![]() |
คดไม้ไผ่หรือแก้วจันทรกานต์นี้ เป็นสุดยอดของแก้วที่ไม่อาจพบเห็นกันง่าย ๆ ดูจากภายนอกเป็นหินหรือกรวดธรรมดา แต่เมื่อเรืองแสงจะคล้ายแก้ว แสงที่เปล่งออกมานี้ สามารถรับแสงได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากดวงจันทร์ แสงนีออน แสงเทียน
กล่าวกันว่าเป็นของคู่บุญบารมี ให้ความคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้เป็นเลิศ เล่าสืบต่อกันมาว่าหินที่สามารถดูดแสง เรืองแสงได้นี้ มี ๒ อย่าง หนึ่งคือ แก้วจันทรกานต์ เรืองแสงสีเขียวอ่อน เย็นตา อีกอย่างคือ แก้วสุริยกานต์ เรืองแสงเป็นสีแดง แต่ละอย่างนับเป็นสุดยอดแห่งคด แต่ห้ามอยู่คู่กัน ใครครอบครองทั้งสองอย่าง จะพบความวิบัติ จึงต้องระมัดระวังไว้ให้มาก |
1 Attachment(s)
เหตุผลที่ห้ามมิให้นำสองสุดยอดแก้วมาไว้ด้วยกันนั้น เล่าสืบกันมาว่า แท้ที่จริงแก้วจันทรกานต์ เป็นลูกแก้วแห่งพญานาคราช ซึ่งเป็นธาตุเย็น พญานาคราชได้คายออกมา เพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิมที่ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์ จึงไม่อาจอยู่ใกล้กับแก้วสุริยกานต์ ซึ่งเป็นธาตุร้อนจากแสงอาทิตย์ เพราะจะหักล้างกันเอง จนเกิดวิบัติแก่ผู้ครอบครองได้ ทำนองช้างสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกกระจาย... ดังนั้น..หากบารมีไม่ถึง แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองย่อมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าหากผู้ครอบครองมีบารมีสูงเพียงพอ เหมือนดังเป็นตัวกลางคอยกันเอาไว้ ไม่ให้ธาตุทั้งคู่หักล้างกันเอง ย่อมส่งผลให้แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ต่างส่งผลดีแก่ผู้ครอบครองเป็นทวีคูณ การพบแก้วศักดิ์สิทธิ์แต่ละอย่างนั้น ผู้ได้พบเห็นถือได้ว่ามีบุญ เป็นบุญตา ส่วนการได้ครอบครองนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีที่มาในอดีตอย่างไร เกี่ยวข้องกับแก้วศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วด้วยกรรมในอดีต ลำไม้ไผ่ที่มีคด เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู และ หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ สองเกจิอาจารย์ลือนาม จะนำเอาไม้ไผ่นั้นมาสร้างเป็นตะกรุด ดีเยี่ยมในทางมหาอุด |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1379965848 แก้วกายสิทธิ์ (เพชรเขาพระงาม) ของกายสิทธิ์ ตำราทางไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่า ของกายสิทธิ์แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด หรือสามขั้น ได้แก่ ๑. ทนสิทธิ์ หมายถึง ของดีตามธรรมชาติ ที่มีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันเสื่อม ได้แก่ เหล็กน้ำพี้ ทองแดงเถื่อน ตะกั่วป่า เป็นต้น ๒. กายสิทธิ์ เป็นของวิเศษชั้นเลิศ มีฤทธิ์เหนือกว่าทนสิทธิ์ ใครมีไว้ถึงโดนถ่วงน้ำก็ไม่ตาย ไม่มีใครฆ่าได้ ได้แก่ คดวิเศษบางจำพวก แร่กายสิทธิ์บางชนิด แก้ววิเศษบางอย่าง เป็นต้น คำว่ากายสิทธิ์นั้น โดยมากใช้เรียกของดีตามธรรมชาติทั้งหลาย ครอบคลุมไปถึงทนสิทธิ์และอะโลมะประสิทธิ์ด้วย เพราะเป็นคำคุ้นปาก คนทั่วไปโดยมากไม่เรียกของตามชนิด แต่ใช้คำว่ากายสิทธิ์ เรียกรวมธาตุวิเศษต่าง ๆ ไปเลย ๓. อะโลมะประสิทธิ์ ของประเภทนี้หายากที่สุด จะอยู่กับผู้ทรงฌานสมาบัติ หรือพระโพธิสัตว์ที่จุติมาเท่านั้น เป็นของเลิศกว่ากายสิทธิ์ ใครได้ไว้สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือไปยังนครใต้พิภพที่จำศีลของพญานาค จะเหาะไปป่าหิมพานต์ก็ได้ ไม่ใช่ของสามัญโดยทั่วไปที่จะหาไว้ได้ ของ ๓ ประการนี้ เป็นของที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญ อำนวยประโยชน์สุขแก่ผู้ครอบครอง เป็นของหายาก จะอยู่กับผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น |
1 Attachment(s)
งากำจัด งากำจาย งากำจัด คือ งาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้เมื่อช้างตกมันอาละวาด เอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วงาหักคาอยู่กับต้นไม้ ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก เพราะอย่างดีก็หักแค่ส่วนปลาย งากำจาย (งากระเด็น) คือ งาของช้างสองเชือกที่เข้าต่อสู้กัน จนมีปลายงาหักแตกกระจาย ตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดู เพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจอทุกครั้งไป |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1379900190 งากำจัด แกะเป็นรูปพระพิฆเณศวร์ ความแตกต่างของงาเป็นกับงาตาย งากำจัด งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น เมื่อผ่านการพกพาติดตัว หรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อนแก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่ หรือบางคนว่างานั้นหักขณะที่ยังมีเลือดอยู่ ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วตัดเอามา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่านการใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว ความเหลืองฉ่ำถึงแม้จะเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นสีน้ำผึ้ง |
1 Attachment(s)
งากำจัด งากำจาย ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ผ่านการปลุกเสก เมื่อพกพาติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ ป้องกันอันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากสัตว์ร้ายได้ แต่ถ้าได้ผ่านพิธีกรรมมาแล้ว สรรพคุณย่อมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ งากำจัด งากำจาย ของแท้หายากมาก สมัยโบราณ พอช้างตายเขาก็เอางามาขาย งาแกะหรือมีดด้ามงา มักจะทำจากงาช้างตายซึ่งเป็นช้างของไทยเอง แต่ในสมัยนี้ เกือบร้อยทั้งร้อยเป็นงาช้างอาฟริกา ซึ่งเส้นสายจะหยาบกว่ามาก |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1379964114 งางอก (คดงาช้าง)คดงาช้าง (งางอก) งางอกคือปุ่มที่งอกออกมาข้างในโพรงของงาช้าง ตอนโคนงานั้นข้างในจะเป็นโพรง งาที่งอกออกมาอาจจะเป็นปุ่มเล็ก หรือใหญ่ขนาดหลายนิ้วก็ได้ เขาว่าขนาดไข่ไก่ก็มี ถ้าใหญ่มากอาจจะเป็นตะปุ่มตะป่ำ งางอกราคาแพงมากและส่วนใหญ่เขาไม่ขายกัน เพราะเป็นของหาได้ยาก มีสรรพคุณในทางเป็นคุณแก่เจ้าของ ช่างกลึงงาช้างสองผัวเมียที่พยุหะคีรีบอกว่า ทำงานมาสี่สิบกว่าปี เจองางอกแค่สองอัน อันใหญ่ขายไปแล้ว ส่วนอันเล็กเก็บไว้บูชาเอง โดยเอาใส่ไว้ในกระป๋องเก็บเงิน เชื่อว่าทำให้เงินงอกได้ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1379964379 คดงาช้าง (งางอก) งางอกหรือคดงาช้างนี้ โบราณเชื่อว่าจะช่วยบันดาลให้เงินทองงอกเงย เต็มไปด้วยทรัพย์สินศฤงคาร เขาจะเอามาใส่บูชาไว้ในกำปั่นใส่เงิน หรือฐานพระยืนปางห้ามญาติ ที่แกะจากไม้มงคล (ไม้โพธิ์นิพพานทิศตะวันออก) เป็นพระประจำตัว ใต้ฐานพระจะบรรจุของหลายอย่าง พวกยาวาสนา ผ้าไหมแพรพรรณหลายสี เพชร พลอย เงิน ทอง ดวงเจ้าของพระ ถ้าจะให้เต็มสูตร ต้องมีงางอกนี้ใส่ไว้ด้วย... งางอกหรือคดงาช้าง จะช่วยดึงดูดเงินทองให้งอกเงย งาช้างจริง ๆ ก็มีสรรพคุณดีอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นสัตว์ใหญ่ชั้นสูง มีเทพยดาคอยคุ้มครอง ตัวที่มีคดงอกขึ้นข้างในงา มีแค่หนึ่งในหลายพันหรือหนึ่งในหมื่น ช้างตัวนั้นมักจะเป็นพญาช้างจ่าโขลง |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380018580 เม็ดมะขามทองแดง คด คดคือหินที่เกิดจากในพืชหรือในสัตว์ สมัยก่อนเรียกว่า "แก้ว" เป็นของทนสิทธิ์ ประเภทกายสิทธิ์ในตัวเอง บางอย่างมีเทพรักษา บางอย่างก็ไม่มีเทพรักษา เป็นของอาถรรพ์มีอิทธิฤทธิ์จนคาดไม่ถึง คดนั้นมีกำเนิดลี้ลับมหัศจรรย์ ผู้รู้ในอดีตท่านบันทึกไว้ มีอยู่ ๒ ชนิดคือ ๑. คดที่เกิดจากพืช เป็นของกายสิทธิ์ที่เชื่อกันว่า สวรรค์บันดาลให้เกิดขึ้น โดยเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เนรมิตขึ้นมา เพื่อมอบให้เฉพาะผู้มีวาสนาครอบครอง เป็นของคู่บารมีคนมีบุญ เช่น มะกล่ำดำ เม็ดขนุนทองแดง เม็ดมะขามทองแดง แก้วบงกชรัตน์ (เม็ดบัวเป็นแก้ว) แก้วกัทลี (แก้วที่เกิดในปลีกล้วย) เป็นต้น |
1 Attachment(s)
๒. คดที่เกิดจากสัตว์ เชื่อว่ามีกำเนิดมาจากบุรพกรรมของสัตว์ของชนิดนั้น ๆ หรือเทวดานางฟ้าที่กระทำผิดกฎสวรรค์บางประการ แล้วถูกลงโทษทัณฑ์ให้เกิดลงมาเกิดเป็นสัตว์ตามผลกรรมของตน เมื่อหมดกรรมแล้วก็จะอธิษฐานร่างบางส่วนให้เป็นของกายสิทธิ์ อันเป็นการสร้างทานบารมี ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนสวรรค์ดังเดิม เช่น คดผึ้ง คดหอย คดกุ้ง คดดักแด้ คดไข่ไก่ คดปลวก ปลิงทองแดง ปูหิน (เปี้ยวหิน) เป็นต้น |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380018947 แมวตาเพชร ชื่อ "เอียง" ของหลวงปู่พระครูปัญญาโสภิต วัดสร้อยทอง ส่วนคดประเภทที่เป็นเขา เขี้ยว หรือลูกตา จะเกิดมาพร้อมกับสัตว์เหล่านั้น เป็นของคู่บารมีของสัตว์ตัวนั้น เพื่อให้การปกป้องคุ้มครองชีวิตและร่างกายให้ปลอดภัย จนกว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมดกรรมลง เช่น เขากวางคุด เขาพญากระจง เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวแก้วจระเข้ เพชรตาแมว แก้วตาเสือ มณีนาคราช (ไข่งูเป็นแก้ว) คดงาช้าง คดโพรงอากาศช้าง เป็นต้น |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380019091 คดถั่วลิสง (กลายเป็นหินทั้งฝัก) อานุภาพของคดนั้นเป็นของวิเศษ มีอิทธิคุณรอบตัว คดนั้นจะแผ่พลังปราณออกมา ปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เรียกว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็จะให้การคุ้มครองช่วยเหลือ จนกว่าจะตายจากกันไปเลยทีเดียว ตัวอย่างบุคคลที่ได้ของวิเศษจากธรรมชาติ เป็นของคู่บุญคู่บารมี ได้แก่ พระเจ้าพรหมมหาราช มีเขี้ยวแก้วพญางู ขนาดใหญ่เท่าผลกล้วย เป็นของคู่บารมี ช่วยให้สามารถปราบขอมดำจนราบคาบ กอบกู้อาณาจักรเชียงแสนกลับคืนมาได้โดยง่าย พระนางเจ้าจามเทวี มีพระแก้วเสตังคมณีเป็นของคู่บุญ สามารถแผ่พระบารมีสยบแคว้นใกล้ไกลจนราบคาบ ทำให้อาณาจักรหริภุญไชยยิ่งใหญ่เกรียงไกร เป็นที่คร้ามเกรงไปทั่ว พระแก้วเสตังคมณีแกะสลักขึ้นจากแก้ววิเศษ ที่เรียกกันว่า "เขี้ยวหนุมาน" เป็นต้น |
1 Attachment(s)
อากาศช้าง อากาศช้าง เป็นคดที่เกิดในตัวสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สิ่งนี้จะเกิดอยู่ในโพรงอากาศบริเวณหัวช้าง ต้องรอจนช้างตายถึงจะเอามาได้ มีคุณทางโชคลาภอย่างสูง ช้างที่มีอากาศช้างเกิดในตัว จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ช้างอื่นจะเกรงอำนาจบารมี ต้องคอยมาแวดล้อมรับใช้ช่วยเหลือ วิธีบูชาอากาศช้างก็เหมือนกับเลี้ยงช้าง คือต้องหาหญ้าหาน้ำมาเซ่นทุกวัน คดจากโพรงอากาศช้างนี้ จะเป็นก้อนแข็งเหมือนหิน ไม่ได้มีอยู่ในช้างทุกเชือก มีคุณวิเศษในตัวโดยที่ไม่ต้องปลุกเสกแล้ว หรือจะเอาไปให้พระปลุกเสกเพื่อเพิ่มพลังก็ย่อมได้ เป็นทนสิทธิ์ประเภทเดียวกันกับ เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง ราคาซื้อขายนั้น ถ้าคนที่รู้คุณค่า จะยอมสู้ราคาพอ ๆ กับซื้องาช้างงาม ๆ คู่หนึ่งเลยทีเดียว |
1 Attachment(s)
ได้ยินมาว่าในสมัยรัชกาลที่หก มีพ่อค้าท่านหนึ่ง คุมกองเกวียนไปค้าขายทางเมืองเหนือ ระหว่างการเดินทางได้พักค้างคืนในป่าแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นไม่ทราบว่าว่ามีช้างล้ม (ตาย) อยู่ตั้งแต่เมื่อใด เพราะเหลือแต่โครงกระดูกที่เก่ามากแล้ว ตอนกลางดึกพ่อค้าท่านนี้ตื่นขึ้นมาใส่ฟืน เพื่อให้กองไฟลุกสว่าง จะได้ป้องกันสัตว์ร้าย เมื่อจะนอนลงใหม่ก็ได้ยินเสียงกุกกักมาจากทางโครงกระดูกช้าง ด้วยความสงสัยจึงจุดไต้ไปดู ปรากฏว่าเสียงนั้นดังมาจากกะโหลกช้าง เหมือนมีอะไรกลิ้งอยู่ข้างใน ท่านจึงลองพลิกกะโหลกช้างขึ้นมา ก็มีของสิ่งหนึ่งสัณฐานค่อนข้างกลมคล้ายก้อนหิน มีสีขาวเหลืองเหมือนกระดูก หลุดตกลงมาจากในโพรงกะโหลก ด้วยความที่พ่อค้าผู้นี้มีประสบการณ์มาก จึงทราบว่านี่คืออากาศช้าง หรือคดในโพรงสมองช้าง |
1 Attachment(s)
ท่านจึงเก็บเอาอากาศช้างนี้ติดตัว ทำการเซ่นด้วยหญ้าสดและน้ำทุกวัน ปรากฏว่าการค้าของท่านเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าขนอะไรไปขายทางเหนือ ก็ขายได้หมดสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว ครั้นนำเอาสินค้าของป่าจากทางเหนือลงมาขายทางใต้ ก็เป็นที่ต้องการมากจนไม่พอจำหน่าย ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐี ภายหลังได้รับพระราชทานตราตั้งจากในหลวงรัชกาลที่หก ให้เป็นพระยาพานทอง ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายคน มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนทั่วไป |
1 Attachment(s)
เขี้ยวหมูตัน เครื่องรางซึ่งเป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณนั้น หนีไม่พ้นพวกเขี้ยวพวกงา อย่างเขี้ยวหมูตันกับเขี้ยวเสือกลวง ของขลังเหล่านี้ในธรรมชาติ ถือว่าเป็นของที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเขี้ยวหมูป่าแล้ว ส่วนมากจะกลวงแทบทั้งนั้น เขี้ยวหมูตันจะเกิดกับหมูป่าตัวผู้ซึ่งเป็นจ่าฝูง อุปนิสัยดุร้ายไม่เกรงกลัวผู้ใด แข็งแรงว่องไว กล้าราวีกับสัตว์ทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่เสือร้ายจ้าวป่า หมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่ออก ยิงออกก็ไม่ถูกหรือยิงถูกก็ไม่เข้า "เขาเล่าว่า" วันดีคืนดีเขี้ยวของหมูตัวนั้นจะเรืองแสงออกมาเป็นสีเขียวอ่อน |
1 Attachment(s)
เขี้ยวหมูตันที่นิยมเอามาทำเครื่องราง จะต้องตันตั้งแต่โคนจนถึงปลาย จับดูจะรู้สึกว่ามีน้ำหนัก เท่าที่ทราบมา เขี้ยวหมูตันที่นำมาใช้กัน เป็นเขี้ยวหมูตันที่ได้มาจากการตายตามธรรมชาติ ในสมัยก่อนเมื่อดักจับตัวได้แล้ว จะนำไปเลี้ยงไว้จนแก่ตาย แล้วค่อยทำพิธีพลีเอาเขี้ยวมาใช้ นาน ๆ จึงจะพบเขี้ยวหมูตันแท้ ๆ สักอัน จึงเป็นที่ต้องการกันมาก วิธีดูเขี้ยวหมูตัน คนที่เคยเห็นของแท้แล้วคงดูเป็นได้ไม่ยาก เมื่อส่องกล้องขยายจากโคนจนถึงปลายจะมองเห็นเส้นตามขวางเป็นริ้วๆ เป็นเส้นที่แสดงถึงการงอกเพิ่มของเขี้ยวหมูตามอายุของหมูตัวนั้น ส่วนของเขี้ยวหมูที่ถูกใช้สัมผัสกับเหงื่อ จะมีสีเปลี่ยนไปออกเหลือง จุดสังเกตคือ จะเห็นเสมือนเป็นชั้นบาง ๆ เคลือบผิวอยู่ คล้ายกับว่าถูกเคลือบด้วยเทียนไข |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380103805 เขี้ยวหมูตันทำเป็นด้ามมีด ฝีมือช่างทำมีดบ้านจ่าตุ่ม ตรงส่วนปลายของเขี้ยวจะมีส่วนที่เป็นมุมคมเพื่อใช้ในการการขุดหาอาหาร หรือใช้ขวิดทำร้ายศัตรู ถ้าเขี้ยวหมูถักเงินไว้ ให้สังเกตความเก่าของเงินที่ใช้ถัก ว่ามีความเก่าเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของเขี้ยวหมูหรือไม่ จุดตายคือเขี้ยวหมูตันจะมีเนื้อในเต็มตั้งแต่โคนจนถึงปลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริเวณใกล้กับโคนของเขี้ยวจะต้องมีโพรงอยู่หน่อยหนึ่งเสมอ เพราะเป็นโพรงประสาทฟันของหมู แล้วค่อยเป็นส่วนตัน โพรงนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุของหมูตัวนั้น ๆ ดังนั้นถ้าเห็นเขี้ยวหมูเป็นรูหน่อยหนึ่งแล้วค่อยมีเนื้อตันข้างใน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นเขี้ยวกลวง ไม่อย่างนั้นท่านอาจพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380139535 เขี้ยวเสือกลวง หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย นำมาแกะเป็นวัตถุมงคล เขี้ยวเสือกลวง ตำรับโบราณอันว่าด้วยเขี้ยวงา ได้กล่าวถึงของวิเศษธรรมชาตินี้เอาไว้ด้วยกันสองชนิด คือ ๑. เขี้ยวหมูตัน ๒. เขี้ยวเสือกลวง โดยธรรมชาติของเขี้ยวเสือนั้น ตามปกติแล้วจะต้องตันตั้งแต่โคนถึงปลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับเขี้ยวหมูที่จะต้องกลวง หากเขี้ยวเสืออันไหนไม่ตัน แต่กลวงตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงปลาย โบราณท่านจัดเป็นของทนสิทธิ์สุดวิเศษ เรียกว่า เขี้ยวเสือกลวง เป็นของดีที่มีอาถรรพ์วิเศษศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380139783 หูหนู หน้าแมว เขี้ยวโปร่งฟ้า (กลวง) ตาลูกเต๋า บูรพาจารย์ท่านบอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า หากผู้ใดพบเขี้ยวเสือกลวง ให้นำมาพกพาติดตัวไว้ เพราะเป็นของวิเศษ มีอิทธิฤทธิ์รอบตัว แต่ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ นาน ๆ จึงจะได้พบเจอสักอันหนึ่ง อานุภาพของเขี้ยวเสือกลวงนั้น โดดเด่นในทางด้านมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปิศาจและคุณไสยมนต์ดำได้ชะงัดนัก อีกทั้งดีทางมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด ถือเป็นของวิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์แรงกล้า อิทธิคุณนั้นเด่นไปในทางมหาอำนาจ ติดตัวไว้จะเป็นที่เกรงขามของคนและสัตว์ทั้งหลาย เวลาเข้าไปในป่าสามารถอธิษฐานให้คุ้มกันสรรพภัยและอาถรรพ์ป่าได้ เอาแช่น้ำทำน้ำมนต์กินแก้ไข้ป่าก็ได้ เขี้ยวขนาดใหญ่ที่กลวงตลอดนั้น ใช้เป่าให้เกิดเสียงดัง สยบอาถรรพ์ป่าได้ทุกชนิด ภูตผีปิศาจเกรงกลัวไม่กล้ากล้ำกราย ถ้าเอาไปแกะเป็นรูปเสือ แล้วนำไปให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสก ก็จะยิ่งเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380139945 เสือแกะจากเขี้ยวหมี ของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ครูบาอาจารย์ที่สร้างเครื่องรางจากเขี้ยวเสือกลวง ที่โด่งดังแม้กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ยังมีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ ได้แก่ หลวงปู่ปาน (พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ) วัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) ท่านสามารถเสกจนเสือแกะจากเขี้ยวเสือกลวงนั้นวิ่งออกจากบาตรได้ เมื่อทำหล่นหาย เพียงเอาเนื้อหมูไปแกว่งล่อในบริเวณนั้น เสือแกะจะงับติดเนื้อหมูมาเลยทีเดียว ผู้สืบสายวิชาของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย คือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี (วัดนาคราช) ซึ่งสามารถสร้างเขี้ยวเสือแกะได้เข้มขลังไม่แพ้ครูบาอาจารย์ แต่เขี้ยวเสือกลวงนั้นหายากมาก เสือหลวงพ่อนกส่วนใหญ่จึงแกะจากเขี้ยวหมี ซึ่งถือว่าดีทางมหาอำนาจเช่นกัน |
1 Attachment(s)
เพชรตาแมว ตั้งแต่ครั้งโบราณนานมา ชาวไทยเรามีความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับ รวมทั้งวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่า จะช่วยคุ้มครองภัยอันตราย รวมถึงนำพาโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งเพชรตาแมวก็เป็นวัตถุมงคลที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงกันมาช้านาน ทั้งที่ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนว่า เรื่องของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ยุคใดสมัยใด นอกจากเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาว่า กำเนิดของเพชรตาแมวนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อเทพจากสรวงสรรค์จุติลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบุญบารมีหรือชดใช้กรรมของตน โดยเทพดังกล่าวนั้นเมื่อจะมาเกิดเป็นแมว ก็ได้นำเอาแก้วมณีสารพัดนึก ซึ่งเป็นของวิเศษประจำตัวลงที่มาโลกมนุษย์ด้วย ก่อนที่เทพองค์นั้นจะละสังขารแมว ท่านจะประทานแก้ววิเศษที่รู้จักกันในนาม "เพชรตาแมว" ให้แก่ผู้ที่มีพระคุณที่เลี้ยงดูมา จนถึงวาระที่ได้สร้างบุญบารมีตามที่ต้องการ หรือชดใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว ก่อนจากไปท่านจะทิ้งดวงแก้ววิเศษของตนไว้ให้ ก่อนจะกลับขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ดังเดิม ในขณะเดียวกัน หากมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า เพชรตาแมวเกิดจากแมวที่ตาเป็นต้อหิน แม้แมวจะไม่เจ็บปวด แต่ตาข้างนั้นก็ไม่สามารถใช้การได้ ครั้นแมวตัวดังกล่าวได้ตายลง ต้อหินนั้นก็หลุดออกมา เป็นสิ่งที่เรียกกันว่าเพชรตาแมว |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380226307 เพชรตาแมวชั้น ๒ ดวงนี้เจ้าของประกาศขาย ๓๙ ล้านบาท..! เพชรตาแมวมักมีลักษณะ ดังนี้ ๑. เพชรตาแมวชั้น ๑ เป็นเพชรตาแมวชนิดใสเป็นแก้ว เพชรตาแมวชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนดวงตาแมวขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความใสไม่มีความขุ่นมาเจือปน มีมิติซับซ้อนจนไม่สามารถที่จะทำเทียมเลียนแบบได้ เนื่องจากเนื้อใสบริสุทธิ์ และมีความแวววาวมาก ๒. เพชรตาแมวชั้น ๒ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินใส มีลักษณะใสปนขุ่น ในความใสจะมีเหมือนกับเสี้ยนไม้อยู่ข้างใน เมื่อส่องด้วยกล้องขยายจะเห็นเหมือนมีรังผึ้งขนาดเล็กอยู่ และมีเส้นเลือดขนาดเล็กด้วย เพชรตาแมวประเภทนี้มักมีสีฟ้าน้ำทะเล สีเหลือง สีเขียวอมฟ้า หรือสีม่วงอมชมพู ๓. เพชรตาแมวชั้น ๓ เป็นเพชรตาแมวชนิดหินสีขาว มีลักษณะสีขาวทึบ เหมือนกับก้อนหินขัดหรือกลึงขึ้นมา บางดวงมีจุดสีดำเล็ก ๆ แทรกอยู่ด้วย เป็นเพชรตาแมวชนิดที่พบกันมากที่สุด บางท่านว่าเป็นต้อหินที่เกิดกับดวงตาแมว เชื่อกันว่าเพชรตาแมวมีความเกี่ยวพันกับแมวมงคลชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแมวสีสวาด เพชรตาแมวชั้นเลิศนั้น เมื่อแมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของแมวตาเพชรนั้นจะเป็นสีเดียวทั้งดวง ไม่มีตาดำเหมือนกับแมวทั่วไป เป็นสีใสแวววาวเหมือนกับเพชรชั้นดี มีทั้งสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีฟ้าเข้ม สีเหลืองเข้ม เป็นต้น จึงทำให้เพชรตาแมวที่ได้จากแมวสีสวาด มีสนนราคามหาศาล เพราะหาได้ยากกว่าเพชรตาแมวทั่ว ๆ ไป |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380226552 ของทำปลอมฝังแก้วไพฑูรย์ไว้แทนที่ดวงตาแมว มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนที่แมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมองไปที่เหยื่อประเภทจิ้งจก นก หนู สัตว์เหล่านั้นจะตกลงมาเป็นอาหารแมว โดยที่แมวไม่ต้องทำอะไรเลย วิธีได้มาซึ่งเพชรตาแมว เมื่อแมวตาเพชรที่ท่านเป็นเจ้าของได้ตายลง ให้นำใส่ไว้ในหม้อดิน เอาไปฝังทรายไว้ตั้งแต่ ๑๐๐ วันถึงหนึ่งปี เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้ขุดเอาหม้อดินนั้นขึ้นมา จัดพิธีเหมือนกับทำบุญงานศพทั่วไป คือนิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล ถวายภัตตาหารเพล อุทิศส่วนกุศลให้กับแมวนั้น แล้วเอาผ้าขาวมาปูรองรับ เทเอาซากแมวในหม้อดินออกมา ซึ่งเท่าที่มีผู้พบมานั้น แมวตาเพชรเมื่อตายแล้วมักจะไม่เน่าเปื่อย แต่เป็นซากแห้งไปเฉย ๆ เมื่อได้เพชรตาแมวที่ต้องการแล้ว ก็นำเอาซากแมวไปเผา โดยทำพิธีเหมือนกับการฌาปนกิจศพบุคคลทั่วไป ถ้าบุคคลที่ใจร้อนและไม่รู้วิธีการ เมื่อแมวตาเพชรตายลง ก็รีบควักเอาดวงตาแมวออกมา ดวงตานั้นจะเน่าเปื่อยสลายไป ไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย หรือบางท่านก็ได้แค่เศษแก้วตาชิ้นเล็ก ๆ ไว้เท่านั้น |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380226832 เพชรตาแมวชั้น ๓ ที่หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้อหิน มีความเชื่อกันว่า ผู้ที่ได้ครอบครองเพชรตาแมวนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามาตั้งแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้มีสัตว์เทพตามมารับใช้ ซึ่งอานุภาพของเพชรตาแมวนั้น มีคุณวิเศษดั่งแก้วสารพัดนึก หากผู้ครอบครองได้มาอย่างถูกต้อง และหมั่นสร้างบุญบารมี ทำคุณงามความดี ก็จะทำให้เจ้าของเพชรตาแมวนั้น พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง และแคล้วคลาดจากอันตราย แต่หากผู้ใดครอบครองเพชรตาแมวด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และทำแต่ความชั่ว บุคคลนั้นอาจจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาได้ ปัจจุบันเพชรตาแมวยังคงเป็นวัตถุมงคลที่บุคคลจำนวนมากอยากได้มาครอบครอง แต่เนื่องจากเป็นของหายาก และมีโอกาสเกิดขึ้นได้ราว ๑ ในล้าน ดังนั้น..สนนราคาของเพชรตาแมวจึงอยู่ในหลักสิบล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะเพชรตาแมวชั้นดีเลิศ หรือที่เป็นของเก่าแก่สืบทอดกันมานับร้อยปี อย่างไรก็ดี เพชรตาแมวที่จำหน่ายได้ราคาสูง ต้องผ่านการรับรองจากสถาบันต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ เช่น สถาบันวิจัยพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ใบรับรองว่าเป็นวัตถุธรรมชาติจากกรมทรัพยากรธรณี หรือใบรับรองจากสัตวแพทย์ว่าเป็นวัตถุที่มาจากดวงตาสัตว์ เป็นต้น |
1 Attachment(s)
เพชรหน้าทั่ง เพชรหน้าทั่งทางใต้เรียกว่า"ตาหินเพชร" เวลาบูชาให้ใส่พานหรือภาชนะปากกว้าง ใส่น้ำสะอาดลงไปพอไม่ให้หินจม ผู้บูชาจะอยู่เย็นเป็นสุข ขอโชคขอลาภได้สมปรารถนา ให้ตาหินเพชรช่วยดูแลบ้านก็ได้ เรียกว่าสารพัดประโยชน์ สรรพคุณ ดีทางอยู่ยงคงกระพัน เชื่อกันว่าเพชรหน้าทั่งมีสรรพคุณเป็นรองแค่เหล็กไหลเท่านั้น หากพกติดตัวไว้ จะช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้ บูชาไว้กับบ้านช่วยป้องกันภัยในครอบครัว ค้าขายก็ดี ดูดพิษสัตว์ก็ได้ ถ้าเป็นงูสวัดให้ฝนกับน้ำซาวข้าวทาหาย ผู้มีวาสนาจึงควรมีไว้บูชา วิธีบูชา ตำราว่าให้เอาเพชรหน้าทั่งแช่กับน้ำฝนหรือน้ำสะอาด ควรหาดอกมะลิมาบูชา ขอให้มีโชคลาภ ให้ปลอดภัยมีความสุข |
1 Attachment(s)
แก้วโป่งข่าม แก้วโป่งข่าม หมายถึง แก้วประเภทหินเขี้ยวหนุมาน ที่มีลวดลายภายในตามธรรมชาติ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวโดยไม่ต้องผ่านการปลุกเสก ถ้าได้รับการปลุกเสกซ้ำ ย่อมทำให้ทวีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แก้วโป่งข่ามของอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน ๔๐ - ๕๐ ปีมาแล้ว เมื่อย้อนไปในอดีตก็พบว่า คุณวิเศษแห่งแก้วโป่งข่ามนั้น เป็นที่นับถือกันมานานกว่า ๕๐๐ ปี แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งแก้ววิเศษ ที่มีพลังงานลี้ลับอยู่ภายใน |
1 Attachment(s)
แก้วโป่งข่ามเชื่อกันว่า เป็นแก้วที่มีเทวดารักษา แต่ละดวงเปรียบเสมือนวิมานที่อาศัยของเทพยดาเหล่านั้น ท่านเหล่านี้มีสัมมาทิฐิ หากเราปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา มาพอสมควร ย่อมมีบารมีพอที่จะได้แก้ววิเศษนี้มาครอบครอง แก้วบางดวงมีเทพที่เป็นพญานาค ฤๅษี คนธรรพ์ อสูร รักษาอยู่ ผู้ได้ทิพจักขุญาณจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี สรุปว่า แก้วโป่งข่ามเป็นของดี มีเทพรักษาทุกดวง เชื่อกันว่าคนที่มีวิชาหรือมีสมาธิจิต สามารถอัญเชิญเทวดามาประจำในดวงแก้วได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ดวงแก้วแต่ละดวงบังเกิดฤทธิ์ สามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาเป็นทวีคูณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติเป็นสำคัญ |
1 Attachment(s)
การค้นพบแก้วโป่งข่าม ย้อนอดีตไปประมาณ ๑๑๐ ปี นายจี๋ คำภิโลชัย เป็นพรานป่า ไปล่าสัตว์ที่บริเวณป่าดอยโป่งหลวงหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปล่า ไม่เคยที่จะได้สัตว์ป่าติดมือกลับมา แม้กระต่ายป่าสักตัวก็ยังไม่เคยได้มาเลย ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่เข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณป่าดอยโป่งหลวงนั้น จะต้องเกิดอุปสรรค เช่น ปืนซึ่งเคยใช้การได้เป็นอย่างดีนั้น เกิดขัดลำ ยิงไม่ออกเอาเสียเฉย ๆ ต่อมาพรานจี๋ได้ใช้วิธีใหม่ในการล่าสัตว์บริเวณดอยโป่งหลวง โดยทำเป็นคอกดักสัตว์ สามารถดักเก้งได้ตัวหนึ่ง และพยายามฆ่าเก้งตัวนั้น เพื่อที่จะได้นำกลับบ้าน โดยใช้ไม้หลาวแทง ปรากฏว่าเก้งตัวดังกล่าว สามารถหลบคมหลาวได้ทุกครั้ง และยังหลุดหนีจากคอกไปเสียอีก |
1 Attachment(s)
เหตุการณ์นี้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับพรานจี๋เป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่เป็นพรานมา ออกป่าที่ไหนก็ได้สัตว์ทุกที่ทุกครั้งไป แต่กับบริเวณป่าดอยโป่งหลวงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม้จะมีฝีมือดีอย่างไรก็ตาม ก็ไม่เคยที่จะล่าสัตว์ในบริเวณนี้ได้เลย จึงเป็นที่เล่าลือกันถึงสถานที่แห่งนี้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พรานทั้งหลายไม่กล้าเข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณนั้นอีก ไม่ใช่แต่เพียงการไปล่าสัตว์เท่านั้น เคยมีคนเผาป่า ไฟก็ไม่ไหม้ จุดไฟในบริเวณดังกล่าวเท่าไรก็จุดไม่ติด ไฟไม่เคยไหม้ป่าแถวนั้นเลย และยังมีผู้เคยเห็นแสงประหลาด ลอยอยู่ในป่าเขตที่ภายหลังเป็นบ่อแก้วโป่งหลวงแห่งนี้บ่อย ๆ โดยเฉพาะยามพระจันทร์เต็มดวง จะเห็นเหตุการณ์เด่นชัดมาก จึงเป็นที่เชื่อถือกันมากว่า ในบริเวณดอยโป่งหลวงนี้ มีเทพยดารักษาอยู่อย่างแน่แท้ และเป็นที่มาของการค้นพบบ่อแก้วโป่งข่าม และการตั้งชื่อบ่อแก้ว โดยบ่อที่สำคัญและขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มากก็คือ บ่อหลวง แก้วโป่งข่ามจากบ่อนี้น้ำดี มีราคา และมีความเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง |
1 Attachment(s)
ความเชื่อและความนิยมเกี่ยวกับแก้วโป่งข่าม สำหรับแก้วโป่งข่ามแบบต่าง ๆ นั้น มีผู้นิยมตามประสบการณ์ และความเชื่อถือเก่า ๆ ดังนี้ อำนาจอยู่ยงคงกระพัน - แก้วสีฟ้า (บ่อแก้วโป่งข่ามหลวง แก้วสีฟ้า แก้วแร แก้วใส) - แก้วปวกเขียว และปวกสีต่าง ๆ - แก้วขนเหล็ก แก้วไหมเงิน ไหมทอง - แก้วขาว - แก้วเข้าเป็ก แก้วเข้าแก้วแบบต่าง ๆ (บ่อแก้วดอยเขาควาย) - แก้วขนเหล็กน้ำตัน อำนาจชุ่มเย็นกันไฟ - แก้วน้ำหาย - แก้วเข้าแก้ว - แก้วขาวใสต่าง ๆ การมีโชคได้ลาภเนืองนอง - แก้วแร - แก้วเนื้อลำไย |
1 Attachment(s)
ความร่ำรวย มั่นคง - แก้วสามกษัตริย์ - แก้วเข้าแก้ว - แก้วประภาชมชื่น - แก้วเข้าหลักเงินหลักคำ - แก้วทรายคำ เมตตามหานิยม - แก้วแรสีฟ้า - แก้วเนื้อลำไย - แก้วปวกเขียวสีต่าง ๆ - แก้วกาบ - แก้ววิฑูรย์สีต่าง ๆ ความร่มเย็นเป็นสุข - แก้วปวก - แก้วกาบ - แก้ววิฑูรย์น้ำตันสีต่าง ๆ อำนาจวาสนา ลาภยศตำแหน่ง - แก้วกาบ - แก้วพรหมสามหน้า ความมีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ - แก้วสีฟ้า - แก้วหมอกมุงเมือง - แก้วปวกสามสี |
1 Attachment(s)
ตามตำนานโบราณของล้านนา กล่าวถึงดวงแก้ววิเศษ ๒๔ ดวง ที่เชื่อกันว่ามาจากฟากฟ้า ซึ่งพระอินทร์ได้ประทานลงมาให้แก่คนมีบุญ หรือผู้ที่นับถือพระรัตนตรัย จะนำซึ่งโชคลาภเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติคุณ และความสำเร็จทุกประการแก่ผู้ที่ได้ไว้ครอบครอง ดวงแก้ว ๒๔ ดวงนั้น ได้แก่ ๑. แก้วมหานิลไชยโชค (เนื้อสีดำดุจนิล) ๒. แก้ววิฑูรย์ เป็นแก้วที่มีหลายสี ในที่นี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นสีใด ๓. แก้วผักตบ สีดั่งดอกผักตบ ๔. แก้วฝนแสนห่า มีลายเนื้อแก้วดั่งสายฝนตกลงมา ส่องกับแดดดูแล้วเหมือนยามที่ฝนตกแดดออก ๕. แก้วบัวมรกต (แก้วสีเขียวมรกต) ๖. แก้วสุริยะประภา (มีสีแดงดั่งพระอาทิตย์) |
1 Attachment(s)
๗. แก้วประภาชมชื่น ๘. แก้ววชิระ (เป็กพรหมสามหน้า) ๙. แก้ววิฑูรย์ขันธะ ๑๐. แก้วปัทมราช มีสีแดง บางชนิดมีลายดาวอยู่ด้วย ๑๑. แก้วจันทะแพงค่าหมื่น ๑๒. แก้วสุริยะ |
1 Attachment(s)
๑๓. แก้วมหานิลทรายคำ ๑๔. แก้วพระยาอิศวร ๑๕. แก้ววิฑูรย์องค์วิเศษขนบุ้งเทศไหมสน ๑๖. แก้วก้อแดงผจญปราบแพ้ศัตรู ๑๗. แก้วสีปะ สีใสสะอาด ๑๘. แก้วปะทัมก่าน หมายเหตุ : ปราบแพ้ศัตรู = ปราบศัตรูพ่ายแพ้ |
1 Attachment(s)
๑๙. แก้ววิฑูรย์เทศ ๒๐. แก้ววิฑูรย์ผิวเผือก เป็นแก้วน้ำตัน ไม่ใส สีออกงาช้าง บ้างเรียกว่าแก้วงาช้าง ๒๑. แก้วหมอกมุงเมือง เป็นแก้วน้ำใส แต่มีลายเมฆอยู่ภายใน ดูเหมือนมีเมฆหรือหมอกปกคลุมอยู่ ๒๒. แก้วเนระกัณตี ๒๓. แก้วมธุระกัณตี ๒๔. แก้วอินทนิลเผือก แก้ว ๒๔ ดวงนี้ ถือว่าเป็นแก้วชั้นสูง มีค่ายิ่งนัก ตามตำนานกล่าวว่า แก้ว ๒๔ ดวงนี้ แต่โบราณมีกฎหมายตราไว้ว่า หากผู้ใดครอบครองย่อมมีความผิด เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า ผู้ครอบครองจะมีอำนาจเหนือปุถุชน จึงอาจก่อกบฏ สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่บ้านเมืองได้ แก้ววิเศษนี้จึงเป็นของล้ำค่า ที่มีได้แต่ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น |
1 Attachment(s)
อุลกมณี ธาตุกายสิทธิ์จากต่างดาว โลกเรารู้จักอุลกมณีมานานแล้ว เพราะมีผู้สังเกตเห็นดาวตกมาตั้งแต่สมัยโบราณ อุกกาบาตหรือดาวตกที่พุ่งฝ่าบรรยากาศ จนตกลงมาสู่ผิวโลก จะถูกเสียดสีเผาไหม้จนเป็นก้อนแข็งแกร่ง สีดำสนิท เป็นรูปทรงต่าง ๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง จัดเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากมาก เพราะต้องเป็นอุกกาบาตที่ใหญ่พอ จึงจะหลงเหลือจากการเผาไหม้ จนตกลงมายังโลกของเรา อุลกมณีถือเป็นวัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง มีหลายชื่อที่เรียกหากัน เช่น หินสะเก็ดดาว อุกกามณี เหล็กไหลต่างดาว พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า เป็นต้น |
1 Attachment(s)
อุลกมณีเป็นวัตถุที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิ่งฝ่าจักรวาลอันกว้างขวางไร้ขอบเขต จึงมีพลังงานสะสมอยู่มหาศาล จึงเรียกได้ว่ามีฤทธิ์ในตัว เชื่อว่าสามารถสลายพลังงานเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์ออกไปได้ และสามารถดึงดูดแต่พลังที่ดี ๆ เข้ามาหา อีกทั้งยังส่งเสริมพลังเชิงบวกแก่วัตถุอื่น ๆ ให้มีพลังสูงขึ้นได้อีกด้วย นับเป็นวัตถุเหนือโลกที่ช่วยบันดาลสิ่งดี ๆ แก่ผู้ครอบครอง ส่งเสริมให้ชีวิตเจริญขึ้น เสริมเสน่ห์ชักจูงให้ผู้อื่นรักใคร่นับถือ เรียกว่ากลับร้ายกลายเป็นดี ทวีลาภเลยทีเดียว |
1 Attachment(s)
นักหลอมสร้างอาวุธตั้งแต่สมัยโบราณ แทบทุกคนมุ่งหวังให้ได้อุลกมณีมาครอบครอง เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในการหลอมสร้างอาวุธ ให้เกิดเป็นอาวุธวิเศษที่มีฤทธิ์เดชอำนาจเหนืออาวุธอื่น ๆ เพื่อช่วยให้เจ้าของสามารถพิชิตชัยในการออกรบทุกครั้งไป เชื่อกันว่าอุลกมณีมีพลังที่ครอบคลุมหลายรูปแบบ กล่าวคือเป็นแหล่งของพลังกระตุ้นเตือนจิตสำนึก ก่อให้เกิดการจดจำที่แม่นยำ ลึกซึ้ง หากนำมาใช้ตอนปฏิบัติทำสมาธิจิต จะช่วยเพิ่มพลังสมาธิจิตให้เข้มเข็งมั่นคง ปกป้องคุ้มครอง ขับไล่พลังชั่วร้ายที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกไป คนไทยเรามีความเชื่อว่า การเก็บอุลกมณีไว้ในบ้าน จะช่วยป้องกันอัคคีภัย และภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380704328 สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ เหล็กไหล เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะได้ไว้ครอบครอง เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์มากมายสุดที่จะพรรณนา หากไม่ได้สร้างบุญบารมีเนื่องกันมา แม้ว่าจะทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสักเท่าใด ก็อย่าหมายว่าจะได้มาเลย เหล็กไหลแม้จะเป็นโลหะธาตุ แต่ก็พัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีจิตวิญญาณ สามารถเคลื่อนที่ได้ กินอาหาร (น้ำผึ้ง) ได้ มีความรักชอบเกลียดชัง หากว่ารักชอบผู้ใด จะด้วยความผูกพันจากกรรมเก่า หรือว่าถูกชะตากันก็ตาม ก็จะอยู่กับผู้นั้น ถ้าไม่ชอบเสียแล้ว ต่อให้ใช้คาถาอาคมผูกมัดอย่างไร ก็หาทางหนีไปจนได้ เหล็กไหลต่าง ๆ ที่เรียกหาและซื้อขายกันในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เหล็กไหลที่แท้จริง เหล็กไหลที่แท้จริงนั้น มีอานุภาพที่ทดสอบได้ในทุกที่ทุกเวลาดังนี้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.