กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3634)

เถรี 18-01-2013 12:48

ถาม : พระอนาคามีท่านก้าวล่วงกามราคะหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะไปเสวยกรรมที่สวรรค์ ?
ตอบ : เหมือนกับคนไม่กินอาหารแล้วเข้าไปนั่งในร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารก็ได้นี่นา สมัยนี้เขาเข้าไปนั่งทำการบ้านในร้านแม็กโดนัลด์กันเยอะแยะไป

ภูมิเทวดาก็มีพระอนาคามี อากาศเทวดา ๖ ชั้นที่เป็นฉกามาพจร คือผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับกามก็มีพระอนาคามีตั้งมากมาย บางท่านตั้งใจไปอยู่ที่นั่นเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถาม ท่านบอกว่าเพื่อนอยู่ที่นี่ ก่อนตายนึกว่าอยากจะไปอยู่กับเพื่อนแค่นั้น เจตจำนงสุดท้ายก่อนอสัญกรรม

พระอรหันต์ท่านลงมาร้านอาหารเยอะแยะไป ท่านมาทำงานแล้วก็กลับ

เถรี 18-01-2013 12:51

ถาม : นางไม้จัดอยู่ในกลุ่มเทวดาหรือเปรต ?
ตอบ : รุกขเทวดา

ถาม : ผีปลวกละครับ ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ

ถาม : ผีกองกอย ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มของอสุรกาย ทางด้านภาคเหนือก็มีผีเสื้อห้วย ชอบหากินอยู่ตามป่า ตามเขา ตามลำห้วย

เถรี 18-01-2013 13:00

ถาม : เสือสมิงเกิดจากอะไร ?
ตอบ : เสือสมิงมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือวิญญาณคนที่ถูกเสือกินเข้าสิงเสือตัวนั้น อีกประเภทเกิดจากวิชาที่เขาฝึก พวกหัวใจเสือสมิง ฯลฯ แล้วกลายเป็นเสือ แต่วิชาที่ฝึกนี้ถ้ายังไม่ฆ่าคน สามารถแก้คืนได้ ถ้าฆ่าคนแล้วต้องเป็นเสือไปเรื่อย สมัยก่อนทางปักษ์ใต้เขาฝึกกันเยอะ ทางด้านเขมรก็เยอะ ทางปักษ์ใต้เขาจะมีพวกบรรดาตาหลวงต่าง ๆ เขาจะมีฝึกพวกวิชานี้ จนกระทั่งคนเขาเคารพนับถือ พอตายแล้วเขาก็ยกให้เป็นเจ้าที่เป็นเทพารักษ์

มีอยู่รายหนึ่งฝึกแล้วรู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นเสือ ก็ไปปลูกกระต๊อบที่ท้ายสวนยาง ให้ลูกสาวเอาอาหารไปส่ง คราวนี้ครั้งสุดท้ายลูกสาวไปเรียก แกเปิดประตูยื่นมือออกมาเป็นเล็บเสือ ลูกสาวเลยวิ่งหนีไปเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปส่งข้าวอีก

ถาม : แล้วพวกนี้เขาไม่รู้ว่าฝึกแล้วจะกลายเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เขารู้

ถาม : รู้แล้วจะฝึกทำไม ?
ตอบ : เขาชอบ แบบเดียวกับพวกรู้ว่าบุหรี่ไม่ดีแล้วไปสูบ ก็เขาชอบวิชาการพวกนั้น พวกนี้มีอะไรเขาศึกษาหมด เหมือนพวกเล่นพระเครื่อง เล่นแสตมป์ เขาชอบของเขา เราเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ แต่เขาชอบเขาก็ทำ

จริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ใฝ่รู้เสียด้วยซ้ำ รู้อยู่ว่าฝึกแล้วอาจจะเกิดโทษบางอย่างได้ แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองทำได้ ก็น่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ฆ่าคนได้ ทางด้านเหนือของเราเมื่อหลายปีก่อนมีครูบาเสือดำ ฝึกประเภทนี้จนกระทั่งแปลงเป็นเสือดำตัวใหญ่ได้ แต่ช่วงขึ้น ๑๔ - ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ จะกลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นช่วง ๑๓ ค่ำท่านจะเข้าไปอยู่ในป่าในถ้ำ พอพ้นวาระนั้นแล้วถึงกลับเข้ามาวัด

เถรี 18-01-2013 14:07

ถาม : จะแก้คืนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีวิธีนะ แต่ว่าเขาชอบ แล้วเขาจะไปแก้ทำไม ? อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มั่นใจตัวเองก็ไม่ฝึก ในเมื่อฝึกแล้วมั่นใจว่าควบคุมตัวเองได้ ยกเว้นกรรมเก่าบางอย่างมาพอดี ทำให้ไปฆ่าคนเข้าก็หมดสิทธิ์แก้คืน

ทางด้านเขมรเขามีเคล็ดในการแก้พวกเสือสมิงจากวิชาพวกนี้ว่า ถ้ายังไม่ได้ฆ่าคนให้ตีด้วยไม้คานก็จะกลับเป็นคน แต่ใครจะกล้าไปตีเสือด้วยไม้คานละ ? คือไปเจอพวกใจถึงที่ไปหาของป่า คราวนี้ตัวเองมีแต่มีดเหน็บ ก็สลัดของทิ้งแล้วเอาไม้คานตี ปรากฏว่าเสือกลายเป็นคน เขาก็เลยได้เคล็ดว่าต้องตีด้วยไม้คาน


ถาม : ถ้าตีด้วยไม้คานเขาจะกลับคืนร่าง ไม่เป็นเสือต่อไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าของขึ้นเดี๋ยวก็กลายเป็นเสืออีก ก็คืออย่างน้อยช่วยให้คืนเป็นคนได้บ้าง

ถาม : เป็นเพราะอำนาจสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นอภิญญาเสียด้วยซ้ำไป คือเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลในร่างคนให้เป็นการจัดเรียงโมเลกุลแบบเสือ เพียงแต่การเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนด้วยอำนาจจิต

เถรี 18-01-2013 14:33

พระอาจารย์พูดถึงปฏิทิน AIA ปีนี้ว่า "ท่านอาจารย์จักรพันธ์เอาแบบจากหน้าปกหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมา แล้วก็วาดรูปหลวงปู่ตามนั้น แต่รูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมีแบบให้วาด คือท่านอาจารย์จักรพันธ์มากราบหลวงพ่อขอดูตัวจริง แล้วก็ถ่ายรูปไป เอาภาพตัวจริงในความจำกับรูปถ่ายไปวาด ที่ขำก็คือแม่ของท่านอาจารย์จักรพันธ์มาเห็น “พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” ท่านอาจารย์จักรพันธ์บอกว่า "อยู่ครับ..ลูกศิษย์เยอะด้วย" แม่ท่านบอกว่า “พระหนุ่ม รูปหล่อ ปากหวานอย่างนี้ ส่วนใหญ่ไม่รอด โดนสาวเอาไปกินหมด ท่านอยู่มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?”

ท่านอาจารย์จักรพันธ์เพิ่งไปซ่อมรูปหลวงปู่หลวงพ่อที่วัดท่าซุงเมื่อไม่นานมานี้ ไปซ่อมสี เคลือบน้ำยาทับ แล้วก็ใส่กรอบใหม่ให้ เพราะว่ารูปหลวงปู่หลวงพ่อเขาติดไฟล้อมไว้ คราวนี้เปิดไฟทุกวัน ๆ ก็เท่ากับโดนแดดทุกวัน สีก็ซีดหมดสภาพ ยังดีว่าจิตรกรเก่ง ซ่อมแล้วออกมาเหมือนใหม่เลย

ในช่วงแรกท่านอาจารย์จักรพันธ์ยังไม่เคยวาดรูปพระสงฆ์ ก็วาดรูปหลวงปู่ปานเป็นรูปแรก แล้วก็รูปหลวงพ่อฤๅษี จะสังเกตว่ารูปที่วาดรุ่นแรกจะไม่มีลายเซ็น แต่คนเขาดูจะรู้ว่านี่ฝีมือท่านอาจารย์จักรพันธ์ พอมาวาดรูปหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่นหลังจากนั้นก็จะมีลายเซ็น มีวันที่ให้รู้ว่าวาดเสร็จเมื่อไร"

เถรี 18-01-2013 14:41

ถาม : ทำไมใช้คำว่า "อภิญญาสมาบัติ" ?
ตอบ : อภิญญาก็คือความรู้ที่ยิ่งกว่า สมาบัติก็คือการเข้าถึง การเข้าถึงความรู้ที่ยิ่งกว่าปกติ

ถาม : อย่างบางท่านได้สมาบัติ คือทำปฐมฌานให้คล่องแล้วตั้งกำหนดเวลา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่า ปฐมสมาบัติ แต่อภิญญาต้องแสดงฤทธิ์ได้ ถ้าไม่มีสมาบัติเป็นพื้นฐาน อภิญญาก็ไม่เกิด ก็คืออภิญญาทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากฌาน โดยเฉพาะต้องเป็นฌาน ๔ ด้วย เขาก็เลยใช้คำว่าอภิญญาสมาบัติ

ถาม : ต้องถึงวสีหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงวสีก็ได้ แต่ช้าหน่อย อธิษฐาน ๓ - ๔ รอบก็ได้ แต่ขอให้ทำได้ก็แล้วกัน ถ้าถึงวสีนี่เป็นประเภทกันกิเลสทัน เพราะว่าทันทีที่รู้ตัวกิเลสจะกำเริบแล้ว ก็เข้าอภิญญาสมาบัติ กดกิเลสให้เงียบสนิทไว้

ถาม : ฌานสี่ต้องภาวนาทั้งวันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าคนทำได้ต่อให้นั่งคุยกันเขาก็ทรงฌานสี่ได้ นั่งภาวนาทั้งวันนั่นเด็กหัดใหม่ คือทำอะไรอยู่ก็ตาม กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้เหมือนกับทรงฌาน ๔ เพราะฉะนั้น..เขาถึงได้เรียกว่าฌานใช้งาน

เถรี 18-01-2013 14:43

ถาม : คำว่ารูปขันธ์ คือ ?
ตอบ : ร่างกายของเรานี่แหละ ทุกอย่าง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ สามารถจับได้ต้องได้เป็นรูปธรรม บางคนก็เรียกว่ารูป แต่คำว่ารูปขันธ์คือกองรวมแห่งรูป

ถาม : ทำไมเขาเรียกว่า "ขันธ์" ?
ตอบ : เกิดจากการรวมตัวของดิน น้ำ ไฟ ลม ขันธะแปลว่ารวม , รวมหมู่ เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมหมู่ขึ้นมาเป็นวัตถุธาตุชิ้นนั้น ๆ จึงเรียกว่ารูปขันธ์ มัวแต่ไปวิเคราะห์รากศัพท์อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ให้ฟังรู้เรื่องก็พอ

ถาม : แปลว่าสัตว์ที่เกิดต้องมีการปรุงแต่ง ?
ตอบ : ต้องมี..ถ้าไม่มีไม่มาเกิดหรอก โดยเฉพาะการปรุงแต่งของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม หรือกุศลกรรม

ถาม : การเกิดตามสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องกรรมไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า อุตุนิยาม เกิดจากผลกรรมที่ทำมา แล้วขณะเดียวกันก็เกิดจากเจตจำนงของตนก็ได้ เกิดจากงานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก็ได้ จัดว่าอยู่ในเจตจำนงเหมือนกัน จึงต้องไปลงตรงนั้น

เถรี 18-01-2013 21:20

ถาม : เดิมผมติดนิสัยนั่งหลังค่อม อย่างหลวงปู่ทวดในรูป ?
ตอบ : ไอ้นี่โทษหลวงปู่..! หลวงปู่เป็นพระแก่อายุ ๙๐ กว่าปี ท่านไม่มีกำลังก็นั่งหลังค่อมเป็นธรรมดาของคนแก่ ตัวเองอายุเพิ่งจะ ๒๐ ปี นั่งไม่ดีเองแล้วไปโทษหลวงปู่...

ถาม : ผมเพิ่งจะฝึกนั่งหลังตรง ก็ยังฝืน ๆ อยู่ ถ้านั่งจนชินแล้ว จะเลิกพะวงเรื่องหลังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านั่งจนเคยชินแล้วก็จะไม่นึกถึง

ถาม : แล้วต้องทำนานแค่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราฝึกหัดอย่างไร อย่างอาตมานั่งเมื่อไรก็ต้องเคยชินแบบนี้ นึกถึงหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านอายุ ๙๐ กว่าปียังนั่งตัวตรงเป๊ะ นั่นคือฝึกมาถูกต้องตามแบบฝึกเลย ท่านเป็นอมตะเถราจารย์ของนครปฐม ดังช้าที่สุด..มาดังตอนอายุ ๙๐ ปี แต่ดังแล้วไม่ยอมดับกับใคร เมื่อท่านมรณภาพเขาไล่ตั้งแต่วันมรณภาพ อายุมรณภาพ เวลามรณภาพ ทุกอย่างออกเป็นหวยหมด ลูกศิษย์รวยกันไม่รู้เรื่อง

ถาม : เห็นพระวัดท่าขนุนนั่งคุกเข่าท่าเทพบุตรได้นานเหลือเกิน ไม่ทราบว่ามีวิธีให้นั่งได้นาน ๆ อย่างไร ?
ตอบ : ทำบ่อย ๆ เท่านั้นเอง พระเขาบังคับอยู่แล้ว การทำวัตรเช้าเย็น เริ่มตั้งแต่โยโสฯ ไป ถ้ายังขอขมาไม่เสร็จก็ต้องนั่งคุกเข่าอยู่ท่านั้นแหละ ในเมื่อวิธีการสวดเขาบังคับอยู่ในตัว ก็เท่ากับฝึกอยู่ทุกวัน ทุกอย่างอยู่ที่การฝึก สำคัญที่จะเพียรพยายามจริงหรือเปล่า ?

เถรี 18-01-2013 21:29

ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายมีนม ยังบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ก็มีกันทุกคนด้วย แม้กระทั่งอาตมาก็มี ไม่มีแล้วจะบวชได้อย่างไรเพราะไม่ครบ ๓๒ เว้นแต่ว่าถ้ามีเยอะไปหน่อยก็ต้องระวังผู้หญิงเขาอิจฉา..!

ถาม : แล้วถ้าผู้ชายนิสัยผู้หญิง ?
ตอบ : บวชได้...เขาไม่ได้ห้าม ขอให้คำนำหน้าเป็นนายก็ใช้ได้ แต่อย่าไปเดินบิดสะโพกให้คนอื่นเขาดู

ถาม : ถ้าบวชที่ท่าขนุน ท่านจะกำหนดพระอุปัชฌาย์ให้เองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าจะบวชเมื่อไร ถ้าบวชช่วงเข้าพรรษาพระอุปัชฌาย์ก็มักจะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ถ้าบวชวาระอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าคณะตำบลแถว ๆ นั้น

ถาม : ถ้าบวชเป็นการส่วนตัว เสียเท่าไรครับ ?
ตอบ : เตรียมไว้ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด อะไรทำนองนั้น แต่บวช ๑๐ คนก็ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท เพราะมีแค่ผ้าไตรกับบาตรที่เพิ่มเข้ามา อาตมาจึงนิยมจัดอุปสมบทหมู่ เพราะว่าบวชหมู่ได้กำไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ชุดเดิมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าอยากดังบวชเองคนเดียวก็เอาเลย จ่ายกันหูตูบ..!

เถรี 18-01-2013 22:03

ถาม : พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชาติที่จะตรัสรู้บุญบารมีทุกอย่างจะมารวมตัวกันใช่ไหมครับ แล้วอกุศลกรรมในอดีตที่ระหว่างท่านบำเพ็ญบารมีจะมารวมเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : คำถามนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาเกิดไม่ทันตั้งเยอะ..!

ถ้าจะดูอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปอ่านในพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่าที่พระองค์ท่านโดนไปแต่ละอย่างนั้น เกิดจากการที่พระองค์ท่านทำอะไรไว้บ้าง ไปอ่านพระไตรปิฎกดู อยู่ในอรรถกถาพุทธวงศ์ ขุททกนิกายตอนท้าย ๆ ของสุตตันตปิฎก เอาฉบับของมหามกุฏฯ ก็ได้ จะมีจริยาปิฎกกับพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่ามหาโพธิสัตว์ก่อนที่จะมาอนุเคราะห์สงเคราะห์คนได้นั้น ท่านต้องเจอมาสาหัสขนาดไหน

เป็นที่น่าอัศจรรย์คือท่านไม่ท้อเลย โดนเท่าไรไม่มีหยุด สิ่งนี้น่าจะเป็นเพราะท่านมีหลักธรรมประจำใจ เพราะว่าแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่เป้าหมายของท่านก็คือทำดีเพื่อส่วนรวม และพยายามสอนคนอื่นให้ดีด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านต้องมีหลักธรรมเป็นปกติที่ยึดถืออยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะแต่ละชาติ เกิดมาแล้วต้องสร้างบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นหลักธรรมที่พระองค์ท่านนำไปสั่งสอนคนหมู่มากได้ ในเมื่อมีหลักธรรมอยู่ในใจ
ท่านมั่่นใจในความดีของท่าน โดนเท่าไรจึงไม่ถอย ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรต้องมั่นใจในความดีเหมือนกัน

มั่นใจในความดีกับถือดี คนละเรื่องเลยนะ ดีเหมือนกัน..แต่ถือดีคือเอาดีไว้อวด มั่นใจในความดีคือสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ โบราณเขามีเชื่อดีอีกอย่าง เชื่อดี ก็คือเชื่อความดี เชื่อความรู้ เชื่อคุณครูบาอาจารย์ เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อพระรัตนตรัย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกป้องคุ้มครองเราได้ ฉะนั้น..คนที่เชื่อดีก็ไม่ค่อยกลัวอะไรเพราะมีดี อย่างพวกเรายึดถือวัตถุมงคลก็เป็นการเชื่อดีอย่างหนึ่ง เคารพครูบาอาจารย์ยึดท่านเป็นสรณะในชีวิตก็เป็นการเชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่สำคัญที่สุดก็คือปฏิบัติธรรมให้เกิดผล ก็เชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง

ชักจะว่าไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เฉพาะคำว่า "พอ" คำเดียว ท่านกว้านมาซะเยอะเลย

พอมี...พอได้...พอเป็น
พอเย็น..พออยู่..พอไหว
พอพ้น...พอตน...พอใจ
พอใหญ่..พอยอ..พอแล้ว
..จบ..

เถรี 20-01-2013 12:27

ถาม : พระที่เข้านิโรธกรรม..?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าตามแนวของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อย่างน้อย ๆ ก็เข้า ๗ วัน ถ้าเป็นนิโรธสมาบัติจริง ๆ ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ปานกลาง ก็คืออย่าให้เกิน ๑๕ วัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวร่างกายขาดอาหารมาก จะฟื้นตัวช้า

โยคีที่อินเดียมีเยอะแยะที่อยู่ด้วยธรรมปีติ อยู่กันทั้งปีทั้งชาติ บางรายก็อยู่มาหลาย ๑๐ ปี บางรายปีหนึ่งออกมาจากถ้ำมาหาลูกศิษย์ครั้งหนึ่ง เขาเอาข้าวของมาถวายสักการะเต็มหน้าถ้ำไปหมด ท่านก็ไปเดินมอง หยิบขนมปังกรอบสักชิ้นมาใส่ปากแล้วก็ไป อีกปีค่อยออกมาใหม่ กรณีนี้ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ แต่อยู่ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ อยู่ด้วยธรรมปีติ ร่างกายเขาดึงเอาดินน้ำลมไฟรอบข้างเข้าไปเสริมเอง ไม่ต้องเสียเวลากิน


ถาม : แล้วมีองค์ใดบ้างที่เข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : องค์ที่เข้านิโรธสมาบัติท้ายสุดที่พวกเราไปเห่อคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย พระที่เข้านิโรธสมาบัติมีระเบียบอยู่ว่า จะต้องบอกเพื่อนพระให้ทราบเอาไว้ ให้คณะสงฆ์รู้ว่าท่านทำอะไร จะได้ไม่เรียกใช้งาน ฉะนั้น..จะไปเข้าเงียบ ๆ คนเดียวไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องบอกใครสักคน

ถาม : สมัยหลวงปู่ปานมีใครบ้างไหมคะ ?
ตอบ : สมัยหลวงปู่ปานมีหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา สมัยของเราก็มีหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ส่วนอาตมาถนัดพิโรธสมาบัติ เป็นที่เลื่องลือมาก เผลอเมื่อไรโดน..!

เถรี 20-01-2013 12:37

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานตอนไปงานศพท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี อาตมาเอารายงานการปฏิบัติงานของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ไปถวายท่านเจ้าคุณพระราชวรเวที รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ด้วย

งานสุดท้ายก็คือสวดมนต์ข้ามปี พอท่านเปิดดูรูปแล้วว่า "คนไปเยอะนี่..เฉพาะแถวนั้นหรือ ?" จึงกราบเรียนท่านว่า เป็นคนพื้นที่และคนกรุงเทพฯ ประมาณอย่างละครึ่ง ท่านว่าอยู่ไกลขนาดนั้นไม่นึกว่าคนจะเยอะ คือในเขตภาค ๑๔ นั้น วัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องส่งรายงานทั้งหมด ไม่รู้ว่าเขตภาคอื่นเขาจะส่งกันหรือเปล่า เพราะว่ารองภาคฯ ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะภาค ให้รับผิดชอบงานด้านการปฏิบัติธรรมโดยตรง

เอาไว้งานฉลองบ้านวิริยบารมี อาตมาจะนิมนต์ท่านมา ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ต้องบอกว่าได้ระดับทีเดียว ถ้าให้ท่านบรรยายธรรมนี่ นั่งลงเมื่อไรก็ ๓ - ๔ ชั่วโมง ท่านว่าของท่านว่าไปได้เรื่อย ๆ

ระดับรองเจ้าคณะภาคสนใจเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจมาก ทางภาค ๑๖ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี วัดดุสิดาราม นี่ก็สุดยอดนักปฏิบัติเหมือนกัน ท่านแม่นบาลีมาก โดยเฉพาะพระไตรปิฎก พอยกพระไตรปิฎกขึ้นมา ท่านจะบอกเล่ม บอกข้อ บอกหน้าได้เลย แอบจดไปเปิดดู ตรงทุกที อาตมาว่าตัวเองหัวคอมพิวเตอร์แล้วนะ ปรากฏว่าของท่าน Ram เยอะกว่า..!

เถรี 20-01-2013 12:43

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงปู่ธรรมชัยนำผ้าไตรกฐินไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาเทินศีรษะไป ก็คือเอาศีรษะเป็นพาน ตอนท่านเทินไปถวายน่ารักเชียว เรียกว่าน้อมถวายด้วยเศียรเกล้าจริง ๆ เพราะว่าต้องยื่นไปทั้งหัว ลองนึกถึงหลวงปู่อายุ ๗๐ ปีแล้ว เอาของใส่หัวไปถวายหลวงพ่อ นึกถึงทีไรก็ปลื้มใจทุกที"

เถรี 20-01-2013 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริง ๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้าย ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือการหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"

เถรี 20-01-2013 20:59

มีโยมมาถวายสังฆทานอุทิศให้แม่ โดยนำรูปแม่มาด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอารูปแม่ตอนสาวพริ้งมาเลย แต่ตอนที่แม่มาโมทนานี่แก่งั่ก แม่ตายตอนอายุ ๗๑ ปี แสดงว่าตอนที่มานี่คงจะ ๗๑ ปี เล่นเอาอาตมาต้องเหลือบมองดูรูป ๒ ที ว่าใช่หรือเปล่า ส่วนใหญ่เขาจะแสดงภาพช่วงสุดท้ายให้ เพราะลูกหลานเขาจะคุ้นเคย แต่ลูกหลานดันเอาภาพอีกสมัยหนึ่งมา

เมื่อหลายปีก่อน ตอนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ มีโยม ๒ คนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งมาทำบุญให้พ่อ อีกคนหนึ่งมาทำบุญให้ผัว อาตมาก็ถามว่า "เฮ้ย...ลูกอายุเท่านี้ ทำไมพ่อแกแก่ขนาดนี้วะ ?" อีกคนร้อง "ว้าย..นั่นผัวหนูค่ะ" สรุปว่าได้ผัวแก่..แกยอมสารภาพเอง..!

โลกอื่นดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่หลอกกัน แต่บางทีก็ทำให้เราเข้าใจผิดหลงทางได้ง่าย ๆ ถ้าถามอะไรเขาก็บอกตรง ๆ ไม่โกหก เป็นเรื่องที่น่าสลดใจว่ามีแต่โลกมนุษย์เราเท่านั้นที่โกหก

ส่วนใหญ่คนที่ตายไป ถ้าเราทำบุญแล้วนึกถึงท่าน ถ้ามาได้อยู่ในที่ไม่ลำบาก เขาก็มักจะมาโมทนา ที่ว่าไม่ลำบากอย่างแรกคือเป็นสัมภเวสี สัมภเวสียังไม่ได้เวลาไปรับความดีความชั่ว เพราะอายุความเป็นมนุษย์ยังไม่หมด ถ้าลูกหลานรู้จักทำบุญให้ก็สบาย มีความสุขคล้าย ๆ กับเทวดานางฟ้า รอเวลาหมดอายุจากมนุษย์ซึ่งก็นิดเดียวของที่นั่น สมมติว่าเหลือเวลามนุษย์อีก ๕๐ ปี ก็วันเดียวของที่นั่น แต่ถ้าอดข้าววันหนึ่งก็ลำบากนะ ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญให้ก็ลำบาก

อีกประเภทคืออสุรกาย แต่ว่ามีอสุรกายจำพวกหนึ่งคือนิรยอสุรกาย โมทนาไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในโลกันตนรก...

พวกที่ได้แน่ ๆ คือปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้จ้องคอยโอกาสเลย เห็นญาติทำบุญเป็นวิ่งใส่ ถ้าญาติลืมอุทิศส่วนกุศล หรือไม่ทำบุญเสียที ก็ร้องไห้คร่ำครวญ บางทีก็ดังถึงหูคนทั่วไปด้วย..!"

เถรี 20-01-2013 21:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่ต้องจ่ายแน่ ๆ ก็คือค่าเทคอนกรีตหน้าสมเด็จองค์ปฐม อาตมาสั่งเขาเทหนาเท่ากับถนนมาตรฐานเลย กะว่าให้สิบแปดล้อขึ้นไปขย่มได้ ๗ พันกว่าตารางเมตร คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ ๖ ล้านบาท ถ้าใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วบูชาพระชัยวัฒน์ชุดกรรมการไป ก็แปลว่าเป็นเจ้าภาพเทคอนกรีตรอบสมเด็จองค์ปฐมไปเต็ม ๆ เลย

สมัยที่หลวงพ่อท่านเทคอนกรีตหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ลูกศิษย์ถามถึงอานิสงส์ หลวงพ่อก็ไม่ทราบ ต้องกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า "ชีวิตจะได้ไม่เสื่อมไม่ทรุด" ก็มีคอนกรีตหนาปานนั้นคอยรองรับอยู่แล้ว

ทิดกวางเขาเรียกว่า "งานสัมภเวสี" ก็คือ พวกงานจรที่มาโดยไม่ได้คิดถึง เขาบอกบรรดาเพื่อน ๆ ทิดทั้งหลายว่า "เฮ้ย ๆ หลวงพ่อมีงานสัมภเวสีอีกแล้ว ถ้าเอ็งไม่ได้ไปวัดอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็จำวัดไม่ได้อีกหรอก"

เถรี 20-01-2013 21:15

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่อไปตัวเองกำลังกิน ๆ อยู่ ก็คงมีคนแย่งจานข้าวไปซึ่ง ๆ หน้า หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านไปธุดงค์แล้ววาระกรรมเข้ามา กว่าท่านจะเดินทะลุป่าไปถึงหมู่บ้านก็เลยเที่ยงไปแล้ว ท่านก็เลยอดข้าว วันที่ ๑ ผ่านไปก็ไม่เป็นไร เดินทางต่อ ไปค้างคืนกลางป่า วันที่ ๒ เดินไปไม่ไกล เจอหมู่บ้านก็คิดว่าตัวเองฉันมื้อเดียว เดี๋ยวไปอีกหมู่บ้านหนึ่งแล้วค่อยบิณฑบาต ปรากฏว่าเดินยันค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้าน

วันที่ ๓ เดินไปหน่อยเจอหมู่บ้าน คราวนี้บิณฑบาตตั้งแต่เช้าเลย ปรากฏว่าบิณฑบาตเสร็จ ปูผ้าลง เพิ่งเปิบข้าวเข้าปากคำเดียว มีช้างตกมันหลุดวิ่งมา ท่านก็ต้องลุกเผ่นออกจากทาง เพื่อให้ช้างวิ่งผ่านไป คราวนี้พระธุดงค์ท่านถือการฉันอาสนะเดียว ในเมื่อฉันไปคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นก็แปลว่าอด ๓ วันได้ฉัน ๑ คำ วันที่ ๔ กว่าไปถึงบ้านโยมก็เพลกว่า ๆ โยมเห็นพระอดมาก็สงสาร ลุกขึ้นหุงข้าวต้มแกงเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าหลวงปู่เป็นลม..! ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยงก็เลยอดต่อไป โอ้โห...กรรมอะไรจะดุเดือดปานนั้น สรุปว่ากว่าจะได้ฉัน โน่น..วันที่ ๖ เวลาวาระกรรมเข้าได้นี่เขาใส่ไม่เลี้ยงเลย

หลวงปู่ครูบาธรรมชัยไปภาวนาในป่าช้า ช้างตกมันหลุดปลอกมาเหมือนกัน ไปวน ๆ อยู่แถว ๆ หลวงปู่ ชาวบ้านก็ไม่กล้าเอาอาหารเข้าไปถวาย ช้างวนอยู่แถวนั้น ๗ วัน ใครมาโดนไล่กระจายหมด พอวันที่ ๘ ช้างก็ไป ชาวบ้านถึงเอาอาหารมาถวายหลวงปู่ได้ ท่านอดมา ๗ วันเต็ม ๆ

ชาวบ้านถามว่า "หลวงปู่ทำกรรมอะไรไว้ครับ ?" ท่านบอกชาติก่อนเคยไปตกปลอกมันเอาไว้ คือช้างตัวนั้นในอดีตก็เป็นช้าง หลวงปู่เห็นว่าตกมันก็เอาโซ่ล่ามไว้ ให้อดอาหารอยู่ ๗ วันจนกระทั่งหายตกมัน ปรากฏว่ามาชาตินั้นท่านบวชพระแล้ว ไอ้นั่นยังเป็นช้างอยู่ ถึงเวลาก็มาเอาคืน ๗ วันเหมือนกัน

เรื่องของวาระกรรม ถ้าไม่เนื่องกันมาก็ไม่เจออย่างนี้ ท้ายสุดก็ต้องเจอจนได้ หลวงปู่ครูบาพรหมจักรนั้นท่านสาหัสจริง ๆ กว่าจะได้ฉันที ๕ - ๖ วัน แล้วมีการมาล่อให้อยากด้วยนะ ให้ฉันได้ไปคำหนึ่ง คนอดข้าวมา ๓ วันได้ไปคำหนึ่งแล้วอดต่ออีก ๒ วันนี่สาหัสเลย..!

เถรี 20-01-2013 21:24

ไปนึกถึงพระธรรมบทที่พระเถระรูปหนึ่งในชีวิตได้ฉันอิ่มครั้งเดียว แม่ของท่านเป็นขอทาน ทันทีที่จุติเข้าท้องแม่ คณะขอทานไม่มีใครขอได้เลย อดไปตาม ๆ กัน หัวหน้าขอทานเขาฉลาด เขาจึงแบ่งคนเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มไหนที่แม่ท่านไปด้วยอดตลอด เขาก็แบ่งครึ่งไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดแม่ของท่านขอทานใครไม่ได้เลย หัวหน้าขอทานจึงให้อยู่เฉย ๆ แล้วคนอื่นเอามาเลี้ยง

พอคลอดออกมาแม่ก็พยายามเลี้ยงดู โตพอหากินเองได้ แม่ก็เอาถ้วยแตกใส่มือ ให้ไปหากินเอง เพราะถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปจะทำให้หมู่คณะเขาเดือดร้อนมาก ท่านก็ไปรออยู่แถวบ้านเศรษฐี รอเวลาเขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ถ้าเขาทิ้งเป็นชิ้นใหญ่ ๆ จะมองไม่เห็น ถ้าเขาล้างถ้วยล้างชามแล้วสาดไว้เป็นเม็ดข้าวจะเห็น แล้วก็เก็บกินได้ไม่เกิน ๗ เม็ด..!

พอเก็บกินไปถึงเม็ดที่ ๗ ก็จะมีหมามาไล่ มีคนมาไล่ทุกครั้ง ท่านอยู่ด้วยแรงกรรรมจริง ๆ กรรมที่เคยทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอด อยู่ด้วยแรงกรรมจริง ๆ กินแค่นั้นแต่อยู่ได้ จนกระทั่งไปพบพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็เมตตาบวชให้เพราะสงสาร ปรากฏว่าบิณฑบาตมาไม่มีใครใส่บาตรเลย

พอถึงเวลาบิณฑบาตท่านเดินตามหลัง เขาใส่บาตรจากข้างหน้า มาถึงท่านอาหารก็หมด พระอุปัชฌาย์ก็ให้เดินหน้า ชาวบ้านก็นึกได้ว่าวันก่อนใส่จากข้างหน้ามาไม่ถึงพระข้างหลัง อาหารหมดก่อน วันนี้ก็เลยใส่จากข้างหลังมา แต่ไม่ถึงข้างหน้าก็หมดอีก พอพระอุปัชฌาย์ให้ท่านยืนอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเห็นว่าวันก่อนใส่หัวไม่ถึงท้าย ใส่ท้ายไม่ถึงหัว วันนี้เลยใส่หัวท้ายพร้อมกัน มาถึงตรงกลางอาหารหมดอีก..!

กรรมของท่านสาหัสจริง ๆ จนกระทั่งพระสารีบุตรท่านสงสาร ไปบิณฑบาตมาถวายเอง พอวางบาตรลง ท่านก็มองไม่เห็นอาหาร เห็นเป็นบาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรเห็นว่าแรงกรรมหนักขนาดนั้น จึงเอามือจับบาตรไว้ให้ท่านล้วงอาหาร พอพระสารีบุตรจับบาตรท่านถึงได้เห็นอาหาร ตกลงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นแหละ พอกินอิ่มร่างกายสบายขึ้นมา ก็เลยพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาบวชแล้ว ก็มีแต่ความทุกข์ความยากมาตลอด ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว

ตัดใจได้วันนั้นก็ไปพระนิพพานวันนั้น ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คิดว่าท่านกินอิ่มจนท้องแตกตาย แต่ความจริงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นครั้งเดียวจริง ๆ

เถรี 20-01-2013 21:26

เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นว่า เรื่องกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลนั้นน่ากลัวมาก ถึงวาระเขาส่งผลของเขาเต็มที่ ถ้าเราทำไว้มาก ถึงเวลาผลกรรมส่งมาก็หนักหนาสาหัส แล้วแรงกรรมบันดาลก็สุดยอดจริง ๆ ไม่ได้กินมาเนิ่นนานปานนั้น ก็ยังอุตส่าห์อยู่มา ๒๐ กว่าปี กินข้าววันละ ๗ เม็ดท่านก็อยู่ได้ เป็นเราไหวไหม ?

รู้สึกว่าท่านจะแกล้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ให้ฉันอาหาร เอาของสกปรกใส่ปนลงไปยังไม่พอ เวลาเขาใส่บาตรแล้วบอกให้ท่านเอาไปถวายพระคุณเจ้ายังที่อยู่ ก็แอบกินเอง กินเหลือก็เททิ้ง แรงกรรมก็เลยสาหัส นั่นตกนรกมาแล้วนะ เศษกรรมยังล่อเสียอ่วมอรทัยไปเลย

เถรี 23-01-2013 08:56

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูข่าว เมิ่งเพ่ยเจี๋ย สาวจีนอายุ ๒๐ ปี เรียนมหาวิทยาลัย ดูแล หลิวฟางอิง แม่บุญธรรมที่เป็นอัมพาตมา ๑๐ กว่าปีแล้ว แม่แท้ ๆ ยกเมิ่งเพ่ยเจี๋ยให้เป็นลูกบุญธรรมของหลิวฟางอิงตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ แล้วแม่แท้ ๆ ก็ตาย พอไปอยู่กับแม่บุญธรรมได้ ๓ ปี หลิวฟางอิงก็เป็นอัมพาต พ่อบุญธรรมก็ทิ้งหลิวฟางอิงและลูกเลี้ยงไป เมิ่งเพ่ยเจี๋ยจึงต้องคอยดูแลแม่บุญธรรมมาตลอด เรียนหนังสือไปดูแลไป ตอนเช้าอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าวให้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็วิ่งไปโรงเรียน พักเที่ยงก็วิ่งกลับมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าวเสร็จก็วิ่งไปเรียนหนังสือต่อ

พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยห่างจากที่พัก ๑๐๐ กว่ากิโลเมตร ก็ต้องใช้วิธีแบกแม่บุญธรรมไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็คอยดูแลอยู่ จนกระทั่งเพื่อน ๆ รู้ เลยเอาเรื่องไปลงอินเตอร์เน็ต เขาโหวตให้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด คำว่าสวยคือน้ำใจดี มีการส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ต่อ ๆ กันมา

หลิวฟางอิงบอกว่า ฉันมีโอกาสดูแลเขาอยู่ ๓ ปี แต่เขาดูแลฉันมา ๑๐ กว่าปีแล้ว วัน ๆ เมิ่งเพ่ยเจี๋ยช่วยแม่ออกกำลัง จับแม่ลุกนั่ง หวังว่าแม่จะหาย จนตัวเองผอมกะหร่องเลย"

เถรี 23-01-2013 09:46

ถาม : การที่เดินไปด้วยแล้วกำหนดก้าวย่างหนอ เดินย่างหนอ อารมณ์จะเป็นฌานได้หรือครับ ?
ตอบ : กี่สิบอารมณ์ก็เป็นได้ สำคัญว่าเรามีความคล่องตัวหรือเปล่า

ถาม : ถ้าไม่มีความคล่องตัว ?
ตอบ : ถ้าไม่มีความคล่องตัวก้าวยังไม่ออกเลย พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทร่างกายเริ่มแยกออกจากกัน ก็จะเดินไม่ได้

ถาม : ถ้าคนที่ฝึกใหม่ ก็ไม่ควรไปฝึกเพิ่ม ?
ตอบ : ต้องเอาของเดิมเป็นหลักไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยซักซ้อมของใหม่

เถรี 23-01-2013 09:58

ถาม : เวลาพระท่านทำน้ำมนต์ ท่านใช้สมาธิอย่างไร ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าสายการปฏิบัติของท่านทำมาอย่างไร

ถาม : ต้องใช้กสิณน้ำโดยเฉพาะหรือครับ ?
ตอบ : ใครได้สมาธิก็ใช้สมาธิ ใครได้กสิณก็ใช้กสิณ แต่สายวัดท่าซุงท่านให้ขอบารมีพระแทน

เถรี 23-01-2013 10:27

ถาม : เวลาเจริญอานาปานสติแล้วเดินเตโชกสิณ ท่านบอกว่าจะต้องทรงกรรมฐานอานาปานสติไว้ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เตโชกสิณเริ่มจากไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าการภาวนาก็ต้องควบกับลมหายใจอยู่แล้ว ต่อให้ไปเริ่มต้นนับ ๑ ในอานาปานสติ ถึงเวลาถ้าอุคหนิมิตเกิดก็คือเริ่มได้สมาธิแล้ว

ถาม : จะทำอรูปฌาน ก็ต้องเพิกปฏิภาคนิมิตตอนถึงฌานสี่แล้วค่อยพิจารณาหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน แค่อุปจารสมาธิก็พอแล้ว อย่าไปเพิกภาพเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นจะพิจารณาไม่ได้ พอภาพชัดเจนแจ่มใสแล้วค่อยเพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังสมาธิจะดิ่งลึกลงไป พอเข้าไปถึงฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าสำเร็จอรูปฌานชั้นนั้น

ถาม : การเพิกนิมิต ?
ตอบ : นิมิตที่จะใช้ในอรูปฌานต้องเป็นนิมิตในกสิณทั้ง ๘ กองเท่านั้น คนที่มีความสามารถสูง ๆ ถึงจะทำกองที่ ๙ คือ อาโลกกสิณได้ แต่อากาสกสิณเก่งแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอากาสกสิณมีสภาพคล้ายคลึงกับอากาสานัญจายตนฌานอยู่แล้ว

เถรี 23-01-2013 10:36

ถาม : พระธุดงค์ที่ไปนั่งกรรมฐานตอนกลางคืน เขาบอกว่าจะมีแร่ที่มีพลังงานมาส่งเสริมการปฏิบัติ จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าความกลัวช่วยส่งเสริมมากที่สุด อย่างอื่นยังเป็นรอง สถานที่สัปปายะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้อยู่แล้ว คือสถานที่ซึ่งเหมาะสมกับแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ถ้าคนไหนเหมาะสมกับสถานที่อย่างไร ได้ไปสถานที่นั้นก็จะหนุนเสริมการปฏิบัติได้ดี

เถรี 23-01-2013 11:30

ถาม : ในภาวะปกติ ถ้าเราเข้าใจว่าเรากลัวอะไร...?
ตอบ : สรุปทุกอย่างว่าเรากลัวตาย ถ้าแก้ตัวกลัวตายได้ก็เลิกกลัวทุกอย่าง ดูตอนข่าวลือโลกแตกที่ผ่านมาก็พอ

ถาม : แสดงว่าเขาไม่ศรัทธาคำสอนพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : บางคนศรัทธาอยู่ แต่ความกลัวตายมีมากกว่าเลยไปบดบังสติปัญญา ในเมื่อสติปัญญาโดนบดบังก็ไหลไปตามกระแสข่าวลือ ก็ที่พระครูปลัดปรีชาอุตส่าห์เตรียมไฟแช็ก เตรียมถ่าน เตรียมเทียนไขไว้ในเป้ แล้วมาถามว่าอาจารย์เตรียมไว้บ้างหรือเปล่า ? อาจารย์ไม่ได้เตรียมอะไรเลย

พระครูปลัดบอกว่าที่น่ากลัวไม่ใช่โลกแตก แต่เป็นพายุสุริยะ ถ้าวูบมาได้ความร้อนระดับนั้นก็ประเภททีเดียวสุกเลย อาตมาบอกว่า "อ๋อ..อย่างนั้นยิ่งไม่น่ากลัวใหญ่ ตายแบบไม่รู้ตัวจะต้องไปกลัวอะไร" สรุปแล้วคนกล้าตายครั้งเดียว คนกลัวนี่ตายหลายครั้ง กลัวแล้วกลัวอีก

เถรี 23-01-2013 11:44

ถาม : ช่วงหมดลมหายใจมีระยะเวลาให้คิดพิจารณาว่าจะไปไหนใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องได้รับการฝึกมามากพอ ถ้าไม่ได้รับการฝึกมามากพอ สภาพจิตไม่มีที่เกาะ เคว้งคว้างไปไม่ถูก ก็จะโดนแรงกรรมที่เป็นอาสันนกรรมดึงไปได้ แต่ถ้าได้รับการฝึกมามากพอ มีเป้าหมายที่แน่นอน สภาพจิตก็จะไปตามนั้น ช่วงหมดลมหายใจแล้วสภาพจิตยังรับรู้อยู่

ถาม : น่าฝึกลองตาย
ตอบ : ต้องลองตาย

ถาม : ถ้าไม่ถึงอายุขัยเราก็ลองได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ถึงอายุขัยหรอกแต่ถ้าอุปฆาตกรรมมา ไปยาวเลย อาตมาเคยตั้งใจดูว่าตายแล้วจิตจะออกไปตอนไหน ปรากฏว่าใจจดจ่อมากไม่กลับไปไหนเลย อยู่อย่างนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่ร่างหมดลมไปตั้งหลายชั่วโมงก็อยู่แค่นั้น ไปจ้องมากคงจะอาย กลัวเราจะรู้ว่าไปอย่างไร

ช่วงนั้นอาการไข้กำเริบมาก รู้สึกเหมือนกับไฟธาตุหมด เย็นจากมือจากเท้า เย็นเข้ามา ๆ พอความเย็นลามมาถึงตัวถึงอกก็รู้ว่าไม่รอดแน่แล้ว จึงตั้งใจดูว่าจะตายอย่างไร คราวนี้พอความเย็นมากขึ้น ๆ เกิดเกิดนิมิตหลอนเหมือนกับจมน้ำ เพราะว่าพอรู้สึกเย็นก็เหมือนกับว่าตัวเราจมน้ำ พอน้ำท่วมจมูกมิดคือตอนที่ร่างกายหยุดหายใจแล้ว ก็คอยดูว่าจะไปอย่างไร

ความรู้สึกเหมือนกับว่าดิ่งลง ๆ จนกระทั่งกระทบพื้น เหมือนกับจมจนกระทั่งถึงก้นแม่น้ำ แล้วค่อย ๆ ลอยขึ้น ๆ พอจมูกพ้นน้ำ ร่างกายก็กระตุกเฮือกหายใจเอง คราวนี้พอประสาทร่างกายกลับคืนมาสมบูรณ์ ลืมตามาดูนาฬิกาเกือบตีห้า ตอนเริ่มเป็นดูนาฬิกาอยู่ที่ห้าทุ่มกว่า ตั้งใจดูว่าจะไปตอนไหน

ตอนช่วงที่อยู่ในน้ำก็รู้สึกตลอด ไปตอนที่แตะพื้นรู้สึกมากที่สุดเลย เหมือนกับโคลนเละ ๆ เย็น ๆ เย็นเจี๊ยบเลย ลองตายดูได้จ้ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก

ทางด้านสายทิเบตมีการฝึกลองตาย เขาใช้เชือกรัดคอตัวเองแล้วก็โยงกับขา เหยียดออกไปให้รัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่บางคนหดกลับมาไม่ทัน เลย ตายจริง ๆ เขาจะฝึกดูว่าสภาพจิตมีการกลัวตายไหม ระหว่างนั้นมีความมั่นคงต่อสิ่งที่ตนเองฝึกปรือมาหรือเปล่า เขาเลยผูกล่ามกับขาตัวเองในลักษณะงอเข่าแล้วค่อย ๆ เหยียดออกไป เชือกที่รัดคอไว้ก็ตึงขึ้นเรื่อย ๆ ที่เขาผูกก็คือเล่นผูกอ้อมไปด้านหลัง ไม่มีโอกาสที่จะช่วยแกะได้ เรียกว่าฝึกกันอย่างเอาชีวิตเข้าแลก

เถรี 23-01-2013 11:49

มีโยมนำพระเครื่องมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "พระทางเหนือเวลาทำพระเครื่องแต่ละองค์ไม่ได้คิดจะให้เข้าชุดกันเลย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ยิ่งถ้าไปเจอพระเปิมแต่ละองค์ ๓ นิ้วมือเลย คำว่า "เปิม" ภาษาเหนือก็บอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใหญ่ก็ไม่เปิม

คนโบราณเขาไม่แขวนพระ เขาว่าพระเป็นของสูง ต้องอยู่ในวัด ก็เลยใช้พวกเครื่องรางแทน มายุคปัจจุบันค่านิยมเปลี่ยน ยิ่งแขวนเยอะยิ่งดี มีลุงคนหนึ่งที่แขวนจตุคามฯ คนเดียว ๓๐๐ องค์ แสดงว่าแข็งแรงมาก ถึงแบกน้ำหนักขนาดนั้นไหว

อาตมามีจตุคามฯ อยู่ ๒ องค์ที่ตั้งใจเลี่ยมทองสวิสเก็บไว้เลยเพราะแบบสวยมาก แต่ว่าตั้งแต่ปี ๕๐ นี่เลี่ยมทองไปสี่หมื่นกว่า ๆ ลองคิดดูว่าราคาทองปัจจุบันนี่เท่าไร เดี๋ยวไว้
เอาลงตอนเปิดกระทู้ใหม่ก็แล้วกัน

อาตมารบกวนท่านจตุคามรามเทพตั้งแต่ท่านยังไม่ดัง จนกระทั่งท่านดัง จนกระทั่งคนเลิกเห่อ อาตมาก็ยังคงกวนท่านอยู่เป็นปกติ ด้วยความที่ใคร ๆ ก็โหนกระแสท่าน วัดแทบทุกวัดในประเทศไทยต้องสร้าง หน่วยราชการหลายหน่วยก็สร้าง จตุคามฯ ก็เลยออกมาน่าจะเกินพันรุ่น ปริมาณที่ออกมารวม ๆ แล้วน่าจะเกินจำนวนประชากรในประเทศไทย เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมถึงได้ราคาตกปานนั้น

ตอนที่รุ่นหลักเมืองปี ๓๐ ราคาขึ้นเป็นล้าน พอคุณเชษฐ์เอาไปปล่อยได้แค่ครึ่งเดียวเอง แบบเดียวกับรุ่นเจดีย์ราย ราคาหลายหมื่น ของอาตมาเอาออกหน้าตาเฉยในราคาไม่กี่พัน ตอนนั้นพ่อปู่ขุนพันธ์ท่านเป็นประธานบูรณะเจดีย์รอบพระธาตุเมืองนคร เมื่อท่านบอกบุญมา อาตมาไม่รังเกียจก็ทำอยู่แล้ว ช่วงนั้นจะมีวัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น งานศพพ่อปู่ขุนพันธ์นี่คนไปกันหลายหมื่น ตั้งใจไปรับวัตถุมงคลอย่างเดียวก็มาก"

เถรี 23-01-2013 11:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "เท่าที่ผ่านมาที่นิตยสาร Forbes เขาประกาศมหาเศรษฐีติดระดับโลก ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์กับพวกหุ้น คนที่จะถือเงินสดทีเจ็ดแปดหมื่นล้านนี่คงจะยาก ไม่อย่างนั้นพิมพ์เงินมาครึ่งโลกก็คงไม่พอให้เขาถือหรอก

ที่น่ากลัวมากคือคุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง และคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี สรุปว่าบ้านเรากินของมึนเมากับของชูกำลังจนเจ้าของรวยติดระดับโลกไปเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวมาก ตอนนี้บ้านเรา เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ไฮเนเก้น คิริน กำลังแย่งกันทำตลาด ก็แสดงว่าโอกาสที่ตลาดบ้านเราจะโตยังมีอีกมาก ต่างประเทศเขามองเห็นเขาถึงได้กล้ามาลงทุน

ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพระเลย เพราะแปลว่าคนไทยพร้อมที่จะเมาอยู่ตลอดเวลา ที่เขาบอกว่า "วันไหน ๆ พี่ไทยก็เมา" กิจการพวกนี้พอโตขึ้น ๆ เขาใช้วิธีแตกบริษัทลูกออกไป เพื่อจะขยายกิจการเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นกิจการมหาชนก็คือควักกระเป๋าคนอื่นมาลงทุน เขาซื้อหุ้นเรา เราก็มีเงินมาลงทุน"

เถรี 23-01-2013 11:57

มีโยมนำพระบูชาหลวงพ่อไหลมาเทมามาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เขาเขียนว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า “หลวงพ่อไหลมาเทมา” แปลว่าเอาทุกอย่าง แต่อันนี้เอาเงินอย่างเดียว ถ้าเป็นทองมาไม่เอา..ว่าอย่างนั้นเถอะ"

เถรี 23-01-2013 11:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคำถามว่าปีใหม่จริง ๆ แล้ว ควรที่จะยินดีหรือควรที่จะเสียใจ ? เพราะแก่ขึ้นอีกปีหนึ่งก็เท่ากับอายุลดน้อยถอยไปปีหนึ่ง แปลว่าที่เราฉลองปีใหม่ก็คือฉลองที่อายุหมดไปปีหนึ่ง ต้องเป็นคนที่เข้าถึงธรรมเท่านั้นที่จะทำใจสนุกสนานได้ เพราะดีใจที่ใกล้ตายแล้ว"

เถรี 23-01-2013 12:03

พิธีการกราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ "อาตมาถือว่าเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย รับการขอขมาเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่จากญาติโยมทุกท่าน จะว่าไปแล้ว ปีใหม่ ๒๕๕๖ เป็นปีที่บ้านเราเมืองเรากำลังจะพลิกฟื้นขึ้นมาสู่ความดี แต่เราต้องคิดด้วยว่า การที่ประเทศชาติของเราตกต่ำมาเป็นระยะเวลาหลายปี อยู่ ๆ จะให้ดีทีเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ในช่วงที่จะค่อยพลิกฟื้นคืนมาก็เหมือนกับการไต่ขึ้นที่สูง ย่อมต้องมีความยากลำบากอยู่บ้าง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความรักใคร่สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะช่วยนำพาประเทศชาติของเรา ให้ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ทุกคนต้องการ

การที่ท่านทั้งหลายได้มาตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัยในช่วงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ก็ถือว่าเราเริ่มต้นปีใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการกระทำในสิ่งที่เป็นความดี ความงาม ขณะเดียวกัน..ท่านทั้งหลายจำนวนมากด้วยกัน ก็ยังได้ประกอบกรรมความดี อย่างเช่น การสวดมนต์ข้ามปี โดยเฉพาะเพื่ออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ก็แปลว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำความดีนั้น จะเป็นบุญเป็นกุศลในการส่งเสริมอุดหนุน ประคับประคองประเทศชาติของเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง สมดังที่เราปรารถนาทุก ๆ ประการ

ท้ายสุดนี้อาตมภาพในฐานะตัวแทน ก็ขออ้างคุณศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีกุศลบารมีที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันเสริมสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เป็นที่สุด จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่านไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใดก็ตาม ให้ประสบแต่ความสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรือง แม้ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้

ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงทุกประการ มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอันเป็นไปโดยชอบทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ"

เถรี 23-01-2013 12:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนเวลาทำบุญแล้วกลัวจะไม่ได้บุญ อย่างไปซื้ออาหารในตลาดถวายพระกลัวจะไม่ได้บุญเลยทำเอง จำไว้เลยว่าทำเองนั่นแหละจะไม่ได้บุญ เพราะทำไปทำมาเหนื่อยขึ้นมาก็โมโห บุญลดลงอีก อะไรที่ทำแล้วสบายใจที่สุดให้ทำอย่างนั้น กำลังใจของเราทรงตัวบุญจะได้มากหน่อย ประเภทยกไปยกมาแถมบ่นอีกว่าทำไมหนักอย่างนี้ อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาบุญกลับลดลงอีก"

เถรี 23-01-2013 12:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการหล่อพระพุทธรูปทองคำ เมื่อวานกำลังนั่งรับสังฆทานอยู่ ท่านทำภาพให้เห็นลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปไม่มีพระเกตุมาลา ก็เลยกำหนดใจถามว่าหมายความว่าอย่างไร ? ท่านบอกว่าถ้าหล่อพระลักษณะนี้เราจะได้สร้างเครื่องทรงถวายด้วย ถ้าเอาลักษณะอย่างนั้นจะเสร็จเร็วเลย ไม่ต้องใช้ทองคำถึง ๔๐ กิโลกรัม

ตอนแรกตั้งใจจะหล่อเป็นแบบพระพุทธชินราชก็คือสมเด็จองค์ปฐมปางพระพุทธชินราช หน้าตัก ๑๐ นิ้ว ต้องใช้ทองคำประมาณ ๔๐ กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นทรงอย่างที่ท่านว่ามาหน้าตัก ๑๐ นิ้ว ใช้ทองไม่กี่กิโลกรัมหรอก อย่างเก่งก็ ๑๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น แล้วเราค่อยไปสร้างเครื่องทรงถวายทีหลัง ตีเสียว่าถ้าอายุ ๖๐ ปีสร้างองค์ท่าน แล้วอายุ ๗๒ ปี ถ้าตะกายอยู่ไปถึง ก็สร้างเครื่องทรงถวายท่านอีกรอบ

อาตมารู้จักช่างที่สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกตด้วย เดี๋ยวจะลองถามดูว่าจะเอากี่สิบล้าน ความภูมิใจชีวิตของเขาก็คือได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกต แต่อาตมาดู ๆ แล้วพระทรงเครื่องถ้าจะเอาสวย ต้องทรงเครื่องฤดูร้อน แต่ถ้าจะเอาแพงต้องฤดูหนาว แต่ไม่เป็นไร..เป้าหมายยังไม่เปลี่ยน เดี๋ยว ๖๐ ปีแล้วค่อยสร้าง หาช่างปั้นหุ่นฝีมือดี ๆ ก่อน ตอนนี้ช่างปรัชญ์ค่าตัวแพง หุ่นละหนึ่งแสนบาท..!"

เถรี 25-01-2013 08:53

ถาม : วงสมาธิกับขอบเขตในการแผ่เมตตา อันเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อันเดียวกัน มีกำลังสมาธิแค่ไหนก็ไปได้แค่นั้น

ถาม : เราควรจะให้ใหญ่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ ?
ตอบ : ไปจนกระทั่งทุกภพทุกภูมิได้จะดีมาก ซ้อมไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ทำได้เอง

เถรี 25-01-2013 09:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมช่วงมาฆบูชามีการอุปสมบทหมู่ ตอนแรกจะมีการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำด้วย แต่ช่างเขากลัวว่าถ้าเร่งทำแล้ว เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะแก้ไขไม่ทัน ฉะนั้น..จึงขอเลื่อนการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำไปเป็นวิสาขบูชาแทน แปลว่าตามรายการลงไว้ว่ามีการฉลองพระ ก็เป็นงานทำบุญวันมาฆบูชาเฉย ๆ

สำหรับปีใหม่ปกติอาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาให้พวกเราได้สักการะกันที่บ้านวิริยบารมี แต่ปีนี้เชิญมาได้แต่ผอบ ท่านกลับไปนอนที่วัดเรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์ห่อมาอย่างดิบดี ใส่กล่องแถมยังมีพลาสติกกันกระแทกมาด้วย สงสัยอากาศกรุงเทพฯ จะร้อน ท่านจึงหนีกลับไปนอนที่วัด เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะสักการะท่านก็ไปตอนวันวิสาขะฯ มาฆะฯ หรืออาสาฬหะฯ นะจ๊ะ

ถ้าศาลาใหม่สร้างเสร็จ อาตมาจะอัญเชิญไปจะตั้งไว้ ให้เข้าไปถวายสักการบูชาได้ทุกวัน ตอนนี้บอกกับช่างเขาว่า ถ้าพร้อมเมื่อไรให้เริ่มลงมือรื้อศาลาได้เลย จะวางศิลาฤกษ์วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ หลังจากงานเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ๑๑ วัน ก็แปลว่ามีเวลา ๑๐ วันหลังงานเป่ายันต์ฯ ให้เตรียมงาน

ศาลาการเปรียญเก่านั้น เสาทุกต้นส่วนที่เป็นปูนหมดสภาพแล้ว สนิม
ขึ้นดันปูนแตกหมดแล้ว ภาษาช่างเขาเรียกว่าเสาระเบิด ส่วนด้านบนปลวกกินไส้ตรงกลางเสาหมดแล้ว วันดีคืนดีหน้าฝนกำลังทำวัตรกันอยู่ แมลงเม่าก็บินพรูจากต้นเสามาเป็นทางเลย ถ้าไม่สร้างใหม่วันดีคืนดีศาลาทรุดลงไปเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันใหญ่ ตอนทำจะขยายพื้นที่จากศาลาหลังเดิมให้คลุมหอฉันเก่าไปด้วย ศาลาหลังใหม่จะมีพื้นที่กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร คือ ๑ ไร่พอดี ทำเป็น ๒ ชั้น ชั้นล่างสูง ๘ เมตร เขาจะทำหลอกตาดูข้างนอกเหมือนกับเป็น ๒ ชั้นแต่เป็นชั้นเดียว ส่วนชั้นกลางจะเป็นที่ปฏิบัติธรรม ชั้นบนสุดที่เป็นดาดฟ้าจะตั้งหมู่เรือนไทยไว้เป็นชั้นที่ ๓

เมื่อ ๒ ปีก่อนไปสืบถามราคามา เขาบอกว่าพื้นที่ ๑ ไร่ ถ้าจะทำหมู่เรือนไทย ให้เตรียมงบฯ ไว้เลย ต่ำสุด ๒๐ ล้านบาท ตอนนี้อาตมากำลังคิดว่าถ้าไม้ราคาแพง เรือนไทยเราก็ทำเป็นคอนกรีต ถึงเวลาแล้วทาสีให้ดูเป็นไม้ก็ได้ เดี๋ยวนี้สีแบบไม้มี หรือไม่ก็ทำเป็นเรือนไทยแบบคอนกรีตนั่นแหละ หลังคาทรงไทยก็ทำได้ ราคาถูกกว่าไม้ตั้งเยอะ"

เถรี 25-01-2013 09:16

โยมกำลังตัดฝ้ายเตรียมทำไส้ผางประทีป แก้ออกมาแล้วพันกันยุ่งไปหมด พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินสำนวนโบราณที่เขาบอกว่า ลิงแก้แหไหม ? ประเภทยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง หาหัวหาท้ายไม่เจอ พันกันมั่วไปหมด เราต้องตัดไล่ไปเรื่อย ๆ ถ้าไปแก้อย่างนั้นก็มั่วอยู่แค่นั้นแหละ

"ลิงแก้แห" กับ "ลิงติดตัง" ก็พอ ๆ กัน ลิงแก้แหนี่ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ท้ายสุดก็พันตัวเองนัวเนียไปหมด ลิงติดตังนี่ก็ยิ่งแกะก็ยิ่งติด

“ตัง” เป็นน้ำมันจากต้นไม้ ยางต้นไม้ที่เขาเจาะมา แล้วเอามาเคี่ยวจนเหนียว เสร็จแล้วก็เอาไปป้ายไว้ดักนก เขาเอาทาก้านไม้เอาไว้ ลักษณะประมาณตะเกียบยาวกว่านิดหน่อย แล้วก็เอาไปเสียบไว้ตามต้นไม้ เวลานกมาเกาะก็ติด พอขาติดอยู่จะขยับปีกบิน ปีกก็ติดไปด้วย คนก็ขึ้นไปแกะ ปรากฏว่าลิงก็มาติดอยู่ด้วย พอติดแล้วลิงแข็งแรงกว่าก็ดึงมือออกได้ คราวนี้พอมือขวาแกะก็ติด มือซ้ายแกะก็ติด เท้าแกะก็ติดให้ยุ่งไปหมด"

เถรี 25-01-2013 10:24

ถาม : หลักฮวงจุ้ยที่ทำให้คนเจริญรุ่งเรือง ?
ตอบ : เกิดจากกรรมเก่า...ถ้ากรรมเก่าทำไว้ดีก็ได้ฮวงจุ้ยดี ถ้ากรรมเก่าทำไว้เฮงซวยก็ได้ฮวงจุ้ยไม่ดี

เถรี 25-01-2013 18:39

ถาม : ได้สูตรยาน้ำหัวไชเท้าแล้วอาการดีขึ้นมากเลย
ตอบ : ต่อไปจำไว้ แพ้ยาเมื่อไรก็ต้มหัวไชเท้ากิน แล้วก็ไม่ใช่ไปกินส่งเดชเรื่อยเปื่อยนะ ของทุกอย่างต้องพอดี ไม่ใช่เห็นว่ากินแล้วหาย ไปกินมาก ๆ เข้าเดี๋ยวเป็นเรื่องอีก
ของที่น่ากลัวที่สุดก็คือถั่วงอก อย่าไปกินถั่วงอกดิบเป็นอันขาด เพราะเป็นตัวทำลายวิตามินและสารอาหารในร่างกายได้เด็ดขาดที่สุดแล้ว กินไปมาก ๆ เดี๋ยวจะหมดสภาพไปโดยไม่รู้สาเหตุ

เถรี 25-01-2013 18:40

ถาม : ผมไปหล่อพระที่วัดแห่งหนึ่ง ทางวัดจัดให้บูชาแท่งทองราคาต่าง ๆ กัน มีแท่งทองเหลืองราคา ๒,๙๙๙ บาท พวกผมรวมเงินกันแล้วไม่ถึง แต่กรรมการเขาเห็นว่าเป็นเงินที่รวมกันมาหลายคน เขาจึงอนุญาตให้ทำบุญนำแท่งทองเหลืองนั้นไปหล่อพระได้ กรณีนี้พวกผมจะเป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ติดตรงไหนล่ะ ? ถ้าไปขโมยเขามาสิถึงจะติด..!

เถรี 25-01-2013 18:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาของร่างกาย ความเจ็บป่วยมีคุณมหาศาลตรงที่ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต ระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ ท้ายที่สุดคือเห็นว่าความตายอยู่ใกล้นิดเดียว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ยิ่งเจ็บป่วยก็ต้องยิ่งระมัดระวังรักษากำลังใจให้ดี โดยเฉพาะใช้วัดตัวเองว่าสิ่งที่ทำมา ทำไปถึงไหนแล้ว

นักปฏิบัติถ้ามีอุบัติเหตุหนัก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะเห็นกำลังใจตัวเองชัดมาก ถึงเวลานั้นจะรู้ว่าต้นทุนของตัวเองเพียงพอหรือไม่ ถ้ายังไม่พอก็เร่งสุดชีวิตได้แล้ว ถ้าพอแล้วก็อย่าประมาท เร่งสั่งสมให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ตั้งแต่อาตมาไม่ฉันยามา ๒ ปี รู้สึกว่าการเจ็บป่วยน้อยลงไปมาก แสดงว่าก่อนหน้านี้ป่วยเพราะยาเสียส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเหลือเลย ตอนช่วงที่เขาเอาไปทดลองยารักษามาลาเรียตัวใหม่อยู่ตัวหนึ่ง คำเตือนระบุไว้ว่ายาตัวนี้จะไปกดภูมิคุ้มกันร่างกาย จะยินดีรักษาหรือไม่ ? ปัจจุบันนี้หมอเขาตรวจแล้วบอกว่าอาการใกล้เคียงกับคนเป็นเอดส์ คือไม่มีภูมิคุ้มกันเลย

ฉะนั้น..ถ้าอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคที่สามารถระบาดได้จะติดทันที ใครเอาหวัดมาฝากนี่อาตมารับด้วยความยินดี..มาถึงก็ได้เลย โบราณเขาเก่งจริง ๆ เขาเรียกว่า “ยา” ยาคือการอุดรูรั่ว แสดงว่าร่างกายรั่ว เจ็บไข้ได้ป่วยเลยต้องยาให้ดี"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว