กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3285)

เถรี 18-04-2012 10:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไปกรุงเทพฯ ชอบนั่งรถแท็กซี่ไป เพื่อนพระหลายคนเขาว่าอาตมาเพี้ยน มีรถดี ๆ ไม่รู้จักใช้ อาตมาก็ต้องแยกแยะให้ฟังว่า ไม่ว่ารถแท็กซี่หรือว่ารถส่วนตัวก็ตาม ประการแรก...ค่าเชื้อเพลิงและค่ารถใช้ใกล้เคียงกัน ประการที่ ๒ ถ้าใช้รถส่วนตัวต้องห่วงคนขับอีก ๑ คน ว่าถ้าเราไปงานของเรา แล้วเขาจะอยู่อย่างไร จะกินอย่างไร

ประการที่ ๓ ที่จอดรถในกรุงเทพฯ หายากมาก ถ้าขึ้นแท็กซี่ ลงได้ก็สะบัดก้นไปเลย ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเป็นรถส่วนตัว หาที่จอดไม่ได้แล้วไปจอดในที่ห้าม ก็อาจจะจ่ายค่าจอดแพงเป็นพิเศษ ประการสุดท้าย..เอารถของตัวเองออกไป ถ้าเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอะไรขึ้นมา ค่าใช้จ่ายอาจจะมหาศาลกว่าที่คิด

ดังนั้น..เวลาเดินทางในกรุงเทพฯ อาตมามักจะไปรถโดยสาร หรือรถอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าได้เกาะมอเตอร์ไซค์วันไหนจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ

ถ้าหากว่าญาติโยมมาที่บ้านวิริยบารมีแล้ว รถแท็กซี่น่าจะสะดวก แต่ถ้ารอว่าสถานีรถไฟฟ้าเสร็จ ก็จะเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาบนพื้นที่ซึ่งราคาแพงมาก เนื่องจากว่าเขารู้ว่าสถานีรถไฟฟ้าจะลงตรงจุดนี้ แต่ว่าที่ยอมจ่ายแพงก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยมในอนาคต

ต่อไปถ้าใครยังนำรถส่วนตัวมา ก็ด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรก ก็คือ ใช้รถโดยสารสาธารณะไม่เป็นจริง ๆ ประการที่ ๒ ก็คือไม่กลัวลำบาก เพราะว่าที่นี่หาที่จอดรถยากมาก สถานที่ซึ่งเห็นว่าจอดสะดวก มักจะเป็นจังหวะที่รถเขาจะต้องเลี้ยว จะต้องเข้าออก พอเราไปจอดขวางเสียคันหนึ่ง คันอื่นก็หมดสิทธิ์ที่จะไปเลย อย่างเช่น ท่านที่นำรถมอเตอร์ไซค์มา มักจะจอดแอบตรงมุมเสาไฟฟ้า แต่ว่ามุมที่จอดแอบนั่นแหละ เป็นมุมที่รถเขาจะต้องตีวงเข้าซอย เขาก็จะต้องขยับแล้วขยับอีก นั่นนับว่ายังดี..ถ้าวันไหนเขาเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา ก็คงปาดกลิ้งไปเลย..!

ที่ประกาศบอกกับญาติโยมก็เพื่อให้ทราบไว้ว่า ถ้าจอดแล้วไม่มีปัญหาเขาไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าเขาว่าแปลว่ามีปัญหาแน่ ๆ"

เถรี 18-04-2012 10:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอะไรที่เป็นงานโบราณ โดยเฉพาะพระราชประเพณี มีโอกาสพวกเราควรไปดูเป็นขวัญหูขวัญตาไว้ เพราะในชีวิตหนึ่งไม่ใช่จะหาดูได้ง่าย ๆ แต่ทำไมถึงประดังมาในช่วงอายุของอาตมาก็ไม่รู้ ?

สมัยก่อนหลวงปู่หลวงพ่ออายุ ๘๐ - ๙๐ ปี เป็นพระเถระ ๔ - ๕ แผ่นดิน สมัยนี้อายุ ๖๖ ปี ยังได้แค่ ๑ แผ่นดินเท่านั้น ถ้ายิ่งนับตั้งแต่รัชกาลที่ ๙ ประสูติด้วยแล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ๘๕ ปีได้แค่แผ่นดินเดียว..!"

เถรี 18-04-2012 10:59

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเด็กทองผาภูมิบวช ๓ รูปด้วยกัน อาตมาคุยกับบรรดาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ว่า ปี ๒๕๕๗ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ครบ ๑๐๐ ปีเกิด จะบวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป ให้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ จะเฒ่าชะแรแก่ชราอย่างไรก็ให้เข็นมา ถ้าบวชแล้วตายคาวัดก็จะสวดให้

ทางด้านเทศบาลตำบลท่าขนุนเขายืนยันว่า ๑๐๐ คนไม่น่าจะมีปัญหา ใคร ๆ ก็อยากจะบวชถวายหลวงปู่ทั้งนั้น ก็เลยลองดูว่าถึงเวลาใครจะสมัครก่อน งานนี้เกินจำนวนก็ไม่รับเพราะไม่มีที่ให้นอน เอาแค่ร้อยเดียวจริง ๆ

ไล่ตามประวัติแล้ว หลวงปู่สาย อคฺควํโส ในประวัติเดิมเขาบอกว่าเกิด ๑๗ ตุลาคม ๒๔๕๗ ความจริงไม่ใช่..ท่านต้องเกิด ๑๘ ตุลาคม เพราะฉายาอคฺควํโส เป็นฉายาของคนเกิดวันอาทิตย์ ส่วน ๑๗ ตุลาคมเป็นวันเสาร์

อาตมาไปเปลี่ยนความเชื่อของเขาหลายอย่าง ประวัติเดิมท่านบอกว่า บิดาชื่อนายเพิ่ม อาตมาดูลายมือหลวงปู่ที่เขียน "โยมพ่อนายนิ่ม" แต่เขาอ่านนิ่มเป็นเพิ่มไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ลายมือหลวงปู่สวยมากเลยนะ ลักษณะลายมืออาลักษณ์เลย เขายังอุตส่าห์อ่านเป็นนายเพิ่มไปได้

โดยเฉพาะมีกระดาษเตือนความจำสั้น ๆ อยู่แผ่นหนึ่งที่ท่านหนีบเข้าแฟ้มไว้ เขียนว่า "ลำพอง ดูโลงกระจกให้ด้วย มิถุนา ๓๔" แสดงว่าหลวงปู่ท่านรู้ตัวว่าท่านจะมรณภาพเมื่อไร สั่งเตรียมโลงแก้วไว้เลย บอกล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี หลวงปู่ท่านทำงานรอบคอบมาก ถึงเวลาเขียนเตือนความจำแล้วลงวันที่เอาไว้ด้วย โยมลำพองเป็นมัคคนายกวัดท่าขนุนในช่วงนั้นอยู่"

เถรี 18-04-2012 16:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมเขาถวายสมเด็จวัดระฆังมา ให้ไปบรรจุในสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ จำไว้เลยนะ..สมเด็จวัดระฆังหรือสมเด็จวัดบางขุนพรหม ถ้าหากว่าแตกลายงา จะแตกเฉพาะด้านหน้าด้านเดียว"

เถรี 18-04-2012 16:12

พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงคนไม่มีลูกสบายที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนถึงอยากมีกันจัง มีครอบครัวหนึ่งก็คือคุณวินกับคุณติ๊ก เขาพยายามสุดชีวิตที่จะมีลูกมาโดยตลอด ตั้งแต่แต่งงานอยู่กันมา ๒๐ กว่าปีก็ยังไม่มีลูกเลย หมอเก่งมีที่ไหนก็ไปหามาจนหมด แต่ไม่สำเร็จ เป็นประเภทเดียวกับโพธิราชกุมาร

โพธิราชกุมารอยากมีลูกก็มีไม่ได้ ทั้งที่มีสนมเป็นร้อยเป็นพัน ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปฉันในวัง ปูลาดผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังไปถึงที่ฉัน อธิษฐานว่าถ้ามีลูกได้ขอให้พระพุทธเจ้าเดินมาบนลาดพระบาทสีขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวเกลี้ยงเลยแล้วก็เดินเข้าไป โพธิราชกุมารจึงต้องนั่งร้องไห้

พระพุทธเจ้าฉันเสร็จเทศน์ให้ฟังว่า โพธิราชกุมารสร้างกรรมหนักไว้ในอดีต ชาตินี้มีลูกไม่ได้หรอก ในอดีตชาติเกิดเป็นพ่อค้าทางเรือ วันหนึ่งเรือแตกแล้วไปติดเกาะ อยู่บนเกาะนั้นก็เก็บไข่นกกิน พอกินไข่นกหมดก็เอาลูกนกมากิน พอลูกนกหมดก็กินพ่อนกแม่นก นกพวกนั้นไม่เคยเจอใครทำร้าย ก็เลยไม่กลัว ไม่หนี ขนาดพ่อนกแม่นกยังโดนกินจนหมด

พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้ากินเฉพาะไข่นกจะไม่มีลูกในวัยหนุ่มสาว แต่จะมีลูกตอนวัยกลางคน แต่ถ้ากินเฉพาะไข่นกกับลูกนก จะไม่มีลูกตอนหนุ่มสาวและวัยกลางคน แต่จะมีลูกตอนแก่ นี่พ่อนกแม่นกก็กินไปด้วย ก็ไม่มีแล้วแหละ..กรรมนี้ติดตามไปตั้ง ๕๐๐ ชาติ

คุณวินกับคุณติ๊กก็คงแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ก็ปลงแล้ว เขาพยายามขนาดนี้แล้วยังมีไม่ได้ หมอตรวจดูปกติทุกอย่างทั้งสามีภรรยา แต่ก็ไม่มีลูก ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่อาตมารู้จัก เมียท้องแล้วแท้งไป ๔ ครั้ง เลยตัดใจว่าไม่มีดีกว่า หมอบอกว่ามดลูกอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะเก็บเด็กไว้ได้ ถ้าหากท้องอีกเท่ากับฆ่าเด็กโดยตรง เขาก็เลยตัดใจว่าไม่เอาแล้ว อันนั้นก็คงสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน แต่ว่ารายหลังนี่น่าจะเป็นกรรมของเด็กด้วย คือเด็กสร้างกรรมใหญ่เกี่ยวกับปาณาติบาตไว้ ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตนเลยก็แท้งแล้ว

อาตมากลัวอย่างเดียว...กลัวว่าลูกของโยมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยพูด แถมดุอีกต่างหาก ถ้าใช่อย่างนั้นจริง ๆ พามาหาอาตมานะ เดี๋ยวจะบอกวิธีจัดการให้"

เถรี 18-04-2012 16:33

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นฆราวาส ไปวัดแต่ละที พาญาติโยมไปวัดกันหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวรุ่น ๆ เรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแต่ยังหางานทำไม่ได้บ้าง อยากไปทำบุญแต่หาคนที่ไว้ใจไม่ได้ คราวนี้พอพ่อแม่เขาเห็นว่าไปกับอาตมา เขาก็ไว้ใจเพราะว่าไปรับและไปส่งตรงเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามจะต้องรับส่งตรงเวลา ก็เลยกลายเป็นที่น่าเชื่อถือ มีแต่คนฝากลูกสาวมา คณะก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

พูดเรื่องนี้ก็นึกถึงหลวงพ่อสมคิด วัดตะเคียนงาม หลวงพ่อสมคิดบวชก่อนอาตมาประมาณ ๕ เดือนครึ่ง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว อาตมาเป็นคนสอนมโนมยิทธิให้ท่านเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชก่อน แต่ท่านกราบอาตมาทุกครั้ง ท่านบอกท่านกราบในฐานะอาจารย์ จะรับหรือไม่รับท่านก็กราบ

หลวงพ่อสมคิดท่านบอกว่า "ผมนึกว่าอย่างไรชาตินี้อาจารย์ไม่ได้บวชแน่แล้ว สาว ๆ ไปด้วยเยอะปานนั้น" ไปกันทีไปเป็นหมู่คณะ ขึ้นรถโดยสารครั้งหนึ่งเต็มไปครึ่งคัน เวลาไปต่างจังหวัดตามหลวงพ่อวัดท่าซุง เขาจะมีการจัดรถตามไป พวกเราไปร่วมบุญด้วย ได้ไปทำบุญวัดต่างจังหวัดด้วย อย่างวัดหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดหลวงพ่อบุญรัตน์ อาตมาเหมือนพี่ใหญ่ของคณะ มีหน้าที่ซื้อตั๋วแจก เหมาทีครึ่งคัน มีอยู่เที่ยวหนึ่งช้ำใจมาก ซื้อตั๋วแล้วน้องคนหนึ่งติดธุระสำคัญไปไม่ได้ ขากลับเลยซื้อตุ๊กตาชาวเขาตัวเท่าคนมานั่งแทน..!

ที่ไปลักษณะนั้นก็ตั้งใจว่าเป็นการสงเคราะห์น้อง ๆ เขาจริง ๆ เพราะว่าบางคนเรียนหนังสืออยู่บ้าง บางคนเรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง อาตมาบอกว่าเงินที่พวกเขามีอยู่ให้เอาไว้ทำบุญ เงินที่เหลืออยากจะซื้อของอะไรก็จะได้ซื้อ ส่วนเรื่องค่ารถ ค่ากิน ค่าอยู่ อาตมารับผิดชอบทั้งหมด ตอนนั้นอาตมาทำงานไม่ได้เงินเดือนเยอะแยะอะไรหรอก ประมาณ ๗ พันบาท แต่ว่า ๗ พันบาทประมาณปี ๒๕๒๐ ถือว่ามาก เพราะว่าอาตมากินไม่เป็น เที่ยวไม่เป็น ไปวัดเป็นอย่างเดียว"

เถรี 18-04-2012 16:53

"เพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกันชอบมายืมเงินอยู่เรื่อย เพราะเขารู้ว่ายืมแล้วไม่ทวงคืน แทนที่จะขอยืม เขาก็มักจะขอลืมไปเรื่อย พอประมาณ ๔ โมงเย็น มองซ้ายมองขวาถ้าท่านผู้จัดการไม่อยู่ ก็พยักหน้าส่งสัญญาณกัน อาตมาเด็กที่สุดในแผนก ก็ไปเอาถังสี ๒๐ ลิตรมาต่อขา ยื่นหน้าโผล่ข้ามรั้วออกไปข้างนอก "ป้า ๆ เหมือนเดิม" เหมือนเดิมของเขาก็คือ เหล้าขาว ๒ ขวด น้ำอัดลมครึ่งโหล ส่วนกับแกล้มแล้วแต่ป้าจะมีในตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็ไข่เจียว

อาตมาได้วิธีทอดไข่เจียวจากป้าที่อยู่หน้าโรงงานไทย-ญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม ป้าสามารถทอดไข่ฟองเดียวได้จานมหึมา ใหญ่มาก ไปถามเคล็ดลับของป้าจนได้มา แล้วอาตมาก็ทอดไข่เจียวฟองเดียวได้เต็มกระทะเหมือนกัน

พอสั่งเสร็จ ป้าเขาก็เอามาส่ง เคาะประตูเรียก ยามก็เปิดประตูเล็กแอบเอาเข้ามา จนกระทั่ง ๕ โมงเย็น กริ่งเลิกงานดังขึ้นก็ติดลมยาวไปยันค่ำ อาตมาเองกินเหล้าไม่เป็นก็กินแต่กับแกล้ม พักเดียวก็โดนเขาไล่ออกมา เพราะคนไม่กินเหล้า เอาแต่กินกับทำให้เปลืองมาก

จะเห็นได้ว่าเรื่องของการคบหาสมาคมกับหมู่ผู้ที่อยู่ในอบายมุข ไม่ใช่ว่าเราจะคบไม่ได้ คบได้..แต่ว่าคบแล้วให้เราไปแค่กรอบของศีล พวกนั้นกินเหล้า สูบกัญชา เล่นไพ่ เล่นไฮโล อาตมาดูจนเป็นหมด พวกนั้นชวนเล่นก็ไม่เล่น บางทีรำคาญขึ้นมา ก็บอกว่า "เออ..มึงถือไป เล่นไป เดี๋ยวกูบอกให้" อาตมาก็บอกจนเพื่อนกินคนอื่นหมด เพื่อนเป็นคนถือไพ่ เขาหัวคำนวณไม่เก่ง อาตมาต้องเป็นคนบอก

อาตมาเคยเล่นพวกนี้กับคุณยายมา คุณยายเป็นสุดยอดมือดัมมี่เลย อายุ ๘๐ กว่านั่งตาใสแจ๋ว ถึงเวลายายจะแจกเงินหลาน ๆ คนละ ๒๐๐ บาท เรียกมาเข้าวงเล่นดัมมี่ แล้วก็โดนยายกินคืนไปหมด ไม่เหลือหรอก ยายให้ก็เท่ากับไม่ได้ให้ แกจำแม่นขนาดว่าใครเก็บตัวไหนขึ้นไป และควรจะมีตัวอะไรอยู่ในมือ แกบอกได้หมดเลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร..?!

บางทีอาตมาคิดว่ายายโกงหรือเปล่า ? ก็ขอเปลี่ยนสำรับ ซื้อไพ่ใหม่ไป ยายก็กินพวกเราเกลี้ยงเหมือนกัน คิดว่าถ้าเป็นสำรับเก่ายายอาจจะจำหลังไพ่ได้ ความจริงไม่ใช่หรอก..แกจำแม่น ใครเก็บตัวไหนขึ้นไป ถ้ามีคู่กันสองตัวแสดงว่าคนนี้ต้องมีตัวที่สาม ไม่อย่างนั้นเขาไม่เก็บหรอก แกคำนวณได้หมด

อาตมาเองเจอยอดเซียนอย่างยายมาแล้ว พอมาเจอประเภทเด็กโรงงาน จะไปเหลือหรือ ? อุตส่าห์ไม่เล่นกับเขาแล้ว ยังมายั่วกิเลส จึงบอกเพื่อนว่า "มึงถือไว้ เดี๋ยวกูบอกให้" กินเสียให้เข็ด จะได้ไม่มาชวนอีก..!"

เถรี 18-04-2012 17:34

"ตอนอาตมาไปอยู่ชายแดนเล่นหมากรุกไม่เป็น เล่นเป็นแต่หมากฮอส พอเล่นหมากรุกไม่เป็นเพื่อนก็รำคาญ เพราะอยู่ชายแดน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ปะทะ ก็ต้องมานั่งเซ็งเงียบ ๆ กันทั้งวัน เพื่อนจึงสอนการเล่นหมากรุกให้ พอเพื่อนสอนวิธีเดินเสร็จ เล่นกันกระดานแรกก็เสมอกัน

สำหรับหมากรุก ถ้ากินขุนไม่ได้อย่างไรก็เสมอกัน ต่อให้เหลือขุนตัวเดียวก็เสมอกัน นับศักดิ์กระดาน ๖๔ ตา ถ้าไล่แล้วไม่จนก็เสมอกัน พอกระดานที่สองอาตมาก็กินเพื่อนหมด จึงบอกว่า "มึงเสียเวลาเล่นจริง ๆ" เดินหมากแล้วผูกกันไปผูกกันมา แล้ว ดันเผลอเอง เพื่อนดูหมากไม่ทั่วกระดานหรือว่าสมองเขาจำไม่ทั่วทุกตัวก็ไม่รู้ พอเขาเผลอขยับก็เสร็จ เพราะหมากผูกยันกันอยู่ ถ้าหากเขาขยับตัวนี้มา เราก็เอาตัวนี้เข้าไปผูกไว้ เอ็งกินตัวนี้ของข้า ข้ากินตัวนี้ของเอ็ง ถ้าขาดทุนก็ไม่กินหรอก ใครลงมือเสี่ยงก่อนคนนั้นก็โดน

เวลาพวกนั้นสูบกัญชา อาตมาไม่ได้สูบกับเขา ไปนั่งลุ้นเวลาพวกนั้นหัวเราะดิ้นพลาด ๆ ไม่มีอะไรหรอก ขนาดกระดาษหนังสือพิมพ์โดนพัดลมเขายังนั่งหัวเราะเลย สูบกัญชาเสียจนเป็นอย่างนั้น ตอนไปแจกของกับหลวงพ่อสมปอง ที่ป่าแม่วงก์ นครสวรรค์ ชาวบ้านเดินมา อาตมาหันขวับไปหาทิดแม็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อสมปอง "เฮ้ย..แม็ก ใช่ไหม ?" "ชัดเลยครับหลวงพี่" "กูก็ว่าใช่" กลิ่นกัญชาชัด ๆ เลย ชาวบ้านเขาดูดกัญชามารับของ รับผ้าห่มที่แจกให้

เรื่องอบายมุข ศึกษาไว้บ้างก็ดี คนจะได้หลอกเราไม่ได้ แต่ไม่ต้องเอาตัวไปลงทุน เล่นไพ่หรือ ? ข้าไม่เล่นกับเอ็งหรอก เพราะว่าสมัยนั้นฝึกงานอยู่ ๓ เดือน เด็กฝึกงานไม่มีอะไรให้นะ นอกจากอาหาร ถ้าหากทำกะกลางคืนก็จะมีอาหารมื้อกลางคืนให้ พอเริ่มบรรจุ ตอนนั้นอาตมาได้วันละ ๒๕ บาท อาทิตย์หนึ่งทำงาน ๖ วัน เงินเดือนออก ๑๕๐ บาท รู้สึกว่าโคตรรวยเลย เอาเงินไปให้แม่จนหมด

ทำงานอยู่ตั้งหลายปีเหมือนกับคนไม่มีเงิน เพราะว่าได้มาเท่าไรก็ให้แม่หมด จนกระทั่งเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก ทำอยู่ ๗ เดือน ไล่จากเด็กฝึกงานไป ช่วง ๓ เดือนแรกไม่มีเงินเดือน ทำอยู่ ๗ เดือนเขาเลื่อนให้เป็นหัวหน้าแผนก เพราะว่าเพื่อนพลิกแพลงปรับปรุงงานไม่เป็น เขาเห็นว่าอาตมามีแววเลยให้เป็นหัวหน้าแผนก ทีนี้เงินเดือนขึ้น ยิ่งรวยเข้าไปใหญ่"

เถรี 18-04-2012 17:47

"คนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น จึงเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ ตอนนั้นสินค้าหลักที่ผลิตของโรงงาน ก็คือ ตู้นิรภัยยี่ห้อโตโยมิสุ ทุกวันนี้ถ้าใครใช้ตู้ยี่ห้อนี้ ถ้ายังไม่เปลี่ยนรหัสมาบอกได้ อาตมาเปิดได้ทุกใบ เขาจะมีรหัสของโรงงานมาทุกใบ ซึ่งจะเหมือนกันหมด แล้วเจ้าของไปตั้งใหม่เอาเอง ใบไหนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนรหัสมาบอกเลย

คนอื่นเป็นหัวหน้าแผนกไม่ได้ เพราะว่าเวลาเถ้าแก่ใหญ่สั่งมาว่า อาทิตย์นี้ต้องออกตู้ให้ได้ ๖๐ ใบ เขาก็จะไม่รู้ว่าต้องคำนวณอย่างไรถึงได้ ๖๐ ใบ อาตมาจะสั่งให้แผนกปั๊ม ให้ปั๊มเปลือกนอกมาเลย ๖๐ ใบ แผนกทำความสะอาดและพ่นรองพื้นสี ๖๐ ใบ วันนี้ต้องเสร็จ แล้วก็ให้แผนกกุญแจปั๊มแผ่นอะลูมิเนียมมาเลย ๖๐ ชุด ภายใน ๓ วันต้องได้ ไล่ไปจนถึงแผนกสีว่าคุณต้องทำเท่าไร วันสุดท้ายงานจะเสร็จพอดี

พอถึงวันเสาร์ อาตมาก็จะพ่นสีขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นสีย่น สีนี้พอพ่นลงไปแล้วจะย่น ๆ อย่างกับหนังงู เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเก็บพื้นให้เรียบ ถ้ามัวแต่เก็บเรียบอยู่จะทำสีไม่ทัน เมื่อเป็นสีย่นอยู่แล้ว ต่อให้มีตามดใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร ในเมื่อคนอื่นเขาคำนวณงานไม่เป็น อาตมาก็ต้องรับตำแหน่งไป เงินเดือนขึ้นจาก ๒๕ บาทต่อวันเป็น ๗๐ บาท แล้วคนกินไม่เป็นเที่ยวไม่เป็น ทำให้เหลือเงินเยอะมาก สมัยนี้หรือ ? จบมาไม่ทันมีประสบการณ์เลย เงินเดือน ๙ พันกว่าบาทแล้ว

วันเสาร์เงินเดือนออก เถ้าแก่ใหญ่จะมาเพื่อจ่ายเงินเดือน แต่ไม่ได้จ่ายเองนะ มาถึงก็เอาเงินให้สมุห์บัญชี สมุห์บัญชีจะจ่ายให้หัวหน้าแผนกแต่ละแผนก เอาไปจ่ายลูกน้องของตนเอง แต่ละคนแต่ละแผนกใช้เงินเท่าไรนั้นตายตัวอยู่ แผนกของอาตมาไม่เคยได้ช้า เพราะว่าอาตมาจะทำบัญชีและคำนวนตัวเลขส่งให้ก่อนทุกครั้ง พอถึงเวลาได้มาก็ให้ลูกน้องเซ็นรับไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่ ป้าแกจะถือบัญชีมายืนรอ พวกที่เคยโผล่หน้ามาตะโกนสั่งโดนหมด "ทำงานเท่าไรก็กินกันจนหมด ไม่รู้เป็นอย่างไร เก็บเงินกันไม่อยู่เลย" บางทีพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ มาแซว "เอ็งเก็บเงินอย่างไรวะ ถึงเก็บอยู่"

เถรี 18-04-2012 17:57

"ตรงจุดนี้ได้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติกรรมฐาน อันดับแรก คือ เรามีกำลังใจเข้มแข็งกว่า สามารถอยู่ในดงอบายมุขได้โดยไม่ไหลตามเขาไป อันดับที่สองก็คือ ในเรื่องของการใช้สมองคำนวณ คนที่ใจทรงสมาธิอยู่ การคำนวณจะง่าย

บางทีอาตมามองใบเสร็จนิดเดียว ก็วางเงินลงไปได้เลย ได้ตัวเลขออกมาแล้ว ระยะหลัง ๆ เมื่อไปซื้อของในตลาดทองผาภูมิ ถ้าไปซื้อเอง หยิบสินค้าเสร็จสรรพ แม่ค้าจะถามอาตมาที่เป็นคนซื้อว่าเท่าไร ? เพราะว่าเขาเคยเอาเครื่องคิดเลขมาไล่กดแล้วไม่เคยทัน อาตมาหยิบเงินให้แล้วบอกว่าต้องทอนเท่าไร ตอนแรก ๆ เขาก็ไม่เชื่อ พอเอาเครื่องคิดเลขมากดหลาย ๆ ครั้ง ได้เท่าที่อาตมาบอกทุกที ตั้งแต่นั้นมาเขาเลิกกดเลย อาตมาหยิบของเสร็จบอกเลยว่าเท่าไร แทนที่จะเป็นคนซื้อ ก็กลายเป็นคนขายไป ขายให้กับตัวเอง

เราจะเห็นประโยชน์ชัด ๆ ว่าสภาพจิตที่นิ่ง เรื่องของการคาดคำนวณสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องโลก ๆ เป็นของง่ายมาก เพราะว่าการดับกิเลส เราต้องดับกิเลสให้ทัน ซึ่งยุ่งกว่านั้น มีรายละเอียดมากกว่านั้น ดังนั้น..ถึงได้กล้าบอกกับเด็ก ๆ เต็มปากเต็มคำว่า ในเรื่องของการเรียน ถ้าเราฝึกสมาธิมา จะเรียนเก่งทุกคน

ตอนนี้อาตมาจบปริญญาโทแล้ว ยังสามารถรักษาที่ ๑ เอาไว้ได้ แต่ปริญญาโทไม่มีเกียรตินิยม ไม่อย่างนั้นจะเอาเกียรตินิยมมาอวดอีกใบ"

เถรี 18-04-2012 18:22

"ถึงเวลาแล้วกำลังใจที่ฝึกมา สามารถต่อสู้กับกิเลสหยาบ ๆ ก็คือพวกอบายมุขต่าง ๆ ได้ แต่เพื่อน ๆ สู้ไม่ได้เพราะว่าเขาไม่เคยฝึกเรื่องนี้มา แต่ว่าเรื่องความจำที่เห็นผลชัดที่สุดคือ ถึงเวลาเลิกงานต้องไปเล่าเรื่อง "เพชรพระอุมา" ให้เพื่อนทั้งแผนกฟัง

หนังสือเพชรพระอุมา ๑๘ เล่มใหญ่ ๆ (ตอนนั้นภาค ๑ ยังเป็นชุดปกแข็ง ๑๘ เล่ม ต่อมาปรับเป็น ๒๒ เล่ม แล้วถึงมาปรับเป็น ๒๔ เล่ม) นั่งเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนนั่งฟังแน่นไม่ไปไหนเลย เพราะว่าสามารถที่จะเล่าได้เหมือนอย่างกับเปิดหนังสืออ่าน เพราะฉะนั้น..ถ้าจำทั้ง ๑๘ เล่มได้นี่ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก"

เถรี 19-04-2012 10:33

ถาม : เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทุกวันนี้อยู่มาได้ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ?
ตอบ : นั่นแหละ..ดีแล้ว เราต้องตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ โรคต่าง ๆ ก็เหมือนกับไม่มี เพราะว่าใจไม่ได้ไปอยู่ที่ร่างกาย ใจไปอยู่ที่ลมหายใจแทน

ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมาคงไม่อยากมีชีวิตอยู่หรอก เพราะทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนอาการจะกำเริบ แล้วคิดดูว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อยขนาดไหน ? ครึ้มฟ้าครึ้มฝนหน่อย อาตมาก็หมดสภาพไปแล้ว

ถาม : วิธีที่ถูกต้องคือ..?
ตอบ : พยายามให้เห็นโทษของร่างกายนี้ จนไม่อยากอยู่กับร่างกายนี้อีก เราไปพระนิพพานดีกว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เราไม่ต้องการอีกแล้ว เกิดมาในโลกที่มีแต่ความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เป็นพรหมเทวดาพ้นทุกข์ชั่วคราวเราก็ไม่เอา เพราะเกิดใหม่เราก็ทุกข์อีก ฉะนั้น..เราไปพระนิพพานที่เดียว

เอากำลังใจเกาะภาพพระหรือลมหายใจเข้าออกไว้ คิดว่าตายเมื่อไรเราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ส่วนโรคจะหายหรือไม่หายก็เรื่องของโรค ไม่ใช่เรื่องของเรา

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาแค่ว่าถ้ารัก โลภ โกรธ หลง มาแล้วเราดูทันก็พอ ไม่ต้องไปดูอย่างอื่น รู้ทันแล้วก็ไม่ต้องไปไล่ฆ่าไล่ฟัน พวกนี้อาย พอรู้ทันเขาก็เลิก มีสติรู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันก็พอ ควบคุม กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบของศีล ถ้าหากความชั่วจะล้นออกมา ก็อย่าให้ล้นออกไปหาคนอื่น ยอมอกแตกตายอยู่คนเดียวดีกว่า

เถรี 19-04-2012 10:45

ถาม : เพียงแค่ให้สวดโพชฌงค์ แล้วหายจากอาการป่วยได้หรือครับ ?
ตอบ : เนื้อหาของโพชฌงค์ท่านบอกให้เราวางกำลังใจอยู่กับหลักธรรม ในเมื่อเอาใจอยู่กับธรรมะไม่ได้อยู่กับร่างกาย อาการป่วยหนักก็กลายเป็นเบา อาการป่วยเบาก็กลายเป็นหาย เพราะสภาพจิตทรงตัวขึ้นมา

ถาม : ฟังแล้วเกิดความสบายใจ ?
ตอบ : ฟังแล้วเหมือนกับอาศัยเสียงสวดมนต์โยงใจให้เป็นสมาธิ สวดไว้ได้ทุกวันแหละดี เพราะเป็นอานิสงส์แก่ตัวเอง อย่างน้อยที่เราทำเป็นการเคารพพระรัตนตรัย ใจเราเกาะพระอยู่แล้ว

เถรี 19-04-2012 11:36

ถาม : ภาวนาแล้วทำไมลมหายใจติดขัดคะ ?
ตอบ : ลองหายใจยาว ๆ ๓ - ๔ ครั้งก่อน แล้วค่อยภาวนา บางทีลมหายใจหยาบ ถ้าหากว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในร่างกายเยอะเกินไป หายใจยาว ๆ สัก ๓ - ๔ ครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยภาวนา

เถรี 19-04-2012 11:38

ถาม : สงสัยในการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น..ถือว่ามีปัญญาด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าสงสัยแล้วให้สามารถไขข้อข้องใจได้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นขวางการปฏิบัติไปเรื่อย เพราะว่าสงสัยไม่เลิก

เถรี 19-04-2012 11:41

ถาม : ป่วยเป็นไซนัส ?
ตอบ : เด็กเป็นไซนัสมีแนวโน้มมาจากภูมิแพ้ อย่าให้กินนมวัวเดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเอง ให้กินพวกนมถั่วเหลือง อย่างนมถั่วเหลืองที่เขาเขียนว่า "เจ" ถ้าเป็นนมถั่วเหลืองทั่วไปจะผสมนมวัว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ กินเข้าไปก็ยังป่วยเหมือนเดิม

เถรี 19-04-2012 11:54

พระอาจารย์เล่าว่า "การสืบสายตามลำดับรุ่น โบราณใช้คำว่า "ผู้ดีแปดสาแหรก" ถ้าพวกเราไปดูตารางสืบสายลำดับรุ่น จะเห็นว่าเขาโยงลงมาเป็นสาแหรก ฉะนั้น..บรรดาตระกูลผู้ดีเขาต้องสืบขึ้นไปได้ ๘ รุ่น ก็เลยเรียกว่าผู้ดีแปดสาแหรก

ฉะนั้น..พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีของเรา เอาแค่สืบสายจากรัชกาลที่ ๑ ลงมา สาแหรกก็มโหฬารแล้ว ส่วนใหญ่ไขว้กันไปไขว้กันมาจนกลายเป็นญาติกันหมด เราสังเกตไหมว่า พอถึงเวลาตรุษจีนในวังจะมีงานสังเวยพระป้าย ก็คือป้ายสถิตวิญญาณของคนจีน อันนั้นก็คือสาแหรกหนึ่งที่มาทางสายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะว่าท่านเป็นจีนแท้เลย ลูกของนายอากรบ่อนเบี้ย

เรามาสังเกตดูพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา "พระองค์โสม" ยังไม่เท่าไร แต่ "พระองค์ภา" ออกไปทางคนจีนชัด ๆ เลย เพียงแต่ท่านดูดีแล้วก็น่ารัก เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเชื้อจีนก็มีอยู่เต็ม ๆ ในราชวงศ์

ถ้าหากว่าสืบสายไปถึง ๘ สาแหรกแล้ว คนจีนใช้คำพูดว่า "ห้าร้อยปีก่อนเรามีปู่ทวดคนเดียวกัน" สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับตระกูลอาตมามี ๕ แซ่ด้วยกัน ถ้าสืบสายขึ้นไปนี่ ปู่ทวดเป็นคนเดียวกัน ท่านมาจากนายทหาร ๘ กองธงที่พิทักษ์ราชวงศ์ชิง คราวนี้พอหยวนซื่อข่ายกับดร.ซุนยัดเซน ล้มล้างราชวงศ์ชิง ก็ต้องตัดแขนตัดขาพวกบรรดาที่เป็นมือเป็นเท้าของทางราชวงศ์ จึงต้องตามล่านายทหารทั้ง ๘ กองธงนี้"

เถรี 19-04-2012 11:58

"ปู่ทวดมีลูกชาย ๕ คน จึงให้เปลี่ยนออกเป็น ๕ แซ่ด้วยกัน ปกติคนจีนต่อให้เป็นตายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแซ่ แต่นี่บรรพบุรุษสั่งจึงต้องเปลี่ยน แล้วให้จดจำไว้ว่าทั้ง ๕ แซ่นี้ก็คือพี่น้องกัน ให้สั่งลูกสั่งหลานไว้เลยว่าถ้าหากว่าเจอ ๕ แซ่นี้เป็นพี่น้องกัน แต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันหลบหนีไป

ทางด้านตระกูลของปู่ ก็คือพ่อเข้ามาเมืองไทย แล้วก็มาเจอสายเดียวกันจริง ๆ แม้ว่าจะคนละแซ่ แต่เรารู้ว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าปู่กับพ่อจะคอยเล่าตำนานเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เสมอ ฉะนั้น..บรรดาลูก ๆ ก็จะจำได้ว่าแซ่ทั้ง ๕ นี้คือญาติพี่น้องกัน แต่คนจีนเขามีการนับกันตามลำดับรุ่น แซ่อื่นเขาไปกันเร็วเพราะแต่งงานเร็ว แต่ว่าทางด้านสายแซ่ของอาตมาแต่งงานช้า ลำดับรุ่นก็เลยสูงมาก ถึงเวลาอายุคนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ต้องเรียกอาตมาเป็นเจ็กกง แปะกง"

เถรี 19-04-2012 16:49

ถาม : ตอนที่คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติ เขาแปลกใจมากที่คนไทยเปลี่ยนนามสกุลง่ายมาก ของเขาจะเปลี่ยนนามสกุลใหม่จะต้องดูว่าสีประจำตระกูลสีอะไร ? มีตราประจำตระกูลอะไร ?
ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่ายังหวงตระกูล คนไทยเขาไม่หวง เพราะปกติเราไม่มีนามสกุลอยู่แล้ว คนไทยเราเริ่มมีนามสกุลสมัยรัชกาลที่ ๖ ขนาดสมัยอาตมาเด็ก ๆ คนทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ เขาสืบสายตระกูลขึ้นไปได้หมดแหละ พอบอกว่าเป็นใครหรือลูกใครเท่านั้นแหละ เขาจะบอกเลย อ๋อ..ปู่เอ็งคนนั้น ทวดเอ็งคนนั้น เขาบอกได้หมดเลย เขาใช้วิธีจำอย่างนี้

แต่พอระยะหลังคนมากขึ้น ๆ จำกันไม่ไหวก็ต้องมีนามสกุลขึ้นมา ขนาดมีนามสกุลแล้ว ลองไปดูทะเบียนราษฎร์สิ ชื่อเดียวกันนามสกุลเดียวกันเป็นสิบ ๆ ก็มี จนกระทั่งบางคนไม่ได้ทำคดีอะไรไว้เลย จู่ ๆ โดนหมายเรียก เพราะชื่อนามสกุลตรงกัน

อาตมาเองตอนเรียนมัธยม มีรุ่นพี่แต่เขามีศักดิ์เป็นหลาน ถึงบอกว่าลำดับตระกูลของตัวเองสูงมาก เขาเป็นรุ่นพี่ ๒ ปีแต่มีศักดิ์เป็นหลาน ชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน เป็นญาติกัน พอเขากลับไปบอกทางบ้าน กลับโดนพ่อเขาด่า บอกว่าดันไปตั้งชื่อเดียวกับอาได้อย่างไร โอ้โห..พ่อเขาพูดออกมาได้ ก็เขาเกิดก่อน สรุปแล้วเขาต้องเปลี่ยนชื่อ คนอาวุโสกว่าได้เปรียบ ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งที่เกิดทีหลัง

บางทีทางไทยเราคิดนามสกุลไม่ทัน ก็ใช้ชื่อปู่ย่าตาทวดมาผสมกันเป็นนามสกุลเยอะแยะไป ส่วนนามสกุลของชาวต่างชาติเองก็มีพวกคาร์เพ็นเตอร์ อาชีพช่างไม้ สมิธ พวกช่างทอง ช่างเหล็ก เขาก็สืบสายกันไปก็ได้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ยังมีนะ นามสกุล ชาวนา ชาวไร่ มีจริง ๆ ยังมีเพื่อนหลายคนที่นามสกุลแบบนี้ นายทะเบียนคิดไม่ทันก็ใส่ไปเรื่อย

เถรี 19-04-2012 16:57

ตอนนี้ที่ทองผาภูมิ พวกบรรดา มอญ พม่า ทวาย กะเหรี่ยง ได้รับบัตรไทยมากขึ้น ขอให้ตั้งชื่อ-นามสกุลใหม่ให้ พระต้องรับภาระหนักมากเลย แล้วอยู่ ๆ ฟ้าก็มาโปรด ทางเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ส่งนามสกุลมาให้ ๑ เล่มใหญ่ เป็นนามสกุลที่สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานมาให้

ฉะนั้น..ใครต้องการนามสกุลก็ไปเปิดหาเอา ถูกใจอันไหนก็ขีดเลือกเอาไว้ นายทะเบียนก็ลงให้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นภาระของพระต้องมาตั้งให้ล้วน ๆ แต่เขามีกติกาว่าตั้งนามสกุลได้ก่อน ส่วนชื่อยังเปลี่ยนเป็นไทยไม่ได้ จนกว่าจะครบ ๕ ปีแล้วเปลี่ยนบัตรใหม่ ถึงจะตั้งชื่อไทยได้ ถ้าภายใน ๕ ปี มีคดีขึ้นโรงพัก จะไม่ได้บัตรไทย เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้ทองผาภูมิสงบเงียบเรียบร้อย ไม่มีคดีอะไรหรอก เพราะเขาอยากได้บัตรไทยกัน

ทองผาภูมิจะแยกออกเป็นจังหวัดจึงต้องเพิ่มประชากร ที่เราเห็นจำนวนเป็นล้านคนนั่นพวกต่างด้าวทั้งนั้น ประชากรไทยจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละ ๓๐ ก็เลยไม่เพียงพอที่จะแยกเป็นจังหวัด ตอนนี้ศาลจังหวัดมีแล้ว ขนส่งจังหวัดมีแล้ว เรือนจำจังหวัดมีแล้ว อะไรที่เป็นของจังหวัดเขาไปตั้งไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ทำงานไปตามปกติ แต่ยังเป็นจังหวัดไม่ได้ เจ็ดแปดปีแล้วก็ยังเป็นไม่ได้สักที

เถรี 19-04-2012 17:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนก็ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อย ๆ ป้ายชื่อเจ้าภาพเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ญาติโยมจ่ายครบแล้ว ๓๕ องค์ ยังขาดอีก ๑ องค์ ความจริงไม่ได้ขาดหรอก แต่อาตมาขี้เกียจโทรไปทวง เจอหน้ากันครั้งหนึ่งโยมก็นึกถึงครั้งหนึ่ง อาตมาไม่มีนิสัยโทรไปทวงใคร ปล่อยเขาตามสบาย..นึกได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เอามาให้เอง

ส่วนสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก ฐานกำลังขึ้นชั้น ๒ อยู่ จริง ๆ คำว่าชั้น ๒ ก็คือ ชั้นแรกนั่นแหละ แต่ว่าเป็นดาดฟ้าข้างบนที่จะไว้ตั้งพระ ข้างล่างที่ยกขึ้นมา ๔ เมตรนั้นจะเอาไว้ทำเป็นห้องประชุม เพราะว่าฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ก็ประมาณห้องโถงนี้เลย (บ้านวิริยบารมี) นึกเอาแล้วกันว่าองค์พระหน้าตัก ๒๑ ศอก จะใหญ่แค่ไหน

จะเทองค์พระวันที่ ๗ – ๑๕ กรกฎาคม ประมาณ ๑ อาทิตย์ ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครต้องการอานิสงส์ไปช่วยกันลุยได้ เดี๋ยวจะสั่งซื้อกระป๋องปูนมาสัก ๓๐๐ ใบ แต่เห็นช่างปูนเขาบอกว่าเสียเวลา เขาเองมีอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ ลักษณะเหมือนอย่างกับกรวยใหญ่ ๆ สามารถเทปูนใส่ยกขึ้นไปปล่อยพรวดเดียวได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาหิ้วกันนาน"

เถรี 19-04-2012 17:07

พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณแม่อยู่คนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วใช่ไหมจ๊ะ ? (โยมตอบว่าใช่) อาตมามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่ เพราะว่าโหงวเฮ้งคุณแม่เขาเป็นแม่หม้ายแล้ว ตำราโหงวเฮ้งของอาตมาแม่นมาก ดูได้ทุกคน จริง ๆ แล้วอยากจะถ่ายทอดให้สาว ๆ เอาไว้ จะได้รู้ว่าคนไหนมีลูกมีเมียแล้วมาหลอกเราหรือเปล่า

แต่คราวนี้ตอนที่เรียนรู้ อาตมาไปสัญญากับอาเจ็กที่สอนให้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่เอาไปข่มขู่คุกคามกันได้ อย่างสมัยอาตมาเรียนมัธยม มีรุ่นพี่คนหนึ่งท้องตอนที่เรียนอยู่ ต้องย้ายหนีไปจังหวัดอื่นเลย เพราะโดนเขาด่ากันทั้งตำบล สมัยก่อนเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้เลย

เวลาอาตมาไปขอเรียนโหงวเฮ้ง ท่านก็เลยต้องบังคับ ให้สาบานเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะกลัวคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมจะเอาไปหักหลังคนอื่น ไปข่มขู่เขา ว่าฉันรู้ความลับแกนะ ถ้าไม่จ่ายเงินมาฉันจะเปิดเผยให้หมดเลย อะไรอย่างนี้

เวลาที่บอกโยมบางคนว่าดูออกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้นมีสามีหรือภรรยามาแล้วหรือยัง ? กำลังมีอยู่หรือไม่ ? บางคนไม่เชื่อ แต่นี่ยืนยันได้ว่าอาตมาดูแม่น แค่มองหน้าก็รู้แล้ว ไม่ใช่ทิพจักขุญาณหรอก เป็นเพราะโหงวเฮ้งจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีสามีภรรยาแล้วจะมาทำเนียนหลอกอาตมาไม่ได้หรอก หลอกได้แต่คนอื่นเท่านั้น"

เถรี 19-04-2012 17:26

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยว่า "สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกประมาณล้านปีข้างหน้า พวกเราจะอยู่กันถึงหรือเปล่า ? พระองค์ทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของพระองค์ท่านด้วยนะ ไม่ใช่ศอกของเรา พระองค์ท่านมีภารกิจอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาสังขารของพระมหากัสสปะมาเผาในพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน เนื่องจากเวรกรรมที่เนื่องกันมาในอดีต

ในอดีตพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง พระมหากัสสปะเป็นช้างทรงของพระเจ้าแผ่นดิน วันนั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสอุทยาน อุทยานสมัยก่อนมีลักษณะเหมือนกับอุทยานแห่งชาติสมัยนี้ คือเป็นป่าส่วนพระองค์ของพระราชา ปรากฏว่าช้างทรงอยู่ ๆ ก็วิ่งเตลิด พระราชาหลบกิ่งไม้ใบหญ้าแทบไม่ทัน ท้ายสุดเห็นว่าอันตรายมาก ก็เลยคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เตี้ย โหนพระวรกายขึ้นไปอยู่ข้างบน จึงรอดไปได้

พอกลับมาพระองค์พิโรธมาก ว่าควาญช้างฝึกช้างประสาอะไร ถึงได้เตลิดขนาดนั้น ตั้งใจจะลอบปลงพระชนม์หรืออย่างไร จะสั่งประหารชีวิต ควาญช้างกราบทูลว่า ช้างทรงน่าจะได้กลิ่นช้างตัวเมีย ก็เลยเตลิดหายไป ไม่อย่างนั้นแล้วช้างทรงเชือกนี้สามารถบังคับได้ทุกอย่าง พระราชาไม่เชื่อ บอกว่าให้ทดสอบดู ถ้าบังคับไม่ได้อย่างที่ว่าก็จะประหารเสีย

ควาญช้างก็เลยต้องไปตามช้างทรงกลับมา ตอนนั้นช้างทรงเจอช้างตัวเมียพอใจแล้วก็ยอมกลับ กลับมาถึงพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งว่า ไหนลองบังคับช้างให้ได้อย่างที่ปากพูดสิ ควาญช้างก็เลยเอาแท่งเหล็กเผาจนแดง แล้วบังคับให้ช้างเอางวงจับแท่งเหล็กนั้นขึ้นมา ช้างก็ยอมเอางวงจับแท่งเหล็กขึ้นมา แต่คราวนี้ด้วยความที่แท่งเหล็กร้อนจัด ช้างทนไม่ไหวก็เลยตาย

พระราชาเห็นก็สลดพระทัยว่า โอหนอ...ไฟราคะรุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ? ขนาดช้างทรงที่เชื่องเชื่อขนาดนี้ ควาญช้างบังคับให้หยิบแท่งเหล็กแดง ๆ ยังกล้าหยิบได้ แต่ถึงเวลาแล้วกลับไม่ฟังการบังคับเลย เตลิดไปหาช้างตัวเมียด้วยอำนาจของไฟราคะ เพราะเหตุนี้เมื่อช้างมาเกิดใหม่เป็นพระมหากัสสปะ พอพระมหากัสสปะมรณภาพก็ยังไม่สามารถที่จะเผาสังขารของตนเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดการไม่ได้ ต้องเก็บสังขารเอาไว้ก่อน รอพระศรีอาริยเมตไตรยที่เป็นควาญช้างมาเกิดใหม่ แล้วเผาด้วยเตโชธาตุในฝ่าพระหัตถ์

เรานึกดูว่าพระมหากัสสปะสูง ๘ ศอกของสมัยพุทธกาล กับ ๘๘ ศอกของพระศรีอาริยเมตไตรย เทียบแล้วพระมหากัสสปะก็น่าจะประมาณถั่วสักเมล็ดในฝ่ามือเท่านั้น แล้วเผาด้วยเตโชธาตุ เตโชธาตุนี้อธิษฐานให้เผาแค่ไหนก็เผาแค่นั้น ถ้าตั้งใจจะเผาแต่เสื้อผ้า แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ไหม้ ท่านเองก็ไม่ร้อนอะไรหรอก แต่ว่ากรรมเนื่องกันมาจึงต้องทำอย่างนั้น"

เถรี 20-04-2012 09:30

"ถ้าใครต้องการจะไปเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติในกรรมบถสิบเป็นปกติ แล้วตั้งใจไปเกิดในยุคของท่าน ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกคณะไปพระนิพพานเลย แต่ว่ารอนานนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีดี มีเลว มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ มีรวย มีจน ปะปนกันไป

ถ้าหากว่าเป็น พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ สร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารจะดีสวยรวยเสมอกันหมด เขตที่พระองค์ท่านประกาศศาสนา คนชั่วเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะแบบพระศรีอาริยเมตไตรย บริวารนอกจากดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้เลย สรุปว่าที่สร้างบารมีแทบเป็นแทบตายก็คือทำเพื่อบริวาร ยอมเหนื่อยกว่าท่านอื่นเป็นเท่า ๆ ตัว

อาตมานึกว่าแค่คนชั่วเข้ามาในเขตไม่ได้ก็ดีใจจะแย่แล้ว..ใช่ไหม ? นี่โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดเฉพาะคนดีที่เป็นบริวารท่าน แล้วเทศน์กันทีก็ยกคณะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาฟังกันนาน

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนให้ทำบุญแล้วอธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริยเมตไตรย อาตมาก็ว่าตามเขามาตลอด กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน ก็ตอนอายุ ๑๖ ปีแล้วได้มาเจอหลวงพ่อฤๅษี พอเวลาท่านนำอธิษฐานจึงได้ขอให้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

อาตมาก็คิดว่า เอ..ลุงมัคคนายกแกอธิษฐานทีไร ก็ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ส่วนหลวงพ่อท่านเอาชาติปัจจุบันนี้ แค่คิดดูเท่านั้น หลวงพ่อท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าต้องการก็ชาตินี้ มัวแต่ไปรออนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ชาติไหนไม่รู้ ลำบากอีกนาน มีใครเคยเจออนาคตกาลแบบอาตมามาบ้าง ? "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ" ทำบุญเมื่อไรมัคคนายกก็นำอธิษฐานแบบนี้ทุกที"

เถรี 20-04-2012 09:36

"จริง ๆ แล้วคำว่ามัคคทายกเรียกว่าทายกไม่ได้นะ ต้องเรียกนายก เพราะว่าคำเต็ม ๆ คือ มัคคนายก นายกแปลว่าผู้นำ มัคคะแปลว่าหนทาง มัคคนายก คือ ผู้นำทางในการทำความดี

ถ้ามัคคทายก ทายกแปลว่า ผู้ให้ ผู้ให้ทาน (การสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์) เขาเอามาปนกันระหว่างคำว่า มัคคนายกที่เป็นคำถูกต้อง + คำว่าทายก กลายเป็นมัคคทายก เป็นคำผิด ฉะนั้น..ที่ถูกต้อง คือ มัคคนายก"

เถรี 20-04-2012 09:46

พระอาจารย์เล่าถึงชื่อเก่าของแต่ละจังหวัดว่า "สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปวัดท่าซุง ที่พักของโยม คือ ศาลาธรรมสถิตย์ โยมเข้ามาพักกันเป็นคณะ ห้องหนึ่ง ๒๕ – ๓๐ คน หลวงพ่อท่านร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เย็น ๆ จึงลงไปเยี่ยมญาติโยมที่มาทำบุญ ชวนโยมคุย

โยมเขามาคณะเดียวกัน หลวงพ่อถามโยมคนแรกว่า "มาจากไหน ?" "มาจากโคราชเจ้าค่ะ" "แล้วของโยมล่ะ ?" "มาจากนครราชสีมา" "มาคนละจังหวัดได้ ไหนบอกคณะเดียวกัน" บางทีเพราะความเคยชิน เขาไปเรียกชื่อเก่าเมืองเก่า อย่างสระบุรีสมัยก่อนเรียกปากเพรียว ปทุมธานีเรียกสามโคก นครปฐมยังเป็นนครชัยศรีอยู่ สมุทรปราการก็เป็นพระประแดง

เวลาไปเรียกชื่อเก่าเข้า คนรุ่นหลัง ๆ บางทีไม่รู้จัก อย่างที่เขาว่า "..พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว.." เปลี่ยนจากสามโคกเป็นปทุมธานี สมัยก่อนที่ชื่อสามโคกเพราะว่าพวกบรรดามอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ให้ไปอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าสามโคก ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ชื่อสามโคกหรอก ตรงนั้นเป็นทุ่งนากับป่าละเมาะ เหมาะที่จะทำไร่ทำนา

แต่พวกมอญมีฝีมือในการเผาอิฐแล้วก็ทำภาชนะด้วยดินเผา เขาก็เลยก่อเตาเผาขึ้นมา ทำไปทำมาขายดี เพราะว่าคนไทยทำได้ไม่ดีเหมือนของคนมอญ ในเมื่อขายดีก็ขยายใหญ่ขึ้น มีเตาที่ ๒ เตาที่ ๓ คราวนี้เตาใหญ่ขึ้น เวลาทิ้งร้าง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นคลุมก็กลายเป็นเนินใหญ่ เขาเลยเรียกโคก จะผ่านไปตรงนั้นพอคนเขาถามว่าไปไหน ? "ไปทางสามโคก" ไป ๆ มา ๆ ชื่อก็เลยกลายเป็นเมืองสามโคก ชื่อบ้านนามเมืองเขามีที่มา แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้จักชื่อเก่ากัน"

เถรี 20-04-2012 09:53

"นครปฐมมีศาลายาทุกคนรู้จัก แล้วศาลาธรรมสพน์รู้จักไหม ? ศาลาธรรมสพน์ตัวนี้เป็นภาษาสันสกฤต จริง ๆ แล้วสมัยโบราณตรงนั้นเป็นที่เผาศพ เขาเรียกศาลาทำศพ ก็คือเอาศพไปทำกันตรงนั้น รักษาที่ศาลายาไม่หาย ก็ยกไปเผากันที่ศาลาทำศพ

แต่ทีนี้พอคนได้ยินชื่อแล้วรู้สึกหวาดเสียว ทางราชการก็เลยเปลี่ยนเป็น ศาลาธรรมสพน์ แต่กลายเป็นธรรมสวนะ คือศาลาฟังธรรม ทีนี้ภาษาบาลีเป็น ว.แหวน พอไปเป็นสันสกฤต เขาเปลี่ยนเป็น พ.พาน จากธรรมสวนะจึงกลายเป็นธรรมสพน์ ไปรักษาที่ศาลายา รักษาไม่หายก็แปลว่าอีกไม่นานก็ต้องมาที่ศาลาทำศพ

ไม่มีใครเขาสงสัยบ้างหรือว่า ตลิ่งชันอยู่กรุงเทพฯ คือกรุงธนบุรีเก่า แล้วทำไมท่าแฉลบไปอยู่นครปฐม ? เขาเรียกตามลักษณะแม่น้ำลำคลองสมัยก่อน ท่าน้ำที่มีลาดขึ้นยาวมากเขาเรียกท่าแฉลบ บางคนเรียกง่าย ๆ ท่าน้ำตื้น แต่ทางธนบุรีดินถล่มอยู่เรื่อย ตลิ่งเกือบจะตั้งฉากเลย เขาจึงเรียกตลิ่งชัน ตรงส่วนที่ก่อนจะถึงเขาเรียกว่างิ้วราย เพราะว่ามีต้นงิ้วริมคลองเรียงเป็นตับ

คำว่ารายในที่นี้คือเรียงราย มีศาลายา มีสถานีรถไฟต้นสำโรง สำหรับต้นสำโรงนี่เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะเดียวกับตระกูลต้นนุ่น ชอบขึ้นใกล้น้ำ เพราะฉะนั้น..นครปฐมจะเป็นต้นสำโรง ถ้าลพบุรีจะเป็นโคกสำโรง"

เถรี 20-04-2012 10:57

พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อสมปองเอาผ้าป่าไปถวายที่เกาะพระฤๅษี เฉพาะเหรียญสลึง ๑ ถังสังฆทานพอดี..! คนถวายคงปลื้มใจมากเลย อุตส่าห์ไปแลกเหรียญสลึงมาถวายโดยเฉพาะ เหรียญใหม่เอี่ยมเลยนะ อาตมานับแทบตายได้มา ๗ พันบาทถ้วน..!

ต่อไปคนประเภทนี้เวลาได้อะไร เขาจะต้องได้ของประเภทแกะออกสัก ๕๐ ชั้น แล้วเหลือของข้างในนิดหนึ่ง เขาตั้งใจแลกมาถวายด้วยความปลื้มใจมาก ถวายเหรียญใหม่ ๆ แต่เล่นเอานับกันแทบตาย"

เถรี 20-04-2012 11:04

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "ถ้าใจอยู่กับตัว มีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไร เราก็จะไม่ตกใจ แต่ถ้าใจไม่อยู่กับตัว ออกนอกแล้ววิ่งกลับเข้ามารับรู้เร็ว ๆ เขาเรียกว่าตกใจ เพราะฉะนั้น..อย่าส่งใจออกนอก"

เถรี 20-04-2012 11:48

1 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ทองผาภูมิของที่ออกมากเป็นของป่า มีดอกดินเต็มตลาดเลย นอกจากนี้ก็มีผักกูด บุก อีลอก อีลอกก็คือบุกชนิดหนึ่ง พอฝนลงมาของป่าก็ออกกันเต็มไปหมด


ตอนนี้ในเว็บวัดท่าขนุนกำลังสอนการยังชีพในป่ากันอยู่ ในป่าของที่กลัวว่าจะกินผิดจริง ๆ ก็คือหนามขี้แรด หน้าตาเหมือนกับชะอมทุกประการเลย คนที่ไม่เคยชินจะคิดว่าเป็นชะอม แต่อย่าเอามากินเป็นอันขาด ถ่ายท้องถึงตาย..! ถ้าหากว่ารอบคอบสักหน่อย เด็ดสักยอดสองยอดก็จะรู้แล้วว่าไม่ใช่ชะอม เพราะไม่มีกลิ่น ชะอมจะมีกลิ่นฉุน ส่วนหนามขี้แรดไม่มีกลิ่น ของที่จะกินผิดก็คือของที่เราไม่คุ้นเคย แต่มีหน้าตาไปคล้ายของที่เราเคยกิน



การหาของกินในป่า บางทีก็ขึ้นอยู่กับดวง เจออะไรก็ต้องกินอย่างนั้น บางอย่างไม่ใช่ว่าเราเดินไปแล้วจะเจอเต็มไปหมดนะ บางทีเดินเป็นวันก็ยังไม่เจออะไรเลย อย่างอาตมาที่ไปกับท่านโมเช่ เดินอยู่ ๓ วันเจอแต่ดงต้นชะอม ตกลง ๓ วันนั้นกินแต่ชะอมทุกวัน กินจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เข็ดไปตาม ๆ กัน เพราะเดินไม่พ้นเขตชะอมเสียที

ด้วยความที่ว่าเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับต้นชะอมมา ก็คิดว่าชะอมเป็นไม้ยืนต้น ความจริงแล้วชะอมเป็นไม้เลื้อยกึ่งยืนต้น แต่ชะอมที่บ้านเราเป็นไม้ยืนต้นเพราะเขาทำในลักษณะปลูกเป็นรั้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะเลื้อย เพราะยาวขึ้นมาก็โดนเด็ด ไปเจอในป่าเลื้อยเถาหนึ่งนี่เต็มภูเขาไปเลย เดินมุดเดินลอดกันไป เก็บไปเรื่อย ๆ ท่านโมเช่ท่านเป็นตาฤๅษี ท่านก็เก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ๆ พอได้เวลามื้ออาหารก็เอามาทำกิน

จะไปหวังชะอมทอดไข่ก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในป่า อย่างเก่งก็ต้มจิ้มน้ำพริก บางเที่ยวเดินไปตลอดทางก็เจอแต่ผักกูด ผักกูดจะว่าไปก็อร่อย แต่ว่าเจอเข้าไปหลาย ๆ วันก็เริ่มเบื่อเหมือนกัน"

เถรี 20-04-2012 12:03

ถาม : ชาวบ้านเขาบอกว่าสร้างโบสถ์เสร็จเจ้าอาวาสจะตาย ?
ตอบ : เขาถือกันอย่างนั้น ความจริงสมัยก่อนเขาสร้างโบสถ์กันทีหลายสิบปีกว่าจะเสร็จ แล้วเจ้าอาวาสมักจะแก่ตายพอดี เพราะใจมุ่งอยู่กับการสร้างโบสถ์ก็อยู่ได้ พอโบสถ์เสร็จกำลังใจคลายตัวก็ตายพอดี คราวนี้พอเจอตายเข้า ๒ – ๓ ราย ติด ๆ กันเขาก็เลยถือ เพราะฉะนั้น..ช่วงที่เขาผูกพัทธสีมาจะให้เจ้าอาวาสไปอยู่ที่อื่น เข้าใจว่าจะได้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมนั้นไป

ความจริงเป็นความเชื่อเฉย ๆ ถามว่าต้องไปไหม ? ชาวบ้านเขาเชื่อ คุณไปเสียหน่อยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรขึ้นมา ชาวบ้านเขาเครียดตายเลย อย่างน้อย ๆ ให้โยมเขาได้ทำตามความเชื่อหน่อย กำลังใจเขาจะได้ดีขึ้น

ถาม : ลูกนิมิตลูกที่เก้า..?
ตอบ : เขามีเอาไว้ให้ครบเก้า แล้วดันเป็นนิมิตลูกที่แพงที่สุดด้วย จริง ๆ แล้วลูกนิมิตเขาต้องการแค่ ๘ ลูกเท่านั้น ลูกตรงกลางไม่ต้องมีก็ได้ แต่ว่ากลายเป็นว่าเขาต้องการเลข ๙ ซึ่งเป็นเลขที่เรานิยมว่าเป็นมงคล

ความเชื่อของชาวบ้าน เราไม่ทำตามก็อยู่ยาก เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบวินัยและกฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่บังคับคนในสังคม อย่างสังคมพระก็เป็นระเบียบวินัย หากเป็นสังคมชาวบ้านก็เป็นกฎหมายบ้านเมือง ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นความเชื่อซ้อนอยู่อีกชั้น ในเมื่อเขาเชื่อว่า ถ้าหากว่าผูกพัทธสีมาแล้วเจ้าอาวาสจะตาย คุณก็ต้องเชื่อตามเขา ถึงเวลาเขาก็ไล่เจ้าอาวาสไปไกล ๆ วัด ให้ไปอยู่ที่อื่น ผูกพัทธสีมาเสร็จแล้วค่อยกลับวัด

เถรี 20-04-2012 17:19

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ญาติโยมมาบ้านวิริยบารมีมาก แต่บ่นว่ารถติดเพราะขบวนธุดงค์ อาตมาเองก็นึกว่าธุดงค์น่าจะอยู่ในป่า ท้ายสุดก็สรุปได้ว่าเขาธุดงค์กันในป่าคอนกรีต เขาทำถูกแล้ว อาตมาคิดผิดเอง

การธุดงค์ในป่าคอนกรีตก็มีอันตรายจากรถยนต์ เหมือนอย่างกับเดินอยู่กลางโขลงช้าง จะโดนเหยียบแบนเมื่อไรไม่รู้ แต่ว่าธุดงค์แบบนี้ก็ดีนะ ช่วยให้เจ้าของสวนกุหลาบได้เงินเยอะขึ้น เพราะเขาเอากลีบกุหลาบมาโรยให้เดิน แต่ความจริงถ้าหากว่าต้องการให้รู้สัจธรรมชีวิตจริง ๆ ก็ควรจะเอาหนามกุหลาบโรยไปด้วย..!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บอกว่า "..ฯลฯ..การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดทรมา ในสายฝนมีสายฟ้า ในผาทึบมีถ้ำทอง..ฯลฯ" อยากรู้สัจธรรมจริง ๆ ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดและความยากลำบากบ้าง

ป.ล. ห้ามคัดลอกข้อความนี้ออกไปเผยแพร่นอกเว็บค่ะ

เถรี 21-04-2012 15:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "นางมณีเมขลาเป็นผู้ควบคุมบรรยากาศ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่า ช่วงนี้มีการสั่งการผิดพลาดหรืออย่างไร อากาศก็เลยมั่วไปหมด เรื่องพวกนี้เป็นไปตามความประพฤติของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์ไม่อยู่กับร่องกับรอย ดินฟ้าอากาศก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกัน

การทำฝนเป็นเรื่องยาก แม้ว่าเราผลิตฝนเทียมได้ แต่ฝนธรรมชาติก็ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เทวดามาก เทวดาที่เกี่ยวข้องกับฝนก็มีวายุเทพบุตร
ปชุนนเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตลาเทพบุตร
มีวรุณเทพบุตรเป็นหัวหน้าทีม กว่าจะผลิตฝนได้แต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าวรุณเทพบุตรอยู่ในตำแหน่งของเทวราชา ถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปลัดกระทรวงหรืออธิบดี ฟังชื่อแล้วคุ้นหูบ้างไหม ? วรุณเทพบุตรก็คือพระพิรุณ ถ้าจะคุ้นหูก็คุ้นหูท่านนี้"


ถาม : การแห่นางแมวเพื่อให้ฝนตก ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความเชื่อ แต่ถ้าตั้งใจทำด้วยความเคารพก็ได้ผลเหมือนกัน การแห่นางแมวแล้วฝนตก เทวดาเขาคงสงสารแมว เพราะโดนน้ำรดเอา ๆ แล้วแมวเกลียดน้ำที่สุด สัตว์ตระกูลเสือตระกูลแมวจะไม่ชอบน้ำ ต่อให้ร้อนแค่ไหน ลงน้ำตูมเดียวขึ้นมาก็รีบสะบัดเกลี้ยง ถึงเวลาเอาแมวมาทรมาน เทวดาทนดูไม่ได้ก็ต้องให้ฝน สรุปแล้วเทวดาดีเหมือนเดิม แต่คนไม่ได้เรื่อง เพราะเอาสัตว์มาทรมาน

ถ้าจะห้ามฝนเดี๋ยวให้ไปปักตะไคร้ ไม่ใช่ยิ่งปักยิ่งตก ความเชื่อถือในตอนแรกเขาให้สาวพรหมจารีย์เป็นคนไปปักตะไคร้ ไป ๆ มา ๆ เขาเปลี่ยนเป็นแม่ม่ายไปปักตะไคร้ สงสัยจะหาง่ายกว่า การปักตะไคร้ต้องเอาโคนขึ้นเอาปลายลง

ถ้าหากว่าเราสังเกตดู แม้กระทั่งคำว่า "นางแมว" ก็แปลว่าเป็นเพศหญิง หรือจะเป็นสาวพรหมจารีย์หรือว่าแม่หม้ายที่ไปปักตะไคร้ก็เป็นเพศหญิง แสดงว่าในสังคมของเรายกย่องผู้หญิงเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อยกย่องผู้หญิงให้เป็นใหญ่บ้าน เราก็เลยไม่มีการเรียกร้องสิทธิสตรี จะเรียกร้องไปทำไมเพราะมีอยู่แล้ว

เถรี 21-04-2012 15:58

ถาม : เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ลงเรือที่หาดราไวย ถามเรือแถวนั้นแล้วเช่าเรือไป แต่ว่าเลือกฤดูให้ถูก เพราะว่าบางจังหวะคลื่นแรง เทียบข้างหน้าเกาะไม่ได้ ต้องไปหลังเกาะ

ตอนที่อาตมาไปเป็นฤดูที่คลื่นแรง แต่ว่าเจ้าที่ท่านช่วย วันนั้นก็เลยวิ่งเรือด้วยสองแรงพญานาค สิบกว่านาทีถึง ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะปกติวิ่งเรือกันครึ่งชั่วโมง แต่คณะของเราไปด้วยสองแรงพญานาค วิ่งพักเดียวก็ถึง คลื่นแรงขนาดไหนไม่รู้ แต่เรือเทียบหน้าเกาะให้เฉยเลย ไปกับเจ้าถิ่นก็สบายหน่อย

ถาม : ควรจะไปช่วงเดือนประมาณไหนครับ ?
ตอบ : เดือนมกราคมคลื่นลมจะเบา แต่ถ้าไปแล้วเจอสึนามิพอดี รับรองจะประทับใจไปตลอดชีวิต..!

เถรี 21-04-2012 16:04

แต่สึนามิทำเอาหลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ทลี) ตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคม ตอนนั้นหลี่เหลียนเจี๋ยไปเที่ยวเกาะมัลดีฟแล้วเจอสึนามิ คว้ามือภรรยากับลูกข้างละคนวิ่งหนี มารู้ตัวอีกทีไม่รู้ลูกและภรรยาหลุดมือไปไหนแล้ว ส่วนตัวเองโดนคลื่นซัดกระแทกไปติดอยู่บนยอดไม้ พอลงมาได้ก็นั่งร้องไห้ รอบข้างมีแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด

สำนึกตัวเองได้ว่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ในจอไม่มีประโยชน์เลย เพราะช่วยลูกและภรรยาตัวเองไม่ได้ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ชาวบ้านจูงลูกและภรรยามาคืนให้ ชาวบ้านจำได้เพราะพวกเขาไปเที่ยวอยู่หลายวัน จำได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หลี่เหลียนเจี๋ยมัวแต่ร้องไห้ดีใจที่ได้เจอภรรยากับลูก หันมาอีกทีชาวบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าเขาชื่ออะไร จำหน้าไม่ได้ด้วยเป็นใคร ชาวบ้านเขาก็ไม่ได้ทวงบุญทวงคุณหรือต้องการค่าตอบแทนอะไรเลย พามาส่งเฉย ๆ แล้วก็ไป

เขาก็เลยสรุปฟันธงว่า มัวแต่เป็นพระเอกอยู่ในจอไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นพระเอกนอกจอด้วย กลับบ้านไปก็เลยไปตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนลำบาก ชาวบ้านที่ยากจน เพราะว่าตัวเองรอดมาได้ก็เพราะชาวบ้านช่วยลูกช่วยเมียเอาไว้

หลี่เหลียนเจี๋ยนั้น ประเทศจีนขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต ไม่ใช่คนแก่นะ เพราะตอนที่ขึ้นทะเบียนเขาอายุไม่มากหรอก เล่นหนังเรื่องเสี้ยวลิ้มยี่ แสดงวิทยายุทธที่แท้จริง เพราะว่าเขาศึกษาวิทยายุทธจนกระทั่งรู้จริง สามารถแสดงได้จริง ใช้ในการต่อสู้ได้จริง ก็เลยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต

เถรี 21-04-2012 16:10

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อสักสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาฝันแปลก ๆ ฝันว่าได้ลูกแรดมาตัวหนึ่ง มีนอขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็วุ่นวายสิ..เพราะว่าต้องหานมมาเลี้ยง ปรากฏว่าขวดนมใหญ่ ๆ ก็ไม่มี มีแต่ขวดนมเด็ก แล้วจะไปเลี้ยงได้อย่างไร ? ขวดหนึ่งแรดดูดสามทีก็หมดแล้ว..!

ท้ายสุดแรดต้องบริการตัวเอง ด้วยการเดินไปกินใบไม้หน้าตาเฉย เพราะเห็นว่า ถ้าขืนรออาตมาชงนมให้กินคงหิวตายก่อนแน่ ๆ ดูแล้วก็ขำ ๆ ตัวเองว่า เออ..ร้อยวันพันปีจะฝันสักที ดันฝันเรื่องแบบนี้ แล้วบ้านเราจะไปหาแรดได้ที่ไหน ?"

เถรี 21-04-2012 16:15

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาขี้แมลงสาบเผาไฟ แล้วตำป่นผสมน้ำผึ้ง กวาดคอให้เด็กแล้วจะไม่เป็นซาง ไปหาแมลงสาบมาใส่ลังไว้สัก ๗ - ๘ วันเดี๋ยวก็ขี้ออกมาเอง

ถาม : จะเอาอะไรให้แมลงสาบกินครับ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเดี๋ยวเขาก็แทะลังกินเอาเอง ไม่ต้องไปห่วงแมลงสาบหรอก แมลงสาบเอาตัวรอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่ลดขนาดตัวให้เล็กลงเท่านั้น ฉะนั้น..แมลงสาบเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้คนตายหมดทั้งโลกก็เชื่อว่าแมลงสาบยังอยู่

เถรี 21-04-2012 16:41

ถาม : ไปแจกยันต์เกราะเพชรทางใต้ ถ้าเอายันต์เกราะเพชรมาติดเสื้อเกราะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรไม่ได้ทำให้หนังเหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์

ถาม : ถ้าเอายันต์ไปติดข้างในเสื้อจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่เรา แต่ยืนยันว่ายันต์เกราะเพชรไม่ได้ช่วยให้เหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาไว้ป้องกันลูกปืน

หน่วยจู่โจมจะได้รับการสอนมาว่าให้ยิงหัว เพราะตรงหัวไม่มีอะไรกันได้ แต่ที่ยิงตัวนั้นเพื่อประกันความเสี่ยงไว้ก่อนว่าต้องโดน เพราะว่าตัวเป็นเป้าที่ใหญ่กว่าหัว แต่ว่าเขามักจะใส่เสื้อเกราะ แล้วเขายังสอนเอาไว้อีกว่า ถึงเวลาแล้วให้ยิงซ้ำทุกศพ ป้องกันพวกแกล้งตาย เพราะฉะนั้น..ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงเขาไม่ตายจริง ๆ ก็โดนยิงซ้ำจนตาย..!

เถรี 21-04-2012 16:53

ถาม : ขายอาวุธปืนบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาวุธทุกชนิดเป็นมิจฉาวณิชา ไม่ใช่บาปโดยตรง เพราะเราไม่ได้บังคับให้เขาเอาไปฆ่าใคร คนที่เอาไปใช้ฆ่าต่างหากที่บาป พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พุทธมามะกะไม่ควรทำเพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะตำหนิเอาได้

เดี๋ยวนี้เห็นคนไทยเขาพัฒนา เอาผ้าไหมมาทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ป้องกันได้แต่ปืนสั้น พวกปืนไรเฟิลจู่โจมจะกันไม่ได้ ปืนที่มีความเร็วไม่เกิน ๑,๕๐๐ ฟุตต่อวินาทีกันได้ แต่พวกไรเฟิลจู่โจมความเร็วเกิน ๒,๐๐๐ ฟุตต่อวินาทีทั้งนั้น อำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ามาก ต่อให้กันได้จริง ๆ พอไปเจอ .๓๕๗ หรือ ๑๑ ม.ม. ก็เรียบร้อยเหมือนกัน ยิงไม่เข้าแต่กระดูกหัก..!

เถรี 21-04-2012 17:06

สมัยที่อาตมาอยู่ชายแดน เบิกเสื้อเกราะกันกระสุนไปไม่ได้ใช้หรอก โยนทิ้งไว้บนเตียงเฉย ๆ เพราะทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว เหมือนอย่างกับว่าตัวเราไม่สามารถที่จะบิดหมุนไปตามทิศทางที่ต้องการได้ แข็งทื่อเป็นผีดิบ ตอนสมัยอาตมาอยู่ชายแดนมี ๒ อย่างที่ไม่เอาเลย คือระเบิดขว้างกับเสื้อเกราะกันกระสุน

สำหรับระเบิดขว้าง เพื่อนอาตมาชอบพกเท่ ๆ เกี่ยวไว้บนล่างรอบเอวไปหมด อาตมาเลยแถมให้ "มึงเอาของกูไปด้วย" ลองนึกดูว่าถ้าเราพกระเบิดอยู่แล้วเราหมอบ ข้าศึกยิงเราไม่ถูก แต่ไปถูกระเบิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่เอาด้วยหรอก ส่งให้เพื่อนไปเลย แหม..ทำเท่พกซะรอบตัว..!

ถาม : ถ้าใส่เสื้อเกราะรุ่นนี้จะหนักไหมคะ ?
ตอบ :หนักมาก..เพราะว่าพอร่างกายล้า ๆ น้ำหนักครึ่งกิโลกรัมก็แย่แล้ว นี่ตั้ง ๘ กิโลกรัม ต้องสำหรับฝรั่งไม่ใช่คนไทย อย่าลืมว่าเครื่องหลังเต็มอัตราของทหารแค่ ๑๓ กิโลกรัม เสื้อเกราะตัวเดียว ๘ กิโลกรัม แล้วใครจะไปอยากได้

ที่อาตมาไม่ได้สนใจ โยนเสื้อเกราะคืนคลังไปก็เพราะว่าเคยทดลองมาแล้ว เอาเสื้อเกราะ ๓ ตัวเรียงกัน ยิงด้วย เอ็ม.๑๖ ทะลุฉุยเลย แล้วอาตมาจะใส่ไปทำไม ? อย่างดีก็เลือดออกน้อยหน่อยเท่านั้น สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีพอ ยิงทะลุได้จริง ๆ อาจจะกันพวกสะเก็ดระเบิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือกันปืนสั้นได้ แต่ว่าปืนสงครามกันไม่ได้

ที่เขาทดสอบให้เราดูว่ากันกระสุนได้เพราะว่าเขาไปจ่อยิง นึกออกไหม ? เขาจ่อยิงก็เลยไม่เข้า กระสุนปืนต้องมีระยะหมุนจนได้ระดับ ถึงจะแสดงพลังงานได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่นว่า ยิงห่างไปสัก ๑๕ ฟุต ๒๐ ฟุต ประเภทไปทิ่มใส่แล้วยิงเลย กระสุนปืนยังไม่ทันที่จะเริ่มออกแรงก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาทดสอบมาแล้ว ขนาดกระจกการ์เดียนที่เขาว่าแน่ ๆ พอไปถึงจ่อ เอ็ม.๑๖ กราดพรืด มีแต่รอยจุด จุด จุด แต่พออาตมาถอยออกมา ๕ เมตร ยิงเปรี้ยงเดียวทะลุฉุย ฝรั่งยังงง

ก็เลยบอกว่ากระจกกันกระสุนของคุณมีประโยชน์ตรงที่เจ้านายของคุณตายเงียบกว่าเดิมเท่านั้น มือปืนซุ่มยิงพวกสไนเปอร์ ไม่มีใครเขายิงใกล้ ๆ เพราะฉะนั้น..กระสุนไปเต็มขีปนวิถีแล้ว ไม่ใช่มือปืนบ้านเราที่ไปประกบแล้วก็เอา เอ็ม.๑๖ กราดยิงกันติด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสกันกระสุนได้

มีอยู่ช่วงหนึ่งไทยสั่งเสื้อเกราะเคฟราเข้ามา แล้วก็ให้เขาเพิ่มแผ่นติดหน้าอกเข้ามาแผ่นหนึ่ง ในลักษณะที่ว่าทำเหมือนอย่างกับเป็นกระเป๋าแล้วก็สอดลงไป ถ้าใครไม่ต้องการก็ชักขึ้นมาจะได้ไม่หนักมาก ก็ช่วยให้ปลอดภัยขึ้นมานิดหนึ่ง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว