา บอกหมอว่าเห็นสมควรจะรักษาอย่างไร หรือจะหยุดการรักษาอย่างไรแล้วแต่การวินิจฉัยหมอ เรายอมรับทุกอย่าง

เถรี 28-04-2013 20:40

ถาม : หนูมีหนังสือการปฏิบัติ ที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจที่จะทำลายเพราะกลัวจะเป็นการทำลายพระธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะเอาไปแจกจ่ายเผยแพร่ต่อ ?
ตอบ : ใส่ลังดี ๆ ไว้ ที่ไหนมีสิ่งก่อสร้างที่ปิดมิดชิด เช่น พระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือฐานพระ เราก็บรรจุไปเลย เสียดายว่าวัดท่าขนุนบรรจุไปจนเกลี้ยงแล้ว ไม่มีที่เหลือให้

เถรี 28-04-2013 20:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติความเคยชินของพวกเรา ก็คิดว่าพระพุทธรูปทุกองค์มีเทวดารักษาใช่ไหม ? พระพุทธรูปองค์เมื่อครู่ (ที่ถวายสังฆทาน) มีนางฟ้ารักษา เขาโผล่หน้ามาให้เห็น ก็เลยงง ๆ เหมือนกัน"

เถรี 28-04-2013 21:00

ถาม : เวลาหลับตานอน จะเห็นแสงตอนกลางวันเป็นสีแดงฉาน สักพักจะเห็นเป็นดวงอาทิตย์สีแดงฉานใหญ่มากเลย เล็กบ้างใหญ่บ้าง ติดอยู่ตรงนี้ค่ะ ?
ตอบ : นอกจากจับลมหายใจเข้าออกเคยฝึกอย่างอื่นมาบ้างไหม ? ต่อไปให้จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับนึกถึงภาพสีแดง นึกไปเรื่อย ๆ ถ้าภาพนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนสี เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามีหน้าที่จับภาพไป ภาพนั้นจะจางลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งใสขึ้น

เราต้องรักษาความใสให้อยู่ได้ตลอดเวลา ถ้าใสได้ตลอดเวลาเมื่อไร ให้เราลองอธิษฐานดูว่า ขอให้ใหญ่ได้ไหม ? เล็กได้ไหม ? ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ขึ้น ขอให้เล็กลง ขอให้หายไป ขอให้กลับมา แต่ต้องรอให้ใสก่อน อย่าไปบังคับให้ใส เรามีหน้าที่ภาวนาแล้วนึกถึงเฉย ๆ น่าจะเป็นของเก่าที่เราเคยทำได้ ต่อไปถ้ามาอีกเราก็จับต่อไปเลย


ถาม : อย่างอื่นที่เข้ามามากมายละคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาแค่อย่างเดียวก่อน จนกระทั่งใสเต็มที่แล้ว ลองอธิษฐานให้ใหญ่ ให้เล็ก ให้หาย ให้กลับมา ถ้าทำได้คล่องตัวแล้วค่อยมาถามใหม่

เถรี 28-04-2013 21:11

ถาม : มีอยู่วันหนึ่งผมตื่นเช้าขึ้นมา มีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเหลือเกินครับ อิ่มใจ สบายใจ รู้หมดเลยว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้าง ขอบเขตของศีลอยู่ที่ไหน ปฏิบัติอย่างไรศีลจะบกพร่องหรือขาดหรือว่าสมบูรณ์ เบาสบายใจเรื่องศีลอย่างบอกไม่ถูก เวลามีคนพูดอะไรถามอะไรไม่ว่าเรื่องไหน คำตอบจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันจะคิดเลย ไม่ทราบว่าความรู้สึกอันนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : อาตมาเคยบอกว่าหลายคนเปะปะทำถูก แล้วก็หาไม่เจอว่าตัวเองทำถูกเพราะอะไร กลายเป็นว่าผลดีเกิดขึ้นตรงหน้าแต่หาเหตุไม่เจอ ถ้าเป็นลักษณะนี้ต้องบอกว่าอีกนาน..!

เราต้องนึกย้อนทวนไปว่าก่อนหน้านั้นเราคิดอะไร ทำอะไร พูดอะไร ภาวนาอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน จึงทำให้อารมณ์ใจอย่างนี้เกิดขึ้น แล้วก็ย้อนกลับไปคิดแบบนั้น ทำแบบนั้น พูดแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น เรื่องอย่างนี้ก็จะเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าเราไม่สามารถจะนึกย้อนกลับไปได้ว่า เราทำอะไรมาผลนี้จึงเกิด ก็แปลว่าต้องรอกินผลจนเกลี้ยง แล้วก็เปะปะไปทำถูกเข้าอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไร แล้วก็ต้องไปย้อนดูอีกทีว่าเกิดจากอะไร

ถาม : ตอนนี้ความรู้สึกนั้นหายไปหมดแล้วครับ ?
ตอบ :
ไม่ใช่เรื่องแปลก..เป็นทุกคน คือถ้าเราหาเหตุไม่เป็น เราก็สร้างผลให้เกิดไม่ได้ ตอนนี้ถึงเรามั่วไปสร้างเหตุได้ถูกแล้วผลเกิด เราก็รักษาผลไว้ไม่ได้ แต่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เหมือนกับเราเคยกินอาหารรสอร่อยแล้ว เราจำรสอาหารนั้นได้ ต่อไปก็จะพยายามตะเกียกตะกายที่จะหารสอาหารนั้นมากินให้ได้อีก

บอกได้อย่างเดียวว่าสภาพนี้คือ การที่ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงตัวในระดับหนึ่ง จึงทำให้เกิดความคล่องตัวขึ้นมา มีสติรู้รอบว่าควรจะคิด จะพูด จะทำอย่างไร ถึงจะอยู่ในกรอบของศีล สามารถรักษาศีลได้โดยไม่บกพร่อง มีสติไม่ยุให้คนอื่นทำศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำศีลขาด จะเรียกว่าเป็นสีลานุสติเต็มระดับก็ได้ แต่ว่ายังเต็มไม่จริงหรอก ถ้าเต็มจริงต้องบรรลุมรรคผลไปแล้ว..!

เถรี 29-04-2013 09:27

ถาม : ผมปฏิบัติโดยดูลมหายใจควบกับคำภาวนาว่าพุทโธ หลับตานึกถึงภาพพระได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำไปไม่นานรู้สึกว่าพอแล้ว ก็ถอนกำลังใจออกมานึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นคำพูดที่ฟังมาหรือว่าหนังสือที่อ่านมา พิจารณาแล้วก็สรุปทุกครั้งว่าคุณสมบัติของพระโสดาบันมีอะไรบ้าง เมื่อพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ผมมีครบ ตายเมื่อไรจะไปพระนิพพาน แล้วก็หลับ หรือไม่ก็ไปทำงาน ทำแบบนี้เรื่อยมา

แล้วก็เกิดเหตุว่า ผมไปผ่าตัดเล็บขบ ตอนหมอทำผมก็ดูลมหายใจ ภาวนา นึกถึงภาพพระ นึกถึงภาพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเหมือนเดิม หมอก็ฉีดยาชาให้ ความรู้สึกบอกผมว่า ตอนนี้เข็มเข้าไปในเนื้อเท่าไร ยาชาวิ่งถึงไหน หมอดึงเข็มออกตอนไหน ฉีดไป ๕ เข็ม รู้สึกภายนอกว่าชา แต่ภายในไม่ชาเลยครับ ตอนหมอผ่าผมก็เจ็บ รู้สึกหมดเลยว่าหมอทำอะไร มีดกรีดตรงไหน หมอดึงเล็บออกอย่างไร หมอถามว่าเจ็บได้อย่างไร อัดยาชามากขนาดนี้ ผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ครับว่าเจ็บได้อย่างไร เพราะตอนนั้นความรู้สึกชัดเหลือเกิน ล่าสุดไปถอนฟันมาก็เจ็บอย่างนี้ เจ็บมากจริง ๆ ทั้งสองครั้ง มีทางไหมครับที่พอถึงสถานการณ์แบบนี้แล้วจะหนีการเจ็บปวดโดยแยกจิตกับกายออกไปชั่วคราว ?

ตอบ : ลักษณะอย่างนี้คืออาการที่สติสมบูรณ์พร้อม แต่เป็นการสมบูรณ์เพราะเหตุฉุกเฉิน แปลว่าสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่ต้นค่อย ๆ สั่งสมตัวมา เมื่อสั่งสมตัวมาถึงระดับหนึ่ง พอเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราจะรู้ว่าจริง ๆ แล้ว ต้นทุนของเราเพียงพอ แต่คราวนี้ต้นทุนเราเพียงพอกับการมีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่การมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราดันเอาไปอยู่กับร่างกายที่หมอกำลังทำการรักษาอยู่ ก็เลยสาหัสอย่างที่ว่ามา เพราะถ้าสติสมบูรณ์พร้อม การรับรู้ของประสาทร่างกายจะรู้ครบทุกส่วน

ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎก บางตอนอย่างเช่นกล่าวถึงประวัติพระอนุรุทธเถระว่า เมื่อกินขนมที่เทวดาทำ รสก็ซาบซ่านไปยังประสาทรับรสทั้ง ๗ พันเส้น คนทั่วไปรับไม่ได้ถึงขนาดนั้น ในเมื่อคนทั่วไปรับไม่ได้ถึงขนาดนั้น เราก็ไม่รู้ว่าคนที่ประสาทหรือสติสมบูรณ์พร้อมเป็นอย่างไร เอาแค่คำว่า สับปะรด สัปปตะหรือสัตตะ มาจากคำว่า ๗ สับปะรดมี ๗ รส คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ขม เผ็ด เราอาจจะคิดว่าสับปะรดเผ็ดด้วยหรือ ? รสเผ็ดก็คือกรดที่กัดลิ้นเรา แค่ ๗ รสเรายังแยกไม่ออกเลย ก็ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะแยกประสาทเพื่อรับรู้ถึง ๗ พันอย่าง

ในเมื่อเป็นดังนั้น เราต้องใช้วิธีภาวนาให้สภาพจิตของเราเคยชินกับการที่สมาธิทรงตัวในระดับสูง เมื่อสมาธิทรงตัวในระดับสูง จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการของร่างกาย บางทีหมอทำเสร็จเรายังสงสัยว่าเสร็จแล้วหรือ บางทีเข้าสมาธิลึก เวลาเหมือนผ่านไปพักเดียว แต่จริง ๆ แล้วข้างนอกอาจจะผ่านไปหลายชั่วโมง ฉะนั้น..เราต้องกลับไปซักซ้อมในอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกให้สมาธิทรงตัวมากกว่านี้ แล้วจะหลีกเลี่ยงอาการแบบนี้ได้

เถรี 29-04-2013 09:32

ขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำมาจริง ๆ ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ใช้ผิดเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่เราทำมาทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงเวลามีเหตุฉุกเฉินขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะรวมตัวกันมา ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าต้นทุนเรามีเท่าไร หรือว่าสิ่งที่เราเพียรพยายามทำมาในระยะเวลายาวนาน แม้ว่าจะทำเล็กทำน้อย รวมแล้วได้เท่าไร

ฉะนั้น..นักปฏิบัติเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ หรือเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา จะรู้ต้นทุนของตัวเอง นักปฏิบัติที่แท้จริงก็เลยไม่ค่อยกลัวเรื่องเจ็บเรื่องตาย เพราะมั่นใจแล้วว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร สำคัญอยู่ตรงที่ว่าถึงเวลาแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานได้หรือไม่เท่านั้น

ตอนแรกก็แปลกใจ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระอรหันต์ไม่ใช่ตอไม้นะ พระอรหันต์ความรู้ท่านละเอียดกว่าแกหลายเท่า เวลาเจ็บ ท่านเจ็บมากกว่าหลายเท่า เพราะความรู้สึกท่านละเอียด ท่านจึงรับรู้ได้ชัดเจนกว่า เพียงแต่ว่าท่านแยกจิตกับประสาทออกจากกัน ก็เลยสักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้เท่านั้น ไม่ได้ไปใส่ใจกับความเจ็บปวดนั้น

เถรี 29-04-2013 09:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระโยคาวจรคือฆราวาสที่ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระแล้ว ขนาดพระสงฆ์ที่บวชเข้ามาท่านยังเรียกแค่สมมติสงฆ์ ยังไม่ใช่พระเลย พระโยคาวจร แปลว่า ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางของการปฏิบัติธรรม"

เถรี 29-04-2013 09:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการต่อต้านและหนุนเสริมของสมุนไพรต่าง ๆ เห็นว่าอะไรดีก็จับยัดปนกันหมด การที่เราเอาสารพัดอย่างใส่รวม ๆ กันโดยคิดว่าทั้งหมดมีข้อดี ไม่แน่หรอก พวกคนจีนระดับเซียนที่วางยาพิษกัน เขาเอาของธรรมดา ๆ ให้กิน แต่พอกินปนกันเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นพิษ

ฉะนั้น..พวกที่เอาสารพัดอย่างยัดมาแล้ว จะมีปัญหาทีหลัง บอกให้ก็ได้ว่า อย่างเช่น ถ้าเรากินหอมหัวใหญ่ วันนั้นอย่าไปกินน้ำผึ้งตามลงไป หรือถ้ากินลูกพลับ ก็อย่าไปกินเนื้อปูทะเล ไม่อย่างนั้นสาหัสแน่ ของที่ดูแล้วไม่มีโทษอะไรเลย แต่ถ้าไปกิน ๒ อย่างรวมกัน ๓ อย่างรวมกัน จะกลายเป็นพิษขึ้นมา หมอสมัยใหม่รู้ว่าอาหารเป็นพิษ แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นพิษเพราะอะไร เมื่ออาหารเหล่านี้ลงไปถึงก็ไปหักล้างกันเอง โดยมีร่างกายของเราเป็นสนามประลองยุทธ์ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็หมอบกระแต

ขนาดน้ำสกัดจากผลไม้หรือผักหลายอย่าง อาตมาฉันลงไปยังคันแทบตาย เพราะบางอย่างลงไปเสริมกันแล้วไปหนุนให้ธาตุลมกำเริบ ต้องออกตามผิวหนัง ออกไม่ทันก็ดันอยู่ข้างในก็เลยคัน ที่เราเรียกกันว่าลมพิษนั่นแหละ"

เถรี 02-05-2013 09:50

ถาม : หนูคิดว่าจริง ๆ แล้วศีลไม่ได้แบ่งเป็นข้อ ๆ แต่อะไรก็ตามที่ทำให้กิเลสเจริญ นั่นคือละเมิดศีล ใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : ศีลก็คือเครื่องมือในการป้องกันกิเลสเบื้องต้น ถ้าเราห้ามใจของเราไม่ให้ละเมิดศีลได้ เราก็จะหักห้ามในเรื่องอื่นได้ คราวนี้ในเมื่อเราห้ามใจไม่ได้ ก็แปลว่าทุกอย่างที่เราทำคือการละเมิดศีล

เถรี 02-05-2013 10:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "การอ่านเป็นการเรียนรู้โลกนี้ในทางลัดที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปลงทุนลงแรงศึกษามาก คนเขียนใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง สมมติคนเขียนนั้นอายุ ๔๐ ปี นั่นคือประสบการณ์ชีวิตตลอด ๔๐ ปีที่เขียนหนังสือเล่มนั้นมา แล้วชีวิตเรามี ๔๐ ปีกี่ครั้งเราถึงจะเอาประสบการณ์ให้เท่ากับเขาได้ ก็มีอยู่ทางเดียวก็คือ เรียนลัด โดยศึกษาประสบการณ์คนอื่น

การอ่านเป็นการพัฒนาทั้งสมองและจิตใจของเรา หนังสือดี ๆ สามารถยกระดับจิตวิญญาณของคนได้ ลองหาหนังสือเรื่อง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ของ ริชาร์ด บาค ให้เด็ก ๆ อ่านสิ ถ้าไม่เอาปรัชญาทางศาสนาที่สนุก ๆ แบบโจนาธาน ก็เอาแค่หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้เด็ก ๆ อ่านจะได้รู้ว่าการมองโลกในแง่งามจริง ๆ คืออะไร"

เถรี 02-05-2013 10:44

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยก่อนบวชท่านเป็นเรือตรีทหารเรืออยู่ วันนั้นหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือกับเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีทหารเรือ นิมนต์หลวงปู่ปานไปเทศน์ให้ทหารฟัง หลวงปู่ปานก็เทศน์เรื่องผีเรื่องเทวดา แล้วท่านก็รู้ว่าคนนี้ไม่เชื่อหรอก ท่านก็เลยถามว่าใครไม่เชื่อเรื่องนี้บ้าง ปรากฏว่าพ่อ ๓ ทหารเสือยกมือสุดแขนเลย (หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นหลานของพลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์)

ท่านเจ้ากรมแพทย์ หลวงสุวิชานฯ คำรามว่า "กูขังมึงแน่" เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ตรัสว่า "ใจเย็น ๆ ฟังเหตุผลเขาก่อน" ถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ไม่เชื่อ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ไม่เคยเห็นครับ"

หลวงปู่ปานท่านก็เลยให้คาถาบทหนึ่งให้ไปภาวนา ทุกคนหลับตาภาวนาคาถาบทนี้ เดี๋ยวได้เห็นผี ปรากฏว่าไม่น่าเชื่อ ทหารเรือทั้งหอประชุม ภาวนาคาถาหลวงปู่ปานเห็นผีทุกคน หลวงพ่อท่านบอกว่า "แหม..แต่ละตัว สวยสะบัดเลยว่ะ ถ้าผีแบบนี้ข้าไม่กลัวหรอก"

หลวงปู่เลยถามว่าใครอยากฝึกวิชาอย่างนี้ไหม ? สามคนเลยมองหน้ากัน ถ้าไม่มีบารมีหลวงปู่คุ้มหัว ติดคุกแน่งานนี้ เลยบอกว่า "อยากฝึกครับ" "ถ้าอยากฝึกก็ต้องบวช" สามคนมองหน้ากันเสร็จ บวชไม่บวช สรุปแล้วบวชดีกว่าติดคุก เลยบอกหลวงปู่ท่านว่าจะบวช

เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ท่านเป็นเสนาบดีทหารเรือ สมัยนี้ก็คงเป็นผบ.ทร. บอกว่า "ถ้าแกบวชได้ ๑ พรรษา เอาไปเลย ๑ ชั้นยศ" ไม่ใช่ ๑ ขั้นนะ แต่เป็น ๑ ชั้นยศ ตอนนี้เป็นเรือตรี บวช ๑ พรรษาได้เรือโท ถ้าบวชได้ ๒ พรรษาได้เรือเอก มาเซ็นรับเงินเดือนได้ทุกเดือน

ท่านมั่นใจว่าไอ้ลิง ๓ ตัวทนอยู่ได้ ๗ วันก็เก่งมากแล้ว ปรากฏว่าบวชอยู่ ๗ วัน ทรงฌานได้หมดเลย ก็เลยเซ็นรับเงินเดือนกันเพลิดเพลินเจริญใจ พอเซ็นรับเงินเดือนเรือเอกไปได้พักหนึ่ง ก็ละอายใจ ว่าเราเองก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ทางการเลย แล้วมารับเงินเดือนเปล่า ๆ เลยทำเรื่องลาออกจากราชการ เพราะตั้งใจบวชยาวแล้ว"

เถรี 04-05-2013 20:24

ถาม : ทำไมเราถึงจะรู้ว่าปรารถนาพุทธภูมิ ?
ตอบ : ถ้าทำเพื่อคนอื่นมากกว่าก็เป็นพุทธภูมิ ประเภทเห็นคนอื่นลำบากไม่ได้ ต้องแถเข้าไปช่วยนั่นแหละ..ใช่เลย ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เห็นคนอื่นลำบากก็อยากจะช่วยเขา ไม่เคยนึกถึงความยากลำบากของตัวเอง

เถรี 04-05-2013 20:26

ถาม : ญาณต้องทำทีละอย่างหรือคะ ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัวสามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะถนัดอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างอื่นอาจจะได้นิดหน่อย แต่จะมีอย่างหนึ่งที่ตัวเองถนัดและชำนาญกว่าเพื่อน เช่น บางคนถนัดเจโตปริยญาณ บางคนถนัดปุพเพนิวาสนุสติญาณ เป็นต้น ปัจจุบันนี้จะหาคนถนัดทุกอย่างมีน้อยมากเลย เท่าที่เจอมามักจะเก่งเรื่องเดียว

ถาม : ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์สอนหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ขึ้นอยู่กับที่เราฝึกมา สิ่งไหนที่เราเริ่มต้นไว้มาก สิ่งนั้นเราจะชำนาญมากกว่า ถ้าอยากจะให้ดีเท่ากันก็ต้องซักซ้อมให้มากหน่อย

เถรี 04-05-2013 20:29

ถาม : ถ้าโมทนาบุญคนอื่น เราจะได้รับบุญนั้นทันทีไหมคะ ?
ตอบ : การโมทนาผลบุญแล้วส่งผล เจ้าของต้องได้รับผลนั้นก่อน คนที่โมทนาจึงจะได้รับ ตราบใดผลนั้นยังไม่เกิดกับของเจ้าตัวผู้ทำ ตราบนั้นผู้ที่โมทนาก็ยังไม่ได้รับผล

สงสัยไหมว่าผีโมทนาบุญของเราแล้วมักจะได้ดีไปเลย ? เพราะสภาพจิตของเราตอนนั้นเสวยอานุภาพของบุญอยู่ในระดับนั้นอยู่แล้ว พอเขาโมทนาก็ได้เท่ากับเราในตอนนั้น เขาก็ไปเลย ส่วนเราต้องรอก่อน ตายเมื่อไรก็จะได้เมื่อนั้น


ถาม : แล้วอย่างเวลาทำบุญ อยากรู้ว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่าง..?
ตอบ : แค่คิดก็เป็นบุญแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาก็จัดว่าเป็นบุญแล้ว แต่ถ้าเจตนาแล้วยังไม่ได้ทำดันตายก่อน เราได้บุญแต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้ทำ เพียงแต่คิด แม้ระลึกถึงการบริจาคให้ทานยังจัดเป็นจาคานุสติ เป็นกรรมฐานใหญ่อีกกองหนึ่งต่างหากเลย

เถรี 04-05-2013 20:35

ถาม : การแผ่เมตตาต้องแผ่ให้ตนเองก่อนหรือคนอื่นก่อนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรามักจะให้คนอื่นก่อน การแผ่เมตตาให้ตนเองคือการนึกถึงด้วยความรัก ความปรารถนาดี ต่อเราเองว่า ตัวเราเองตั้งใจที่จะปฏิบัติในสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าเรารักตัวเอง ไม่อยากให้ตัวเองตกอยู่ในกองทุกข์ ต้องการให้ตัวเองก้าวสู่ภพภูมิที่มีแต่ความสุข เหมือนการตั้งเจตนาเอาไว้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้่เราจะทำและทำแน่ ๆ เป็นการตอกย้ำกับตัวเอง

ดังนั้น..การแผ่เมตตาให้กับตัวเองเป็นการซักซ้อมการหวังดีปรารถนาดีต่อตัวเราว่า ถ้าเรารักและสงสารอยากสงเคราะห์คนอื่น ก็ต้องให้เท่าเทียมกับตัวเราที่รักตนเองนั่นเอง

เถรี 04-05-2013 21:12

ถาม : การทำบุญหรือทำความดีจะได้ทันทีในชาตินั้นหรือไม่ ?
ตอบ : การทำบุญแล้วจะให้เป็นครุกรรมฝ่ายกุศลที่ส่งผลในชาตินี้ ประการแรก...หาโอกาสทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ กำลังบุญที่ทำกับผู้ที่บริสุทธิ์ระดับนั้น ส่วนมากจะส่งผลเร็วทันที ประการที่สอง...สร้างฌานสมาบัติให้เกิดแก่ตัวเอง ยิ่งได้อภิญญาสมาบัติยิ่งดี ถ้าเป็นอย่างนั้นเราต้องการอะไรสามารถจะเนรมิตด้วยตนเอง ประการที่สาม...ช้านิดหนึ่ง แต่ให้ทำบุญกุศลต่อเนื่องกันไประยะเวลาหนึ่ง อาจจะเป็น ๕ ปีหรือ ๑๐ ปี ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ ผลบุญนั้นก็ส่งผลให้ในชาตินี้ได้

อย่าลืมว่าสิ่งที่ส่งผลในปัจจุบันคือสิ่งที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าเราทำในปัจจุบันตอนนี้ เลื่อนไปอีกหนึ่งนาทีหรือสองนาทีตรงนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว ดังนั้น..ถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดีต่อเนื่องยาวนานพอ ถึงเวลาผลบุญตรงนี้ที่เป็นอดีตกลับมาส่งผลเมื่อไร เราก็จะได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ ตลอดไป

ดังนั้น..วิธีที่สามดูน่าจะเหมาะที่สุด ก็คืออดทนทำความดีไปก่อน เพราะสมัยนี้พระเข้านิโรธสมาบัติก็ไม่ได้มาประกาศบอกเรา เรื่องอภิญญาจะฝึกให้ได้เต็มที่ก็ลำบาก เพราะฉะนั้น..ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้สม่ำเสมอ เรื่องศีลก็ได้ สมาธิก็ได้ ปัญญาก็ได้ เลือกทำเอา

เถรี 04-05-2013 21:21

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่าพระเข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรกท่านบอกแก่คณะสงฆ์ไว้ พระที่เข้านิโรธสมาบัติจะไม่ได้ทำกิจต่าง ๆ ร่วมกับคณะสงฆ์ จึงเป็นระเบียบที่บังคับไว้ว่า อย่างน้อย ๆ ต้องบอกให้เพื่อนพระรูปใดรูปหนึ่งรู้ไว้ ถ้าเข้าสังฆกรรมจะได้มีผู้รับมอบฉันทะ พูดง่าย ๆ ว่าออกสิทธิ์ออกเสียงแทนท่าน ดังนั้น..ต้องรอว่ามีใครประกาศบอกชัด ๆ เราจะได้ทำบุญกับท่าน แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน แทนที่จะได้คนเดียว ประเภทรวยวันนั้นเลย ก็เฉลี่ย ๆ กันไป

ประการที่สองสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดและคล่องตัว จะได้รู้ว่าใครทำอะไรได้ขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่ถ้าถึงระดับเข้านิโรธสมาบัติ กำลังของท่านจะสูงกว่าเรา ถ้าท่านตั้งใจปิดจริง ๆ เราก็ไม่ได้เห็นหรอก

เถรี 07-05-2013 21:44

ถาม : ลูกที่เกิดมาสบายแสดงว่าเขาต้องมีบารมีดี ?
ตอบ : เด็กบางคนเกิดมาก็ต้องลำบากก่อน พอเขาเคยชินกับความลำบาก ต่อไปทุกอย่างจะสบาย เด็กที่เกิดมาแล้วสบาย อยู่ ๆ ไปพบกับความลำบากเข้าจะเอาตัวไม่รอด อาตมาถึงภูมิใจกับความเป็นเด็กบ้านนอกของตนเอง เมื่อลำบากมาทุกรูปแบบ จึงไม่มีอะไรลำบากสำหรับอาตมาอีกเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นแหละ..บารมีเยอะต้องลำบาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่สมกับที่สร้างบารมีมา..!

เถรี 07-05-2013 21:48

ถาม : ถ้าเราแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทางดูแลลูกของเรา ?
ตอบ : ต่อไปเปลี่ยนเป็นอุทิศส่วนกุศล ตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่รักษาขอบเขตบริเวณนี้ จะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภุมมเทวดาก็ดี หรือจะเป็นสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็ดี ขอให้โมทนาให้ส่วนกุศลที่เราอุทิศให้ ประโยชน์ความสุขใดที่เราจะได้รับขอให้เธอได้รับด้วย และก็ฝากให้เขาดูแลเรื่องความสะดวกปลอดภัยให้แก่ลูกของเราด้วย

ถาม : บางทีก็ฝากบ้านกับพระภูมิเจ้าที่
ตอบ : ถือว่าเป็นภาระที่พระภูมิเจ้าที่รับผิดชอบ เราให้ความเคารพท่าน หน้าที่ของท่านคือดูแลบริเวณนั้น

ถาม : ยังไม่เคยเห็นท่านเลยค่ะ
ตอบ : จะไปยากอะไร จุดธูปบอกท่าน คืนนี้ขอพบหน่อย ช่วยแสดงให้เห็นชัด ๆ ด้วย..!

เถรี 07-05-2013 21:51

ถาม : ปกติตอนท่านมาแล้วเราเห็นคือสภาพจิตต้องนิ่ง ?
ตอบ : กำลังใจต้องอยู่ที่อุปจารสมาธิ อย่างเช่นตอนเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับหรือตอนตื่นใหม่ ๆ สภาพจิตจะอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิจึงเห็นได้ หรือไม่ก็ต้องรอว่าถ้าท่านอยากติดต่อกับเราจริง ๆ ท่านก็จะปรับมาให้อยู่ในระดับเดียวกับจิตเราตอนนั้น เราก็จะเห็นได้

ถาม : บางทีเราได้ยินแต่ไม่เห็น ?
ตอบ : ได้ยินก็ดีแล้ว

ถาม : ตอนที่เราได้ยินเสียงกับตอนได้เห็น สภาพจิตเราเท่ากันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เท่ากัน..แต่ว่าท่านตั้งใจให้ได้ยินเท่านั้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:52


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว