![]() |
"ตอนนี้ทางวัดเขาอ้อกำลังตามลูกชายของท่านอาจารย์ รศ.ดร.สมพร แสงชัยอยู่ อยากให้ไปเรียนวิชาสายนั้นแล้วเป็นเจ้าอาวาส เพราะเขาไปแล้วใช้ทิพจักขุญานดู เจอพระเครื่ององค์หนึ่งเกิดชอบใจ ไปปลุกหลวงปู่กลั่นตั้งแต่ตอนตี ๕ บอกว่าเห็นภาพพระเครื่ององค์นี้ หน้าตาแบบนี้ ช่วยหาให้หน่อย
หลวงปู่กลั่นบอกว่าหมดไปนานแล้ว เขาบอกว่ายังมี หลวงปู่จึงต้องให้ลูกศิษย์ช่วยค้นทั้งกุฏิ ปรากฏว่าเจอจริง ๆ มีเหลืออยู่องค์เดียว ก็เลยต้องให้เขาไปเพราะเขารู้จริง และยังบอกว่าให้ช่วยมาเรียนวิชาหน่อย จะได้เป็นเจ้าอาวาสต่อ แต่คราวนี้ท่านไม่เอา..หนีเลย สายนั้นเขาชอบคนที่รู้จริงลักษณะนี้ เขาบอกว่าเรียนวิชาแล้วจะทำได้ขึ้นมาก สมัยก่อนตอนที่หลวงปู่กลั่นอยู่ อาตมาก็จะแวะไปทุกครั้งที่ลงพัทลุง แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะคุยกับใคร พระอาวุโสสายใต้ตอนนี้มีหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน หลวงพ่อคล้อย วัดภูเขาทอง แต่คนรุ่นหลัง ๆ สมัยนี้ความอดทนไม่ค่อยมี วิชาไหนยากก็ไม่เอา ไม่มีความพยายามเลย" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานท่านแบงค์ (พระทรงพล กิตฺติปญฺโญ) พระของวัดท่าขนุน พาครอบครัวมาทำบุญ เนื่องในโอกาสที่น้องสาวเอารถไปชนเละมา..! น้อง ๆ ไม่เคยเข้าวัดเข้าวาอะไรเลย มาแล้วทำตัวไม่ถูก เก้ ๆ กัง ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าพระ เขาเอารูปถ่ายมาให้ดู เพิ่งออกรถมาได้เดือนกว่า ๆ รถชนจนไม่มีชิ้นดี ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยอีกต่างหาก แต่คนกลับไม่เป็นอะไรเลย
เขาบอกว่าในรถมีพระปิดตาวัดท่าขนุนอยู่องค์เดียว อาตมาเลยบอกว่า "ไม่ต้องบอกว่ารุ่นไหน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวราคาจะแพงกว่านี้..!" ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบายในการนำคนเข้าวัดอย่างหนึ่ง พระท่านถึงสงเคราะห์ให้ขนาดนั้น ปกติแล้วเวลารถชน ไม่ต้องหนักขนาดนั้นหรอก ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดก็มักจะบาดเจ็บทุกราย แต่นี่ชนจนรถหมดสภาพ คนกลับไม่เป็นอะไร แล้วท้ายที่สุด คนที่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวาก็เข้าวัด อาจจะเป็นเพราะดีใจที่รอดตาย..! เมื่อเข้าวัดมา..การทำความดีขั้นพื้นฐานคือทาน ซึ่งได้ทำไปแล้ว ต่อไปก็เหลือแต่ศีลกับภาวนา การทำความดีแม้ว่าจะเป็นเพียงขั้นพื้นฐานก็ตาม เท่ากับเป็นการหว่านเพาะเมล็ดความดีขึ้นในชีวิตของเขา ถึงเวลาก็ย่อมออกดอกออกผล ส่งผลดีให้ในภายภาคหน้าเอง เพราะว่าความดีความชั่วจะทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็ย่อมส่งผลให้ทั้งนั้น" |
ถาม : อย่างไรเรียกว่ามีการประมาณในการกิน ?
ตอบ : กินเพื่ออยู่ ถ้าพิจารณาแบบพระ เขาบอกว่า จะไม่กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่กินเพื่ออวดร่ำอวดรวย ไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้น ภาษาบาลีเขาว่า นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ กินเพื่อประดับ กินเพื่อตกแต่ง พวกนี้เป็นประเภทกินเพื่ออวดร่ำอวดรวย ไม่ใช่คาร์เวียร์ไม่กิน ไม่ใช่ไวน์อายุร้อยปีไม่กิน ท้ายที่สุดออกมาก็เป็นสิ่งปฏิกูลเหมือนกัน ลองถามท่านกอล์ฟสิ..รายนั้นมักจะมีแนวคิดแปลก ๆ ตอนที่เขาอวดกันว่ากินไวน์ขวดละแสน ท่านกอล์ฟบอกว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วควรจะอั้นไว้สัก ๔ - ๕ ชั่วโมง จะได้คุ้มกับราคาหน่อย..! ถาม : ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเรากินเพราะต้องกิน หรือกินเพราะติดในรสอาหาร ? ตอบ : อาตมาเตือนพระเณรไว้ว่า ตักช้อนแรกไปแล้ว ถ้าตักซ้ำช้อนที่สองในอาหารอย่างเดิมนี่ ให้คิดแล้วว่าเรากินเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ หรือว่ากินเพราะอร่อย ? พูดง่าย ๆ ก็คือ กินให้ร่างกายอยู่ได้ หรือกินเพราะตามใจกิเลส อย่างอาตมาก็จะตักไล่ไปเรื่อย กว่าจะครบอย่างละช้อนก็แทบตายแล้ว ถ้าไปจ้วงซ้ำสองเมื่อไรต้องนึกแล้วว่ากินตามใจกิเลสหรือเปล่า ? เพราะอาหารอาจจะอร่อยจึงทำให้เราตักเพิ่ม ถาม : ตอนลดความอ้วน ใช้สูตรไม่กินอะไรเลย ๓ วัน หิวก็จิบน้ำอ้อยเอา น้ำอ้อยแค่ครึ่งลิตรก็อยู่ได้ทั้งวัน ไม่หิว แสดงว่าที่เรากินอยู่ทุกวันนี่สนองกิเลสล้วน ๆ หรือเปล่าคะ ? ตอบ : จะไปยากอะไรก็ลองลดเหลือมื้อเดียว ดูซิว่าเราจะอยู่ได้ไหม ? ถ้าอยู่ได้แสดงว่าที่ผ่านมากิเลสหลอกเรามาตลอด |
สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนว่า ถ้าช่วงเย็นหิวขึ้นมา ให้เอาน้ำร้อนหนึ่งแก้ว ใส่น้ำตาล ๑ ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วฉันลงไป แค่นั้นก็พอแล้ว ท่านบอกว่าน้ำร้อนจะทำให้กระเพาะขยายตัว ไม่บีบรัด ทำให้ไม่หิว น้ำตาลไปเพิ่มสารอาหารให้ ร่างกายจะได้ไม่เรียกร้องอีก
แต่อาตมาเคยชินกับน้ำเปล่า เพราะว่าหลวงพ่อทวน โฆสโฏ วัดตีนตก ท่านพาพระลูกพระหลานไปธุดงค์ ย่ามของท่าน ๒ ใบ ตอนนั่งพักอาตมาลองไปขอยกดู ใบเดียวยังยกไม่ขึ้นเลย..! พอท่านล้วงออกมาให้ดู ปรากฏว่ามีน้ำตาลอยู่ ๑๓ กิโลกรัม..! ท่านแบกไปเผื่อคนอื่นทั้งนั้น ตัวท่านเองไม่ได้ฉันหรอก พระที่ตามไป ๗ - ๘ รูป หลวงพ่อทวนท่านแบกไปเลี้ยงทั้งหมด อาตมาก็เลยเห็นโทษว่า ถ้าต้องแบกเยอะขนาดนี้ ไม่ไปยุ่งกับของกินดีกว่า |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานนี้ อาจารย์สมชาย วัดเกาะแก้ว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โทรศัพท์มาตอนอาตมาอยู่เขตสุพรรณบุรีพอดี ท่านบอกว่า “ปีนี้โยมอยากจะไปรับยันต์เกราะเพชรกันจำนวนมาก ผมสู้ค่ารถไม่ไหว ขออนุญาตจัดให้โยมรับยันต์กันที่วัดได้ไหมครับ ?”
อาตมาบอกว่า “ได้สิ..ปกติผมก็อยากให้รับอยู่ที่วัดหรือที่บ้าน ไม่อยากให้มาวัดผมหรอก วัดผมเล็กเกินไป คนไปมากก็เกะกะ ไม่มีที่พอจะรองรับ” ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาแล้วจะเปิดการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ตให้โยมฟัง แล้วก็ปฏิบัติตาม ท่านถามว่าต้องมีบายศรีไหม ? อาตมาก็เรียนท่านไปว่า ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง เตรียมบายศรีไว้ด้วยก็ดี เพราะเท่ากับว่าเราตั้งใจบูชาพระจริง ๆ เมื่อถึงเวลาก็บูชาพระรวมกันด้วยเครื่องบายศรีนั้น หลังจากนั้นตอนรับ ต่างคนก็ใช้ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม ถ้ามีโยมที่ท้องมาก็เตรียมให้ลูกในท้องอีกชุดหนึ่ง รู้สึกว่าท่านโล่งใจมากที่แก้ปัญหาได้ ส่วนใหญ่แล้วพระจะมีญาติโยมติดตามมาก แต่พอติดตามแล้วท่านไปแบกภาระแทนเขา แทนที่จะจัดรถแล้วให้โยมเขาจ่ายค่ารถกันเอง ท่านก็ไปเหมารถรับโยมไป พอคนมาก ๆ เข้า ไม่มีเงินค่ารถก็เดือดร้อน ญาติโยมทางทองผาภูมิก็เหมือนกัน มีต่อว่ามาหลายครั้ง ว่าเมื่อไรอาตมาจะพาเขาไปเที่ยววัดนั้นวัดนี้บ้าง อาตมาบอกว่าโยมอยากไปก็ไปเอง ถ้าไม่ใช่งาน อาตมาไม่ไปวัดใครหรอก พวกเขาเคยชินกับระบบที่บรรดาเจ้าอาวาสพาไปทำบุญวัดนั้นทำบุญวัดนี้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งใจจะทำใต้ฐานของสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกเป็นห้องสมุดประชาชน คนไปวัดหรือชาวบ้านทั่วไปสามารถเข้าไปอ่านหนังสือได้ ให้อ่านอย่างเดียว ไม่ให้ยืม
จะตั้งคอมพิวเตอร์ไว้สัก ๖ เครื่อง ต่ออินเตอร์เน็ตให้ ห้ามเล่นเกม ห้ามดูหนัง จะโหลดความรู้อะไรไปทำได้ ลักษณะให้ชาวบ้านใช้ฟรี ทางด้านหน้ากับรอบ ๆ ด้านข้าง จะตั้งเป็นซุ้มสำหรับขายของ เหมือนตลาดชุมชน ทองผาภูมิมีของดีอะไรก็เอาไปตั้งขายรวม ๆ กันที่นั่น คิดว่าจะให้เขาตั้งฟรีไปเลย แม้กระทั่งซุ้มขายของทางวัดก็จะทำให้ เพื่อจะได้หน้าตาเหมือน ๆ กัน อยู่ในแถวแนวเดียวกัน อย่างไรต้องมีคนไปแวะนมัสการพระอยู่แล้ว ในเมื่อจะไปกราบพระ อย่างน้อย ๆ ของวัดก็ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนจำหน่าย คนอื่นอาจจะไปจำหน่ายพวกน้ำดื่ม พวกของที่มีชื่อเสียงของทองผาภูมิ เช่น ผลไม้ตามฤดูกาล ปลาส้ม เห็ดโคน เป็นต้น ตอนนี้สั่งช่างให้เตรียมเทพื้นคอนกรีตเต็มพื้นที่โดยรอบ จำนวนหลายไร่นะ ความหนาเท่ากับถนนคอนกรีตเข้าหมู่บ้าน เพื่อที่ว่าสิบล้อจะได้เข้าไปขย่มเล่นได้ ถึงเวลาก็อาศัยเป็นลานจอดรถได้ อย่างน้อย ๆ ก็จอดได้อีกหลายคัน คราวนี้ทางวัดท่าขนุนมีที่อีกผืนหนึ่งอยู่เกือบ ๒ ไร่ ที่ฝั่งตรงข้ามวัด ว่าจะจัดในลักษณะของพื้นที่พักของผู้เดินทาง เดี๋ยวว่าจะไปติดต่อทางอบต.ท่าขนุน เพราะเป็นเขตของอบต. ปัจจุบันยกขึ้นเป็นเทศบาลตำบลท่าขนุนไปแล้ว" |
"ว่าจะติดต่อขอเจาะทางจากพื้นที่ของวัด ตรงไปที่รอยพระพุทธบาทเลยจะได้ไหม ? อาตมาจะเป็นคนสร้างถนนเอง ๒ ข้างถนนอนุญาตให้ทางเทศบาลตำบลท่าขนุน หาคนมาตั้งซุ้มขายของได้ แต่ให้รักษาความสะอาดให้กับวัดด้วย ส่วนทางด้านนี้เป็นเขตของเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เดี๋ยวให้นายกเทศมนตรีประเทศฯ หาของมาขาย คุณต่างคนต่างเอาฐานเสียงของคุณมาก็แล้วกัน แต่รักษาความสะอาดให้วัดด้วย
คาดว่าเขาน่าจะตกลง เพราะเขาไม่ต้องลงทุนอะไร แต่อาตมาสิ..หมดไปหลายต่อหลายล้านแล้ว แต่ว่าทางฝั่งนั้นค่าน้ำค่าไฟจะให้เทศบาลตำบลท่าขนุนจ่าย ฝั่งนี้ค่าน้ำค่าไฟให้เทศบาลตำบลทองผาภูมิจ่าย ผลงานกลายเป็นของคุณ ให้ไปอ้างได้เลย “นี่ผมทำตลาดชุมชนมา เพื่อพี่น้องจะได้ไปตั้งร้านขายของได้” แต่ความจริงเป็นฝีมือพระเสีย ๙๙ เปอร์เซ็นต์ มุมมองที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนนี่ ถ้าไม่ใช่พระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละจริง ๆ ทำไม่ได้ จะต้องมีพวกกู ของกู ห้องสมุดจะติดเครื่องปรับอากาศให้ คุณจะไปนั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะก็ได้ อาตมาไม่ได้ว่าอะไร หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินทางต่อ ตั้งใจว่าจะขนเอาหนังสือที่พอมีเหลืออยู่บ้าง ที่ยังไม่ได้ให้ชาวบ้านเขาไปหมด เอาไปใส่ตู้ หาใครสักคนที่รู้งานจัดระบบสักหน่อย ถ้าไม่มีเดี๋ยวให้แม่ชีจัดกันมั่ว ๆ ไปก่อน แต่กว่าจะมั่วได้ต้องอ่านทุกเล่ม ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะเอาเล่มไหนใส่ตรงไหน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วอาตมาลงไปภูเก็ต ญาติโยมที่นั่นไม่ได้เจอหน้าอาตมาปีกว่าแล้ว เขาจึงไม่ยอมให้พัก แต่ละคนขออยู่นาน ๆ อาตมาก็นั่งตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้าจนถึง ๒ ทุ่ม ต้องหลับตาพูดแล้ว..ไม่ไหวแล้ว..แรงจะนั่งก็ยังไม่มี แต่น่าชื่นใจตรงที่ว่า ไม่ค่อยได้ลงไปก็จริง แต่เขาปฏิบัติได้ผลกันดีมาก
อย่างภรรยาของทิดรัตน์ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยชอบที่สามีเข้าวัด อาจจะเป็นวาระบุญของเขาก็ได้ พอภรรยาทิดรัตน์ไปนั่งปฏิบัติ สภาพจิตเห็นธรรม เขาเห็นว่าชีวิตเราไม่มีแก่นสารขนาดนี้เลยหรือ ? วันหนึ่ง ๆ ตื่นขึ้นมาก็ทำนั่นทำนี่ ทำมาหากินเสร็จ หมดไปอีกวันหนึ่งแล้ว พอพิจารณาลึกไป ๆ ท้ายสุดก็เหลือตัวคนเดียว คนอื่นก็ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอด จึงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะปีติเกิด ลักษณะแบบนี้ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว อีกหลายคนก็อยู่ในลักษณะที่ปฏิบัติแล้วมีความก้าวหน้ามาก อาตมาไม่ได้ลงไปเป็นปีก็จริง แต่โยมเขาเหมือนกับคนหิว ถึงเวลาจึงกินของเขาเต็มที่ ทำให้ได้ผลในส่วนของเขาไปเอง" |
"บางทีจึงรู้สึกว่า การที่พวกเรามีครูบาอาจารย์ ได้เจอหน้ากันบ่อย สู้คนที่ไม่ค่อยได้เจอไม่ได้ มีหลายท่านตั้งคำถาม อย่างเช่นว่า “รบกวนท่านแสดงธรรมให้ฟังด้วยเถอะครับ” อาตมาบอกว่า “ไม่มีอารมณ์ที่จะแสดงว่ะ ที่พวกคุณรู้มาก็มากเกินไปแล้ว เหลือแต่ว่าทำให้เกิดประโยชน์จริง ๆ เท่านั้น แสดงธรรมเพิ่มเข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่ของเก่าเรายังทำไม่ได้ ของใหม่เราก็ตะกายไม่ถึง"
มีบางท่านก็บอกว่า ให้ช่วยแสดงธรรมที่ทำให้เขาเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงด้วย อาตมาบอกว่านอกจากพระพุทธเจ้าแล้วสงสัยว่าจะยาก การที่เราจะเลื่อมใสพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ต้องเกิดจากการที่เราประพฤติปฏิบัติแล้วเกิดผลแก่ตัวเอง ความเลื่อมใสมั่นคงต่าง ๆ จึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าจะให้อาตมาแสดงธรรมแล้วญาติโยมเกิดความเลื่อมใสอย่างแท้จริง จะต้องบรรลุอย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป ก็คงจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่อาตมาหรอกที่ทำอย่างนั้นได้" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : การขอขมาพระรัตนตรัยให้ไปขอต่อหน้าพระประธาน ไม่ใช่ไปขอต่อหน้าตัวตนของเขา ล่วงเกินพระรัตนตรัยต้องไปขอขมาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาขอขมาอาตมา ถ้าอาตมาถือสาหาความก็ไล่เตะไปตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ไล่เตะก็แปลว่าไม่ถือโทษหรอก..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คัมภีร์พระเวทของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร จะมีอยู่ ๖ เล่มด้วยกัน เรื่องของเวทมนต์คาถา เลือกบทที่เราชอบใจขึ้นมาบทหนึ่ง แล้วทำให้เกิดผล ถ้าทำแล้วได้ผล บทอื่น ๆ จะใช้กำลังเท่ากัน ก็แค่เปลี่ยนตัวคาถา เปลี่ยนกำลังใจในการมุ่งให้คาถาสำเร็จผลเท่านั้น
แค่ซักซ้อมให้คล่องตัว ก็เอาเสียคาถาหนึ่ง อย่างที่ภาษิตจีนเขาว่า "ไม่กลัวว่ารู้พันกระบวนท่า เกรงว่าชำนาญเพลงเดียว" คนที่รู้จักพันกระบวนท่า ถ้าไม่มีความชำนาญ เราสู้ได้สบาย แต่ถ้าเขาเก่งเพลงเดียวนี่เราแย่ เพราะเขาถนัดที่สุด คล่องตัวที่สุด คนใช้คาถาก็เหมือนกัน เลือกบทที่เราชอบ จากนั้นก็ว่าให้ช่ำใจไปเลย นึกเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คิดเมื่อไรก็ทำได้เมื่อนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะรู้จริง ในเมื่อรู้จริง ถึงเวลาก็สามารถใช้งานได้ผลจริง" |
ถาม : พระโสณะเถระที่กลายเป็นผู้หญิง ตอนหลังกลับเป็นผู้ชาย..?
ตอบ : ท่าจะบ้า..! พระโสณะเถระอยู่หลังพุทธกาลมา ๓๐๐ กว่าปี เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะไปเรื่อย อันนี้คุณรู้มากเกินไปจนสับสน โสเรยยะเศรษฐี..ไม่ใช่พระโสณะ เนื่องจากพระมหากัจจายนะประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะหลายประการ มีความงามเป็นพิเศษ โสเรยยะเศรษฐีเห็นแล้วจึงเกิดความรู้สึกว่า ถ้าเมียเราสวยอย่างนี้ก็ดี คิดแค่นั้นก็กลายเป็นผู้หญิงไปเลย พอกลายเป็นผู้หญิงก็อาย หนีไปต่างเมือง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็หนีไปต่างประเทศ พอไปต่างเมืองเจอผู้ชายมาชอบพอ ไม่รู้เกี้ยวพาราสีกันอย่างไร ตกร่องปล่องชิ้นแต่งงานกันไป ทั้ง ๆ ที่ตอนเป็นโสเรยยะเศรษฐีก็มีครอบครัว มีลูกอยู่แล้ว พอไปแต่งงานไป ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงก็เลยตั้งท้อง มีลูกด้วยกันอีก ๒ คน จนกระทั่งเพื่อนเก่าจากเมืองเดิมตามมาเจอเข้า ท่านก็เข้าไปสอบถามถึงครอบครัวของท่าน พอรู้เรื่อง..เพื่อนฝูงก็เลยแนะนำให้ไปขอขมาพระเถระเสีย พอขอขมาเสร็จกลับมาเป็นผู้ชาย คราวนี้แย่ตรงที่ว่า คนหนึ่งสามีหายไปเป็นปี พอกลับมาก็ไม่ว่ากัน แต่อีกคนหนึ่งแต่งเป็นเมียแล้ว และเมียกลายเป็นผู้ชาย..(หัวเราะ)..ถ้าเป็นพวกเราคงทำใจยากน่าดู ท่านเลยหอบลูกกลับเมืองเดิมของท่าน ไปอยู่กับครอบครัว พอมีคนถามว่า ลูกเดิมที่เกิดจากภรรยาตัวเอง กับลูกใหม่ ๒ คนที่เกิดจากตัวเอง รักคนไหนมากกว่า ? เขาบอกว่ารักลูกที่เกิดจากตัวเองมากกว่า เขาต้องอุ้มท้องทรมานมาตั้ง ๑๐ เดือน อันนี้เป็นกรรมที่ล่วงเกินพระเถระเข้า..(หัวเราะ).. ถาม : เป็นเพราะเป็นกรรมเนื่องกันมาให้รักมากกว่า หรือเพราะเป็นแม่จึงรักมากกว่า ? ตอบ : เป็นเรื่องปกติของคนเป็นแม่จ้ะ อุ้มท้องมาลำบากลำบนแทบตาย ก็ต้องรักมากกว่า |
อีกรายคือพระปิลินทวัจฉเถระ อดีตชาติท่านเกิดเป็นพราหมณ์ต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ จึงทำให้ท่านเห็นคนวรรณะอื่นต่ำกว่าหมด ท่านมีคำติดปากเรียกคนอื่นว่า "ไอ้ถ่อย" บาลีเรียกว่า วสละ คนสมัยก่อนถ้าโกนหัวเขาถือว่าเป็นคนกาลกิณี อยู่ ๆ มีคนกาลกิณีมาเรียกว่าไอ้ถ่อย คนได้ยินก็โกรธ
วันหนึ่ง พ่อค้าดีปลีเข็นดีปลีมาทั้งคันรถ เดินสวนกับพระปิลินทวัจฉเถระ ต้องบอกว่าท่านอัธยาศัยดี เจอหน้าก็ทักก่อน "จะไปไหนล่ะไอ้ถ่อย ? แล้วนั่นเข็นอะไรมา ?" พ่อค้าก็โกรธ ด่าคืนไปว่า "เข็นขี้หนูมาสิวะไอ้ถ่อย" พอไปถึงตลาด เปิดเสื่อหุ้มรถออก ดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูหมดเลย..! เพื่อนพ่อค้าเห็นก็ตกใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อค้าก็เล่าให้ฟัง เพื่อนสงสัยว่าพระเถระรูปนั้นจะเป็นพระอรหันต์ เมื่อล่วงเกินเข้าจึงเกิดเหตุอันนี้ ให้รีบตามไปขอขมาพระเถระเสีย พ่อค้าเลยเข็นรถวิ่งไล่หาพระเถระ ไปเจอกลางทาง เข้าไปกราบขอขมาแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง ขอให้พระเถระช่วยแก้ไข ขอให้ขี้หนูกลายเป็นดีปลีตามเดิม พระเถระท่านบอกว่า "ไม่ต้องแก้หรอกไอ้ถ่อย ดีปลีก็ต้องเป็นดีปลีวันยันค่ำ" พอเปิดเสื่อดู..ขี้หนูกลายเป็นดีปลีทั้งคันรถเหมือนเดิม |
"ท่านปิลินทวัจฉเถระเห็นว่า โทษของคนล่วงเกินท่านโดยไม่ได้เจตนายังหนักขนาดนี้ ท่านก็เลยตัดสินใจไปอยู่ป่าแทน พอท่านอยู่ป่าก็มีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม มาขอฟังธรรม มาปรนนิบัติรับใช้ มาถวายภัตตาหาร ปัดกวาดเช็ดถู ตั้งน้ำใช้น้ำฉันให้ เลยกลายเป็นที่รักของพวกพรหมเทวดา พระพุทธเจ้าทรงตั้งให้เป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดา เป็นคนเดียวที่ไม่เหมือนใคร
จากที่เล่ามาเราจะเห็นว่า บรรดาเทวดานางฟ้าก็ปรารถนาบุญเป็นปกติ อย่างพระมหากัสสปเถระ มีลาชเทวธิดามาปัดกวาดเช็ดถูที่อยู่ให้ พระมหากัสสปเถระท่านไล่ไปเลย ท่านบอกว่าท่านเป็นพระ ลาชเทวธิดาเป็นผู้หญิง ถ้าคนอื่นมาเห็นจะตำหนิท่านได้ ลาชเทวธิดาจึงนั่งร้องไห้ ตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่า พรหมเทวดาที่กำลังใจของท่านยังไม่สูง ก็ยังมีการทุกข์โศกร่ำไรเช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน" |
ถาม : คนที่เป็นกระเทย แต่กลับใจเป็นผู้ชาย จะบวชในพุทธศาสนาได้ไหมครับ ?
ตอบ : กลับใจได้..แต่กลับตัวคงยาก อย่าลืมว่ากระเทยมี ๒ อย่าง อย่างแรกเป็นลักษณะของอุภโตพยัญชนก คือ บุคคลที่เป็นทั้งเพศชายเพศหญิงอยู่ในคน ๆ เดียว อันนี้บวชไม่ได้เลย ถือเป็นวิบัติ ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะบวช กระเทยอีกประเภทหนึ่งอยู่ในลักษณะว่า กำลังใจของตนเป็นตรงข้ามกับเพศสภาพของตัวเอง ถ้าลักษณะอย่างนั้น บวชเข้าไปแล้วเก็บอาการได้ ไม่ไปวี้ดว้ายกระตู้วู้ก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่เขาปรับโทษพระอุปัชฌาย์ คือ ปรับอาจารย์ว่าไม่ดูให้ดี แต่ถ้าเป็นอุภโตพยัญชนก บวชเมื่อไรเขาจะนาสนะ คือ บังคับให้สึก ถาม : ที่ไม่ให้บวชเป็นเพราะว่าไม่บรรลุธรรมหรือคะ ? ตอบ : เรื่องที่แย่ที่สุดคือทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย คนเห็นไปกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายก็หมดอารมณ์ที่จะเข้าวัดแล้ว เรื่องบรรลุธรรมไม่ต้องไปพูดถึง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านตายแล้วฟื้นในเดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าวันนั้นเป็นวันเกิด ฉะนั้น..ถ้าไปดูวันเกิดจริง จะงงว่าทำไมถึงมาจัดวันเกิดเดือนตุลาคม ห่างกันตั้ง ๔ เดือน"
|
ถาม : หนูเป็นคนหูหนวก ขอกราบเรียนถามวิธีรักษาคนขวัญเสียจากอุบัติเหตุ ?
ตอบ : โยมเขาหูหนวก เขียนคำถามมา อาตมาตอบไปเขาจะได้ยินไหมนี่ ? พาไปวัดให้พระท่านรดน้ำมนต์ ๗ วัด (วัฑฒ์) น้ำมนต์ ๗ วัดที่ว่า ไม่ใช่ตะกายไปจนครบ ๗ วัด แต่เป็นน้ำมนต์ที่เสกด้วยคาถามงคลจักรวาฬน้อย ที่มี อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโกฯ ถ้าเป็นโบราณก็ต้องไปให้หมอขวัญเรียกขวัญกลับมา เสียเงินให้หมอขวัญอีก "มาเย้อ..ขวัญเอย" ตอนเด็ก ๆ ฟังยังติดหู ต้องเสียหมากพลูบุหรี่ให้กับหมอขวัญ หมอขวัญก็ไปทำพิธีเรียกขวัญ เอาตะแกรงไปตักขวัญกลับมา แล้วมาบอกกล่าวว่าตอนนี้เจ้าของร่างอยู่ที่นี่ ให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวสักที แต่ก็แปลกนะ ถึงเวลาก็หายเป็นปกติเพราะมีกำลังใจ รู้สึกว่าได้ทำพิธีถูกต้องแล้ว อย่างเราไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก พาไปรดน้ำมนต์ก็พอจ้ะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมคนหนึ่งบอกว่า ปัจจุบันนี้รักษาศีล ๘ แต่ศีลขาดบ่อย อาตมาถามว่าขาดอย่างไร ? เขาบอกว่าเผลอไปเคี้ยวลูกอมเข้า
อาตมาก็เลยบอกว่า ในเรื่องของศีล ๘ ศีลตั้งแต่ข้อ ๖ - ๘ ขาดไปไม่ตกนรกหรอก แต่ในส่วนของธรรมะจะบกพร่อง การเข้าถึงธรรมจะช้าลงนิดหนึ่ง ถ้ารักษาศีลละเอียดได้ ส่วนของธรรมะไม่บกพร่อง การเข้าถึงธรรมก็จะง่ายขึ้น แต่ในส่วนที่คุณบอกว่าศีลบกพร่องเพราะไปเคี้ยวลูกอม อาตมาไม่เห็นว่าจะพร่องตรงไหน บาลีใช้คำว่า ขาทนียะ โภชนียะ แปลเป็นไทยตรง ๆ ว่า ของเคี้ยว ของฉัน ของเคี้ยวท่านตีความว่า เป็นพืชมีหัว พวกเผือก มัน เหง้าบัว เป็นต้น ส่วนของฉันคืออาหารทั่วไป เขาหมายถึงอาหารมื้อหลัก ไม่ใช่ลูกอมที่คุณอม ที่อย่างน้อย ๆ ช่วยให้ร่างกายหายกระวนกระวาย พอได้น้ำตาลไปหน่อยหนึ่งจะได้ไม่มากวนเรา ฉะนั้น..มีปัญญาก็เคี้ยวไปเถอะ เพียงแต่ว่าเคี้ยวมาก ๆ เดี๋ยวฟันผุ..! ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้าใจผิด ในเมื่อคุณคิดว่าคุณเคี้ยวแล้วถึงผิด ถ้าคุณต้มโจ๊กแล้วเอาหลอดดูดก็สบายสิ..! เพราะฉะนั้น..แยกให้ออกว่าอย่างไหนเป็นอาหารหลัก อย่างไหนเป็นปานะ หรือเป็นของฉันนอกเวลา ไปว่าตามพยัญชนะของบาลีที่เขาแปลมาตรง ๆ เลยก็แย่ เขาบอกของเคี้ยวของฉัน ถ้าไม่เคี้ยวแล้วฉันได้ก็สบาย..!" |
ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับการตรวจดูอาการป่วยของสัตว์ต่าง ๆ ทั้งที่รู้ว่าถ้าตรวจผ่านเขาก็เอาไปฆ่า ?
ตอบ : เราทำแค่หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่ตรวจโรคเราก็ตรวจไป ถึงเวลาก็แจ้งผลไปตามความจริงแค่นั้น ส่วนเขาจะเอาผลไปทำอะไร เราไม่ต้องไปใส่ใจ ตัดกำลังใจได้แค่นี้จะไม่มีโทษอะไร เพราะหน้าที่เราไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับส่วนที่เขานำไปฆ่า เราทำแค่หน้าที่เฉพาะหน้าของเราเท่านั้น ส่วนหน้าที่ของเราทำไปแล้ว คนอื่นเขาเอาผลไปขยายเพื่อทำอะไรอีกไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่เป็น เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไปส่งเสริมให้เขาตายอีก ถาม : ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้เขาฆ่าหรือคะ ? ตอบ : เราไม่ได้บอกให้เขาว่าตัวนี้ปลอดโรคเอาไปฆ่าได้ เราแค่รายงานผลไปเฉย ๆ ว่าผลเป็นอย่างไร ส่วนเขาจะไปทำอะไรเป็นเรื่องของเขา ถ้าตัดกำลังใจไม่เป็นเดี๋ยวก็เป็นเรื่อง..! |
ถาม : วางกำลังใจไม่ให้หมากัดเข้า ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจของเราเอง ถ้ากำลังใจมั่นคงจะไม่เข้าหรอก อย่างไอ้ดอกรักกัดอาตมาจนเหนื่อย ท้ายสุดมันก็ต้องยอมแพ้ไปเอง แต่ไปกัดอาจารย์สมพงษ์จนแหว่งเลย แม่ชีต๋อยยังไปแหย่อีกว่า “โอ๊ย..หมายังกัดเข้า ออกเหรียญรุ่นแรกไม่ได้หรอก” อาจารย์สมพงษ์โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย..! หมาของตัวเองไปกัดเจ้าอาวาส แม่ชีในวัดยังปากดีอีก สมควรได้รางวัล..! |
ถาม : หนูจะสร้างตลาดนัดอยู่ที่ลพบุรีค่ะ หนูจะต้องทำบุญอย่างไร ?
ตอบ : บริเวณนั้นมีพวกศาลเจ้าที่หลัก ๆ อะไรอยู่ไหม ? ถาม : ไม่มีค่ะ ตอบ : อย่างแรกยึดเอาศาลพระกาฬเป็นหลัก อย่างที่สองก็ศาลที่เราตั้งเอง ตรงนั้นเป็นพื้นที่เปล่าหรือมีตัวอาคารด้วย ? ถาม : พื้นที่เปล่าค่ะ ตอบ : ให้เรายึดทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ตั้งศาลพระภูมิให้เขาสักจุดหนึ่ง และทำพิธีอัญเชิญเจ้าที่ ทำพิธีเสร็จแล้ว จุดธูปบอกกล่าว ขอให้ท่านช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยและให้สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรืองด้วย แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่านหรือทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป และอย่าลืมบอกเจ้าพ่อศาลพระกาฬ เพราะว่าท่านเป็นผู้ใหญ่คุมทั้งจังหวัดเลย เจ้าพ่อศาลพระกาฬที่ลพบุรีเป็นพรหม น้อยที่จะมีพระพรหมลงมาดูแล อย่างเจ้าพ่อหลักเมืองกรุงเทพมหานครเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าไม่ใช่ที่สำคัญจริง ๆ ไม่มีทางที่พรหมท่านจะลงมาดูแล คราวนี้โยมจะทำงานที่ลพบุรี ก็ต้องอาศัยบอกกล่าวเจ้าพ่อศาลพระกาฬท่านเป็นหลัก เพราะว่าเขตดูแลของท่านกินทั้งจังหวัดเลย ส่วนเฉพาะที่เราทำงานอยู่ ก็บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นอีกทีหนึ่ง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "ใบเถา" มาจากอะไร ? คำนี้มาจากปิ่นโต เถาหนึ่งมีกี่ใบซ้อนกัน ถ้าปิ่นโตซ้อน ๓ ชั้นก็เรียก ๓ ใบเถา ถ้า ๕ ชั้นก็เรียก ๕ ใบเถา เขาไม่เรียกแถว แต่ไปเรียกเถา
เถาก็คือชุด อย่างเช่นเพลงโบราณเขาเรียกว่า เพลงเถา ถ้าเพลงเถาจะมีเนื้อเพลง ๒ - ๓ ชุด เป็นเพลงเดียวกัน แต่เนื้อเพลงจะต่อเนื่องกัน" |
พระอาจารย์กล่าวถึงอาการคันของท่านว่า "ถ้าเราสามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่ละเมิดศีล สามารถอดใจไม่ทำในสิ่งที่เป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อดที่จะไม่เกาได้ เพราะใช้กำลังเท่ากัน ถ้าหากว่ากำลังถึง อยากจะคันก็คันไป อยากเป็นอะไรก็เป็นไป เกาแล้วก็ไม่ได้หายสักหน่อย เกาแล้วหนังถลอกปอกเปิกก็ยังคันอยู่ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ การเกานั้นไปแก้ที่ปลายเหตุ
ถ้าไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์ก็ไม่หาย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่โยมเขาเห็นใจถวายยาคาลาไมล์แก้คันมาให้ รู้อยู่ว่าถ้าทายาก็เป็นเรื่อง เห็นเขาซื้อมาเยอะแยะก็ทา ๆ ให้เขาหน่อย ที่ไหนได้ทาไปแล้วหนาวสั่นแทบตาย นั่ง ๆ อยู่ตาลาย ดูหนังสือไม่รู้เรื่อง กลายเป็นว่ากำลังหมด จากที่พอมีกำลังทรงตัวอยู่ได้ ก็เอาไปสู้ความหนาวจนหมดกำลัง
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลายวาระที่ท่านตาย สายตาจะสั้นเข้ามา ๆ จากที่ไกลก็มองไม่เห็น เห็นแต่ที่ใกล้ จากที่ใกล้ก็มองเห็นราง ๆ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง ท้ายสุดก็ประสาทตาไม่ทำงาน ก็แปลว่าถ้ากำลังของเราไม่พอ การควบคุมอวัยวะก็ทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้เห็นสัจธรรมหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ การมีร่างกาย อย่างไรก็ต้องป่วยแน่ อย่างที่สองก็คือ ถ้าสร้างกรรมเอาไว้ อย่างไรก็ต้องรับ ส่วนอย่างที่สามก็คือ ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ตอนนอนสั่นอยู่ข้างบนยังคิดว่า "ถ้ายังไม่หายสั่น เราจะลงไปรับสังฆทานอย่างไร ?" กว่าจะหายสั่นได้ก็ตั้งนาน จะเห็นว่าบางทีญาติโยมเขาเมตตามานวดให้ แต่ส่วนใหญ่นวดไม่เป็น กดเสียจนเจ็บมาก ร่างกายก็ต้องใช้กำลังไปต่อต้านความเจ็บ ทำให้หมดกำลังที่จะสู้โรค กลายเป็นโรคกำเริบขึ้นมา แล้ววันนี้ร่างกายเอากำลังไปสู้ความหนาวเสียหมด ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น" |
"สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมเขานวดถวายหลวงปู่ แล้วเขาเอาน้ำมันเซียงเพียวอิ๊วละเลงหลังหลวงปู่จนทั่วแล้วค่อยนวด อาการเดียวกันเลย พอหนาวขึ้นมาหลวงปู่ต้องคว้าผ้าห่มมาห่ม สั่นอยู่ตั้งนานถึงจะหาย พอคนแก่เข้ากำลังร่างกายไม่ดี เวลาหนาวนาน ๆ ก็จะแย่ไปเลย
อาการที่อาตมาเป็น จะอยู่ในลักษณะหนาวเข้าไปในอก แล้วก็สั่นแหง็ก ๆ ท้ายสุดก็ยังคงคันเหมือนเดิม สรุปว่าใช้ยาทาไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าใครเคยป่วยหนัก ๆ ลักษณะนี้ การที่เราต้องตั้งสติ เพื่อที่จะควบคุมร่างกายให้ทำงานได้ จะเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ๆ ดีตรงที่เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่หมดสภาพแล้ว ทำอย่างไรที่จะประคับประคองไปให้ได้ ? ทำอย่างไรที่จะไม่ให้พังลงกลางทาง หรือไม่ให้ตกถนนไปเสียก่อน ? ฉะนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่าง ๆ นั้น สำหรับนักปฏิบัติถือว่าเป็นของดี ใช้วัดอารมณ์การปฏิบัติตัวเองได้" |
"การป่วยไข้หรือความตายไม่ได้เลือกอายุ อยู่ที่วาระว่าจะมาสนองเมื่อไร หรือวาระของอายุขัยมาถึงเมื่อไร หรือวาระกรรมใหญ่เข้ามาช่วงไหน ก็จะป่วยเป็นเรื่องปกติ
ในเรื่องของร่างกายเราเชื่อมากไม่ได้ เราหลอกคนอื่นได้ แต่ใจเรารู้อยู่ บางทีเห็นสาว ๆ ที่อายุมากหน่อย พอเริ่มอายุสัก ๓๐ ปีต้องพยายามทำตัวให้สวยอยู่ตลอดเวลา นับเป็นภาระที่หนักมาก ไม่ใช่แค่หนักเฉย ๆ ค่าใช้จ่ายยังมากอีกด้วย ถ้าหากว่าเราปล่อยไปตามปกติ ยอมรับว่าแก่เสียก็หมดเรื่องหมดราวไป มีโยมอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ผมแซมขาวเกือบทั้งหัวแล้ว เจ้านายบอกให้ไปย้อมผมหน่อยเพราะเสียบุคลิก แต่เขาไม่ยอมย้อมสักที ความรู้สึกของเขาก็คือ บุคลิกอย่างนี้ดูแก่ดี คนเห็นแล้วน่าเชื่อถือ กลายเป็นมองคนละอย่างกัน มีข่าวสาวรัสเซียที่แต่งตัวเหมือนกับตัวการ์ตูนของญี่ปุ่น แขนยาว ๆ ขายาว ๆ ตาโต ๆ ตัวเขาเองก็อดข้าวเสียจนกระทั่งผอมโกรก แต่งตาตัวเองจนใหญ่เบ้อเร่อ เขาบอกว่ากว่าจะเขียนตาให้โตได้อย่างใจ ข้างหนึ่งใช้เวลาเกิน ๓๐ นาที เราลองมานึกดูว่า วันหนึ่งแม่เจ้าประคุณกว่าจะแต่งตัวออกมาให้หน้าตาเหมือนการ์ตูนได้ต้องเสียเวลาไปเท่าไร ? คนที่สูงขนาดนั้น น้ำหนักแค่ ๓๘ กิโลกรัม ต้องอดข้าวให้ผอม เพื่อจะได้แต่งตัวเหมือนการ์ตูน อาตมาเห็นแล้วเหนื่อยแทน..!" |
"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ญาติโยมหลายคนซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สายแต่งงานไป ก่อนจะแต่งงานก็มาถามว่าจะเลือกคนอย่างไรดี ? อาตมาบอกว่า “อย่างไรก็ได้ แต่ให้เลือกคนที่ไม่แต่งหน้า” เขาถามว่าทำไม ?
อาตมาบอกว่า “คุณลองประมาณเงินเดือนตัวเองดูสิ ว่าพอให้เจ้าหล่อนแต่งหน้าหรือเปล่า ?” ถ้าไม่พอแล้วไปมีแฟนแต่งตัวเก่งก็ชีช้ำละคุณเอ๋ย มีอยู่ยุคหนึ่ง สมัยสังข์ทอง สีใส ยุคนั้นน้ำปลาขวดละ ๑๐ สลึง เขาบอกว่า "เครื่องสำอางขวดเท่านิ้วก้อย ร้อยสองร้อยเที่ยวหาซื้อมา ห่วงแต่แต่งตัว..แม่ทูนหัวลืมซื้อน้ำปลา.." เข้าครัวจะกินข้าวหาน้ำปลาไม่ได้ เขาจึงร้องเพลงประชดผู้หญิง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝนตกที่ผ่านมาไม่ใช่ไต้ฝุ่นเข้าประเทศไทย..เข้าประเทศอื่น แต่มีอิทธิพลให้ฝนตกหนักในประเทศไทย พูดง่าย ๆ ว่าชายขอบมาถึง แต่คุณแกมี่เป็นลูกแรก ๆ ที่มาเยี่ยมเมืองไทยอย่างเป็นทางการ
วันนี้ที่ยังตกไม่ได้เพราะหลวงพี่นิลท่านขอเอาไว้ ๓ วัน เพราะต้องไปเร่งให้เขาทำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชให้เสร็จ ถ้าไม่มีแดดเดี๋ยวทำไม่ได้ เวลาเอามาประกอบต้องตากแดดให้แห้งแน่ ๆ ก่อน ท่านขอแดด ๓ วัน วันนี้วันสุดท้าย เรื่องของพระขรรค์ต้องบอกว่าท่านทุ่มสุดชีวิตจริง ๆ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ใช่พี่เล็กที่ผมรักเหมือนพี่จริง ๆ นี่ไม่ทำให้หรอก เหนื่อยแทบตาย.." เพราะเรื่องของประเทศชาตินี่เป็นเรื่องใหญ่สาหัส เราตั้งใจจะทำให้ดี ฝ่ายขวางเขาก็ต้องขวางเต็มที่ ช่างทุกรายที่ไปหาจะต้องมีปัญหาทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ติดงานใหญ่รับงานของเราไม่ได้ ก็เจ็บไข้ได้ป่วย โดนรถชนบ้าง ล้มป่วยหนักบ้าง..สารพัด จนกระทั่งตอนนี้เหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นหนึ่ง ก็คือชุดลวดลายรัดปลอก ปรากฏว่าลูกน้องทิดจิตรป่วยทุกคนเลย ไม่มีใครทำงานได้ เดินเป็นผีตายซากไปหมด หลวงพี่นิลบอกว่าขนาดทำบวงสรวง ๒ ครั้งแล้ว ถึงขนาดต้องเอาอาหารทำด้วยเลือดไปเซ่นให้แล้ว เขายังไม่ค่อยจะยอมเลย วันนั้นทำอาหารประเภทเกาเหลาเลือดหมูล้วน ๆ ให้ไปเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาตราโบราณแปลก ๆ บางทีเราไม่เคยได้ยิน เช่น การหล่อพระใช้ทอง ๖ หมื่น ไม่ใช่ทองราคา ๖๐,๐๐๐ บาทนะ หมื่นเป็นหน่วยวัดน้ำหนักของทางเหนือ ๑ หมื่นเท่ากับน้ำหนัก ๑๒ กิโลกรัม
ดอยสามหมื่น เกิดจากว่า ถ้าใครจะข้ามดอยลูกนั้น ต้องแบกข้าวไป ๓ หมื่น คือ ๓๖ กิโลกรัม เท่ากับ ๒ ถังกว่า จึงจะเป็นเสบียงพอกินจนเดินข้ามเขาได้ เพราะฉะนั้น..ดอยสามหมื่นมีชื่อมาทุกวันนี้ ก็เพราะว่าต้องแบกเสบียงไป ๓ หมื่นถึงจะไปรอด บางทีเราไม่เข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทองคำ ๖ หมื่นที่ว่าก็คือ ทองคำ ๗๒ กิโลกรัม หล่อพระ ๑ องค์ อย่างความยาว ๑ เกียก เกียกหนึ่งยาวแค่ไหน ? ยาวจากปลายนิ้วโป้งถึงปลายนิ้วชี้ ยืดออกมาสุดได้ ๑ เกียก แต่ถ้านิ้วโป้งถึงนิ้วกลางได้ ๑ คืบ ๒ คืบเป็น ๑ ศอก ลองดูได้ โบราณเขาว่าไม่ผิดหรอก ไม่ใช่เกียกกายนะ.. เกียกกายของโบราณคือกองเสบียง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือพวกกองส่งกำลังบำรุง และมีตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้คงหาคนรู้จักได้ยาก ก็คือตำแหน่งยกกระบัตร ยกกระบัตรสมัยก่อนก็คือตำแหน่งปลัดจังหวัดของสมัยนี้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลัง ๆ ญาติโยมทำบุญแล้วไม่ได้คิดถึงพระผู้รับ อย่างงานครูบาวิฑูรย์ที่ผ่านมา ย่ามของท่านเองก็มีของตั้งครึ่งย่ามแล้ว ยังมีคนยัดพวงมาลัยดอกดาวเรืองเบ้อเร่อลงไป ๓ พวง ล้นย่ามแล้ว คนอื่นไม่ต้องใส่อะไรเลย เขาเรียกว่าทำบุญโดยไม่ได้ใช้ปัญญาแม้แต่น้อย
อาตมาไปงานพุทธาภิเษกที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ รู้ไหมว่าเขาถวายอะไรมาบ้าง ? พระเจ้าพรหมทรงช้างพลายประกายแก้ว ๑ องค์ เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมฉัตร สูงประมาณ ๒ ฟุตครึ่ง ๑ องค์ โถบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาด ๔ นิ้ว ๔๒ โถ ขนาด ๖ นิ้ว ๑๐ โถ..! อันนี้ยังพอทน ปรากฏว่ามีปลาอินทรีมาด้วย..! ขึ้นรถนี่ไปไม่เป็นเลย อาตมาสั่งแม่ชีที่วัดไว้ว่า ภายใน ๑๐ ปี อย่าทำอาหารให้มีปลาอินทรีมาเป็นอันขาด แค่ดมกลิ่นอย่างเดียวก็พอแล้ว คนถวายเขาไม่ได้คิด เขาจะถวายอย่างเดียว ตอนไปที่ภูเก็ต อาตมานั่งเครื่องบินไป เขาถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ๙ นิ้วมา ๓ องค์ ถวายรูปท่านแม่ศรีสลักจากหินเขียวมา ๑ องค์ พระพุทธรูปสลักจากหยกขาวพม่า ๑ องค์ บาตร ๙ นิ้ว ๑ ใบ อาตมาจะเอากลับอย่างไร ? สรุปก็คือทำบุญทั้งทีไม่ได้ใช้ปัญญาเลย" |
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะให้บริวารดีภายในชาตินี้คะ ?
ตอบ : การที่บริวารดีขึ้นอยู่กับการปกครองของเราเหมือนกัน ตามที่โบราณเขาบอกว่า ไม้ใหญ่โคนต้องเย็น ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ปกครองบริวาร ถ้าหากเราร้อน เขาก็อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น..การปกครองบริวารให้ยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรม เขาจะอยู่กับเราได้ ต่อให้โกรธเขาก็ตาม แต่ถ้าผลงานเขาดี เราต้องมีรางวัลให้เขา ต้องเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้เขา ต้องขึ้นเงินเดือนให้เขา แต่ถ้าผลงานไม่ดี ต่อให้เขามาประจบสอพลออยู่ข้าง ๆ ทุกวันก็ไม่ต้องไปเลื่อนตำแหน่งให้เขา ถ้าในเรื่องของเหตุผลและยุติธรรมของเราสามารถทำได้ดี ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย เพราะเขารู้สึกว่าอยู่กับเราแล้ว เขาได้รับความยุติธรรม แล้วเราเองก็ไม่ไปเฉ่งลูกน้องอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล อะไรไม่ถูกต้องว่ากันไปตามตรงให้เขาแก้ไข พูดง่าย ๆ ก็คือ ชี้ที่ผิดได้ บอกที่ถูกได้ โดยเฉพาะเจ้านาย ต้องบอกว่าสมัยนี้บางคนความเป็นเจ้านายของเขาก็คือชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว ซึ่งจะว่าไปก็ถูกหลัก แต่ถ้าเกิดลงไปคลุกกับงานเอง ซึ่งบางคนก็ดูถูกในลักษณะว่า “ผู้อำนวยการสันดานเสมียน” หรือ “ผู้จัดการนิสัยภารโรง” ปล่อยให้เขาดูถูกไป เพราะถ้าเราสามารถลงไปคลุกอยู่กับงาน รู้งานทุกเรื่อง ลูกน้องเขาจะเกรงใจ ถึงเวลาเขาติดขัดตรงไหนเราก็แนะนำเขาได้ ถ้าเขาทำไม่ได้จริง ๆ เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาดูได้ แล้วต้องทำใจว่า คนเราสมรรถภาพไม่เท่ากัน ถ้าเท่ากันเกิดมาต้องได้เหมือนกันหมด แต่เนื่องจากคนเราสร้างบุญบารมีมาไม่เท่ากัน สมรรถนะในการทำงานจึงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเราต้องมีปุคคลปโรปรัญญุตา ก็คือ การรู้จักเฉพาะตัวบุคคล ว่าคนประเภทไหนเหมาะสมกับงานอย่างไร ?" |
"อย่างของอาตมาที่วัดท่าขนุน แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแท้ ๆ แต่ของพระครูน้อย ถ้าให้ทำงานกรรมกรจะถนัด ให้ไปชี้นิ้วสั่งการท่านจะประสาทกิน พออาตมาไม่อยู่บอกว่า “ฝากวัดด้วยนะ” ท่านทำหน้าอย่างกับแบกโลกเอาไว้ แต่ถ้าบอกให้ไปแบกอิฐแบกปูนสัก ๓ - ๕ คันรถ ท่านเฉยมาก แต่ก็จำเป็นเพราะท่านอาวุโส เราแต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่ง อย่างน้อย ๆ ได้ดูแลรุ่นหลัง ๆ เขาบ้าง แต่นิสัยของท่านก็คือ ถ้าท่านทำงานหนักท่านจะถนัด
เพราะฉะนั้นในเรื่องหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อัตตัญญุตา รู้ตัวเราเอง ตัวเราเป็นใคร ? มีความถนัดอย่างไรชำนาญอย่างไร ? ความสามารถมีเท่าไร ? ปริสัญญุตา รู้บริษัท ก็คือลูกน้องของเรา รู้ว่าเป็นอย่างไร ? ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าเฉพาะว่าแต่ละคนมีความสามารถอย่างไร ? แล้วก็ทำอย่างฝรั่งเขาว่า Put the right man on the right job แล้วเขาจะทำงานได้ดี ไม่ใช่พวกถนัดงานกรรมกรแล้วเอาไปนั่งโต๊ะ อย่างพระครูน้อยปั้นเป็นวันกว่าจะเขียนหนังสือได้หน้าหนึ่ง แต่ให้ไปทุบอิฐแบกเหล็กพักเดียวก็เสร็จเรียบร้อย อยากมีลูกน้องดี ๆ นอกจากจะใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้แล้ว เรายังต้องยึดหลักเหตุผลและความยุติธรรมด้วย ใช้คนอย่าใช้เปล่า ด่าคนอย่าด่าต่อหน้าคนอื่น แต่ชมคนให้ชมต่อหน้าคนอื่น จะตำหนิเขาให้เรียกมาคนเดียวแล้วค่อยตำหนิ รักษาหน้าเขาหน่อย คนอื่นตัวกูของกูยังเยอะอยู่ ไปด่าต่อหน้าคนอื่นเดี๋ยวเขาอาย ต่อไปจะไม่กล้าทำอะไรเลย เขาถึงได้บอกว่า บุคคลที่ไม่เคยทำผิดเลย คือบุคคลที่ไม่เคยทำอะไรเลย เพราะคนที่เคยทำจะต้องมีทำผิดบ้าง" |
"มีบริษัทใหญ่อยู่บริษัทหนึ่ง รับสมัครผู้อำนวยการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ลงมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง คนหนึ่งเก่งมาก ทำงานมาไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย ชื่อเสียงในวงการนักบริหารสุดยอด ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
ส่วนอีกรายหนึ่งความสามารถไม่ถึง เคยพลาดมาหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ชี้บอกว่าเอาคนหลัง คนที่เคยผิดมาหลายครั้ง อีกฝ่ายหนึ่งก็งงไปเลย เขาคิดว่าเขาได้แน่ แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ อุตส่าห์ไปสอบถามว่าเหตุที่เขาไม่ได้คืออะไร คำตอบก็คือ “คุณไม่เคยทำผิดเลย คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดจะไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน แต่คนที่เคยพลาดมาแล้ว มีประสบการณ์ในการแก้ไขงาน ต่อไปเจอเรื่องแบบนี้เขาแก้ไขได้ การงานของบริษัทถึงพลาดไปก็ไม่สะดุด” จะเห็นว่าคนที่เขามองการณ์ไกล เป็นผู้บริหารจริง ๆ เขาไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาต้องการปุถุชนธรรมดาที่มีผิดมีพลาด แต่พลาดแล้วให้รู้วิธีแก้ไขด้วย" |
"สมัยก่อนดูข่าวกีฬา จะมีนักเทนนิสหญิงคนหนึ่งก็คือ มาร์ตินา ฮินกิส บางทีก็ได้แชมป์ บางทีก็ตกรอบแรก อาตมาบอกกับพระกับเณรว่า “สังเกตยายคนนี้ไหม ? ต่อไปรุ่งแน่” พระเณรถามว่าทำไม ? อาตมาบอกว่า “เขาแพ้เป็น” คนที่เคยแพ้มาแล้วจะไม่เสียกำลังใจ เพราะเขารู้ว่าแพ้ต้องเป็นอย่างนี้ ชนะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็เริ่มต้นใหม่ ท้ายสุดเขาก็กลายเป็นมือหนึ่งของโลก
เสียดายเขาหลุดตำแหน่งไปแล้ว เพราะรุ่นนั้นมีสาว ๆ หุ่นดี ๆ เป็นนักเทนนิสหญิงหลายคน จนกระทั่งนักเทนนิสชายปัจจุบันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ถ้ามีแต่เซเรนา วิลเลียม มีแต่วีนัส วิลเลียม มีแต่อเมลี โมเรสโม ผมเลิกเล่นเทนนิสดีกว่า หาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้เลย” อเมลี โมเรสโม หุ่นเหมือนผู้ชายดี ๆ นี่เอง แล้วแถมยังล่ำสันสูงใหญ่กว่าผู้ชายอีก หรือไม่ก็หุ่นอย่างน้องแทมมี่ของเรา จริง ๆ แล้วนักเทนนิสเขาต้องการความแข็งแกร่งมาก ถ้ารูปร่างได้เปรียบ โอกาสชนะก็มาก แต่ก็อย่างว่าแหละ คนดูก็อยากจะมีอะไรที่เจริญหูเจริญตาบ้าง" |
ถาม : เวลาจะหลับ แล้วไม่ค่อยหลับค่ะ ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับ ถ้าภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัว หลับไปแล้วส่วนใหญ่จะไม่ฝัน ยกเว้นถ้ามีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นลักษณะของเทพสังหรณ์ คือเทวดานิมิตให้เห็น หรือบางทีเป็นนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติของเราจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกนี้กว่าจะรู้เรื่องก็เกิดเรื่องไปแล้วทุกที นิมิตกับฝันไม่เหมือนกัน ฝันจะเป็นเรื่องเป็นราว แต่นิมิตมาไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็โผล่มาแล้วก็หายไปเฉย ๆ มารู้อีกทีก็ตอนเกิดเรื่องแล้ว แบบเดียวกับประวัติของโป๊ยเซียนที่โดนเนรเทศ หลานชายเป็นหนึ่งในแปดเซียน ทำภาพนิมิตแล้วเขียนโคลงไว้ให้ "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" ตีความไม่ได้ ด้วยความที่ตัวเองเป็นขุนนางตงฉิน ทำเรื่องกราบทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ ปรากฏว่าโดนเนรเทศไปสุดหล้าฟ้าเขียวเลย ตัวเองเดินทางไปแล้วหิมะตกจนกระทั่งท่วมอกม้า ม้าแทบจะก้าวเดินไม่ได้ แล้วตรงนั้นเป็นด่านเก็บภาษีรำข้าว พอเขาเห็นก็นึกได้เลย เพราะหลานชายบอกไปแล้วว่า "เมฆบังพนัสเถื่อน ทิศก็เลือนมิแลเห็น" พายุหิมะมาก็บังคลุมไปหมดทั้งท้องฟ้า แทบจะมองทางไม่เห็น "ด่านรำเมืองลำเค็ญ หิมะติดอกอาชาฯ" หิมะตกจนท่วมอกม้าเลย คงสูงไม่หนี ๓ - ๔ ศอก |
กำลังจะหนาวตายอยู่แล้ว หลานชายที่เป็นเซียนก็เหยียบเมฆมาฉุดขึ้นไป แล้วให้ดูภาพนิมิตทั้งหมด เป็นข้อความที่ว่า
ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น..........นฤบาลสิโกรธา ตกบ่ายประทานตรา...........เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์.......ธ ทรงโปรดให้จากเวียง เพราะบาปขนาบเคียง...........จึ่งวิโยคระกำเป็น ฯ แล้วก็มาถึงประโยค เมฆบังพนัสเถื่อน..............ทิศก็เลือนมิแลเห็น ด่านรำเมืองลำเค็ญ................หิมะติดอกอาชาฯ นิมิตตัดท้ายมาให้หน่อยเดียว "ปุพพัณหเฝ้าทูลสาส์น นฤบาลสิโกรธา" ตอนเช้าเข้าไปยื่นเรื่อง ฮ่องเต้โกรธมาก คนชั่วนี่ไม่อยากให้ใครเปิดโปงเขาหรอก แล้วบางทีถึงคนชั่วเราก็ต้องอาศัยเขา ตัวเองเป็นคนดีให้ระวังไว้ เป็นแกะขาวในหมู่แกะดำมักจะตายเร็ว ถ้าคุณเป็นแกะดำในหมู่แกะขาวไม่เป็นไรหรอก เพราะคนดีเขาไม่ทำอะไรคุณอยู่แล้ว ด้วยความไม่ดูตาม้าตาเรือ ขุนนางกังฉินทั้งท้องพระโรง ตัวเองเป็นตงฉินอยู่คนเดียว แล้วก็ไปถวายเรื่องร้องเรียนแก่ฮ่องเต้ เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ถ้าฮ่องเต้จัดการพวกกังฉินไปสักคน ที่เหลือเป็นพวกเขาทั้งหมด แล้วฮ่องเต้จะอยู่ได้ไหม ? มีทางเดียว..คนกราบทูลซวยไปก็แล้วกัน สั่งเนรเทศไป ๘๐๐ โยชน์เลย..! "ตกบ่ายประทานตรา เนรเทศ ณ เชียวเอี๋ยง" ตอนเช้าเข้ากราบทูล มีคำสั่งเนรเทศตอนบ่าย "มรรคจรัลแปดร้อยโยชน์ ธ ทรงโปรดให้จากเวียง เพราะบาปขนาบเคียง จึ่งวิโยคระกำเป็นฯ" เป็นความซวยของตัวเอง ทำกรรมเอาไว้ก็รับไปเถอะ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้นโยบายลูกคนเดียวของจีนกำลังสร้างความเดือดร้อนสาหัส คนจีนนิยมลูกชาย ก็เลยกลายเป็นหาเมียไม่ได้ เพราะลูกผู้หญิงมีน้อย จึงมีการสั่งนำเข้าผู้หญิงไปเป็นลูกสะใภ้
แต่อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้าโอกาสตกมาถึงใคร ให้รีบปฏิเสธไว้ก่อน เพราะลูกคนเดียวจะโดนดูแลมาอย่างพระราชา พ่อแม่คอยเอาใจไม่พอ ยังมีปู่ ย่า ตา ยาย รวมแล้ว ๖ คนคอยเอาใจคนเดียว ถ้าแต่งเข้าไปก็เป็นทาสดี ๆ นี่เอง เพราะทั้ง ๖ คนจะมารุมจี้ลูกสะใภ้ ให้คอยดูแลลูกหลานตัวเองซึ่งถูกตามใจจนเสียคน" |
ถาม : ปีนี้น้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวน้ำท่วมนะจ๊ะ น้ำยังไม่มากพอที่จะท่วม โลกของเราเขาบอกว่าจะเสื่อมสูญไปด้วยอำนาจของน้ำ ลม ไฟ ๓ อย่าง แต่ละกัปป์จะโดนทำลายไปด้วยอำนาจของน้ำ ของลม ของไฟ ขึ้นอยู่กับว่าในยุคนั้นธาตุอย่างไหนจะกำเริบมากกว่า จะว่าไปแล้วเรื่องของน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะในอดีตของเราก็มีน้ำท่วมเป็นปกติอยู่ อย่างปี ๒๔๘๕ หลังจากสงครามโลกไม่นาน ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ |
พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณช่วงวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน อาตมาลงไปภูเก็ต มีโยมอยู่คนหนึ่งเจอหน้าอาตมาเมื่อไรต้องร้องไห้เมื่อนั้น เขาบอกว่าปกติเขาไม่ใช่คนขี้แยนะ แต่ทำไมตอนนี้เจอหน้าใครเป็นต้องร้องไห้ทุกครั้ง
เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของปีติซึ่งเขาพยายามไปกลั้นไว้ ในเรื่องของปีติ พอไปกลั้นเอาไว้ เวลาอารมณ์ใจถึงช่วงนั้นก็จะน้ำตาไหลไปเรื่อย อาตมาจึงบอกเขาว่าปล่อยให้เต็มที่เสียที แต่โยมยังทำใจไม่ได้ ยังอายเขาอยู่ อย่างอาตมาไปน้ำตาไหลตอนอยู่บ้านสายลม คนเป็นพัน นั่นก็อายเหมือนกัน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเมตตาบอกว่า "ปล่อยให้เต็มที่ไปเลยลูก ไม่อย่างนั้นถ้าข้ามไม่ได้ก็จะเป็นอยู่เรื่อย" อาตมาจึงปล่อยให้น้ำตาไหล เช็ดหน้าจนแสบไปหมด ท้ายสุดไหลจนเย็นก็เลิกไปเอง แต่โยมยังอายอยู่เพราะตัวเองเป็นผู้หญิง และเป็นวัยรุ่นด้วย พยายามไปกลั้นเอาไว้ ก็จะแปลว่าน้ำตาจะไหลไปเรื่อย ๆ จนรำคาญไปเอง พอเบื่อพอรำคาญก็จะหาทางก้าวพ้น ก็ต้องปล่อยให้ไหลอย่างจริง ๆ จัง ๆ" |
"ในเรื่องของปีติทั้งหมด รู้สึกว่าอุเพ็งคาปีติน่าสนุกกว่าเพื่อน เพราะลอยไปที่อื่นได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าให้ฟังว่า มีอยู่พรรษาหนึ่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ในโบสถ์ ท่านเองก็ไม่ได้คิดอะไร ภาวนาของตัวเองไปเรื่อย ปรากฏว่าอยู่ ๆ ได้ยินเสียงดังปัง..! จึงหันไปดูพบว่าเพื่อนพระรูปหนึ่งเปิดประตูโบสถ์ แล้ววิ่งกลับกุฏิ
ท่านสงสัยว่าเพื่อนพระเป็นอะไร พอเลิกกรรมฐานก็ไปถาม เขาบอกว่าเขาภาวนาแล้วลอย ก็เลยกลัว..เลิกภาวนา ผลักประตูโบสถ์เปิดได้ก็เผ่นกลับกุฏิ จึงทำให้นึกถึงครูบาอาจารย์เก่า ๆ หรือแม้กระทั่งหลวงปู่ปาน ก่อนลูกศิษย์จะภาวนา ท่านให้เอาหนังสือวิสุทธิมรรคไปท่องก่อน จะได้รู้ว่าอารมณ์กรรมฐานแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร เวลาเกิดขึ้นจะได้ไม่กลัว อุเพ็งคาปีติ ถ้าเป็นแล้วซักซ้อมให้คล่องตัว รักษากำลังใจให้ไม่เกินนั้น จะใช้วิชาตัวเบาได้ นึกถึงเมื่อไรก็จะลอยเมื่อนั้น แต่จะลอยไม่สูงมาก อย่างเก่งก็ ๒ วา ๓ วา อาตมาก็แค่ลอยติดเพดานเท่านั้นเอง เพราะลอยสูงกว่านี้ไม่ได้ ติดเพดานแล้ว บางทีอยู่ในท่านอนก็ดันลอยขึ้นไป อัดติดกับเพดานจนจมูกบี้หายใจไม่ออก สรุปว่าปีติเกิดได้ทุกอิริยาบถ จะยืน เดิน นั่ง นอนไปได้ทั้งนั้น ถ้าประเภทโอกกันติกาปีติ ก็สั่นพับ ๆ เป็นเจ้าเข้า บางคนก็หกคะเมนตีลังกาไปเลย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.