กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3509)

เถรี 10-09-2012 11:06

ถาม : สงสัยคำว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ?
ตอบ : ปัจเจก แปลว่า เฉพาะตน พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านอยากจะรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่อยากสอนใคร ท่านจึงอธิษฐานเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ต้องเสียเวลามาสอนบริวารของท่าน

ถ้าคนทั่วไปไปหาท่าน ท่านก็สอนแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น ยกเว้นท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน ท่านจึงจะสอนให้ถึงจุดจบ ในเมื่อท่านไม่ต้องสอนคนหมู่มาก จึงมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่มีเหมือนพระพุทธเจ้าก็คือสัพพัญญุตญาณ สัพพัญญุตญาณนี่ต้องรู้รอบ รู้ทุกเรื่อง จะได้สอนคนให้ถูกต้องตามกำลังใจของเขา


ถาม : พระปัจเจกกับพระสาวกนี่ต่างกัน ?
ตอบ : ต่างกัน..พระปัจเจกพุทธเจ้าสร้างบารมีมาอย่างน้อยต้องเท่ากับพระอัครสาวก ถ้าหากว่าพระมหาสาวกทั่ว ๆ ไป สร้างบารมีมาน้อยกว่าพระองค์เป็นเท่าตัว

เถรี 10-09-2012 11:53

ถาม : การต่อสู้ของจีนที่ต้อง "ว้าก" ก่อน ?
ตอบ : การใช้เสียง อันดับแรก เขาว่าเป็นการเรียกพลังตัวเอง อันดับที่สอง เป็นการรบกวนสมาธิคู่ต่อสู้

ปัจจุบันมีอีกอย่างคือมวยหย่งชุน ที่ภาษาอังกฤษเขียนว่าหวิงชุน (Wing Chun) จริง ๆ แล้วมวยหย่งชุนพัฒนามาจากการต่อสู้ในตรอกแคบ ในเมื่อต่อสู้ในตรอกแคบ ๆ ไม่มีพื้นที่ให้ จึงต้องต่อสู้โดยประชิดตัว เพราะฉะนั้น..มวยหย่งชุนจะไม่ใช้อาวุธยาว ส่วนใหญ่จะจี้ติดตัวไปเลย
อาศัยความเร็วออกอาวุธในช่วงสั้น ๆ

ปัจจุบันนี้ได้ยินว่าสายการบินของจีนหลายแห่ง สอนแอร์โฮสเตสให้ใช้มวยหย่งชุน ป้องกันพวกผู้ชายเดินทางไกล ๆ เมาแล้วมาลวนลาม เขาอนุญาตให้อัดพวกนั้นให้กองได้เลย บางทีเดินทางหลาย ๆ ชั่วโมง ผู้โดยสารเขาเรียกวิสกี้สัก ๓ - ๔ แก้ว ก็เมาหูตาลายแล้ว

เถรี 10-09-2012 12:07

ถาม : เป็นรูมาตอยด์
ตอบ : ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ พวกนี้เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนที่ไปตกผลึกในข้อ ยิ่งกินน้ำน้อยก็ยิ่งเป็นโรคนี้มาก ต้องกินน้ำเยอะ ๆ เพื่อที่จะล้างออกมา ถ้าใช้น้ำเย็นแล้วเดี๋ยวร่างกายรับไม่ไหวจะเป็นไข้ ก็เลยให้ใช้น้ำอุ่น ดื่มให้ได้วันหนึ่ง ๓ - ๔ ลิตร ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย และงดพวกอาหารสัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดผัก

รูมาตอยด์อาการหนักกว่าเกาต์ ถ้ากำเริบขึ้นมา เวลาเหยียดมือออกแล้วจะหดไม่เข้า ถ้าหดเข้ามาได้นี่คือเจ็บจนน้ำตาเล็ด เหมือนกับมีกรวดมีทรายอยู่ในข้อเรา ข้อจะอักเสบหมด บางทีบวมแดงไปเลย

ถาม : ดื่มน้ำอุ่นอย่างเดียวหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเดียว อาตมาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่อะไรหรอก พ่อของอาตมาป่วย แล้วเขาเอาไก่ตุ๋นโสมให้พ่อกินทุกวัน พ่อไม่กิน อาตมาก็กินแทนอยู่ทุกวัน จะไม่ให้เป็นได้อย่างไร

ถาม : แล้วพวกข้อไก่ทอด ?
ตอบ : งดเสียจะดี จริง ๆ แล้วก็กินได้ แต่อย่าไปกินเยอะ กินให้หลากหลาย กินแต่ผักอย่างเดียวก็เป็นโรค กินแต่เนื้ออย่างเดียวก็เป็นโรค เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทา ต้องใช้ในทุกเรื่อง

เถรี 10-09-2012 12:16

เดี๋ยวนี้เขามีซุปไก่สกัดผสมถั่งเฉ้า ถั่งเฉ้าทำให้คนเนปาล คนทิเบตฆ่ากันมาเยอะแล้ว เพราะเขาขายได้แพงมาก คราวนี้เขาใช้วิธีปูพรมค้นเลย ประเภทค้นไปทีละตารางนิ้ว

ถั่งเฉ้าเขาว่าเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อาศัยตัวหนอนเป็นพาหะ พอเชื้อราลงราก ตัวหนอนก็ตาย เขาถึงได้บอกว่าฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า เพราะฤดูหนาวก็ยังเป็นสปอร์ของเชื้อราอยู่

พอระยะหลังการโฆษณาสรรพคุณของยามีมากเข้า ๆ พวกคนรวยต้องการมาก เขาก็ปูพรมค้นอย่างที่ว่า บางทีก็นั่งหน้าทิ่มพื้นอยู่ตรงนั้นแหละ หนึ่งตารางวาค้นหาทุกตารางนิ้ว ถ้างอกขึ้นมาจะเห็นเป็นเส้นเขาก็ขุดหา ข้างล่างที่ควรจะเป็นราก ก็คือตัวหนอนที่โดนต้นไม้โตงอกทะลุขึ้นมาแล้ว เอามาตากแห้งส่งขายให้ร้านขายยา

คราวนี้ความเห็นเขาไม่ตรงกัน พวกหนึ่งต้องการเงินอย่างเดียว จึงขุดกระจายเลย ส่วนอีกพวกหนึ่งพยายามอนุรักษ์ไว้ เขาบอกว่าถ้าหาจนหมด ปีต่อไปจะไม่มี แต่พวกที่จะเอาแต่เงินอย่างเดียวเขาไม่สนใจ ลุยหาอย่างเดียว แล้วก็ไปบุกรุกที่เขาบ้าง เลยฆ่ากันตาย ต้องบอกว่าพวกแรกเขาทำถูก เพราะถ้าไม่ทิ้งเอาไว้ให้มีเชื้อแพร่ต่อไปแล้ว ปีต่อไปก็จะหาไม่ได้

เรามานึกถึงซุปไก่สกัด เขาต้องต้มไก่ทั้งตัวเลยนะ ไม่รู้เอาขี้ออกหรือยัง ? ผสมถั่งเฉ้า ก็คือใส่หนอนลงไปอีกด้วย หรือไม่ถ้ารังนกนางแอ่น เราก็กินน้ำลายนก สรุปแล้วของดี ๆ ที่เราคิด ไม่ได้เรื่องทั้งนั้นเลย อาหารเป็นสิ่งปฏิกูลจริง ๆ

เถรี 11-09-2012 11:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงพอประจำเดือนเริ่มมา กระดูกจะปิด ความสูงยืดไม่ขึ้นแล้ว ยิ่งสมัยหลังมีของบำรุงเด็กสารพัด ฉะนั้น..บางคนเพิ่งจะ ๑๐ ขวบ แต่ประจำเดือนมาแล้ว วงจรชีวิตจึงสั้นลงไปเรื่อย ๆ โตเร็วคือตายเร็ว สังเกตดูสิ..ยุงมีชีวิตอยู่ได้ ๗ วันเท่านั้นเอง พวกหมาแค่ ๓ เดือนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว

วงจรชีวิตสั้น อัตราการเจริญเติบโตต้องเร็ว ไม่อย่างนั้นจะแพร่ขยายพันธุ์ไม่ทัน เพราะฉะนั้น..พวกที่โตเร็วก็คือตายเร็ว..!"

เถรี 11-09-2012 11:54

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บรรลุเร็ว พวกเห็นนั่นเห็นนี่มักจะติดอยู่แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..พยายามอย่าโง่ไปเห็น..! จากประสบการณ์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีมาจนป่านนี้ สรุปได้ว่า ๓๖ - ๓๗ ปีที่ผ่านมา หาคนฉลาดที่พอจะเอาตัวรอดจากที่สิ่งที่ตัวเองรู้เห็นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปดีใจหรือภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วก็มักจะไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ กับคนรอบข้าง เขาให้รู้เพื่อละ เรายิ่งไปฟื้นมาใหม่ก็ยิ่งผูกหนักเข้าไปอีก แล้วท้ายที่สุดก็กอดคอกันจมห้วงวัฏสงสารตายทั้งขบวน..!

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนมยิทธิ เพราะท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านต้องมีคนฉลาดพอ ที่จะรู้ว่าควรจะใช้มโนมยิทธิอย่างไรถึงจะถูกต้อง แต่อาตมายังไม่ค่อยเจอคนฉลาดเลย

มุ่งหน้าเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันตรง ๆ อย่างอื่นไม่ต้องเสียเวลา ถ้าทำถึงก็มาเอง


การปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายสุกขวิปัสสโก หรือสายอภิญญาก็ตาม สรุปลงตรงศีล สมาธิ ปัญญาทั้งหมด ถ้ามีนิสัยชอบในทางอภิญญาอยู่แล้ว ก็แปลว่าของเดิมต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้น..เร่งรัดตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วกำลังที่ใช้ก็เท่ากับการตัดกิเลส เพราะถ้าไม่มีกำลังสมาธิ ก็ไม่มีอะไรไปสู้กับกิเลสได้ กดกิเลสไม่อยู่ ตัดกิเลสไม่ขาด ในเมื่อถ้าเราทำถึงก็แสดงว่าสมาธิของเราถึง ในเมื่อสมาธิถึง กำลังถึง เรื่องของอภิญญาสมาบัติจะตามมาเอง ตอนนั้นต่อให้บอกว่าไม่อยากได้ก็จะมา

แล้วอีกอย่างหนึ่งในความเห็นของอาตมา
อภิ แปลว่า ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรที่เรารู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลส อภิญญาอย่างอื่นที่แสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ อาตมายังไม่ถือว่าเป็นอภิญญาที่แท้จริง

เถรี 11-09-2012 12:04

ถาม : สมาธิยิ่งลึก การเต้นของหัวใจยิ่งช้า
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เพราะการทำงานของอวัยวะภายในคือหัวใจนั้น ถ้าสภาพจิตของเราทรงสมาธิได้ลึกมากเท่าไร การเต้นของหัวใจจะช้าลงเท่านั้น จนกระทั่งทรงสมาธิเต็มที่ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จะจับอาการเต้นของหัวใจไม่ได้ ถ้าจะถอนคืนสมาธิมา สภาพของหัวใจจะเต้นเร็วมาก เพื่อที่จะฉีดเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วร่างกาย จะได้ฟื้นคืนระบบประสาทขึ้นมา ชีพจรจะเต้นเร็วถึงขนาดเป็น ๑๒๐-๒๐๐ ครั้งเลยก็มี

เมื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายแล้ว อัตราการเต้นจะคืนสู่ภาวะปกติ แต่พอเข้าสมาธิการเต้นของหัวใจจะลดลง ๆ จนกระทั่งไม่เต้นเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าทำอย่างนี้ได้ การควบคุมร่างกายส่วนอื่นเป็นเรื่องเล็ก


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..อาการของปีติเกิดเป็นปกติของบุคคลที่จะเข้าถึงฌาน ถ้าเราตั้งใจหยุดก็หยุดได้ แต่ทำถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้น..มีทางเดียว คือต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะตึงตังโครมครามนานขนาดไหนก็ต้องปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะก้าวไม่ถึงความเป็นฌานเสียที เพราะจะติดอยู่แค่นั้น

เถรี 11-09-2012 12:07

ถาม : นอนหรือนั่งสมาธิอยู่ จะตื่นมาตรงเวลา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจิตมีสภาพจำ อาตมาเคยลองมาแล้ว ต่อให้เหนื่อยขนาดไหน แย่ขนาดไหน ถ้าเราตั้งใจตื่นก็จะตื่นตรงเวลา

ถาม : ตอนเช้า...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : สามารถทำได้ แต่ควรจะให้เป็นเวลาพักผ่อนจริง ๆ ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลากำลังใจจะคลายออก แล้วเราจะหมดสภาพ นอนไปเลย สมมติว่าเราต้องทำงานต่อ ร่างกายก็จะไม่ฟังเราแล้ว เพราะเราไปตั้งเอาไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..ให้เลยเวลาทำงานไปก่อน

ถาม : การเข้าสมาธินี่ข้ามขั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ข้ามขั้นได้..จะไประดับไหนก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การฝึกซ้อมของเรา ถ้าคล่องตัวมากเท่าไร ถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้น เราสามารถวิ่งไปสู่อารมณ์ฌาน รัก โลภ โกรธ หลงก็กินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ซักซ้อมให้คล่องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสทัน เมื่อกำลังพอแล้วค่อยไปตีกันซึ่ง ๆ หน้า ตอนนี้ยังไม่พอต้องหนีไปก่อน

เถรี 11-09-2012 12:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้เป็นวันสารทจีน ปกติสมัยเด็ก ๆ เขาจะมีการเลี้ยงพวกเปรต อสุรกาย เขาจะทำอาหารอย่างดีเป็นสิบ ๆ อย่างเรียงไว้เต็มเสื่อ แล้วให้เด็ก ๆ เอาธูปไปคนละกำ เดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ทั้ง ๔ ทิศ แล้วก็ปักธูปเชิญเขามากิน คนจีนเขาเรียกว่า ไป้ฮ่อเฮียตี๋ ก็คือไหว้พี่น้องที่ดี ความจริงก็คือพวกเปรตพวกอสุรกายนั่นแหละ

พวกนี้เขาจะอดอยากหิวโหยมาก เพราะว่าแรงกรรมบันดาล ทำให้ไม่สามารถจะกินอาหารอย่างปกติได้ ต้องไปกินพวกของเน่า ของเหลือ เสลดน้ำลายคน ซากสัตว์อะไรอย่างนั้น เมื่อเวลามีคนเลี้ยงเขาก็เต็มใจแห่กันมา


ทุกครั้งพอการเลี้ยงเลิก ทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็จุดประทัดไล่ เมื่อเอาอาหารนั้นมาลองชิมดู ปรากฏว่าไม่มีรสชาติเหลือเลย จืดหมด เป็นเรื่องที่แปลกดี ตอนเด็ก ๆ ต้องทำทุกปี ผู้ใหญ่เขาไม่ไปหรอก เขากลัวผี เขาใช้ให้เด็กไปเรียกแทน..!"


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ส่วนใหญ่หมูเห็ดเป็ดไก่ดี ๆ ทั้งนั้นแหละ แต่พอเอามากินต่อจืดชืดหมด ไม่มีรสเหลือ ต้องบอกว่ารสชาติคือโอชะ รสชาติที่อยู่ในส่วนของนามธรรม โดนพวกนั้นกินไปหมดแล้ว

ถ้าใช้มโนมยิทธิดูจะเห็นว่ากินหมดเป็นแถบ ๆ เลย แต่เขากินในส่วนของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมยังเหลืออยู่ แต่รสไม่เหลือ โดนพวกนั้นกินเกลี้ยง

เถรี 11-09-2012 12:53

พวกนี้ส่วนใหญ่ที่ต้องลำบากเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เพราะว่าหวงน้ำ มีบ่อมีสระก็กีดกันไม่ให้คนอื่นร่วมใช้ บางทีเป็นพระเป็นเจ้า เขาถวายเอาไว้ให้ส่วนรวมก็กันเอาไว้ใช้คนเดียว ส่วนพวกอาหาร บางรายก็กินอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งมอง ถึงเวลาหยิบอาหารเข้าปากก็ลุกเป็นไฟทันที ไหม้ตั้งแต่ปากไปยันกระเพาะเลย

พวกนี้สมัยมีชีวิตอยู่ชอบกลั่นแกล้งผู้ทรงศีล พระภิกษุสามเณร สมณชีพราหมณ์ ประเภทสาคูไส้หมูแต่แอบยัดลูกโดด (พริกทั้งเมล็ด) เอาไว้ พอเห็นพระฉันแล้วทำหน้าพิลึกก็หัวเราะชอบใจ บางพวกแกล้งใส่บาตรด้วยของเสีย หรือไม่ก็เอาอาหารปนอุจจาระปัสสาวะ เสลดน้ำลายใส่บาตร ถึงเวลาตัวเองก็ต้องไปกินของอย่างนั้น กินอย่างอื่นไม่ได้

เปรตเขาแบ่งเป็นหลายอย่างด้วยกัน ในอรรถกถา เปตวัตถุ เขาแบ่งเป็น ๔ ประเภทเท่านั้น ถ้าใน
โลกบัญญัติและฉคติทีปนีปกรณ์เขาแบ่งเป็น ๑๒ ประเภท อีกส่วนหนึ่ง อยู่ในพระวินัย ลักขณะสังยุตต์ เขาแบ่งเป็น ๒๑ ประเภท จริง ๆ ก็คืออยู่ใน ๑๒ ประเภทนั่นแหละ แต่เขาแบ่งรายละเอียดออกไป

อย่างเช่น เปรตที่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ เขาก็บอกว่ามีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อบ้าง ก้อนเนื้อบ้าง ก็ ๒ อย่างแล้ว เปรตที่มีขนเป็นอาวุธ เขาไปแบ่งว่า มีขนเป็นลูกธนู มีขนเป็นพระขรรค์ มีขนเป็นหอก ก็เลยมี ๒๑ อย่าง ความจริงก็ซ้ำ ๆ กัน แต่เขาแบ่งตามที่เห็นมา

เถรี 11-09-2012 13:01

อสุรกายแปลกกว่าเปรต เพราะอสุรกายแทรกไปทุกที่ มีเทวอสุรา อสุรกายในจำพวกเทวดา มีอยู่ทั้งหมด ๖ ประเภทด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกที่โดนมฆมาณพกับเพื่อนจับโยนลงมาจากชั้นดาวดึงส์ อย่างเวปจิตราสูร อสุรินทราหู จัดเป็นอสุรกายประเภทนี้ แล้วก็มีเปติอสุรา ก็คือ อสุรกายจำพวกเปรต เช่น กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย แล้วก็มีนิรยอสุรา อสุรกายในประเภทของสัตว์นรก ก็คือพวกที่อยู่ในโลกันตนรก

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอสุรกายนี่แปลก เพราะไม่มีเขตเฉพาะของตน ไปปน ๆ อยู่ในประเภทอื่นเยอะ อย่างเวมานิกเปรตจัดอยู่ในอสุรกายจำพวกเปรต มีกรรมน้อยกว่าเปรต แต่ก็ยังต้องเสวยกรรมอยู่ กลางวันไปเสวยความสุข กลางคืนไปเสวยความทุกข์ หรือไม่ข้างขึ้นไปเสวยความสุข ข้างแรมไปเสวยความทุกข์ เขาบอกว่าสร้างทั้งความดีและสร้างทั้งความชั่ว เวลากุศลวิบากคือผลของความดีและอกุศลวิบากคือผลของความชั่วมาสนองพร้อมกัน ก็เลยเฮง ต้องไปรับทั้งคู่ ทำอะไรไว้ก็รับอย่างนั้นไป

ส่วนสัตว์เดรัจฉานนี่ไม่ต้องพูดถึงนะ เขาแบ่งเป็น มีเท้า ไม่มีเท้า สองเท้า สี่เท้า บางทีก็เปลี่ยนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก ถ้าเป็นการแบ่งของทางด้านหลักธรรมจะไม่วุ่นวายมาก แต่ถ้าพวกสัตวศาสตร์นี่แบ่งกระจายเลย เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นไฟลัมไหน สปีชีส์ไหน เยอะแยะไปหมด

เถรี 11-09-2012 13:14

พระอาจารย์กล่าวแนะนำโยมท่านหนึ่งที่มาทำบุญว่า "คุณมนตรีนี่อยู่รับใช้หลวงพ่อมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ตอนช่วงนั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ - ๕ คน อยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ ตอนช่วงที่แชร์ชม้อยล้ม ยังบอกกันว่า "พวกที่เขาเห็นหน้ากันอยู่ทุกเดือนนี่ห้ามหายหน้าไปอย่างเด็ดขาด ถ้าหายไปเมื่อไรนี่ คนอื่นเขาจะหายไปหมดเลย ถ้าเรายังยืนหยัดอยู่ คนอื่นก็จะได้เห็นว่าความมั่นคงของเรายังมี"

เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทดสอบลูกศิษย์ดุเดือดมาก ท่านไม่สนใจว่าคนจะมองอย่างไร เอาผลประโยชน์ของลูกศิษย์อย่างเดียว ทุกคนจะบอกว่าท่านทำนายผิด พูดผิด ท่านไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มีปัญญาก็เป็นเรื่องของเขา ท่านถือว่าอย่างนั้น อาตมาเองมองตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เท่าที่ตัวเองปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อมามีผิดไหม ? ก็เห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านสอนให้ทำ เป็นไปตามนั้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น..สิ่งที่ท่านสอนเราบอกเราไม่ผิด แต่เรื่องของอภิญญาสมาบัติอาจจะมีการเสื่อมได้ มีการหลอกกันได้ มีการพลาดได้ อาตมาไม่ถือเป็นสาระ

พอแชร์ชม้อยล้ม มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งตีจากหลวงพ่อไป อาตมาก็บวชเลย มีคนถามว่า “พี่ไม่รอแชร์หรือ ?” ก็อาตมาไม่ได้เล่น มีแต่พวกนั้นแหละยืมเงินไปเล่น ในเมื่ออย่างนั้นจะรอไปทำไม ? จึงบอกเขาว่า "รอไม่เกินปี ๒๕๓๕ ถ้าไม่ออก ตูก็ไม่สนแล้ว..!"

ตอนนั้นเพื่อนฝูงเห็นอาตมาไม่เล่น ก็มาขอยืมเงิน “พี่ไม่มีความโลภก็จริง แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าได้ดอกมา แบ่งให้พี่สักส่วนหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พี่ก็มีความคล่องตัว ช่วยภาระหลวงพ่อได้มากขึ้น” เขาเกลี้ยกล่อมเก่งมากเลย ท้ายสุดอาตมาที่ไม่ได้เล่นแชร์สักนิดเดียว มีแชร์น้ำมันอยู่ในมือเกือบ ๑๐ คันรถ..!

เสียดายอยู่อย่างเดียว พออาตมาบวชแล้วพวกที่ยืมเงินไม่มีใครเข้าวัดเลย กลัวอาตมาจะทวง ถ้าอาตมาจะทวงก็ไปบ้านเขาเลย จะมาทวงอะไรที่วัดเล่า ? เขาไม่รู้คติของอาตมาว่า เงินพ้นมือไปถือว่าตกน้ำ ได้คืนมาคือกำไร ไม่ได้คืนมาก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"

เถรี 12-09-2012 20:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพระเณรที่บวชใหม่ระยะหลัง มักจะมีการศึกษาทางโลกมาสูง ๆ พอบวชแล้วให้มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาช่วยวัดเลย ก็เลยเกิดอาการของขึ้น ขันอาสาทำนั่นทำนี่

อย่างท่านแบงก์ อาสาทำหนังสือวัดท่าขนุนเป็น E-Book ครั้งแรกอาตมาปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๒ พอปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๓ อาตมาก็เลยถามกลับไปว่า "ตอนนี้คุณสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เย็นได้ครบทุกบทหรือยัง ?" ท่านก็นั่งอึ้งไปพักหนึ่ง

อาตมาบอกท่านไปว่า “จำไว้ว่า..หน้าที่ของพระใหม่ก็คือ สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เราต้องทำให้ครบถ้วน หน้าที่อื่นไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีความรู้อะไรทางโลกมาก็ตาม นั่นใช้สำหรับทางโลกเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ในทางธรรม เพราะฉะนั้น..ตอนนี้กองทิ้งเอาไว้ก่อน เมื่อถึงวาระที่กำลังใจทรงตัวเพียงพอ ถ้าเรียกใช้งานแล้ว ทำให้ไหวก็แล้วกัน” ส่วนใหญ่แล้วพระใหม่มักจะเข้าใจผิด..ไฟแรง อยากขันอาสาทำนั่นทำนี่
ซึ่งท่านไม่รู้ว่าทำให้ฟุ้งซ่านได้ง่ายที่สุด

ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่เป็นกัลบกก็คือช่างตัดผม พระพุทธเจ้าทรงห้ามจับมีดโกนอย่างเด็ดขาด จับเมื่อไรปรับอาบัติศีลขาดไปเลย บุคคลที่เป็นนักรบเป็นขุนศึกมา ห้ามจับอาวุธอย่างเด็ดขาด จับอาวุธเมื่อไรแล้วนึกถึงงานเดิม ถ้านึกถึงงานเดิมแล้วก็มัวแต่ไปฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้

หลายท่านก็จะคิดฟุ้งไปว่าเรายังทำงานเดิมได้ สึกหาลาเพศออกไปดีกว่า เพราะหน้าที่การงานยังรออยู่ จึงต้องมีการกระตุกกันแรง ๆ อยู่เรื่อย เผลอเมื่อไรก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เรียนมา หารู้ไม่ว่ากิเลสสอนให้คิด จะได้ไปฟุ้งซ่านอยู่กับงานแล้วก็ลืมตัดกิเลส..!"

เถรี 12-09-2012 21:01

"ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลก็มีแนวโน้มอย่างนี้ วันนั้นอาตมาก็เลยใส่ไปชุดหนึ่ง รู้สึกว่าอยู่วัดท่าขนุนแล้วไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตัวเองทำอะไรเลย จึงขออนุญาตไปอยู่วัดเขาวง อาตมาบอกว่าไปได้เลย เดินทางวันนี้ได้ยิ่งดี..! ร้องอุ๊ยขึ้นมาทันที

ตัวอย่างมีก็คือโยมท่านหนึ่ง เป็นรุ่นพี่อาตมาอยู่ ๒ ปี เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ - ๒๕๒๙ เขาไปอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตให้อยู่ได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงวัดมีงาน งานอื่นก็มีไม่มาก เขาอยู่ไปได้ปีกว่า พอขึ้นปีที่ ๒ ขอลาหลวงพ่อไปอยู่วัดธรรมกายแทน บอกว่างานที่นั่นเยอะดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่รู้หายเข้ากลีบเมฆไปไหน ?

น่าเสียดายที่คนฝึกกรรมฐานระดับที่เป็นครูสอนมโนมยิทธิแล้ว แทนที่จะซักซ้อมความชำนาญด้วยการสอนคนอยู่ทุกวัน กลายเป็นทิ้งไปทำงานอื่นแทน ในเมื่อการปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง เวลากิเลสตีกลับ รัก โลภ โกรธ หลงก็จะคืนมาหมด

จึงเป็นเรื่องที่ควรสังวรไว้ ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติก็ดี หรือว่าพระใหม่ที่บวชเข้าไปก็ดี หน้าที่สำคัญที่สุดคือการภาวนา หน้าที่อื่นก็ทำแค่ตามที่ตนที่ได้รับมอบหมาย หมดจากหน้าที่ของตนเมื่อไร รีบกลับไปหาการภาวนาให้เร็วที่สุด"

เถรี 12-09-2012 21:05

"ระยะเวลาของนักปฏิบัติที่เพิ่งเริ่มต้น กับระยะเวลาของพระใหม่ก็คล้ายคลึงกัน ก็คือต้องไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นชิน ต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบวินัย และโดยเฉพาะถ้าปราศจากจิตสำนึก จะอยู่ในระดับ ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน แทนที่จะปฏิบัติภาวนาก็กลายเป็นขี้เกียจไป ก็เลยมักจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตามที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา แล้วก็ไปฟุ้งซ่านอยากทำนั่นอยากทำนี่ เสนอโครงการมาเยอะแยะมากมาย

โครงการเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่ออาตมาก็ต่อเมื่อคนทำกำลังใจทรงตัวแล้ว ปฏิบัติแล้วไม่โดนกิเลสลากไปกิน

จากที่พูดมาทั้งหมด สรุปลงตรงที่ว่า เมื่ออยู่ในระยะเวลาที่ต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งกายและใจของตนเอง ก็ต้องเร่งทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงเวลาใช้งานจริง ๆ จะได้มีกำลังพอที่จะสู้กับงานได้ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเด็กเพิ่งหัดเดินแล้วไปทำงาน ก็คงจะหาอะไรดีได้ยาก และจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่า ๆ พระบวชไปพรรษาหนึ่ง อาจจะไม่ได้สั่งสมความดีอะไรเลย นอกจากอานิสงส์นิดหน่อยจากการพยายามช่วยงานวัด ตามโครงการที่ได้เสนอมา

เดือนที่แล้วพระใหม่ท่านแนะนำ เรื่องการปรับแต่งพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ว่าควรจะใช้วัสดุอะไรถึงจะเหมาะสมกับงาน อาตมาก็บอกท่านว่ารอก่อน ท่านเองก็ไม่เข้าใจ คิดว่าอาตมาไม่มีเงินหรืออย่างไร ? จัดแจงให้โยมซื้อมาถวายเลย อาตมาให้ท่านรอเพื่อให้ตัวเองปฏิบัติกำลังใจให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่มานั่งทำงาน
ถ้ารักที่จะช่วยงานแปลว่าต้องทำงานไปภาวนาไปด้วยได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากอานิสงส์ในการช่วยงานสงฆ์เท่านั้น พอเจออย่างนั้นเข้าก็เลยต้องว่ากันตรง ๆ ถ้ารอให้คิดเองสงสัยปัญญาว่าจะไม่พอ..!"

เถรี 12-09-2012 21:10

"อย่างของท่านแบงก์ พอถามว่าสวดมนต์ทำวัตรได้ครบหรือยัง ? ท่านรู้ตัวทันที จึงขออนุญาตไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาแทน ไปนั่งกรรมฐานเสีย ๗ เดือน ไหน ๆ แล้วก็เอาให้เต็มที่ไปเลย

อาตมาได้ยินพระใหม่บางท่านเล่าให้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ เขาบอกว่าไปบวชที่นั่นที่นี่ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ใช้งานหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะรู้ว่ามีความสามารถ ถนัดทางด้านนั้นด้านนี้ ก็สรุปว่าบวชเข้าไปทำงานที่ตัวเองเป็นฆราวาสทำเท่านั้น แล้วจะบวชไปทำไมวะ..!? ก็อยู่บ้านทำไปให้สะใจเสียก็หมดเรื่อง ได้สตางค์ใช้ด้วย

เขาบวชเข้ามาก็ควรจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขามากที่สุด ไม่ใช่เขาบวชเข้ามาแล้วจะให้เขาทำประโยชน์แก่เราให้มากที่สุด มีหลายต่อหลายวัดให้พระใหม่รวมตัวกัน เป็นพระนวกะประจำพรรษานั้นประจำพรรษานี้ ถึงเวลาก็ให้ไปหากฐินมาทอดที่วัด พระเราพอบวชเข้าไปโอกาสที่จะช่วยเหลือทางบ้านก็ไม่มีแล้ว ยังต้องไปตั้งกองกฐินรบกวนทางบ้านให้ควักเงินจ่ายให้อีก แบบนี้งามไหม ?

แทนที่พระท่านจะไปนั่งพิจารณาตัดกิเลส ก็ต้องมานั่งคิดว่าจะหาเงินอย่างไรถึงจะได้เข้ากองกฐินให้เป็นจำนวนที่มากพอ เพราะมีตัวอย่างที่เขาขึ้นกระดานไว้ว่าพระนวกะปีนั้นได้กฐินหลักแสน ปีนี้ได้หลักล้าน ทำอย่างไรจะไม่อายรุ่นก่อน ๆ เขา ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่นโยบาย วัดท่าขนุนไม่มีตรงจุดนี้ อาจจะทำให้เขารู้สึกไร้ค่าหนักเข้าไปอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"

เถรี 12-09-2012 21:15

"ถ้าจะทำ ก็ต้องให้เขาริเริ่มทำกันเอง และอย่าให้งานประจำของพระเสีย ไม่ใช่ไปบอกหรือไปสั่งให้ทำ แต่ขณะเดียวกันวัดท่าขนุนมีระเบียบห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไรอยู่แล้ว ใครจะทำบุญให้เขามาร้องขอ ให้เขามาทำเอง เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ถึงพระใหม่เสนอขึ้นมา อาตมาก็จะชี้ระเบียบให้ดูว่าอยากโดนไล่ออกทั้งหมดไหม ? เพราะถ้าไปทำก็เท่ากับให้ไปบอกบุญไปเรี่ยไรนั่นเอง

จากที่ว่ามาทำให้เราได้เห็นว่า ปัจจุบันนี้พระที่บวชเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้บวชไปเพื่อเรียนในไตรสิกขา คือสีลสิกขา ศึกษาปฏิบัติในเรื่องของศีล
จิตตสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา ปัญญาสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในการใช้ปัญญาพิจารณาตัดกิเลส แต่กลายเป็นบวชเข้าไปแล้วไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต่าง ๆ ใช้สอยตามความถนัดของตนที่เคยมีมาตั้งแต่เป็นฆราวาส

ถึงได้บอกว่า ถ้าต้องทำงานอย่างนั้น อยู่บ้านทำดีกว่า เพราะว่างานหลายอย่างทำแล้วได้เงินด้วย บวชเข้าไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ใช้ทำงาน นอกจากจะไม่ได้เงิน..เหนื่อยฟรีแล้ว ความดีในการบวชยังหาไม่ได้อีกต่างหาก"

เถรี 12-09-2012 21:19

"เขาประกาศยอดว่า ปีนี้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีพระภิกษุ ๔๐๐ กว่ารูปเศษ สามเณร ๑๐๐ กว่ารูป รวมแล้ว ๕๐๐ กว่ารูป ตำบลท่าขนุนเขต ๒ มีมากที่สุดคือ ๘๕ รูป แต่ ๘๕ รูปลบของวัดท่าขนุนไปเสีย ๕๒ รูปจะเหลือเท่าไร ? สรุปได้ว่านอกจากตำบลท่าขนุนเขต ๒ ที่มีวัดท่าขนุนสังกัดแล้ว ตำบลอื่น ๆ ทั้งตำบลรวมกันยังมีพระไม่เท่าวัดท่าขนุนวัดเดียว..!

ในเมื่อเขามาบวชกันมากเพราะต้องการจะปฏิบัติ เราจะไปใช้งานอื่นเขา เอาแต่ประโยชน์ของวัดไม่ได้ ต้องให้เขาได้ประโยชน์จากการบวชให้มากที่สุด

พอพวกเราได้ฟังเรื่องที่กล่าวมานี้ คงเห็นว่าการบวชพระในปัจจุบันนั้น ถ้าไม่ใช่วัดที่เน้นการปฏิบัติจริง ๆ หรือเจ้าสำนักท่านเห็นประโยชน์ของพระใหม่จริง ๆ การบวชในปัจจุบันแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ในการบวชเลย แต่จะว่าก็ไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีความอดทน

หลายต่อหลายรายบวชที่วัดท่าขนุนแล้วขอไปอยู่วัดอื่น เพราะทนต่อระเบียบของวัดท่าขนุนไม่ได้ อาตมาก็บอกกับท่านไปว่า อาตมาไม่สนับสนุนให้ลูกศิษย์ผิดศีล พระพุทธเจ้าท่านตั้งกฎไว้ว่า พระบวชใหม่ถ้าอยู่กับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ถึง ๕ พรรษา เรียกว่ายังไม่ได้นิสัยมุตกะ ห้ามเที่ยวไป ก็คือห้ามไปอยู่ที่อื่น

เพราะฉะนั้น..ถ้าบวชแล้วจะไปอยู่ที่อื่น ก็ไปบวชที่นั่นให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถ้าบวชแล้วจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนอยู่ไป ถ้าอยู่ครบ ๑ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๗ วัน อยู่ครบ ๒ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๑๕ วัน อยู่ครบ ๕ ปีมีสิทธิ์จะขอย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณเห็นว่าศึกษาเรียนรู้เพียงพอที่จะรักษาตัวได้แล้ว ผมจะอนุญาตเอง"

เถรี 12-09-2012 21:22

"ที่วัดท่าขนุนมีงานมาก ไม่ว่าจะเป็นงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม หรืองานฝึกอบรมต่าง ๆ ทั้งหน่วยราชการ โรงเรียน หรือเอกชนทั่วไป ถ้ากำหนดการชนกัน ก็ต้องพยายามปรับให้เข้ากับระเบียบของวัด

งานพวกนี้มีมากอยู่แล้ว เวลาที่พระท่านจะปฏิบัติภาวนาจริง ๆ ก็น้อย ถ้าเราไปใช้งานอื่นเวลาของท่านก็ยิ่งน้อยลงไปอีก จึงจำเป็นที่จะต้องให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติบ้าง ตอนที่อยู่วัดท่าซุงอาตมาเคยทำโครงการไว้ ยังไม่ทันที่จะเสนอเพื่อใช้งาน ก็ออกจากวัดมาก่อน

โครงการนั้นคือ พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ให้เข้าป่าธุดงค์ ๑๐๐ ไร่เพื่อปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ต้องทะลึ่งเข้ามาทำงาน งานการทั้งหมดพระเก่ารับไป ใครครบ ๕ พรรษาเมื่อไรค่อยลากออกจากป่าธุดงค์มารับหน้าที่เสียดี ๆ เพราะฉะนั้น..จะมีเวลาสร้างกำลังใจอยู่ ๕ ปี ถ้ากำลังใจไม่พอก็ให้งานทับตายไปเลย ปรากฏว่าเขียนโครงการไว้แล้ว ๓ - ๔ โครงการ ไม่ได้ใช้เลย ระเห็จออกมาเสียก่อน จึงต้องเอามาใช้งานเอง"

เถรี 14-09-2012 09:50

ถาม : มีอยู่คืนหนึ่งหนูนอนหลับไป แล้วปรากฏภาพของสถานที่หนึ่งขึ้นมา สักพักก็เห็นจิตพุ่งออกไปจากตัวเอง เหมือนวูบออกไปเลย แล้วก็เห็นว่าตัวเองไปยืนอยู่ในสถานที่ที่เห็นภาพตอนแรก แต่แค่แวบเดียวทุกอย่างก็หายไปค่ะ
ตอบ : ไปก็คือไป ถ้าไปแล้วอย่ากลัว ถ้าสภาพจิตของเรากลัว จะกลับมาที่ซึ่งมั่นใจว่าปลอดภัยก็คือร่างกายนี้ ก็แปลว่าเราจะไปไหนไม่ได้ ถึงได้บอกว่าการฝึกมโนมยิทธินั้น ต้องไม่กลัว ต้องไม่อยาก ต้องไม่สงสัย ต้องมั่นใจในตัวเอง

ถาม : แต่หนูไม่เคยฝึกมโนมยิทธิเลยนะคะ
ตอบ : ไม่ต้องฝึกหรอก ถ้าของเก่ามีจะเป็นเอง ถึงเวลาก็จะหลุดไปเอง การที่ฝึกเราไปตั้งใจทำตามขั้นตอน สังเกตสิว่าตอนที่เราไปได้ มักเป็นตอนที่เราภาวนาเพลิน ๆ แล้วก็ไปเอง ดังนั้น..เวลาฝึกมโนมยิทธิให้ทำกำลังใจอย่างนั้น ไม่ต้องไปใส่ใจว่าจะไปได้หรือไปไม่ได้ เรามีหน้าที่ภาวนา เราก็ภาวนาของเราไป ตอนตื่นอยู่เราดันไปขี้สงสัยมาก

เราเกิดมาเป็นคน ผ่านการเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เกิดมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งต่าง ๆ ได้รับการอบรมฝึกปรือมานับชาติไม่ถ้วน พอถึงเวลาจะไปตามอารมณ์ที่เคยชินมา ทุกครั้งที่เราเพลิน ๆ โดยเฉพาะตอนนอนก็ไปเสียหน่อย การตั้งใจมากเกินไปเหมือนกับคนยืดคอเกินประตู ออกประตูไม่ได้หรอก ต้องทำสบาย ๆ อยากจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ภาวนา

ไปทำใหม่ เรื่องการปฏิบัติต้องมีประสบการณ์ลองผิดลองถูก หกล้มหกลุกมาเยอะ ๆ แล้วจะเก่ง

เถรี 14-09-2012 13:08

ถาม : ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..!

ถาม : ทำไมล่ะคะ ?
ตอบ : ก็คุณเปิดโอกาสให้เลือกว่าถามได้หรือไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าถามไม่ได้สิ..!

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : คราวหน้าก็อย่าโง่สิ..! ดันถามว่าถามได้ไหม ? อาตมาบอกว่าไม่ได้ก็จบ คราวหน้าจะถามก็ถาม ไม่ใช่ทะลึ่งมาถามว่าถามได้ไหม ถ้าเปิดโอกาสให้เลือก อาตมาก็เลือกถามไม่ได้ไว้ก่อน ขี้เกียจเหนื่อยตอบคำถาม

เขาเรียกว่าปิดการขายไม่เป็น ถ้าไปขายประกันก็เจ๊ง ดันไปปล่อยให้ลูกค้ามีทางเลือก เขาก็เลือกไม่จ่ายเงินสิ


จริง ๆ แล้วอาตมาเป็นคนมีเมตตามาก สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลาจับพวกบรรดานักบวชรุ่มร่ามมา จะให้เขาสึก ก็จะเปิดโอกาสให้เขาเลือก อย่างเช่น จับนักบวชได้ ๑ ราย มีโพยหวยเต็มย่ามไม่พอ ยังมีปืนอีกต่างหาก จะให้เขาสึก ก็ถามเขาว่า
"คุณจะติดคุกดีหรือสึกดี ?" เขาก็ตกลงสึก อาตมาเปิดทางให้เขาเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ เพราะฉะนั้น..ปิดการขายให้เป็น แล้วงานจะจบเร็ว ถ้าปิดการขายไม่เป็น เปิดโอกาสให้เขา เขาก็ไปเรื่อย

นายดาบสอจะปวดกบาลมาก เพราะมีแต่คนบอกว่าโหด จับพระสึกอยู่บ่อย ๆ นายดาบสอบอกว่า
"ไม่ใช่..หลวงพี่ท่านจัดการ กูมีหน้าที่ไปตีหน้าขู่เท่านั้น" เวลาไปก็อย่าไปคนเดียว ให้เอาตำรวจไปด้วย เจตนาคือต้องการให้เขาสึก แต่ก็เปิดโอกาสให้เขาเลือก เพียงแต่เขาต้องเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ บอกแล้วว่าอาตมาเมตตามาก แต่เสียท่าพวกนี้ทุกที เวลาเขาสึกไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบ อาตมาต้องไปซื้อชุดใหม่ให้เขาชุดหนึ่ง ทุกคนเลย เปลืองเงินจริง ๆ

เถรี 14-09-2012 13:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิก็คือที่อยู่ของสัตว์ ภูมิที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุดก็พวกเดรัจฉาน เพราะเราเห็นด้วยตาเปล่า แต่มีเดรัจฉานบางประเภทที่เป็นโอปปาติกะ ถ้าเขาไม่ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้ อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น

คราวนี้ศัพท์ ติรฉานะ แปลว่า ผู้ยินดีโดย ๓ ประการ แต่ขณะเดียวกันบางท่านก็แปลว่า ผู้ไปโดยขวาง ก็คือไม่ได้เดินตัวตรง ตัวต้องขนานไปกับโลก

การยินดีใน ๓ ประการคืออะไร ? คือ การกิน การนอน การสืบพันธุ์ ๓ อย่างเท่านั้น คำว่า ติ ในบาลีคือ ตรง ๆ อยู่แล้ว แต่คราวนี้ศัพท์ที่เขานิยมกันว่าไปโดยขวาง อาตมาก็สงสัยว่าเขาเอารากศัพท์มาจากไหน ?

ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน
มีกำเนิด ๔ อย่างครบถ้วนเลย คือ ชลาพุชะ เกิดในมดลูก ส่วนใหญ่ก็พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ ไข่ออกมาก่อนฟักเป็นตัวทีหลัง จนกระทั่งบางคนเขาเรียกว่า ทวิชาติ คือ เกิด ๒ ครั้ง เกิดเป็นไข่ครั้งหนึ่ง เกิดเป็นตัวครั้งหนึ่ง

สังเสทชะ เกิดในของสกปรก อย่างเช่น เชื้อโรค พยาธิ หนอน อีกพวกหนึ่งคือโอปปาติกะ ผุดขึ้นก็โตเลย อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น ภูมิของสัตว์เดรัจฉานเป็นภูมิที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วอยู่รวมกับพวกเรา สามารถเห็นได้ชัดเจนก็จริง แต่ถ้าเป็นพวกโอปปาติกะไม่ได้ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็ไม่เห็น หรือถึงเขาตั้งใจแสดงให้เห็น เราก็ไม่รู้จัก อย่างพญานาค เวลาเขามาแสดงให้เห็นก็ตัวเล็ก ๆ แต่ตัวจริงขนาดมหึมามโหฬาร"

เถรี 14-09-2012 13:27

"ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่าไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำแห่งหนึ่ง มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยมาอยู่ใต้ที่นอนแคร่อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งท่านจะไปอยู่ที่อื่น ท่านจึงบอกกับเขาว่า วันนี้ขอให้โมทนาส่วนบุญที่ท่านได้ทำไว้ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับในตอนนี้ เพราะท่านจะธุดงค์ไปที่อื่นต่อ

ท่านว่างูใหญ่เลื้อยลงจากถ้ำหลวงปู่
ก็ตามไป รอยที่เลื้อยไปในนาข้าวที่เขาดำไว้ ทับต้นข้าวล้มราบไป ๕ แถว..! เราลองนึกดูว่าคนดำนา ๕ แถว จะกว้างแค่ไหน ? แต่เวลางูตัวนี้อยู่กับท่านยาวประมาณวาเดียว ประเภทนั้นถึงเขาแสดงให้เรารู้ เราก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นเพศเดิมที่แท้จริง ทับกอข้าวราบเป็นทางไป ๕ แถว นึกไม่ออกเลยว่าอย่างเราได้ครึ่งคำของเขาหรือเปล่า ?"

ถาม : ทำไมจึงดูเหมือนว่าคนคุ้นเคยใกล้ชิดกับนาคมากกว่าครุฑ ?
ตอบ : ครุฑเองส่วนใหญ่ก็มีเขตอยู่พิเศษของเขา เป็นป่าต้นงิ้วที่เราเรียกว่าฉิมพลี

เถรี 14-09-2012 13:41

พญาครุฑเขาบอกว่าปีกกว้าง ๕๐ โยชน์ ขยับปีกแต่ละครั้งไปได้ ๑ โยชน์ แต่ต้องยอมรับว่า ความรู้ของคนแต่ละชาตินั้น ถ้ารู้จริงก็รู้เหมือนกัน คนจีนเขามีนกเผิง เขาว่าเป็นนกใหญ่ขยับปีกครั้งหนึ่งไปได้เป็น ๑๐๐ ลี้ เขาก็รู้ได้เหมือนกัน

ลองไปอ่านหนังสือซานไห่จิง หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงสถานที่ เมืองต่าง ๆ ภูเขา ทะเล สัตว์ต่าง ๆ แต่คนเขียนเก่งเกินไป เอาทั้งของที่เราเห็น กับของที่เราไม่เห็นปนกันหมดเลย เขากล่าวถึงภูเขาแก้ว ภูเขาหยก ภูเขาเงิน ภูเขาทอง พวกนั้นอยู่ในเขตหิมพานต์ทั้งนั้น บอกไว้หมดว่าภูเขาลูกนี้กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง

มีสัตว์ชนิดหนึ่งขนสีขาวสลับดำ ขนเป็นเข็มขนาดใหญ่ สามารถใช้เป็นอาวุธได้ ถ้าเป็นบ้านเราจะนึกออกทันทีเลยว่าคือเม่น แต่คนจีนสมัยก่อนไม่เคยเห็น นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงมนุษย์บางพวก มีบ้านมีเมืองอยู่ในทิศนั้น ๆ มีลักษณะหน้าเกลียดน่าชังแบบนั้น ๆ จริง ๆ แล้วไม่ใช่มนุษย์หรอก เป็นเปรต อสุรกาย ตกลงคนเขียน ๆ ตามที่เห็น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ภูมิเดียวหรือคนละภูมิกับเรา จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมพญาครุฑของเรากลายเป็นนกเผิงของจีนไปได้ เพราะว่าเขาเห็นเหมือนกัน


ถาม : สัตว์พวกนี้สามารถเข้ามาในเมืองให้เฉพาะบางคนเห็นได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาจะปรากฏตัวไหม ? เพราะว่าสัตว์หลายประเภทเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์ และขณะเดียวกันเทวดาบางประเภทก็ชอบแปลงเป็นสัตว์แปลก ๆ ให้เราดู บางทีเราอยากเห็นประเภทไหน ท่านก็ทำให้เห็นอย่างนั้น

เถรี 15-09-2012 19:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้นักเทศน์ดัง ๆ ไปตกอยู่ในวัดประยุรวงศาวาส สมัยก่อนมีหลวงตาแพร เยื่อไม้ มีหลวงปู่พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจโน) ปัจจุบันนี้มีท่านเจ้าคุณบุญมา (พระราชปฏิภาณมุนี) ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ (พระราชธรรมวาที) และท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต, ศ.ดร.)

ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ ท่านเป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้อาตมาเองแหละ ท่านเจ้าคุณบุญมา ก็เหมือนกัน สรุปว่าเชื้อสายวัดท่าซุงนี่หลีกวัดประยุรฯ ไม่พ้นหรอก เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ไปเป็นเจ้าคณะ ๔ วัดประยุรฯ อยู่ตั้งหลายปี ปัจจุบันท่านคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ก็เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เท่ากับว่าท่านเป็นเจ้านายของอาตมาโดยตรง"

เถรี 15-09-2012 20:15

พระอาจารย์เล่าว่า "คนทองผาภูมิอายุยืนทั้งนั้นเลย คุณยายหงส์อายุ ๙๓ ปี คุณหมอสุวรรณอายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเข็นรถออกมาใส่บาตรทุกวัน รถเข็นของหมอสุวรรณจะมีร่มปักอยู่ เป็นร่มขนาดใหญ่แบบร่มแม่ค้า หน้าฝนนี่สบายมาก ไม่เปียกฝนอย่างใครเขา

คนเราพออายุมากแล้วจะนอนน้อยลง เป็นธรรมชาติเลย เขาบอกว่ามีเวลาดูโลกน้อยแล้ว ฉะนั้น..ลืมตาเอาไว้เยอะ ๆ คุณหมอสุวรรณตื่นเวลาเดียวกับอาตมา คือเวลาตี ๒ พอตื่นเสร็จแกก็เสียบหม้อหุงข้าวไว้ แล้วก็เปิดเสียงเทศน์หรือเสียงสวดมนต์ฟัง พอถึงตี ๔ เสียงกรรมฐานวัดท่าขนุนดัง หมอสุวรรณก็ปิดเครื่องเสียงของตัวเอง ฟังของวัดแทน ทำกรรมฐานและสวดมนต์ทำวัตรด้วย พอเสียงสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ หมอก็เตรียมตัวไปใส่บาตร เพราะว่าเดี๋ยวพระก็ออกเดินบิณฑบาตแล้ว

ส่วนปู่มนัสเป็นตำรวจที่ทองผาภูมิจนเกษียณ ก่อนเกษียณ ๖ เดือนได้ติดยศร้อยตำรวจตรี ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว เดินตัวตรง หลังอย่างกับดามไม้ไว้เลย คนอะไรจะแข็งแรงปานนั้น ปกติถ้าคนกำลังไม่ดีหลังจะค่อมลงไปเรื่อย พออายุมากแล้วกำลังร่างกายไม่ดีจะหลังค่อม แต่ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้วหลังตรง แกถึงได้ชอบอาตมาเพราะเดินตัวตรงเหมือนกัน อาตมา หลังตรงเพราะโดนฝึกมา

เขาบอกว่าอยู่ทองผาภูมิ ๑ คืน อายุยืนไป ๑ ปี สงสัยว่าถ้าอยู่มา ๒๐ ปี จะอยู่ได้นานเท่าไร ?"

เถรี 15-09-2012 20:33

"หมอบอกว่า ตอนนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินได้เกือบจะเหมือนเดิมแล้ว หมอใช้คำว่าเกือบจะเหมือนเดิม ครั้งสุดท้ายที่อาตมาพบพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินแข็งแรง มั่นคง ก้าวยาวมากเลย

พอแก่แล้วร่างกายก็รวน เราแค่ลองนึกถึงรถยนต์ก็พอ รถยนต์ทำด้วยโลหะ ใช้งานได้ ๒๐ - ๓๐ ปีก็พังบรรลัยไปหลายรอบแล้ว แต่คนเรา ๗๐ - ๘๐ ปียังใช้อยู่ได้ แสดงว่าถ้าวิศวกรสามารถคิดเครื่องยนต์ที่เลียนแบบสภาพร่างกายได้ น่าจะใช้ได้เป็น ๑๐๐ ปี เพราะขนาดรถยนต์เราเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ ตามระยะทาง อย่างเช่นว่า หมื่นกิโลเมตร สองหมื่นกิโลเมตร เปลี่ยนตลอดยังพังเลย แต่คนเราแทบจะไม่มีใครเปลี่ยนอะไหล่ ยังอยู่กันถึง ๖๐ - ๘๐ ปี

วันก่อนพระเขาแจ้งข่าวว่า หลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน มรณภาพแล้ว ท่านอายุ ๖๘ ปี มีเสียงร้องในที่ประชุมสงฆ์ว่า "ยังหนุ่มอยู่เลย..!" โอ้..อายุ ๖๘ ปีนี่เขายังเห็นว่าหนุ่มอยู่เลย อาตมาว่าตัวเองอายุ ๕๔ ปีนี่ก็แก่เต็มทีแล้วนะ อาจจะเป็นเพราะว่าพระส่วนใหญ่อายุยืนทั้งนั้น


มีคนเขาทำวิจัยว่า การที่พระอายุยืน ส่วนหนึ่งเกิดจากการสวดมนต์ ใครสวดมนต์ทำวัตรสม่ำเสมอทุกวัน เขาบอกว่าเป็นการออกกำลังอวัยวะภายใน เวลาเราสวดมนต์ต้องใช้ปอด ใช้อวัยวะข้างใน ก็เลยทำให้อวัยวะภายในแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลัง ทำให้อายุยืนไปด้วย

เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากอายุยืนให้สวดมนต์ทุกเช้าเย็นจ้ะ ครั้งละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ออกเสียงดัง ๆ แบบพระ สวดเผื่อข้างบ้านก็ได้ ถ้าเขายังไม่ขว้างหลังคาบ้านก็แปลว่ายังสวดได้"

เถรี 15-09-2012 20:37

"ในเมื่อพระมีแนวโน้มที่จะอายุยืน ญาติโยมก็เลยช่วยกันลดอายุพระ โดยถวายอาหารแต่ละอย่างที่เห็นแล้วสยอง ตอนนี้สถิติของโรงพยาบาลสงฆ์ พระภิกษุสามเณรที่เข้ารักษาตัว อันดับหนึ่งป่วยเป็นเบาหวาน อันดับสองรองลงไปคือไขมันในเลือด อันดับสามเป็นโรคเครียด

สรุปว่า ๓ โรคที่ติดอันดับ มีโรคที่เกิดจากอาหารการกินไปแล้ว ๒ เราต้องมานึกว่าท่านที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลสงฆ์เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ เขามักจะพาไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน อาตมาเคยไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ มีพระเข้ารับการรักษาเยอะแยะเลย"

เถรี 16-09-2012 11:45

ถาม : ทำไมบางคนบางช่วงมีโรคภัยไข้เจ็บมาประดัง มีอุบัติเหตุ หรือว่าเจ็บป่วยเข้ามา จะทำให้ลดลงอย่างไร ?
ตอบ : เพราะวาระของอกุศลกรรม คือกรรมชั่วที่เราทำไว้ส่งผลในช่วงนั้น ถ้าตั้งใจจะลดจริง ๆ แล้วมีหลายวิธีด้วยกัน ถ้าทำอย่างโบราณ ก็มีการถวายสังฆทานและให้พระรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ บางคนเรียกว่าน้ำมนต์ ๗ วัด (วัฑฒ์) แต่ไม่ใช่หมายความว่าวิ่งไป ๗ วัด น้ำมนต์ ๗ วัด คือน้ำมนต์ที่เขาเสกด้วยบทอายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก อันนี้อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งเขาให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เท่ากับว่าตายแล้วเกิดใหม่ บางรายถ้าเห็นว่าหนักมากก็จัดงานศพตัวเอง ทำเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล


สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า ความจริงก็คือบุญใหญ่ อย่างการทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ก็คือการระลึกถึงมรณานุสติกรรมฐาน ก่อนที่จะทำมีการแนะนำให้รับศีลก่อนก็เป็นสีลานุสติ ถึงเวลาให้นึกถึงพระไว้ ก็กลายเป็นพุทธานุสติ กลายเป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่


เพราะฉะนั้น..
บุญของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบุญใหญ่มาก ช่วยให้เราห่างจากกรรมนั้นไป ไม่ได้หมายความว่าหาย แต่หมายความว่ากรรมสนองเราไม่ได้ชั่วคราว เพราะบุญใหญ่หนุนเราไว้ ถ้าบุญนั้นลดลง กำลังไม่พอเมื่อไร กรรมก็จะตามทันอีก

เถรี 16-09-2012 11:57

ฉะนั้น..เราก็ควรจะทำความดีไว้ให้สม่ำเสมอ ปล่อยชีวิตสัตว์ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ต้องไปซื้อที่เขาขายไว้เพื่อฆ่าจริง ๆ ไม่ใช่ซื้อที่เขาเตรียมไว้ให้เราปล่อย ที่เขาเตรียมไว้ให้ปล่อย เราจะได้แค่อานิสงส์ของเมตตาบารมีเท่านั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกว่า การเข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชรถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล คือการปฏิบัติในศีล ต้องนั่งภาวนาเพื่อรับยันต์ ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นการสร้างบุญใหญ่ไปในตัว

ที่วัดท่าขนุนปีนี้ยังเหลือพิธีรับยันต์เกราะเพชรอีกครั้งหนึ่ง คือวันที่ ๒๐ ตุลาคม ปีนี้ต้องเป่ายันต์ ๓ ครั้ง เลิกงานทีไรอาตมาหงายหลังแผ่ทุกทีเลย

เถรี 16-09-2012 12:33

ถาม : ผู้ใหญ่บ้านเขาโดนยาสั่ง จะตายหรือเปล่า ?
ตอบ : พวกโดนยาสั่งให้ที่ดูเล็บ ถ้าตายเล็บจะกลายเป็นสีม่วงทันทีเลย

ถาม : ตายแล้วจะล่องลอยเหมือนสัมภเวสี ?
ตอบ : ตายก่อนหมดอายุขัยก็มักจะเป็นสัมภเวสีก่อน ความจริงยาสั่งแก้ง่าย แต่คนมักจะไม่รู้ เขาให้เอารากตำลึง รากฟักข้าว และรากรางจืด โขลกผสมกับเหล้าแล้วกรอกปากเลย ถ้าเขาไม่กินก็บีบจมูกกรอกปากให้ (หัวเราะ) แต่กว่าจะรู้ตัวก็มักจะอาการหนักแล้ว

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้คาถากันยาพิษยาสั่งไว้เหมือนกัน ท่านบอกว่าให้เสกข้าวกินไปเลย แต่คาถานี้ให้ตั้งขันบูชาครู วันพฤหัสบดีข้างขึ้น ยิ่งข้างขึ้นมากเท่าไรยิ่งดี ใช้บัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก คาถาท่านว่า “พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ”

ฉะนั้น..ถ้าใช้คาถาอยู่เป็นประจำ ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวยาสั่ง แต่ถ้ากลัวจะเผลอ ไม่สามารถที่จะท่องคาถาได้เป็นประจำทุกวัน ท่านให้เอากระดูกห่านขาวมาทำเป็นตะกรุด ลงด้วยนะโมพุทธายะ แล้วแขวนติดตัวไว้ แต่อย่าไปไล่ฆ่าห่านนะ อาตมาแค่บอกวิธีให้เท่านั้น

เถรี 16-09-2012 12:50

ครั้งแรกที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชานี้ให้ พระในวัดโดยเฉพาะวัดหลวงน้ามีชัยบอกว่า "ท่านเล็ก..คุณจะต้องโดนเขาวางยาแน่ เพราะหลวงพ่อไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร" แต่ขอโทษ..อาตมาเลิกใช้คาถานี้นานแล้ว ใครอยากจะวางก็ให้เขาวางเถอะ กินแล้วอร่อยดี..!

ในบท
กรณียเมตตาสูตร ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ ๑๑ ประการของการเจริญเมตตาภาวนา มีอยู่อย่างหนึ่งว่า “นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา” สามารถทำลายได้ทั้งเปลวไฟ ยาพิษ และอาวุธ ตอนแรกอาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระธุดงค์หลายองค์ท่านโดนงูกัดแล้วไม่ตาย ก็เพราะว่าท่านนั่งแผ่เมตตาให้สัตว์พวกนี้

อาตมามาเข้าใจหลังจากที่ตัวเองโดนงูกัด ว่าพิษงูจะทำปฏิกิริยากับเลือดในร่างกายของเรา ทำให้เราตายได้ แต่พอเราเปลี่ยนไปแผ่เมตตา ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความกลัว พิษงูทำปฏิกิริยากับร่างกายเราไม่ได้ ในเมื่อทำปฏิกิริยากับเลือดเราไม่ได้ พิษคงอยู่ได้ไม่นานก็โดนขับออกไปหมด


ฉะนั้น..ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ความจริงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเราไม่มีประสบการณ์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น กว่าจะเข้าใจต้องให้ตัวเองโดนงูกัดสัก ๒ - ๓ ที

เถรี 17-09-2012 11:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง ก็คือ สมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ หลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่า อย่าเจาะพระนลาฏเพื่อติดเพชร ปรากฏว่าพักเดียวมีคนจัดการเรียบร้อย หลวงพ่อท่านก็ว่า "เออ..ขนาดสั่งแล้วนะ ยังทำเป็นสั่งขี้มูกไปได้"

หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดให้ลูก ๆ ได้รู้จักสมเด็จองค์ปฐม ได้ร่วมกันสร้างพระรูปของพระองค์ท่าน สร้างยังไม่เรียบร้อยดีท่านก็มรณภาพก่อน ปัจจุบันนี้เขาสร้างสมเด็จองค์ปฐมกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนเขาไม่รู้จัก พอรู้จักแล้วสร้างกันเสียยกใหญ่

ตอนท่านสร้างพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ มีโยมถวายทองคำเพื่อร่วมหล่อ ๒๒ กิโลกรัม พอมาสร้างสมเด็จองค์ปฐม มีโยมถวายทองร่วมหล่อ ๗๘ กิโลกรัม แต่ว่านั่นเป็นเฉพาะทอง ส่วนที่เป็นหัวแหวน เป็นเพชร เป็นพลอย ท่านคัดออกมาบรรจุ ท่านบอกว่าถ้าใส่เบ้าหลอมแล้วระเบิดหมด เสียดายของ"

เถรี 17-09-2012 12:04

"อาตมามีโครงการสร้างพระทองคำ ๑ องค์ แต่รอให้อายุ ๖๐ ปีก่อน ถ้าอยู่ไม่ถึงก็พับโครงการไป เพราะว่าพระที่บวชใหม่ปีนี้ ท่านมีความสามารถในการออกแบบเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นศิลปวัตถุแบบไทย ๆ อาตมาก็เลยให้ท่านออกแบบบุษบกสำหรับตั้งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว จะให้ตั้งถาวรเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่ปีหนึ่งเอาออกมาแค่ ๓ - ๔ ครั้ง ตั้งใจว่าพอทำศาลาใหม่เสร็จ จะตั้งไว้ด้านข้างของพระประธาน แต่ถ้าตั้งบุษบกไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ว่าง จึงตั้งใจว่าอีกข้างหนึ่งจะตั้งพระทองคำแทน

ค่อย ๆ เก็บทองด้วยนะ ถึงเวลาจะได้ช่วยกันหล่อ อาตมาก็สะสมไว้ได้หลายบาทแล้ว ช่างบอกว่าทอง ๓๐ กิโลกรัมก็พอ ...(หัวเราะ)... ทองคำกิโลกรัมหนึ่ง ๖๐ กว่าบาท"

ถาม : เป็นพระยืนหรือครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปยืนปางลีลา ถ้ามาลักษณะนั้นสำหรับอาตมาคือหลวงปู่พระพุทธกัสสปะ เพราะตกลงกันไว้ว่า ถ้าท่านเสด็จมาต้องมาในลักษณะนั้น ไม่อย่างนั้นจะจำท่านไม่ได้ พระองค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภ ในเมื่อลาภสักการะมากก็ตั้งให้พวกเราบูชาขอพระท่านกันเอาเอง ถ้าอาตมาอยู่ถึง ๖๐ ปี หล่อแน่ ๆ ตอนนี้เก็บทองกันไปก่อน

เถรี 17-09-2012 12:17

ถาม : อยากให้ลูกเลิกซนครับ
ตอบ : ถ้าเลิกซน ลูกจะไม่ได้เรื่อง ฉะนั้น..ต้องให้ซนต่อไป เด็ก ๆ ต้องซนจ้ะ เป็นธรรมชาติของเขา

ถาม : ลูกไอ ห้ามกินอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไอห้ามเอาพัดลมเป่าใส่ตัว

ถาม : เรื่องกิน ?
ตอบ : กินอะไรก็ไม่หนักเท่าเป่าพัดลมใส่ตัว เพราะทำให้ปอดชื้นง่ายแล้วตายเร็ว ส่วนใหญ่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ชอบเปิดพัดลมจี้ตัวเลย

ถาม : กินกล้วยมาก ๆ แล้วร่างกายเย็น ?
ตอบ : เกี่ยวอยู่ แต่ไม่หนักเท่าพัดลม

เถรี 17-09-2012 12:25

ถาม : ตะเข็บเข้าบ้านแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : รื้อบ้าน..ไม่มีบ้านมันก็ไม่เข้าแล้ว..! ก็อย่าให้มีพวกหญ้าเน่า อย่างหญ้าที่เราตัดแล้วหมกไว้นั่นแหละ ตะเข็บชอบไปวางไข่ ฉะนั้น..ตัดหญ้าแล้วโกยทิ้งไปเลย พวกใบไม้ใบหญ้าที่หมก ๆ ไว้ตะเข็บชอบนักแล พอไม่มีที่อยู่เขาก็เลิกมาแล้ว โบราณเขาบอกว่าอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ พวกขยะมูลฝอยเป็นรังตะเข็บเลย เป็นที่อยู่ของเขา

เถรี 17-09-2012 12:49

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่อาตมานั่งเตรียมการสอนปริญญาตรีล่วงหน้า ๒ อาทิตย์และออกข้อสอบเสร็จแล้ว เทอมนี้ก็สบาย เอาไว้เทอมหน้าไปตกระกำลำบากใหม่ เทอมนี้ต้องสอนวิชาใหม่ ทำให้ต้องเตรียมการสอนอาทิตย์ต่ออาทิตย์ เทอมหน้าจะต้องสอนวิชาวิสุทธิมรรค มีแต่วิชาที่ชาวบ้านเขาไม่อยากสอนกันทั้งนั้น

อาจารย์ที่เคยสอนท่านบอกว่า
“เข้าไม่ถึง..อธิบายไปอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ตัวเองยังไม่เข้าใจ แล้วลูกศิษย์จะรู้เรื่องได้อย่างไร ? ” แล้วก็สรุปว่า “พระครูเล็กรับไปหน่อยนะครับ” อาตมาซวยทุกที อยากจะบอกว่าอาตมาเป็นคนเหลือเลือก อะไรที่ชาวบ้านเขาเลือกเหลือแล้วเขาก็จะยกให้ ความจริงเป็นของที่ดีที่สุดนะ แต่คนไม่เห็นคุณค่า ถ้าอาตมาไม่สอนวิชานี้ ก็จะมีคนอื่นกัดฟันสอน แล้วก็นั่งหาวทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เพราะไม่รู้เรื่องทั้งคู่..!

วิสุทธิมรรคมี
สีลนิเทศ สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศ ๓ เล่มหนา ๆ เลย เฉพาะศีลอย่างเดียวเขาบอกว่าศีลมีกี่รูปแบบ ศีลอย่างเดียวก็ท่องกันหูดับตับไหม้แล้ว ความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปท่องกัน เพราะว่าศีลเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วเขาหลงประเด็นไปท่องกัน

แบบเดียวกับ
ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ท่านสอนพระอภิธรรมปิฎก ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งติด I อาจารย์ท่านก็ให้มาซ่อม ซ่อมเท่าไรก็ไม่ผ่าน เพราะลูกศิษย์ไม่สนใจที่จะเรียน ท้ายสุดท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พระคุณท่านเข้าไปอยู่ในโบสถ์ อีก ๒ ชั่วโมงค่อยออกมา จะอยู่อย่างไรก็เป็นเรื่องของพระคุณท่าน ถ้าอยู่ในโบสถ์ได้ครบ ๒ ชั่วโมงเดี๋ยวผมจะแก้ I ให้” แล้วท่านก็ไปแอบดู

ท่านบอกว่า “โอ้โห..ท่านเดินพล่านไปหมด ผมไม่นึกเลยว่าพระระดับเจ้าอาวาส ระดับเจ้าคณะตำบล กระทั่งสมาธิสักนิดหนึ่งยังไม่มีเลย” เป็นอาตมาอยู่ในโบสถ์ ๒ ชั่วโมงหวานหมูแน่ จะนั่งจนท่านอาจารย์ให้ A เลย"

เถรี 17-09-2012 12:52

“วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ” แต่ก็ต้องเรียน ในเมื่อคนเขาเชื่อกันแค่นั้น ทุกวันนี้ที่อาตมาสอนอยู่ ได้แต่เอาไปเหน็บเอาไว้ท้ายชั่วโมงให้เขาหน่อยหนึ่งว่าควรจะได้อะไร ควรจะทำอะไรจริง ๆ บางครั้งก็ยกตัวอย่างทางวัดท่าขนุนให้ฟัง ปรากฏว่าลูกศิษย์ฟังแล้วแทนที่จะเกิดกำลังใจปฏิบัติ ก็คงนึกในใจว่าวัดนี้กูจะไม่เฉียดไปใกล้เลย..! ทั้ง ๆ ที่วัดท่าขนุนก็ไม่ได้ปฏิบัติเข้มงวดเคร่งครัดอะไรนัก

วันก่อนอาตมาไปหาเนื้อหาเพื่ออบรมเด็ก ไปเจอเนื้อหาประเภทสะกิดใจว่า “คุณรับปริญญา แล้วคุณก็ไปเลี้ยงข้าวเพื่อนฉลองกัน แต่คุณไม่ได้คิดที่จะเลี้ยงคนที่ส่งคุณจนจบเลยหรือ ?” อาตมาได้ยินก็คิดว่าใช่ ส่วนใหญ่เขาฉลองกับเพื่อน ถ้าเลี้ยงที่บ้านก็พ่อแม่จ่ายอีก..!

เถรี 17-09-2012 13:05

ถาม : ผมเพิ่งฟังเสียงเทปพระองค์ที่ ๑๐ ได้ยินเสียงพระอาจารย์ด้วย ?
ตอบ : อาจจะเป็นคนเสียงคล้ายก็ได้ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่คิดว่าจะได้พบก็ได้พบ ไม่คิดว่าจะได้เจอก็ได้เจอ เจอแล้วยังโง่อีกคิดว่าไม่ใช่

ถาม : ท่านมาเป็นคนจริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : บอกไม่ถูก นั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน มองแล้วมองอีก เป็นไปได้หรือ ? คนตายมาสองพันกว่าปีแล้วมานั่งอยู่ใกล้ ๆ เรา ท่านหันขวับมาบอกว่า “ถ้าไม่แน่ใจ จะคลำดูก็ได้” คิดอะไรไว้ท่านพูดมาหมดเลย ในเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว มีหรือลูกลิงอย่างอาตมาจะกลัว ว่าแล้วก็คลำเลย..!

ถาม : คลำแล้วพูดไม่ถูกหรือคะ ?
ตอบ : พูดไม่ถูก คลำดูก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ประสบการณ์โดนผีหลอกมาอย่างหนักนี่ยังไม่เชื่อนะ เพราะเวลาโดนผีหลอกอาตมาจะสู้อย่างเดียว พอจับถูกตัวเขา เนื้อเขาก็เหมือนกับเนื้อเรานี่แหละ แต่ถ้าเราตั้งใจมองจะมองทะลุได้ เป็นอะไรที่แปลกมาก

เวลาเขาจับเรากดติดพื้น มือเขาก็กดมือเราอยู่ แต่ถ้าเราตั้งใจเพ่งจะเห็นทะลุไปถึงมือตัวเองด้วย หรือไม่ถ้ามองตัวเขาแบบตั้งใจมองจะเห็นของข้างหลังด้วย อาตมาก็แปลกใจว่าทำไมเขาเตะเราก็เจ็บ จับเราก็ได้ คราวนี้พอเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องเชื่อแล้ว

ถาม : ถ้าเราเตะผี ?
ตอบ : พวกนี้ปรับเปลี่ยนเร็ว หลอกอาตมามาเยอะแล้ว อาตมาเตะนาฬิกาพังไปทั้งเรือน ตอนจับเราจับเขาได้ แต่ตอนเตะเราเตะไม่ถูก ทะลุผ่านไปเฉย ๆ เขาแกล้งเราได้ขนาดนั้น ทำเอานาฬิกาปลุกจากฝรั่งเศสอย่างดีพังกระจายทั้งเครื่องเลย..!

ถาม : มองทะลุได้ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่สนใจก็หลับตาไปเลย หรือไม่ก็ทำเมิน ๆ จะเห็นชัด ๆ เลย แต่ถ้าตั้งใจมองจะมองเห็นของข้างหลังด้วย

เถรี 17-09-2012 13:11

เรื่องนี้ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันตรงกันหมด อาตมาไปกราบสนทนาขอความรู้จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน พอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสร็จเรียบร้อย คนอื่นไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร อาตมาก็กราบเรียนถามท่านว่า “กราบขออนุญาตครับหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยโดนผีหลอกไหมครับ ? ”

ท่านนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เดี๋ยว..เรื่องนี้เกี่ยวกับอุตริมนุสธรรม” อาตมากราบเรียนว่า “ปรารภเพื่อจะได้เป็นที่ทราบกันครับ ไม่ได้คุยอวด ไม่น่าจะเป็นอุตริมนุสธรรม” ท่านก็บอกว่า “อืม..ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่าให้ฟัง” แล้วท่านก็ว่าไปเรื่อย ทิ้งท้ายว่า “ผมไม่มั่นใจหรอกนะว่าเป็นผีหรือเปล่า ? ” แต่ที่ท่านเล่ามานั่นผีทั้งนั้นแหละ..!


มีเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านเดินจงกรมอยู่ท้ายวัด เกือบ ๆ จะถึงป่าช้า ปรากฏว่าเห็นโยมคนหนึ่งเดินมา ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นคน แต่พอเขาเดินผ่านไปแล้วเห็นหลอดไฟอยู่ข้างหลังเขาด้วย ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นผี พอเข้ามาใกล้ เห็นชัดยิ่งมั่นใจใหญ่ เพราะเพิ่งจะเผาศพเขาไปเมื่อเย็นนี้เอง


ถาม : ตอนที่เป็นคนเขาทำอะไรไว้คะ ?
ตอบ : ก็ต้องถามเขาเอง เอาอย่างพระโมคคัลลานะ “ดูก่อนเทพนารี เมื่อตอนมีชีวิตอยู่เธอได้สร้างกุศลอันใดไว้หรือ ? ”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว