กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3612)

เถรี 17-12-2012 21:15

ถาม : เปรตบางจำพวกตัวเป็นภูเขา..?
ตอบ : เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ไม่ใช่ภูเขาโด่เด่ทั่ว ๆ ไป ถ้าเราทำกำลังใจไม่ตรง ก็เห็นเขาไม่ได้ คำว่า ปัพพตังคเปรต แปลว่า เปรตที่มีร่างใหญ่เหมือนภูเขา บางทีก็มีเปรตที่มีลักษณะเหมือนกับชิ้นเนื้อ แต่ชิ้นเนื้อใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับเป็นพลาญหินหรือแผ่นหินเลย

ถ้าสมาธิทรงตัวก็อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ต้องเอาอย่างในพระธรรมบท พระท่านเดินทางไปต่างเมือง เจอเด็ก ๒ คนรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์พิกล นั่งอยู่ที่หน้าประตูเมือง จึงถามว่า “ไอ้หนูมาจากไหนกัน ?” เด็ก ๒ คนบอกว่า “พวกผมเป็นเปรต ตั้งใจแสดงตัวให้พระคุณท่านเห็น” พระท่านก็ถามว่าเพราะเหตุใด ?

“ขอรบกวนพระคุณว่า เข้าไปในเมืองแล้วไปหาแม่ให้กระผมด้วย แม่ไปหาอาหารในเมืองสั่งให้พวกผมรออยู่ที่นี่
ไม่ออกมาเสียที พวกผมหิวจะแย่อยู่แล้ว” พระท่านบอกว่าท่านไม่ได้มีฤทธิ์ ไม่ได้มีอภิญญา แล้วจะไปเห็นเปรตได้อย่างไร ? เด็ก ๒ คนจึงเอารากไม้อันหนึ่งให้ บอกว่าให้ถือว่านยานี้เข้าไป ถ้าตราบใดที่ถือว่านยานี้อยู่จะเห็นพวกผีพวกเปรตทุกชนิด

พระท่านก็สงสัยว่าแล้วท่านเองเห็นเด็ก ๒ คนนี้ได้อย่างไร เด็กบอกว่าเขาหิวมาก จึงต้องบันดาลให้เห็นเขาได้ เป็นอันว่าเขาปรับเข้ามาหาพระเอง

เถรี 17-12-2012 21:18

พอพระรับว่านยามาแล้วก็ยืนงง เพราะบ้านเมืองที่ตอนแรกเห็นว่าเรียบร้อย กลายเป็นมีพวกผีพวกเปรตพลุกพล่านเต็มไปหมด เสาะหาอาหารตามกองขยะ ตามท้องร่อง ตามป่าช้า พระก็เข้าไปเดินถามว่า ใครเป็นแม่ของเด็ก ๒ คนที่นั่งที่หน้าประตูเมือง ถามไปถามมา เจอนางเปรตเข้าพอดี

นางเปรตถามว่าพระคุณเจ้าเห็นฉันด้วยหรือ ? ท่านก็บอกว่าเด็กเขาให้ว่านยามาถือก็เห็น แม่เปรตก็เลยกระชากว่านยาคืน แล้วก็วิ่งไปหาลูกตัวเอง พอว่านยาหลุดจากมือ พระท่านก็มองไม่เห็นอะไรอีก พวกผีพวกเปรตที่เห็นอยู่หายวับไปกับตา

ถ้าเราไม่ได้ปรับกำลังใจให้เท่ากับเขา หรือเขาไม่ได้ปรับกำลังใจมาหาเราก็เห็นกันไม่ได้ หรือต้องมีวัตถุบางอย่างที่เป็นสื่อ ก็คงเหมือนเราถือไฟฉายแล้วส่องในความมืด จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ในที่มืดได้ ถ้าไม่มีวัตถุที่เป็นสื่อเราก็เห็นเขาไม่ได้

มีหลายท่านที่ซื้อพวกของเก่า เสื้อผ้าเก่า รองเท้าเก่ามา แล้วก็มีเสียง “เอาของกูคืนมา” อันนั้นมีวัตถุเป็นสื่อ..!

เถรี 17-12-2012 21:28

ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรขึ้น เราจะทราบได้อย่างไรว่า..?
ตอบ : จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจของเราอย่างเดียวก็พอ ถ้าลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี นิมิตต่าง ๆ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรายิ่งไม่สนใจภาพก็จะยิ่งชัด จะกวนให้เราสนใจให้ได้

ถาม : แล้วเราจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐาน เช่น เราใช้พุทธานุสติอยู่ จับภาพพระพุทธรูปเป็นนิมิต เมื่อภาพพระปรากฏก็จับภาพต่อไปเลย ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ไม่ต้องไปสนใจ

เถรี 17-12-2012 21:39

ถาม : วัตถุมงคล ถ้าอัญเชิญขึ้นคอหนึ่งองค์ กับขึ้นคอหลายองค์ แตกต่างกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา...ถ้ามั่นใจองค์เดียวก็พอ อาตมาเองสมัยก่อนไม่พกสักองค์ ลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่หลวงพ่อท่านเตือนว่าประมาทเกินไป เพราะถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว เผลอเมื่อไรอกุศลกรรมจะแทรกได้ แต่ถ้าเราอาราธนาพระท่านติดตัว จังหวะที่เราเผลอพระท่านยังคุ้มครองให้ อาตมาถึงต้องมาเริ่มพกวัตถุมงคลกันอีกที ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ขี้เกียจพก เพราะมั่นใจเกินร้อยแล้ว

ถาม : ถ้าวัตถุมงคลพุทธคุณต่างกัน เช่น องค์ด้านล่างเด่นทางลาภ องค์ด้านบนเด่นทาง..?
ตอบ : ถ้าพุทธคุณต่างกันก็พกไปเถอะ ถ้าครอบจักรวาลองค์เดียวก็พอ

อาตมาไปพม่านี่ปลดหมดตัวเลย เหลือแต่พระกริ่งพิชัยสงครามองค์เดียว ถ้าขืนเอาอย่างอื่นไป เดี๋ยวทหารพม่ายึดหมด อาตมาเลยเอาพระกริ่งเลี่ยมพลาสติกด้วยไปอยู่องค์เดียว ลุยไปทั่วประเทศพม่ามาหลายรอบแล้ว

เถรี 17-12-2012 21:47

ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่า นิมิตนั้นไม่หลอกเรา ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาศีลเป็นหลัก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ หรือศีล ๘ นิมิตหลอกเราอย่างไร ก็ไม่ไปไกลเกินนั้นหรอก

ถาม : ถ้านิมิตกองกรรมฐานเกิดขึ้น..?
ตอบ : เราต้องไปศึกษาว่านิมิตของกองกรรมฐานแต่ละกองเป็นอย่างไร สมมติเราภาวนาพุทโธแล้วภาพพระพุทธรูปปรากฏขึ้น ก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้ารูปพระสงฆ์มาก็ "นิมนต์ท่านรอก่อนค่ะ" ถ้าปฏิบัติในสังฆานุสติแล้วรูปพระสงฆ์มาก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้าภาพพระพุทธเสด็จมาก็นิมนต์ท่านรอก่อน นิมิตให้เอากองกรรมฐานของเราเป็นหลัก

ถ้าเรายึดศีลเป็นหลัก ยังอยู่ในกรอบของศีล หลุดอย่างไรก็หลุดไปไม่ไกลหรอก

เถรี 17-12-2012 21:54

ถาม : จิตเรามีดวงเดียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จิตจริง ๆ มีดวงเดียว เพียงแต่อาการของจิตมีมาก ทางอภิธรรมเขาก็เลยแยกไปเสียเยอะ แยกไปทีเป็นร้อย

ถาม : แล้วเราจะจับจิตอันไหนคะ ?
ตอบ : ความรู้สึกทั้งหมดของเรา...นั่นแหละจิต ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่หัวใจ ความรู้ตัวของเราทั้งหมดนั่นแหละคือจิต แล้วจะไปจับจิตทำไม ?

ถาม : ความรู้สึกจิตอันนี้ดี เราก็ไปจับจิตอันนั้น ?
ตอบ : ถ้าความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป นั่นก็คือสภาพจิตที่วิ่งตามลมหายใจเข้าไป ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ก็คือสภาพจิตที่ไหลตามลมหายใจออกมา อยู่แค่นี้ไม่ไปไหนก็ดีแน่ ๆ

เถรี 17-12-2012 22:00

ถาม : ยุบพอง..?
ตอบ : เป็นได้...แต่สายพองยุบเขาให้ตัดอย่างอื่นหมด ซึ่งเป็นสายกรรมฐานที่อาตมายังไม่เห็นทางความก้าวหน้าเลย เพราะแม้กระทั่งความคิดเขาก็ตัดหมด ในเมื่อเราคิดไม่ได้แล้วเราจะไปพิจารณาธรรมอย่างไร ?

ถาม : ถ้าเราดูลมหายใจ..?
ตอบ : ปกติเขาให้ดูลมหายใจ แต่คราวนี้สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจ การปฏิบัติที่ต้องการมรรคผล ต้องมีสมาธิทรงตัวอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้าไม่มีสมาธิทรงตัวระดับนั้นจะตัดกิเลสไม่ได้ แต่การที่จะมีสมาธิทรงตัวได้เราต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สมาธิถึงจะทรงตัว สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจเข้าออก ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะได้สมาธิหรอก..!

สำหรับนักปฏิบัติระยะแรกเริ่มจะรู้สึกว่าดี เพราะเราต้องบังคับตัวเองให้กำหนดรู้อาการพองยุบอยู่ตลอด แต่ถ้าสมาธิเริ่มสูงขึ้นเราจะกำหนดอาการนั้นไม่ได้ ในเมื่อกำหนดอาการนั้นไม่ได้ เขาก็ให้กำหนดตัวรู้ ถ้าเราไม่ได้ก้าวมาจากการกำหนดลมหายใจเข้าออก สมาธิไม่ทรงตัว ความละเอียดมีไม่พอ จะไปกำหนดรู้รูปนั่งรูปยืนอะไรก็ยาก

เถรี 17-12-2012 22:07

ถาม : ทำไม...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ตามสายปฏิบัติทั่ว ๆ ไป พอลมหายใจหมดไป คำภาวนาหมดไป เขาให้กำหนดรู้อาการนั้นไว้เฉย ๆ เพราะสมาธิจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว แต่สายพองยุบเขาให้กำหนดว่า "รู้หนอ" การกำหนดอาการ "รู้หนอ" เป็นการลดกำลังใจลงมา ก็ต้องมารบกับกิเลสอื่น ๆ ต่อไป เท่าที่อาตมาปฏิบัติมา สายนี้ไปยากที่สุด เพราะขาดสมาธิมาช่วย

เถรี 17-12-2012 22:08

ถาม : อะไรเข้ามาก่อนก็รับรู้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ตอนนั้นอะไรก็เข้าไม่ได้ สภาพจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ในเมื่อเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ลมหายใจที่ยังปรุงแต่งอยู่ คำภาวนาที่ยังปรุงแต่งอยู่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะจิตเลยไปแล้ว เราแค่รับรู้อาการไว้เฉย ๆ ถ้าสภาพอย่างนั้นสติจะมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ได้ตลอด เพราะสมาธิหนุนอยู่ แต่คราวนี้สายพองยุบไปรู้หนอโดยที่ไม่มีสมาธิหนุนอยู่ เพราะเป็นการลดสมาธิลงมาปรุงแต่ง อารมณ์นั้นจึงอยู่ได้ไม่นาน

ต้องทำให้ถึง ถ้าทำถึงแล้วจะรู้ ทำไม่ถึงพูดไปก็เท่านั้นแหละ

เถรี 17-12-2012 22:15

ถาม : ในเรื่องของสังโยชน์ ๓ อย่างเรื่องศีลมีการเปรียบเทียบว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด แล้วกรณีของการรู้ตัวว่าจะต้องตายนี่มีลักษณะให้ลองเทียบไหมคะ ว่าขนาดไหนถึงจะพอใช้ได้ ?
ตอบ : ทุกลมหายใจของเรานึกได้ไหมว่าเราจะต้องตายแน่ ถ้าสติรู้รอบ จะรู้อยู่ว่าเราจะต้องตายอยู่ทุกลมหายใจ เราหายใจเข้า ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจออกเราก็ตาย เราหายใจออก ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจเข้าเราก็ตาย ความรู้สึกกับลมหายใจจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญญาจะมองเห็นเอง

ถ้าใจเราอยู่กับพระ อยู่กับความดีในกองกรรมฐาน โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออก ก็แปลว่ากำลังใจของเราใช้ได้

เถรี 19-12-2012 10:34

ถาม : ช่วงหลังนี้สติไม่ค่อยอยู่กับตัว ทำอย่างไรไม่ให้ฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ภาวนาอย่างเดียว ไม่ต้องคิดมาก วัน ๆ นั่งจับลมหายใจไป จริง ๆ รู้ตัวแล้วไม่แก้น่าจะโดนสักที..!

ถาม : ผมก็พยายามจับอยู่ แต่ยังฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ที่ไม่เห็นผลเพราะทำไม่ถึง ถึงเมื่อไรจะเห็นผล ของอย่างนี้ต้องค่อย ๆ สะสมตัวไปเรื่อย แรก ๆ ก็เหมือนกับน้ำหยด..ทีละหยด กว่าจะเต็มโอ่งได้ก็รอกันนาน ตอนเต็มเราก็ไม่รู้ว่าเต็มตอนไหน ช่วงสะสมแรก ๆ ทีละหยดเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็ก้าวหน้าเอง

ถาม : บางครั้งก็รู้สึกว่าใจร้อนอยากเห็นผลครับ ?
ตอบ : ปฏิบัติธรรมต้องอย่าใจร้อน ใจร้อนไม่ได้หรอก ความใจร้อนเกิดจากนิสัยเจ้าโทสะ สติไม่พอที่จะรั้งปาก ที่สติไม่พอเพราะสมาธิไม่มีกำลัง เพราะฉะนั้น..ต้องเน้นที่สมาธิเป็นหลัก

เถรี 19-12-2012 12:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเครื่องของวัดบวรนิเวศน์วิหาร ถ้าไม่ใช่พระรุ่นเก่าไปเลย เขาไม่ค่อยเชื่อถือกัน เนื่องจากมีการทำปลอม ทำเสริม ทำเพิ่มกันกระจายเลย..! รุ่นที่ปลอมแล้วเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุดก็คือ พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ ที่สร้างฉลองในหลวง ๖๐ พรรษา เป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปเสกให้

รุ่นหลัง ๆ ที่ดังก็มีรุ่นคชวัตรนี่แหละ เพราะไม่ใช่พวกลูกศิษย์หน้าเดิม ๆ ทำ ให้คนอื่นเขาทำ ทำออกมาแล้วดัง ส่วนใหญ่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ไม่ใช่พระดำริของสมเด็จพระสังฆราช ส่วนใหญ่เขาไปทำกันเอง

แม้กระทั่งพระกริ่งพิชัยสงครามของเรา เขายังเอาไปยัดลงวัดบวรฯ เลย เขาเอาไปทำจริง ๆ เพราะตอนเราสร้างพระกริ่งเสร็จแล้ว ไม่ได้เอาแบบคืนมา เขาก็เลยสร้างพระกริ่งพิชัยสงคราม แต่ว่าทำกล่องวัดบวรฯ ขาย ยังดีที่เขาไม่ชุบเงินชุบทอง ถ้าไม่อย่างนั้นเราแย่เลย เพราะเป็นแบบเดียวกัน แยกกันไม่ออก ที่เขาไม่ชุบเงินชุบทองเพราะต้นทุนสูง ได้กำไรน้อย"

เถรี 19-12-2012 12:05

"ปีหน้าสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็จะมีพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษา น่าจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชนมายุยืนนานที่สุด เพราะว่าองค์ก่อน ๆ นี้แค่ ๙๐ พรรษาเศษ ๆ แต่คราวนี้เกรงว่าท่านจะอยู่ไม่ถึงวันพระราชสมภพ

จะว่าไปแล้วการแพทย์สมัยใหม่ ทำให้คนตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าคนตายอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างกายจะค่อย ๆ หมดกำลัง แล้วก็ค่อย ๆ ตายไปเอง แต่ตอนนี้พอใครออกอาการก็เอาเข้าโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ใส่สายออกซิเจนระโยงระยางไปหมด สรุปว่าตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

บางทีสภาพร่างกายไม่ไหวแล้ว แต่เครื่องมือแพทย์ค้ำอยู่ หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นนักปฏิบัติหลายต่อหลายท่านปฏิเสธเลย ป่วยแล้วอย่าเอาเข้าโรงพยาบาล เพราะเข้าโรงพยาบาลแล้วจะไม่ได้ตายตามปกติ"

เถรี 19-12-2012 19:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครฟังฝ่ายค้านซักฟอกนายกรัฐมนตรีบ้าง ฝ่ายค้านเขาด่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่าไม่มีภาวะผู้นำ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะด่าอย่างไรก็ด่าไป ตอบเสร็จแล้วนั่งยิ้ม ก็เลยสงสัยว่าใครไม่มีภาวะผู้นำกันแน่ ? คาดว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ไปอีกสัก ๒ ปี จะสร้างมาตรฐานใหม่ ต่อไปพวกนักการเมืองดีแต่พูดเกิดไม่ได้หรอก เพราะท่านทำงานอย่างเดียวจริง ๆ ไม่ยอมเสียเวลาไปทะเลาะกับใคร

ในเรื่องของนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลทำ ถ้าจะหาเรื่องขุดมาด่าก็มีทุกเรื่องแหละ แต่คราวนี้จะต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน ไม่ใช่คิดว่า คาดว่าซ้ำยัง ไม่ใช่ตัวนโยบาย เพราะที่เขาเอามาด่ากันเป็นการรั่วไหลระดับล่าง ๆ ซึ่งมีทุกที่ รัฐบาลตามดูไม่ทั่วหรอก ทุกรัฐบาลก็เป็น

ดังนั้น..งานนี้ที่เขาออกมาก่อม็อบกัน พอดีวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรม อาตมาก็เลยบอกกับโยมไปว่า ไม่ต้องไปกังวลหรอก เพราะพวกที่ออกมาเขาออกมาแบบผิดธรรมชาติ เคยเห็นของที่เกิดมาผิดฤดูไหม ? ของที่เกิดผิดที่ ผิดฤดูกาลอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าม็อบที่ออกมาไม่ได้ออกมาจริงจัง เขาออกมาด้วยการรวมหัวกันของบุคคลผู้เสียผลประโยชน์ มีทั้งพ่อค้ายาเสพติด มีทั้งพ่อค้าหวย มีทั้งพ่อค้าข้าว มีทั้งนักการเมืองอกหัก มีทั้งอำมาตย์อีแอบอะไรพวกนี้ เขาไปจ้างกันมา

ในเมื่อเทกระเป๋าจ้างกันออกมา ต่างคนก็ต่างรอลุ้น ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คุณเสธ.อ้าย โดนเขาหลอกให้ทำงานโดยไม่รู้ตัว"

เถรี 19-12-2012 20:08

"พอก่อม็อบผิดจังหวะ ก็เลยพลอยทำให้การซักฟอกกร่อยไปด้วย เพราะเนื้อหาที่เตรียมมาซักฟอกต้องสอดคล้องกับม็อบ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทั้ง ๒ ฝ่าย คราวนี้ม็อบล่มแต่เช้าเลย เนื้อหาที่เตรียมไว้จึงเปลี่ยนไม่ทัน คนอภิปรายก็อภิปรายไปเซ็งไป

ต้องรอท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์สร้างมาตรฐานใหม่ในรัฐสภาของเรา ตอนนี้ทนฟังเรื่องไร้สาระ รกหู หยาบคายไปก่อน พอนาน ๆ ไปก็จะเหลือแต่เนื้อหา การค้านต้องค้านอย่างมีหลักการ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีประจักษ์พยานชัดเจน ถ้าอย่างนั้นถือว่าค้านอย่างมีคุณภาพ การค้านแบบด่าเอามันไม่น่าจะใช่วิสัยนักการเมือง น่าจะเป็นนักโต้วาที หรือไม่ก็แม่ค้าในตลาดมากกว่า

สมัยก่อนป๋าเปรมสร้างมาตรฐานอย่างหนึ่งก็คือ นักข่าวไม่สามารถเอาคำพูดของป๋าไปพัวพันกับเหตุการณ์ทางการเมืองได้ เพราะถามอะไรป๋าก็ “กลับบ้านเถอะลูก” ถามอะไรมาป๋าไม่ตอบ ไล่กลับบ้านอย่างเดียว

ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นว่า เรื่องการเมืองไม่รุนแรง ถึงเวลาเขาก็เลยตั้งฉายาให้ท่านพลเอกเปรมว่า "เตมีย์ใบ้" แต่ความจริงเป็นวิธีการรับมือกับนักข่าวที่ดีที่สุด เพราะปกติถึงเราไม่พูด นักข่าวก็ยังเอาไปเขียน แต่ป๋าเปรมพูดให้เขาเขียนไม่ได้ พูดว่ากลับบ้านเถอะลูก แล้วจะไปเขียนอะไรได้..!"

เถรี 19-12-2012 20:18

"พอมาถึงรุ่นพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ท่านพูดว่า “ไม่มีปัญหา” ในเมื่อไม่มีปัญหาแล้วจะไปเขียนได้อย่างไร พอมาตอนนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใครอยากด่าก็ด่าไป ไม่ตอบเสียอย่าง ปล่อยให้ด่าลมด่าแล้งไป

นึกถึงอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ที่ไปด่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านจะดีเหมือนพระพุทธเจ้า แต่อยากจะให้ดูความหมายที่พระพุทธเจ้าตอบอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า “พราหมณะ...ดูก่อนพราหมณ์ ญาติสาโลหิตมิตรสหาย ตลอดจนผู้ที่เคารพนับถือ มาเยี่ยมเยือนท่านถึงเรือนมีบ้างหรือไม่ ?”

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า "มีสิ..เราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนี่นา" พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ท่านได้จัดเอาขาทนียะโภชนียะ (ข้าวปลาอาหาร) มาต้อนรับเขาบ้างหรือไม่ ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า ก็ต้องจัดให้ตามมารยาทเจ้าของบ้าน พระพุทธเจ้าตรัสถามต่ออีกว่า “ถ้าเขาไม่ได้รับของเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า “ก็ต้องเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “นั่นแหละพราหมณะ...เวลาท่านด่าตถาคต แล้วตถาคตไม่รับ คำด่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้คิด ยอมกราบเลย กราบทูลว่า “ท่านสมณโคดม วาจาท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด”

เถรี 19-12-2012 20:22

"คราวนี้เรามาดูว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งด่าเอา ๆ แล้วนายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านไม่ตอบให้ชาวบ้านเขาเห็น ตกลงท้ายสุดคนด่าก็รับไปเอง ก็จะออกมาในลักษณะเดียวกัน ประเภทไม่ด่า ไม่ตอบโต้ ไม่ใช่ไม่รู้สึกนะ นึกถึงหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง “หลวงปู่..เขาด่าหลวงปู่ขนาดนั้น หลวงปู่ไม่โกรธหรือ ?”

หลวงปู่ตอบว่า “โกรธสิวะ..! ข้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่หว่า อยากมองให้มันหายวับไปตรงนั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่จะทำอย่างไรได้ ข้าเป็นพระก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว” เพราะฉะนั้น..ไม่ตอบไม่ใช่ไม่รู้สึก รู้สึกเหมือนกัน แต่อยู่ลักษณะน้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก ซึ่งลักษณะอย่างนี้ตรงกับมารยาทในสังคมไทยแต่โบราณมา

เพราะฉะนั้น..ถ้าท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รักษาภาพพจน์ลักษณะนี้ได้ อยู่ไปนาน ๆ คนจะรักขึ้นอีกมาก เพราะว่าปัจจุบันฝ่ายค้านเขาเสียเปรียบ ที่เสียเปรียบประการที่หนึ่งก็คือ ด่าไปเท่าไรอีกฝ่ายไม่ตอบ เสียเปรียบประการที่สอง ก็คือ ตัวเองเป็นผู้ชายแล้วไปด่าผู้หญิง หมดราคากันเลย

ถ้าฝ่ายค้านเขารู้จักประเมินตัวเอง ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ ค้านอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง จับผิดทุกเม็ด หยุมหยิมแค่ไหนก็เอามาหมด พูดผิดก็เอามาด่า กราบไม่แบมือก็เอามาติ"

เถรี 19-12-2012 20:26

"ถ้าท่านนายกฯ สมัครยังอยู่ เราจะเห็นเวลาท่านตอบกระทู้ ตัวเลขนี่จะบอกเป๊ะ ๆ เลย แต่ขอโทษ..ไม่ใช่ของจริงหรอก ถามอะไรท่านสามารถยกตัวเลข ขึ้นมาตอบได้หมด พูดไปเดี๋ยวนั้น คนกำลังฟังใครจะตามไปตรวจสอบได้ ?

นั่นเป็นลีลาของนักการเมือง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วคนเขาก็ไม่ตามไปตรวจสอบหรอก ใครจะตะกายไปดู คนไปดูก็รู้ไม่กี่คนหรอก ที่เหลือก็ไม่รู้ต่อไปอยู่ดี

นักการเมืองสมัยก่อนที่เป็นดาวเด่นเลย เริ่มจากคุณสมัคร สุนทรเวชนี่แหละ สมัยคุณสมัครตั้งพรรคประชากรไทย เขาบอกว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้ ช่วงนั้นส.ส.กรุงเทพฯ คุณสมัครกวาดเกือบ ๑๐๐% พอถัดมาก็เป็นคุณจำลอง ศรีเมือง หลังจากคุณจำลองก็เป็นคุณทักษิณอยู่ระยะหนึ่ง
หลังจากนั้นบ้านเมืองก็แตกแยก จะหาที่เด่น ๆ โผล่ขึ้นมาเป็นความหวังของชาวบ้านเขาจริง ๆ ยังไม่ได้"

เถรี 20-12-2012 21:22

"ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในภาวะเสียเปรียบทางการเมือง เพราะคุณอภิสิทธิ์โดนถอดยศ ดูท่าคดีต่าง ๆ ก็รัดตัวเข้ามาทุกที สนามหลัก ๆ ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ดูดีหน่อยก็คือสนามที่กรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเหมือนอย่างคุณเนวิน เป็นพรรคเฉพาะกิจแค่ภาคใต้ หรือไม่ก็พรรคพลังชลของคุณสนธยา ที่ได้แค่จังหวัดเดียวหรือ ๒ จังหวัดทางภาคตะวันออก ถ้าเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ใหม่แล้วยังหาตัวเด่นไม่ได้ หรือว่าคุณชายสุขุมพันธุ์ยังลงสมัครต่อ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็สาหัส..!

กลอนสุนทรภู่ท่านว่า "ทั้งโลกซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา" ต้องบอกว่าความจริงเป็นเรื่องของใครทำใครได้ เพราะว่าทั้งหมดเกิดจากการกระทำของตัวเองนั่นแหละ การเมืองของไทยเรายังหักโค่นกันรุนแรงมาก ไปเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้เกิดเท่านั้นเอง

ตอนแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ดันคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ก็ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่ใช้ได้เลย ก็คือเอาคนหนุ่ม มีความรู้ ฝีปากดี มาเป็นผู้นำ แต่ถ้าฟังคุณปู่พิชัย รัตตกุล ท่านว่า "ผมให้คะแนนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ๗๕% แต่ให้คะแนนตอนคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ๖๐% ผมเป็นประชาธิปัตย์ทั้งเลือด ทั้งเนื้อ ทั้งชีวิต ใครมาทำลายพรรคประชาธิปัตย์ผมสู้แค่ตาย แต่ในเมื่อผู้นำพาพรรคตกต่ำ ผมก็ต้องวิจารณ์ตรง ๆ" คุณปู่ท่านพูดตรงดีนะ"

เถรี 20-12-2012 21:29

"คุณปู่พิชัยบอกว่า เหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำในระยะนี้ เพราะคุณอภิสิทธิ์ไม่ใช้คนเก่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ อันนี้คนในเขามองกันเองนะ คุณปู่พิชัยบอกว่า คุณอภิสิทธิ์ใช้แต่คนรุ่นใหม่ที่อยู่รอบข้างแค่ ๒ - ๓ คนเป็นที่ปรึกษา ความเชี่ยวชาญทางการเมืองมีน้อย อ่านแนวทางการเมืองไม่ขาด ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาไม่มี ก็เลยกลายเป็นเดินหมากจนตกหลุมตกร่องจนทุกวันนี้

ถ้าคำพูดของคุณปู่พิชัยไปเข้าถึงหูแล้วมีการปรับปรุงใหม่ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันนี้ ตัวบุคลากรที่แทบจะเป็นปูชนียบุคคลของพรรคเลย อย่างคุณปู่พิชัยก็ดี คุณชวน หลีกภัยก็ดี ยังมีอยู่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ละคนผ่านการเป็นนายกฯ มาแล้วทั้งนั้น ๒ สมัยก็มี ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ควรที่จะเอาท่านมาเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ทุกท่านก็เต็มใจทำเพื่อพรรคอยู่แล้ว

พรรคเก่าที่สุดของประเทศไทย ต้องบอกว่าอยู่คู่ประชาธิปไตยของไทยมาตลอด ตกต่ำลงไป แม้แต่อาตมายังรู้สึกใจหาย เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่คุณชวนเป็นนายกฯ ก็ยังได้พบกับท่าน ตอนนั้นไปหาเสียงที่อุทัยธานี ยังชอบใจว่าท่านเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ สื่อมวลชนเขาเรียกว่า "มีดโกนอาบน้ำผึ้ง" ไม่ด่าคน แต่เชือดเฉือนด้วยวาจา แสบเสียยิ่งกว่าด่าตรง ๆ อีก เป็นการด่าแบบผู้ดี

แต่จะว่าไปแล้วนายกฯ ในยุคหลัง ๆ นี่อาตมาได้เจอแทบทุกท่าน เจอท่านนายกฯ บรรหาร ๒ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวน ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวลิต ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ทักษิณนี่เจอมากที่สุด ๔ ครั้ง เพราะท่านนายกฯ ทักษิณออกเยี่ยมชาวบ้านเป็นว่าเล่นเลย ขนาดนัดไว้ ๕ โมงเย็นมาถึง ๑ ทุ่มก็ยังมา มาเสร็จก็ชี้ “โน่นครับ...ต้องโทษพี่บรรหาร พี่บรรหารลากผมไปดูงานที่สุพรรณฯ ไม่ยอมปล่อยผมมา" คุณบรรหารพาท่านนายกฯ ทักษิณไปที่อู่ทอง ไปดูว่าปัญหาน้ำแล้งของอำเภอเลาขวัญกับอำเภอห้วยกระเจาของจังหวัดกาญจนบุรี สามารถผันน้ำไปจากอำเภออู่ทอง ของจังหวัดสุพรรณบุรีได้"

เถรี 20-12-2012 21:34

"ท่านนายกฯ ทักษิณเป็นคนคำนึงถึงเป้าหมายโดยไม่เอาขั้นตอน ก็เลยทำให้การทำงานมีข้อตำหนิทางกฎหมายมาก แต่ถ้าใครคำนึงถึงขั้นตอน ก็จะทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะมัวแต่ต้องรายงานตามลำดับชั้น กว่าจะพิจารณาเสร็จ ชาวบ้านอดตายไปแล้ว ถ้าคุณทักษิณลดความเร็วลงสักครึ่งหนึ่ง ยังสามารถพาประเทศชาติให้เจริญได้มากกว่านี้

ที่เห็นกับตาเลย ก็คือ ชาวบ้านห้วยกระเจากับเลาขวัญมาร้องเรียน พอไปถึงคุณทักษิณชี้ให้ชาวบ้านออกไปเลย เขามีไมโครโฟนวางเป็นจุด ๆ อยู่ทั่วศาลาวัด คุณทักษิณใช้วัดเป็นที่รวมชาวบ้าน ใครมีเรื่องอะไรจะร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือให้พูดออกมาเลย ถ้าพูดไม่ได้ให้เขียนจดหมายน้อยมา ท่านรับรองว่าจะอ่านทุกชิ้น

ปรากฏว่าชาวบ้านจากห้วยกระเจากับเลาขวัญมาขอร้องท่านนายกฯ ทักษิณว่า ให้ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งหน่อย ท่านนายกฯ ทักษิณถามว่าแล้งอย่างไร ? มีแหล่งน้ำไหม ? ชาวบ้านบอกว่าเขามีแหล่งน้ำคือลำตะเพินแห่งเดียว แต่ลำตะเพินพอน้ำไหลไปแล้วไหลไปเลย เพราะไม่มีฝายไม่มีเขื่อน พอถึงหน้าแล้งจะไม่มีน้ำเหลืออยู่ ชาวบ้านเขาทำโครงการมาเรียบร้อย ว่าจะต้องสร้างฝายขนาดใหญ่กั้นลำตะเพินเป็นช่วง ๆ ถ้าสามารถกั้นชะลอน้ำได้สัก ๓ - ๔ ช่วง ก็จะทำให้มีน้ำเหลืออยู่ ฤดูแล้งก็สามารถที่จะทำนาทำไร่ได้ จะแก้ปัญหาภัยแล้งได้"

เถรี 20-12-2012 21:38

"คุณทักษิณบอกให้ลองประเมินงบประมาณมา เขาบอกว่า ๔๐๐ ล้านบาท ชาวบ้านนี่สุดยอดเลย เขาเตรียมโครงการ ประเมินงบประมาณมาเสร็จสรรพ ท่านนายกฯ ทักษิณหันไปถาม ผอ. สำนักงบประมาณ “ผอ. มีไหม ๔๐๐ ล้าน ?” “หมดแล้วครับ เมื่อครู่เทลงสุพรรณฯ ไปแล้ว” คุณทักษิณถามว่า “งบประมาณของหน่วยงานอื่น ที่เขาขอเบิกแล้วยังไม่ได้เบิก มีพอ ๔๐๐ ล้านไหม ?” “มีครับ” “เอามาให้เขาก่อน เดี๋ยวผมหาคืนให้” จบแค่นั้นเลย..!

จากนั้นลาก ผอ. กรมชลประทาน กับ ผอ. สำนักงบประมาณไปคุยกับชาวบ้านเลย ทำอย่างนั้น ขั้นตอนอะไรไม่มีเลย กระโดดข้ามข้ามขั้นตอนไปเลย แต่งานได้ทันใจ เพราะอย่างนี้ที่ทำให้ชาวบ้านเขารักท่านนายกฯ ทักษิณมาก เพราะว่าทำงานเร็ว แก้ปัญหาได้ทันใจ ช่วงที่ท่านเป็นนายกฯ อยู่ ๔ ปีกว่า ท่านไปทั่วประเทศจริง ๆ ไปอย่างที่ว่านี่แหละ ไปที่นั่นที่นี่บ้าง ไปครั้งหนึ่ง ๓ - ๔ จังหวัด ไปกันยันค่ำมืดดึกดื่น

จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน บรรดานายกรัฐมนตรี อย่างคุณบรรหาร บ้านใกล้เรือนเคียงอยู่แค่สุพรรณบุรีแท้ ๆ อาตมาได้เจอแค่ ๒ ครั้ง ท่านอื่น ๆ ได้เจอท่านละหนึ่งครั้ง แต่ท่านนายกฯ ทักษิณอยู่ประมาณ ๕ ปี ได้เจอตั้ง ๔ ครั้ง"

เถรี 20-12-2012 21:42

"ช่วงที่จะต่อไฟฟ้าขึ้นวัดพุทธบริษัท ระยะทางห่างจากถนนใหญ่ประมาณ ๘๐๐ เมตร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทองผาภูมิประเมินราคามาว่า จะต้องปักเสา ลากสาย และลงหม้อแปลง น่าจะต้องใช้งบประมาณถึง ๓ ล้านบาท อาตมาบอกไปว่าถ้า ๓ ล้านบาท อาตมายอมซื้อเครื่องปั่นไฟดีกว่า เพราะเครื่องปั่นไฟที่เป็นเบนซินอย่างเก่งก็เครื่องละ ๓๐,๐๐๐ บาท แถมเป็นเครื่องสูบน้ำได้ด้วย ก็เลยเงียบ ๆ ไป

ปรากฏว่าประมาณปลาย ๆ ปี ๒๕๔๘ ผอ.การไฟฟ้าฯ วิ่งมา บอกว่าช่วยเซ็นอนุมัติให้ปักเสาเข้าไปที่วัดด้วย อาตมาบอกว่าไม่มีเงินทำ ท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องใช้เงินครับ ตอนนี้ทางการไฟฟ้าฯ ทำให้ฟรี เพราะท่านนายกฯ ทักษิณมีคำสั่งว่า ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๘ ทุกบ้านที่มีทะเบียนบ้านจะต้องมีไฟฟ้าใช้ ไม่อย่างนั้นผอ.การไฟฟ้าฯ โดนเฉ่ง..!" สรุปแล้วถึงเวลาอาตมาเสียค่าต่อไฟเข้าวัด ๓๐๐ บาท จบเลย...๓ ล้านบาทเหลือแค่ ๓๐๐ บาท
..!

ทำงานอย่างนี้จะไม่ให้ชาวบ้านคิดถึงคุณทักษิณได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..รัฐบาลไหน ๆ ก็ทำได้ แต่ทำแล้วให้ประโยชน์ตกถึงชาวบ้าน
คุณจะเป็นฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐบาลลงไปเป็นฝ่ายค้านก็แล้วแต่ ถึงเวลาทำแล้วให้ประโยชน์ตกถึงชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็รักทั้งนั้นแหละ

ถ้าชาวบ้านเขารักเมื่อไร แสดงว่าคุณมีเกราะป้องกันชั้นดี เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขาติดจานดาวเทียมกันเกือบทุกบ้านแล้ว ไม่ใช่อยู่บ้านนอกคอกนาสุดกู่ปลายตะโกน ไม่รู้เรื่องอะไรเสียเมื่อไร โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาตื่นตัวทางการเมืองกันมาก มีการจับกลุ่มกันเป็นทีม อย่างที่ทองผาภูมิก็มีทีมพัฒนาท่าขนุน เขาเรียกทีมชุมชนพัฒนา ทีมรักษ์ท่าขนุน ทีมชุมชนแควน้อย ทีมชุมชนวังท่าขนุน เขาจะแบ่งออกเป็น ๔ - ๕ ชุมชน ต่างคนต่างมีหัวหน้าชุมชนบริหารกันเอง ดูว่าชุมชนของใครจะเจริญกว่า เขาแข่งกันอย่างนี้"

เถรี 20-12-2012 22:10

ถาม : สงเคราะห์เรื่องงาน ?
ตอบ : สงเคราะห์อย่างไร ? ถ้าไม่เอางานให้บอกได้ มาบอกให้อาตมาช่วยสงเคราะห์หน่อย ไม่ได้บอกว่าให้ทำอย่างไรนี่ ?
เอาอย่างนี้ ให้ไปบนพระวิสุทธิเทพว่า ถ้าได้งานแล้วจะเจริญกรรมฐาน พร้อมรักษาศีล ๘ ทั้งหมด ๗ วัน


ถาม : บนแล้วกลัวไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จงกลัวต่อไป

ถาม : ถ้าไปขัดส้วม ?
ตอบ : ไปวัดท่าซุงก็ได้ ไปขัดส้วมที่นั่น ที่ให้ไปวัดท่าซุงเพราะส้วมมี ๓,๐๐๐ กว่าห้อง ดูว่าจะขัดไหวไหม ? ต่อไปต้องทิ้งให้พวกตกงานขัดโดยเฉพาะ ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ทำความสะอาดสักหนึ่งเดือน..!

เถรี 20-12-2012 22:15

จะตำหนิโยมก็ไม่ได้ เพราะเป็นปกติของปุถุชนทั่ว ๆ ไป ถ้าเรายังไม่เคยประสบกับคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริง ความเชื่อมั่น ความเลื่อมใสจริง ๆ ก็ยังไม่เกิด ฉะนั้น..ที่พระท่านออกธุดงค์ก็เพื่อความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยนี่แหละ เมื่อพระธุดงค์ออกป่า ที่พึ่งอะไรก็ไม่มี เหลืออย่างเดียวคือพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปิศาจอะไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะสู้คุณพระรัตนตรัยได้ กี่ครั้ง ๆ ก็สู้คุณพระรัตนตรัยไม่ได้ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่น ความเลื่อมใส มีขึ้นไปตามลำดับ

ถ้าถึงขนาดแน่นแฟ้นไม่คลอนแคลนเมื่อไร ถึงเวลาก็จะมั่นใจว่าคุณพระศรีรัตนตรัยมีจริง สามารถช่วยเหลือเราได้จริง ก็จะยึดมั่นชนิดไม่เปลี่ยนแปรไปไหน นั่นก็คือเกิดความเคารพในคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง

เถรี 20-12-2012 22:30

ถาม : หมอผี....(ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พวกนี้ถ้าเขาทำพระตายได้ เขาถือว่าเป็นประกาศนียบัตรของเขา ค่านิยมของเขาเป็นอย่างนั้น บางรายนิสัยอันธพาลชัด ๆ เลย

แบบเดียวกับ "ไดซะเหงี่ย" หมอผีบ้านตีนตก เดินเหล่มาแต่ไกล จนอาตมาตวาดว่า “เป็นอย่างไร ? จำพ่อมึงไม่ได้หรือ ?” เขาสะดุ้งเฮือก “อาจารย์เองหรือครับ ?” “เออ..กูเอง” ไม่ได้ยินเสียงทำเป็นจำอาตมาไม่ได้ เขาเป็นหมอผี ทำคนอื่นไว้เยอะ โดนเขาเล่นกลับ เมียโดนของ ตัวเองแก้ไม่ตก ท้ายสุดต้องมาขอให้อาตมาช่วย พอช่วยรักษาเมียแกหาย แกจำแค่ตรงนั้นแหละ พอไปเจอกันที่อีกหมู่บ้านหนึ่งแกไม่จำแล้ว ปีต่อไปเจอกันอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตรงเข้ามาจะเฉ่งอาตมาอีก สันดานอย่างนี้น่าจะปล่อยให้โดนเสียเอง..!

เถรี 20-12-2012 22:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้คนทองผาภูมิตายติด ๆ กัน ตั้งแต่เดือนที่แล้วถึงเดือนนี้ ๖ ศพเฉพาะฆราวาส พระมรณภาพไปอีก ๓ รูป รวมแล้ว ๙ ศพ ตอนนี้ศพยังคาวัดท่าขนุนอยู่เลย

คนเราเวลาตกน้ำแล้วมักจะรีบเปิดรถตะกายหนี ตอนเปิดรถน้ำจะทะลักเข้าไป แล้วจะดันเราออกไม่ได้ เวลารถตกน้ำต้องตั้งสติให้ดี ๆ ดูว่าด้านไหนที่ไม่จม แล้วเปิดกระจกมุดออกมาด้านนั้น อย่าไปเปิดประตูพรวดเดียว ถ้าทำอย่างนั้นน้ำจะทะลักดันเข้า เราจะออกไม่ได้ แล้วรถจะจมเร็วมาก เพราะว่าอากาศหมด แต่ถ้าเราไม่รีบเปิดประตู รถจะลอยอยู่ได้ระยะหนึ่ง

น่าจะปี ๒๕๒๖ เขาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงอุทัยธานี รถทุกคันก็เลยต้องผ่านหน้าวัดท่าซุงแทน ไม่รู้รถทัวร์ลงแพท่าไหน วิ่งเลยแพแล้วตกน้ำไปเลย ด้วยความที่คนตกใจนั่นแหละ ทุบกระจกจะตะกายออก น้ำก็ทะลักเข้าไป ตัวเองก็ตะกายไม่ออก รถก็จม สรุปว่างานนั้นเจอไป ๑๙ ศพ..!

มีโยมอยู่ครอบครัวหนึ่งรถเต็มบ้านเลย รถเก่า ๆ หมดสภาพแล้ว แต่เขาตัดใจขายไม่ได้ คันนั้นก็ใช้มา ๕ ปี คันนี้ก็ใช้มา ๘ ปี รักรถ
สรุปแล้วต้องเสียเงินต่อทะเบียนทุกปี รถไม่ได้ใช้เลย ต้องเสียเงินต่อทะเบียนปีละเป็นแสน ขนาดรถเก่า ๆ ยังตัดใจไม่ได้ แล้วจะตัดร่างกายได้ไหมนั่น ?"

เถรี 20-12-2012 22:46

ถาม : ผมไปทำสปาที่ต่างประเทศ
ตอบ : ได้ใบอนุญาตหรือยัง ? ทำให้เรียบร้อยนะ ไปถึงใช้วิธีไหว้เจ้าที่แบบของเรา ตั้งใจขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้งานการเจริญรุ่งเรือง แล้วเราจะทำบุญให้เขาไปเรื่อย ๆ

ถาม : ตั้งศาลพระภูมิ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...เพราะบ้านเขาไม่นิยม ถ้าเราไปทำจะกลายเป็นแปลก ศาลพระภูมิฝรั่งเรียกว่า Spirit House (บ้านผี)

ถาม : เวลาบวงสรวงใช้เวลาไทยหรือเวลาบ้านเขา ?
ตอบ : ใช้เวลาบ้านเขา อย่าใช้เวลาไทยเป็นอันขาด อยู่บ้านไหนให้ใช้เวลาบ้านนั้น

เถรี 20-12-2012 22:51

ถาม : ถ้าเกิดสงคราม ประเทศเยอรมันจะอยู่ได้ไหม คิดว่าจะไปเปิดสปาที่นั่น ?
ตอบ : จะไปกลัวอะไร ถ้าเกิดสงครามขึ้นมา ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดน่าจะเป็นที่นั่นแหละ

ถ้าพวกเราติดตามข่าวสงครามอิรัก-คูเวต หรือไม่ก็เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธแล้วไม่สำเร็จสักที ขอให้รู้ว่าเป็นฝีมือของเขานั่นแหละ ทุกวันนี้อเมริกายังไม่รู้เลยว่าทำไมแพทริออตถึงสกัดจรวดสกั๊ดของอิรักไม่อยู่ เขาจับโยกเล่น ๆ ดูว่าจะทำได้ไหม ส่วนเกาหลีเหนือนี่โดนลูกหมั่นไส้ ยิงเมื่อไรเขาจับโยนลงน้ำหมด เกาหลีเหนือก็คงนึกว่านักวิทยาศาสตร์ของเขาแก้ไขข้อบกพร่องหมดแล้ว ทำไมยิงทีไรตกน้ำทุกที

เถรี 20-12-2012 22:54

ถาม : พระกริ่งพิชัยสงครามมีเนื้อทองคำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...พระกริ่งมีแต่เนื้อชุบเงินกับชุบทองเท่านั้น เดี๋ยวเอาไว้สร้างอีกรุ่นหนึ่งแล้วค่อยทำเนื้อทองคำแล้วกัน หนักองค์หนึ่ง ๗ - ๘ บาท ดูซิว่าจะมีปัญญาบูชากันไหม ? แล้วก็มาบ่นว่ากินแต่บะหมี่สำเร็จรูป..!

เถรี 20-12-2012 23:00

ถาม : เมื่อก่อนทำทานแล้วจะเกิดปีติ เดี๋ยวนี้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกทำไปตามหน้าที่ บาปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ผิด...ก่อนหน้านี้กำลังใจเรายังต่ำอยู่ พอเราทำก็ยังเกิดปีติ แต่พอกำลังใจของเราเคยชิน จึงสูงขึ้น ถ้าภาษาพระก็คือ ทรงฌานในจาคานุสติไปแล้ว ในเมื่อเป็นฌานขึ้นมา เกินปีติ ความสุขที่เคยมีจะหมดไป เพราะกำลังใจสูงกว่า แต่เรายังคงทำทานเป็นปกติอยู่ เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นดี

ไม่ใช่ว่าปรามาส ไม่ใช่ว่าบาป แต่กำลังใจดีขึ้น ถ้าทำแล้วยังมีปีติทั้งปีทั้งชาติ แสดงว่ากำลังใจไม่ได้ขยับไปไหนเลย


ถาม : การที่กำลังใจเราขยับเพราะว่าเราทำมาก ?
ตอบ : เพราะทำบ่อย ๆ แล้วชิน พอชินแล้วต่อไปเหลือแค่รู้ว่าดีก็ทำ กำลังใจถัดจากนี้ก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ถัดไปก็คือไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ผ่ากลางหลุดไปเลย

เถรี 20-12-2012 23:05

ถาม : ผู้ที่คล่องตัวในอิทธิบาทสี่ สามารถอธิษฐานให้อยู่ยาวถึง ๑ กัป หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : หมายความว่าจะอยู่นานเท่าไรก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑ กัป

ถาม : ผู้ที่คล่องตัวในอิทธิบาทสี่ ต้องปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

เถรี 22-12-2012 12:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วที่ดินวัด โดยพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์มีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน ก็คือ ที่ตั้งวัด เป็นสถานที่ซึ่งวัดวาอารามนั้นตั้งอยู่ ประเภทที่ ๒ คือที่ธรณีสงฆ์ เป็นพื้นที่ของวัด อยู่มุมไหนของโลกก็ได้ เป็นคนละผืนกับที่ตั้งวัด และที่กัลปนา เป็นที่ซึ่งเจ้าของอุทิศเฉพาะผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในที่ผืนนั้นให้แก่ทางวัด อย่างเช่น ปวารณาว่าที่ดิน ๒๐ ไร่ที่ปลูกข้าวนี้ ถวายสงฆ์เป็นกัลปนา ถ้าเกี่ยวข้าวได้แล้ว แล้วแต่ทางวัดว่าจะเอาข้าวไปทำอะไร แต่ที่ผืนนั้นยังเป็นของเจ้าของอยู่

ก็เลยไม่แน่ใจว่าบ้านวิริยบารมีหลังนี้ตั้งใจให้เป็นที่กัลปนาหรือเปล่า ? เขาถวายมาแต่กุญแจบ้าน ถ้าใช่จะได้เปิดให้เช่าเสีย โดยเฉพาะถ้าอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้นะ เวลาใครขี้เกียจเดินทางก็มาเช่านอนเสาร์-อาทิตย์

เขาใช้คำว่า "กัลปนาผล" ผลที่เกิดขึ้นในที่นั้น อย่างเช่น ที่ดิน ๑ ไร่มีลำไยอยู่ ๔๐๐ กว่าต้น เวลาลำไยนี้เกิดผล ขอถวายเป็นกัลปนาให้แก่ทางวัด วัดก็ไปจัดการเอาเอง จะติดต่อให้พ่อค้ามาซื้อหรือตกลงให้เขาเก็บกันเอง อะไรก็แล้วแต่ เวลาคิดราคาท้องตลาดได้เท่าไรก็มาถวายพระ ไว้ใช้จ่ายในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่อไป"

เถรี 22-12-2012 12:37

"เวลาเราได้ยินคำว่า "กัลปนา" ก็สงสัยว่าเกิดจากอะไร ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่พื้นที่เป็นนา พอวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีคดีฟ้องร้องกัน เพราะชาวบ้านอาศัยอยู่รอบวัดเต็มไปหมด ขับไล่แล้วก็ไม่ไป ผลปรากฏว่าทางวัดชนะ เพราะมีจดหมายเหตุที่ระบุไว้สมัยพระเจ้าทรงธรรมว่า ถวายที่รอบพระพุทธบาท ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) เป็นที่กัลปนาให้แก่ทางวัด กินแดนไปถึงวัดหลวงตาวัชรชัย วัดหลวงตาห่างแค่ ๖ กิโลเมตรเอง

จะฟ้องร้องครอบครองโดยปรปักษ์ก็ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายระบุไว้ชัดเลยว่า ห้ามยกอายุความขึ้นฟ้องร้องกับทางวัด อันนี้กฎหมายเขารักษาวัดเต็มที่เลย ที่วัดจะทำการจำหน่ายจ่ายโอนได้ต่อเมื่อออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น เพราะฉะนั้น..กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เขาจะติดคุกหัวโตกันก็เพราะเหตุนี้แหละ คือเพราะว่าเป็นที่วัด

เมื่อเป็นที่วัด จะจำหน่ายได้ก็ต้องเข้าประชุมรัฐสภา ให้อนุมัติออกมาเป็นพระราชบัญญัติ ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย ถึงจะจำหน่ายจ่ายโอนได้ เขารักษาวัดเต็มที่ เพราะเขากลัวชาวบ้านจะเอาที่วัดไปกินหมด"

เถรี 22-12-2012 18:59

"มีวัดตัวอย่างก็คือวัดดอนเจดีย์ที่สุพรรณบุรี เจ้าอาวาสคือพระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ เป็นเพื่อนร่วมเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ ป.บส. จนถึงปริญญาตรี พอปริญญาโทท่านจึงไปเรียนที่อื่น

ทางเทศบาลมาช่วยทำถนนในวัดให้ด้วยความหวังดี ทำถนนเสร็จสรรพวัดซวย..! เพราะถนนแบ่งพื้นที่ตั้งวัดกับพื้นที่อีกส่วนออกจากกัน จากที่ผืนเดียวกันก็เลยกลายเป็นที่ตั้งวัดกับที่ธรณีสงฆ์ แล้วเขาใช้ที่ทางด้านธรณีสงฆ์สร้างหอประชุมและอาคารอื่น ๆ ของเทศบาล ทางวัดบอกว่าเป็นที่ตั้งวัด อนุญาตให้ไม่ได้ เทศบาลดันไปค้นกฎหมายมา สรุปชี้เขตว่าถนนกั้นอยู่ ก็เลยไม่ใช่ที่ตั้งวัด เป็นคนละผืนกันไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ถนนก็อยู่บนที่ผืนเดียวกัน เฮงจริง ๆ เลย ทำเอาพระครูวิบูลฯ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ยังฟ้องร้องกันไม่จบเลย

บางทีความหวังดี ก็กลายเป็นความประสงค์ร้ายโดยไม่เจตนา ใครจะไปนึกว่าตั้งใจทำถนนให้วัด กลายเป็นตัดที่วัดออกเป็น ๒ ส่วน ที่ตั้งวัดกับที่ธรณีสงฆ์กลายเป็นคนละส่วนไปเลย กฎหมายเขาเอื้อให้ขนาดนี้ ก็ยังมีคนบุกรุกที่วัด โกงที่วัดเป็นประจำ

อย่างวัดประตูด่าน หลวงพ่อสมคิดเอาแทรกเตอร์ไปไถรอบเลย ไถให้เห็นชัด ๆ ว่านี่เขตวัด ไม่อย่างนั้นชาวบ้านก็ลุยไปเรื่อย ขนาดนั้นยังเหลือแค่ ๘๘ ไร่เอง เพราะว่าที่ราคาแพง ทันทีที่มีการตัดถนนข้ามไปท่าเรือน้ำลึกของทวาย ที่ดินขึ้นราคา
จากไร่ละไม่กี่หมื่นเป็นไร่ละล้าน ๆ เลย คราวนี้ชาวบ้านก็บุกที่วัดกันเป็นปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครอยากได้"

เถรี 22-12-2012 19:03

"หลวงพ่อพระพรหมดิลกไปเป็นประธานฉลองพระพุทธสิหิงค์ ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว บ่นว่า “เล็กเอ๊ย...ทำไมลูกน้องแกแต่ละคนอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเลยวะ ?” กราบเรียนท่านว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเอาครับหลวงพ่อ เขามาอยู่..พอเห็นว่าไกลก็ทิ้งกันหมด คราวนี้พอมีถนนจะตัดผ่านไปท่าเรือน้ำลึกทวายก็แย่งกันจะเอา ไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้ลูกน้องผมกวาดวัดแถวนี้ไว้หมดแล้ว”

หลวงพ่อสมคิดยังบอกกับท่านติงลี่ว่า “เมื่อ ๖ - ๗ ปีก่อนผมนั่งรถมากับท่านอาจารย์เล็ก แล้วก็ท่านก็ชี้ทีละวัด ๆ บอกว่า..ต่อไปผมต้องไปเอากฐินมาทอดให้ทุกวัด..ผมก็ยังคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร” ปรากฏว่าตอนนี้เป็นวัดสาขาของวัดท่าขนุนหมดแล้ว ต้องเอากฐินมาทอดให้ พูดตอนคนยังไม่เห็น..เขาก็ไม่เชื่อ

ต้องบอกว่าหลวงพ่อสมคิดท่านไปได้ดีตอนที่อาตมาบอกให้ตุนน้ำมันดีเซลเอาไว้บ้าง ตอนนั้นน้ำมันขึ้นราคาเป็นลิตรละ ๑๒ บาท ท่านก็ให้ลูกน้องซื้อใส่ถัง ๒๐๐ ลิตรไว้ ๒ ถัง ลูกน้องก็บอกว่า “หลวงพ่อจะตุนไปทำไม เกะกะวัดเปล่า ๆ” ปรากฏว่าน้ำมันขึ้นพรวดพราดไป ๒๐ กว่าบาท ท่านนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว คนอื่นเติมน้ำมันแพงช่างหัวมัน เรามีน้ำมันถูกเติมก็แล้วกัน ๔๐๐ ลิตรนี่ใช้ได้เป็นปี"

เถรี 22-12-2012 19:06

"อาตมาไปทอดกฐินที่วัดประตูด่าน มีเงินรับมาเท่าไรก็ใส่ให้เขาไปเท่านั้น ปรากฏว่ามีโยมคนหนึ่งถวายทองคำแท่ง ๕ บาทเป็นส่วนตัว อาตมาตั้งใจจะหล่อพระอยู่แล้ว จึงรับขึ้นมาแล้วถามว่า "ทำไมถึงถวายเป็นส่วนตัว ?" เขาบอกว่าสมัยทองบาทละ ๖,๐๐๐ บาท พระอาจารย์บอกให้ซื้อเอาไว้มากหน่อย เพราะต่อไปจะขึ้นราคาเป็นเท่าตัว เขาซื้อไว้เยอะเลยแบ่งถวายมา ๕ บาท

ของบางอย่างต้องบอกว่าอยู่ที่บุญคน เพราะพูดไปมีแต่เขาสนใจอยู่คนเดียว คนอื่นไม่มีใครสนใจ แต่เห็นว่ามีคุณสายัณห์ ลี้หิรัญญพงศ์ เอาปัจจัยมาถวาย ๑ แสนบาท ถามว่าทำไม ? “ได้กำไรจากขายทองครับ พอพระอาจารย์พูดเลยไปซื้อทองไว้ พอทองขึ้นราคาเอาไปขายได้กำไร จึงเอามาถวาย ๑ แสนบาท”

ถึงบอกว่ามีคนฟังอยู่เยอะแยะ แต่มีคนที่ทำบุญด้านนี้เอาไว้ เขาจะได้ของเขาเอง ต่อให้เขาไม่ได้จากอาตมา เดี๋ยวก็เดินไปสะดุดทองที่คนทำหล่นหัวทิ่มไปเอง"

เถรี 22-12-2012 19:16

"นึกถึงคนไปฉี่แล้วได้เงิน ๘๐,๐๐๐ บาท สมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชามราคา ๕ สตางค์ ตอนนั้นเขานิยมไปขุดพลอยแถวอำเภอบ่อพลอย คนนี้เขาไปดูเฉย ๆ ว่าคนอื่นขุดได้อะไรกันบ้าง ปรากฏว่าปวดฉี่ ไปยืนฉี่ตีนก็คัน ไปเตะพวกหินที่เขาโกย ๆ จากบ่อแร่ พอเตะเสร็จหินพลิกขึ้นมาเห็นแวบหนึ่ง รู้สึกว่าสีแปลก ๆ ก็เลยเก็บก้อนนั้นขึ้นมาดู เป็นหินใหญ่ประมาณลูกมังคุด ปรากฏว่าเป็นมรกต ก็คือพลอยเขียวส่องนั่นแหละ

พ่อค้าแถวปากหลุมขุดพลอยเขาตีราคาให้ ๑ แสนบาท ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาทสมัยนี้ ตีแบบถูก ๆ เลยนะ ๑ แสนบาทก็ ๘๐ ล้านบาทแล้ว แต่เขาไม่ขาย เขาคิดว่าถ้าเอาเข้ากรุงเทพฯ น่าจะได้ราคาดีกว่า จึงเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนั้นเลย เพราะถ้าอยู่ต่ออาจจะตายได้..!

ปรากฏว่าพอมาถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นผีถึงป่าช้า เขาตีราคาให้แค่ ๘๐,๐๐๐ บาท ก็จำเป็นต้องเอา ขืนย้อนกลับไปที่บ่อพลอย อาจจะโดนฝังอยู่ใต้บ่อแถวนั้น ที่นั่นจึงได้ชื่อว่าบ่อพลอยมาจนทุกวันนี้

คนเราถ้าสร้างบุญเอาไว้ ถึงวาระจะส่งผลอย่างไรก็ต้องได้ นั่นแค่ตั้งใจไปฉี่ ได้เงินไป ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนั้น"

เถรี 22-12-2012 19:20

"ที่จันทบุรีเขาก็ขุดพลอยกัน ขุดจนถล่มทับตายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร บ่อก็ลึกลงไป ๆ ถ้าโดนกลบอยู่ขุดขึ้นมาไม่ทันก็ตายอยู่ในนั้นแหละ ปรากฏว่ามี ๒ ผัวเมียอพยพมาจากโคราช มีลูกเล็ก ๆ เหน็บเอวมาคนหนึ่ง ตั้งใจจะมาขุดพลอย ไม่ว่าหลุมไหนก็มีเจ้าของหมดแล้ว มีลูกจ้างหมดแล้ว ตัวเองก็ไม่มีเงินที่จะไปซื้อที่เขามาขุด เพราะว่าที่นี่ ๑ คืบ หรือ ๑ ศอก ก็เป็นราคาหมด

เขาไปดูหลุมร้างที่คนอื่นทิ้งแล้ว คิดว่าอย่างไรก็ดีกว่าอดตายเปล่า ๆ โกยไปแค่ ๒ - ๓ ปุ้งกี๋ได้ทับทิมเม็ดเบ้อเร่อเลย ทุกวันนี้กลายเป็นพลอยคู่บ้านคู่เมืองของจันทบุรี น้ำหนัก ๓๐๐ กว่ากะรัต

ตอนแรกนายทุนต่างประเทศมาซื้อ แต่ปรากฏว่าคนเมืองจันท์ไม่ยอม ทับทิมจันท์ต้องอยู่กับจันทบุรี พวกพ่อค้าเขาลงขันกัน ๓๐๐ ล้านบาทซื้อขึ้นมา คนจะอดตายอพยพมา ขอเป็นลูกจ้างเขาก็ไม่มีใครจ้าง ต้องไปหาบ่อพลอยร้างขุดเอง โกยแค่ไม่กี่ปุ้งกี๋ได้ไป ๓๐๐ ล้านบาท ตอนนี้หายตื่นเต้นหรือยังก็ไม่รู้ ?"

เถรี 22-12-2012 19:25

"เวลามีงานเขาเอาพลอยเม็ดนี้ออกมาแสดง เป็นพลอยแดงที่เขาเรียกว่าทับทิมจันท์ ต้องบอกว่าคนจันทบุรีเขารักจังหวัดของเขาจริง พวกพ่อค้าทั้งจังหวัดลงขันกันซื้อ เอาเก็บไว้เป็นสมบัติของจังหวัดจันทบุรี

ที่เมืองกาญจน์ไม่มีบ่อพลอย มีแต่นิล สมัยนี้พลอยก็ต้องไปดูที่บลูซัฟไฟร์ ตอนนี้บลูซัฟไฟร์ส่วนหนึ่งกลายเป็นสนามกอล์ฟ เพราะบ่อพลอยที่เขาขุดกลายเป็นหลุมน้ำไปโดยปริยาย ทำสนามกอล์ฟได้สบายเลย พอถึงเวลาเขาก็ออกแบบให้เป็นสนามกอล์ฟตามภูมิประเทศ อาศัยหลุมเก่า ๆ ที่ขุดพลอยนั้นแหละ

ก่อนหน้านี้จะมีงานอัญมณีและเห็ดโคนของบ่อพลอย มาตอนหลังรู้สึกว่าเขาจะจัดเป็นงานของจังหวัด อาตมาเคยไปดูอยู่เที่ยวหนึ่ง เขาเอาเศษพลอยมาทำเป็นภาพ ๘ เซียนข้ามทะเล ขาย ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท ยังนึกเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ซื้อไว้ เขาทำได้งามจริง ๆ เพราะว่าสีทั้งหมดก็คือเศษ ๆ ของพวกพลอยสารพัดสี

โดยเฉพาะน้ำทะเลน่าจะประมาณ ๒ x ๔ ฟุตได้ ตอนนั้นไม่ได้พกเงินไป ไม่นึกว่าจะเจอ กลับไปอีกทีหายไปแล้ว แสดงว่าอะไรที่เราเห็นว่าสวย คนอื่นเขาก็เห็นเหมือนกัน มาระยะหลังไปเจอแต่รูปเล็ก ๆ เพราะรูปใหญ่ราคาจะแพงมาก แล้วจะหาที่สวยอย่างนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว