![]() |
"ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่เข้าใจในเรื่องของพระวินัย เพียงแค่ว่ามีศรัทธาที่จะบวช ก็คิดว่าบวชแล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ตลอดจนกระทั่งวิธีวัตร กิจวัตร อาคันตุกวัตรต่าง ๆ ให้เข้าใจทั่วถ้วน รู้ครบครันก่อนแล้วถึงจะไปได้ ถ้าหากว่า ๕ พรรษาไปแล้ว อาจารย์เห็นว่ายังรู้ไม่ครบก็จะยังไม่ปล่อยไป เขาเรียกว่ายังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ยังต้องอยู่กับครูบาอาจารย์เพื่อศึกษาต่อ
แต่นี่หัวหน้าทีม ๒ พรรษา ที่เหลือพระใหม่ล้วน ๆ ไม่รู้มากันได้อย่างไร พูดง่าย ๆ ว่ามาด้วยใจจริง ๆ เลย แล้วถามว่าอาจารย์เจ้าสำนักไม่ได้มาหรือ ? เขาบอกว่าอาจารย์จะนั่งรถไปรอที่ด่านเจดีย์สามองค์ ลูกศิษย์เดินจากนนทบุรีไปถึงโน่น สมัยก่อนก็มีพระครูของวัดมหาธาตุรูปหนึ่ง ที่ตอนหลังโดนจับสึกไปเพราะว่าชอบแต่งตัวเป็นทหารพันเอกไปเที่ยวไนต์คลับ นั่นเขาจะจัดธุดงค์ ออกกันทีละ ๓๐๐ รูป อาตมาเคยไปเจอกลางป่าอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เจอขบวนธุดงค์หรอก เจอแต่ร่องรอยที่ท่านไป เดินตามท่านไปไม่นานเก็บขยะได้เป็นย่ามเลย โดยเฉพาะทำให้อาตมาหลงทาง คนเป็นร้อย ๆ เดินพร้อม ๆ กัน ย่ำราบเป็นหน้ากลอง ทางเล็ก ๆ ที่อาตมาเคยเดินแล้วแยกเข้าป่า โดนเหยียบหายหมดจนหาทางไม่เจอ การธุดงค์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ธุดงค์ชั้น ๑ ไปรูปเดียว ธุดงค์ชั้น ๒ ไป ๒ รูป ธุดงค์ชั้น ๓ ไป ๓ รูป มากกว่านั้นไม่ต้องไปแล้ว ไปคุยกันมากกว่า ไม่ได้คิดจะไปปฏิบัติแล้ว ส่วนอาตมาตอนหลังก็เคยชินกับการไปไหนคนเดียว บางทีลูกศิษย์ก็ถามว่า ทำไมอาจารย์ไม่ให้ใครตามไปบ้าง อาตมาก็เลยบอกเขาว่า เวลาวิ่งหนีอะไรจะได้ไม่ต้องอายเขา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก..รำคาญที่เขาตามไม่ทันแล้วอาตมาต้องไปรอเขาอีก" |
ถาม : แม่ผมป่วยเป็นโรคกระดูก ป่วยมาประมาณเดือนหนึ่ง มีโอกาสจะหายไหมครับ ?
ตอบ : คนแก่มีแต่จะทรุดลงเรื่อย ๆ โอกาสดีขึ้นไม่มี ภาษาโบราณใช้คำว่า มีแต่ทรงกับทรุด คำว่าทรงก็คืออยู่ตัว และก็ทรุดซึ่งเป็นเรื่องปกติ ถาม : ผมกำลังจะทำธุรกิจส่งออกเกี่ยวกับผลไม้ครับ ? ตอบ : กติกาเขายุ่งมากเลยนะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการควบคุมความสะอาด ถ้าคุณทำตามกติกาเขาได้ก็ดีเพราะวัตถุดิบบ้านเรามีมาก ที่อื่นเขาไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น..ต้องควบคุมกันเต็มที่เลย แต่ระวังจะเจออย่างสถานที่หนึ่ง เขาผลิตภาชนะพลาสติกเมลามีน เป็นพวกบรรจุภัณฑ์ พอเขามาตรวจสอบทีไรจะเจอที่ชำรุดบกพร่องทุกที จนลูกค้าค่อย ๆ หายไป ๆ เขาก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าโรงงานตั้งทับป่าช้าเก่าอยู่ ผีช่วยกันแกล้ง เราคงดวงไม่เฮงขนาดนั้นหรอก ถาม : ตัวผมมีโอกาสจะทำตรงนี้สำเร็จไหม ? ตอบ : ทำ..อย่าถาม ถ้าบอกว่าไม่สำเร็จแล้วคุณไม่ได้ไปทำ เป็นเรื่องน่าเสียดาย ถาม : ต่อไปจะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ไหมครับ ? ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าถาม เรื่องอย่างนี้ถ้าถามถือว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ อยากทำอะไรลุยข้างหน้าอย่างเดียว ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีจนได้ ทำแล้วอย่าไปกลัว การตัดสินใจไม่มีอะไรที่เป็นผลดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มหรอก เพียงแต่ว่าต้องอาศัยความกล้า ขืนถามไปเรื่อยเดี๋ยวเจอหมอดูให้สะเดาะเคราะห์ จะหมดกันเป็นแสนเป็นล้าน..! |
ถาม : ปกติสถานที่ราชการมักจะตั้งศาลพระพรหมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ศาลพระพรหมนั่นเกินความจำเป็น ศาลพระพรหมที่ตั้งตรงราชประสงค์ เพราะคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือสมัยนั้นท่านรู้จริง ท่านตั้งเพื่อแก้เคล็ดให้โรงแรมเอราวัณที่สร้างไม่สำเร็จเพราะมีแต่ปัญหา เนื่องจากไปใช้ชื่อของเอราวัณเทพบุตรเข้า โดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาตท่าน ก็เลยอัญเชิญพระพรหมที่ใหญ่กว่าลงมา พูดง่าย ๆ ก็คือเอาคนใหญ่กว่ามานั่งกันท่า เหมือนกับคอยปรามเอาไว้ เรื่องก็เลยเงียบลง ที่อื่นเห็นว่าที่นั่นสร้างดีก็เลยสร้างไปเรื่อยเปื่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นเลย แม้กระทั่งศาลอากาศเทวดา ถ้าไม่ใช่เรารู้จริง ๆ ว่าสถานที่นั้นท่านคุมอยู่ก็ไม่ต้องสร้าง ทำแค่ศาลเพียงตาก็ถือว่าพอแล้ว |
ถาม : ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมทิ้งการปฏิบัติไปนาน ตอนนี้ฟุ้งซ่านมาก ?
ตอบ : รู้ตัวก็แก้ไข..แค่นั้นเอง ถาม : รู้ตัว พยายามกลับมาปฏิบัติ แต่ว่า..? ตอบ : ฝันไปเถอะว่าจะเหมือนเดิม ถ้าเราปล่อยให้ไหลตามกระแสรัก โลภ โกรธ หลงไป จะตีคืนยากสุด ๆ ต้องใช้ความเพียรพยายามมากกว่าก่อนนั้นหลายเท่า อันดับแรก ก็คือ เราไปแบกกิเลสไว้เสียเต็มที่แล้ว กิเลสก็ไม่ปล่อยให้เราหลุดมือหรอก อันดับที่สอง ระยะเวลาที่ผ่านมาอาจจะเป็นช่วงของอกุศลกรรมเข้ามาแทรกด้วย ซ้ำเติมเราให้ทรุดหนักลงไปอีก คราวนี้ก็เหมือนกับคนป่วยเพิ่งจะฟื้น จะให้ทำอะไรเหมือนกับคนดีก็ยาก แล้วอันดับสุดท้ายกำลังใจของเราที่เคยชินกับรัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาก็จะไหลไปตรงนั้น จึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม ๓-๔ เท่า ถาม : แล้วจะทำอย่างไร ไม่ให้ถอย ? ตอบ : ทำ..แล้วประคับประคองเอาไว้ การทำก็ทำให้สม่ำเสมอจริงจังด้วย ส่วนใหญ่พวกเราจะทำเฉพาะเวลานั่งกรรมฐาน พอลุกยืนขึ้นแล้วก็ทิ้งเลย ถาม : พอลงมือปฏิบัติแล้วไม่มั่นใจในตัวเอง มีเครื่องอะไรวัดตัวเองได้บ้าง ? ตอบ : ถ้าหากว่าจะวัดตัวเองทุกวัน เอาอย่างหยาบ ๆ เลยก็นิวรณ์ ๕ ถ้าหากว่านิวรณ์ ๕ อย่างกินใจเราได้อยู่ ก็แปลว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ ลำดับต่อไปก็ใช้ศีลเป็นเครื่องวัด ว่าเราแหกกรอบนอกศีลไปหรือเปล่า ถ้ายังไม่แหกกรอบนอกศีลไป ก็ยังพออยู่ในความดีอยู่ |
ถาม : แล้วการปฏิบัติในเรื่องของสมาธิ ?
ตอบ : สมาธิก็อยู่ที่เราสะสมไปเรื่อย ๆ อย่าอยากได้ดีเร็ว ถ้าอยากได้ดีเร็ว กำลังใจไม่รวมตัวหรอก แต่จะฟุ้งซ่านแทน เรื่องของสมาธิง่ายจะตายไป เอาให้ทรงตัวเมื่อไรจิตก็สงบเยือกเย็น รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีสติรู้เท่าทัน ถ้าหากว่ายังมีสติรู้ไม่เท่าทัน ก็แปลว่าสมาธิไม่ทรงตัว ก็เท่านั้นเอง ถาม : ความรู้สึกของผมในการปฏิบัติสมาธิต่าง ๆ มีการแยกแยะความรู้สึกตัวเอง ไล่ขึ้นไล่ลงตามลำดับ แต่ยังไม่ค่อยเชื่อ เป็นอุปาทานหรือเปล่า ? ตอบ : ก็ลองดู ถ้าหากนิวรณ์ ๕ ยังกินใจเราได้อยู่เป็นปกติ ถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงมา เราไม่สามารถที่จะนำอารมณ์ของเราเข้าไปสู่สภาพของสมาธิ เพื่อที่จะต่อต้านหรือหลบเลี่ยงกิเลสได้ ก็แปลว่าอุปาทานกิน แต่ถ้าถึงเวลาสามารถงัดเอาสมาธิมาสู้ได้อย่างเท่าทัน แสดงว่าความสามารถที่แท้จริงของเรามีอยู่ ไม่ใช่โกรธเขาไปตั้งชาติแล้วค่อยนึกถึงสมาธิขึ้นมาได้ ถาม : ฌานสี่ที่บอกว่า ถ้าเราปฏิบัติเข้าถึงแล้ว จะตัดการรับรู้ภายนอกไว้ ผมเคยทำได้แค่ครั้งเดียว แต่พอมาปฏิบัติแบบไล่อารมณ์ในแต่ละขั้น ยังมีความรู้สึกเหนืออารมณ์นั้นได้ แต่การรับรู้ภายนอกยังมี ? ตอบ : ฌานมี ๒ รูปแบบ รูปแบบแรกเป็นการฝึก จะไม่รับรู้อาการภายนอก รูปแบบที่สองเป็นการใช้งาน ถ้าหากว่าเป็นฌานใช้งานจะรับรู้อารมณ์ภายนอกได้ทุกอย่าง แต่จะประมาทไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าต้องการจะรู้ให้ชัดเจนให้ไปฝึกกสิณกองใดกองหนึ่ง การฝึกกสิณจะชัดที่สุดว่า สมาธิของเราทรงฌานแต่ละระดับได้หรือไม่ ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ แบบคล่องตัว จะไม่สามารถอธิษฐานใช้ผลกสิณได้ บุคคลที่มีฌาน ๔ คล่องตัวจริง ๆ ฝึกกสิณพักเดียวก็ได้แล้ว |
ถาม : ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา ถ้าผมไปประกอบกุศลกรรม พ่อแม่จะได้บุญด้วยไหมครับ ?
ตอบ : มีส่วนด้วย แล้วทำไมเราไม่ไปประกอบอกุศลกรรมเยอะ ๆ ท่านจะได้มีส่วนด้วย..! ถาม : เดือนที่แล้วผมได้ไปหล่อพระแทบทุกอาทิตย์เลยครับ แต่ว่าพ่อแม่อยู่บ้าน ผมได้แต่บอกให้ท่านโมทนาบุญ ตอบ : ทำถูกแล้ว..ก็แค่นั้นแหละ โมทนาก็เหลือเฟือแล้ว ถาม : พุทธภูมิที่ทำบารมีมา กว่าจะเข้าเขตปรมัตถ์ได้ ต้องใช้กำลังใจมากแค่ไหน ? ตอบ : ถ้าหากวัดเป็นคันรถสิบล้อก็ตวงกันไม่หวาดไม่ไหว ถาม : บางทีเห็นคนอื่นเขาก็สงสาร อยากจะช่วยเหลือ ตอบ : ก็ทำไป เราสร้างมาทางด้านนั้น สภาพจึงเป็นอย่างนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ |
ถาม : การทำวิริยบารมีในชาติปัจจุบัน ควรจะทำในด้านไหนครับ ?
ตอบ : ทุกเรื่อง..เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรชำระจิตใจให้ผ่องใส ทุกอย่างแหละ ถาม : ถือว่าเป็นวิริยะ ? ตอบ : ไม่ใช่ถือว่า แต่ใช่เลย ถาม : วิริยะในความดี ? ตอบ : ใช่..เพราะถ้าหากความเพียรไม่พอ ก็ก้าวไม่พ้น ถาม : ในชาตินั้น ถ้าทำบารมีใดก็บารมีนั้นอย่างเดียว ? ตอบ : ถึงทำบารมีเดียว แต่บารมีอื่นก็จะพลอยได้ไปด้วย ลองไปแก้รัฐธรรมนูญก็แล้วกัน ดูซิว่าจะสำเร็จไหม ? จะได้เห็นชัด ๆ เลยว่าเราได้ใช้ความเพียรจริง ๆ ถาม : ถ้าไปช่วยให้เขาบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติได้ ถือว่าสำเร็จไหมครับ ? ตอบ : ก็สำเร็จแค่เรื่องเดียว |
ถาม : เวลาคุยกับใคร เราต้องปรับกำลังใจให้อยู่ระดับเดียวกัน ปรับกำลังใจคืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ลดกำลังใจลงไปให้เท่ากับเขา เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพจิตใจและความคิดของเขาเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ว่าเหนื่อยฉิบหายเลย เหมือนกับอยู่สบาย ๆ แล้วดันไปแบกโอ่งเล่น..! ถาม : ช่วยขยายต่อได้ไหมครับ การลดลงไปทำอย่างไร ? ตอบ : ก็ลดลงเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าเขามีกิเลสเท่าไรก็ลดกำลังใจลงไปให้มีระดับเท่าเขา เพียงแต่ถ้าไม่ระวัง..กิเลสจะลากเราไปด้วย ถาม : คล้าย ๆ กับการ..(ไม่ได้ยิน).. ตอบ : เอาเป็นว่าตะกายขึ้นมาจากน้ำได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เข้าใจ ถ้ายังอยู่ในน้ำแล้วไปถามเต่าว่าบนบกเป็นอย่างไร บอกให้ตายก็ไม่รู้เรื่องหรอก |
ถาม : การฝึกกรรมฐาน ๙ จุด คือ ใต้สะดือ ลิ้นปี่ คอ หลังคอ กลางกระหม่อม หน้าผาก หลังคิ้ว ฯลฯ
ตอบ : พวกนั้นเป็นของโยคะ เป็นการฝึกจักระ ไม่ใช่กรรมฐาน เป็นเรื่องที่เนื่องด้วยกายมากจนเกินไป ถาม : ถ้าฝึกเดินลมให้ได้ทั้ง ๙ จุดอย่างนี้ จะใช้เทคนิคอย่างไรให้การเดินลมหายใจยาว ? ตอบ : คล้าย ๆ มโนมยิทธิ คิดว่าลมไปถึงตามจุดเหล่านั้น พอเราคล่องตัวมาก ๆ ก็จะรู้สึกเลยว่าไปได้จริง ๆ แทนที่เราจะส่งจิตไปข้างนอก เราก็เอาจิตวิ่งไปตามจักระต่าง ๆ ในร่างกาย ถาม : อย่างเวลาเราควบคำภาวนาว่าพุทโธ ? ตอบ : คำภาวนาไม่สำคัญ สำคัญตรงที่เรากำหนดลมให้ไปได้ตามนั้น คำภาวนาเราเอาตามสบาย อาจจะ๘ - ๑๐ ครั้ง กว่าลมจะเดินครบรอบก็ช่าง ถาม : ถ้าฝึกไปแล้วเกิดอาการเหมือนลมปิดกัก อึดอัดมาก ? ตอบ : อันตราย..เพราะว่าการเปิดจักระแต่ละแห่งนั้น มีผลไม่เหมือนกัน มีอยู่แห่งหนึ่งถ้าเปิดขึ้นมาเมื่อไรแล้วจะบ้ากามโดยอัตโนมัติ..! ถาม : ผมฝึกตรงนี้ แล้วลมตีกลับ ตอบ : ถามคนสอนสิว่าจะแก้อย่างไร อาตมาก็แค่รู้คร่าว ๆ เท่านั้น ไม่ได้ไปซักซ้อมเอารายละเอียด เพราะเห็นโทษว่าเขาเน้นเรื่องของร่างกายมากจนเกินไป อันดับแรก..เรื่องของความแข็งแรง อายุยืน อันดับที่สอง..เรื่องความเข้มแข็งของพลังทางเพศ ถ้าทำได้ขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะกลุ้มใจ เพราะหยุดไม่อยู่ ถาม : ท่านให้มาเลือกฝึกสองแบบ แบบแรกฝึกสลับจุด กับอีกวิธีหนึ่ง ก็คือฝึกกำหนดภาพให้เห็นชัดเจน อันนี้เป็นผลต่างกัน ? ตอบ : ถามท่านโดยตรงดีกว่า เจ้าของตำราเขาน่าจะชำนาญกว่า |
พระอาจารย์กล่าวถึงการเรียนของเด็กว่า "การเรียนอ่อนเป็นเรื่องปกติของช่วงวัยรุ่น คนเป็นแม่ต้องทำให้ลูกเปลี่ยนแนวคิดได้ เด็กสมัยนี้เรียนแล้วสอบไม่ตกก็เลยเป็นปัญหา เพราะพอถึงเวลาก็ซ่อมได้ จึงไม่กระตือรือร้นกัน ถ้าหากปล่อยให้ตกสัก ๓-๕ ปี เพื่อนเรียนจบไปทำงานแล้ว ส่วนตัวเองยังเรียนอยู่ เขาอายก็ต้องเร่งให้จบ เพราะฉะนั้น..ต้องเปลี่ยนใหม่ ห้ามซ่อม
เวลาเห็นลูกเห็นหลานมีปัญหากับการเรียนแล้วอาตมาเครียดเอง เอาอย่างนี้สิ..ก่อนอ่านหนังสือก็ว่าคาถาท่านปู่พระอินทร์สักครึ่งชั่วโมง เอาให้ใจมั่นคงก่อนแล้วค่อยอ่าน สะดุดตรงไหนขีดตรงนั้นเลย ข้อสอบออกแน่ สมัยที่อาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ มีบางวิชาอาจารย์ใจดีมาก เขาจะบอกเลยบทที่ ๑ ออก ๕ ข้อ บทที่ ๒ ออก ๔ ข้อ บทที่ ๓ ออก ๗ ข้อ อาตมาก็ไปขีด บทที่ ๑ ออก ๕ ข้อ บางทีเราได้ ๗ ข้อ บทที่ ๒ ออก ๔ ข้อ เราได้ ๖ ข้อ เอาทั้งหมดนั่นแหละ เพราะข้อสอบก็อยู่ในนั้นแหละ เวลาพาพระไปสอบนักธรรมก็ไปติวกันหน้าห้อง ปรากฏว่าที่ติวไป ๑๐ ข้อนั้นออกตรง ๆ ๘ ข้อ แล้วก็ตะแบงข้างไป ๒ ข้อ เล่นเอานั่งอมยิ้มแก้มตุ่ยไปตาม ๆ กัน ถ้าทำคาถาท่านปู่พระอินทร์ขึ้นจริง ๆ จะเหมือนกับมีเสียงบอกอยู่ในหัวเราเลย" |
ถาม : รับรู้เรื่องที่เป็นทิพย์แล้ว บางทีทำใจไม่ได้ รู้สึกรำคาญ
ตอบ : เหมือนกับคลื่นโทรศัพท์ พอเริ่มต่อสายได้ ใคร ๆ ก็โทรมา อยู่ที่เราว่าเราจะเลือกรับสายหรือจะเลือกตัดสาย ถาม : พอพิจารณาเสร็จก็ตัดใจไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ ขอเอาตามหลักเหตุผล ไม่เอาเหนือเหตุผล ตอบ : ถ้าคุณจะเอาตามหลักเหตุผลก็บ้าตั้งแต่แรกแล้ว เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้นนอกเหตุเหนือผล ในเมื่อนอกเหตุเหนือผลแล้วคุณจะไปเอาเหตุผลได้อย่างไร ? เพราะเป็นสิ่งที่ตรรกะคิดไม่ได้ นอกเหนือการรับรู้ด้วยประสาททั้ง ๕ เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่รับรู้กับเราด้วย ถือเป็นปัจจัตตัง เกิดขึ้นเฉพาะคน ถ้าคุณจะไปเอาเหตุเอาผลก็บ้าชัด ๆ เพราะแค่ที่ว่ามาก็นอกเหตุเหนือผลแล้ว ถาม : ถ้าตัดให้หมด ? ตอบ : ถ้าจะเอาปลอดภัยก็ตัดทิ้งให้หมดไปเลย ไม่ต้องไปใส่ใจเลย แต่ถ้าคิดจะเอารสชาติของชีวิต ก็ลองเลือกดูสักเรื่องหนึ่งแล้วก็ทำไป เดี๋ยวเขาก็พาเราออกทะเลไปไกลเอง |
พระอาจารย์พูดถึงพระแก้วใสที่วางในบ้านวิริยบารมีว่า "พระเนื้อเรซิ่นรุ่นเก่า ๆ เทคโนโลยีในการผลิตยังไม่ดี ยิ่งใช้นานไปสีจะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากใส ๆ ก็กลายเป็นเหลืองจาง ๆ กลายเป็นเหลืองเข้มขึ้น
องค์นี้เป็นรุ่นหนึ่งวัดท่าซุง กลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้านำไปออกเว็บแล้วคงประมูลกันเลือดสาด ความจริงฐานปิดทองไม่เรียบร้อยนะ สมัยก่อนอาตมาใช้ในการฝึกกสิณ แต่จับเข้าจับออก อุ้มขึ้นอุ้มลงวันหนึ่งไม่รู้กี่สิบรอบ ทองลอกหมดแล้วปิดใหม่ ถ้าหากเห็นว่าฐานสวยผิดปกติก็ให้รู้ว่าปิดทองใหม่ แต่ว่าองค์พระยังเป็นของเดิม ถ้าจะจับภาพเป็นพระแก้วใสก็ไม่ใสด้วยแล้ว พระท่านกลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว กลายเป็นพระธุดงค์ห่มสีกรักไปเรียบร้อยแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากกระโถนข้างธรรมาสน์รายเดือนแล้ว ได้ออกหนังสือไป ๓ เล่ม เดือนมิถุนายนออกหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๓ ในงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาออกหนังสือบันทึกเที่ยวพม่า ชุดมิงกะละบาร์เมียนมาร์ ในงานปฏิบัติธรรมถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ส่วน ๑๒ สิงหาคมนี้ออกหนังสือสัพเพเหระ ๑ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หนังสือออก ๓ เล่มติด ๆ กัน คนทำเกือบตาย..!
หนังสือสัพเพเหระ เป็นเรื่องที่เอาสารพัดเรื่องมายำรวมกัน อ่านแล้วเสียงตอบรับเป็นประการใดโปรดบอกด้วย จะได้ทำเล่ม ๒ ต่อ หรือหยุดทำตั้งแต่บัดนี้ รู้สึกว่าปกิณกธรรมหนักไปสำหรับบางคน เพราะว่ามีแต่การสอนธรรมะอย่างเดียว สัพเพเหระนี่ยำใหญ่ มีอะไรก็ใส่ ๆ ลงไป" |
ถาม : สมเด็จองค์ปฐมที่สร้างที่วัด จะปิดทองไหมครับ ?
ตอบ : ปิดไม่ไหว ขนาดทาสีทองเขายังคาดว่าถึงสี่ล้านบาท ถ้าปิดทองสิบล้านบาทจะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันขึ้น ๑๔ ค่ำที่ผ่านมา กำลังเปิดเรียนพระปริยัติธรรมสอนพระใหม่ท่านอยู่ ปรากฏว่าหน่วยงานต่าง ๆ แห่เทียนพรรษาเข้ามา เจ้าประคุณเอ๋ย..อาตมาหยุดสอน ออกไปรับเทียนยันเพลก็ยังไม่หมด จนกระทั่งเขาตีกลองเพลจะลงไปฉันเพล “เดี๋ยวครับ ๆ พระอาจารย์ พวกผมเพิ่งมาถึง” อาตมาบอกว่า “เอาคนลงมากินข้าวด้วยกันก่อน พระฉันเพลเสร็จแล้วค่อยมาถวาย” พระมีเวลาจำกัด มัวแต่ไปรอรับเขาอยู่ ก็อดข้าวกันพอดี
ก่อนหน้านี้อยากให้เขาเปลี่ยน จากถวายเทียนเป็นหลอดไฟ แต่ตอนนี้ต้องใช้เทียนในการทำผางประทีปเยอะมาก จึงอยากให้เขาเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นเทียน เพราะจะได้เอาเทียนไปหล่อผางประทีป ผางประทีปที่หล่อเองนั้นติดได้ทนมาก เมื่อวานนี้จุดประมาณ ๖ โมงเย็น เมื่อคืนตี ๒ กว่า ลุกขึ้นมาเพื่อจะเดินทางมารับสังฆทานที่นี่ ไฟยังไม่ดับเลย ถ้วยหนึ่งจะใช้เนื้อเทียนไขประมาณ ๑ ขีด เพราะฉะนั้น ๑๐,๐๐๐ ดวงก็แปลว่าใช้เนื้อเทียนครั้งละ ๑ ตัน..!" ถาม : การถวายเทียนพรรษามีกำหนดเวลาไหมครับ ? ตอบ : อย่าให้เกินวันแรม ๑ ค่ำ หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เทียนพรรษาแล้ว เพราะเข้าพรรษาไปตั้งนานแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบริหารวัด พยายามจะให้มีความเจริญทางสภาพจิตใจมากกว่าวัตถุ แต่พระใหม่บางรูปยังเคยชินกับความสะดวกสบายเหมือนตอนเป็นฆราวาสอยู่ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยจะอดทน ความสบายทำให้ความอดทนลดน้อยถอยลง
มีพระจากวัดใหญ่แถว ๆ ปทุมธานี ๔ รูป ไปขอปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน พออาตมาพาเข้าที่พัก เขาเห็นไม่มีเตียง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ขอลากลับเดี๋ยวนั้นเลย น่าเสียดายความตั้งใจของเขา อุตส่าห์ไปจนถึงวัดแล้ว เดี๋ยวไว้หน้าแล้ง ถ้าหากว่ามีการปฏิบัติธรรมว่าจะให้นอนเต็นท์สักรุ่น พอดีไปซื้อเต็นท์ไว้ ๒๐ หลัง แล้วรู้ไหมว่า ๒๐ หลังนั้นราคาแค่ ๗,๐๐๐ บาท ก็เลยกะว่าเดี๋ยวจะซื้อเพิ่มสัก ๑๐๐ หลัง ที่เหลือก็ให้แบกกันมาเอง ถึงเวลาก็ไปเลือกมุมกางกันตามสบาย อย่าลืมโรยปูนขาวกันมดและวางมะนาวกันงูไว้ด้วย" |
"งูไม่ได้กลัวมะนาว แต่งูไม่ชอบกลิ่นมะนาว แค่ได้กลิ่นก็ไม่เข้าใกล้แล้ว แต่ตอนนี้ที่วัดงูมีน้อย เพราะว่ากินกันเองหมด โดยเฉพาะงูจงอางกินงูอื่นเป็นปกติเลย กินงู กินคางคก กินตุ๊กแก
ถ้าหากว่ากลัวงู ขอให้พกตะขาบไว้กับตัว งูกับตะขาบเป็นสัตว์ที่เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ และงูจะแพ้ตะขาบตลอด พรานบางคนเล่าให้ฟังว่า เดินป่าอยู่ได้ยินป่าแตกมาเลย ปรากฏว่างูจงอางใหญ่เลื้อยมาอย่างกับลมพัด ตัวเองก็ตกใจมือตีนอ่อน ที่ไหนได้งูจงอางเลื้อยผ่านไปไม่สนใจคนเลย พออีกสักพักหนึ่งตะขาบใหญ่เลื้อยไล่ตามมา งูจงอางถ้าโดนตะขาบกัดจะตายทุกตัว..ไม่เหลือเลย..! ตะขาบเจอคางคกก็เสร็จคางคกหมด คางคกเจอจงอาง จงอางก็แลบลิ้นเลียปากรอเลย แพ้กันเป็นวง น่าจะมีใครเรียนทางสัตววิทยาแล้วไปทำวิจัยดูสักทีว่าแพ้กันเพราะอะไร แบบเดียวกับที่งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย ต่อให้เอาเชือกไนลอนมัดก็ดิ้นหลุดไปได้ แต่ถ้าเชือกกล้วยมัดนี่หมดสภาพ จะจูงไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้คนทองผาภูมิตามหาแต่พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ท้ายสุดต้องกัดฟันเข้ามาปฏิบัติธรรมเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้บูชา เห็นคนอื่นแขวนแล้วอยากได้ เขาถามว่ามีบูชาไหม ? อาตมาบอกว่าไม่มีหรอก อยากได้ต้องมาปฏิบัติธรรมก่อน เพราะฉะนั้น..บวชเนกขัมมะครั้งนี้เลยมีคนทองผาภูมิมา ๑๐ กว่าคน มาปฏิบัติธรรมเพราะตั้งใจจะบูชาพระ
ต้นเหตุเกิดจากคุณสโรชา ซึ่งเป็นตำรวจหญิง เข้าวัดมาปฏิบัติธรรม คนเขาว่าบ้า พอสโรชาแขวนพระปิดตาสีแดงฝังตะกรุดไปอวดเท่านั้น บ้าตามกันหมดเลย อยากได้กันมาก ปรากฏว่าไม่มีเหลือแล้ว ต้องมาเอารุ่นอื่นไปแทน ส่วนคุณโอรสของเรา เปิดกล่องมาพระหายไป ๓ องค์ เขามาถามอาตมาว่า “พระหนีกลับไปหาหลวงพ่อหรือเปล่าครับ ?” ฉลาดเหมือนกัน ท้ายสุดอาตมาก็ต้องควักคืนไป ๓ องค์ แต่สู้พระครูน้อยไม่ได้หรอก ตอนตี ๕ ก่อนทำวัตรถามพระครูน้อยว่า “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ?” “ ไม่หายครับ” เดินบิณฑบาตก็ถามอีก “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ? ” “ ไม่หายครับ” ตอนฉันเช้าก็ถามซ้ำ “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ?” “ ไม่หายครับ” ยังยืนยัน พอสาย ๆ ตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมมา “แหะ ๆ หายครับ” อาตมาบอกว่า “ท่านมาอยู่กับผมตั้งแต่ตี ๕ ไปทบทวนดี ๆ วันนี้ทำอะไรพลาด พระถึงได้หนีมาหาผม" สมัยก่อนก็ได้ยินแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านสร้างพระ สร้างวัตถุมงคลแล้ว ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ดี หรือไม่ให้ความเคารพ วัตถุมงคลจะหนีกลับ ไป ๆ มา ๆ พอตัวเองทำวัตถุมงคลบ้างก็มีหนีกลับเหมือนกัน แสดงว่าวัตถุมงคลสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ อย่าไปให้ค่ารถไว้ ให้เมื่อไรเดี๋ยวหนีกลับกันหมด" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายบริษัทรับพนักงานเข้าทำงานด้วยการดูโหงวเฮ้ง เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ไปเถอะ เขาไม่สนใจหรอก หลังกระจกมองด้านเดียวนั่นต่างหากที่สำคัญ ถ้าซินแสพยักหน้าเขาก็คัดไว้ สรุปว่าที่สัมภาษณ์เป็นการเรียกมาดูโหงวเฮ้งเท่านั้น
สู้หมอดูที่ดูให้หลวงพ่ออุตตมะไม่ได้ เขาลือกันว่าหมอดูคนนั้นแม่นนักแม่นหนา หลวงพ่ออุตตมะสมัยหนุ่ม ๆ ท่านยังเรียนบาลียังไม่จบ ไปขอให้เขาดูหมอให้ หมอเขาถอดดวงเสร็จสรรพแล้วบอกว่า "ดูไม่ได้ครับ ดวงของท่านเกินตำรา" แสดงว่าหมอเขาเก่งจริง ดูดวงพระอริยเจ้าไม่ได้ เกินตำรา นอกเหตุเหนือผลไปแล้ว" ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไม่แน่..เพราะว่าเขามีการดูผิดมาเยอะแล้ว ประเภทที่เขาบอกว่า “เงินซื้อผมไม่ได้...ถ้าไม่มากพอ” ประเภทนั้นแหละ ฟังตอนแรกแล้วดูดี ต้องรวมประโยคต่อมาไปด้วยถึงจะสมบูรณ์ |
พระอาจารย์กล่าวสอนเด็กว่า "ความจริงอะไร ๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนชื่อก็เท่านั้น เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็เท่านั้น ถ้ายังเปลี่ยนความประพฤติไม่ได้ ผลก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น..ต้องเปลี่ยนความประพฤติให้ได้ สนใจการเรียนมากขึ้น เล่นเกมให้น้อยลง"
|
ถาม : เวลานอนเหมือนกับสมาธิลึกไป แต่นอนไม่หลับ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ใช่นอนไม่หลับนะ..นอนหลับ แต่สติตื่นอยู่ คือสภาพจิตของเราถ้าฝึกไปถึงระดับหนึ่งจะตื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับทั้งตื่นรู้เท่ากัน เราต้องรู้จักสังเกตว่าถ้าเรานอนไม่หลับจริง ๆ ตื่นมาต้องเพลีย แต่นี่ไม่เพลียเลย แสดงว่าหลับเต็มที่ แต่จิตตื่นอยู่ สภาพอย่างนั้นคือสิ่งที่นักปฏิบัติต้องทำให้ถึง ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสกินเราตอนตื่นไม่ได้ จะไปกินเราตอนหลับ ต้องหลับกับตื่นมีสติรู้เท่ากัน เราจึงสามารถป้องกันกิเลสได้ทั้งหลับและตื่น ถาม : ผมจะหาวิธีลดกำลังสมาธิ ? ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก นอนสบาย ๆ ของเราไป พอถึงเวลาก็เอาสติควบคุมระมัดระวัง รัก โลภ โกรธ หลง อย่าให้เกิดขึ้น ร่างกายเขาหลับเองอยู่แล้ว บางทีได้ยินเสียงกรนด้วย แต่พอจิตตื่นอยู่ เราก็ไปคิดว่าเราไม่หลับ ถาม : จะกังวลครับ ? ตอบ : ไม่ต้องกังวลแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถึง ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะสู้กิเลสไม่ได้ |
ถาม : เรื่องการรักษาศีลต้องสมาทานทุกวันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ศีลอยู่ที่เรางดเว้น สมาทานเป็นการศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง เมื่อเรารู้แล้วเราตั้งใจงดเว้นถึงจะเป็นศีล ไม่อย่างนั้นสมาทานให้ปากฉีกถึงใบหูก็ไม่มีผล ก็แปลว่าศีลต้องลงมืองดเว้น มีโอกาสล่วงละเมิดแล้วไม่ละเมิดถึงจะเป็นศีล ถาม : ถ้าไม่ละเมิด ไม่ต้องสมาทานก็ได้ ? ตอบ : ไม่ต้องสมาทานหรอก รู้อยู่แล้ว สมาทานแปลว่าศึกษา ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วก็ไม่เห็นต้องไปศึกษาว่าศีลมีอะไร ให้ทำไปเลย ถาม : ถ้าเราทำผิดศีลไปแล้ว ? ตอบ : เริ่มต้นทำใหม่ทันที มัวแต่ไปเศร้าหมองอยู่ก็ไม่ได้เรื่องสักที |
ถาม : วิรัติแปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : วิรัติแปลว่างดเว้น งดเว้นตามที่ศีลได้ห้ามไว้ มังสวิรัติ คือ งดเว้นเนื้อสัตว์ วิรัติ แต่อ่านว่า วิ-รัด ไม่รู้ราชบัณฑิตตัดสระอิไปอีกหรือเปล่า มาหลัง ๆ นี่ตัดออกไปเยอะ ที่รุ่นเก่า ๆ อย่างอาตมาเรียนมา ตอนนี้แทบจะใช้อะไรไม่ได้เลย กลายเป็นผิดไปหมด ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : กำลังใจบอกไม่ได้ ความเป็นจริงถึงจะเชื่อได้ ฉะนั้นความเป็นจริงเรางดเว้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว บริบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังงดเว้นแค่ตัวเอง เราอาจจะยินดีในขณะที่เห็นคนอื่นเขาละเมิด ถาม : ถ้าเรายินดีที่คนอื่นทำผิด ? ตอบ : ก็ต้องพยายามควบคุมกำลังใจของเรางดเว้นให้ได้ อย่ายุเขาทำ อย่ายินดีเมื่อเขาทำ ปิดหูปิดตาปิดปาก ไม่อย่างนั้นรับรู้มากก็ผิดมาก |
ถาม : ขอพรจากพระจันทร์ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ลองดูสิ..ถ้าทำแล้วได้ผลก็บอกด้วย อาตมาจะได้ขอบ้าง ความจริงการขอพรจากพระจันทร์เป็นนิทานจากเมืองจีน เรื่องมีอยู่ว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งทำงานเลี้ยงแม่ที่แก่แล้ว เขาเป็นคนขยัน ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน พอเห็นว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำฟ้าสว่าง ก็ทำงานกลางคืนด้วย ทำไปทำมาเพลียหลับไป ตื่นขึ้นมาปรากฏว่างานที่ทำไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บผักหาบฟืน กลายเป็นเงินเป็นทองไปหมด ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันต่อ ๆ มา นั่นแปลว่าเขาทำความดีแล้วได้รับผลตอบแทน ไม่ใช่ไปขอเฉย ๆ เขาเชื่อว่าเทพธิดาจันทราเนรมิตให้ ทำความดีแล้วจึงได้การตอบแทน ไปขอเฉย ๆ ถ้าได้ก็ประหลาดแล้ว แต่ความจริงเขาเข้าใจถูกนะ พระจันทร์ที่มีสีเหลืองเพราะว่ามีธาตุทองมาก ไปขอพรจากพระจันทร์ เผลอ ๆ ทองหล่นลงมาก็ดี ส่วนโลกของเราเป็นสีฟ้าเพราะว่ามีธาตุน้ำมาก |
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เวลาซื้อเสื้อดูตัวเองด้วยนะจ๊ะ ถ้าพรีเซ็นเตอร์ใส่แล้วสวย แต่เราไม่ได้หุ่นอย่างนั้นก็ไม่สวยไปได้หรอก ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้เขาเชื่อพรีเซ็นเตอร์ นั่นก็ดี..นี่ก็ดี เพราะเขาคัดคนที่สวย ๆ หล่อ ๆ มาทั้งนั้น ส่วนเราลืมดูเงาตัวเองไปหน่อย..!"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาโดนโยมชวนให้เล่นหวยบ่อย วันก่อนงานปฏิบัติธรรมมีคนหนีบแผงหวยขึ้นมา อาตมาก็ขำว่าใครจะซื้อ จะว่าไปก็เป็นอาชีพของเขา เพราะเขาต้องทำมาหากิน ที่ไหนคนเยอะเขาต้องไปที่นั่น แต่เขาไม่รู้ว่าที่วัดท่าขนุนไม่ได้เล่นเรื่องนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้น..โยมไปขาย เขาก็ไม่ค่อยจะซื้อกัน
ตอนนี้ด้านข้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ว่าจะปรับพื้นเทคอนกรีตให้เรียบเสมอกัน อาจจะตั้งตู้ให้เขาขายของ แรก ๆ ก็ให้ขายแบบไม่เก็บค่าเช่าไปเลย เพื่อที่จะได้สร้างงานให้ชุมชน คนมาแวะนมัสการจะได้มีข้าวของซื้อหาบ้าง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ พออยู่นาน ๆ ไป คนมากเข้า ๆ การดูแลไม่ทั่วถึง มีคนมาขายของอยู่ อย่างน้อยก็เป็นหูเป็นตาให้เราได้ ตอนนี้ที่มอง ๆ อยู่ รายแรกก็เป็นคนทำเสื้อเกี่ยวกับทองผาภูมิ ที่ว่าเมืองแห่งขุนเขา ขายเป็นของที่ระลึกได้อย่างหนึ่ง อาจจะมีผักผลไม้พื้นบ้าน อย่างปลาส้มทองผาภูมิก็ดัง ถึงเวลาก็เอามาจำหน่ายกันตรงนั้น แต่ก็คงจะเจอผักกูดเป็นหลักมากกว่า" |
ถาม : เคยได้ยินว่าเด็กที่กินนมวัวเยอะ ๆ แล้วเป็นภูมิแพ้ ทีนี้ลูกเขาเป็นภูมิแพ้ขึ้นมาแล้ว อาจเป็นกรณีที่กินนมวัว จะแก้ไขด้วยการเลิกกินนมวัว หรือกินอย่างอื่นแทนได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าจะกินนมให้กินนมถั่วเหลือง ต้องเป็นพวกนมถั่วเหลืองเจด้วย เพราะว่านมถั่วเหลืองทั่วไปปนนมวัว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ให้เลือกกล่องที่เขาเขียนว่าเจ |
ถาม : วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปจะมีเทวดาคุ้มครองอยู่ รวมถึงพระพุทธรูปตามร้านสังฆภัณฑ์ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ด้วยจ้ะ ถาม : ต่างจากเข้าพิธีพุทธาภิเษกอย่างไรคะ ? ตอบ : การเข้าพิธีพุทธาภิเษกเป็นการระบุเจาะจงว่า ให้เทวดาหรือพรหมท่านใดดูแลพระพุทธรูปองค์ไหน หรือวัตถุมงคลชิ้นไหน แต่ถ้าในลักษณะของการสร้างขึ้นมาไม่ได้พุทธาภิเษก ก็เหมือนกับว่าเป็นการทั่ว ๆ ไป แบบผ่านไปก็ดูให้สักหน่อยหนึ่ง เข้าพิธีถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ส่วนไม่ได้เข้าพิธีก็แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์ ถาม : บางท่านสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระ แต่เจตนาเป็นไปทางไสยศาสตร์ เป็นไปได้ไหมคะ ? ตอบ : ได้..ไสยศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ใช้หัวใจพระธรรมทั้งนั้น ถาม : หัวใจพระธรรม ? ตอบ : บทคาถาส่วนใหญ่เป็นหัวใจพระธรรมในพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่าอยู่ที่กำลังใจเขาว่ามุ่งไปทางไหน ถ้ามุ่งไปทางไม่ดี ถึงเวลากำลังใจทรงตัว ผลก็ไปทางไม่ดี เพราะคาถาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น ถาม : ถ้าเขาสร้างขึ้นมาเพื่อทางไสยศาสตร์ แล้วเราเอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์เรียบร้อยแล้ว ไสยศาสตร์จะหายไปหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าไปเข้าพิธีก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือหรอก อาตมาทำพิธีเป่ายันต์ฯ ทีไร มักจะเตือนพวกเล่นไสยศาสตร์ว่า ถ้าเสียดายของตัวเอง ให้รีบไปให้พ้นบริเวณวัดไว ๆ ขืนอยู่ต่อวิชาจะเสื่อมหมดสภาพไปเลย |
ถาม : แล้วเบอร์โทรศัพท์ที่ทำให้ป่วยได้ ?
ตอบ : กรรมทำให้ได้เบอร์นั้นมา ถาม : ทำอย่างไรดีครับ หรือเปลี่ยนใหม่ ? ตอบ : ก็ไปเปลี่ยนเสีย ถาม : เปลี่ยนแล้วดีขึ้นหรือครับ ? ตอบ : ดี..อย่างน้อย ๆ ก็สนับสนุนให้บริษัทโทรศัพท์รวยขึ้น อาตมายืนยันแล้วว่าเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือเปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์ ต้องเปลี่ยนความประพฤติตัวเอง ถ้าความประพฤติยังเหมือนเดิม เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ให้ตายก็เท่านั้นแหละ |
ถาม : ขออโหสิกรรมกับผู้ที่ตายไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้..การอโหสิกรรมนั้น โจทก์และจำเลยต้องอยู่ต่อหน้ากัน อโหสิกรรมยอมความกันทั้ง ๒ ฝ่ายถึงจะจบ ถาม : เขาตายไปแล้วครับ ? ตอบ : ตายไปแล้วเราอโหสิกรรมอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนเขาจะอโหสิกรรมให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? |
ถาม : ของที่เข้าไปอยู่ในร่างกาย พอเสื่อมแล้ว ไม่มีออกจากตัว ?
ตอบ : ถ้าเสื่อมแล้วสภาพเดิมจะปรากฏ เราไปเอ็กซเรย์ก็จะเห็น ถ้าเอ็กซเรย์แล้วไม่เห็นแปลว่าไม่ใช่ ถาม : แต่ถ้าเห็นสิ่งนั้นก็ยังต้องดูต่อ ? ตอบ : ถ้าหมดสภาพส่วนใหญ่จะพ้นตัวไปเลย ถ้าตกค้างอยู่จะเห็นได้ ถาม : ตกค้าง ต้องหาวิธีเอาออกหรือครับ ? ตอบ : หมอสมัยใหม่ผ่าได้ ที่บอกว่าอยู่ ๆ ประเภทคนไข้กลืนเข็มกลืนตะปูลงไป คุณลองให้หมอกลืนดูซิว่าจะกลืนได้ไหม ? หมอก็ว่าไปเรื่อย เพราะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมของพวกนี้ไปอยู่ข้างในร่างกาย ต้องไปให้หมอผ่าออก ถาม : ถ้าเป็นพวกฝังรูปฝังรอย ? ตอบ : พวกฝังรูปฝังรอยต้องขุดขึ้นมา ถาม : ถ้าไปรับยันต์ แล้วของจะเสื่อมไหม ? ตอบ : ที่เสื่อมคือผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราไม่มี แต่ของยังอยู่ที่เดิม อย่างฝังรูปฝังรอยสมัยก่อนเขาต้องฝังอยู่ใต้บันไดที่เราขึ้นลง สมัยนี้จะเอาที่ไหนมาฝัง เพราะพื้นเป็นคอนกรีตทั้งนั้น ถาม : ก็เลยไปฝังที่อื่น ? ตอบ : เขาจะไปฝังทางสามแพร่งก็ปล่อยเขาฝังไปเถอะ ผลก็เกิดกับคนอื่น ไม่เกิดผลกับเรา ฝังรูปฝังรอยสมัยนี้นอกรีตมากกว่า |
ถาม : พ่อผมทำบุญบ้าน แล้วพระท่านลืมบริขาร ผมเก็บไว้ที่บ้านครับ ?
ตอบ : รอท่านมารับคืนสิ หรือถ้ารู้จักท่านก็ตามไปคืนท่านที่วัด ถาม : ท่านอยู่ที่ไหนไม่รู้ครับ ? ตอบ : เอาไปถวายวัดที่ไหนก็ได้ อย่าไปทิ้งไว้บ้านก็แล้วกัน เอาไว้เดี๋ยวเป็นหนี้สงฆ์ ความจริงถ้าเป็นพระที่ท่านรักบริขารตัวเอง ท่านต้องรีบกลับมาเอาคืนนานแล้ว |
ถาม : พระทุ่งเศรษฐีร้อยปีหลวงปู่ปานของวัดท่าซุงหายากไหม ?
ตอบ : ยังพอหาได้อยู่ พระทุ่งเศรษฐีร้อยปี สร้างปี ๒๕๑๘ พวกเราเกิดไม่ทันกันเยอะเลย ก่อนที่จะมีพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมาก อาตมาก็เล็งพระทุ่งเศรษฐีรุ่นร้อยปีฯ นี่แหละ พอมีเงินครบก็ไปนั่งเลือกกัน หลวงตาวัชรชัยอีกคน ช่วยกันเลือกจนจับจุดได้ว่า มีอยู่ ๖-๗ พิมพ์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วก็มีสีไม่เหมือนกัน ดำปี๋เลยก็มี เพราะฉะนั้น..ถ้ามีสีดำก็ไม่ต้องแปลกใจหรอก เป็นเรื่องปกติ |
ถาม : ช่วงนี้กำลังเริ่ม..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมเรื่องการตัดกิเลสของเรา ทุกอย่างพยายามดึงเราไปจากจุดหมายนี้ ให้เราช้าไปเรื่อย ๆ ถ้าตายก่อนนี่ขาดทุนเลย นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่ง ญาณคือเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น แต่คราวนี้เขาให้เรารู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการตัดกิเลส การตัดกิเลสเราต้องมาใช้ปัญญาครุ่นคิดพิจารณาเอง เพราะฉะนั้น..ในเมื่อรู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการตัดกิเลส บางทีเขาพาเราออกทะเลกู่ไม่กลับเลย จะคิดอะไรก็เป็นเหตุเป็นผลสัมพันธ์กันหมด ชนิดสามารถทำให้ลิงกับหมาเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันได้ เปรียบเทียบตามตรรกศาสตร์ ลิงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โยงไปโยงมา เพราะฉะนั้นหมากับลิงก็เหมือนกัน เขามีผลเป็น T (True) กับ F(False) ในเมื่อ T หมด ผลสรุปก็ต้อง T ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นลิงกับหมาเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน เรื่องของเครื่องรู้นี่อย่าให้โผล่ โผล่เมื่อไรเป็นเรื่องเมื่อนั้น รู้จริง ๆ แต่รู้แล้วพาให้หมดกิเลสไม่ได้ ถึงได้เรียกว่าอุปกิเลส แปลว่าใกล้จะเป็นกิเลส ก็คือ ถ้าเราเชื่อแล้วไปคล้อยตามก็กลายเป็นกิเลสไปเลย |
ทิดกวางถวายมีดเข้าร่วมกฐินปลดหนี้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เล่มนี้เขาเรียกว่า มีดเสือซ่อนเล็บ แต่เล่มนี้เป็นของบ้านจ่าตุ่มทำ ถ้าเราถือไป คนเขาจะไม่ระแวง เขาคิดว่าเป็นไม้ท่อนหนึ่ง
เสือซ่อนเล็บของจริงจะเป็นมีด ๒ เล่ม ใส่สวนกัน ชักออกมาจะเป็นมีด ๒ เล่ม แต่เล่มนี้เขาทำเป็นลักษณะซามูไรสั้น เขาเรียกว่า ตันโตะ ถ้าเป็นขนาดกลางเขาเรียกว่า วากิซาชิ ถ้าเป็นขนาดยาวก็เรียกว่า คาตานะ ถ้าใครอยากรู้ว่าสุดยอดซามูไรยุคปัจจุบันเป็นใคร ก็ไปค้นหาชื่อ อิซาโอะ มาชิอิ เดี๋ยวก็รู้ เขาเก่งมาก ขนาดที่ลูกปืนอัดลมยิงด้วยความเร็ว ๓๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาฟันขาดกลางเลย ตอนแรกเขาทดสอบด้วยการฟันของที่ช้าก่อน ก็คือ ลูกบอลที่ยิงด้วยเครื่อง ความเร็ว ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นก็เล็กลง ยิงลูกเบสบอลด้วยเครื่อง ความเร็ว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง สุดยอดนักเบสบอลขว้างลูกด้วยความเร็วสูงสุดแค่ ๑๖๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พอยิงด้วยเครื่องจึงเร็วกว่านั้นเป็นเท่าตัว แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ลูกปืนลมที่ยิงด้วยปืนความเร็ว ๓๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว เขาฟันขาด ๒ ซีกเลย แล้วที่เหลือเชื่อก็คือ ไม่เคยชักดาบรอเลย รอจนเครื่องยิงแล้วถึงชักดาบ อะไรจะเร็วได้ปานนั้น" |
"สถิติที่เขาทำเอาไว้มีเยอะมาก ล่าสุดกินเนสบุ๊กบันทึกไว้ ยิงลูกเทนนิสด้วยความเร็ว ๗๐๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฟันขาด ๒ ซีกเลย ต้องบอกว่าลูกเทนนิสยังใหญ่ไปสำหรับเขา นั่นคือความสามารถจากการฝึกฝน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์ เขาแค่ฝึก แต่ว่าเป็นการฝึกกายประสานกับใจ ทำด้วยฉันทะ คือใจรักจริง ๆ ได้ยินเรื่องของยอดซามูไรในอดีตว่าทำอะไรได้ ก็พยายามทำตาม ฝึกฝนมาตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ปีนี้อายุ ๓๕ ปี ฝึกมา ๓๐ ปี ตอนนี้เปิดโรงเรียนสอนซามูไร ใครจะไปสมัครเป็นลูกศิษย์ให้เขาสอนก็ได้ อยู่ที่ญี่ปุ่น อย่างเขาเป็นประเภทฟันเราหัวขาดแล้วยังยืนคุยต่อได้อีกพักหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวว่าหัวขาดไปแล้ว ถ้าถามว่าอิซาโอะเก่งที่สุดหรือเปล่า ? ต้องบอกว่าเก่งสำหรับยุคนี้ เพราะช่วงแค่อยุธยาของเรา ทหารไทยที่ทำแบบนี้ได้มีมากต่อมากด้วยกัน" |
ถาม : มีดนี้ด้ามเป็นไม้อะไรครับ ?
ตอบ : ดูแล้วน่าเป็นแก่นไม้ประดู่ชิงชัน เพราะถ้าเป็นไม้พยุงจะดำไปเลย ความจริงเทคนิคการหลอมโลหะในสมัยปัจจุบันควบคุมความร้อนได้ น่าจะมีนักตีมีดตีดาบสักคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาหลอมโลหะ ให้ได้ลักษณะที่โบราณเขาบอกไว้ว่า โลหะ ๓๐๐ ชั่ง หลอมเหลือ ๓๐ ตำลึง เวลาหลอมโลหะจะมีฝ้าลอยหน้าขึ้นมา ก็คือ ขี้โลหะนั่นแหละ หลอมไปหลอมไปน้ำหนักจะลดลงไปเรื่อย จนกระทั่งเหลือแต่เนื้อโลหะล้วน ๆ โลหะ ๓๐๐ ชั่ง หลอมเหลือ ๓๐ ตำลึงคงหมดฟืนไปเป็นป่าเลย สมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ ใกล้ ๆ บ้านคุณตาคุณยายมีโรงตีเหล็กอยู่ อาเจ็กเจ้าของโรงตีเหล็กเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นมาดูแกตีเหล็ก อาเจ็กก็ตีเหล็กชุบเหล็กไปตามแบบปกตินั่นแหละ ทหารญี่ปุ่นเขาดูแล้วยืนสั่นหัว ขอคีมขอค้อนแบบภาษาใบ้ อาเจ็กก็ส่งให้ ทหารญี่ปุ่นคีบพร้าที่แกตีเสร็จแล้ว ยัดกลับเข้าเตาเผาใหม่ เผาแล้วก็จ้องดูอยู่ จนได้ระดับที่เขาพอใจแล้ว ค่อยดึงออกมาชุบแล้วก็ตี พอตีเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาให้อาเจ็กหยิบพร้าที่ตัวเองตีเสร็จถือไว้ แล้วก็เอาพร้าที่เพิ่งจะตี เพิ่งจะลับเสร็จ ฟันใส่ พร้าของอาเจ็กขาด ๒ ท่อนเลย..! เขาบอกว่าความร้อนต้องถึงระดับหนึ่งที่เนื้อเหล็กเปลี่ยนสีไปได้ขนาด เขาชำนาญมากขนาดดูสีเนื้อเหล็กออก ว่าระยะนั้นเหล็กจะทั้งเหนียวทั้งคม ถ้าหากว่าขึ้นคมเสร็จแล้วสามารถตัดเหล็กด้วยกันได้ เหล็กชนิดเดียวกัน เพียงแต่ว่าระยะเวลาในการเผา ชุบ ตีต่างกัน ผลออกมาต่างกันได้ขนาดนั้น |
ถ้าใครดูเรื่อง Kill Bill ที่นางเอกเป็นผู้หญิงฝึกซามูไร พออยากได้อาวุธคู่มือ ต้องไปหาปรมาจารย์ทางซามูไรให้ผลิตซามูไรให้เล่มหนึ่ง นั่นเป็นความชำนาญเฉพาะในวิชาชีพ เป็นการทุ่มเทใส่ใจจริง ๆ
เมื่อมีฉันทะ พอใจที่จะทำ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ศึกษาทำไป ด้วยวิริยะ คือความพากเพียร จิตตะ จิตใจจดจ่ออยู่กับผลงานของตัวเอง ศึกษาจนกระทั่งรู้รอบ แล้วก็มีวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนผลงานอยู่เสมอ ๆ ดังนั้น..ที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ระดับต่ำสุดถึงสูงสุด ถ้าประกอบไปด้วยอิทธิบาท ๔ จะทำงานสำเร็จทุกอย่าง |
ถาม : อยากเจริญเมตตา..?
ตอบ : ก็ซ้อมแผ่เมตตานั่นแหละ เสร็จแล้วก็ภาวนาต่อ ถ้าอารมณ์ภาวนาทรงตัว เท่ากับว่าเราทรงตัวเป็นฌานในเมตตาบารมี จะรักษาระยะได้ยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าหลุดจากลมหายใจเมื่อไรก็หายไป ก็มาเริ่มต้นแผ่เมตตาแล้วภาวนาต่อ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเข้าพรรษา ธรรมเนียมของพระจะมี การไปรายงานตัวต่อครูบาอาจารย์ ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ทำสามีจิกรรม สมัยก่อนไปรายงานตัวก็เหมือนกับไปแจ้งครูบาอาจารย์ว่า ปีนี้จำพรรษาอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลอย่างไร ถึงเวลาจะได้รู้ ไปมาหาสู่กันถูก
ก่อนหน้านี้ก็ทำเฉพาะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ พอมาระยะหลัง ๆ เขารวมเจ้าคณะปกครองเข้าไปด้วย ซึ่งตามสายปกครองอยู่กรุงเทพฯ กลายเป็นว่าพระภิกษุสามเณรในระยะหลังต้องเดินทางไกล โดยเฉพาะบรรดาต่างจังหวัดไกล ๆ อย่างหนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก ต้องมาค้างคืน พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ท่านจะกำหนดวันแรม ๓ ค่ำของทุกปี เป็นวันที่พระผู้น้อยมาทำสามีจิกรรมด้วย ก็เท่ากับว่านัดเจอกันแรม ๓ ค่ำ แต่ท่านที่มาก่อน ตั้งแต่ ๒ ค่ำก็มี แล้วก็อาจจะมาช้าถึง ๔ ค่ำก็มี ดังนั้น ๒-๓-๔ ค่ำ ส่วนใหญ่พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ เท่ากับโดนบังคับว่าต้องอยู่วัด" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:32 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.