![]() |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาไปถ้ำทะลุใหม่ ๆ จะมีงูเห่าดงอยู่คู่หนึ่ง ชอบมานอนกับพระ ทำให้พระขวัญหนีดีฝ่อ เพราะเวลางูตกใจจะยกหัวขึ้นมาขู่เสียงดังมาก บางทีพระกางกลดอยู่ เขาก็ไปม้วนอยู่บนหลังคากลด พอพระตื่นขึ้นมาจะเก็บกลด กลดเขย่าเขาก็ขู่ พระจึงไม่กล้าเก็บ ตอนแรกพระบอกว่า “อาจารย์..งูเห่าม้า” อาตมาก็งงว่างูเห่าม้าเป็นอย่างไร พอไปดูจึงรู้ว่าเป็นงูเห่าดง ตรงดอกจันของงูจะเป็นรูปเหมือนเครื่องหมายของการบินไทย แต่เครื่องบินหัวทิ่มลง เขาเห็นคล้ายรูปเกือกม้า เลยเรียกว่างูเห่าม้า
พวกงูเห่าดงค่อนข้างจะเกเร ใครอยู่ในเขตเขาไล่เลยนะ แต่ตัวนี้ไม่รู้ว่าเขามาก่อนหรือมาทีหลัง ถ้ามาทีหลังเห็นว่าที่น่าอยู่ แต่มีพระอยู่แล้ว เขาคงให้เกียรติเจ้าถิ่นกระมัง จึงไม่ไล่พระ" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส จะมีความสามารถในการขโมยอารมณ์ปฏิบัติธรรมของคนอื่น เวลาเขามาเล่าอารมณ์การปฏิบัติของเขาว่า เขาทำอะไร ? ได้ถึงไหน ? อาตมาจะปรับอารมณ์ตาม แล้วได้เท่าเขาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้น..อย่ามาเล่าให้ฟัง ถ้าอยากจะเก็บไว้คนเดียวโปรดอย่ามาบรรยาย บรรยายเมื่อไรเสร็จอาตมาหมด คือจะยกกำลังใจไล่ตามเขาได้เลย แล้วเสร็จแล้วมาทวนอีกสักครั้งสองครั้งก็ชำนาญ ไม่รู้พวกเรามีใครเป็นอย่างนี้บ้างไหม ?
อยากจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีคู่มือชั้นดีในสมัยที่ยังไม่ได้บวช พอถึงเวลาทำอะไรได้ก็จะไปคุยกัน ไล่กันไปไล่กันมา แล้วท้ายที่สุดก็จะได้เท่ากัน" |
ถาม : ผมมีพระ อยากรู้ว่าแท้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถามอย่างนี้ปลอมหมด..! เพราะตัวเรายังขาดความมั่นใจ ต่อให้ได้ของแท้มาก็เท่ากับของปลอม ถาม : แท้จริง ๆ อยู่ที่ใจใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...ถ้าไม่เชื่อมั่น ไม่ยึดมั่น มัวแต่ไปคิดว่าพระปลอม แล้วอีกกี่ชาติถึงจะได้ดี ขนาดทหารเขาออกรบ กำลังตีกันให้มั่วไปหมด ทีนี้ทำพระหล่น คว้ามาได้ก็ยัดใส่ปากใหม่ ที่ไหนได้กลายเป็นลูกเขียดไม่ใช่พระ เขียดที่โดนอมอยู่ในปากก็ดิ้นใหญ่ เขาก็มีกำลังใจ “หลวงพ่อไม่ต้องช่วย ผมไหว” ลุยกระจาย ตกลงอมลูกเขียดยังชนะเลย อย่าว่าแต่พระ..! ถ้าเรามั่นใจว่าพระพุทธคุณมีเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกที่ทุกสถานแล้ว ไม่ต้องไปกังวล จะไปตัวเปล่าก็ยังไหว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม่ชีสุอุตส่าห์ไปเรียนถักเชือกสร้างสมาธิกับพระทิเบต ท่านสอนมาว่า เรื่องของการทำวัตถุมงคลก็คือลักษณะอย่างนี้ ทำไปภาวนาไป เป็นการจับอิริยาบถและสัมปชัญญะ คนไม่รู้ก็ไปตำหนิว่านั่งทำอะไรกันทั้งวัน
หลวงปู่กินรีเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง หลวงปู่สอนให้ลูกศิษย์นั่งภาวนา นั่งภาวนาไปทั้งวัน แต่หลวงปู่กินรีไม่นั่งกับใครเลย ท่านไปกวาดวัด เย็บผ้า เหลาไม้กลด หลวงพ่อชาทนไม่ไหว “ไม่เห็นหลวงพ่อนั่งภาวนาบ้างเลย ให้แต่พวกผมภาวนา ?” หลวงปู่บอกว่า “คนฉลาดทำอะไรก็ภาวนาได้ แต่พวกคุณยังไม่ถนัดอย่างนั้น ต้องไปนั่งภาวนาอย่างเป็นทางการไปก่อน เมื่อคล่องตัวแล้วจะทำอะไรใส่สติลงไปด้วยก็เป็นการภาวนานั่นเอง” ต่อมาหลวงพ่อชาก็รำคาญใจอีกแล้ว หลวงปู่บอกให้ฉันอาหารอย่างช้า ๆ เคี้ยวอย่างมีสติ อย่าตกเป็นทาสของรสอาหาร แต่หลวงปู่กินรีจ้วงไม่ยั้ง หลวงพ่อชาก็อดรนทนไม่ได้ วันพระต่อไปก็ถาม “หลวงพ่อให้พวกผมฉันช้า ๆ ทำไมหลวงพ่อถึงฉันเร็ว ?” ท่านบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วปลอดภัยก็มี” จบเลย ของท่านอยู่ตัวแล้ว แต่พระใหม่ยังไม่อยู่ตัว ถ้าเผลอเมื่อไรจิตจะไปยินดีในรสอาหาร ต้องฉันช้า ๆ พยายามให้ใจเป็นอุเบกขา ได้รสที่ชอบก็ไม่ดีใจ ได้รสที่ไม่ชอบก็ไม่เสียใจ" |
มีโยมมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องแร่ที่เป็นส่วนผสมทอง พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ยังมีแร่เพรียงไฟอย่างเดียวที่ยังเป็นความลับอยู่ เพราะว่าอาตมาขุดหลายครั้งแล้วไม่เจอ สารปากนกแก้วเอาไปให้ทางวิทยาศรมพิสูจน์แล้วคือโปแตสเซียมไดโครเมต ทองแดงเถื่อนกับตะกั่วเถื่อนเป็นสารธรรมชาติ คาดว่าใช้ทองแดงบริสุทธิ์กับตะกั่วบริสุทธิ์น่าจะได้อยู่ ตะกั่วเถื่อนก็คือดีบุก
ตัวแร่เพรียงไฟคาดว่าน่าจะเป็นสารอะไรบางอย่าง ที่สามารถลดจุดหลอมเหลวของโลหะได้ เพราะสมัยโบราณเขาใช้หลอมด้วยกระทะใบบัว ถ้าเป็นทองแดงแท้ ๆ คาดว่ากระทะใบบัวคงจะละลายก่อน จุดที่อาตมาไป ถ้าว่ากันตามพิกัดทหาร เขาเรียกว่าเนิน ๕๕๑ คือเป็นเนินที่สูง ๕๕๑ เมตรพอดี แต่ว่าคงไม่ใช่วาระที่สมควร เพราะว่าอาตมาเองสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่ ๑ แต่เดินขึ้นเนินผิด ๓ ครั้ง เหมือนอย่างกับโดนหลอกให้เดินหลงตลอด แร่เพรียงไฟที่ต้องการจึงยังหาไม่เจอ" |
"เรื่องของทองคำ ไม่น่าเชื่อว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังแยกธาตุนี้ไม่ได้ แต่โบราณเขาเล่นแร่แปรธาตุทำทองคำได้นานเนกาเลแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ทางสายวัดเขาอ้อที่พัทลุง มีใครสืบสายวิชาทองมหาสัตตโลหะอยู่หรือเปล่า ? นั่นคือทองคำที่เกิดจากเล่นแร่แปรธาตุจริง ๆ เขาใช้โลหะ ๗ อย่างผสมกันเป็นทอง
พอสิ้นหลวงปู่กลั่นแล้วอาตมาไม่ทราบว่าอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ได้รับการถ่ายทอดไว้หรือไม่ ? หลวงปู่กลั่นท่านบวชเมื่อตอนอายุมากแล้ว บวชตอน ๖๐ ปีแล้ว แต่ท่านอายุยืนอยู่จน ๙๓ ปี อาตมาไปที่นั่นก็ไปนั่งคุยกัน เคยได้วัตถุมงคลของท่านที่ทำด้วยทองมหาสัตตโลหะมา ๓ - ๔ องค์ คนอื่นเขาบูชาต่อไปหมด ถามท่านว่าทำไมไม่ประกาศไปตรง ๆ ว่าเป็นทอง ท่านว่าไม่ได้หรอก ของเราไม่ใช่ทองที่ร้านเขาขายกัน ตามสูตรทำทองของโบราณที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาเปิดเผยให้ทราบ เขาใช้ทองแดงเถื่อน ๑ ส่วน ตะกั่วเถื่อน ๑ ส่วน สารปากนกแก้ว ๑ ส่วน แร่เพรียงไฟ เศษ ๑ ส่วน ๔ ส่วน เอา ๓ อย่างแรกหลอมรวมกันไปก่อน แล้วเอาแร่เพรียงไฟค่อย ๆ ซัด คำว่าซัดของโบราณแปลว่าผสมทีละน้อย แล้วจะกลายเป็นทองคำ อาตมาพยายามหลายทีแล้ว แต่วาระคงยังมาไม่ถึง รู้ว่าทองแดงเถื่อนคืออะไร ตะกั่วเถื่อนคืออะไร สารปากนกแก้วคืออะไร แต่แร่เพรียงไฟขุด ๓ ครั้ง ก็ไม่เจอทั้ง ๓ ครั้ง ของที่วาระยังไม่ถึง เทวดาท่านต้องบังไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าลึกเมตรเดียว อาตมาจ้วงจนแทบจะมิดหัวแล้วยังไม่เจอ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่ไปร่วมงานฉลองพัดยศจะได้รับหนังสือปกิณกธรรม เล่ม ๓ จำนวน ๑ เล่ม มีพระนาคปรกลอยองค์ ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี ๑ องค์ และกระเป๋ามีตราวัดกับเสาเสมาธรรมจักรที่ได้รับ น่าจะเป็นกระเป๋าใส่สตางค์เพราะใหญ่ประมาณธนบัตรใบละพัน ๑ ใบ ใครสละสิทธิ์ไม่ไปก็ได้นะ เดี๋ยวหลังงานจะเอาพระมาจำหน่ายแพง ๆ ต่อไป แต่ในงานแจกฟรี..!
สำหรับกระเป๋าเข้าพิธีเมื่อเสาร์ ๕ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น..จึงแจกได้เต็มที่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีแค่ ๑,๗๐๐ ใบ คนน่าจะไปวันนั้นสัก ๑,๐๐๐ คนเท่านั้นแหละ ถ้าไปเกินก็ต้องวัดดวงกันเอาเองว่าใครไปถึงก่อน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาหนักใจมาก ที่หนักใจมากเพราะว่าหมอดูที่เชื่อถือได้ บอกว่าตอนนี้อาตมายังไม่ดังเลย จะมีดังมากกว่านี้อีก และจะดังยาวไป ๓๕ ปี นี่กะให้อาตมาอยู่ยัน ๙๐ เลยนะ แค่ปีนี้ก็อยากจะไปเต็มทีแล้ว นี่จะให้อยู่ยัน ๙๐ ปี..!
อาตมากำลังคิดว่าตัวเองไม่น่าจะอธิษฐานผิด อธิษฐานทุกครั้งก็ขอให้ในหลวงอยู่ถึงพระชนมายุ ๙๐ ปี ไม่ใช่ตัวเอง..เขาไปลงตัวเลขผิดบัญชีหรือเปล่า ? ขอให้ในหลวงอยู่ถึง ๙๐ ปี หมอดูดันมาดูดวงของอาตมาว่าจะดังยาวไปอีก ๓๕ ปี แบบเดียวกับครั้งที่อาตมาไปกวนพระองค์ที่ ๑๐ ขออนุญาตถ่ายรูปท่าน ท่านบอกว่า "ถ่ายไปแล้วจะอยู่ไปถึง ๑๒๐ ปีหรือ ?" อาตมาฟังก็เข้าใจว่ารูปนั้นจะอยู่ถึง ๑๒๐ หรือ ? จึงกราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นขอบารมีหลวงปู่ให้อยู่ถึงด้วยครับ" ท่านบอกว่า "เออ..จะเอาอย่างนั้นก็ได้" อาตมาก็ถ่ายรูปมา คนอื่นบอกว่า "พี่ไปรับปากท่านทำไมว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ?" อาตมาบอกว่า "เฮ้ย..ไม่ใช่ ท่านหมายถึงรูป" เขาบอกว่าไม่ใช่ อาตมาก็แปลกใจกลับไปย้อนฟังเทปใหม่ เออ...มีเค้าจริง ๆ ว่า ที่ท่านว่าน่าหมายถึงตัวเองกระมัง ? เพราะฉะนั้น..บทที่ท่านจะใช้งานใคร ท่านหลอกจนโง่ไปเลย อาตมาก็เร่งวันเร่งคืน เมื่อไรจะตายสักที ลืมตาขึ้นมาวันไหนก็เฮ้อ..อีกแล้ว..!" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนี้เด็กไม่ค่อยกลัวพระ ตอนอาตมาเรียนอยู่ชั้น ป.๒ เจอพระยังวิ่งหนีอยู่เลย โดยเฉพาะพระธุดงค์ ผู้ใหญ่เขาชอบหลอกเด็กว่า ถ้าร้องไห้จะให้พระธุดงค์จับไปซะ..เด็กก็เลยกลัวพระ ยิ่งพระธุดงค์ใส่ชุดสีดำ ๆ ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่
สมัยก่อนกลดของพระธุดงค์มีขนาดใหญ่มาก น่าจะถึง ๒ ๒.๕ เมตร กางลงไปก็เหมือนเต็นท์มหึมาดี ๆ นี่เอง เวลาปักกลดต้องขึงสายอัพโภกาส คือสายเชือก ปักกลดให้ว่าคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ขึงสายอัพโภกาสท่านให้ใช้คาถาตวาดป่าหิมพานต์ ถ้าทำด้วยกำลังใจมั่นคงจริง ๆ อันตรายจะเข้ามาในเขตนั้นไม่ได้ คือเราขึงเชือกกลดยาวถึงไหนก็กันได้แค่นั้น สำหรับพระธุดงค์ท่านปักกลดลงแล้วจะไม่ถอน ถึงแม้ตายลงไปก็ยอม ก็เลยมักจะโดนทดสอบกำลังใจ แต่ว่ามาสมัยหลัง ๆ เขาทุ่นแรงกันเยอะ ตอนที่หลวงพี่โอ หลวงพี่ยงยุทธออกธุดงค์ อาตมาแอบเห็นท่านเอากลดมาซุกเข้าพิธีพุทธาภิเษก ถึงเวลาอาตมาอยากรู้ว่าก้านกลดของพวกพี่เขาทำด้วยอะไร เป็นไม้ไผ่หรือก้านตาล จึงไปถาม "ขอดูหน่อยพี่..ก้านกลดทำด้วยอะไร ?" พอกางพรึ่บออกมา โอ้โห..ธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ที่กลดอีก ๑ ผืน เล่นประกันความเสี่ยง..(หัวเราะ)..อย่างนี้ไปที่ไหนก็ปลอดภัยแน่นอน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แมวตระกูลศุภลักษณ์สีจะออกทองแดง ถ้าหากว่าเป็นแมวสีสวาดจะเป็นสีเทาอมขาว บางคนเรียกสีควันบุหรี่ หรือสีกลีบบัวแห้ง
ปศุ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สัตว์เลี้ยง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เสียท่าไอ้วานร" รู้ไหมว่าไอ้วานรคือใคร ? วานรในที่นี้คือเห้งเจีย เห้งเจียมีนิสัยชอบปลอมตัวไปหลอกคนอื่น พอหลอกเสร็จคนที่ถูกหลอกก็บ่นว่า "เสียท่าไอ้วานรอีกแล้ว" เห้งเจียหลอกกระทั่งไท้เสียงเล่ากุน ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ไท้เสียงเล่ากุนคือท้าวสหัมบดีพรหม (หัวเราะ) จีนกลางเรียกไท่ซ่างเหล่าจวิน แต้จิ๋วเรียกไท้เสียงเล่ากุน"
ถาม : แล้วหลอกท่านได้จริงหรือคะ ? ตอบ : ยาก..ปิดบังท่านไม่ได้หรอก ต้องเป็นผู้ที่มีกำลังใจสูงกว่าเท่านั้นถึงจะปิดบังท่านได้ ซึ่งหาได้ยาก รับรองว่าในระดับโลกียะไม่มีหรอก เพราะท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นระดับอรหัตมรรค..(หัวเราะ)..เหลือแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น ท่านปู่สหัมบดีพรหมเป็นคนดุ แต่ดุแบบคนเอาจริง ไม่ใช่ดุไปเรื่อยเปื่อย ถ้าลูก ๆ หลาน ๆ ตั้งใจทำอะไรจริงจัง ท่านจะสนับสนุนทุกอย่าง |
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีว่า "บวชแล้วอย่านั่งท้าวพื้น เขาห้ามนักบวชนั่งท้าวพื้น พระพุทธเจ้าทรงเอากิริยามารยาทของบุคคลในรั้วในวัง มาสั่งสอนให้พระปฏิบัติ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสารูป โภชนปฏิสังยุตต์ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ และปกิณกะในส่วนของเสขิยวัตร ก็คือมารยาทของคนในรั้วในวัง ถ้าหากเราทำพวกนี้ได้ ก็จะดูงามสง่าน่าเลื่อมใส ถ้าหากว่าทำไม่ได้จะมีจริยาเหมือนขาดตกบกพร่อง คนเห็นจะไม่เลื่อมใส
ฉะนั้น..เรื่องของพระก็เลยจัดอยู่ในระดับเดียวกับบุคคลในรั้วในวัง เพราะว่ามีศัพท์เฉพาะของตน อย่างกินก็เรียกว่าฉัน เชิญก็เรียกว่านิมนต์" ถาม : แล้วแม่ชี ? ตอบ : แม่ชีจัดว่าเป็นนักบวชก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน อยู่ในมารยาทเดียวกัน ตอนนี้กำลังผลักดันให้แม่ชีมีฐานะเป็นนักบวชตามกฎหมายอยู่ ปกติแล้วถ้าแม่ชีไม่ได้สังกัดสถาบันแม่ชีไทย ก็จะถือบัตรประชาชน ไป ๆ มา ๆ พระเลยพลอยได้บัตรประชาชนไปด้วย ตอนนี้พระก็เลยตั้งใจช่วยแม่ชี พยายามช่วยผลักดันให้มีกฎหมายรับรองความเป็นนักบวชให้ จะได้สิทธิพิเศษและส่วนลดหลายอย่าง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่อาตมาจบปริญญาโท โดยถวายพระปิดตามาแล้ว ๗ องค์ ว่าจะให้เขาเอาไปออกประมูลงานกฐินปลดหนี้ในเว็บ ตอนนี้กำลังวางแผนจะให้ประมูลจีวรชุดรับปริญญา เพราะว่าตอนรับปริญญาตรีเขาบังคับให้พระนิสิตทุกรูปห่มจีวรสีเหลือง อาตมาก็ต้องเปลี่ยนไปห่มสีเหลือง
ปีนี้อาตมาจะเอาชุดเก่าห่มไปอีก ถ้ามหาวิทยาลัยถวายชุดใหม่มาก็ซุกใส่รถไปเลย ใส่ชุดเดิมตอนที่รับปริญญาตรีนั่นแหละ กลายเป็นว่าปริญญาตรีและปริญญาโทก็รับชุดนั้น เก็บไว้รับตอนปริญญาเอกแล้วค่อยประมูล (หัวเราะ) เขาเรียกวางแผนทำมาหากินระยะยาว อาตมาเรียนการจัดการไปแล้วนี่ เขามีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ใช่ไหม ? นี่แผนเกิน ๓ ปีก็เรียกว่าแผนระยะยาว มีพระรูปหนึ่งจบปริญญาตรีการจัดการเชิงพุทธรุ่นแรก โดนส่งไปเป็นเจ้าอาวาสที่พิจิตร เจ้าประคุณเอ๋ย..วัดอยู่กลางทุ่งไม่พอ ยังมีวัดรอบ ๆ ข้างอีก ๒ - ๓ วัด ท่านเรียนการจัดการมาแล้ว ก็ไปดูว่าทำไมวัดนี้จึงร้าง แล้วอีก ๒ วัดรอบข้างจึงดัง ปรากฏว่าวัดหนึ่งดูหมอ อีกวัดหนึ่งใบ้หวย แล้วท่านจะเอาอะไรไปสู้เขา ท้ายสุดก็เลยใช้วิธีเผาศพฟรี เกือบจะโดนวัดข้าง ๆ ฆ่าตาย งานที่คนจะไปเยอะก็คืองานศพ ไม่ได้ไปเพราะเกี่ยวกับญาติอะไรกันหรอก จะไปเล่นการพนัน ตำรวจมักจะผ่อนผันให้ เขาถือว่ามาเล่นการพนันเพื่ออยู่เฝ้าเป็นเพื่อนศพ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการยึดถือตัวกูของกู บางทีมันก็คือตัวภูมิใจ ภาษาฝรั่งเรียกว่าอีโก้ บาลีเรียกว่าอัตตา ในเมื่อตัวกูของกู อะไร ๆ ก็กูดีหมด
อย่างเรื่องที่ชาวบ้านสองคนออกไปหาของป่าด้วยกัน พอเดินไปถึงท้ายหมู่บ้านคนหนึ่งก็บ่นว่า "ไอ้ห่..เอ๊ย ใครมาขี้แถวนี้วะ เหม็นฉิ..หายเลย" ปรากฏว่าเป็นขี้ของคนที่ไปด้วยกันแหละ เขาก็ด่าคืน "มึงว่าขี้กูเหม็นหรือวะ ?" ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ชักมีดที่พกไปใช้หาของป่ามาจ้วงแทงกัน ขนาดขี้ทิ้งไว้เป็นวันแล้วนะ ยังเป็นขี้ของกูอยู่เลย ขนาดขี้ยังเป็นของกู แล้วเรื่องอื่นจะไปเหลือหรือ ?" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ช้างป่ากับช้างบ้านขนาดตัวต่างกันลิบลับ เพราะว่าสัตว์ที่เลี้ยงตามบ้านมีข้อเสียอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ การผสมพันธุ์สายเลือดชิด ทำให้แคระแกร็นลงไปเรื่อย เพราะว่าไม่มีตัวอื่นให้ผสม อย่างที่สองคือ ช้างกินอาหารมากวันละประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรไปเลี้ยงมากมายขนาดนั้น ช้างบ้านจึงไม่เคยกินอิ่มเลย ยิ่งแกร็นเข้าไปใหญ่
ครั้งแรกที่อาตมาไปเจอช้างในป่า ยังตกใจว่าใช่ช้างหรือเปล่า ในความคิดของอาตมาคิดว่าช้างบ้านใหญ่สุด ใช่ไหม ? ที่ไหนได้พอไปเทียบแล้วแค่รุ่นลูก ๆ ของช้างป่าเท่านั้นเอง อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร บวกกับด้ามกลดอีกอันหนึ่ง เพิ่งจะเอื้อมแตะรอยขี้โคลนที่ช้างเอาสีข้างไปถูต้นไม้ไว้ ต้นไม้โตประมาณ ๒ คนโอบ เปลือกไม้หลุดเป็นแผงเลย แค่ช้างถูต้นไม้แก้คัน ถ้าไม่ได้คันแต่วิ่งชนเข้าจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น..?!! ในชีวิตนี้อาตมารอดูสัตว์อยู่ ๒ ชนิด อยากจะเห็นคาตา เพราะไม่เคยเห็นในธรรมชาติก็คือ แรดกับสมเสร็จ หลายคนเชื่อว่าแรดสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ได้ข่าวอยู่เรื่อย ๆ ว่า บริเวณรอยต่อไทย - พม่า ยังมีแรดข้ามไปข้ามมา สมเสร็จยังมีอยู่มากแต่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าดงดิบลึก" |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีซินแสดูว่าอาตมาเกิดธาตุไม้ แต่เป็นธาตุไม้ช่วงที่ร้อนจัดที่สุด ก็เลยอ้วนไม่ได้สักที เพราะเป็นไม้ที่ขาดน้ำ เขาบอกว่าต้องรอให้ถึงอายุ ๖๐ ปี รอบธาตุเวียนมาบรรจบใหม่ ธาตุน้ำมาถึงจะอ้วน
เขาว่าตอนอายุ ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อให้ไม่กินอะไร นั่งเฉย ๆ ก็อ้วน อาตมากำลังรออยู่ ระยะนี้ได้แต่รำพึง "ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน ตูต้องอ้วนให้ได้"..(หัวเราะ).." |
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีเคิ่ลว่า "เกิดมาไม่เคยทำให้หนุ่ม ๆ น้ำตาร่วง แต่มาทำให้แม่น้ำตาร่วงไปแล้ว..(หัวเราะ)..
ถ้าหากว่าตัดใจในลักษณะนั้นได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรที่ตัดไม่ได้ เพราะข้อสอบจะมาเบากว่านั้น เรารับศึกหนักมาแล้ว สงคราม ๙ ทัพรับมาแล้ว อย่างอื่นจึงเป็นเรื่องเล็ก ต่อไปก็เหลือแค่พยายามลดทิฐิมานะ ตัวกู ของกู กูดีกว่า กำลังใจกูสูงกว่า กูเรียนมาเยอะกว่า มีสารพัดที่จะมาเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลผู้อดทนต่อคำพูดของคนที่เลวกว่าได้ นับว่าเป็นสุดยอดของความอดทน อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์..ญาติสาโลหิตสนิทมิตรสหายที่มาหาท่านมีอยู่บ้างหรือไม่ ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมมีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ "ท่านจัดขาทนียะ โภชนียะ น้ำใช้น้ำดื่มให้แก่พวกเขาทั้งหลายหรือเปล่า ?" อักโกสกพราหมณ์บอกว่า "ย่อมจัดให้ เพราะเป็นธรรมเนียมในการต้อนรับ" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า "ถ้าเขาเหล่านั้นไม่รับไว้ สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?" อักโกสกพราหมณ์ตอบว่า "ย่อมเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม" "เช่นกันพราหมณ์ ในเมื่อท่านด่าเรา เราไม่รับไว้ คำด่าทั้งหลายก็ย่อมเป็นของท่าน" ต้องบอกว่าคนอินเดียเก่งนะ ได้ฟังแค่นั้นก็ได้สติเลย อักโกสกพราหมณ์กราบพระพุทธเจ้างาม ๆ ๓ ครั้ง "สมณะ..คำพูดของท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด" ทุกวันนี้คนอินเดียก็ยังมีนิสัยแบบนั้น สามารถเถียงกันได้เป็นวันเป็นคืน ผลักกันไปผลักกันมา แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกันจริง ๆ เพราะเขาชนะกันด้วยโวหารมากกว่า แต่ถ้าไปเจอคนไทยเข้าละก็..ทิ้งตูมหงายท้องตีนชี้ฟ้าไปเลย คนอินเดียเขาไม่ได้รุนแรงอย่างนั้น" |
"เรื่องนี้ต้องถามท่านอาจารย์วศิน (ผศ.ดร.วศิน กาญจนวณิชย์กุล) ท่านไปเรียนด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัยปูนา ประเทศอินเดีย คราวนี้ท่านเผลอสูบบุหรี่ให้เขาเห็น ท่านลืมไปว่าทางอินเดียหรือลังการังเกียจพระสูบบุหรี่มาก พระสูบบุหรี่ในสายตาเขาเหมือนกับอาบัติปาราชิก เขาถือว่าท่านเป็นนักบวช เป็นผู้ละกิเลส แล้วทำไมยังติดของเหล่านี้อีก
แขกเหล่านั้นไม่โวยวายเปล่า กระชากบุหรี่ของท่านอาจารย์วศินทิ้งเลย ท่านอาจารย์วศินก็ทิ้งตูมด้วยกำปั้น (หัวเราะ) อาตมาถามว่า "แล้วท่านอาจารย์ทำอย่างไรต่อครับ ?" ท่านตอบว่า "ก็เผ่นสิครับ อยู่ได้ที่ไหน ตัวผมใหญ่ไม่ได้ครึ่งของเขา แล้วเล่นมากันเป็นฝูง..!" ปกติแต่งตัวแบบพระเขาถือว่าเป็นจันฑาล เป็นกาลกิณี แต่ท่านอาจารย์วศินไปแล้วเขาถือว่าอยู่ในวรรณะสูง เพราะท่านนามสกุลกาญจนวณิชย์กุล วานิช = พ่อค้า เป็นวรรณะแพศย์ ไม่ใช่จันฑาล ไวศยะหรือพวกแพศย์เป็นตระกูลพวกพ่อค้า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวินาทีคือการฝึกฝนตนเอง โดยเฉพาะความอดทนอดกลั้น อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลย ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ความอดทนเป็นตบะ (เครื่องเผากิเลส) อย่างยิ่ง (ของนักปฏิบัติ)"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "นิกายเรืองโรจน์ หรือที่เขาเรียกว่านิกายแสงสว่าง หรือนิกายอสูร ในเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศนั้น จริง ๆ นิกายนี้ถือศีลกินเจเลยนะ แต่พอเผยแพร่เข้ามาแล้วกลับไปสนับสนุนการช่วงชิงราชบัลลังก์
สมัยก่อนบรรดาศาสนาต่าง ๆ เมื่อเข้าไปในพื้นที่ไหน ต้องเข้าไปครอบงำหรือยึดครองผู้นำให้ได้ เพราะถ้าผู้นำนับถือศาสนาแล้ว สั่งคำเดียวผู้อื่นก็ต้องตามทั้งหมด แต่พอแพ้ขึ้นมาก็เลยถูกตราหน้าว่าเป็นนิกายอสูร ไม่ว่าไปที่ไหนก็ถูกไล่กวาดล้างไปตลอด ทำชั่วครั้งเดียวกลายเป็นชั่วตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้แก้ไขเลย ปัจจุบันศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู รู้ไหมว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นศาสนาฮินดู ? เพราะว่านิกายที่คนนับถือมากไม่ได้นับถือพระพรหมเป็นใหญ่อีกแล้ว พราหมณะ แปลว่า เชื้อสายของพรหม ตอนหลังเขาแตกนิกายไปเป็นไวษณพนิกาย ถือพระวิษณุเป็นใหญ่ แตกไปเป็นไศวนิกาย ถือพระศิวะเป็นใหญ่ ตอนหลังแตกนิกายไปนับถือเทพองค์อื่น ๆ เช่น พระพิฆเนศ เจ้าแม่กาลี ถ้ายังใช้ว่าศาสนาพราหมณ์อยู่ก็จะไม่ครอบคลุม เพราะเขาไม่ได้ถือพรหมเป็นใหญ่แล้ว เรื่องของการแตกนิกาย ก็คือ พอผู้นำนิกายไหนขึ้นมาก็จะยกองค์นั้นเป็นใหญ่ ทำให้เขาเปลี่ยนจากคำว่าพราหมณ์ ที่แปลว่าเชื้อสายของพรหมมาเป็นฮินดู คำว่าฮินดูนี่คนไทยออกเสียงนะ ความจริงมาจากคำว่าสินธุ จริง ๆ ก็คือสินธู คนไทยออกเสียงเป็นฮินดู" |
"ศาสนาพราหมณ์เข้ามาในไทยตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงสุโขทัย แต่มีหลักฐานปรากฏชัดในสมัยสุโขทัย เขาเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินมาตั้งแต่ยุคสมัยนั้น จนกระทั่งยุคปัจจุบันก็ยังเข้าถึงโดยตลอด แต่ศาสนาพราหมณ์กลับไม่เจริญ น่าจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คิดเบียดเบียนศาสนาอื่น อย่างพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เต็ม
พอรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ พระองค์ปรับให้พิธีพราหมณ์ต่าง ๆ มีพิธีพุทธร่วมด้วย อย่างเช่นให้มีการเจริญพระพุทธมนต์ก่อน ให้มีการรับศีลก่อน ในเมื่อเอาพิธีพุทธเข้าไปก็ปนกัน เหมือนจะกลืนพราหมณ์เช่นกัน จะว่าไปแล้วพราหมณ์เข้าถึงองค์พระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน แต่ว่าไม่มีการบีบบังคับให้ใครนับถือศาสนาพราหมณ์ อย่างอาณาจักรศรีวิชัย พอระเด่นปาทาชิงราชสมบัติได้ มเหสีก็ขอร้องให้ถือศาสนาอิสลาม เพราะมเหสีของระเด่นปาทาเป็นอิสลาม แล้วบังคับประชาชนทั้งหมดให้ถืออิสลามไปด้วย ศาสนาพุทธก็ล่มจมจากอินโดนีเซียตั้งแต่นั้นเลย แต่ไม่เป็นไร..ตอนนี้กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนมาแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่อ่านเรื่องผจญกรรม อย่าไปใส่อารมณ์มาก ดูตามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวอาจจะเจอตัวเองอยู่ในนั้น..(หัวเราะ)..
จะได้รู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพียงชาติเดียว แต่เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ควรจะเข็ดได้แล้ว เรื่องราว ๒ - ๓ ตอนที่ลงในเว็บ เฉพาะตอนที่เกิดเป็นคน ถ้านับเวลาแล้วก่อนคริสตศักราชอีก ก็แปลว่า ๒ พันกว่าปีแล้ว กรรมเพิ่งจะตามมาทัน ถ้าเรานับระยะเวลาของโลกมนุษย์ก็ยาวนาน แต่ถ้านับเวลาของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชก็ประมาณ ๔๐ วัน เพราะวันหนึ่งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์" |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1339756825 แมวตาเพชรปากคาบแก้ว พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณไม่มีตำราดูหมามากเหมือนแมว ลักษณะหมาโบราณชัด ๆ เลยคือหลังอาน หรือไม่ก็คาบแก้ว คาบแก้วเป็นลักษณะหมาที่มีขนสีขาวขึ้นเป็นวง แต่ไม่เต็มวงนะ แค่ครึ่งหนึ่งเพราะคาบไปครึ่งหนึ่ง เขาว่าจะเอาความเจริญมาให้แก่คนเลี้ยง" ถาม : คาบแก้วเป็นอย่างไรคะ ? ตอบ : เป็นขนตรงปากล่าง เป็นครึ่งวงกลมสีขาว ถือว่าคาบแก้วมาให้ ที่เห็นเป็นครึ่งวงกลมเพราะอีกครึ่งหนึ่งหมาคาบอยู่ ส่วนที่กำแพงแสนมีหมาตาเพชร ตาสีเขียวปลอดทั้งดวงเลย ไม่มีตาดำ |
ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เราสามารถที่จะอธิษฐานให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไป เขาตายไปแล้วอยู่ในเขตที่โมทนาได้เขาก็ได้รับ แต่ถ้าอยู่ในเขตที่โมทนาไม่ได้ก็ไม่ได้รับ ต้องรอให้เขาพ้นเขตนั้นมาก่อน ก็แปลว่าผู้ที่รับส่วนกุศลได้ต้องอยู่ในเขตที่โทษไม่หนักมากนัก ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเขารับได้หรือรับไม่ได้ ? ตอบ : ฝึกทิพจักขุญาณให้ได้แล้วไปดู เพราะถ้าคนอื่นบอกเราก็ไม่มั่นใจสักที ถาม : คือไม่มีใครบอกได้ ตอบ : บอกได้..แต่เราก็ไม่เชื่ออยู่ดี เพราะเราไม่เห็น เพราะฉะนั้น..เราต้องเห็นเอง ต้องฝึกให้ได้เอง ถาม : สวดมนต์เสร็จแล้ว อธิษฐาน...? ตอบ : ให้เขาทุกครั้ง เขาจะได้รับไม่ได้รับไม่เป็นไร ถ้าเขาได้รับก็แปลว่าเราทำสำเร็จสมประสงค์ ถ้าเขาไม่ได้รับ รอเขาพ้นจากเขตนั้นมาก็ได้รับเอง |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เหรียญกูผู้ชนะใช้ “อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด” ถ้ารักษาศีลได้บริสุทธิ์จะเกิดผลมหาศาลเลย อย่าไปคิดร้ายกับคนอื่นเขาก็พอ ถาม : อานุภาพ ? ตอบ : ป้องกันอันตรายได้ทุกประเภท |
ถาม : ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้ตั้งใจ บังคับให้รถผ่านแทรกทะลุอีกคัน เป็นไปได้ไหมว่าจะแทรกไปได้ ?
ตอบ : ลองทำดูก่อน ถ้าทำได้สักครั้งเดียวก็ได้คำตอบเอง ตราบใดที่ไม่ได้ลองทำก็สงสัยไม่เลิก สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ด้วยความซน ป้าศุภาพร(ภรรยาหลวงตาวัชรชัย)รู้ ก็เลยกระเซ้าเล่น “ระวังนะหลวงพี่..ถ้าออกไปครึ่งตัวแล้วสมาธิคลาย ก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ” ตอนช่วงที่ทำได้ครั้งแรกก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็พุ่งทะลุกำแพงไปเฉย ๆ กลัวว่าตึกจะพัง พอไปดูเข้าจริง ๆ ก็ไม่มีร่องรอยอะไร นึกสงสัยก็ไปอีก จนกระทั่งเข้าใจว่า ที่เราเห็นว่าทึบ ความจริงรอยต่อของฝาผนังกว้างเป็นซูเปอร์ไฮเวย์เลย เพียงแต่ว่าเราต้องทำใจของเราให้ละเอียดเท่านั้น ถาม : แล้วเหมือนกับตอนที่ท่านลอยขึ้นไปบนเพดานแล้วเจอพัดลมหรือเปล่า ? ตอบ : คนละอย่างกัน อันนั้นภาวนาเฉย ๆ แล้วก็ลอยขึ้นไป |
ถาม : ในหนังสือสวดมนต์ ที่โบราณบอกว่าให้ท่องคาถา ๑๐ คาบ ?
ตอบ : คาบก็คือจบ ถ้า ๑๐ คาบก็ ๑๐ จบ มีบางตำราเพื่อความเป็นสมาธิเขาให้กลั้นใจก่อน เวลากลั้นใจแล้วจิตจะนิ่ง เพราะรู้ว่าใกล้ตายแล้ว จึงต้องมองหาว่าจะไปทางไหนดี แต่ทำอย่างนั้นบ่อย ๆ ตอนภาวนาจะเสีย เพราะเคยชินกับการกลั้นลมหายใจ บังคับลมหายใจ ถ้าเจอ ๑๐๘ คาบก็สนุก..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่าบูเก๊ะ เป็นภาษายาวี แปลว่า ภูเขา มีหลายคนพยายามเอามาโยงกับคำว่าภูเก็ต เขาบอกว่าภูเก็ตน่าจะเป็นภาษายาวี ก็คือบูเก๊ะ เพราะว่าภูเก็ตเป็นเกาะอยู่กลางทะเล ถ้าเอาน้ำออกก็คือภูเขานั่นแหละ แต่ไม่น่าใช่..ภูเก็ตคำนี้น่าจะเป็นคำไทยแต่ว่าเขียนผิด น่าจะมาจากคำว่าเก็จ ก็คือภูเขาเงิน ภูเขาทอง ภูเขาแก้ว
บางอย่างเขาก็ลากจนเกินไป พอลากไกลเกินไปทำให้คิดมากแล้วก็เสีย มีคนพยายามอธิบายคำว่านครราชสีมา เขาบอกว่าสมัยก่อนยังมีราชสีห์อยู่ พรานล่าราชสีห์ได้ก็แบกหามกันมา ชาวบ้านเห็นถามว่า “คอนหยังมา ?” (แบกอะไรมา) พรานบอกว่า “คอนราชสีห์มา” หลังจากนั้นก็เรียกบริเวณนั้นว่านครราชสีมา พวกนั้นฟุ้งซ่านเกินไป นครก็แปลว่าเมือง ราชสีมาก็คือเขตของพระราชา นครราชสีมา คือเมืองอยู่ใต้การปกครองของพระราชา แค่นี้ก็จบแล้ว บางทีนักภาษาก็พยายามจะคิดอะไรที่เกินเหตุไป" |
ถาม : เวลาเข้าป่าเจอผึ้งทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติเลย ถ้าผึ้งไม่มาตอมแสดงว่าคุณไม่มีเหงื่อ ผึ้งมาตอมเพราะว่าจะมากินเกลือ ผึ้งอยากได้ความเค็ม ถาม : มีวิธีไล่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าวิธีของผมนี่สบายมากเลย หาที่ใกล้ ๆ นั่นแหละ เอาใบไม้วางสัก ๔ - ๕ ใบ แล้วก็ปัสสาวะรดไว้ ผึ้งก็จะไปตอมตรงนั้นแทน ยิ่งถ้าขังอยู่บนใบไม้ด้วยเดี๋ยวมากันเต็มเลย บางที่ผึ้งชุมถึงขนาดต้องกางกลดจึงฉันข้าวได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไม่รู้ ปักกลดลงไปแล้วด้วย ผึ้งดาหน้าเข้ามาเยอะแยะ วันรุ่งขึ้นจึงรู้ว่าอยู่ห่างจากโพรงผึ้งไม่เท่าไรเอง พวก ก.ย.ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเหงื่อออกก็ต้องทาใหม่ หรือไม่ก็เอาอย่างพวกชาวบ้าน เวลาโดนยุง โดนริ้น โดนไร โดนผึ้งตอม เขาจะสูบยาพ่นเอา เพราะฉะนั้น..เด็กกะเหรี่ยงพอเริ่มรู้ภาษาก็เริ่มติดยาสูบแล้ว |
ถาม : เป็นโรคไมเกรน มียาสมุนไพรอะไรรักษาบ้างครับ ?
ตอบ : รากบวบ จะเป็นบวบงูก็ได้ บวบเหลี่ยมก็ได้ ให้ชาวบ้านเขาขุดรากบวบขึ้นมาล้างให้สะอาด นำมาตากแห้ง ชั่งน้ำหนักให้ได้ ๑ ขีด เอามาต้มน้ำกิน น้ำหม้อใหญ่ ๆ ใส่รากบวบลงไปทั้งหมดเลย ขีดหนึ่งถือว่าเยอะมาก ต้มกินไปรับรองว่าหายเร็ว ส่วนใหญ่ไมเกรนเกิดจากความเครียด บางคนแค่มองแดดจ้า ๆ หน่อยก็กำเริบแล้ว |
พระอาจารย์ท่องบทสวดธรรมจักรพร้อมคำแปลให้ฟัง ดังนี้ "เทฺวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา ส่วนสุดสองอย่างที่ภิกษุมิควรซ่องเสพด้วย โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค การเกี่ยวข้องกับกาม หีโน เป็นของหยาบ เป็นของทราม คัมโม เป็นของบุคคลผู้ครองเรือน โปถุชชะนิโก เป็นบุคคลที่ยังกิเลสหนาอยู่ อะนะริโย ไม่สร้างความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
โย จายัง อัตตกิลมถานุโยโค การประกอบตนให้ลำบาก ทุกโข ประกอบไปด้วยความยากลำบาก อะนะริโย ไม่ใช่ทางแห่งความเจริญ อะนัตถะสัญหิโต ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ฯ สังเกตอะไรไหม? ทำไมพระพุทธเจ้าไม่บอกว่ากามสุขัลลิกานุโยโคเป็นทุกโข? แต่ทำไมอัตตกิลมถานุโยโคจึงบอกว่าทุกโข? เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจยาก เห็นว่าการคลุกคลีอยู่กับกามเป็นความสุข เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ากามเป็นความทุกข์คนก็ค้าน คนค้านก็ไม่ฟัง โอกาสเข้าถึงธรรมก็ไม่มี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า แก่ก็ให้แก่อย่างกะโหลกกะลา จะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้ โบราณเขาเอากะลาไปทำทะนานตวงข้าวได้ เอากะลาไปทำทัพพีได้ ทำจวักได้ เอากะลาไปทำกระบวยตักน้ำได้ เอาไปทำซอก็ได้
แต่ถ้าแก่แบบฟักแฟงแตงกวาก็จะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะแก่แล้วหมดประโยชน์เลย" |
ถาม : มีคาถาหลายบทให้บริกรรมภาวนา เราควรจะบริกรรมบทใดบทหนึ่ง แล้วเจียดช่วงเวลาเปลี่ยนบทบริกรรม หรือว่าควรจะว่าบทเดียวไปเลย ?
ตอบ : ใช้บทใดบทหนึ่งให้กำลังใจทรงตัวก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพราะเวลากำลังใจทรงตัวแล้ว พอเราเปลี่ยนคาถาผลจะได้เท่ากันไปเลย สมัยก่อนอาตมาก็ทำวิธีนี้แหละ จำกัดไว้ว่าแต่ละบทจะว่ากี่จบ ด้วยความที่เคยชินกับการใช้คาถาหลายบท สมมติว่าเราภาวนาบทละ ๓๐ จบ พอถึงเวลาจบบทแล้ว จะภาวนาขึ้นบทใหม่เองโดยอัตโนมัติ รู้ว่าบทต่อไปคืออะไร จิตทำงานเองเลย |
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ชีเคิ่ลว่า "ขอชมว่าเก่งที่ตัดใจได้ เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติ การตัดสินใจเด็ดขาดสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสได้มรรคผลแทบจะเป็นศูนย์
ในเรื่องของมารเราหย่อนมือให้ไม่ได้ เด็ดแล้วต้องขาด ถ้าเขาเซเราต้องซ้ำ ไม่ต้องไปนึกถึงน้ำใจนักกีฬาหรอก เพราะถ้าเราไม่ซ้ำ ปล่อยให้กิเลสมีแรงฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ คราวนี้เขาจะแข็งแรงกว่าเราหลายเท่า ตีเราตายเลย" |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีฝรั่งไปสมัครบวชที่วัด เขาขอบวชปลายปี ขอกลับไปจัดการเรื่องการงาน และขายบ้านขายช่องให้เรียบร้อยก่อน ดูท่าเขาจะบวชยาวเลย เขาบอกว่าไปดูมาหลายที่แล้ว วัดท่าซุงก็ไป วัดเขาวงก็ไป ดูไปดูมาแล้วชอบใจวัดท่าขนุนมากที่สุด
พาเขาออกบิณฑบาต เดินจนเหงื่อท่วมตัวเลย อาตมาก็ขำ บอกกับเขาว่า "ให้คุณคิดเสียว่าเป็นมอร์นิ่งวอล์คก็แล้วกัน" เขาก็คลำพุงดูว่าพุงหายหมดแล้ว เขาชื่อลุค ได้ภรรยาเป็นคนไทย อาตมาถามภรรยาเขาว่ายินดีให้สามีบวชหรือ ? ภรรยาบอกว่า "อยากให้บวชมานานแล้ว" อาตมาบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณไปบวชชีมา" ลุคก็หันขวับมาบอกว่า “อยู่วัดเดียวกันไม่ได้” เขาห้ามอยู่วัดเดียวกัน กลัวอยู่ใกล้แล้วไฟช็อต..! อาตมาบอกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวส่งเขาไปอยู่แถวเกาะพระฤๅษีก็ได้" ภรรยาก็รีบไปบรรยายให้สามีฟังว่า อาจารย์จะส่งไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาต้องบอกว่า"ไม่ใช่ ส่งเมียไป ไม่ใช่ส่งผัวไป"..(หัวเราะ)..เวลาฝรั่งตัดสินใจทำอะไรแล้ว โดยนิสัยเขาจะทำจริง ในเมื่อเขาทำจริงจังก็มักจะประสบความสำเร็จ นี่เห็นว่าจะไปขายบ้านที่อียิปต์อีกหลัง แสดงว่าซื้อบ้านไว้หลายที่เหมือนกัน เขาดูรอบวัดแล้วบอกว่า ถ้าเขาบวชขออนุญาตอยู่ที่แดนสงบตรงริมน้ำ อาตมาบอกว่า “แม่ชีจองไปหมดแล้ว” หลังสุดท้ายที่เหลืออยู่เป็นของแม่ชีเคิ่ล พวกเราถ้ายังไม่เข็ด ยังไม่เบื่อกับชีวิต ก็สนุกสนานกันไปก่อน เดี๋ยวไว้เข็ดจริง ๆ แล้วค่อยไปบวชชีกัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาจำแนกศักดิ์ฐานะด้วยเครื่องแต่งตัว คนจีนเขาจะปักรูปที่หน้าอกเสื้อ ดูก็จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน คนที่สวมเสื้อปักลายมังกร ๙ ตัวได้มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้น"
ถาม : ถ้ามังกรตัวเดียว ? ตอบ : ถ้าเป็นลายมังกรตัวเดียวต้องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ก่อน ซึ่งมีคนเดียวที่ได้รับอนุญาตก็คือตี๋เหรินเจี๋ย เพราะว่าสร้างความดีความชอบไว้มาก หวู่เจ๋อเทียนพระราชทานเสื้อคลุมลายมังกรให้เลย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกที่หน้าวัด ช่างคำนวณน้ำหนักมาแล้วว่า เมื่อเทคอนกรีตเสร็จจะหนัก ๓๕๐ ตัน ราว ๆ สามแสนกว่ากิโลกรัม แต่อาตมาตีฐานรากเผื่อไว้แล้ว
ปกติเสาเข็มจะตีหลุมละต้น เสาเข็มที่นี่ตีหลุมละ ๔ ต้น รับน้ำหนักไม่อยู่ก็ให้มันรู้ไป..! เสาเข็มหน้า ๑ ฟุต ก็คือกว้างฟุตยาวฟุต อัดลงไปถึงหินดาน ถ้าขนาดนั้นยังทรุดก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม..! มีแต่คนสงสัยว่าสร้างตึกอะไรหน้าวัด อาตมาบอกว่าไม่ใช่ตึก แต่เป็นฐานพระ พอเขาได้ยินว่าเป็นฐานพระก็ร้องหา..! เพราะฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร เดี๋ยวต้องรอดูว่าใครมีเส้นสายกับการไฟฟ้า จะขอให้เขาเอาสายไฟลงใต้ดินให้หน่อย ทางวัดยินดีจ่ายให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะค่าสายค่าท่ออะไร ถ้าใครมีเส้นมีสายช่วยบอกให้หน่อย อาตมามีเส้นแค่รองผู้ว่าการไฟฟ้า แต่ไม่อยากรบกวนใคร ติดหนี้บุญคุณคนแล้วชดใช้ยาก" |
พระอาจารย์กล่าวถึงลักษณะการเจิมหน้าผากของพวกฮินดูว่า "ถ้าพวกเราสังเกตจะเห็นว่าฮินดูเจิมหน้าผากอยู่ ๒ ลักษณะ คือแบบ ๓ เส้นแนวตั้ง หมายถึง ตรีศูลของพระศิวะ อันนี้เป็นไศวนิกาย นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ แบบ ๓ เส้นแนวขวางเป็นไวษณพนิกาย นับถือพระนารายณ์ เขาถือว่าพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ นอนอย่างเดียว ดังนั้น..ต่อไปถ้าเราไปเห็น ๓ เส้นตรงกับ ๓ เส้นขวาง ก็จะได้ทราบความหมาย
อีกแบบก็คือ ติลกะหรือดิลก เขาถือว่าเป็นมงคลชีวิต โดยเจิมเป็นจุดแดงที่หน้าผาก ถ้าหากว่าไม่ใช้สีแดงก็ใช้ขี้วัวสดเจิม เขาถือว่าเป็นโคนนทิ พาหนะของพระอิศวร" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ต้องวิ่งมารับเสาเสมาธรรมจักร ส่วนวันที่ ๒๙ ตุ๊พ่อสิงห์จะให้ไปบวงสรวงพุทธาภิเษกที่วัดถ้ำป่าไผ่ ท่านบอกว่า ๒๘ ให้มานอนนะ เพราะว่าพุทธาภิเษกกันแต่เช้ามืดเลย แล้วบวงสรวง ๙ โมงครึ่ง
แค่ว่าวันที่ ๒๘ อาตมาติดสอนหนังสือเช้า ๒ ชั่วโมง บ่าย ๓ ชั่วโมง สอนเสร็จนั่งรถขึ้นไปลำพูน ไม่รู้ว่าจะไปถึงที่นั่นดึกดื่นเที่ยงคืนแค่ไหน ?" |
ถาม : พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านฯ เหมือนที่หลวงพ่อเสกไหมครับ ?
ตอบ : ไปถามเซียนพระ อาตมาไม่เคยสงสัยในพุทธคุณ ต่อให้ของปลอมมาถึงมือก็เป็นของจริง เพราะว่ามั่นใจ..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.