กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3368)

เถรี 13-06-2012 21:22

มีโยมพาผู้สูงอายุมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เวลาเดินให้รอคนแก่ด้วย ตนเองไม่แก่บ้างก็แล้วไป สมัยก่อนอาตมาดูแลปู่ย่าตายาย รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ เพราะทางครอบครัวเขาอบรมมาว่า ให้กตัญญูต่อผู้ใหญ่ มีโอกาสให้ทดแทนท่าน นี่เป็นหลักการของขงจื๊อตามที่ครอบครัวคนจีนสั่งสอนมา

อาตมาเองพอได้ทำแล้ว รู้สึกว่าปลื้มใจและภูมิใจที่ได้ทำ แต่เด็กรุ่นใหม่รู้สึกอายที่จะไปไหนกับคนแก่ ต้องคิดถึงอกเขาอกเราบ้าง มนุษย์เราน่าจะเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีการสงเคราะห์ผู้ชรา สัตว์อื่นน้อยตัวที่จะมี สัตว์อื่นที่สงเคราะห์พ่อแม่ที่แก่ชรา ส่วนใหญ่เป็นจริยาของพระโพธิสัตว์มาทั้งนั้น นอกนั้นพอถึงเวลาโตก็ทิ้งกันเลย"

เถรี 13-06-2012 21:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "พออาตมาโกนหัวแล้วมักจะเป็นไข้ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงให้หลวงพี่ประทีปโกนหัวทั้งแห้ง ๆ ท่านบอกว่าน้ำโดนหัวแล้วจะเป็นไข้ ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ว่าเป็นผลของมาลาเรีย พอโดนความเย็นเข้าหน่อยก็ไข้จับเลย อย่างอาตมาฟอกสบู่แล้วฟอกสบู่อีก โกนหัวยังแสบบ้างคันบ้าง ส่วนหลวงพ่อท่านโกนแห้ง ๆ เท่ากับขูดหนังหัวตัวเองเล่น คงจะแสบน่าดูเลย

เมื่อวันที่ ๑๖ ลงไปปักษ์ใต้ ไปวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ์วัดรัตนานุภาพ ก็ปรากฏว่ามีโยมเขาขอเกศา อาตมาบอกว่าให้ไม่ได้ เขาถามว่าทำไม ? ตอบไปว่ายังไม่อยากเจอแบบที่หลวงปู่แหวนท่านเจอ พอคนหนึ่งได้อีกคนหนึ่งก็จะเอา หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า “โกนจนหัวแสบไปหมดแล้ว ยังจะเอาอีก” เพราะฉะนั้น..อย่าเอาเลย ถ้าได้ไปสักคนเดี๋ยวที่เหลือก็จะเอาบ้าง เดือดร้อนอาตมาอีก

รุ่นหลวงปู่แหวนนั่นเป็นรุ่นแรก ๆ ที่เขานิยมสร้างพระแล้วใส่เส้นเกศาลงไป ท่านก็เลยโดนโกนไม่เว้นแต่ละวัน อยากได้เมื่อไรก็ไปขอโกน ช่วงนั้นจะมีกระแสการสร้างพระ แรก ๆ ก็นำโดยคณะศิษย์ทหารอากาศ พอคนอื่นเห็นว่าท่านอนุญาต ก็เลยตามมาขอกันใหญ่ ช่วงนั้นจะมีหลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ฝั้น ๒ รูป ที่คนออกเหรียญท่านเป็นร้อยรุ่น ออกมาเท่าไรก็จำหน่ายหมด เห็นกำไรดีก็ทำกันใหญ่ หารู้ไม่ว่าทำให้หลวงปู่ท่านลำบากขนาดไหน

อย่างวัตถุมงคลวัดท่าขนุน ถ้าไปคบกับพวกตลาดพระจะดังกว่านี้เยอะ เขาจะช่วยปั่นให้ แต่อาตมาไม่คบหรอก..คบแล้วเหนื่อย เพราะยิ่งดังมากเท่าไรก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น"

เถรี 13-06-2012 21:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า

ถ้าแคบนักมักจะคับขยับยาก............ถ้าหลวมมากไม่มีอะไรจะใส่สม
ถ้าสูงนักมักจะลอยไปตามลม............ถ้าต่ำนักมักจะจมลงบาดาล

สรุปว่าถ้าไม่พอดีนี่หาดีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทาต้องกลางจริง ๆ คือกลางที่คนทั่วไปส่วนใหญ่ทำได้ แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่สมรรถภาพน้อย จะเห็นว่ายากมาก ขณะเดียวกันพวกที่สมรรถภาพสูงก็จะเห็นว่าง่าย แต่ว่าต้องเอาคนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์"

เถรี 13-06-2012 21:59

ถาม : การส่งข้อความคุยโต้ตอบกันเรื่องธรรมะตามเว็บสังคมออนไลน์ อันนี้จัดว่าเป็นอภิญญาด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกวิชชามัยฤทธิ์ ลองไปค้นคำนี้ดูแล้วก็เข้าใจเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วเพิ่งจะทำกันได้

เถรี 14-06-2012 08:25

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เครียดเรื่องงานว่า "เลิกงานแล้วก็กองไว้ตรงนั้น ถ้าเลิกงานแล้วยังเก็บมาคิดต่อก็เครียด ถ้าพวกเราไม่เคยชินกับการตัด ถึงเวลาแล้วจะอดคิดไม่ได้ ถ้าเคยชินกับการตัด ปล่อยแล้วจะปล่อยเลย จนกว่าจะไปชนกับเหตุการณ์ใหม่ถึงจะคิดใหม่"

เถรี 14-06-2012 08:51

พระอาจารย์กล่าวถึง "ฮก ลก ซิ่ว" ว่า "ฮกเซียนคืออำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์ ลกเซียนคือ ร่ำรวยเงินทอง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ซิ่วเซียนคือ อายุวัฒนะ อายุยืนยาว ซิ่วเซียนอายุ ๘๐๐ ปีแล้วก็ยังไม่ตาย ท่านคงเบื่อเต็มทีเลยเดินเข้าป่าเข้าดง หายไปเฉย ๆ"

ถาม : เซียนที่อยู่ได้ถึง ๘๐๐ ปีเพราะว่าอิทธิบาท ๔ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาใช้คำว่า "เข้าถึงเต๋า" อย่างน้อย ๆ น่าจะอยู่ระดับสมาบัติที่ปรับธาตุตัวเองได้ พอสภาพร่างกายไม่ไหวก็ปรับธาตุใหม่ ธาตุเสมอกันก็อยู่ต่อไปได้อีก

ถาม : อย่างนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธก็อยู่ได้ ?
ตอบ : อยู่ได้..ลองไปอ่านหนังสือโยคีมหัศจรรย์ดูสิ อยู่มาเป็นพันปี ไม่ได้กินอะไรเลย ปีหนึ่งออกจากถ้ำมาครั้งเดียว มาเดินแตะ ๆ ของสังเวยที่บรรดาสาวกเอามาไว้ให้ บางทีหยิบขนมกินชิ้นเดียว แล้วก็หายไปอีกปีหนึ่งค่อยออกมาใหม่

ถาม : เข้าสมาบัติ ?
ตอบ : เป็นสภาพร่างกายที่ปรับธาตุ ดึงเอาดิน น้ำ ลม ไฟ รอบข้างมาใช้งานเองได้ ไม่ต้องกินอะไร ที่เขาเรียกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ

เถรี 14-06-2012 09:20

ถาม : วันก่อนมีเด็กอายุ ๙ ขวบที่ออกรายการแฟนพันธุ์แท้ครั้งหนึ่ง แล้วมารายการล้วงลับตับแตก เขาสามารถที่จะสวดมนต์และรู้เรื่องครูบาอาจารย์ได้ มีคนสงสัยว่าเขาเคยเป็นพระสงฆ์หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องไปถามเขาเอง

ถาม : มีคนเปิดกรรม เขาก็ดูว่า เด็กคนนี้เคยเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง แต่ไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้ เด็ก ๙ ขวบแต่มีความสนใจอ่านหนังสือธรรมะ
ตอบ : คนที่รู้ในส่วนที่คนทั่วไปไม่รู้ ถ้ารู้จริงจะต้องรู้ด้วยว่าควรจะบอกได้แค่ไหน ถ้าหากว่าบอกเกินนั้นตัวเองก็ซวย ส่วนใหญ่พวกที่ได้มโนมยิทธิในปัจจุบันนี้ ผิดซะ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย บางทียังไม่ทันจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นจริงหรือไม่จริง ก็พูดไปแล้ว ท่านที่รู้จริง ๆ ท่านรู้ว่าสมควรพูดแค่ไหนถึงจะพอดี แต่มีพวกแสนรู้ไปอธิบายขยายความจนเสียหายหลายแสนทุกที ถ้าเรื่องสมควรพูดท่านพูดไปแล้ว

ถาม : บางคนมีบอกว่าเคยเป็นภรรยาเป็นสามีกันมาก่อน
ตอบ : ประเภทนั้นแหละ แทนที่รู้แล้วจะตัดได้ ก็กลายเป็นผูกหนักขึ้นไปอีก และกอดคอกันตายทั้งขบวน ไปดูว่าคนนั้นเป็นผัวฉัน คนนี้เป็นเมียฉันให้ยุ่งไปหมด ดูแล้วแทนที่จะรู้จักเข็ด ว่ากี่ชาติ ๆ ก็ทุกข์ กลับไม่เข็ด แล้วยังไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีก

มีตัวอย่างสมัยก่อนที่อาตมาจะบวช บางรายไปบอกเขาอย่างนั้น โดนพ่อแม่เขาไล่ฟาดกบาลออกจากบ้าน ต่อให้เขาเคยเป็นจริง ๆ ก็เป็นอดีตแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าไม่ควรพูด ส่วนใหญ่จะอย่างนี้

แต่ก็แปลก..เขาก็เชื่อกันได้ อาตมาเป็นคนเชื่อยาก ตามพิสูจน์หลวงพ่อวัดท่าซุงมา ๑๐ กว่าปี กว่าจะยอมมอบกายถวายชีวิต ของแท้พิสูจน์อย่างไรก็ยังเหมือนเดิม ของไม่แท้เดี๋ยวก็หางโผล่

วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งไม่ได้มาเป็น ๑๐ ปีแล้วโผล่มา อาตมาก็หัวเราะ เขาเป็นฮินดู เพิ่งไปโดนคนหลอกหมดเงินไปเป็น ๑๐ ล้านบาท เกี่ยวกับพวกบรรดาของเก่าต่าง ๆ ว่าเป็นของคู่บารมีสมควรจะมีไว้ อาตมาเห็นก็รู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็พูดไม่ออก เพราะเขามั่นใจว่าแท้ เขาบอกว่าอาจารย์จับพลังแล้วสุดยอดมากเลย อาตมาก็นั่งเซ็งในอารมณ์ เล่นจับพลังไม่ใช้สายตาดูเลยหรือวะ..?

เถรี 14-06-2012 09:42

ถาม : การให้ทานที่ให้ผลด้านปัญญา ?
ตอบ : ธรรมทานให้ผลด้านปัญญา ความจริงการให้ทาน ถ้าเราให้จนทรงเป็นสมาธิ กำลังของสมาธิจะช่วยให้เกิดปัญญาได้ แต่ส่วนใหญ่เราให้ทานในลักษณะที่ทำไปเรื่อย ไม่ได้เอาสมาธิเข้าไปควบด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอาเรื่องของปัญญาโดยตรงต้องเป็นธรรมทาน ไม่อย่างนั้นถ้ามีสมาธิอยู่ด้วยก็ได้ปัญญาเลย

แต่ถ้าหวังโภคทรัพย์ ก็ให้อามิสทาน ทานที่ประกอบด้วยวัตถุสิ่งของ จะเกิดผลเป็นโภคทรัพย์

เถรี 14-06-2012 10:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ฝนฟ้าตกทุกเย็น ไม่ต้องโทษเทวดาหรอก ต้องโทษพวกเราเอง บรรพบุรุษของเราเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งเมืองหลวง เพราะว่าสมัยนั้นต้องทำไร่ทำนา ท่านก็หาที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลทั้งปี คราวนี้แทนที่เราจะทำไร่ทำนา เราดันมาปลูกตึกก็เป็นเรื่องนะสิ

เห็นสนามหลวงไหม ? นั่นเป็นนาของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น..ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ของแปลก ต้องท่วมแน่นอน เพราะโบราณเขาตั้งใจที่จะตั้งเมืองหลวงตรงนี้ สมัยก่อนน้ำจะท่วมเสมอกัน พรวดเดียวแล้วก็ลดลง นำเอาโอชะ ก็คือ บรรดาปุ๋ยต่าง ๆ มากับน้ำด้วย เวลาน้ำท่วมผ่านไปปลูกข้าวปลูกผักล้วนแล้วแต่งอกงามทั้งนั้น

แต่อย่างปีที่แล้วท่วมมากเพราะเราไม่ได้ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เราไปกักเอาไว้ ไปกันพื้นที่บางส่วนออก ส่วนที่ไม่ได้กันก็จะท่วมหนัก เพราะน้ำมาเท่าเดิม ถ้าเฉลี่ยสูงศอกหนึ่ง แล้วเราไปกันพื้นที่ไว้ ๘ ส่วน เหลืออยู่ ๒ ส่วน น้ำก็ต้องสูงเป็นวา ฉะนั้น..ถ้าหากว่ากรุงเทพฯ ของเรายอมเดือดร้อนพร้อม ๆ กัน ปล่อยให้ท่วมเต็มที่เลย อยู่อย่างเก่งก็ท่วม ๒ - ๓ วันเท่านั้น เพราะว่าน้ำต้องลงที่ต่ำคือทะเล ในเมื่อไปกันพื้นที่เอาไว้ ส่วนที่ไม่ได้กันก็รับไปเต็ม ๆ

ยังโชคดีว่าเรามีเส้นทางพระราม ๒ ถ้าไม่มีคนกรุงเทพฯ คงได้อดกันบ้าง อย่างน้อย ๆ ข้าวปลาอาหารยังออกมาทางสมุทรสาครได้ ถ้าไม่มีนี่เรียบร้อย อดกันแน่ ๆ"

ถาม : ปีนี้ท่วมเหมือนปีที่แล้วไหมครับ ?
ตอบ : ปีนี้ไม่ท่วมเหมือนปีที่แล้ว แต่พิลึกพิลั่น ที่ท่วมก็ท่วมไป ที่แล้งก็แล้งไป เป็นปีที่ประหลาด เรื่องน้ำไม่น่าห่วงสำหรับปีนี้ ห่วงเรื่องแผ่นดินไหวมากกว่า

ถาม : แผ่นดินไหว กรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบไหมครับ ?
ตอบ : กรุงเทพฯ ข้างใต้เป็นโคลน ไม่ได้เป็นหินดาน กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนตะกอนปากแม่น้ำ ข้างล่างเป็นดินโคลน แผ่นดินไหวมาทีเหมือนกับเขย่าแก้วน้ำ จะเกิดผลแรงมาก

เถรี 14-06-2012 10:40

ตอนนี้ทองผาภูมิที่ดินราคาถูก เพราะเขากลัวเขื่อนแตกกัน จากไร่ละเป็นล้านบาท ตอนนี้เหลือ ๓ - ๔ หมื่นบาทก็ซื้อได้ คนเขาก็ไม่คิดกันว่า เขื่อนแตกน้ำต้องทะลักไหลลงข้างล่าง ไปซื้อที่เหนือเขื่อนเสียก็หมดเรื่อง ถ้าอาตมาเป็นนายหน้าค้าที่ดินจะกว้านให้เหี้ยนเลย

ส่วนวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี ตูมแรกเขาบอกว่าน้ำจะมาสูง ๓๕ เมตร เลยหัวเราไป ๑๘ - ๑๙ เท่า หลังจากอีกนั้น ๓ ชั่วโมง จะมาถึงกาญจนบุรีประมาณ ๖ เมตร หลังจากนั้นอีก ๕ ชั่วโมงถัดมาจะถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๓ เมตร เพราะฉะนั้น..วัดท่าขนุนต่อให้รู้ว่าเขื่อนแตกตอนนั้นก็หนีไม่ทัน เพราะไม่กี่วินาทีก็ถึงแล้ว ถึงได้บอกโยมว่าถ้าพระย้ายเมื่อไรแล้วค่อยย้ายตาม

เถรี 14-06-2012 11:06

ถาม : เวลาหมาตายไปจะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ไหมครับ ?
ตอบ : สัตว์ที่อยู่ใกล้คน กรรมที่จะต้องเป็นสัตว์ใกล้จะหมดแล้ว เวลาตายไปถ้าใจเขาเกาะคนก็จะเกิดเป็นคน ถ้าเกาะพระก็จะเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น..เขาได้เปรียบกว่าเราเยอะ

ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้น ๕๐๐ ชาติ ?
ตอบ : ก็ใช่..นี่เป็นชาติท้าย ๆ ของกรรมที่จะต้องเกิดเป็นสัตว์แล้ว

เถรี 14-06-2012 14:26

พระเขาห้ามกินเนื้อหมา เนื้อ ๑๐ อย่างที่เป็นเนื้อต้องห้าม พระภิกษุห้ามฉัน ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี ที่เราจะพลาดได้ก็เนื้อหมากับเนื้องูนี่แหละ

ถาม : ถ้าคนไม่รู้ทำอาหารมาถวาย ?
ตอบ : ไม่รู้ก็โดน ต้องโดยไม่รู้ ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำ ต้องโดยไม่ละอาย ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ต้องโดยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ต้องโดยลืมสติ หมดสิทธิ์เบี้ยวทุกประการ รู้หรือไม่รู้ก็โดน

ฉันเนื้อดิบก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..พวกลาบก้อยซอยแซ่นี่หมดท่าเลย ปลาร้ายังต้องต้มก่อน

ถาม : ซ่า ?
ตอบ : คล้าย ๆ กับยำ

ถาม : ลวกมาเนื้อยังแดง ๆ เลย
ตอบ : ที่แม่ฮ่องสอน พวกไทยใหญ่เขามีเป๊อะหว่าง ลักษณะเป็นเลือดสด ใส่พวกสมุนไพรอะไรบางตัวลงไป ตี ๆ กันจนจับแข็งเป็นก้อนแล้วกิน พวกผู้ใหญ่เวลาเข้าวงเหล้าจะสั่งมากินกัน แต่เขาบอกว่าเด็กกินแล้วไม่ดี

เถรี 14-06-2012 14:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางเหนือของเราติดธรรมเนียมพม่ามาเยอะ แม้กระทั่งงานปอยของทางเหนือ จริง ๆ เป็นภาษาพม่า ภาษาพม่าเรียกว่าปวย ก็คืองานฉลองรื่นเริง

ปอยส่างลอง คือ บวชลูกแก้ว หนาน คือ บวชพระแล้วสึกมา ถ้าหากว่าเป็น น้อย คือ บวชเณรแล้วสึกมา"

เถรี 15-06-2012 16:21

ถาม : คนพม่าเข้ามาในไทยเยอะมากนะครับ ความรู้สึกของผมพอได้ศึกษาประวัติศาสตร์ว่าเรารบกันตลอด ความรู้สึกตรงนั้นยังมีอยู่ ?
ตอบ : ตรงนี้เป็นความผิดของเราเอง ต้องมองให้เห็นว่า เราก็เกิดเป็นเขา เขาก็เกิดเป็นเรา อาตมาก็เกิดเป็นพม่ามาเยอะแยะ อีกอย่างหนึ่งควรจะมองให้เห็นค่านิยมในสมัยนั้น ค่านิยมในสมัยนั้น คือ บุคคลที่เป็นผู้นำจะต้องแสดงให้เห็นเดชานุภาพ ด้วยการไปปราบปรามคนอื่นเขา

การที่ไปปราบปรามคนอื่นเขา ก็คือ อันดับแรกได้ประเทศราชมาอยู่ใต้การปกครอง อันดับที่สอง คือ ได้พวกแรงงานพวกทรัพย์สินมา เท่ากับเสริมเศรษฐกิจของตัวเองให้มั่นคง เมื่อค่านิยมเป็นอย่างนั้น แสดงว่าตำหนิใครไม่ได้ เพราะถ้ามีโอกาสเราก็ทำ เพียงแต่ว่าเรามีโอกาสน้อยกว่า เราเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่า

พม่าเขาเจริญมาก่อน อย่างอาณาจักรพุกามนี่อยู่ก่อนเชียงแสน ต้องบอกว่าเพราะอาณาจักรพุกามนี่แหละทำให้กุบไลข่านไม่ตีมาถึงเรา ติดอยู่แค่นั้น กว่าเขาจะตีพุกามแตก พอดีทางบ้านเขาก็มีปัญหากันจึงต้องยกทัพกลับ ไม่อย่างนั้นเขากวาดหมดตลอดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย

เถรี 15-06-2012 16:31

ถ้าหากว่ามัวแต่ไปคิดถึงเรื่องเก่าอยู่ก็มองไม่เห็นว่าเป็นธรรมดาของยุคนั้น ความเป็นศัตรูระหว่างเชื้อชาติก็จะไม่หมดไป ตอนอาตมาไปเขมร ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชของเขา เขมรมีสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๒ นิกาย ก็คือ สมเด็จพระสังฆราชธรรมยุติ คือสมเด็จพระสังฆราชบัวคลี่ ส่วนสมเด็จพระสังฆราชมหานิกาย คือสมเด็จพระสังฆราชเทพวงษ์มีปัญหา

พอเข้าเฝ้าท่าน ทำบุญอะไรเสร็จจะลาท่านกลับ ท่านนิมนต์เข้าไปห้องข้างใน เข้าไปเฉพาะคณะของเรา ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ใช่เป็นรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ผมจะไม่รับคณะของท่านเลย" ท่านเกลียดรัฐบาลอภิสิทธิ์สุด ๆ นั่นขนาดพระสังฆราชนะ เขาไปโกรธตรงที่รบกันเรื่องเขาพระวิหาร กลายเป็นว่าขนาดนักบวชระดับพระสังฆราชยังยึดติด ปล่อยวางไม่ได้ โยมก็สะกิดยิก ๆ "อาจารย์กลับเถอะ" อาตมาบอกว่ากลับไม่ได้ งานนี้ถ้าเรื่องไม่จบนี่แพ้เขา เพราะฉะนั้น..ต้องลุยกันอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะรู้เรื่องกัน

ถาม : รู้เรื่องไหมครับ ?
ตอบ : รู้เรื่องอยู่ แต่ว่าท่านก็ไม่ค่อยยอมฟัง ต้องชี้แจงให้ท่านฟังว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ถ้าหลวงพ่อมีโอกาส หลวงพ่อก็เล่นผมเหมือนกัน แต่คราวนี้เขมรโดนมากกว่าเท่านั้นเอง ลองคิดดู..ถ้าหากว่าลูกของฮุนเซนไม่คิดที่จะแสดงฝีมืออวดบารมีในหมู่ทหารว่า เขาเป็นผู้นำที่กล้าหาญถึงขนาดยกทัพมาตีกับไทย แล้วเรื่องจะเกิดไหม ? ต้องดูทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ดูแค่ฝ่ายเดียว

ในเมื่อฝ่ายนั้นเขาอยากอวดศักดานุภาพเพราะพ่อเพิ่งตั้งเป็นนายพลใหม่ ๆ ก็ไม่มีอะไรนอกจากหาเรื่องมารบกับไทย คราวนี้ยุทโธปกรณ์ของไทยดีกว่าตั้งหลายเท่า เอาคืนไปก็ทั้งเจ็บทั้งตายกันเยอะแยะ เขาก็เอาไปปลุกระดมหวังผลทางการเมือง คือ ทำให้ชาวบ้านเขารวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว สนับสนุนรัฐบาลว่าโดนไทยรังแก เรื่องของการเมืองเขาเล่นวิธีกันทั้งนั้นแหละ คือใช้วิธีช่วงชิงกระแสชาวบ้านให้มาสนับสนุนตนเอง

เถรี 15-06-2012 16:52

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เรื่องวัตถุมงคล ถ้ามัวแต่สงสัยเดี๋ยวก็กลายเป็นของปลอม จำไว้ว่าตะกรุดมหาสะท้อน รุ่น ๒ หน้าตาห่วย ๆ นี่แท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนของปลอมส่วนใหญ่จะสวย

มีวัตถุมงคลอยู่ถ้ามัวแต่ไปกังวล ไม่มั่นใจว่าจริงหรือปลอม แสดงว่ากำลังใจไม่มั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงของจริงก็กลายเป็นของปลอมได้ แต่ถ้ากำลังใจมั่นคง ของปลอมก็เป็นของจริงไปเองแหละ ขนาดเขาคว้าลูกเขียดไปอมยังหนังเหนียวได้เลย"

เถรี 16-06-2012 10:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หลักธรรม แต่พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าพระองค์ท่านรู้ธรรมเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พระองค์ท่านตรัสยืนยันว่าธรรมะทั้งหลายมีอยู่เป็นปกติแล้ว เพียงแต่ว่าพระองค์พบเห็นเข้า จึงนำมาสั่งสอนพวกเรา

บาลีท่านกล่าวว่า อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะอุบัติขึ้นก็ดี อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง หรือพระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะไม่อุบัติขึ้นก็ดี ฐิตา วะ สา ธาตุ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นตั้งมั่นอยู่แล้ว ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา ธรรมดาธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีเป็นปกติอยู่แล้ว

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีความทุกข์เป็นปกติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ สรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ไม่เที่ยงเลยยึดไม่ได้

ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ เมื่อพระตถาคตเจ้าได้รู้เห็นแล้ว อะภิสัมพุชฌิตวา อาจิกขะติ ก็ได้นำมาบอกกล่าว เทเสติ นำมาสั่งสอน ปัญญะเปติ นำมาบัญญัติ ก็คือกำหนด ปัญฐะเปติ นำมาจัดเป็นหมวดหมู่ วิวะระติ วิภะชะติ นำมาจำแนก นำมาแยกแยะ อุตตานีกะโรติ ทำของยากให้ง่าย เหมือนหงายของที่คว่ำอยู่

เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าหากว่าเราศึกษาในเรื่องของศาสนาเปรียบเทียบ จะเห็นว่าบรรดาศาสดาต่าง ๆ มักกล่าวว่าได้รับพรหรือความรู้จากพระเจ้าบ้าง หรือบัญญัติธรรมเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านรู้เองจริง ๆ แต่พระองค์ท่านกลับบอกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเพียงแต่ไปเจอของที่มีอยู่ นำมาจัดหมวดจัดหมู่ นำมาบอกเล่าแก่พวกเรา คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราว่าจะฟังแล้วจะนำมาปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ ?"

เถรี 16-06-2012 10:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "จากนาค ๑๕ ตัว ตอนนี้เหลือ ๑๔ ตัวแล้ว กว่าจะถึงวันบวชไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร วัดท่าขนุนเป็นวัดเดียวที่รู้สึกไม่ชอบมาพากลก็ไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคเลย จะได้ไม่ต้องบวชให้เสียเงิน"

ถาม : ทำไมไม่ให้บวชครับ ?
ตอบ : เขาจะได้บาปมากกว่า เคยเจอไหม ? ประเภทที่ใครบอกก็ไม่ฟัง ต้องพระอาจารย์เท่านั้น ถ้าประเภทนี้ไล่ไปตั้งแต่วันแรกเลย ถ้าเราไม่อยู่แล้วใครจะไปดูแลเขาได้ล่ะ ? ต่อให้เขาเลื่อมใสศรัทธาเรามากแค่ไหนก็ตาม ต้องรีบไล่ไปเลย เขาเรียกมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีใครสั่งไม่มีใครสอนได้ ก็แปลว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่มีความหมาย

เถรี 16-06-2012 10:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพระไปนั่งร้องเพลงเขาปรับอาบัติ ขนาดเทศน์มหาชาติก็ยังปรับ เทศน์เสร็จต้องไปปลงอาบัติเพราะศีลขาดเสียแล้ว พระวินัยบอกว่า ภิกษุห้ามขับลำด้วยเสียงอันยาว การขับลำนั้นย่อมมีโทษหลายสถาน ตนเองย่อมหลงในเสียงของตนเอง ผู้อื่นย่อมหลงในเสียงนั้น ฯลฯ เห็นโทษหรือยัง ?

สมัยก่อนมีสามเณรรูปหนึ่ง เทศน์แล้วมีแม่ยกแห่ตามกันเป็นร้อย ๆ ตอนหลังสึกออกมาร้องเพลง น่าจะชื่อ สามเณรวิเศษ สิงห์คำ เขาสึกมาร้องเพลงดังเหมือนกันนะ แต่พอเพลงต่อไปไม่ดังก็เงียบไปเฉย ๆ

เรื่องที่เทศน์แล้วเป็นโทษ อย่างสามเณรแก้ว เทศน์เสร็จนางพิมปลดสไบถวายเลย สมัยนั้นเขามีผ้าแถบผืนเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าปลดแล้วข้างในมีอะไรห่มหรือเปล่า ?"

เถรี 16-06-2012 13:05

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมา ถ้าใครติดตามข่าวอุบัติเหตุจราจร เส้นสระแก้วกับชลบุรี ๒ เส้น จะมีรถกระบะพลิกคว่ำประจำ และมีคนเจ็บตายทีละมาก ๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกต่างด้าวที่เขาเอาเข้าเมือง ถ้ารถไม่คว่ำ เขาก็ไม่รู้ พอรถคว่ำตายบ้าง เจ็บบ้าง ตำรวจก็ไปสอบสวน มีแต่พวกต่างด้าวทั้งนั้น

สมัยหนึ่งเขาบอกว่า "อยู่ทองผาภูมิ ถ้าไม่เล่นมอญก็ต้องเล่นม้า ไม่เล่นม้าก็ต้องเล่นไม้" พูดง่าย ๆ คือจะวิ่งมอญ หรือจะขายยาม้า หรือจะทำไม้เถื่อน ให้เลือกเอา แต่ระยะนี้เงียบสนิท เพราะว่าเจ้าพ่อทำไม้ตายไปแล้ว ส่วนยาเสพติดเขาไม่เข้าทางด้านนี้ เขาไปเข้าด้านอื่น ส่วนเรื่องการวิ่งมอญไม่ต้องวิ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ทำบัตรไทยกันเป็นว่าเล่น

โดยเฉพาะบรรดาท่านที่ทำบัตร เขาบอกว่าภายใน ๕ ปีห้ามมีคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ถ้ามีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลเขายึดบัตรไม่ให้เป็นคนไทย ถ้าไม่มีคดี สามารถเปลี่ยนชื่อและหานามสกุลได้ ก็จะเป็นคนไทยได้เลย เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้ทองผาภูมิไม่มีคดีอะไรเลย เงียบสนิท เพราะทุกคนอยากเป็นคนไทย"

เถรี 16-06-2012 13:29

"ทองผาภูมิช่วงที่ทำไม้หนัก ๆ ป่าไม้จับไม่ได้เลย รถไม้วิ่งมาซึ่ง ๆ หน้า ปรากฏว่ามีตำรวจนั่งคุมมา มีใบจับกุมมาเสร็จสรรพ บอกว่ากำลังนำผู้ต้องหาและของกลางไปส่งโรงพัก ป่าไม้จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องปล่อยตำรวจคุมตัวไป แต่พอพ้นด่านไปแล้วไม่รู้ว่าหายไปทางไหน พอตามไปที่โรงพัก เงาคนก็ไม่มี ไม้ก็ไม่ได้เห็น เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง

ท้ายที่สุดพระเจ้าก็ไม่เข้าข้าง บุคคลในตำนานอย่างผู้พันฯ เกิดหัวใจวายตาย จ่าชูรถคว่ำตาย คาดว่าตอนวาระหมดบุญนี่เขาเอาคืน ตอนที่บุญยังคุ้มอยู่ปล่อยไปก่อน เขาว่า ๒ - ๓ รายนี้เดินผ่านป่าไหนไม้ก็เฉาเป็นทาง เพราะกลัวโดนตัด รังสีอำมหิตขนาดนั้น ถามว่าผู้พันฯ ดังแค่ไหน ? ดังขนาดภรรยาขับรถปาดชาวบ้านให้จอด แล้วเรียกสามีมาจับ เพราะบังอาจมาขับรถแซงแก ตอนนี้ไม่มีสามีคอยช่วยภรรยาเลยซ่าไม่ออก

จริง ๆ แล้วชุดของจ่าชูที่ตาย ชาวบ้านเขาเชื่อกันว่าเพราะไปขุดพระท่ากระดาน ทางทองผาภูมิเขาฮิตพระท่ากระดาน องค์หนึ่งราคาเป็นแสน ๆ คราวนี้คณะของจ่าชู ๕ คน มีตำรวจ ๓ ฆราวาส ๒ ไปได้พระท่ากระดานจากในถ้ำ น่าจะได้มาหลายองค์อยู่ พอได้มาก็เกิดอุบัติเหตุตายทีละคนสองคน คนสุดท้ายคือ จ่าชู

พอสามีตายแล้วเมียก็ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่รู้เขาไปได้ข่าวจากไหน เอาพระกระดานวิ่งไปหาพระอาจารย์เล็กที่เกาะพระฤๅษี ถามว่าจะทำอย่างไรดี ? จะเอาพระไปคืนก็เสียดาย เพราะมีคนมาขอบูชา ๖ หมื่น สามีก็ตายแล้ว ลูกเรียนหนังสืออยู่มัธยม อยากได้เงินมาส่งลูกเรียนหนังสือ

อาตมาเลยบอกว่าโยมไปที่ร้านสังฆทาน บูชาพระทองเหลืองหน้าตัก ๕ นิ้วมา ๑ องค์ ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาไปถวายวัดไหนก็ได้ แล้วก็แลกเอาพระท่ากระดานมา เพราะเรื่องของพระเขาไม่ได้ดูที่มูลค่าที่คนนิยมกัน แต่ดูว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นพอที่จะชำระทดแทนกันได้หรือเปล่า พระเครื่ององค์แค่ ๒ นิ้วมือ เราสร้างพระหน้าตัก ๕ นิ้วคืนไป ๑ องค์ก็คุ้มแล้ว ด้วยความกลัวเขาก็ฝากพระเอาไว้ รุ่งขึ้นรีบเอาพระพุทธรูปมาแลกไป ถ้าคืนนั้นอาตมาเป็นลมตายจะดังกว่านี้อีกเยอะ..!"

เถรี 16-06-2012 19:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา

พระพุทธชินราชท่านนั่งอยู่เฉย ๆ เขายังติท่านเลย ใคร ๆ ก็ว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปมองซ้ายมองขวา มองแล้วมองอีก ในที่สุดก็ยอมรับว่า "สวยดีหรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..!" หาที่ติจนได้ คนประเภทนี้ต้องให้เป็นใบ้สักชาติหนึ่งจะได้เข็ด..!"

เถรี 16-06-2012 19:44

"มีใครรู้บ้างว่าพระนอนจักรสีห์ที่อ่างทองมีความยาวเท่าไร ไปหาข้อมูลให้ที อาตมาไปเจอตำนานมา เขาบอกว่าคนที่สร้างพระนอนจักรสีห์ใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ ทองคำโตประมาณ ๑ กำ ยาว ๑ เส้น (๔๐ เมตร) เพราะฉะนั้น..จึงต้องดูว่าองค์พระยาวเท่าไร เขาใช้ทองคำเป็นแกนในการสร้างพระ อะไรจะรวยปานนั้น

ตำนานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของไทยมีมากต่อมากด้วยกัน แต่ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำเป็นตำนานที่ทางนักวิชาการเชื่อถือมากที่สุด แต่เขาไม่ได้เชื่อว่าลอยน้ำด้วยพุทธานุภาพ เขาเชื่อว่าลอยน้ำเพราะคนผูกใส่แพมา

ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเนียก......แต่แรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี...................ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง.............เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือใจจะมิน่าเป็นราคิน................แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ

เรื่องพระอยู่แท้ ๆ เอาไปด่าสาวต่อจนได้"

เถรี 17-06-2012 11:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายปีมาแล้วมีปฏิทินชุดหนึ่ง เขาใช้ชื่อว่าชุดชีวิตกับธรรมชาติ จะมีภาพประกอบพร้อมคำบรรยายโดยคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ภาพแรกเป็นภูเขา หมู่ไม้และสายน้ำ บรรยายว่า "แดดฉ่ำและน้ำชื่น หมื่นภูสูง ยูงรำแพน" ภาพต่อมาเป็นใบเมเปิลที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงร่วงเกลื่อนพื้น บรรยายว่า "โปรยดอกประดับแดน ประดิษฐานพระสัทธรรม" ภาพต่อมาเป็นช้างป่ากำลังเดินลุยมาในลำห้วย บรรยายว่า "ป่าใหญ่จักเป็นเหย้า ลำห้วยเย็นให้ย่างย่ำ" ภาพต่อมาเป็นพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ บรรยายว่า "ยืนยงอยู่คงย้ำ สถิตอารยะยุค"

ภาพต่อมาเป็นเก้งหม้อกำลังกระโจนหนี บรรยายว่าโลดเริงกระเจิงผัน ราวป่าลั่นประเลงปลุก ภาพต่อมาก็เป็นภาพพระกำลังนั่งวิปัสสนาในกลด และมีแสงเทียนสว่างอยู่ บรรยายว่าส่องทางให้สร่างทุกข์ ระงับทุกข์อิริยา ภาพต่อไปก็เป็นน้ำตกเล็ก ๆ น่ารักเชียว บรรยายว่า ร่วงเพชรระรินพลอย เป็นสร้อยน้ำประจำผา

ภาพต่อไปเป็นภาพตระพังในสุโขทัย มีดอกบัวขึ้นแล้วด้านหลังเป็นเจดีย์เก่า บรรยายว่า เบิกช่อขึ้นบูชา ประชุมชัย ณ ใจชน เขาสลับกันไปมาอย่างนี้ สุดยอดเลย สาดแสงสำเริงไพร ระบายใบ ระบัดบน ปลุกอดีตบันดาลดล ด้วยเรื่องราวของแผ่นดิน ปรางค์ธาตุสถูปสถาน ดวงวิญญาณพระธรณินทร์ โลกนี้คือชีวิน คือวิญญาณ อมรรตรัย

เสียดายปฏิทินดี ๆ เขาใช้ได้แค่ปีเดียว ได้นักกลอนระดับคุณเนาวรัตน์มาแต่งให้ด้วย มีอยู่ปีหนึ่งเขาทำเกี่ยวกับสัตว์ป่า รูปแรกเดือนมกราคมเป็นรูปปล่อยกวางคืนป่า เขาบรรยายว่า พื้นดินถิ่นเก่าเจ้าเอย อบอุ่นคุ้นเคย คือเพื่อนคือมิตรชิดเชื้อ รูปต่อไปเดือนกุมภาพันธ์ มีนกสองตัวกำลังไซร้ขนให้กัน เมตตาการุณอุ่นเอื้อ มีใจมาเจือ มีรักมาหวังรังรอง

รูปต่อไปเป็นฝูงนกตีนเทียนอยู่ในนากุ้ง ร่มเย็นเป็นหลักปักปอง ทุ่งท่านาทอง ในถิ่นมิ่งทิพย์มณฑล รูปถัดไปเป็นเสือโคร่งกำลังกระโจนขึ้นหน้าผา เห็นแต่เท้า ผาถ้ำน้ำเถื่อนเยือนยล ย่ำไพรเหยียบพน หยัดพื้นอยู่พ่างพสุธา ต้องลองไปค้นดู ไม่รู้ในอินเตอร์เน็ตมีหรือเปล่า ถ้าไม่ได้จำไว้ก็จะสูญไปเลย"

เถรี 17-06-2012 17:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "การอ่านหนังสือมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ คาดเดาว่าเขาจะเขียนอย่างไร ? อย่างที่สองคือ ถ้าเป็นเราจะเขียนอย่างไร ? ถ้ามีความคิด ๒ อย่างนี้เวลาอ่านหนังสือจะทำให้เราสนใจ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ค่อยสนใจเนื้อหา เอาแต่อ่านสนุกอย่างเดียว

ในนิยายของโกวเล้ง เรื่องกระดึง สายลม คมดาบ พระเอกมี ๒ คน คนหนึ่งตัดดอกไม้ปักใส่แจกัน อีกคนหนึ่งเอาดอกไม้อีกช่อหนึ่งปักใส่แจกัน ทั้งสองยืนมองกันอยู่เป็นชั่วโมง คนหนึ่งยืนดูว่าจะหาช่องว่างปักใส่ลงไปตรงไหน อีกคนหนึ่งมองว่ามีช่องว่างอยู่ตรงไหน จริง ๆ ก็คือวิทยายุทธนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเอามาดัดแปลงใช้กับการจัดดอกไม้

ลักษณะของการอ่านหนังสือก็เช่นเดียวกัน เขามีจุดอ่อนตรงไหน ? เราจะไปโจมตีตรงไหน ? ถ้าเป็นเราจะป้องกันตรงไหน ? ถึงได้บอกว่าถ้าแตกฉานสักวิชาหนึ่ง ก็จะแตกฉานทุกวิชา เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเราเข้าใจไหมว่าแตกฉานแบบไหน ก็ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ คือพลิกแพลงใช้ความชำนาญของตัวเองไปในวิชาการอย่างอื่น ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าได้สักกองหนึ่งก็เอาไปใช้กับกองอื่นได้ เปลี่ยนวิธีการหน่อยเดียวเอง ที่เหลือก็เหมือนเดิม"

ถาม : พระเอกที่ดูว่ามีช่องว่างตรงไหน จะเอาดอกไม้ออกแล้วเสียบแทนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายเทวทัตยิงธนูปักกลางเป้าแดงเลย คนอื่นเห็นก็คิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะสู้ได้หรือ ? ปรากฏว่าเจ้าชายสิทธัตถะยิงธนูผ่าธนูเทวทัตเป็น ๒ ซีก แล้วปักแทน

เถรี 17-06-2012 17:57

"ถ้าดูใน ๘ เทพอสูรมังกรฟ้า จะมีกลหมากกระอักเลือดที่ใคร ๆ ไปเล่นก็เสร็จเขาหมด เพราะว่าคนอื่นเล่นหมากเป็น ส่วนพระเอกในเรื่องที่แต้จิ๋วเรียกว่า ฮือเต็ก หรือจีนกลางเรียกว่าซีจู๋ นั้นเล่นหมากไม่เป็น ในเมื่อเล่นไม่เป็นก็หยิบวางไปมั่ว ๆ

คราวนี้หมากที่วางลงไปต้องกินตัวเอง ใคร ๆ ก็ไปโห่พระเอก แต่ปรากฏว่าพระเอกชนะ เพราะหมากเวลาเดินต้องกินตัวเองไปตัวหนึ่ง ถึงจะมีช่องให้เดินหมากอื่นได้ แต่คนอื่นจะไม่ยอมเสียหมากตัวเอง มีแต่พยายามเพิ่มให้มากที่สุด คนเล่นเป็นจึงแพ้ทุกราย ส่วนคนเล่นไม่เป็นกลับชนะ

เขาถึงได้บอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ส่วนคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก เพราะคนโง่ไม่คิดอะไรมาก ส่วนคนฉลาดคิดมากจึงติดกับข้งเบ้งทุกคน เขาบอกว่าถ้าเอาคนโง่ ๆ ไปตีเมืองคราวนั้นขงเบ้งก็ตายไปแล้ว แต่ดันเอาคนฉลาดอย่างสุมาอี้ไป ขงเบ้งที่มีทหารแค่ไม่กี่สิบคนจึงได้รอดไปได้

ต้องบอกว่าใจขงเบ้งนิ่งจริง ๆ เพราะการเล่นดนตรีนั้นต้องออกมาจากใจ ถ้าใจไม่นิ่ง อารมณ์ของเพลงย่อมไม่ได้ ถ้าอารมณ์เพลงไม่ได้ คนเล่นเป็นเขาฟังดูก็รู้

ตอนแรกลูกชายของสุมาอี้ คือ สุมาสูกับสุมาเจียว บอกพ่อว่าบุกได้เลย แต่พ่อบอกว่าไม่ได้ เพลงของขงเบ้งเขารื่นเริงมาก แถมยังแฝงอาถรรพ์การฆ่าฟันไว้ด้วย นั่นเขาฟังออก ฉะนั้นถ้ากำลังใจไม่นิ่งจริง ๆ ทำไม่ได้หรอก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเรื่องการรบนั้น สมาธิต้องมาก่อน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว บุกไปท่ามกลางคนอื่นเขาก็เสร็จแน่ ๆ เพราะละล้าละลัง ตัดสินใจไม่เด็ดขาด จะฆ่าเขาดีหรือจะป้องกันตัวเองดี"

เถรี 17-06-2012 18:12

"โดยเฉพาะเรื่องขงเบ้ง ถ้าอ่านตั้งแต่ต้นยันปลายจะเห็นว่าเขาได้อภิญญา เขารู้ว่าลมฝนจะมาเวลาไหน ขณะเดียวกันเขารู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่เท่าไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร ตอนไปรบกับเบ้งเฮ็ก ทางด้านนั้นใช้ไสยศาสตร์มา ขงเบ้งแก้ตกหมด ทางนั้นเขาเรียกทหารเทวดามารบ เสกกระดาษโปรยเป็นกองทัพ แต่ขงเบ้งแก้ตกหมด เพราะฉะนั้น..ต้องได้อภิญญาแน่นอน ฟันธงได้เลย

ลักษณะเดียวกับขุนแผนเลย ขุนแผนให้ลูกน้องเอาต้นอ้อมาปัก ทำเป็นค่าย ตั้งค่ายหลอกเขา แม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ...ไม้อ้อก็กลายเป็นไม้แก่น กลายเป็นของจริงไปได้

ขงเบ้งรบมาตลอดชีวิต ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจสูงสุดของแคว้น ปรากฏว่าก่อนตายไม่มีสมบัติอะไรเพิ่มขึ้นเลย ตัวเองมีนาอยู่ ๔๐๐ ไร่ มีหม่อนอยู่ ๘๐๐ ต้นเท่าเดิม ขงเบ้งมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ไม่ต้องพระราชทานอะไรเพิ่มเติมให้ แค่นี้ก็พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว ขงเบ้งเสียใจอยู่อย่างเดียวว่า ไม่สามารถทำตามปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ที่ว่าจะรวม ๓ แคว้นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ขอฝากให้คนรุ่นหลังช่วยจัดการด้วย

คราวนี้ในส่วนที่เราบอกว่าได้อภิญญา ถ้ามองในช่วงนั้นยังไม่เท่าไรหรอก แต่คนจีนเขาขยันบันทึก เรื่องราวอะไรเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ เขาบันทึกไว้หมด บอกว่า ๑๐๐ ปีให้หลัง มีแม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงยกกองทัพผ่านไป ปรากฏว่ามีเสียงลมเหมือนเสียงกองทัพโห่ร้องกันอยู่ เขาเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้นำทางจึงบอกว่าเป็นที่ฝังศพของท่านแม่ทัพจูกั๊วะ คือขงเบ้ง

แม่ทัพบอกว่าเขาเก่งกว่าขงเบ้งอีก แค่มาทำเสียงเหมือนกองทัพหลอกเขาไม่ได้หรอก แล้วสั่งให้ขุดศพขึ้นมา จะอวดอำนาจตัวเอง ขุด ๆ ลงไป เจอแผ่นหิน ๑ แผ่น มีหนังสือสลักว่า ตัวเขาคือแม่ทัพจูกั๊วะ อีก ๑๐๐ ปีให้หลัง รุ่นหลานชื่อเต็งเฮี้ยงตงจะมาขุด อย่าได้พลิกแผ่นหินนี้ออก มิฉะนั้นจะถูกเกาทัณฑ์ทะลวงใจ แม่ทัพเต็งเฮี้ยงตงไม่เชื่อ เตะแผ่นหินทิ้งเลย พอเตะแผ่นหินล้ม เกาทัณฑ์ลับจึงพุ่งใส่ ตายคาที่เลย นั่นขงเบ้งรู้ล่วงหน้าตั้ง ๑๐๐ ปี..!"

เถรี 18-06-2012 13:07

ถาม : พวกฝังรูปฝังรอย ถ้าเราไม่ไปขุดเจอ จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...ส่วนใหญ่เขาจะไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านเรา เพราะฉะนั้น..ถ้าสงสัยก็ขุดใต้บันไดก่อนเลย สมัยนี้พวกฝังรูปฝังรอยทำยากแล้ว เพราะบันไดเป็นคอนกรีตหมด ถ้าเขามาสกัดบันไดคอนกรีตบ้านเราก็เจอเตะสิ..! สมัยก่อนบ้านใต้ถุนสูงและเป็นดิน เขาก็ขุดฝังรูปฝังรอยได้

ถาม : ต้องไปรับยันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : นั่งภาวนาอย่าให้หลุดจากสมาธิ หลุดเมื่อไรก็โดน หรือไม่ทำไสยศาสตร์คืนไป อุปกรณ์มีน้ำผึ้งเก่าขวดหนึ่ง ขวานเก่า ๆ อันหนึ่ง จานเป็นสนิมใบหนึ่ง แล้วก็หมาดำตัวหนึ่ง รับรองตายแน่ วิธีการขลังมากเลย ถ้าหากว่าทำได้คู่แค้นตายทุกคน เพียงแต่ว่าจะหักใจทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

อันดับแรกต้องหารูปของศัตรูให้ได้ก่อน แล้วก็เขียนวันเดือนปีเกิดเอาไว้ด้านหลังรูป แล้วเอาจานสังกะสีเก่า ๆ ไปครอบที่กองฟอนที่เพิ่งเผาศพไป ครอบไว้ ๗ วัน ครบ ๗ วันแล้วก็เอาจานสังกะสีกลับมา เอารูปของศัตรูที่มีวันเดือนปีเกิดใส่ลงไป เอาน้ำผึ้งค้างปีเทลงไปให้ท่วมรูป ใช้ขวานเก่าที่เป็นสนิมคนวนขวา ๓ รอบ วนซ้าย ๓ รอบ แล้วเอาน้ำผึ้งไปให้หมาดำกินให้หมด

จากนั้นเอาจานเปล่าที่มีรูปพร้อมกับขวานไปที่บ้านของศัตรู เอาจานวางไว้หน้าประตู ตรงจุดที่คิดว่าศัตรูเปิดประตูออกมาแล้วจะเห็นพอดี เคาะประตูแล้วรีบไปหลบที่มุมบ้าน พอศัตรูโผล่ออกมาเห็นจานมีรูปตัวเองก็จะก้มลงไปหยิบ ทีนี้ก็ให้เราโดดออกมา เอาขวานฟันหัวศัตรูทันที..! ถ้าใครทำไสยศาสตร์วิธีนี้รับรองศัตรูตายทุกคน

เถรี 18-06-2012 13:10

พวกเรื่องหักมุมพวกนี้มีเยอะ อย่างเช่น พอเช้าสามีตื่นขึ้นมา ภรรยาก็หน้าบึ้ง สามีสงสัยถามภรรยาว่าเป็นอะไร ภรรยาก็ถามว่าลินดาคือใคร ? สามีก็สะดุ้งเฮือก บอกว่าวันก่อนเล่นม้ามา ม้าชื่อลินดา แทงเสียไป ๒๐๐ เหรียญ แต่ไม่ถูก สถานการณ์จึงดีขึ้นมาหน่อย

พอกินข้าวเสร็จ ภรรยาเข้าครัวไปล้างจาน สักพักเดินมาโยนโทรศัพท์มือถือให้สามี "ม้าของคุณโทรมา..!" สรุปว่า ขว้างงูไม่พ้นคอ

เถรี 18-06-2012 13:13

ถาม : เราไม่ได้โกรธอยู่ตอนนั้น โทษของการฆ่าคนจะเบากว่าตอนที่โกรธหรือเปล่า ?
ตอบ : เบากว่า..แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้าไปฆ่าบุคคลที่มีคุณมากกว่า ก็จะเกิดโทษมากกว่าอยู่ดี

เถรี 18-06-2012 14:09

ถาม : ทานในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก แต่เศรษฐีระดับโลกส่วนใหญ่ทำไมอยู่นอกพุทธศาสนา ?
ตอบ : คิดว่าที่อื่นเขาไม่รู้จักทำบุญกันหรืออย่างไร ? ไม่เห็นหรือว่าเขาบริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน สมมติว่าเราขายเพชร ได้กำไรมาหนึ่งแสนบาท ส่วนสินค้าอีกชิ้นหนึ่งขายแล้วได้กำไรหนึ่งร้อยบาท ถ้าเกิดว่าขายได้มาก ๆ จะได้กำไรมากกว่าแสนไหม ? ก็ลักษณะเดียวกัน แม้จะทำบุญส่วนทั่วไป หรือว่าทำบุญกับบุคคลผู้ไม่มีศีล ก็ยังเหนือกว่าสัตว์เดียรัจฉานเป็นร้อยเท่า ถืงแม้จะไม่เทียบกับคนที่ศีลบริสุทธิ์ แต่ทำไปร้อยครั้งก็เท่ากันแล้ว ถ้าทำเกินร้อยครั้งก็ได้บุญมากกว่าอีก

ดังนั้น..โอกาสที่เขาจะร่ำรวยขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเขาไม่ได้รวยอย่างคนไม่มีปัญญา เขารวยแล้วเขาก็ต่อบุญ โดยเฉพาะส่วนที่เขาบริจาคเข้ามูลนิธิต่าง ๆ โครงการที่ช่วยเหลือคนทั่วไป ลักษณะนั้นแบบเดียวกับสังฆทานเลย ช่วยคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ในเมื่อไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ชนชาติไหน ภาษาไหนเขาก็ยื่นมือเข้าไปช่วย ก็สังฆทานดี ๆ นี่เอง

ถาม : อานิสงส์เท่ากันหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ถึงกับสังฆทาน แต่อานิสงส์ใหญ่กว่าทั่วไป เขาตั้งมูลนิธิ บริจาคกันทีเป็นหมื่นล้าน เราเองสู้เขาไม่ได้แน่ เพราะมัวแต่รอขายเพชร ชาติหนึ่งไม่รู้จะขายได้กี่เม็ด

เถรี 18-06-2012 14:18

ถาม : เกี่ยวกับทานและการภาวนา การให้ทานนี่อานิสงส์น้อยกว่าการภาวนาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติได้ถึงฌานสมาบัติ เป็นไปได้ไหมครับว่าท่านยังโดนหลอกได้ ?
ตอบ : เป็นความไม่รอบคอบ โดนหลอกเป็นปกติอยู่แล้ว อาตมาไปเขมร เดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธไปอย่างสบาย ไม่มีปัญหา โยมข้างหลังเดินผ่านแล้วเครื่องดัง ทั้งที่อาตมาก็พกมีดหมอไปเหมือนกัน เตือนเขาไปแล้วว่าให้อาราธนาบารมีพระคลุมให้หมด เขาก็ตั้งใจอาราธนาบารมีพระคลุมตัวเองเรียบร้อย ปรากฏว่าเขาตรวจเจอในกระเป๋าเป้ โดนเขายึดไป พอขากลับเอาใหม่ ตั้งใจอาราธนาคลุมในกระเป๋า แต่ลืมให้อาราธนาคลุมตัวเอง คราวนี้รู้หรือยังว่าความไม่รอบคอบนั้นเป็นอย่างไร ?

ถึงได้บอกเขาว่าเรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านสอนให้เราละเอียดรอบคอบ ในเมื่อคุณไม่ละเอียดรอบคอบเอง เขาก็หาช่องว่างเล่นเอาจนได้ แล้วอาตมาเองก็รอดไปได้ทุกงานเลย จนกระทั่งงานสุดท้ายเสร็จเขา เครื่องดังสนั่นเลย กำลังจะเข้าไปตรงที่เขาตรวจอาวุธขึ้นเครื่องแล้ว เขาดันเอาเด็กมาถวายให้เป็นลูก อาตมามัวแต่นั่งรับอยู่ ลืมอาราธนาพระ พอเครื่องตรวจดังขึ้นอาตมาก็ว่าบรรลัยแล้ว..!

คราวนี้ก็มีทางเดียวคืออย่าให้เขาหาเจอ เขาก็ค้นหาใหญ่เลย ท้ายสุดต้องเอาเครื่องตรวจมากวาด กวาดทีไรก็ดังทุกทีแต่หาไม่เจอ แล้วเขาก็สรุปว่าซิปกระเป๋านี้แหละที่ดัง คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ถ้าขาดความรอบคอบเป็นอย่างไร ฉะนั้น..ต่อให้คนมีปัญญาขนาดไหน แต่ถ้าขาดความรอบคอบก็เสร็จ จริง ๆ แล้วถ้าความสามารถพอ จะครอบทั้งจักรวาลก็ได้ แต่เราต้องสมาธิสูงพอ ต้องไม่ขาดช่วงด้วย

เถรี 18-06-2012 14:27

ถาม : โดยลำดับทางพุทธศาสนาก็คือทาน ศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา บางคนได้ถึงฌานสมาบัติแต่ไม่บรรลุมรรคผลใด ๆ ที่เป็นขั้นอริยกุศล บางคนพระศาสนาก็รับรองไว้ว่า ถ้าได้ถวายสังฆทานไว้ ได้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินไว้ เมื่อยังไม่สิ้นบุญที่ทำไว้ก็จะปรินิพพานเสียก่อน ทำไมทานตรงนี้ถึงมีผลมาก ทำไมฌานสมาบัติมีผลน้อยกว่า ?

ตอบ : คุณรู้ไหมว่ากว่าที่จะปรินิพพานนี่จะต้องเกิดอีกเท่าไร ? อาจจะเกิดจนนับกัปไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันคนที่เขาสร้างฌานสมาบัติขึ้นมาได้ ชาติต่อไปจะมีความฉลาดมาก ถ้าหากว่าทำกรรมฐานตามจริตของตนเองได้ ดีไม่ดีก็บรรลุในชาตินั้นเลย

คุณไปจับแพะชนแกะเอง ฟังแล้วก็ไปเข้าใจว่าจะบรรลุภายในไม่กี่วัน ไม่ใช่หรอก..เขาต้องเกิดแล้วเกิดอีก เขาบอกว่าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ กว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติคุณต้องเกิดอีกนานเท่าไร เพราะต้องรอช่วงโลกว่างพอดี เป็นพระมหากษัตริย์อีก ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นอนุเศรษฐีอีก ๕๐๐ ชาติ ถ้าเราตีเป็นชาติก็ประมาณสองสามพันชาติ แล้วกว่าเราจะได้เกิดแต่ละครั้งนั้นนานแค่ไหน ?

เราอาจจะต้องไปเสวยบุญในลักษณะอื่นก่อน เป็นพรหมเป็นเทวดา รอระยะเวลาซึ่งเนิ่นนานมาก แต่บุคคลที่ทำในส่วนอานิสงส์มากกว่า สูงกว่า อย่างเช่นท่านอินทกเทพบุตร ได้ใส่บาตรกับพระอรหันต์ ผลบุญนี้ส่งผลให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ แล้วฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มรรคผลไปเลย

ต้องดูว่าส่วนของบุญใหญ่ที่สร้างไว้นั้นเป็นบุญประเภทไหน แล้วระยะเวลาอีกเท่าไร สรุปว่าถ้ามีปัญญาจริง ๆ ได้เจอพระพุทธเจ้า ได้เจอพระอรหันต์ ท่านแสดงธรรมที่เหมาะสมกับจริตของตนเองก็ไปพระนิพพานได้ง่าย ๆ

เถรี 18-06-2012 14:40

ถาม : มีคนกล่าวว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ผมเข้าใจว่าเป็นอริยสัจ ๔ เขาก็บอกว่า จริง ๆ แล้วเป็นอิทัปปัจจยตา ?
ตอบ : นั่นเขาว่า..อย่าลืมว่าบุคคลต้องได้ธรรมะที่ตรงกับจริตตัวเอง ถ้าไม่ตรงกับจริตตัวเอง บางทีฟังไปก็ไร้ผล อย่างลูกชายนายช่างทอง ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระสารีบุตรหลายเดือนไม่ได้ผล เนื่องจากพระสารีบุตรให้กรรมฐานที่เหมาะกับราคะจริตแก่ลูกชายนายช่างทอง เพราะเห็นว่าเป็นคนหนุ่ม

พระสารีบุตรจึงเอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านให้กรรมฐานที่เหมาะกับโทสะจริต ลูกชายนายช่างทองจึงบรรลุมรรคผลในเวลาที่ไม่นาน ดังนั้นที่คุณบอก นั่น “เขาว่า” เป็นความคิดของเขา แต่ถ้าหลักธรรมที่สำคัญจริง ๆ อยู่ที่เรา

อยากจะบอกว่าอิทัปปัจจยตาเป็นหลักธรรมสำหรับบุคคลที่เป็นครู ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าเราไม่ต้องไปสอนคนอื่นเขา ไม่ต้องไปศึกษาก็ได้ ท่านสอนให้เห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเหตุนี้ทำให้เกิด ผลนี้จึงเกิด อดีตเหตุทำให้เกิดปัจจุบันผล อันนี้ปัจจุบันเหตุ ทำให้เกิดอนาคตผล ถ้าหากว่าอนาคตผลดับลงได้ ปัจจุบันเหตุก็ไม่มี ถ้าหากว่าอดีตผลดับลงได้ อดีตเหตุก็ไม่มี มีทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง เขาให้คิดถึงความสำคัญของพวกนี้ในลักษณะของการมองแบบบูรณาการ

ถ้าเราไม่ได้คิดจะเป็นครูของคนอื่น ก็ไม่ต้องไปศึกษาให้เสียเวลาหรอก หุงข้าวกินเองตำน้ำพริกได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอุ้งตีนหมีหรือหูฉลามน้ำแดงหรอก

เถรี 19-06-2012 08:51

ถาม : มานะกับอัตตาต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : อัตตาทำให้เกิดมานะ ในเมื่อมีตัวกู กูต้องแน่ คราวนี้รู้แล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?

ถาม : เวลาตัดนี้ตัดตัวไหนง่ายกว่า ?
ตอบ : ต้องตัดสักกายทิฐิ (ตัวกู) ให้ได้ พอสักกายทิฐิหมด ตัวอัตตาก็ไม่มี เพราะว่าเห็นแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะร่างกายเรา ร่างกายเขา ก็ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เหมือน ๆ กัน สภาพจิตก็ถอนมาจากการยึดมั่นถือมั่น ตัวอัตตาหรือมานะก็น้อยลง

ถาม : แล้วอัตตากับสักกายทิฐิต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : สักกายทิฐิก็คือการยึดในอัตตา ไปยึดว่าตัวนี้ของกู ไปคิดว่ารถยนต์เป็นตัวเรา ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนขับรถ พอถึงเวลาคนอื่นมาเตะรถก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจ็บสักหน่อย เพราะเขาเตะรถ แต่เรายึดว่านั่นรถของกู

อัตตาในส่วนของรูปธรรมก็คือร่างกายนี้ ถ้าอัตตาในส่วนของนามธรรม คือการยึดถือตัวตนของร่างกายนี้

ถาม : เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ ที่จิตจะยึดติดเอง ?
ตอบ : ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการยึดโดยอัตโนมัติ เพราะความไม่รู้ของเราก็เลยยึด ฉะนั้น..มีวิธีเดียวก็คือทำอย่างไรจะให้ปัญญามองเห็น แล้วสภาพจิตยอมรับว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา จะได้เลิกยึดติด ถึงได้สรุปง่าย ๆ ว่าความจริงแล้วไม่มีอะไร เพราะเราไปทำให้มี ถึงได้มี

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงจริง ๆ แล้วจะกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนโดยอัตโนมัติ เพราะรู้อยู่เสมอว่าตนเองรู้น้อย แล้วขณะเดียวกันก็ให้เกียรติคนอื่น เพราะเห็นว่ามีสภาพหมือนกัน

ถาม : แม้แต่อรูปก็มีการยึดหรือคะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าต้องยึดก่อน คำว่าอรูป จริง ๆ ก็คือ ยึดการไม่มีรูป ไม่ใช่ว่าไม่มีรูปแล้วจะไม่มีอัตตา เป็นอะไรที่อนาถมากเลย กะว่าไม่มีรูปแล้วแต่ก็ไม่รอด จำไว้ว่าถ้ารู้มากจะยากนาน

เถรี 19-06-2012 09:52

ถาม : พระอรหันต์ท่านกำจัดอวิชชาได้หมดสิ้น จึงทำให้ไม่มีตัณหาและอุปาทาน ถ้าหากว่าเราสามารถกำจัดอวิชชาได้บางส่วน ตัณหาและอุปาทานจะลดลงไปด้วย เป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันโดยสภาพจิต ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ถาม : ที่นี้ในบุคคลแต่ละคน อวิชชาก็ไม่เสมอกัน ตัณหาอุปาทานที่มีอยู่ก็ไม่เสมอกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผู้ที่มีอวิชชาน้อยกว่า ก็มีโอกาสที่จะบรรลุง่ายกว่า เร็วกว่า ถ้าได้ธรรมะที่ถูกต้อง ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ให้นึกถึงดอกบัวที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้ ใครอยู่พ้นผิวน้ำแล้วก็มีโอกาสบรรลุก่อน ถ้าหากว่าอยู่เสมอผิวน้ำก็ต้องรอวาระต่อไป ถ้าหากว่าอยู่ใต้น้ำก็ยังอีกนาน

ถาม : ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแม้เพียงเล็กน้อย เช่นระลึกถึงความตายอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ก็ได้เข้าใกล้พระนิพพานมากขึ้น เพราะว่าตัณหาอุปาทานก็ต้องจะลดลงเป็นธรรมดา ?
ตอบ : ถ้าเรานึกถึงความตายเป็นปกติ สามารถไปชาตินี้เลย เพราะรู้ว่าจะต้องตายก็จะไม่ประมาท เกิดมาแล้วทุกข์อีกก็จะหาทางพ้นทุกข์

เถรี 19-06-2012 10:15

ถาม : พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอธิบายให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ คือพระนิพพานไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่เรารู้จักในโลกมนุษย์ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถอธิบายได้หรือครับ ? อย่างคนที่ไม่มีดวงตาก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ไม่สามารถที่จะอธิบายความแตกต่างของสีต่าง ๆ ได้เพราะเขาไม่เคยเห็น ไม่เข้าใจ เป็นเพราะอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้าเราโดนไฟเผา แล้วอยู่ ๆ ไฟดับลง เราบอกคนอื่นว่าสบายจริง ๆ เขาจะรู้ไหมว่าสบายแบบไหน ? เขาต้องมีประสบการณ์เองก็ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่มีประสบการณ์นั้นเอง โดยเฉพาะสภาวธรรมนั้นละเอียดเกินกว่าคำพูดและเกินกว่าตัวหนังสือจะอธิบายได้ เพราะเป็นภาษาใจล้วน ๆ จึงเสียเวลาที่จะไปคิด ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ไปถึงจะง่ายกว่า

ถาม : พระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วตอนนี้ กับผู้ที่ล่วงทุกข์แล้วเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ก็ไม่แตกต่างกันประการใด ?
ตอบ : เป็นคำบอกเล่า ไม่มีคำถามก็รับฟังไว้

เถรี 19-06-2012 10:24

ถาม : มีบางคนกล่าวอ้างว่า เขามีเทพหรือมีอะไรต่าง ๆ มาบอกให้ทำนั่นทำนี่ บอกว่าจะขออนุโมทนาบุญ แบบนี้มีด้วยหรือครับ แล้วเทพองค์นั้นจะได้บุญจริงหรือครับ ?
ตอบ : ต้องถามคนบอก จริง ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ว่าต้องมีผลกรรมที่เนื่องกันมา เขาจึงสามารถที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นโดยผ่านร่างของคนอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเขามีส่วนด้วย ถ้าสิ่งที่เขาสงเคราะห์ไปเป็นเรื่องของความดี บุญกุศลก็จะมีถึงเขาด้วย

สำคัญตรงที่ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ก็ไม่สามารถที่จะไปใช้คนอื่นเขาทำแทนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมาไม่สามารถเอาบุคคลนั้นเป็นร่างทรงได้

เถรี 19-06-2012 10:28

ถาม : บรรดาพรหมเทวดา ท่านสามารถที่จะสิ้นจากความเป็นพรหมเทวดานั้น ๆ เมื่อไรก็ได้ตามใจปรารถนาไหมครับ ?
ตอบ : ไปตามอายุขัย ๑ ไปเพราะหมดบุญ ๑ ไปเพราะหมดกรรม ๑ ไปเพราะหมดอาหาร ๑ ไปเพราะความโกรธ ๑ ไม่ใช่ไปตามใจตัวเอง

ถาม : ผู้ที่เกิดเป็นเทวดามีอายุหลายล้านปี ก็สามารถที่จะไปพบกับพระศรีอาริยเมตไตรยได้ในสภาพที่เป็นเทวดานั้นเลยไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญที่ว่าไปแล้วเพลินอยู่กับทิพยสมบัติหรือเปล่า ? ให้เราดูประวัติของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์สอน บรรดาเทวดา พรหม ตลอดจนนางฟ้าต่าง ๆ แห่กันมาฟังเทศน์เป็นโกฏิ ๆ ส่วนมัฏฐกุณฑลีเพลินในทิพยสมบัติ ไม่ไปกับใครหรอก เพราะฉะนั้น..ถึงไปเป็นเทวดาก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันแน่นอนว่า ถ้าขึ้นไปแล้วจะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับทิฐิของตนว่าเป็นสัมมาทิฐิหรือเป็นมิจฉาทิฐิ

เถรี 19-06-2012 10:37

ถาม : เคยอ่านที่พระอาจารย์บอกว่า การทำบุญในปัจจุบัน เราจะไม่ได้ผลในชาตินี้ นอกจากทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นสิบปี แล้วทำไมการทำแท้งจึงให้ผลชาตินี้ครับ ?
ตอบ : โยมทำบุญแล้วเคยนึกถึงบุญที่ทำบ้างไหม ? แต่คนทำแท้งนั้นตอกย้ำตัวเองทุกวินาทีว่าเขาทำความชั่ว ในเมื่อเขามุ่งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงดิ่งอย่างเดียวเลย ผลกรรมจึงเกิดเร็ว แต่เราเองทำบุญมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้อยครั้งที่เราจะนึกว่าทำอะไรไปบ้าง

เพราะฉะนั้น..ถ้าโยมต้องการที่จะให้ผลบุญนั้นส่งผลอย่างรวดเร็วในชาตินี้ เราก็ต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับผลบุญนั้น ก่อนจะทำก็มีความปีติยินดีว่าเราจะได้ทำ กำลังทำก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำ เมื่อทำได้แล้วนึกถึงเมื่อไรก็มีความปีติยินดีว่าเราได้ทำบุญนั้นแล้ว ถ้าสามารถรักษากำลังต่อเนื่องอย่างนี้ได้ตลอดเวลาผลก็จะเกิดเร็วเหมือนกัน

เมื่อวานมีพระมาทำบุญ ท่านบอกว่า "ทำบุญอุทิศให้ลูก ผมฆ่าลูก" อาตมาถามว่าไปฆ่าอีท่าไหน ? ท่านบอกว่า “ทำแท้งครับ” นั่นขนาดผู้ชายใจยังจดจ่ออยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าคนที่ทำเป็นผู้หญิงเขาจะรู้สึกอย่างไร ? เลือดในอกของตัวเองโดนคว้านทิ้งไปอย่างนั้น จะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาหาย กระทบแล้วเจ็บอยู่ตลอดเวลา

ใจที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลา มโนมยา ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ในเมื่อคุณไปคิดอยู่ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดแล้วผลจะไปดีได้อย่างไร ถึงเวลาสิ่งนั้นก็สนองเร็วมาก เพราะว่าเราไปตอกย้ำเพิ่มโทษให้อยู่ตลอดเวลา


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว