กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3237)

เถรี 12-03-2012 11:58

ถาม : พระปิดตาจัมโบ้หมดแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ยังไม่หมด แต่ไม่มีให้ตอนนี้ อาตมาแจกเฉพาะในงานเป่ายันต์เกราะเพชรเท่านั้น อยากได้ก็ไปงานเป่ายันต์ฯ ไม่ใช่ไปงานแล้วจะได้ทุกคนนะ ต้องอยู่แถวหน้า ๆ ด้วย

ถาม : ราคาแพงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่แพงหรอก ออกจากวัดแค่ ๕๐๐ บาท แต่เขาไปประมูลกันในเว็บ จนตอนนี้ราคายืนพื้นอยู่ที่ ๒๐,๐๐๐ บาท

ถาม : คราวหน้าผมไปบูชามาสักลังหนึ่งเลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : พระอาจารย์ไม่ว่าหรอก ขึ้นอยู่กับว่าคนข้างหลังเขาจะถีบคุณออกจากแถวไหม..!

ตอนนี้เหลือพระปิดตาสีเหลือง สีแดง สีเขียวอยู่ รุ่นนี้ที่ทำไม่มากเพราะว่าตะกรุดบังคับอยู่ คุณเขียนตะกรุดไหวไหมเล่า ? อักขระแค่ ๙ ตัวก็จริง แต่อาตมาเขียนจนมือหงิก พระ ๔,๐๐๐ องค์ ก็เขียนตะกรุดไป ๑๒,๐๐๐ ดอกแล้ว เพราะฉะนั้น..จึงเป็นบทเรียนว่าครั้งต่อไปทำพระอย่าฝังตะกรุด เพราะจะได้พระจำนวนน้อย แต่อะไรที่น้อย ๆ คนก็แย่งกันดี พวกตัดสินใจช้าก็ปล่อยไป บางคนบอกว่าสร้างน้อย ลองให้มาเขียนตะกรุดเองสัก ๑๐๐ ดอกก็ตายแล้ว

ถ้าใครต้องการพระปิดตารุ่นนี้ก็ต้องไปงานเป่ายันต์ฯ อย่างเดียว แล้วต้องรีบไปด้วย เพราะถ้าช้าเดี๋ยวเจอคนยกลังไปหมด

ถาม : รีบไปก็ต้องรอหลังพุทธาภิเษก
ตอบ : ครั้งหน้าไม่ต้องรอพุทธาภิเษก เพราะว่าเอาเข้าพิธีไปตั้งแต่ครั้งที่แล้ว

ถาม : อย่างนี้ก็หมดเร็วมากสิ
ตอบ : จะเร็วจะช้าก็ช่าง หมดแล้วก็จะได้หมดภาระ แล้วก็รองานต่อไป งานละสีก็พอ แต่ถ้าใครบูชาแล้วดันไปถูกหวย ๓๐ ใบอีกก็บรรลัยเลย คนที่ซื้อหวยทีหนึ่ง ๓๐ ใบนี่ต้องบ้าพอ ถ้าไม่บ้าพอซื้อไม่ได้หรอก แล้วเขาก็ดันถูกเสียอีก

ถาม : ต้องกำลังใจขนาดนั้นด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะบ้าขนาดไหนถ้าไม่มีพื้นฐานทานบารมีก็ไม่ได้หรอก ลาภผลจะไปออกทางงานแทน แล้วก็เหนื่อยลิ้นห้อย

เถรี 12-03-2012 12:25

ถาม : ปางมือในนิยายจีน เป็นท่ามือ..?
ตอบ : นั่นท่ามือ เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสมาธิในลักษณะของอิริยาบถ เป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร พอเคลื่อนไหวเกิดสมาธิขึ้นมาก็จะกลายเป็นพลังจิต บวกกับคาถาก็คือคำภาวนา ถ้าใช้ออกถูกจังหวะก็จะเกิดผล บางทีเหมือนกับว่าใช้ความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจ พออีกฝ่ายเผลอสติก็เรียบร้อย

ถาม : ทำได้จริง ๆ ?
ตอบ : ทำได้..เป็นการผสานพลังจิตเข้าไป มวยไทยก็ยังมี ถ้าหากว่าฝึกมวยไทยจนอยู่ตัวแล้วก็อยู่ในลักษณะม้าย่อง ทุกอิริยาบถสามารถจะพลิกเหลี่ยมพลิกมุม รุกรับคู่ต่อสู้ได้หมด แล้วก็มีเสือย่าง อันนี้ผสานพลังจิตเข้าไป ถ้าคู่ต่อสู้มืออ่อนกว่า แค่เห็นก็ไม่มีกำลังใจจะสู้ด้วย ถ้าถึงระดับสีหยาตรก็คือเดินแบบราชสีห์นี่หมดเลย คู่ต่อสู้ไม่เอาด้วยแล้ว เห็นก็มืออ่อนตีนอ่อนแล้ว เพราะพลังจิตข่มกันอยู่

จะเห็นว่ารุ่นหลัง ๆ ในปัจจุบันเรียนมวยไม่แตก เอาแต่กำลังเข้าปะทะกัน ในเมื่อเอาแต่กำลังเข้าปะทะ ไม่ได้ฝึกจิตเข้าไปช่วย พออายุมากแล้วไม่มีพลังจิตเข้าไปเสริม ก็ไม่สามารถขึ้นเวทีได้ เราลองนึกอย่างสมัยก่อน สุข ปราสาทหินพิมาย หรือ ผล พระประแดง อายุ ๔๐-๕๐ ปี ยังขึ้นชกมวยเป็นปกติ เพราะว่ายิ่งชกจะยิ่งเก่ง สมาธิยิ่งดีขึ้นเรื่อย

ถาม : การเอากำลังสมาธิ...?
ตอบ : จริง ๆ แล้วทั้งหมดเป้าหมายก็คือชนะคู่ต่อสู้ การที่เราจะใช้พลังจิตของเราเพื่อชนะกิเลส นั่นเท่ากับว่าเราต้องฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ มีความคล่องตัว แหลมคม ว่องไว รู้เท่าทัน ระมัดระวังป้องกันไม่ให้กิเลสทำอันตรายเราได้ ถ้าอย่างนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับแค่ใช้ได้เท่านั้น เพราะว่าแค่ฝีมือทันกัน แต่คู่ต่อสู้ยังอยู่เต็ม ๆ ร้อยเลย

ทำอย่างไรที่จะให้คู่ต่อสู้ออกอาวุธได้น้อยที่สุด ลักษณะนั้นเราก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน ไม่ไปสร้างเหตุทำให้กิเลสกำเริบ แล้วท้ายที่สุดจะทำอย่างไรจะกำจัดคู่ต่อสู้ไปได้เลย ก็คือการที่เราชำระจิตผ่องใสจนกิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าในสนามต่อสู้ทางโลกหรือทางธรรมก็เหมือนกัน

เถรี 12-03-2012 12:31



พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้านิยายจีนกำลังภายในรุ่นเก่าที่เป็นพวกฤทธิ์อภิญญา จะมีเรื่องนักบู๊กู่ก้องฟ้า ลองไปหาอ่านดู ประเภทถูกขังอยู่ใต้ดินหลายร้อยปี พอแกะแผ่นยันต์ออกก็ทะลวงขึ้นมา ถล่มยุทธจักรทลายไปอีกแล้ว"

เถรี 12-03-2012 18:40

พระอาจารย์เล่าว่า "เผอิญเทอมนี้อาตมาสอนกฎหมายเกี่ยวกับพระสงฆ์อยู่ ได้ยกตัวอย่างกฎหมายฎีกาให้พระนิสิตเขาดู แล้วอธิบายให้ฟัง แต่ละคนนั่งอ้าปากหวอกันทั้งนั้น ทึ่งตรงที่ว่าผู้พิพากษาเขารอบคอบขนาดนี้เลยหรือ ? เพราะการตัดสินแต่ละอย่างต้องรอบคอบที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกา ตราบใดที่ยังไม่โดนพิพากษาทับ ตราบนั้นจะเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันอย่างนี้ตลอดไป แล้วมีหลายคดีที่ต้องประชุมใหญ่ มีคดีหนึ่งเกี่ยวกับพระภิกษุวัดเขาวังร่วมประเวณีกับผู้หญิงบนกุฏิ มีคนแอบถ่ายรูปแล้วก็ไปแจ้งความ

คราวนี้การแจ้งความมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๖ ข้อหาเหยียดหยามพระศาสนา พูดง่าย ๆ ว่าไหน ๆ จะเอาเรื่องแล้วก็จัดการให้ครบ เล่นทุกคดีไปเลย แต่ผู้พิพากษาเขาพิจารณาแล้วว่า การเหยียดหยามต่อพระศาสนาก็คือการกระทำต่อบุคคล วัตถุ รูปเคารพ หรือสถานที่ที่มีคนกราบไหว้บูชาหรือยึดถือเป็นที่พึ่ง กุฏิพระไม่ใช่สถานที่อันควรเคารพเหมือนโบสถ์หรือมัสยิด ดังนั้น..จะกล่าวหาว่ากระทำการเหยียดหยามต่อศาสนาก็ไม่ถนัด สรุปว่าข้อหานี้ตกไป

อาตมาก็บอกว่าดวงเขายังดี ถ้าขยับขึ้นไปบนยอดเขาอีกนิดเดียวนี่ซวยเลย เพราะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ถ้าอย่างนั้นชัดเลยว่าเหยียดหยามพระพุทธศาสนา ศาลท่านตัดสินรอบคอบจริง ๆ ไม่ได้รอบคอบเฉย ๆ ชัดเจนอีกด้วย

อีกคดีหนึ่ง โยมขอให้เณรไปขอเทียนพรรษาจากพระมาให้ตัวเองนั่นแหละ แล้วเณรไม่ไป เขาก็เลยบอกว่า "ถ้ากูไม่เห็นแก่ผ้าเหลือง จะเตะให้ตกกุฏิเลย" ทายกได้ฟังแล้วทนไม่ได้ ไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทซึ่งหน้า ฝ่ายนั้นสู้ความบอกว่าตัวเองเดินลงจากกุฏิไป ๑๐ วาแล้วถึงพูด จะว่าหมิ่นประมาทซึ่งหน้าไม่ได้ ทนายเขาก็เก่งนะ

แต่ศาลเขาตัดสินว่า ในเมื่อสามเณรทั้งสองยังได้ยินเสียงที่เขากล่าวคำอาฆาตอย่างชัดเจนเช่นนั้น ยังถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งหน้าอยู่ และสามเณรเป็นบุคคลที่ผู้อื่นให้ความเคารพมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว จึงโดนข้อหาเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เจอ ๒ เด้ง ทั้งจำทั้งปรับ ติดคุกด้วย เสียค่าปรับด้วย

ต้องบอกว่าคดีนี้อัยการช่วยซ้ำ เพิ่มให้อีก ๑ ข้อหา เขาฟ้องแค่หมิ่นประมาทซึ่งหน้าเฉย ๆ อัยการช่วยซ้ำให้อีกดอกหนึ่งว่าเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เพราะกระทำต่อตัวบุคคล บอกแล้วว่ากระทำต่อตัวบุคคล วัตถุ สถานที่ รูปเคารพ จึงโดนไปเต็ม ๆ"

เถรี 12-03-2012 18:44

"แต่ละคดีที่เขาตัดสินมาดูแล้วมีเหตุมีผลดีมาก อาจารย์ท่านอื่นเขาก็นั่งสงสัย บอกว่าผมสอนกฎหมายเขาหลับกันตลอด อาจารย์เล็กสอนอย่างไรไม่เห็นเขาหลับกันเลย

อาตมาก็บอกว่าอย่าดึงไปให้ไกลตัวสิ เราก็ดึงให้มาใกล้ตัว เอาเรื่องเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระ มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เยอะแยะไปหมด เอามาอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังแล้วก็ถามเขาว่า ใครเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้ ๆ บ้าง แล้วถ้าหากว่าเขาฟ้องร้องอย่างนี้เราจะมีวิธีหลบหลีกแก้ไขอย่างไรก็ว่าไป

อาตมาสรุปตอนท้ายว่ากฎหมายเขาตัดสินตามข้อเท็จจริง คือทั้งเท็จและจริง เพียงแต่ว่าคุณเอาขึ้นมาสู้ความได้ไหม ถ้าคุณสามารถหาพยานหลักฐานมาสู้ความได้ ต่อให้เป็นความเท็จ ศาลก็ตัดสินว่าคุณชนะ เขาไม่ได้ตัดสินตามความเป็นจริง แต่เขาตัดสินตามข้อเท็จและจริง

มีคนบอกว่าในประเทศอเมริกา ขึ้นไปบนยอดตึกแล้วเอาหินขว้างลงมา ๑ ใน ๓ คนที่โดนจะเป็นทนาย ส่วนประเทศเกาหลี ถ้าหากขว้างลงมาโดน ๓ คน ถ้าไม่โดนคนแซ่ลีก็จะโดนคนแซ่คิม ถ้าไม่โดนคนแซ่คิมก็จะโดนคนแซ่ปัก (ปาร์ค) เพราะสามแซ่นี้มีเยอะกว่าเพื่อน"

เถรี 13-03-2012 08:02

ถาม : หนูจะต้องตายหรือไม่ ?
ตอบ : อาตมาก็ตาย มีใครไม่ตายบ้างเล่า ? ถามมาได้ว่าหนูจะต้องตายไหม..!

ถาม : ถ้าคิดเรื่องนี้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด..!

ถาม : อะไรเป็นที่พึ่งได้บ้าง ?
ตอบ : อยู่กับพระ หัดสวดมนต์ภาวนานั่งสมาธิก็จบแล้ว

ถาม : โดนผีหลอกเวลาสวดมนต์ ?
ตอบ : แสดงว่าเขาเก่งกว่า เพราะฉะนั้น..เราต้องเก่งให้ได้มากกว่าเขา ไม่เห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือ ? ถึงเวลาท่านสวดคาถาไล่เขา เขาบอกว่ามึงสวดได้ครึ่งเดียว แล้วเขาก็สวดต่อให้อีกครึ่งหนึ่ง แค่เก่งกว่าเขาให้ได้ก็เท่านั้น

ถาม : จะขอพึ่งบารมีท่าน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลา ไปนั่งภาวนาเอา สมาธิทรงตัวเมื่อไรก็เก่งกว่าเขาเมื่อนั้นแหละ จะเอาน้ำมนต์ไปกินไปอาบ จะไปทำอะไรก็ไป แล้วก็หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิภาวนาไว้บ้าง เขามาเพื่อที่จะตักเตือนให้เรารู้ว่าความดียังไม่พอ เพราะฉะนั้น..เร่งทำความดีเข้าไว้ หายากจะตายที่มีอาจารย์ดี ๆ แบบนั้น ขืนไปท่องคาถาไล่เขา เขาก็ท่องเพิ่มให้ ต่อไปบอกเขาว่ามีคาถารวย ๆ ไหม ? ขอคาถาเขาเลย

เอาน้ำมนต์ไปเติมสัก ๗ - ๘ โอ่งก็ได้ จะได้ใช้ไปเรื่อย ๆ พอเวลาผีมาถ้าไม่รู้จะไปที่ไหน ก็โดดลงไปแช่ในโอ่งเลย..!

เถรี 13-03-2012 08:04

เรื่องของผีต่าง ๆ ที่มารบกวน ถ้าเราทำสมาธิทรงตัวแค่ปฐมฌานหยาบ เขาก็กวนไม่ได้แล้ว เพราะปฐมฌานหยาบมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เหนือกว่าเทวดาไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วผีที่ไหนจะมากวนได้ ยกเว้นผีที่มีฤทธิ์มากกว่าพรหมชั้นที่ ๑ ขึ้นไปเท่านั้น

ถ้ากำลังใจทรงตัวแล้วยังกวนได้ ก็จุดธูปกราบงาม ๆ ไปเลย แสดงว่าท่านตั้งใจจะมาให้อะไรเราบางอย่างแล้ว ฉะนั้น..ถ้าใครทรงฌานทรงสมาบัติได้เกินปฐมฌานหยาบไปแล้วยังมีผีกวน ให้รู้ว่าเป็นผีปลอมทั้งนั้นแหละ

ถ้าเราไม่เคยสร้างกำลังใจมาจนเข้มแข็งขนาดนั้น เขาก็ไม่มาลอง ในเมื่อเขามาลองก็แปลว่า เราเป็นนักเรียนที่มีความดีพอที่จะได้ทำข้อสอบตรงนั้น ในเมื่อครูเมตตาออกข้อสอบมาแล้วก็ลุยไปเลย อาตมาโดนกวนมาเป็นปี ๆ โดนเสียจนไม่มีที่จะไป

ไม่ว่าจะทำอะไรผีเขาก็เก่งกว่า อาตมานั้นวิชาการต่อสู้ก็เรียนมาไม่น้อยหน้าใคร ปรากฏว่าเสียท่าผีทุกทีเลย เพราะเราแค่คิดเขาก็รู้แล้ว คิดจะชกซ้ายเขาก็กดแขนซ้ายไว้ คิดจะชกขวาเขาก็กดแขนขวาไว้ จะเตะซ้ายเขาก็จับขาซ้ายไว้ จะเตะขวาเขาก็จับขาขวาไว้ เลยทำอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง นั่นแสดงว่าไม่ใช่ผีจริง

โดนกันอยู่เป็นปี ๆ โดนจนกระทั่งจากกลัวก็หายกลัวไปเอง เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลหรอก ถ้าเขามากวนเราได้ ถือว่าเราต้องมีคุณค่าเพียงพอแก่การทดสอบของเขา สรุปว่าถ้าไม่บ้าพอผีจะไม่หลอก คนกลัวผีเขาไม่หลอก เพราะกลัวแล้วอาจจะเกิดเสียสติบ้า ๆ บอ ๆ ไปเลย โทษก็จะเกิดแก่เขา ประเภทกล้าจนบ้าไปเลยเขาก็ไม่หลอก เพราะกล้าไปเลยนี่จะสู้ทุกรูปแบบ แบบเดียวกับอาตมานี่ เขาชอบหลอกพวกครึ่งกลัวครึ่งกล้า หลอกแล้วสนุกดี

เถรี 13-03-2012 09:45

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยซื่อแบบโยมมาก่อน ตอนฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปี ๒๕๒๑ ไม่รู้ว่าต้องมีเครื่องบูชาครู พอไปถึงบ้านสายลมบรรดาป้า ๆ ท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวป้าจัดให้ มีดอกไม้ ๓ สี เทียน ๑ ธูป ๓ แต่เงินบูชาครูสลึงหนึ่งต้องออกเองนะลูก เพราะเป็นทานบารมีของเรา” ด้วยความพาซื่ออาตมาวิ่งไปจนถึงปากซอยกว่าจะแลกเหรียญสลึงได้ เขาไม่บอกว่าใส่เกินสลึงก็ได้ อาตมายังโง่มาแล้วเลย คนอื่นไม่แปลกหรอกที่จะโดนบ้าง

ด้วยความเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้สงสัย ตอนฝึกมโนมยิทธิก็เห็นชัดนั่นแหละ แต่ตอนเลิกอยากเห็นกลับไม่เห็น เพราะความโง่ของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องตั้งอารมณ์ให้เท่าตอนนั้น สงสัยว่าทำไมเมื่อครู่เห็น ตอนนี้กลับไม่เห็น ก็ไปฝึกอยู่นั่นแหละ ฝึกจนกระทั่งท้ายสุดครูฝึกเขาไล่ออกจากวงมา เพราะว่าไปทำให้เขาเสียหมด แค่ครูฝึกเขาเอ่ยปากคำแรก อาตมาก็รู้แล้วว่าทั้งประโยคท่านจะถามอะไรก็ชิงตอบก่อน คนอื่นเขาก็เลยใบ้รับประทานกันหมด

เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปี ๆ ซ้อมอยู่อย่างนั้น วันนั้นเดินหน้าเหี่ยวออกมาข้างนอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเห็น ท่านก็หัวเราะ “ไอ้หนู คล่องตัวขนาดนั้นไปสอนเขาได้แล้วลูก” อาตมาไม่รู้จริง ๆ ขนาดท่านยืนยันว่าคล่องตัวขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมบางเวลาถึงเห็นไม่ได้ ตอนช่วงนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับการวางอารมณ์ยังไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่รู้ว่าต้องทรงอารมณ์ระดับไหนถึงจะเห็น คิดว่าในเมื่อฝึกได้แล้วก็ต้องเห็นตลอดไป ส่วนตอนนี้รำคาญมากเลย เพราะมาให้รู้ไปทุกเรื่อง รู้อย่างนี้ไม่เห็นดีกว่า

เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครเก่งมาแต่ท้องพ่อท้องแม่หรอก อยู่ที่การฝึกทั้งนั้น ตอนนั้นอาตมาวิ่งหาครูฝึกตลอด ซ้อมแล้วซ้อมอีก กลับไปก็ไปซ้อมที่บ้าน ซ้อมที่บ้านเสร็จก็มาซ้อมกับครูอีก เพราะเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้นก็ก้าวหน้าเร็ว เพราะไปสงสัยว่าจะใช่หรือ ทำไมไม่เห็นตลอดเวลา ? แสดงว่ายังไม่ดี ก็พยายามจะเอาให้ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่

ถ้าอยากเห็นตลอดเวลาเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราตลอดเวลา ตราบใดที่อารมณ์นั้นทรงตัวอยู่ ตราบนั้นเราจะเห็น ถ้าอารมณ์จิตคลายลงมาต่ำกว่า หรือขึ้นสูงเกินไปก็จะไม่เห็น"

เถรี 13-03-2012 10:38


เมื่อวันศุกร์ตอนต้นเดือน มีเด็กนักเรียนวัดใหม่ยายนุ้ย ตั้งแต่ ป.๑ ถึง ป.๖ มาฟังเทศน์ที่บ้านวิริยบารมี

"ความจริงแล้วศาสนาพุทธของเรามีการเข้าวัดกันทุกวันพระ ก็แปลว่าประมาณ ๗ วันเข้าวัดกันทีหนึ่ง น้อยมากเลยลูก ๗ วันเข้าวัดทีหนึ่งนี่น้อยมาก ศาสนาคริสต์มีการเข้าวัดกันทุกวันอาทิตย์ เขาเรียกวันสะบาโต ศาสนาอิสลามเข้าวัดกันทุกวันศุกร์ แต่ว่าคริสต์มีการสวดมนต์ก่อนกินข้าวทุกครั้ง ของเรามีไหมจ๊ะ ?... "ไม่มี" ศาสนาอิสลามมีการสวดมนต์วันละ ๕ ครั้ง เรามีไหมเอ่ย ?... "ไม่มี" เราก็เลยเก่งสู้เขาไม่ได้ ถ้าอยากจะเก่งสู้เขาได้ เราก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

หลวงตาดีใจมากเลยที่วันนี้เด็ก ๆ โรงเรียนวัดใหม่ยายนุ้ยมาที่นี่ แสดงว่าพวกเราต้องการเป็นคนดี และต้องการเป็นคนเก่งด้วย

คราวนี้การที่เราต้องการเป็นคนดีและเป็นคนเก่งด้วย เราต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านบอกเป็นภาษาบาลีว่า อะธิสีละสิกขา สิกขิตัพพา อะธิจิตตะสิกขา สิกขิตัพพา อะธิปัญญาสิกขา สิกขิตัพพา ท่านบอกให้ศึกษาในศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าใครทำได้ก็จะเป็นคนเก่งทุกคน หลวงตาทำได้นิดเดียว หลวงตายังสอบได้ที่ ๑ ของประเทศไทยเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราเริ่มทำตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะต้องได้มากกว่าหลวงตาแน่ ๆ นอกจากได้ที่ ๑ ของประเทศไทยแล้ว อาจจะสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ด้วย

คราวนี้ในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญาที่พระพุทธเจ้าสอนมา พวกเรารู้ทุกคน แต่บางทียังไม่ชัดเจนว่าท่านสอนมาแล้ว เราต้องทำอย่างไร ? พวกเราบอกได้ไหมลูกว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้าง? ข้อที่ ๑ คือ..

(ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)

แปลว่าอะไรจ๊ะ ? (ห้ามฆ่าสัตว์)

ถ้าแปลตรง ๆ ก็แปลว่าละเว้นจากการฆ่าสิ่งที่มีชีวิต ก็คือห้ามฆ่าสัตว์นั่นแหละจ้ะ ทำไมถึงห้ามละจ๊ะ ? ก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านต้องการให้พวกเราเป็นคนมีจิตใจดีงาม ไม่โหดร้าย ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่รังแกคนอื่น

เราอยากให้เพื่อนรังแกเราไหมลูก ? (ไม่อยาก) อยากให้เขาตีด้วยไหมจ๊ะ ? (ไม่อยาก) แล้วอยากให้เขาฆ่าเราไหมจ๊ะ ? (ไม่อยาก)

ยิ่งไม่อยากใหญ่เลย..ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องไม่รังแกใคร ไม่ตีใคร ไม่ฆ่าใคร นี่เป็นเรื่องปกติเลยลูก เพราะศีลแปลว่าปกติ เราทำทุกอย่างตามปกติ จึงเรียกว่าคนมีศีล เราจะเกิดเป็นคนได้เราต้องมีศีล ไม่อย่างนั้นเราก็จะเกิดเป็นคนไม่ได้ เพราะว่าศีลภาษาบาลีเรียกว่ามนุสสธรรม

มนุสสธรรมก็คือธรรมที่ทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์ได้ ถ้าเราไม่มีศีล ลดน้อยลงไปหน่อย เราก็เกิดเป็นสัตว์ แย่ไปกว่านั้นเราก็เกิดเป็นอสุรกาย ถ้าศีลบกพร่องหนักกว่านั้นก็เป็นเปรต ถ้าไม่มีศีลเลยก็เป็นสัตว์นรก ตายแน่ ๆ มีแต่ที่ลำบากทั้งนั้นเลย

เพราะฉะนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ปฏิบัติในศีลข้อแรก ก็เพื่อไม่ให้เราเป็นคนโหดร้าย ไม่ให้เราทำร้ายคนอื่น ถ้าหากเราไม่ทำ คนอื่นก็ไม่ทำ ประเทศชาติก็สงบ ตำรวจก็ไม่มี ศาลก็ไม่ต้องมี เพราะว่าเราทุกคนเป็นคนดีกันทั้งหมดเลย "

เถรี 13-03-2012 10:52

"ศีลข้อที่ ๒ ว่า..? (อะทินนาทานา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) เก่งมากจ้ะ..ว่าได้ชัดเจนมาก สมกับเป็นเด็กโรงเรียนวัดใหม่ยายนุ้ย แสดงว่าหลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ดีมาก

ศีลข้อนี้บอกว่า เราไม่ควรที่จะหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ อทินนาแปลว่าไม่ได้ให้ ก็คือไม่ให้ขโมยเขานั่นแหละจ้ะ เราอยากให้เพื่อนมาขโมยของเราไหมลูก ? (ไม่อยาก)

มีโทรศัพท์มือถือ เพื่อนมาขโมยไปเราชอบไหมจ๊ะ ? (ไม่ชอบ)

ถ้าหากว่าใครพกไอแพ็ด มีเพื่อนมาขโมยไป เสียใจไหมลูก ? (เสียใจ)

คนอื่นเขาก็เป็นเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราเอาของเขามาเขาก็เสียใจ เขาก็ไม่ชอบ บางคนรักของชิ้นนั้นมาก ๆ เสียอกเสียใจ อาจจะถึงขนาดทำใจไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น..เราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก พวกที่อยู่ในคุกอยู่ในตารางปัจจุบัน เป็นพวกที่ลักขโมยเยอะมากเลย พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราเบียดเบียนคนอื่น ถ้าหากว่าเราทำได้เป็นปกติ เราก็ไม่ต้องไประแวงว่าคนอื่นจะมาเบียดเบียนเรา เพราะว่าเราเป็นคนดีกันหมดทุกคนเลย

ศีลข้อที่ ๓ ว่า..? (กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) เก่งมากจ้ะ เราศึกษาสีลสิกขาบทเหล่านี้เพื่อให้รู้ว่า ควรงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม คำว่ากาม คือ กามะ คือของที่เรารัก คนที่เรารัก

เพราะฉะนั้น..ถ้าสมมติว่าเพื่อนมีไอโฟน มีโทรศัพท์มือถือ ที่เขารักมากเลย เราขโมยเพื่อนมานี่เราผิดศีล ๒ ข้อนะลูก อทินนาทาน คือไปลักขโมยของเขาที่ไม่ได้ให้ กาเมสุมิฉาจาร คือ ไปแย่งของรักเขามา ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปแย่งสามีภรรยาใครที่ไหนมาเท่านั้น หรือว่าไปแย่งลูกที่เขารักมา อะไรก็ตามที่เป็นของที่เขารักผิดศีลข้อนี้ทั้งหมดเลยนะจ๊ะ

ถ้าหากว่าเราเป็นลูกที่รักของพ่อของแม่ อยู่ ๆ มีรถตู้มาจับเด็กเอาไปขายที่ประเทศมาเลเซีย คว้าเราขึ้นรถไปเลย พ่อแม่เราจะเสียใจมากไหมลูก ? (เสียใจมาก)

รับรองว่าต้องตามหากันสุดชีวิตเลย..ใช่ไหมจ๊ะ ? ในเมื่อเรารู้ว่าเป็นของที่คนอื่นรัก เราก็อย่าไปทำอย่างนั้น อย่าไปเอาของเขามา โดยเฉพาะบางคนเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มสนใจเพศตรงข้ามแล้ว เริ่มเห็นเพื่อน ๆ ว่าสวยหรือหล่อแล้ว จะเห็นได้ว่าเรื่องศีลของพระนั้นมีข้อจำกัดไว้มากเลย ถ้าบุคคลนั้นมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง ก็แปลว่าเขามีคนที่รักอยู่ ถ้าเรายังไม่ได้รับอนุญาต ไปแอบลักลอบได้เสียกัน หนีตามกัน ก็ผิดศีลข้อนี้ ตกนรกแน่ ๆ..!

ถ้าหากว่าบุคคลนั้น มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ ซึ่งมีอย่างแน่นอน ก็ผิดศีลข้อนี้ แล้วถ้าบุคคลนั้นมีธรรมคุ้มครองอยู่ ก็คือเป็นผู้ที่ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรม ต่อให้ไม่มีญาติเลยก็ถือว่ามีธรรมคุ้มครองอยู่

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปละเมิดก็ผิดศีลข้อนี้ทั้งหมดเลย ต้องระมัดระวังให้ดี ๆ นะลูก คนที่เขารักก็ไม่ได้ ของที่เขารักก็ไม่ได้ ถ้าเราดูข่าววิทยุโทรทัศน์จะเห็นว่า ทุกวันนี้ที่ฆ่ากันตายมาก ๆ เลย ส่วนหนึ่งก็คือแย่งชิงคนที่รักกัน

เมื่อวานนี้หลวงตาดูข่าวหนังสือพิมพ์ เห็นว่าเขาตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งไปมีคนใหม่ ก็ยิงแฟนเสียก่อนแล้วก็ยิงตัวเองตายตาม ส่วนอีกรายหนึ่งโดนพ่อแม่กีดกัน ไม่สามารถไปอยู่ด้วยกันได้ ก็กินยาตาย

ตกลงเรื่องที่ผิดศีลตั้งแต่ข้อ ๑, ๒, ๓ เราจะเห็นว่าเป็นเหตุให้เกิดคดีต่าง ๆ ทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักษาศีล ก็เพื่อให้เราทำให้ดี ทำให้ถูก ประเทศชาติจะได้สุขสงบ บ้านเมืองจะได้สุขสงบ"

เถรี 13-03-2012 13:36

"ศีลข้อที่ ๔ ว่า...? (มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) แปลว่า เราจะเว้นจากการโกหก เราชอบให้คนอื่นโกหกไหมลูก ? (ไม่ชอบ) แล้วถ้าอย่างนั้นเราไปโกหกคนอื่น เขาจะชอบไหมจ๊ะ ? (ไม่ชอบ)

ไม่ชอบเหมือนกัน เรื่องอย่างนี้เขาเรียกว่าใจเขาใจเรา เราไม่ชอบแบบนั้นเราก็อย่าทำกับคนอื่น เพราะว่าถ้าหากว่าทำกับคนอื่น คนอื่นเขาก็ต้องไม่ชอบแน่นอนเลย เรื่องของการโกหกก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า บุคคลที่โกหกได้ จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้นไม่มี ก็แปลว่าถ้าเริ่มโกหกแล้ว เราต้องทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ดีได้แน่ ๆ

ฉะนั้น..ถ้าเราจะต้องการเป็นคนดี มีอะไรก็ต้องพูดตรงไปตรงมา แต่การพูดเรื่องจริงก็ต้องรู้กาลเทศะด้วยนะลูก ถ้าหากว่าพูดผิดที่ อันดับแรก คนเขาไม่ชอบหน้าเรา อันดับที่สอง ถ้าเราพูดผิดจังหวะ เขาโกรธขึ้นมาก็อาจจะทำร้ายเราได้ การพูดต้องระมัดระวังให้มาก โบราณถึงบอกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง คือบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ ไม่เสียอะไร ถ้าหากว่าเงียบเอาไว้อาจจะได้กำไรเยอะด้วย อย่างเช่น ไม่พูดให้เพื่อนเขาเสียใจ เขาก็รักเราชอบเรา ต่อไปเราก็จะเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เป็นต้น

ข้อสุดท้ายของศีล ๕ ว่า..? (สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) แปลว่าอะไรจ๊ะ ? (ห้ามดื่มสุรา)

แล้วรู้จักไหมว่าสุรากับเมรัยต่างกันอย่างไร ? สุราคือของที่กลั่นขึ้นมาแล้วมีแอลกอฮอล์ ทำให้เราเมาขาดสติได้ อย่างพวกเหล้านอก มีบรั่นดี เป็นต้น ถ้าบ้านเราก็พวกแม่โขง หงส์ทอง อะไรเหล่านั้น เมรัยคือของที่หมักขึ้นมา แล้วมีแอลกอฮอล์ กินเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ อย่างเช่น เบียร์ ไวน์ กระแช่ น้ำขาว สาโท อะไรพวกนั้น ยังมีอุอีกอย่างหนึ่งหมักขึ้นมาจากข้าว

คราวนี้ศีลข้อนี้ยังมีอีกคำหนึ่งว่า มัชชะ คือสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วมึนเมาขาดสติ อย่างพวกยาบ้า ยาอี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..ศีลข้อนี้ท่านห้ามไว้หมดแหละลูก แต่เราแปลไม่ครบ บางคนก็แปลแค่สุราอย่างเดียว ขาดทุนนะจ๊ะ เอาสุราด้วย เมรัยด้วย มัชชะด้วย แปลให้ครบทุกคำเลย เพราะว่าทันทีที่เมาขาดสติ เราอาจจะทำให้ศีลขาดได้หมดทุกข้อเลย"

เถรี 13-03-2012 14:02

"คนเมาแล้วขับรถจะเกิดอะไรขึ้นลูก ? (รถชน)

ชนแน่ ๆ เลย บางคนเถียงว่าไม่เมา ฝรั่งเขาทดลองแล้วลูก เบียร์กระป๋องหนึ่งมีแอลกอฮอล์ ๕ เปอร์เซ็นต์ ก็นิดเดียวเอง เขาลองให้คนกินเบียร์ ๑ กระป๋องแล้วให้ขับรถถอยหลังเข้าซอง เขาเอากรวยมากั้นทำเป็นช่องไว้ เชื่อไหมว่าคนขับที่กินเบียร์ไป ๑ กระป๋อง กะระยะผิด ถอยชนกรวยกันแทบทุกคนเลย

ให้กินไวน์ ๓ แก้ว ไวน์มีแอลกอฮอล์อยู่ ๒ เปอร์เซ็นต์เอง ปรากฏว่าถอยรถเข้าซองไม่ได้ เพราะกะระยะผิด ประสาทเพี้ยนหมด แต่นั่นยังไม่เมานะจ๊ะ ยังมีสติรู้อยู่ แต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น..ยาเสพติดอะไรต่าง ๆ ก็ทำให้เราบังคับตัวเองไม่ได้ ในเมื่อบังคับตัวเองไม่ได้ จะเห็นว่าพวกเมายาบ้าแล้วจับตัวประกันใช่ไหมลูก ? จับตัวประกัน แล้วทำไมจับแต่เด็กกับผู้หญิง ไม่จับผู้ชายตัวโต ๆ เป็นตัวประกันบ้าง ? ก็แสดงว่าเขายังมีสติอยู่ แต่เขาบังคับตัวเองไม่ได้ มีสติรู้ว่าถ้าจับผู้ชายตัวโต ๆ อาจจะโดนชกคว่ำอยู่ตรงนั้นแหละ ก็ต้องไปจับผู้หญิงกับเด็กแทน เป็นต้น แล้วพวกเหล้ากินเข้าไปสมองจะเสื่อมเร็วนะลูก เราจะเห็นว่าคนกินเหล้าพอแก่ไป จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนที่กินพอเมาก็ไม่รู้เรื่อง

สมัยหลวงตาเด็ก ๆ ที่ข้างบ้านมีทิดอ๊อดกินเหล้าเมาทุกวัน หลวงตาเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งชื่อไอ้พุก ทิดอ๊อดมาถึงก็กอดคอไอ้พุก เพื่อน..กูนอนด้วยนะ เป็นอย่างไรลูก ? เมาไม่รู้เรื่องเลย นอนกับหมาก็ได้ ถ้าคนนอนกับหมาเราเห็นว่าน่าเกลียดหรือน่ารักจ๊ะลูก ? (น่าเกลียด)

ถูกต้อง..น่าเกลียดรับไม่ได้เลย..ใช่ไหมจ๊ะ ? แล้วอีกคนหนึ่งกินเหล้า จะเรียกเหล้าก็ไม่ใช่ เขาเรียกว่าสปายไวน์คูลเลอร์ กินไป ๒ กระป๋อง หน่อยเดียวเองลูก เหมือนกับเป๊ปซี่ ๒ กระป๋อง แต่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดง เขาบอกว่าตอนนั้นสนุกมากเลย วี้ดวิ้วไปเลย ยังดีนะว่ารถอีกฝั่งหนึ่งเขาเบรกทัน ไม่อย่างนั้นก็ตายคาไฟแดงไปแล้ว..!

เราจะเห็นว่าพวกเหล้าพวกยาทำให้เราขาดสติ ถ้าไม่ขาดสติแบบบ้าเลือดก็จะขาดสติแบบไม่รู้ตัว ทำอะไรที่ดูแล้วน่าเกลียดน่าชังมาก หรือว่าอาจจะทำให้เราถึงขนาดเสียชีวิตลงได้ หนูลองนึกดูว่า ถ้าหากว่าเราติดยาบ้า พ่อแม่ของเราเสียใจไหมลูก ? (เสียใจ)

เสียใจมากเลย ทำไมลูกเราไม่เป็นเด็กดีเหมือนคนอื่นเขา แล้วถ้าหากว่าเราไปโดนรถชนตาย พ่อแม่เราจะเป็นอย่างไรจ๊ะ ? (เสียใจ)

เถรี 14-03-2012 08:04

"มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่คลองเตย ใครเคยไปคลองเตยมาแล้วจ๊ะ ? (...ยกมือ...) คลองเตยเป็นชุมชนที่หนาแน่นกว่าบ้านวัดใหม่ยายนุ้ยของเราเยอะเลย มียาเสพติดเยอะมาก

มีเจ้าของร้านขายของชำคนหนึ่ง เป็นร้านขายของคล้ายกับเซเว่นสมัยนี้ เจ้าของร้านมีลูก ๒ คน คนโตไปติดยา จากที่ตั้งใจเรียนหนังสือก็ไม่เรียน รู้ไหมลูกว่าทำไมถึงติดยา ? (....?...) เพราะว่าเอาเงินไปโรงเรียนเยอะ พอเอาเงินไปโรงเรียนเยอะ เพื่อนที่ติดยาอยู่แล้วเห็นว่าคนนี้มีเงินเยอะ อยากได้เอาไว้เป็นพวก ก็เลยหลอกให้กินยาบ้า เพราะถ้าติดยาแล้วเพื่อนคนนี้ก็จะต้องเป็นคนไปหาเงินมาซื้อ แล้วก็ไปแบ่งกัน

เพราะฉะนั้น..ไปโรงเรียนอย่าเอาเงินไปเยอะนะลูก ถ้าหากว่าคนที่เขาติดยาอยู่ เขาเห็นว่าเรามีเงินเยอะ เดี๋ยวเราจะเดือดร้อน เขาจะหลอกเราสารพัดเลย บางทีก็เอายาบ้าใส่ในน้ำอัดลมผสมให้กิน กินไปกินมาครั้งสองครั้งก็ติดแล้ว ถึงเวลาไม่มีก็ไม่ได้ ก็ต้องหาเงินไปให้เขาเพื่อไปซื้อยาบ้ามา ต้องระวังตัวเองนะลูก

ถ้าเราไม่ระวังตัวเอง พกเงินไปเยอะ ๆ ใช้เงินฟุ่มเฟือย นอกจากพ่อแม่เราจะเดือดร้อนเพราะเราใช้เงินเยอะแล้ว เรายังอาจจะต้องโดนเพื่อนหลอกให้ติดยาได้ ถึงเพื่อนในโรงเรียนนี้ทุกคนเรารักใคร่กันดี ไม่มีใครติดยา แต่คนที่อยู่ข้างนอกเขาอาจจะหลอกเราได้ เพราะฉะนั้น..ต้องระวังไว้ให้ดี

คราวนี้พอลูกชายคนนี้ติดยาแล้วทำอย่างไร ? (...?...) ก็ขโมยเงินพ่อแม่เพื่อไปซื้อยา ขโมยมาก ๆ เข้าพ่อแม่ผิดสังเกต เพราะปกติถึงเวลาขายของได้ก็เอาเงินใส่ลิ้นชักไว้ ไม่ได้ใส่กุญแจ เพราะว่าลูกทุกคนเป็นคนดี ต่อมาเงินหายบ่อย พ่อแม่ก็ใส่กุญแจลิ้นชัก พอเอาเงินไม่ได้ทำอย่างไรจ๊ะ ? (...?...) ลูกคนโตก็ขโมยของในร้านไปขาย คราวนี้พ่อแม่จับได้ ตัวเองอายพ่อแม่ อายเพื่อน ก็เลยหนีออกจากบ้านไป หนีออกจากบ้านไปก็ไปพักอยู่กับเพื่อนที่ติดยา คนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ตกระกำลำบาก อยู่พักหนึ่ง

ปรากฏว่าดวงดีไปเจอผู้หญิงที่ชอบตัวเองเข้า ก็เลยคุยกันว่าอยากจะเลิกยาไหม ? เขาบอกว่าอยากจะเลิก ผู้หญิงก็บอกว่าถ้าอยากเลิกเขาจะช่วย ให้กลับไปหาพ่อแม่ พ่อแม่จะได้ช่วยกัน ปรากฏว่ากลับไปแล้วก็ยังเลิกยาไม่ได้ ยังขโมยของพ่อแม่ไปขายเป็นปกติ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ข้างนั้น คนติดยากันเยอะมาก

ถึงเวลาเขาก็มาหา เขาเคยขายยาให้คนนี้ได้ เคยได้เงินจากคนนี้เขาก็ตามอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น..พวกเราอย่าเผลอหลุดเข้าไปในวงการนี้เป็นอันขาด จะต้องเดือดร้อนไปตลอดชีวิตเลยลูก เราไม่ได้เดือดร้อนเท่านั้น พ่อแม่ก็เดือดร้อนไปด้วย"

เถรี 14-03-2012 08:11

"ในเมื่อถึงเวลา พ่อแม่ก็เลยต้องปิดร้าน ใส่กุญแจไม่ให้เข้าบ้าน เพราะกลัวว่าจะมาขโมยของ ลูกก็เลยใช้วิธีไปบังคับเอาจากแม่ คนเป็นแม่รักลูกก็ไม่อยากให้ เพราะรู้ว่าลูกจะเอาเงินไปซื้อยาบ้าทำให้ตัวเองเดือดร้อน แล้วก็ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน

ลูกทำอย่างไรรู้ไหมจ๊ะ ? (...?...) เขาตีแม่ (...โห...) ตีแม่ซ้อมแม่จนกระทั่งได้เงินไป พอทำอย่างนั้นบ่อย ๆ หลาย ๆ ครั้งเข้า พ่อก็เครียดมาก ทำอะไรไม่ถูก เห็นว่าลูกชั่วเกินกว่าที่เลี้ยงได้แล้ว พ่อจึงตั้งใจว่า ในเมื่อเอ็งชั่ว ทำให้สังคมเดือดร้อน เอ็งก็อย่าทำให้สังคมเดือดร้อนต่อไปเลย พ่อตัดสินใจว่าเขาจะฆ่าลูกคนนี้เอง (...โห...) พ่อเขายอมติดคุก

ถ้าพ่อแม่ที่รักเรามากที่สุดตัดสินใจฆ่าเรา แสดงว่าเราต้องแย่อย่างที่สุดแล้ว ก่อนตัดสินใจพ่อทำอย่างไรรู้ไหมจ๊ะ ? (...?...) พ่อไปวัดใกล้ ๆ บ้าน (...วัดคลองเตยใน...) ไปกราบพระประธานในโบสถ์ อธิษฐานว่า “ลูกตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมมาตลอด แต่ว่าลูกชายของลูกเลวระยำจนขนาดนี้ ติดยาบ้า ขโมยข้าวของ ด่าพ่อตีแม่ ลูกจำเป็นต้องละเมิดศีล จะฆ่าทิ้งเสีย แต่ด้วยความละอายใจว่ารักษาศีล ก็เลยมากราบขอขมาพระก่อน ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ามีคุณความดีอยู่จริง ๆ ขอให้ลูกชายของลูกคิดได้ เลิกยาได้ด้วยเถิด” ว่าเสร็จแกก็กลับบ้าน เตรียมตัวจะไปฆ่าลูกแล้ว (...โห...)

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะพระดลใจหรือว่าอะไร ? พอดีลูกชายกลับบ้านมา บอกกับพ่อแม่ว่าจะเลิกยาให้ได้เสียที แต่ที่เลิกไม่ได้เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เพื่อนติดยา ลูกขอไปอยู่ที่อื่นได้ไหม ? คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ยินก็ดีใจ ว่าอย่างน้อยลูกของตัวเองก็อยากจะเลิกยา ก็เลยตัดสินใจย้ายบ้านหนี หนีไปเช่าบ้านอยู่ที่ปทุมธานี ออกจากคลองเตยไปไกลเลย

แล้วเขาทำอย่างไรจ๊ะ ? (...?...) ลูกชายที่ติดยาเขาก็หักดิบ ก็คือเลิกยาบ้าโดยไม่กินยาอีกเลย ปรากฏว่าอาการออก ที่เขาเรียกว่า "ลงแดง" ก็ดิ้นรนอาละวาด ด้วยความที่ได้แฟนดี ผู้หญิงเป็นคนใจเด็ดมาก ถึงเวลาออกอาการขึ้นมาก็เอาน้ำเย็นราด เพื่อที่ให้ได้สติ พอบางทีอาละวาดมาก ๆ น้ำเย็นเอาไม่อยู่ ผู้หญิงเขาทำอย่างไรรู้ไหมลูก ? (...?...) เขาตีด้วยไม้เบสบอล (...โห...) เคยเห็นไหมลูก ? ไม้ยาวสักประมาณเมตรกว่า ๆ เอาไว้ตีลูกเบสบอล ตีแฟนสลบไปเลย พอฟื้นคืนมาก็เอาน้ำราดใหม่ อาละวาดอยู่อย่างนั้น ๔ - ๕ วัน ก็หมดฤทธิ์ยา"

เถรี 14-03-2012 08:15

"คราวนี้ลูกชายกลับเนื้อกลับตัวได้ บอกพ่อว่าขอเรียนหนังสือต่อ เพราะตอนนั้นได้เรียนอยู่แค่ ม.๖ และเป็น ม.๖ ที่ครูเข็นให้ออกจากโรงเรียนด้วย ถ้าไม่ออกไปให้พ้นเขาทำให้เพื่อนเดือดร้อน เพราะติดยา ครูก็รวมคะแนนให้เขาจบให้ได้ จบออกมาเกรดต่ำมาก ยังดีว่าเขาไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ คราวนี้ตั้งใจเรียนมาก

จริง ๆ แล้วการเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงนี่จบยากมาก แต่เขาตั้งใจกลับตัวจริง ๆ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่จริง ๆ จึงเรียนจบภายใน ๔ ปี ออกมามาทำงาน ช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน เอาเงินให้พ่อให้แม่ พ่อแม่ดีใจร้องไห้เลย ก่อนหน้านี้มีแต่ล้างผลาญพ่อแม่ เอาเงินไปซื้อยาบ้า ขโมยของไปขายเพื่อเอาเงินไปซื้อยาบ้า เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก ถึงขนาดจะฆ่าทิ้งแล้ว แต่ก็ยังกลับตัวได้ กลับตัวกลายเป็นลูกที่พ่อแม่รักมาก

ในปัจจุบันนี้เขาแต่งงานเป็นหลักเป็นฐาน มีลูกเล็ก ๆ แล้ว เขาสอนลูกอยู่เสมอว่า เรื่องของยาเสพติดอย่าไปแตะต้อง เพราะตัวพ่อเกือบจะตายไปแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะมีบุญเก่าหนุนส่งอยู่ รับรองว่าตายไปแล้วแน่ เพราะว่าคุณปู่ ก็คือพ่อของพ่อตัดสินใจจะฆ่าทิ้งแล้ว..!

พวกเราเห็นไหมลูก ? ถ้าหากว่าคนเราฆ่ากันก็มีคดีเต็มบ้านเต็มเมือง ลักขโมยกันก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง แย่งชิงของที่เขารักคนที่เขารัก ก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง โกหกหลอกลวง ฉ้อโกงกันก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง เมาสุรายาเสพติดอาละวาดก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะฉะนั้น..ถ้าเรามีศีลแค่ ๕ ข้อ ทุกอย่างก็จะดีหมด แล้วถ้าเรารักษาศีลครบ ๕ ข้อ เรามีโอกาสเกิดเป็นคนใหม่ ไม่ต้องเกิดเป็นหมูหมากาไก่เหมือนคนอื่นเขา

แล้วข้อต่อไปพระพุทธเจ้าสอนเราว่า ให้ทำสมาธิด้วย ใครนั่งสมาธิเป็นบ้างยกมือ..ไหนยกมือขึ้นซิ ? โอ้โห..เยอะแยะเลย แสดงว่าเรียนเก่งกันทุกคนใช่ไหมลูก ? ให้พยายามหาเวลา ตื่นเช้านิดหนึ่งนะจ๊ะ แล้วมานั่งภาวนาพุทโธ ๆ สัมมาอาระหัง หรือยุบหนอพองหนอ อะไรก็ได้ สัก ๕ - ๑๐ นาที แล้วเราจะเรียนเก่งกันทุกคน

หลวงตายืนยัน..เพราะหลวงตาสอบได้ที่ ๑ มาตั้งแต่เด็กจนแก่เลย ไม่เคยให้ที่ ๑ ใคร แล้วหลวงตาสอบได้คะแนนเต็มร้อยเป็นปกติ หลวงตาเป็นเด็กที่สู้ครู บอกครูว่า ถ้าเป็นข้อสอบในตำรา ออกมาได้เลยครับ ตรงไหนก็ได้ ถ้าผมทำแล้วไม่ได้คะแนนเต็มครูจะตีกี่ทีก็ได้ แต่ถ้าผมทำแล้วได้คะแนนเต็ม ครูต้องให้รางวัลผมด้วย นี่..หลวงตาสู้ครูมาตั้งแต่เด็ก..!"

เถรี 14-03-2012 08:21

"ที่เรียนดีเพราะหลวงตาทำสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ๆ ยังไม่ทันจะรู้ภาษาเลย คุณพ่อก็อุ้มหลับคอพับคออ่อนไปสวดมนต์ทุกวัน ทำให้สมาธิดีมาตั้งแต่เด็ก หลวงตาเข้าชั้น ป.๑ หลวงตาสวดมนต์ได้เยอะแล้ว ครูก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น พอมาเรียนปริญญาตรี หลวงตาสอบได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ และได้ที่ ๑ ของประเทศในปีนั้นด้วย

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่ทิ้งสมาธิ ตอนเช้า ๆ เราทำสมาธิไว้หน่อยหนึ่ง ก่อนนอนทำสมาธิไว้หน่อยหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอสมาธิทรงตัว พวกเราก็จะเรียนเก่งทุกคน เพราะว่าใจของเราปกติจะรับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา จะกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา รับเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง วิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอด..ไม่นิ่ง..

เมื่อเราทำสมาธิ ทันทีที่ใจเรานิ่ง ก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง น้ำที่นิ่งจะสะท้อนเงาทุกอย่างลงไปชัด ๆ เลย ถ้าใจของเรานิ่ง ครูสอนอะไรก็ฟังแล้วจำได้แม่น แทบไม่ต้องทวนซ้ำก็ได้ เพราะฉะนั้น..ให้ทำสมาธิไว้ทุกคนนะลูก จะได้เรียนเก่งกันทุกคน

จากนั้นเราก็เพิ่มปัญญาเข้าไปนิดเดียวว่า ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ช่วยให้เราเป็นเด็กดี ช่วยให้เราเรียนเก่ง ช่วยให้เราเป็นที่รักของครู เป็นที่รักของพ่อของแม่ เป็นที่รักของหลวงพ่อที่สอนเรา ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ เราก็ตั้งใจทำความดี ด้วยการรักษาศีลให้ได้ทุกวัน พยายามทำสมาธิให้ได้ทุกวัน แล้วเราจะเรียนเก่งด้วย เป็นเด็กดีด้วยที่พ่อแม่และคุณครูรักมากด้วย

ที่หลวงตาบอกพวกเราในวันนี้ ก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่า เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนมา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่ล้าสมัย ใครทำคนนั้นก็ได้ประโยชน์ หลวงตาอยากจะให้ทุกคนทำเอาไว้

หลวงตาว่ามาครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ ใครมีอะไรสงสัยอยากจะถามอะไรบ้างไหมจ๊ะ ?"

เถรี 14-03-2012 11:42

"นึกว่าจะมีใครสงสัยว่าผีมีจริงหรือเปล่า ? หลวงตาเจอผีมาตั้งแต่เด็ก เจอเป็นปกติ ขอยืนยันว่าผีมีจริง แต่ผีไม่ใช่ของน่ากลัวนะจ๊ะ หลวงตารู้ความตอนอายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบ หลวงตานอนอยู่กับน้องชาย ปัจจุบันก็คือท่านพระครูแสงชัย พอตื่นขึ้นมาตอนดึกมองน้องไม่เห็น ตรงกลางมีตัวอะไรใหญ่เบ้อเริ่ม เหมือนอย่างกับนักมวยปล้ำฝรั่ง ตัวดำปี๋เลย (...โห...)

แต่คนตัวดำ ๆ นี้แปลก ชอบผ้าแดง ๆ นุ่งผ้าเคียนเอวแดงแปร๊ดเลย แล้วก็มีผ้าแดง ๆ คาดหัวอยู่ผืนหนึ่ง มานอนกั้นอยู่ตรงกลาง หลวงตามองน้องไม่เห็น เพราะคนดำนี้ตัวใหญ่บังมิดเลย หลวงตาก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ เพราะหาน้องไม่เจอ ปรากฏว่าแม่มาถึงก็ตี "ร้องทำไม ?" พอแม่เปิดประตูมาผีหายวับไป แม่ไม่เห็นผีนะ เห็นแต่หลวงตาร้องไห้ หลวงตาก็โดนตีทุกทีเลย หลวงตาโกรธผีตัวนี้มาก โตขึ้นต้องเตะมันให้ได้ (...หัวเราะ...) แต่โตจนป่านนี้หลวงตายังตัวไม่เท่าผีสักที ก็เลยเตะไม่ได้จนทุกวันนี้ (...หัวเราะ...)

แล้วเวลาอื่นก็ยังมีอีก เอาไว้ครั้งหน้าพวกเราถ้ามา หลวงตาเล่าให้ฟัง หลวงตาเจอผีมาหลายสิบปี เจอเยอะมาก จึงยืนยันว่าผีมีจริง แต่ไม่ใช่ของที่น่ากลัว ผีที่เขามาเพราะส่วนใหญ่แล้วลำบาก อยากจะให้เราช่วย ถ้าผีมาหาเรา แปลว่าเราเป็นคนมีบุญอยู่แล้ว เราทำบุญใส่บาตร ตั้งใจรักษาศีล นั่งสมาธิภาวนา เป็นการสะสมบุญอยู่ ถ้าหากว่าเรามีบุญ ผีเขาอยากได้บุญ

ถ้าในสายตาของผี เขาจะเห็นเราเป็นคนมีแสงสว่างมาก เพราะว่าเรามีบุญมาก เขาก็จะมาหาเรา คราวนี้ผีก็เหมือนกับคนจน คนจนเวลาเขาแต่งตัวมา เคยเห็นขอทานไหมจ๊ะ ? (..เคย..) ขอทานเขาแต่งตัวสวยไหมลูก ? (..ไม่สวย..)

ไม่สวยเลยนะ มอมแมม กระดำกระด่าง บางคนน้ำก็ไม่ได้อาบ ผีก็เป็นคนจนลูก ที่เราเห็นแล้ววิ่งหนีนั้น ความจริงเขาแต่งตัวสวยที่สุดของเขาแล้ว เพราะฉะนั้น..ผีจึงน่าสงสารมาก ไม่ได้น่ากลัวเลยนะจ๊ะ

หลวงตาเคยถามเขาหลังจากโดนหลอกมาเป็น ๑๐ ปีจนรู้จักกันดีแล้ว ถามว่าทำไมเที่ยวไปหลอกคนอื่นเขา ? ผีเขาบอกว่า "..ผมไม่ได้หลอก ผมตั้งใจจะไปบอกว่า ผมต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ผมไม่ทันได้บอก เขาก็วิ่งหนีทุกที บางคนหนีไปด่าไปด้วย.." ...เจริญ... นอกจากไม่ได้บุญจากเขาแล้ว ผียังโดนเขาด่าอีกด้วย"

เถรี 14-03-2012 11:45

"เพราะฉะนั้น..คราวหน้าถ้าหากว่าใครเห็นผี หรือได้ยินเสียงผิดปกติ หรือได้กลิ่นผิดปกติ หรือเห็นอะไรวูบ ๆ วาบ ๆ เป็นเงาดำ ๆ หรือเห็นชัด ๆ เลยก็ตาม ให้รู้ว่าเราเป็นคนมีบุญมาก เราเป็นเศรษฐี ในเมื่อเราเป็นเศรษฐีก็ไม่ต้องไปกลัวขอทาน พอเจอขอทานก็เอาเงินทำบุญกับเขา เอาข้าวให้เขาบ้าง เอาน้ำให้เขาบ้าง

แต่เราเจอผีเขาจะเอาบุญ ให้เราตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้แก่เธอ..ถ้าได้แต่กลิ่นบอกว่าให้เจ้าของกลิ่น ถ้าได้ยินแต่เสียงบอกว่าให้เจ้าของเสียง ถ้าหากว่าเห็นรูปด้วยก็ให้เจ้าของรูปนั้น ขอให้เขาโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย ถ้าหนูทำอย่างนี้ให้เขาก็จะได้บุญ เขาจะกลายเป็นผีสวย ๆ แล้วไปเลย เขาจะไม่มากวนเราอีก

หลวงตาเคยเดินบิณฑบาตในป่า พอคนเขาใส่บาตร หลวงตาก็ก้มหน้าเปิดบาตร ตอนแรกเห็นเขาใส่ชุดเก่า ๆ แต่ตอนก้มหน้าแปลกใจมาก มีแสงอะไรวูบวาบเป็นสีทอง หลวงตาก็สงสัย คนใส่ทองนี่ต้องรวยนะ หลวงตาก็เลยปิดบาตร บอกว่าอย่าเพิ่งใส่บาตร ถามจริง ๆ ว่าเป็นใคร ? มาทำไม ? เขาก็เลยทำภาพจริง ๆ ให้ดู เป็นนางไม้สวยมาก ๆ เลย ใส่ชุดไทย เข็มขัดทองเส้นเบ้อเริ่มเลย (...โห...)

ตอนที่หลวงตาเห็น ก็คือแสงจากเข็มขัดเขาทะลุผ้าเก่า ๆ ที่เขาแกล้งใส่มาให้เราดู เขาปลอมตัวเหมือนอย่างกับชาวบ้านมา หลวงตาก็ถามว่ามาทำอะไร ? เขาบอกว่าอยากได้บุญ มาขอใส่บาตรด้วย เขาบุญน้อย หลวงตาก็ดูเนื้อเขา เนื้อเขาเหมือนคนธรรมดาอย่างนี้แหละลูก ในเมื่อเหมือนคนธรรมดาแสดงว่าบุญน้อย

ถ้าพวกผีหรือเทวดาที่บุญมาก ตัวเขาจะใส ๆ ถ้ายิ่งใสมาก สว่างมาก ก็ยิ่งบุญมาก เพราะฉะนั้น..ถ้าเนื้อทึบ ๆ อย่างนั้นก็บุญน้อย หลวงตาคิดถึงที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาว่า ถ้าผีเขามาก็คือเขาอยากได้บุญ ต้องให้บุญเขานะ

หลวงตาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผลบุญทั้งหมดที่อาตมาทำมา ตังแต่ต้นจนบัดนี้ จะมีประโยชน์ความสุขแก่อาตมาเท่าไร ขอให้เธอโมทนา แล้วก็ได้รับประโยชน์และความสุขนั้นด้วย เขาก็สาธุ..แล้วกลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว เนื้อใสเป็นแก้วเลยลูก

แต่เขาไปเลย..หลวงตาถือบาตรค้าง ไม่มีใครใส่อาหารให้ เขาใส่บาตรเพื่อจะเอาบุญ คราวนี้เขาได้บุญจากหลวงตาแล้ว เขาจึงไม่ต้องใส่บาตร เขาก็ไปเลย หลวงตาอดกินเลย (..หัวเราะ..) ตั้งแต่วันนั้นหลวงตาสาบานกับตัวเองว่า ต่อไปถ้าเจอแบบนี้อีก ต้องให้เขาใส่บาตรก่อนแล้วค่อยให้บุญทีหลัง"

เถรี 14-03-2012 11:48

"ดังนั้น..ขอให้พวกเราทุกคนรู้ว่า ต่อให้เราแอบฆ่าสัตว์ ทำร้ายสัตว์ แอบลักขโมยเขา แอบขโมยของ แย่งของหรือคนที่เขารัก หรือว่าตั้งใจโกหก แอบกินเหล้าเมายาอะไรก็ตาม ต่อให้ครูไม่เห็น พ่อแม่ไม่เห็น เพื่อนไม่เห็น แต่ผีทุกตัวเห็นหมดเลย

ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี ผีก็จะไม่คบกับเราเลย คนไหนที่ไม่โดนผีหลอกมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือวาระยังมาไม่ถึง อย่างที่สองก็คือ ชั่วเกินกว่าที่ผีเขาจะคบ เขาไปหาคนที่ดีกว่า นี่คือเรื่องที่หลวงตาอยากบอกพวกเราว่า ต่อให้ทำชั่วลับหลัง ผีหรือเทวดาเขาก็รู้ เพราะฉะนั้น..ต้องระวังรักษากาย วาจา ใจ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้นะจ๊ะ

หลวงตามีหนังสือ เดี๋ยวจะมอบให้พวกเราคนละเล่ม ตอนช่วงหน้าจะเป็นเรื่องที่หลวงตาออกธุดงค์ ตอนนี้เป็นเล่มที่ ๙๗ แล้ว เป็นตอนไปทุ่งใหญ่และไปห้วยขาแข้ง ถ้าใครอยากได้อีกต้องแวะมาทุกเดือน เพราะว่าหนังสือนี้ออกเดือนละเล่ม จะได้อ่านต่อเนื่องกัน ถ้าอ่านไม่ต่อเนื่องบางทีก็ไม่สนุก แล้วก็มีวัตถุมงคลเป็นพระองค์เล็ก ๆ ให้คนละ ๑ องค์ เก็บไว้เองก็ได้ ให้พ่อแม่เลี่ยมแขวนคอให้ก็ได้

ได้พระไปแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ ใช้ปัญญาเห็นความเป็นจริงว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ จะได้หาทางหลุดพ้น หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพื่อให้เราเป็นเด็กดี พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะได้รัก ถ้าอย่างนี้เราพกพระเครื่องไป เราก็จะพกแบบคนมีปัญญา พระเครื่องและความดีก็จะคุ้มครองเรา แต่ถ้าหากว่าเราสักแต่ว่าพกพระเครื่อง ศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี พระก็คุ้มครองเราไม่ได้หรอก

หลวงตากำลังสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๑ วา ๓๖ องค์ แล้วก็ปิดทองอยู่ เงินที่พวกเราทำบุญมาทั้งหมดนี้ พวกเราร่วมกันสร้างพระพุทธรูปกับหลวงตานะจ๊ะ ขอให้ทุกคนได้บุญมาก ๆ ผีจะได้มากวนเยอะ ๆ..! (..หวา..!) "

เถรี 14-03-2012 16:13

ถาม : บูชาแหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา เป็นแหวนผู้หญิง แต่ผมอยากเอามาใส่ มีสองวิธีคือเลี่ยมคล้องคอ กับแกะเพชรแล้วไปเข้าแหวนใหม่เป็นแบบผู้ชาย วิธีที่สองทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ไม่มีปัญหา สำคัญที่ตรงหัวแหวน ส่วนวงแหวนถึงเวลาเขาหล่อพระที่ไหน เราก็เอาไปร่วมหล่อกับเขา

ถาม : ทำได้ทั้งสองวิธีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เขาแกะกันมาเยอะแล้ว แบบไม่ถูกใจเขาก็เอาไปให้ช่างออกแบบกันใหม่

เถรี 15-03-2012 08:19

ถาม : ผมภาวนาแล้วพวกยักษ์มารจะมา ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ให้ภาวนาต่อไป ไม่มีอะไรสู้พุทธานุภาพได้ ให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าคลุมกายของเราลงมา ขยายได้กว้างเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งขยายได้กว้างเท่าไรเขาก็ยิ่งเข้าใกล้เราได้ยากขึ้น

แรก ๆ อาตมาก็กังวลเพราะไม่รู้วิธี พอรู้วิธีก็สบาย ขยายภาพพระกว้าง ๆ แล้วเราก็นอนในฐานพระสบายใจเฉิบ ใครที่ปฏิบัติแล้วสิ่งเหล่านี้มากวนเยอะแสดงว่าถ้าปฏิบัติแล้วจะได้ผลเร็ว เขาก็เลยพยายามที่จะมาขวางเรา

เถรี 15-03-2012 08:21

ถาม : คนที่มีอาการป่วยมะเร็งถึงขั้นที่สามแล้ว อยู่ ๆ อาการก็หายไปเลย โดยไม่ทำอะไร เป็นเพราะ ?
ตอบ : ถ้าหมดกรรมก็หาย ถ้าไม่หมดกรรมก็เป็นต่อไป

เถรี 15-03-2012 08:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี วัดพระงาม ท่านเป็นคนที่ความรู้แน่นจริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไม่มีมานะด้วย ท่านเก่งบาลีแต่วิชาอื่นท่านไม่เก่ง พอต้องมาสอนวิชาทั่ว ๆ ไปในระดับปริญญาตรี ท่านเองเป็นเจ้าคุณ จบประโยค ๙ เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ไม่มีเลยที่จะวางท่า มาถึงคว้าไมค์ได้ก็ “เฮ้ย...เล็กเว้ย มาช่วยกูหน่อย วิชานี้กูไม่เป็น” ไม่มีการวางท่าเลย ไม่เป็นก็คือไม่เป็น ท่านยอมรับตรง ๆ แบบคนไม่มีมานะ ใครเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ จะไปงานข้างนอกมาดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหน ท่านต้องทำวัตรก่อนแล้วค่อยเข้านอน

ท่านบอกว่าครูบาอาจารย์สอนมาอย่างนี้ สั่งมาอย่างนี้ ก็ต้องทำตามครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง ท่านบอกว่าสมัยนี้ความเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงยาก ไม่เหมือนสมัยพุทธกาล เพราะบารมีเราไม่เหมือนคนยุคนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เราเป็นพระอย่างไร ผมก็จะเป็นพระอย่างนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

ท่านชอบพระเครื่อง พวกลูกศิษย์แสบ ๆ ก็รู้อยู่ว่าอาจารย์ท่านไม่ค่อยถือเนื้อถือตัว ก็สอยอาจารย์เลย “แล้วเจ้าคุณอาจารย์ส่องพระทุกวันนี่ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าบอกหรือเปล่าครับ ?” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..กูส่องพระ ใจกูเกาะพระ ถ้าตาย..กูมั่นใจว่ากูไปดีเว้ย” ท่านไม่เป็นกรรมฐาน ท่านไม่พูดถึงพุทธานุสติอะไรทั้งนั้นแหละ ท่านว่าของท่านซื่อ ๆ

ท่านบอกว่า “เล็ก..พอกูเป็นเจ้าคณะภาคแล้ว มึงมาเป็นเลขาให้ทีนะ” กราบเรียนท่านไปบอกว่า “ไม่ต้องหรอกครับ อย่างพระเดชพระคุณถ้าเป็นก็ภาค ๑๙ โน่นแหละ” เขามีกันแค่ ๑๘ ภาค แล้วก็จริง ๆ ด้วย ท่านมรณภาพก่อน เพราะท่านเป็นมะเร็งตับ สังเกตมาหลายรายแล้ว คนเป็นมะเร็งตับไปเร็วจริง ๆ เพราะว่าตับเป็นแหล่งสำรองพลังงาน เล่นโจมตีคลังเสบียงเลย แล้วจะไปเหลืออะไร"

เถรี 15-03-2012 08:43

"พออาตมาโทรศัพท์ไป “เจ้าคุณอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ลูกศิษย์จะไปเยี่ยม” ท่านบอกว่า “มึงไม่ต้องเสือกมากันเลย” ถามว่าทำไมละครับ ท่านบอกว่า “มันฉายแสงกูผมร่วงหมดเกลี้ยง ถึงเป็นพระหัวล้านกูก็อายว่ะ กูยังทำใจไม่ได้ มึงไม่ต้องมาหรอก ขอบใจนะ”

ท่านว่าเสียตรง ๆ รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลย ชอบใจท่านจริง ๆ ท่านอายท่านก็บอกว่าอาย ทำใจไม่ได้ท่านก็บอกทำใจไม่ได้ คนเราที่รู้ตัวแล้วยอมรับสภาพตัวเองนั้นหายาก เพราะส่วนใหญ่ตัวกูของกูมักจะแรง ต้องวางท่าไว้ก่อน แต่ของท่านนี่ไม่มีเลย

สงสารก็แต่หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านรักการปฏิบัติ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวไม่เอาอะไรกับใครเลย ไม่อยากเป็นเจ้าคณะจังหวัดด้วย ก็เลยจับท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามยัดให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ท่านกะว่าให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ๒ ปีแล้วท่านจะลาออก ให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นเจ้าคณะจังหวัดแทน ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดได้ ๕ - ๖ เดือน ก็โดนมะเร็งกินจนมรณภาพ หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดยังหาคนเป็นแทนไม่ได้มาจนทุกวันนี้"

เถรี 15-03-2012 09:39

"มีอยู่หนึ่งตำแหน่งที่ปัจจุบันนี้ไม่มีการแต่งตั้งเลย ก็คือตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสามัญ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ คือ พระนพีสีพิศาลคุณ เพราะว่าในอดีตรับตำแหน่งนี้แล้วมรณภาพติด ๆ กันทั้ง ๓ รูป เขาจึงตัดทิ้งตำแหน่งนี้ไปเลย

"นพีสี" นี่บอกชัด ๆ เลยว่าเมืองเชียงใหม่ เมืองใหม่ที่ฤๅษีสร้าง ที่เขาเรียก "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"

พระธิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นพระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี บอกชัด ๆ ว่ามาจากเชียงใหม่ แต่คราวนี้ถ้าคนอ่านไม่เป็นก็จะอ่านเป็น วิ-มน-นา-คน-พี-สี จริง ๆ คือ วิ-มน-นาค-นะ-พี-สี

วิมล แปลว่า งดงาม ไร้ตำหนิ , นาค แปลว่า ผู้ประเสริฐ , นว แปลว่า ใหม่ , อิสิ แปลว่า ฤๅษี , วิมลนาคนพีสี แปลว่า ผู้ประเสริฐที่งดงามยิ่งของเมืองใหม่ที่พระฤๅษีสร้าง"

เถรี 15-03-2012 09:46

"ส่วนตำแหน่งที่เป็นมงคล เป็นแล้วอายุยืนก็มี คือตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์อย่างของวัดสามพระยา ก็อายุยืนถึง ๙๐ กว่าปี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ก็อยู่ถึง ๑๐๐ กว่าปี ส่วนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้ง ๆ ที่ทั้งแบกทั้งหาม พอรับตำแหน่งกลับออกงานได้เฉยเลย เพราะฉะนั้น..ตำแหน่งมหามงคลต้องเป็นตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แล้วเป็นตำแหน่งโบราณด้วย

ตำแหน่งสมเด็จพระวันรัตน์และตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตำแหน่งโบราณแต่ดั้งแต่เดิม จริง ๆ แล้วสมเด็จพระวันรัตน์กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ต้องไขว้กัน เพราะว่าสมเด็จพระวันรัตน์เป็นของมหานิกาย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นของธรรมยุติ

ปัจจุบันนี้ไขว้กันมาน่าจะตั้งแต่สมัยหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา สมเด็จพระวันรัตน์ไปอยู่ฝ่ายธรรมยุติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์หลุดมามหานิกาย พระท่านไม่ได้เลือกหรอก ทรงสถาปนาตำแหน่งอะไรมาก็รับไว้"

เถรี 15-03-2012 10:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานใครตามไปงานพุทธาภิเษกที่ชลบุรีบ้าง ? พระเกจิอาจารย์ ๔๙ รูป อายุรวมกันเกือบสี่พันปี แต่ละท่าน ๙๐ กว่าปีแทบทั้งนั้นเลย อายุ ๕๐ กว่าอย่างอาตมาอยู่เกือบท้ายแถว ถ้าไม่มีครูบาเหนือชัย ครูบาอริยชาติ ไม่มีอาจารย์เล็ก วัดศรีมงคล อาตมาก็คงอยู่ท้ายแถวสุด

แต่ฝ่ายต้อนรับเขาแม่นมาก ไม่รู้ไปเอารูปมาจากไหน เห็นหน้าก็รู้เลยว่าเป็นใคร อาตมาไม่ได้มีโอกาสคุยกับหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรค์ หลวงปู่เพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หลวงปู่ศิริ วัดละหาร พอท่านเข้ามาเขาก็นิมนต์เข้านั่งปรกเลย เพราะท่านมีธุระต่อก็ต้องไปนั่งก่อน

ส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ใช้กำลังของตัวเอง..น่าเสียดาย หลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร ท่านเข้าก่อนประมาณ ๑๐ นาที พอถึงเวลาพระบอกว่าพอแล้ว หลวงปู่ก็ลืมตามาพรมน้ำมนต์ เจิมเสร็จ หันมาบอกอาตมาว่า พอแล้ว..เต็มแล้ว..ไปเถอะ แสดงว่าท่านเบาแรงตัวเองเหมือนกัน ขอบารมีพระท่านช่วย อาตมาก็ประคองท่านออกมาข้างนอก ญาติโยมนึกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไม่นึกว่าจะกลับ ในเมื่อเสร็จธุระแล้วจะอยู่ไปทำไม ของเต็มแล้วเติมไปก็ล้นเปล่า ๆ"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้เวลาไม่นาน บางทีพระท่านชวนคุยด้วย เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ให้รอเวลานิดหนึ่ง เสกเร็วเกินไปเดี๋ยวญาติโยมเขาไม่เชื่อ

ถาม : เชื่อยากจริง ๆ นะ บางคนนั่งเสก ๔ ชั่วโมงก็มี
ตอบ : แบบเดียวกับหลวงปู่สีหรือหลวงปู่บุดดา พอเอาของไปให้เสก "ขอบารมีหลวงปู่ด้วยครับ" ท่านเอามือแปะทีเดียว "เอ้า..ไปได้แล้ว" คือกำลังใจที่เต็มที่อยู่แล้ว พอถึงเวลาก็เหมือนกับไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ช็อตทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่างที่หลวงปู่แหวนบอกว่า "หลวงปู่สีเอามือแตะสามที ดีกว่าฉันเสกสามเดือน"

เถรี 15-03-2012 12:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำแหน่งพระครูปุริมานุรักษ์ เป็นตำแหน่งพระครูรักษาพระปฐมเจดีย์ด้านทิศตะวันออก สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะตั้งพระครูสัญญาบัตรรักษาพระปฐมเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ มีพระครูปุริมานุรักษ์ พระครูทักษิณานุกิจ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร พระครูอุตรการบดี

พระครูปริมานุรักษ์ รักษาทิศตะวันออก พระครูทักษิณานุกิจ รักษาด้านทิศใต้ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร รักษาด้านทิศตะวันตก พระครูอุตรการบดี รักษาด้านทิศเหนือ คราวนี้ตำแหน่งพระครูทั้ง ๔ นี้ ที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านเป็นพระครูอุตรการบดี ที่เขาเรียกหลวงพ่อวัดพะเนียงแตกเพราะว่าเขาทำพลุตะไล ปิดถนนจุดฉลองกันในงาน ปรากฏว่าคนไปเที่ยววัดเมามาย ทะเลาะกัน ตีกัน หลวงพ่อทาเบื่อพวกนี้เต็มที เขาจุดพลุท่านก็เลยเอามืออุดกระบอกไว้ พลุพุ่งขึ้นไม่ได้ก็ระเบิดออกด้านข้าง หลวงพ่อท่านยืนเฉยไม่เห็นเป็นอะไร คนเขาก็เลยเรียกว่าหลวงพ่อพะเนียงแตก

พระครูทักษิณานุกิจที่ดังมาก ๆ เลยคือหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม แต่ตอนหลังหลวงพ่อเงินเลื่อนเป็นเจ้าคุณพระราชธรรมมาภรณ์ พระครูปุริมานุรักษ์ที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

พระมหาธาตุเมืองนครก็มีตำแหน่งพระครูกาแก้ว พระครูกาชาด พระครูกาเดิม และพระครูการาม ปักษ์ใต้เขามีพระครูกา มาจากคำว่าลังกา สมัยนั้นเขาเป็นแผ่นดินลังกาสุกะ

ด้านกาญจนบุรี สมัยก่อนก็มีตำแหน่งที่คล้องจองกันเป็นโคลงเป็นกลอนเลย มี พระวิสุทธิรังษี พระครูสิงคิคุณธาดา พระครูจริยาภิรัต พระครูยติวัตรวิบูล พระครูอดุลสมณกิจ พระครูนิวิฐสมาจาร พระครูวัตตสารโสภณ

ตั้งแต่ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ก็คือพระวิสุทธิรังษี ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ พระครูสิงคิคุณธาดา ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน พระครูจริยาภิรัต วัดหนองขาว พระครูยติวัตรวิบูล วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง พระครูอดุลสมณกิจ ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่ดี วัดเหนือ พระครูนิวิฐสมาจาร วัดหนองบัว และพระครูวัตตสารโสภณ วัดดอนเจดีย์"

เถรี 15-03-2012 12:41

ถาม : คนเราถ้าธรรมไม่เสมอกัน ไปด้วยกันไม่ได้ กรณีนี้รวมถึงการใช้ชีวิตคู่ของสามีภรรยาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แน่นอน..ไปเปิดตำราหาคำว่า "สมชีวิธรรม" ดู แล้วจะรู้ว่าคนที่เป็นคู่ครองกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ควรจะต้องมีอะไรบ้าง ถ้าอาตมาบอกหมดเดี๋ยวเราจะขี้เกียจ ให้ไปค้นเอาเองบ้าง

โบราณเขาบอกว่าปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย เพราะฉะนั้น..ถ้าแต่งงานผิดก็คิดจนผัวตาย ปล่อยให้เขาตายไปเองนะ อย่าไปทำให้เขาตาย

เถรี 15-03-2012 12:45

ถาม : อาวุธมีดดาบคู่บารมี ให้วัดตามความยาวข้อนิ้ว วัดอย่างไรครับ ?
ตอบ : วางนิ้วหัวแม่มือลงไปบนใบมีด แล้วก็ไล่วัดไปสิ ศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดช วิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ ถ้าไม่สุดใบมีดก็ไปขึ้นศรีวิชัยใหม่ อย่าให้ไปลงภัยนิรันดร์หรือพลัดบ้านเมืองก็แล้วกัน

ดาบง้าวโบราณก็มีการวัดนะ มีร่มโพธิ์ ร่มไทร ไกวแขนไปก่อนท้าว น้าวของท่านมาเรือน ง้าวคมเบือนฟันเจ้า ง้าวไม่เข้าฟันเมีย ฟันเมียเสียลูกแท้ง ก้อนคำแห้งใส่ถุง

ถ้าปืนโบราณก็เริ่มจาก ตูมตายเสี้ยง เขียงหน้าก่อง น่องยานดาย ไปตายไพรอื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง เก็บผักเหลืองใส่ซ้า ง้างี้แบกคืนดาย ถ้าหากว่าเก็บผักเหลืองใส่ซ้าก็เผาทิ้งไปเถอะ แล้วน่องยานดายก็ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะว่าเดินจนน่องยานแล้วยังไม่เจออะไรเลย ปืนนี่เขาวัดจากลำกล้อง

ถาม : มีดดาบคือวัดตั้งแต่..?
ตอบ : โคนใบตรงชิดกระบังมือ ถ้ามีดที่ประกอบเป็นเล่มแล้ววัดจากกระบังมือ

แสดงว่าสองตำราหลังมาจากเขตลาว เพราะภาษาเป็นภาษาลาวหรือภาษาเหนือ ตายเสี้ยงก็แปลว่าตายหมด ตูมตายเสี้ยง คือยิงเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เขียงหน้าก่อง คือ ได้เนื้อมามาก สับจนหน้าเขียงกร่อนไปเลย น่องยานดาย ประเภทเดินไปเมื่อยขาเปล่า ๆ ไปตายไพรอื่น คือยิงโดนก็ไม่ตาย หนีไปตายที่อื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมืองนี่น่ากลัว ทั้งแบกทั้งหามมาเลย ได้เยอะขนาดนั้น เก็บผักเหลืองใส่ซ้า นี่น่าเบื่อหน่ายมาก แบกปืนเข้าป่าแต่ต้องเก็บผักเหี่ยว ๆ ใส่ตระกร้ากลับมา ง้างี้แบกคืนดาย อุตส่าห์ง้างนกออกจากบ้านไปแล้วยังไม่ได้ยิง จนต้องแบกปืนกลับมา

ยังดีที่คุณมาถาม คนอื่นจะได้จำได้ไปด้วย เพราะเรื่องแบบนี้ค่อย ๆ สาบสูญไป ถึงเวลาจำหรือจดบันทึกเอาไว้ คนรุ่นใหม่ ๆ อ่านเจอจะได้รู้ไว้บ้าง

เถรี 16-03-2012 09:34

ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งรถเมล์แล้วพิจารณาไปว่า ในความสุขก็มีความทุกข์ และในความทุกข์ก็มีความสุขบนโลกนี้ แต่ว่าผมได้ยินเสียงหลวงพ่อบอกว่า ความสุขที่แท้จริงในโลกนี้ไม่มี ผมไม่แน่ใจว่าเป็นนิวรณ์หรือเปล่า จึงอยากถามว่าจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าโลกนี้ไม่มีความสุขจริงไหมครับ ?
ตอบ : ความสุขมีแต่ที่พระนิพพานที่เดียว ในโลกนี้ที่ว่าสุขคือความทุกข์ที่ลดน้อยลงเท่านั้น

เถรี 16-03-2012 09:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไปอ่านลีลาวดีภาค ๑ ในเว็บวัดท่าขนุนตอนนี้จะสนุกมาก พระเรวัตตะกำลังโดนกามราคะตีจนเอียงกะเท่เร่เลย ตั้งท่าจะสึกแล้ว

ความจริงเนื้อเรื่องลีลาวดีตอนนี้ขาดความสมจริงอยู่จุดหนึ่ง แต่จะไปตำหนิท่านอาจารย์แสงก็ไม่ได้ เพราะว่าเนื้อเรื่องเป็นบ้านเมืองของอินเดีย ในเมื่อเป็นบ้านเมืองเขาธรรมเนียมบางอย่างเราก็ไม่รู้ สมัยอินเดียยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหัวหน้าครอบครัวตายลงแล้วไม่มีลูกชายสืบทอด จะโดนหลวงยึดสมบัติหมด

ตอนนั้นท่านสุมังคลคฤหบดีกับชัยเสน ซึ่งเป็นพ่อและพี่ชายของลีลาวดีตายไปแล้วทั้งคู่ ท่านบอกว่าเหลือแต่แม่กับลูกสาวรอพระเรวัตตะสึกไปเพื่อครองสมบัติ ความจริงแล้วไม่ได้หรอก ถ้าเป็นจริงโดนยึดสมบัติไปหมดแล้ว"

เถรี 16-03-2012 10:23

ถาม : เมื่อก่อนเวลานอนแล้วภาวนา ก่อนจะตื่นผมจะภาวนาต่อสัก ๔ - ๕ ครั้งก่อนแล้วค่อยตื่น แต่ช่วงนี้ไม่เป็นแล้วครับ ?
ตอบ : กำลังใจตก..เพราะว่าถ้าเข้าถึงสมาธิขั้นละเอียด..หลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ จะตื่นยังต้องบอกตัวเองให้ตื่นก่อน ถ้าสมาธิหยาบมาอีกหน่อยหนึ่ง...ก่อนตื่นจะรู้ตัวจับคำภาวนาก่อนตื่น ถ้าหยาบกว่านั้นอีกหน่อย...ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวจับคำภาวนาต่อ ถ้าหยาบยิ่งกว่านั้น...ตื่นแล้วแคะขี้ตาอยู่พักหนึ่งแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องภาวนา แสดงว่าของเราถอยหลังไปแล้ว ให้เร่งขึ้นหน้าอีกหน่อย

ถาม : คาถาตะกรุดมหาสะท้อน ต้องภาวนาวันหนึ่งมากแค่ไหนครับ ?
ตอบ : เอาแค่ช่วงเช้าให้อารมณ์ใจทรงตัวก็พอแล้ว

เถรี 16-03-2012 10:39

โยมยกถังสังฆทานมา แต่ไม่ได้ยกพระพุทธรูปมาด้วย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ให้ยกพระพุทธรูปมาด้วยจ้ะ ทำบุญอย่าให้ขาดทุน เดี๋ยวเกิดเป็นเทวดารัศมีกายจะสว่างน้อยกว่าเขา โลกอื่นเขาวัดกำลังบุญด้วยรัศมีกาย ใครสว่างมากก็แสดงว่ามีบุญมาก

น่าเห็นใจโยมเหมือนกัน เพราะถังสังฆทานก็หนักพออยู่แล้ว ไหนจะพระพุทธรูปอีก ทำให้ยกมาทีเดียวไม่ได้ บางทีก็ลืมไปเลย บางทีอาตมายกข้าวของชนิดที่ ๓ - ๔ คนเขายก แต่อาตมายกคนเดียว มีคนถามว่าไม่หนักหรือ ? อาตมาบอกไปว่าไม่ถามได้ไหม ? ดันทะลึ่งถาม จากที่ไม่หนักเลยทำให้รู้สึกว่าหนัก..!"

เถรี 16-03-2012 11:11

ถาม : มีครั้งหนึ่งผมถวายสังฆทานกับหลวงตาวัดป่าท่านหนึ่ง แล้วถวายพระพุทธรูปไปด้วย ท่านบอกว่าพระพุทธรูปท่านรับให้แล้ว ให้เอากลับไปบูชาที่บ้านได้ อย่างนี้ผมต้องชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..เพราะท่านให้เราเอง ส่วนหลวงตาก็เป็นหนี้สงฆ์ไป เราไม่ได้เป็นหนี้สงฆ์ สำหรับพระป่าอะไรที่ดูแลยาก รุงรังเกินไป ท่านก็มักจะให้วัดอื่นหรือให้คนอื่นไป

ไม่ต้องอะไรมากหรอก นึกถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวงก็แล้วกัน คนที่ทำบุญเขาจะทำบุญอย่างเดียว เขาไม่ได้ดูว่าอาตมาจะเอาไปได้หรือเปล่า ย่ามของอาตมามีคนใส่น้ำมา ๑ ขวด สมุดบันทึกไดอารี่ ๔ เล่ม แล้วจะเหลืออะไรให้คนอื่นใส่ ? นั่นลักษณะทำบุญแบบไร้สติ กูจะทำอย่างเดียว ไม่ได้ดูว่าคนรับจะเอาไปได้หรือเปล่า ?

ส่วนอีกรายหนึ่งใส่ลักษณะเหมือนกับเป็นไฟฉาย คราวนี้มาในกรอบกระดาษแก้วซึ่งเป็นที่ครอบด้วย ใส่มาคนเดียว ๓ อัน แล้วย่ามใบแค่นี้จะใส่อย่างไร คนอื่นเขาก็จ้องใส่ กว่าอาตมาจะเดินหลุดออกมาได้แทบตาย ยังดีได้ถุงก๊อบแก๊บมาอีก ๓ ใบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะใส่อะไร เพราะเต็มจนล้นแล้ว

สรุปแล้วกลับจากวัดเขาวงมา นอกเหนือจากปัจจัยส่วนที่ถวายหลวงตาไปแล้ว ยังมีติดกลับมาอีกหนึ่งแสนสองหมื่นกว่าบาท คนจำนวนหนึ่งเขามาเพื่อดูหน้าอาตมาเท่านั้น เพราะได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็นหน้า ส่วนอีกจำนวนหนึ่งถ้าอาตมาเป็นสาว ๆ ต้องบอกว่าโดนลวนลาม เพราะเขาเล่นจับ ๆ คลำ ๆ แล้วเอามือไปลูบหัว อาตมาว่าถ้ามือสากหน่อย คงลูบอาตมาจนสึกไปเป็นแถบ ๆ ไปแล้ว..!

เวลาเห็นคนที่เขาศรัทธามาก ๆ แต่ปัญญายังน้อยอยู่ การแสดงออกของเขา บางทีก็รู้สึกว่าน่าสงสาร แต่ก็ยังดีที่เขายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ว่าเป็นการยึดตัวตนอยู่ก็ต้องถือว่ายึดแล้ว เพราะเราต้องเกาะดีไว้ก่อน ก่อนที่จะปล่อยดีทีหลัง ประเภทนี้ยังต้องฝ่าฟันอีกหลายชั้นเลย กว่าที่จะรู้ว่าคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ตอนนี้เขายึดตัวบุคคลเป็นเหตุ ก็ต้องให้เขายึดไปก่อน

เถรี 16-03-2012 11:33

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานเลี้ยงน้ำกับขนมเด็ก ๆ ด้วย ก็เลยคาดว่าเดือนหน้าจะมาหนักกว่านี้อีก (หัวเราะ) ขนม ๒๐๐ ชิ้นเหลือ ๑ ชิ้น ปรากฏว่าคุณครูขอไปด้วย

เวลาเห็นเด็ก ๆ เข้าวัดเข้าวา แล้วครูบาอาจารย์เต็มอกเต็มใจพามา ก็มีความหวัง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไหลตามกระแสโลกไป แต่อย่างน้อย ๆ ส่วนหนึ่งก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พวกนี้ถ้ามาบ่อย ๆ แล้วจะโดนอาตมาหลอก หลอกให้ทำนั่นนิดทำนี่หน่อย เมื่อวานเล่าเรื่องผีให้ฟัง แล้วบอกพวกเขาว่าทำดีหรือทำไม่ดี พ่อแม่ไม่เห็น ครูไม่เห็น หลวงพ่อก็ไม่เห็น แต่ผีเขาเห็นทุกตัวเลย..(หัวเราะ)..

จริง ๆ แล้วในเรื่องของเด็ก แค่รู้ว่าต้องพูดกับเขาอย่างไร แล้วเขาจะเอาไปคิดไปจำก็พอแล้ว"

เถรี 16-03-2012 15:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนบาลีมีคุณความดีมากตรงที่ว่า เราต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเรียน โดยเฉพาะการท่องจำไวยากรณ์ ถ้าเราใช้คำท่องจำเป็นคำภาวนา ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเต็ม ๆ เลย

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านท่องบาลีไปเรื่อย ๆ ท่องไปท่องมาเห็นตัวเองนั่งท่องบาลีอยู่ ก็คือ ท่านท่องบาลีจนกายในหลุดขึ้นไปบนเพดานเมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วกายในก็มองตัวเองที่นั่งท่องบาลีอยู่

ส่วนอาจารย์มหาทองดี เวลาญาติโยมให้เจิมบ้านเจิมรถ ถามว่าอาจารย์ใช้คาถาบทไหน ท่านบอกว่าไม่มีคาถาหรอก ผมก็ท่องไวยากรณ์บาลีนั่นแหละ ท่องไปท่องมา เกิดความเคยชิน คล่องตัว เกิดความมั่นใจก็ขลังไปเอง

ภาษาบาลีให้รายละเอียดได้เยอะมาก พูดออกมาคำหนึ่งสามารถแยกแยะได้เลยว่า เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เป็นอดีตใกล้ปัจจุบัน เป็นปัจจุบันใกล้อนาคต ต้องบอกว่า tense ของบาลีเยอะกว่าภาษาอังกฤษ"

เถรี 16-03-2012 16:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพอลูกสาวอายุได้ ๑๖ - ๑๘ ปี พ่อแม่ก็มานั่งเครียดว่าเมื่อไรลูกจะแต่งงาน ส่วนสมัยนี้อายุ ๓๐ - ๔๐ ปีแล้วก็ยังไม่แต่ง

สมัยก่อนความจำเป็นบังคับ เพราะผู้หญิงแทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย จะอยู่ได้ต้องมีครอบครัว ถ้าหากว่าพ่อแม่ชราลงแล้วไม่มีคนเลี้ยง ถึงเวลาพอลูกอายุ ๑๕ , ๑๖ , ๑๗ ปี โดยเฉพาะ อายุ ๑๘ ปี แล้วไม่แต่งนี่ พ่อแม่เริ่มเครียด กลัวลูกจะค้างเรือน สมัยก่อนใช้คำว่า "ค้างเรือน" สมัยนี้อายุ ๔๐ ปียังอยู่กันเฉย ๆ ไม่มีใครเครียด เพราะผู้หญิงสมัยนี้ทำมาหากินเอง ไม่ต้องอาศัยผู้ชายเลี้ยง

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนเมื่อโยมสักครู่ที่มาสารภาพว่า "หลวงพ่อครับ..ที่บอกว่าอยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกแต่ไม่สบาย ผมกำลังเจอเต็ม ๆ" บอกไปว่า อ๋อ..แสดงว่าคุณกำลังสนุกอยู่ละสิ แสนสนุกแต่ไม่สบาย

จะว่าไปแล้วการมีชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องที่หนักมาก เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับอาตมาอายุ ๕๓ - ๕๔ ปีนี่ เวลาไปนั่งคู่กับเขาอาตมากลายเป็นลูกชายเขาไปเลย เขาเครียดเรื่องครอบครัวจนดูแก่มาก ตอนงานที่วัดเขาวง อาตมาเจอเพื่อนเลยเรียกมาถ่ายรูปคู่ บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน คนอื่นเขายังงง ๆ ว่าใช่หรือ ?

ถ้าคิดว่าดูแลตัวเองได้ การอยู่คนเดียวนั้นสบายทุกคน อาตมาเองสมัยก่อนก็ได้ยินคนแก่พูดอยู่เรื่อย "ไม่แต่งการไม่แต่งงาน เดี๋ยวแก่ตัวไปไม่มีใครดูแลนะ" อาตมาก็ชอบคิดแผลง ๆ ถ้าแต่งไปแล้วเราต้องไปดูแลเขา แทนที่เขาจะมาดูแลเรา จะไม่ยิ่งทุกข์กว่าหรือ ?

ตัวเลขสถิติผู้หญิงไทยปัจจุบัน ๑๘ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงาน นี่ยังน้อยนะ สถิติของญี่ปุ่นน่ากลัวมาก ๓๙ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงาน เขาถือว่าอยู่คนเดียวได้ เพราะผู้ชายญี่ปุ่นถ้าหากว่าแต่งงานแล้ว เขาจะเป็นเจ้านาย ทุกอย่างให้ผู้หญิงทำหมด เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงญี่ปุ่นที่เขาทำงานเองได้ ทำอะไรเองได้ เขาเลยไม่แต่งงาน

หลวงตาวัชรชัยท่านเคยเปรียบไว้ว่า ทำงานเหนื่อยนอกบ้านมาด้วยกัน พอกลับมาถึงบ้านแทนที่จะช่วยเมียถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ดันมานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ รอเมียทำกับข้าวให้กิน พอทำกับข้าวเสร็จเมียยังต้องมาถูบ้านอีก แบบนี้ก็ตายสิ..อยู่ที่ทำงานมีเจ้านายแล้ว กลับบ้านยังมาเจอเจ้านายอีก แบบนี้ไม่แต่งดีกว่าว่ะ..!"

เถรี 17-03-2012 10:07

ถาม : ช่วงนี้มีบางท่านที่ใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิด แล้วทำให้มีผลกระทบ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผู้ที่ได้มโนมยิทธิมักจะนำไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้คำว่า "เพราะเห็นจึงเชื่อ" โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกกัน อาตมามักจะเปรียบเทียบว่า เราเห็นคนเขาวิ่งไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ ก็คือเราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่จริง


บุคคลที่ปฏิบัติแล้วรู้เห็นได้ มักจะโดนทดสอบ คราวนี้คนที่รู้เห็นก็มักจะขาดสติ เพราะเห็นจึงเชื่อ โดยไม่มีการไตร่ตรองก่อน จะว่าไปแล้วก็เรื่องตัวกูของกูเต็ม ๆ นั่นแหละ เพราะกูเห็น..จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่โดนหลอกแล้วเป๋ออกนอกทางไปเลย

ยกตัวอย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เป็นข่าว ท่านบอกว่า เวลาพรมน้ำมนต์ พวกสัมภเวสีจะเดือดร้อนมาก พรมน้ำมนต์แล้วตัวขาดเป็นท่อน ๆ เจ็บปวดเหลือเกิน สงสารเขา อย่าไปทำเลย เรือนชานบ้านช่องก็ไม่ควรมีวัตถุมงคล ผ้ายันต์ หรือพระพุทธรูปไว้ เพราะทำให้ผีเข้าออกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท่านเห็นแล้วพูดตามที่เห็น

โยมมาถามอาตมาว่าควรจะเชื่อดีไหม ? อาตมาเลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่าอย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้ปล้นร้านลำบาก โยมจะเชื่อไหม ?

ถาม : แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ
ตอบ : ก็เพราะอย่างนั้น พอเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ แล้วเขาถึงรู้ว่า การที่เห็นแล้วพูดเลย แสดงว่ายังรู้ไม่จริง เพราะบุคคลที่รู้จริง เขารู้ว่าควรจะพูดแค่ไหน

ถาม : แล้วสิ่งนั้นกระทบในชีวิตประจำวัน
ตอบ : กระทบแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ขวัญอ่อนหน่อยนี่ไปเลย

ถาม : เมื่อเราถูกกระทบควรจะวางอย่างไร ?
ตอบ : ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อย่าไปหวั่นไหวกับสิ่งอื่น อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับภาวนาของเรา ได้ยินก็ถือแค่ว่าเป็นลมผ่านหูไป พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว สิ่งนี้ตรงกับคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่น ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าไม่ตรงกันก็ต้องละเอาไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อ

สงสัยอีกก็ไปเปิดพระไตรปิฎก แต่อย่าไปเปิดพระไตรปิฎกอย่างหลวงพ่อท่านนั้นนะ เพราะท่านเล่นเถรตรง ก็คือไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง เป็นการตีความตามตัวอักษร นั่นก็ทำให้ผิดอีก

ถาม : เราก็ปล่อยให้เขาทำสิ่งนั้นไป ?
ตอบ : สรุปก็คืออย่าไปยุ่งกับเขา รักษากำลังใจของเราให้ดีที่สุด ไปยุ่งกับเขาเมื่อไร กำลังใจของเราจะหมอง ถ้าหากว่าตายตอนนั้นเราจะขาดทุนมาก

เถรี 17-03-2012 11:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอแก่ตัวมากขึ้น หน้าที่ความรับผิดชอบก็มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันสังขารก็อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามคือเสื่อมลงไปทุกที งานที่สมัยหนุ่ม ๆ เคยทำแล้วไม่หนัก ตอนนี้ก็กลายเป็นหนักไปแล้ว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว