![]() |
ถาม : เคยมีช่วงหนึ่งที่สังเกตเห็นจิตพุ่งไปข้างบนแล้วก็ลงมาข้างล่าง แต่ก็รู้สึกตัวนะคะ
ตอบ : เรื่องของสภาพจิต ไม่ว่าจะไปลักษณะไหนก็ช่าง ให้สนใจดูแค่ว่าตอนนั้นอารมณ์จิตมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่หรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็ถือว่าใช้ได้ ถ้ามี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ก็รีบขับไล่ออกไปจากใจ ถ้ามัวแต่ไปดูอาการว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ เผลอ ๆ โดนกิเลสกินตายชัก..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หมอดูที่แม่นที่สุดในประเทศไทยท่านหนึ่งบอกว่า ลายมือคนเปลี่ยนทุก ๑๕ วัน ที่คุณว่าเปลี่ยนทุกอาทิตย์นี่แสดงว่าเร็วเกินไป นอกตำราไปไกลแล้ว
เรื่องของการดูดวง ดูลายมือ เต็มที่ดูได้ประมาณ ๖๐% ขนาดที่เต็มที่ได้ ๖๐% ก็ยังมีบางท่านดูได้เหมือนตาเห็น บอกได้เลยว่าวันนั้นเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากดูโดยทิพจักขุญาณ ดูได้เต็มที่ไม่เกิน ๘๐% แต่ทิพจักขุญาณผิดง่ายที่สุด ที่ผิดง่ายเพราะว่าไปปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามา บางคนเห็นหน้าแล้วไม่ชอบใจ บางคนโดนซักถามมาก ๆ แล้วเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยแนะนำว่า ผู้ที่ใช้ทิพจักขุญาณในการดูหมอ อย่าดูต่อหน้าลูกค้า ส่วนใหญ่ลูกค้าพวกนี้ได้คืบจะเอาศอก ท่านบอกว่าอย่าให้เขาซักถามเฉพาะหน้า การซักถามเฉพาะหน้า ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น ทิพจักขุญาณจะเสื่อม..เพี้ยน..ดูแล้วผิดพลาดได้ ท่านแนะนำว่า ให้คนดูทำสมาธิอยู่ในห้องพระ แล้วให้เขาเขียนคำถามเข้ามา จำกัดไว้เลยว่าคนละไม่เกิน ๕ คำถาม เป็นต้น แล้วคิดให้แพงไปเลยนะ ถ้าคิดถูก ๆ เดี๋ยวเขามากวนบ่อย เรื่องทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องจริง ๆ จะผิดพลาดมากมหาศาลเลย แต่ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง จะสามารถดูได้ถึง ๘๐% แต่ขณะเดียวกัน ๒๐% ที่เหลือก็คือพวกกำลังใจเกินมนุษย์มนา บอกว่าไม่ดีอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ทำจนดีได้ ถ้าประเภทนั้นก็ช่วยไม่ได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ถ้าจะแต่งตั้งต้องผ่านมหาเถรสมาคม ไม่เหมือนกับวัดราษฎร์ทั่วไป วัดหลวงลำบากตรงที่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยราชวงศ์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งที่ไม่ดีไป เกิดอะไรขึ้นมาเสียหายหลายล้าน ไม่ได้เสียแต่พระศาสนา เสียถึงพระมหากษัตริย์ด้วย
ถ้าหากว่าต่างจังหวัดมีการตั้งเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดจะเป็นผู้เสนอ ผ่านผู้บังคับบัญชา คือเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ ขึ้นไปมหาเถรสมาคม แต่ถ้าหากว่าเจ้าคณะจังหวัดเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงเสียเอง ต้องให้เจ้าคณะภาคเป็นผู้เสนอ ก็คือ ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปกว่านั้นอีกชั้นหนึ่งเป็นผู้เสนอ ลำบาก...ไม่เหมือนเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ทั่วไป เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ทั่วไปนี่ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล กับเจ้าอาวาสในเขตนั้น รวมแล้ว ๓ รูปขึ้นไปมีความเห็นตรงกัน ก็ยื่นขึ้นเสนอเจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีรองเจ้าคณะอำเภอ ไม่มีรองเจ้าคณะตำบล ก็ให้เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอคัดเลือกเจ้าอาวาสในเขตปกครองนั้น ๆ ๓ รูปมาร่วมเป็นกรรมการ มีความเห็นรวมกันว่าพระรูปไหนสมควรจะเป็นเจ้าอาวาสก็ให้แต่งตั้งรูปนั้น จะเห็นได้ว่าตามข้อกฎหมายแล้ว การแต่งตั้งเจ้าอาวาสไม่ว่าจะเป็นวัดราษฎร์ทั่วไปหรือพระอารามหลวง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชาวบ้านเลย แต่มักจะมีปัญหาที่ชาวบ้าน ถึงเวลาไม่ชอบใจ ไม่ใช่พวกกู ก็จะไล่ท่าเดียว หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรเลย แล้วแถมจะมีความซวยมาเยือนด้วย เพราะเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย ถ้าเจ้าอาวาสสั่งแล้วไม่ทำตาม ก็คือขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน มีโทษทั้งจำและปรับ..! ชาวบ้านส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจตรงจุดนี้ อาตมาเองบางทีก็ขี้เกียจไปชี้แจงเขา" |
"วันก่อนมีการไล่เจ้าอาวาสวัดหินดาด ข้อหาคือท่านตัดไม้ในวัด ถ้าอย่างนี้อาจารย์เล็กโดนแน่ เพราะตัดไปหลายสิบตันแล้ว แต่ยังดีเขาโทรศัพท์มาปรึกษา เขาบอกว่าจะไปร้องเจ้าคณะอำเภอ ยิ่งเจ๊งหนักเข้าไปใหญ่เพราะข้ามขั้นตอน
"ถ้าคุณจะฟ้องร้องเจ้าอาวาสต้องฟ้องต่อเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะตำบลเสนอเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอเสนอเจ้าคณะจังหวัด เพื่อตั้งคณะกรรมการมาสอบสวน ถ้าหากว่าฟ้องต่อเจ้าคณะอำเภอเลยถือว่าข้ามขั้นตอน ท่านไม่ทำงานให้คุณหรอก เสียเวลา..เพราะผิดขั้นตอน ยื่นเสนอไปเจ้านายก็ด่า เจ้าอาวาสมีสิทธิ์ขาดภายในวัดตัวเอง คุณไปฟ้องว่าท่านตัดต้นไม้ ต่อให้ท่านตัดต้นไม้หรือเลื่อยไม้ขายจริง ๆ ก็เถอะ...ถ้าท่านบอกว่าท่านทำเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์วัด แล้วคุณจะเอาหลักฐานที่ไหนไปเล่นงานท่าน ท่านบอกว่าผมจะสร้างศาลาตรงนี้ ยังไม่ทันจะสร้างเลยผมเอาต้นไม้ลงก่อน คุณก็ฟ้องเสียแล้ว แล้วเราจะไปเถียงอะไรได้ อย่าเสียเวลาไปฟ้องเลย เหนื่อยเปล่า..ถ้าไม่ชอบใจก็อุ้มเลย..!" แนะนำดีไหม ? อุ้มไปทำอะไร อุ้มไปเลี้ยงเพล..! เป็นเรื่องแปลกที่โยมส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะญาติ ๆ ของพระมักจะคิดว่าตัวเองมีอำนาจ ถ้าหากว่าอ่านข้อกฎหมายจนจบแล้วจะสยองขวัญ ที่เจ้าอาวาสปล่อยให้เขาซ่าก็เพราะเกรงใจว่าเป็นญาติ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์นี่เป็นกฎหมายสำหรับพระโดยเฉพาะเลย มาตราที่ ๓๗ กล่าวถึงหน้าที่ของเจ้าอาวาสว่าต้องทำอย่างไรบ้าง มาตราที่ ๓๘ กล่าวถึงอำนาจของเจ้าอาวาสว่ามีอำนาจจะจัดการอะไรได้บ้าง ท่านบอกไว้ละเอียดยิบ ถ้าเจ้าอาวาสสั่ง แล้วไม่ทำตาม ถือว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งชอบด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้น..ถ้าเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัด แล้วเราไม่ไป เจ้าอาวาสเกิดหมั่นไส้ฟ้องขึ้นมานี่เป็นคดีอาญาเลยนะ เจอข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน..!" |
"มาตราที่ ๔๕ ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๕๓๕ ระบุว่า เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา"
ถาม : พระลูกวัดไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานหรือคะ ? ตอบ : เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน ส่วนพระลูกวัดไม่ได้เป็น ถาม : ถ้าพระสึกก่อนมีสิทธิ์ได้บำนาญไหมคะ ? ตอบ : ไม่มี..ต่อให้พระปฏิบัติหน้าที่ยันเกษียณก็ไม่มีบำนาญ หมดแล้วหมดเลย ยังดีนะที่ตำแหน่งเจ้าอาวาสเกษียณแล้วยังเป็นเจ้าอาวาสได้ พระจะเกษียณกันที่อายุ ๘๐ ปี มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง อย่าให้บอกชื่อเลยนะเพราะท่านโดนด่ามาเยอะแล้ว ท่านเสนอให้พระเกษียณไม่เกิน ๖๕ ปี ท่านบอกว่าให้รุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมาปกครองวัดบ้าง วัดจะได้เจริญ ปรากฏว่าท่านโดนด่าเสียทั่วประเทศเลย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่อยากหมดอำนาจกัน ตำแหน่งตั้งแต่เจ้าคณะใหญ่ลงมา จนกระทั่งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เกษียณอายุ ๘๐ ปีทั้งหมด ยกเว้นกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาส อาตมาถามว่า กรรมการมหาเถรสมาคมท่านเป็นโดยตำแหน่ง จะไม่เกษียณก็ได้ หรือท่านที่สมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งจะไม่เกษียณตอนอายุ ๘๐ ก็ไม่น่าเกลียด เพราะว่าเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญที่มีแค่นิดเดียว ไม่เกิน ๒๑ รูปเท่านั้น (รวมสมเด็จพระสังฆราชด้วย) แต่ทำไมเจ้าอาวาสไม่ให้เกษียณ ? ท่านอธิบายได้ชัดมาก ท่านบอกว่าถ้าขืนเจ้าอาวาสที่เคยมีโจทก์อยู่ในวัดมาเกษียณ คนเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่จะไล่เจ้าอาวาสเก่าออก ก็เลยให้เจ้าอาวาสตายคาตำแหน่งไปเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากจะพ้นตำแหน่งเจ้าอาวาสก็มีมรณภาพ ลาสิกขา ลาออก ลาออกก็อาจจะไม่พ้นถ้าเจ้านายไม่อนุมัติ อาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบล โดนดึงเรื่องไว้เป็นปีเลยกว่าจะอนุมัติ แต่ถึงไม่อนุมัติก็ช่าง อาตมาไม่ไปทำงานเสียอย่าง ท้ายสุดท่านก็ต้องอนุมัติอยู่ดี |
ถาม : พระที่ออกมาเต้นโคโยตี้ ศีลท่านขาดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ท่านเครียดจากน้ำท่วม..อภัยให้ท่านเถอะ..! แต่ความจริงการกระทำประหนึ่งฆราวาส พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติเอาไว้แล้ว คราวนี้การกระทำประหนึ่งฆราวาส หมายรวมพระขับรถด้วย ที่เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามขับรถ เถียงแบบแม่นตำรา จึงต้องงัดข้อนี้ขึ้นมาว่า กระทำอาการประหนึ่งฆราวาสโดนอาบัติเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เต้นโคโยตี้นี่ไม่ใช่ประหนึ่งฆราวาสเฉย ๆ ประหนึ่งฆราวาสสตรี แต่ท่านดันเป็นผู้ชาย..! ถาม : อาบัติประเภทนี้ต้องไปเข้าปริวาสได้ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ อาบัติประเภทนี้แสดงคืนได้ เขาเลยไม่กลัว แต่ความจริงการปลงอาบัติเป็นการสารภาพผิด ว่าเราได้ทำผิดไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ อย่างนั้นอีก ก็เพื่อให้คนอื่นเป็นพยานว่าตัวเองจะไม่ทำชั่วอีก แต่เขาใช้วิธีว่าทำผิดแล้วก็แสดงอาบัติ คิดว่าพ้นจากโทษนั้น หารู้ไม่ว่าข้างล่างเขาไม่ได้ลบบัญชีหรอก ลงไปเมื่อไรก็โดน..! เรื่องของพระศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บุคคลที่อยู่ในพระศาสนาจึงจำเป็นต้องมีสติปัญญามาก ๆ โดยเฉพาะสติสัมปชัญญะจะขาดไม่ได้เลย ต้องระลึกอยู่เสมอว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ ท่านคงไม่มีสำนึกความเป็นนักบวช ก็เลยนึกอยากจะทำอะไรก็ทำกัน จะไปว่าท่านก็ไม่ค่อยได้หรอก เพราะว่าปัจจุบันบรรดานักบวชที่บวชเข้ามา มีเป็นจำนวนมากด้วยกันที่หมดทางไปแล้ว เมื่อหมดทางไปก็เลี้ยวเข้าวัด โดยเฉพาะจำนวนมากเลยที่สังคมภายนอก แม้กระทั่งครอบครัวเขาไม่ยอมรับ..ก็เข้าวัด หรือไม่พ่อแม่เอาไม่อยู่แล้วก็ยัดเข้าวัด ก็เลยเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีอาการของขึ้นเป็นระยะ ๆ |
ถาม : ถ้าเราเจอพระที่มีกิริยาไม่สำรวม มีนิสัยสรรหาลาภ ทีนี้เราต้องทำบุญกับท่าน ?
ตอบ : ให้ตั้งใจถวายสังฆทานกับท่านไปเลย ช่วยซ้ำท่านให้หนักหน่อย..! สังฆะ คือหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ท่านคนเดียว บุญเราได้เต็ม แต่ความซวยจะเกิดกับท่าน ไหน ๆ ท่านจะไปแล้ว ก็ช่วยซ้ำให้หนักหน่อย ถาม : เมื่อก่อนเราทำบุญแล้วเรามั่นใจ แต่ตอนนี้เราไม่มั่นใจว่าทำบุญไปแล้วท่านจะเอาไปใช้ในเรื่องไหน ? ตอบ : ไม่ต้องไปกังวล เพราะจุดนั้นเป็นเรื่องของท่าน เราทำเราได้บุญแล้ว ต้องวางอุเบกขาให้เป็น ไม่อย่างนั้นบุญจะลดลง ถาม : คิดว่าเราถวายสังฆทานใช่ไหมคะ ? ตอบ : ใช่...ทำอีกทำบ่อย ๆ ท่านลุงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตัดสิน อันนี้ถือว่าโหดเกินไป..! ถาม : เกิดพระท่านกลับตัวได้ ท่านจะลงข้างล่างไหมคะ ? ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้โดนอาบัติหนักอะไร แล้วกลับตัวใหม่ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบใหม่ก็รอด ถาม : ห่วงแทน ตอบ : ดีนะ..โยมแค่ห่วง อาตมานี่สยอง..! สยองแทนท่านว่าจะเจออะไรบ้างหนอ ? พอได้เห็นนโยบายของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเองก็เลียนปฏิปทาหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือพระมาลาสึกอาตมาจะไม่เคยห้ามเลย ก็ในเมื่อใจเขาไม่อยู่แล้ว ไปห้ามเอาไว้เดี๋ยวจะพาเสียมากกว่า เพราะใจเขาไม่คิดจะเป็นพระแล้วก็ไปเถอะ เดี๋ยวมีอารมณ์เมื่อไรแล้วค่อยมาบวชใหม่ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้อยู่ต่อ เกิดเขาไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่เป็นพระ ปล่อย ๆ วาง ๆ กลายไปละเมิดศีลหนักเข้า มาบวชใหม่ไม่เป็นพระแล้วจะยุ่ง เพราะฉะนั้น..ใครมาขออนุญาตลาสึก อาตมาอนุญาตให้ลาสึกทุกราย บางรายก็ไม่รู้เดินตัวลีบมาเชียว "ขอปรึกษาหน่อยครับ ผมจะขออนุญาตลาสิกขา หลวงพ่อจะว่าอย่างไรครับ ?" อาตมาบอกว่า "คุณจะเอาวันไหน ?" บอกวันนั้นเวลานั้น "เออ..ถึงเวลามาสึกก็แล้วกัน" ท่านนั่งเอ๋ออยู่พักใหญ่ สงสัยว่าทำไมไม่ห้ามสักคำ |
ถาม : น้ำหนักขึ้น..อุตส่าห์กินน้ำมันมะพร้าวแล้ว ?
ตอบ : น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันนะจ๊ะ ถาม : ไหนท่านบอกว่ากินแล้วผอม หนูก็เลยกินวันละสองช้อน ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! หมายถึงว่าให้ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนไขมันอื่น ไม่ใช่ว่าไปกินน้ำมันมะพร้าววันละ ๒ ช้อน ขณะที่ตัวเองยังกินอย่างอื่นปกติ ถาม : อ้าว...แต่กินแล้วไม่ป่วย ตอบ : น้ำมันมะพร้าวทำให้การเผาผลาญไขมันดีขึ้น แต่ว่าต้องใช้พลังงาน ไม่ใช่ไปนอนเฉย ๆ อาหารอื่นกินตามปกติ แต่ให้ปรุงด้วยน้ำมันมะพร้าว ไม่ใช่น้ำมันปาล์ม ไม่ใช่น้ำมันถั่ว ไม่ใช่น้ำมันทานตะวัน ไม่ใช่น้ำมันข้าวโพด สมัยนี้น้ำมันมะพร้าวก็มีเยอะขึ้นแล้วนะ น่าจะพอหาซื้อได้ ราคาซีซีละบาทโดยประมาณ |
ถาม : นักการเมืองโกงกินกันมาก ?
ตอบ : ไม่มีรัฐบาลไหนที่ไม่โกงกิน สัญชาตญาณของนักการเมืองก็คือเข้ามากอบโกย เพียงแต่ว่าอย่าให้น่าเกลียด หน่วยงานที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนมากที่สุดในปัจจุบันคือ สถาบันทหาร สถาบันทหารนี่เขากินกันเป็นปกติ แต่ว่าเขากินกันภายใน อย่างเช่น สมัยตอนที่อาตมาเป็นเสมียนกองร้อยอยู่ ได้รับคำสั่งจากเจ้านายเลยว่า ปล่อยกำลังพลให้ลาหมุนเวียน ๑ ใน ๓ ตลอด อย่างเช่นว่า กองร้อยหนึ่งมี ๑๐๕ คนให้ปล่อย ๓๕ คนลาทุก ๑๐ วัน ก็แปลว่าทุกคนจะได้อยู่กองร้อย ๒๐ วันแล้วก็ได้ลา ๑๐ วัน ทหารก็ชอบ แต่ว่าเบี้ยเลี้ยงตอนช่วงนั้นทั้งหมดทหารจะไม่ได้รับ เจ้านายเอาไปหมด ยิ่งถ้าเป็นสมัยนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก สมัยอาตมาเขามีแต่เบี้ยเลี้ยง สมัยนี้ทหารมีเงินเดือนด้วย สมัยอาตมาเบี้ยเลี้ยง ๒๔ บาทต่อวัน สมัยนี้ ๒๔๐ บาทต่อวัน ใครบอกทหารไม่กิน ? เขากินกันแต่กินกันภายใน กินกันเอง เขาไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเห็น แต่ว่าก็มีระดับใหญ่ ๆ ที่จะไปจับได้ตอนซื้อขายอาวุธบ้าง แต่ว่าบางทีต่อให้จับได้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นการให้โดยเสน่หา สามารถต่อสู้ในแง่กฎหมายได้ ถาม : วันนี้นั่งแท็กซี่มา เขาบอกว่าลูกชายเป็นทหารแล้วหนี ผู้พันก็ไม่ว่าอะไรสักอย่าง ตอบ : ใช่..มีทหารบางรายที่หนีนี่แหละ แต่ว่าเจ้านายเขาสั่งอย่าเพิ่งทำเรื่องหนี เพราะว่าเขาจะเก็บเบี้ยเลี้ยงไปเรื่อย ๆ ก่อน อาตมาต้องคอยถามเป็นระยะ ๆ ว่าบุคคลนี้ จะให้ทำเรื่องหนีได้เมื่อไร ? จะทำเรื่องได้หรือยัง ? เป็นการเตือนสติเจ้านาย ว่าถ้าเกิดเขาหนีออกไปทำอะไรซวย ๆ ข้างนอกจะเดือดร้อนถึงเจ้านาย ส่วนใหญ่จะปล่อยไว้ประมาณ ๑ ปีค่อยทำเรื่อง ก็แสดงว่าช่วงนั้น เบี้ยเลี้ยงเงินเดือน ๑ ปี ก็เป็นของเจ้านายหมด |
ถาม : เงินไม่ใช่น้อยเลย
ตอบ : เขาอยากเป็นทหารกันมากเพราะว่าแค่เบี้ยเลี้ยงอย่างเดียวอยู่ได้สบายแล้ว เนื่องจากว่าทหารที่กินที่อยู่ ผ้าผ่อนท่อนสไบ รัฐบาลให้หมด รุ่นของอาตมานี่เรียนกันแทบเป็นแทบตาย จบออกมาเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท ถ้าหากว่าเรียนร่มมาก็บวกไปอีก ๒๕๐ บาท ถ้าหากว่าจบปริญญามาก็บวกวิทยฐานะอีก ๒๗๐ บาท สรุปแล้วรวมกันแทบตายยังไม่ได้เท่าเบี้ยเลี้ยงพลทหารสมัยนี้เลย สมัยนั้นเงินเดือนนายทหารชั้นประทวนเต็มขั้น ก็คือจ่านายสิบอาวุโส ๔,๘๐๐ บาท แต่ถ้าหากว่าคุณสอบนายร้อยติด จะลดเหลือสัญญาบัตรชั้น ๓ เงินเดือน ๒,๒๐๐ บาท กลายเป็นว่าได้ดาวมาเท่ ๆ แต่เงินเดือนหายไปเกินครึ่ง..! บรรดาจ่าแก่ ๆ จึงไม่มีใครอยากเป็นนายร้อย จนกว่าจะ ๖ เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ รับไว้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลว่าตัวเองได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรเหมือนกัน มีโอกาสได้รับกระบี่พระราชทาน แต่ไปเอาตอนก่อนเกษียณ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเงินเดือนหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อน จาก ๔,๘๐๐ บาทเหลือ ๒,๒๐๐ บาท บรรดาจ่าแก่ ๆ บ่นกันอุบเลย "เงินหายไปทีขนาดนั้นแล้วกูจะเอาอะไรเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ?" ส่วนใหญ่กว่าจะไปถึงระดับจ่านายสิบอาวุโสเงินเดือนเต็มขั้นก็มักจะราว ๆ อายุ ๕๐ กว่า ใกล้เกษียณกันแล้วทั้งนั้น แต่ว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนทหารจะได้รับความเชื่อถือมากกว่าตำรวจมาตลอด สมัยอาตมาอยู่ชายแดน ไปตั้งด่านตรวจสินค้าหนีภาษี ตั้งด่านคู่กับด่านตำรวจคนละฝั่งถนน ชาวบ้านเดินมาฝั่งทหารหมดเลย ปล่อยตำรวจนั่งตบยุง เพราะว่าตำรวจส่วนใหญ่เขาไปถืออำนาจตามกฎหมาย ส่วนทหารเราไม่มีอะไร "มา..ของอย่างนี้เป็นยุทธปัจจัย คุณเอาออกมาครึ่งหนึ่ง คุณเอาไปครึ่งหนึ่ง" จบเลย ครั้งต่อไปเขาจะขนของหนีภาษีมาให้เองเลย ถามว่าเอาเท่าไร พอบอกว่าเอาครึ่งหนึ่ง เขาขนมาให้เลยครึ่งหนึ่ง แต่เขาเอาของหนีภาษีที่ไม่แพงมาให้ ส่วนแพง ๆ เขาเอาไปขาย ก็กลายเป็นว่าเราก็มีผลงานไปส่งเจ้านาย ส่วนเขาก็ได้ของไปขาย ก็จบกันแค่นั้น ถาม : แล้วฝั่งตำรวจเขาทำอย่างไรคะ ? ตอบ : ตำรวจซักประวัติไปโน่น ๑๘ ชั่วคน ทหารไม่มีหรอก เอ็งเอาลงเท่านี้แล้วก็ไปเลย จบกันแค่นั้น |
ถาม : ตำรวจนี่เอาหมดทุกอย่าง ?
ตอบ : พันตำรวจโทท่านหนึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน พอดีท่านมีโอกาสสอนคณิตศาสตร์สมัยอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ ท่านอาจารย์บอกว่า “พระคุณเจ้าครับ เป็นตายอย่างไรผมก็จะไม่ไปเป็นตำรวจจราจรเด็ดขาด” อาตมาถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า “ไปไถชาวบ้านแบบนั้น เขาแช่งเขาด่าตามหลังเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่มีทางเจริญหรอกครับ ผมยอมกินเงินเดือนของผมไปแต่ละเดือนดีกว่า ไม่ได้ร่ำไม่ได้รวยกับใคร แต่ผมสบายใจว่า ตัวผมและวงศ์ตระกูลไม่ได้โดนเขาสาปแช่งก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ลูกหลานของผมก็คงพอจะเจริญบ้าง” ท่านตั้งใจสมัครเข้าไปเป็นอาจารย์เลย เพราะว่าไม่อยากไปรีดไถชาวบ้านให้เขาแช่งเอา ต้องดูตอนปีใหม่หรือตรุษจีน ตำรวจคนไหนที่ชาวบ้านเขารักนี่ ของขวัญกองท่วมหัวเข่าเลย ขับรถผ่านเขาก็ส่งให้คนละกล่องสองกล่อง ส่วนคนไหนไถประจำไม่ค่อยได้อะไรหรอก ถ้าตัวเองทำในสิ่งที่ดี ๆ ถึงเวลาชาวบ้านเขาก็เห็น อันนั้นนี่เขาให้ด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องไปไถเขาก็ให้ |
สมัยที่อาตมายังทำงานอยู่ที่ซอยอ่อนนุช ๖๖ มีอาเจ็กคนหนึ่งมีอาชีพรับซื้อของเก่า ถึงเวลาก็จะมาขอซื้อพวกเศษเหล็กไปเป็นประจำ เพราะว่าตอนนั้นอาตมาทำอู่ซ่อมรถอยู่ เขาบอกว่า "ผมยอมทนเหนื่อยอีกไม่กี่ปีครับ เพราะว่าตอนนี้ลูกผมเข้านายร้อยตำรวจได้แล้ว พอลูกผมจบมาเดี๋ยวเขาก็หาเงินให้พ่อได้เอง"
อาตมาก็ว่า "นี่อาเจ็กหมายความว่าจะให้ลูกไปรีดไถชาวบ้านใช่ไหม ?" แกบอกว่า “ใคร ๆ เขาก็ทำกันครับ ถ้าหากว่าไม่ทำก็แปลกแยก ผมตั้งใจส่งลูกไปเพื่อให้ทำอย่างนี้โดยเฉพาะเลย..!” เป้าหมายของแกชัดเจนแน่นอนมาก..! อาตมาเองเป็นคนที่ประหลาด ครูสอนอะไรก็ทำอย่างนั้น ก็เลยอยู่กับคนอื่นเขาลำบาก โดยเฉพาะพวกที่จบมาใหม่ ๆ กำลังไฟแรง ครูบาอาจารย์ท่านอบรมมาอย่างดีเลย พอออกมาเจอสภาพความเป็นจริงแล้วทำใจไม่ได้ มีหลายต่อหลายคนที่ฝืนกระแสสังคมแล้วก็ไปไม่ได้ และมีจำนวนมากด้วยกันที่กลืนไปกับเขาอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่ครอบความรู้อะไรมานี่รับได้อย่างฉับพลันทันที ส่วนอาตมาก็ตะขิดตะขวงใจอยู่นั่นแหละ ครูสอนเรามาอย่างนี้ ทำไมถึงมาเจอแบบนี้ |
ถาม : เพื่อนหนูบอกว่า คนที่สอบเรียนตำรวจมีเจตนามาโกง รุ่นพี่พูดอะไรก็เชื่อ
ตอบ : ไม่หรอก ก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไปเรียนด้วยความตั้งใจที่จะออกมาเป็นตำรวจน้ำดี แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่เจริญ อาตมาเองนี่แหละ จบมาใหม่ ๆ ไฟแรงมากเลย สอบได้ที่ ๑ ของรุ่น เจ้านายเขาถามว่า "เอ็งอยากลงหน่วยไหนเลือกมาเลย" เพราะคนที่สอบได้ที่ดี ๆ มีสิทธิ์เลือกก่อน อาตมาบอกว่า "ตรงไหนลำบากที่สุด ส่งผมไปตรงนั้นแหละ" เจอเพื่อนด่าเช็ดเลย..! เพื่อนอยากจะเป็นเหล่าแพทย์ เพราะว่าถ้าเป็นทหารหมอแล้ว นอกเวลาสามารถเปิดคลินิกได้ ตอนช่วงนั้นเหล่าแพทย์กับเหล่าทหารช่างเขาจะนิยมกันมาก เหล่าทหารช่างไปทำงานที่ไหนจะมีเบี้ยบ้ายรายทางเยอะ สมมติว่าไปสร้างทาง ชาวบ้านก็จะบอกว่า “เพิ่มตรงนี้ลงมาเป็นหูช้างเข้าบ้านผมหน่อย” “เพิ่มหน้าบ้านผมตรงนี้นิดหนึ่ง” ก็แค่เพิ่มวัสดุนิดเดียว ไม่ต้องเบิกวัสดุเพิ่มด้วยซ้ำไป แต่ชาวบ้านเขายัดเงินมาให้เสียเยอะแยะ จึงสามารถที่จะหารายได้พิเศษได้ เพื่อนก็ด่าเอาว่าอาตมาโง่ สอบได้ที่ ๑ แท้ ๆ แทนที่จะเลือกเหล่าแพทย์ ดันไปลงเหล่าราบ แต่ปรากฏว่าเพราะอาตมาโง่นี่แหละเพื่อนถึงได้ ถ้าอาตมาเลือกเหล่าแพทย์โควตาก็หมด เพื่อนก็จะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เวลาจบมาใหม่ ๆ กำลังไฟแรง มาเจอในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เรียนมาแล้วทำใจลำบาก อีกประการก่อนที่จะเข้าไปเรียน อาตมาก็ปฏิบัติตามแบบหลวงพ่อมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ยิ่งทำใจคล้อยตามเขายากเข้าไปใหญ่ |
ถาม : เวลาเราเจริญพรหมวิหารสี่ ถ้าเริ่มจากใจเขาใจเรา ?
ตอบ : ก็ได้อยู่นะ แต่ไม่ว่าคุณจะเจริญวิธีไหนก็ตาม จะลืมลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ถ้าลืมลมหายใจเข้าออก กำลังใจไม่มั่นคง ยันเขาไม่อยู่หรอก จะหงายท้องเสียก่อน เพราะฉะนั้น..คุณจะพิจารณา จะภาวนา จะแผ่เมตตาวิธีไหนก็ตาม อย่าลืมเรื่องลมหายใจเข้าออกเด็ดขาด ต้องประกอบไว้เป็นปกติ ถาม : หมายถึงพรหมวิหาร ต้องทรงฌานตลอดใช่ไหม ? ตอบ : ไม่ต้องตลอดก็ได้ แต่ให้มีกำลังสมาธิหนุนด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่ทรงตัว เดี๋ยวแทนที่จะแผ่เมตตาจะกลายเป็นแผ่รังสีอำมหิตแทน..! |
ถาม : เห็นพระพุทธรูปของทางมหายานมีเครื่องหมายสวัสดิกะ ?
ตอบ : นั่นก็คือเครื่องหมายธรรมจักร หมายถึงการหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่เครื่องหมายของฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์นั่นมาทีหลัง |
พระอาจารย์เล่าว่า "ปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เขาทำหนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ หน้าปกเป็นเหรียญรูปพัดยศฝังไว้ในปก เราจะเห็นว่าพระปฏิบัติ ยศตำแหน่งทางโลกไม่สำคัญ ตำแหน่งที่ลูกศิษย์ลูกหายกให้เป็นหลวงปู่หลวงพ่อนั่นจึงสำคัญที่สุด
สมัยหลวงปู่ปาน ในรุ่นเดียวกันคือ หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน แล้วอีกท่านหนึ่งเป็นรุ่นพี่อยู่ ๒ - ๓ ปี ก็คือ หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ช่วงนั้นเขาเรียก "สามเสืออยุธยา" ปรากฏว่าหลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน ได้เป็นพระครูพรหมวิหารคุณ เจ้าคณะอำเภอบางซ้าย หลวงปู่ปานวัดบางนมโคได้เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวิหารกิจจานุการ หลวงปู่จงเป็นพระหลวงปู่ธรรมดา ไม่ได้เป็นอะไรกับใครเลย แต่ขอโทษเถอะ..ดังคับประเทศพอกัน เพราะฉะนั้น..ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตำแหน่งที่ลูกศิษย์ลูกหาตั้งไว้ในใจ" |
"หลวงปู่ปานมรณภาพปี ๒๔๘๑ ส่วนหลวงปู่จงเป็นรุ่นพี่ ปี ๒๕๐๘ ถึงมรณภาพ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า งานประจำปีวัดบางนมโคเอารูปหล่อหลวงปู่ปานตั้งไว้ให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชาและทำบุญ ส่วนหลวงปู่จงนั่งลงนะหน้าทองเป่ากระหม่อมให้แก่ญาติโยม
พองานผ่านไป หลวงปู่จงลงนะหน้าทองจนเป็นลม นับแล้วได้เงิน ๘,๐๐๐ บาท สมัยนั้นโบสถ์หลังหนึ่ง ๕,๐๐๐ บาทเองนะ ตีว่าน่าจะเกิน ๘ ล้านบาทในสมัยนี้ แต่หลวงปู่ปานที่เป็นรูปหล่อนั่งเฉย ๆ ได้ ๘,๐๐๐ บาทเท่ากัน..! หลวงปู่จงท่านบ่นว่า “เสียท่าท่านปาน นั่งเฉย ๆ แท้ ๆ ได้พอกับเราเลย” หลวงปู่จงท่านอายุยืนจริง ๆ อยู่ถึง ๙๐ กว่าปีถึงมรณภาพ ส่วนหลวงปู่ปานมรณภาพตอนอายุ ๖๒ ปี หลวงปู่ปานมรณภาพแล้วหลวงปู่จงอยู่ต่ออีก ๓๐ กว่าปี ถ้าหลวงปู่ปานอายุยืนขนาดนั้นป่านนี้คงดังไม่เสร็จ ขนาดนี้ท่านยังดังจนพระของท่าน ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่าพระน้ำจิ้ม เป็นของแถมสำหรับบุคคลที่เขาบูชาพระอื่นที่ดัง ๆ สมัยนี้พระน้ำจิ้มองค์หนึ่งเป็นแสน..! วัดเจ้าเจ็ดในรุ่นก่อนหลวงปู่ยิ้ม มีหลวงปู่จีน บางคนเรียกหลวงปู่เจ๊ก หลวงปู่จีนท่านเก่งบาลีมาก หลวงปู่ปานต้องไปขอเรียนบาลีด้วย แต่หลวงปู่จีนท่านเป็นคนโมโหร้าย ท่านก็รู้ตัวนะ ท่านจะทำกรงเหล็กไว้ใบหนึ่ง ถึงเวลาก็เข้าไปอยู่ในกรงแล้วให้หลวงปู่ปานลั่นกุญแจล็อกไว้ แล้วก็เรียนด้วยกัน ถ้าอันไหนหลวงปู่ตอบผิดหรือท่องให้ท่านฟังแล้วผิด ท่านจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกขึ้นเขย่ากรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลย พูดง่าย ๆ ถ้าอยู่ข้างนอกก็ประเภทประเคนไม้กันหัวร้างข้างแตกไปแล้ว แต่พอท่านหายโมโหท่านก็สอนต่อ ท่านรู้ตัวขนาดนั้น อาตมาก็มานึกขำ ๆ ว่า นี่ถ้าหากว่าเป็นหลวงปู่ปานล่ะก็..รับรองลูกศิษย์ตาย เพราะหลวงปู่ปานแค่จับราว กุญแจก็หลุดแล้ว ท่านเคยเอาเชือกผูกเป็นราวแล้วกุญแจแขวนไว้เป็นสิบ ๆ ดอก พอแตะราว กุญแจหลุดหมดทุกดอกเลย แบบนั้นจับกรงแล้วลูกกุญแจหลุดมีหวังลูกศิษย์ตาย..!" |
"พอมารุ่นหลวงปู่ยิ้ม หลวงพ่อวัดท่าซุงไปขอเรียนวิชากับท่าน ท่านก็บอกว่าอย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนรู้หมด หลวงพ่อท่านแวะไปหาเวลากลางคืน ไปแบบไม่มีตัว แล้วก็กราบเรียนว่ากลางวันจะมาหา ถึงเวลาหลวงปู่ยิ้มก็นั่งรอ..แสดงว่ารู้จริง
พอหลวงปู่ยิ้มมรณภาพ หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ ท่านบอกว่าหลวงปู่ยิ้มมีกำปั่นอยู่ใบหนึ่ง กำปั่นก็คือหีบใส่เงินหรือใส่เสื้อผ้าสมัยก่อนที่เป็นไม้ฝาโค้ง ๆ แล้วก็มีเหล็กรัด ตั้งแต่หลวงปู่ยิ้มได้กำปั่นใบนั้นมา ท่านลั่นกุญแจเสร็จแล้วโยนกุญแจทิ้งน้ำไปเลย อยู่ในคลองเจ้าเจ็ดนั่นแหละ ใครมีปัญญาไปงมเอา เพราะว่าได้ปัจจัยจากโยมมาเท่าไรท่านยัดใส่กำปั่นไปเรื่อย หลวงพ่อให้กรรมการวัดช่วยกันงัดกำปั่นออกมานับเงิน ปรากฏว่าเงินที่อยู่ก้นกำปั่น เปื่อยจนนับไม่ได้ไปเสียเยอะ ธนบัตรสมัยรัชกาลที่ ๗-๘ เปื่อยเสียเยอะ ก็ถามหลวงพ่อว่าทำไมหลวงปู่ยิ้มถึงทำอย่างนั้น? ท่านบอกว่าหลวงปู่ยิ้มเป็นพระที่ไม่มีความโลภในใจแล้ว แต่ท่านไม่มีงานอื่นทำ ในเมื่อคนทำบุญกับท่าน ท่านก็อยู่เป็นเนื้อนาบุญให้เขาทำไป ครบอายุขัยก็ไปตามกาลตามเวลา เงินเท่าไรท่านก็ไม่ได้เอาออกมาหรอก เพราะว่ากุญแจท่านโยนทิ้งน้ำไปแล้ว ก็เป็นเงินสงฆ์อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ให้กรรมการงัดออกมาตรวจนับกันก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่มีปัจจัยเท่าไร แต่จะว่าไปแล้วท่านก็ช่วยงานคณะสงฆ์ไว้เยอะ เพราะท่านเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอ ในรุ่นเดียวกัน อาจจะเห็นว่าหลวงปู่ปานก็เป็นพระครู หลวงปู่ยิ้มก็เป็นพระครู หลวงปู่จงไม่ได้เป็นอะไรกับใครแต่ดังกว่าเยอะ ถ้าหลวงปู่ปานไม่มรณภาพก่อน อยู่ถึงช่วงญี่ปุ่นยึดประเทศไทย คงจะต้องดังกว่านั้นอีกมาก หลวงปู่ปานมรณภาพไปก่อนตั้ง ๗ ปีกว่าสงครามจะเลิก" |
ถาม : หลวงปู่ปานในสมัยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจะอายุน้อยไหมคะ ? หรือท่านจะอายุยืนยาว ?
ตอบ : ต้องตามไปเกิดด้วย จะได้รู้ ต้องดูว่าท่านเกิดตอนไหนด้วย ถ้าเกิดต้นกัปก็อยู่กันเป็นหมื่นเป็นแสนปี |
ถาม : วิญญาณที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร สามารถจะติดตามเราไปได้ทุกที่ไหมครับ หรือแม้แต่ในบ้านก็ยังเข้าไปได้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าพระภูมิเจ้าที่ไม่อนุญาตก็เข้าไม่ได้ เวลาบูชาพระภูมิก็บอกท่านว่าช่วยกันพวกนี้ให้ด้วย ถ้าท่านไม่อนุญาตก็เข้าไม่ได้ แต่ท่านกันได้เฉพาะวิญญาณ กันกฎของกรรมไม่ได้ |
ที่บ้านวิริยบารมี มีเด็ก ๆ เล่นซน ส่งเสียงร้องไปมา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เด็กเขายังไม่รู้ธรรมเนียมและกิริยามารยาท นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ก็เป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย"
ถาม : คนสมัยนี้เขาปล่อย ตอบ : สมัยนี้เขาไปเลี้ยงลูกตามตำราใหม่ ที่ว่าทำตัวเป็นเพื่อนกับเด็ก แต่พอทำตัวเป็นเพื่อนกับเด็ก เด็กเขาจะไม่กลัว ก็เลยไม่สามารถจะบังคับเด็กได้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ นี่สุดยอดเลย เขารู้ว่าเขาจะจัดการพ่อแม่ให้อยู่อย่างไร แล้วเขาจะทำได้เร็วมาก |
ถาม : ผมอยากนั่งกรรมฐาน พอขึ้นนะโม ก็รู้สึกคันไปหมด บางทีก็ปวด ๆ
ตอบ : ขอให้รู้ว่าถ้าโยมตั้งใจทำจะได้ผลเร็วมาก เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะขันธมารกวนร่างกายไม่ให้เราทำความดี คนประเภทนี้ถ้าทำจะได้ผลเร็วมาก แต่ระยะแรก ๆ ต้องอดทนสู้กันนิดหนึ่ง พอกำลังใจเราทรงตัว คราวนี้เขาจะขวางเราไม่อยู่แล้ว เราก็จะก้าวมาทางด้านนี้เร็วมาก พวกที่มีสิ่งคอยมาขวางมีอะไรมาอยู่เป็นประจำ ให้รู้เลยว่าถ้าเราทำจะได้เร็ว ถาม : อย่างเราอ้วน เรานั่งแล้วลำบาก ไม่จำเป็นต้องนั่ง..? ตอบ : ได้..เก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้ก็เพื่อท่านทั้งหลายที่ร่างกายไม่เหมาะสมจะนั่งกับพื้นได้นั่งเก้าอี้ไป เพราะว่าสำคัญคือให้ใจสงบ ถ้าหากว่ามัวไปห่วงร่างกายเจ็บแข้งเจ็บขาอยู่ ใจก็ไม่สงบ ถาม : ก็คือนั่ง.. ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้ ให้ความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตรงหน้า ถ้าเผลอคิดเรื่องอื่นก็ให้ดึงกลับมาตรงนี้ ถ้าหากว่าอยู่ตรงหน้าได้สักระยะหนึ่งแล้ว โยมจะรู้ว่าความสุขภายนอกทั้งหมด สู้ความสุขที่ใจสงบไม่ได้ ทุกวันนี้เราโดน รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่กำลังใจทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า เหมือนกับไฟพวกนี้โดนกดให้ดับลงชั่วคราว คนโดนไฟเผาอยู่ตลอด อยู่ ๆ ไฟดับนี่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกหรอก เย็นสบายอย่างไรบอกไม่ถูกหรอก พอทำถึงจุดนี้เมื่อไรแล้วส่วนใหญ่จะติดหนับเลย ถึงเวลานั้นด่าก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว เพราะรู้แล้วว่าดีอย่างไร ถาม : จริง ๆ นั่งเริ่มต้นทำอย่างไรครับ ? ตอบ : ท่าไหนก็ได้ที่เราถนัด แต่ให้ความรู้สึกของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้ตามเข้าไปตั้งแต่ต้นจนปลาย หายใจออกรู้ตามตั้งแต่ต้นจนปลายอยู่แค่นี้ คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรให้ดึงกลับมาตรงนี้ แล้วทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวต่อเนื่องไประยะหนึ่ง จริง ๆ แล้วจะหกคะเมนตีลังกาทำงานอะไรอยู่ก็นึกได้ ไปลองทำดู |
ถาม : สิ้นเดือนนี้ต้องจ่ายเงินค่า... มีอะไรทางธรรมพอช่วยได้บ้างคะ ?
ตอบ : ใช้เวลาที่เหลือภาวนาคาถาเงินล้านทั้งวันทั้งคืนเลย ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้หมุนทันด้วย เอา ๑๐๘ จบเป็นหลัก แต่ว่าให้ภาวนาจริง ๆ นะ ภาวนาเป็นกรรมฐานเลย ถาม : เวลาทำกับข้าวหรือขับรถก็ภาวนา ? ตอบ : จ้ะ ว่าไปตลอดเวลาจนกว่าจะครบ |
ถาม : ข้าง ๆ บ้านเขาขายยาบ้า ถ้าหนูแจ้งตำรวจ จะบาปไหมคะ ?
ตอบ : อย่าไปยุ่งกับเขา ปล่อยเขาไป เพราะเรื่องพวกนี้จริง ๆ เส้นสายตำรวจเขารู้อยู่แล้ว เพียงแต่เขามีผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าเกิดว่าเราไปผ่ากลางเข้า อันตรายจะมาถึงตัว ไม่ใช่ทางฝ่ายนั้นหรอก ดีไม่ดีทางฝ่ายราชการจะเล่นงานเราเสียเอง ต้องหัดอุเบกขาไว้บ้าง เหลือเชื่อที่ว่ายาเสพติดของเราบัญชาการมาจากในคุกแทบทั้งนั้น ที่จับได้ล่าสุดที่เป็นรายใหญ่มาก ๆ เลย เกิดจากรถโดนสวมทะเบียนแล้วไปทำผิดกฎจราจร เขาส่งใบสั่งมาว่าโดนที่ลำปาง เจ้าของทะเบียนก็เถียงเพราะไม่เคยไปลำปาง แล้ววันร้ายคืนร้าย ดันขับรถทะเบียนเดียวกันมาอยู่ตรงหน้าพอดี เลยไล่กวดกันเพื่อจะดูว่าเป็นใคร พวกคนร้ายพอหันมาเห็นก็ตกใจเพราะรถทะเบียนเดียวกัน จึงหนีสุดชีวิต ไปพลาดท่าตอนไหนก็ไม่รู้ ไปชนกำแพงเข้า ก็เลยต้องทิ้งรถหนี พอตำรวจค้นในรถเจอยาเสพติดบานเลย เขาจึงสาวรอยไปจนกระทั่งถึงบ้านที่เช่าเอาไว้ คราวนี้มียาบ้าเป็นกุรุสเลย นั่นเป็นเรื่องของการสวมทะเบียนรถเฉย ๆ ถ้าหากว่าเจ้าของไม่ไปติดตามด้วยตัวเอง คาดว่ากว่าจะรอตำรวจจับได้ไล่ทัน เขาก็คงขนเข้ามาอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พอจับได้เขาก็ซัดทอดว่ามีนายทหารร่วมด้วย เขาบอกว่านายทหารยศพันโทท่านเอารถตรากงจักรไปขนมา ทำให้ตำรวจเขาไม่กล้าตรวจ เพราะเป็นรถนายทหาร ต่อให้คิดจะตรวจ ถ้าหยิบบัตรให้ดูเป็นนายทหารยศพันโท ตำรวจส่วนใหญ่ที่ตั้งด่านอยู่อย่างเก่งก็เป็นแค่ร้อยเอกหรือพันตรี อาวุโสน้อยกว่าทางนั้นก็ไม่กล้าค้นอยู่แล้ว เขาก็เอามาเข้าที่พัก แล้วก็กระจายออกไป |
มีโยมคนหนึ่งชื่อดวงดาว ได้สามีเป็นพันเอกของกองทัพสหรัฐฯ วันหนึ่งสามีเขาถูกเรียกประชุมที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่เขาเรียกว่าเพนตากอน สามีหิ้วกระเป๋าเอกสารมาด้วยเพราะว่าถูกเรียกตัวมาแบบกะทันหัน พอจะเข้าที่ประชุมก็ต้องมีการตรวจค้น ท่านก็คงขี้เกียจให้เขาค้น ก็เลยเอากระเป๋าไปฝากทหารยามที่ยืนอยู่ บอกว่าให้ช่วยดูแลกระเป๋าให้เขาหน่อย เดี๋ยวประชุมเสร็จเขาจะออกมารับคืน
ทหารยามบอกว่า "เชิญผู้การดูแลเองครับ ผมมีหน้าที่อยู่ยาม" ถ้าอยู่เมืองไทยทหารคนนี้คงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่เลย แต่ที่นั่นผู้การต้องเดินจ๋อง ๆ ไปให้เขาตรวจค้นกระเป๋าแต่โดยดี พันเอกกับพลทหารนะ แต่เขาถือว่าแต่ละคนมีสิทธิเท่ากัน มีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนกัน เขารับผิดชอบตรงไหนเขาก็ทำเฉพาะตรงนั้น เขาอยู่ยาม ไม่ได้มีหน้าที่มาเฝ้ากระเป๋าให้เจ้านาย เมื่อไรบ้านเราจะมีอย่างนี้หนอ ? บ้านเราแค่เจ้าหน้าที่เอาเครื่องตรวจอาวุธมาตรวจ ยังโดนตบบ้องหูเลย คนบ้านเราใหญ่เสียจนชิน บ้านเขาถือว่าคนมีคุณค่าเท่ากัน ประเทศเขาแทบจะไม่มีอะไรที่ดีกว่าเราเลย นอกจากการบังคับใช้กฎหมาย แต่บ้านเรากฎหมายมีหลายมาตรฐาน ก็เลยทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดความคิดที่อยากจะไปอาศัยที่บ้านเขา ซึ่งความจริงแล้ว ไม่มีอะไรอยู่สบายเท่ากับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง |
ถาม : พวกทุนในหลวงบอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ค่อยสบาย เพราะว่าคนที่อยู่ในกลุ่มต้านนั้นเป็นนักเรียนทุนด้วย เห็นว่าทรงเสียพระทัย ?
ตอบ : บ้านเราเมืองเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา เพราะฉะนั้น..พระมหากษัตริย์ที่ตั้งอยู่ในฐานะอันจะละเมิดมิได้ ก็ต้องเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา ไม่ใช่ว่าไปเอาความคิดตามแบบตะวันตก ที่ไม่มีการเทิดทูนบูชาบุคคลที่ทำความดีลักษณะนี้เหมือนกับของเรามาเป็นบรรทัดฐาน เรื่องนี้ก็คงจะยืดเยื้ออีกนาน เพราะว่ามีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุน แต่ความจริงถ้าจะมีปัญหาก็ให้มีปัญหาภายในรั้วมหาวิทยาลัย อย่าเอาปัญหาขึ้นมาบนท้องถนน เพราะว่าจะกลายเป็นการปลุกระดมมวลชนเอาง่าย ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่จองพระขรรค์โสฬสไว้ ให้ไปฟิตตัวกันเอาเอง ไม่อย่างนั้นคงจะมีแต่อาตมาเท่านั้นที่ยกขึ้น เฉพาะแค่ใบอย่างเดียวก็ ๓.๕ กิโลกรัมแล้ว..! แต่ให้หลวงพี่นิลบอกช่างให้เขาเกลาใบให้บางที่สุดเท่าที่จะบางได้ เพราะถ้าขืนเป็นอย่างนั้น คนอื่น ยก ๒ มือยังไม่รู้ว่าจะงัดไหวไหม
เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า โลหะที่สะสมไว้อยากจะใส่ให้หมด แต่ช่างเขาบอกว่าตามหลักวิชาการเขาต้องใส่ร้อยละเท่าไรก็ไม่รู้ ถ้าใส่หมดแล้วเนื้อจะไม่ประสานกันสนิท อาจมีการแตกร้าวได้ เขาไม่อยากเสี่ยง จึงทำให้ใส่โลหะที่อาตมาสะสมมาได้น้อยไปหน่อย ต้องบอกว่าใส่พอเป็นกระสายยา" |
ถาม : ที่บอกว่าพระมหากษัตริย์ต้องสาบานตน เขาคิดได้อย่างไร ?
ตอบ : อันนั้นยังเป็นแค่แนวคิดอยู่ และรัฐบาลก็บอกแล้วว่าไม่เห็นด้วย ในหลวงสาบานตนตั้งแต่วันปฐมบรมราชาภิเษกแล้ว ที่พระองค์ท่านตรัสว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เพียงแต่พระองค์ท่านสาบานตนโดยไม่ต้องมีใครบังคับ และทำได้มาโดยตลอดด้วย จริง ๆ แล้ว ถ้าเราไม่ไปให้ความสนใจก็จบ เพราะเราไปให้คุณค่าเขา ก็เลยมีน้ำหนักในสังคม เขาอยากออกความคิดก็ปล่อยเขาไป ออกความคิดจนหายบ้าเขาก็เลิก ถ้าเราไปให้ความสำคัญเขา กลายเป็นว่าเราไปแบกความทุกข์เอาไว้เอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนสภาพร่างกายไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมาก แล้วก็ดันมาเป็นอาตมาเองเสียด้วย ก่อนลงมาข้างล่างนี้ก็จับไข้ เพียงแต่ว่าอาการตัวร้อนยังไม่ปรากฏ จับไข้เฉย ๆ ก็รู้แล้วว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยน เป็นล่วงหน้านาน ๓ - ๔ ชั่วโมงกว่าที่จะฝนตก จนแทบจะพยากรณ์อากาศเองได้แล้ว
เวลาอยู่ที่วัด อาตมาบอกพระท่านว่าตอนนี้อากาศประมาณเท่าไร พอเดินผ่านสถานีวัดอากาศกรมอุตุนิยมวิทยาที่ทองผาภูมิก็ไม่ค่อยพลาด ยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากความเป็นทิพย์ แต่เกิดจากการสัมผัสทางผิวหนังของตัวเอง จำได้ว่าความเย็นระดับนี้ประมาณกี่องศา พวกเราพอจะแยกได้ไหม ? ส่วนมากแยกไม่ค่อยออกหรอก รู้แต่ว่าหนาวก็คือหนาว หนาวมากหนาวน้อยแค่นั้นเอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระหลวงปู่ทวด ในวงการพระเครื่องเรียกว่า พระนิรันตราย ถ้าอาราธนาติดตัวจะปลอดภัยในทุกที่ คาถาว่า นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
มีนายดาบตำรวจท่านหนึ่งบอกว่า ชันสูตรพลิกศพมาตลอด ๓๐ ปีที่รับราชการอยู่ ยังไม่เคยเจอคนแขวนพระหลวงปู่ทวดแล้วตายโหงเลย อันนี้จากประสบการณ์ตรง ดังนั้นเราต้องเชื่อ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีเชื้อมาลาเรียอยู่ในตัว พออากาศเปลี่ยนจะเป็นไข้ทันที วันนี้อากาศไม่เปลี่ยนเปล่า แถมฝนยังตกด้วย ลองไปอ่านเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ที่ท่านบอกว่า
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม............ มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น............ มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ จะเห็นว่าเหมือนกับปัจจุบันนี้มาก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติการเป่ายันต์เกราะเพชร เมื่อกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์แล้ว ยังขอพรหม เทวดา โดยเฉพาะท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พร้อมด้วยอินทกะและบริวาร ให้ช่วยจัดการสิ่งไม่ดีที่แทรกที่สิงมากับร่างคน ไม่ว่าจะเป็นไสยเวทอาคม วัตถุอาถรรพ์ คุณผีคุณคนก็ดี เหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกายที่แทรกที่สิงมาก็ดี ถ้าหากว่าอยู่ในบริเวณพิธีท่านจะไล่ให้ทั้งหมด
ดังนั้น..เวลารับยันต์ต่อให้มีเสียงประหลาดพิกลขนาดไหน ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้เราภาวนาของเราไปตามปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะกลัว พอได้ยินเสียงประหลาด ๆ เข้าสมาธิก็หายเรียบ..! เมื่อพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรผ่านไป ก็คลายใจไปได้หน่อยหนึ่ง ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นไปในทางที่บรรเทาลง ไม่อย่างนั้นนี่ อยู่ ๆ อิสลามตายคาถนนหลายศพเป็นเรื่องแน่นอน ต่อไปให้ทุกคนเอาอย่างนั้นนะ ถ้ามีคนของเราตายให้รวมหัวอย่างนั้นบ้าง ประท้วง อาละวาด ต้องหาคนผิดมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะดูเหมือนคนของเขามีราคาชีวิตสูงกว่าของเรา ถึงขนาดเขามีคำสอนกันมาให้หมู่คนขับรถประจำทางว่า ถ้าหากว่าขับรถแล้วไปชนคนอิสลามเข้า ให้หนีไว้ก่อน อย่าอยู่ตรงนั้น ถ้าอยู่ตรงนั้นตายฟรี หนีไว้ก่อน พอเหตุการณ์เบาลงแล้วค่อยไปมอบตัว" |
"การจัดงานที่วัดทุกครั้ง มักจะมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น โดยเฉพาะว่าบางทีก็เกิดขึ้นโดยที่เราเองก็คาดไม่ถึง อย่างเช่นว่า อยู่ ๆ น้ำในห้องส้วมไม่ไหล เพราะมีคนเมตตาไปปิดประตูน้ำให้ จึงเป็นอะไรที่บางทีก็หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน นี่ยังดีนะ..ครั้งนี้แค่ปิดประตูน้ำ ครั้งก่อนเขาไปปิดเครื่องสูบน้ำเลย
มีโยมเขาบ่นว่าโรงทานไม่พอกิน อาตมาถามว่ามาถึงกี่โมง เขาบอกว่าบ่ายโมงกว่า ก็น่าจะได้กินอยู่หรอก..! โรงทานส่วนใหญ่ไว้เลี้ยงช่วงกลางวัน เล่นมาบ่ายโมงกว่า เขาบอกว่าเหลือแต่ข้าวต้มกับบะหมี่อยู่อย่างละหน่อย ยังดีที่มีเหลือ" |
"ท่านใดเป็นเจ้าของกล่องวัตถุมงคลที่นำไปเข้าพิธีแล้วไม่ได้รับกลับ ให้มารับคืนได้ แต่เอาค่ารถมาด้วย..! ทำให้อาตมาต้องแบกมาถึงกรุงเทพฯ ลืมของทั้งลังนี่น่าตายมากเลยนะ ยังดีที่วัดท่าขนุนยังไม่มีประวัติของหาย ของเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าเก็บได้เขาจะมาส่งคืนให้
อาตมาเองก็ประกาศหาเจ้าของ ปรากฏว่าวันนี้มีมาทวง ๒ ราย สรุปได้ว่าตอนประกาศไม่คิดว่าเป็นของตัวเอง กลับถึงบ้านแล้วถึงรู้ว่าหาย อีกรายหนึ่งออกไปเกือบครึ่งทางแล้ว นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าวัตถุมงคลไว้ วิ่งมาถามว่ามีใครเจอบ้างหรือเปล่า ? ไม่เพียงแต่เจอเฉย ๆ อาตมาเก็บเข้าห้องไปแล้วด้วย เพราะว่าเลิกงานเก็บของเสร็จสรรพแล้ว อีกรายหนึ่งลืมกระเป๋าสตางค์พร้อมกับบัตรประจำตัวสารพัด พอประกาศวิ่งมาทันทีเลย เขาบอกว่ากำลังรออยู่ว่ามีใครเก็บได้หรือเปล่า ? จะเห็นได้ว่า พวกเราที่ถือว่าเป็นหมู่คนที่เข้ามาปฏิบัติธรรม สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากหลักธรรมได้จริง โดยเฉพาะเราไม่ยอมละเมิดศีล แม้ว่าของจะมีคุณค่าขนาดไหนก็ตาม ถือว่ากำลังใจในด้านศีลบารมีของเราใช้ได้ ถ้าเป็นญี่ปุ่นเก็บของได้ พอเจ้าของมารับคืน เขามีข้อบังคับด้วยว่าต้องแบ่งรางวัลให้คนเก็บได้ด้วย อันนี้เขามีข้อบังคับไว้เลย แต่ไม่ได้ถามเขาว่าแบ่งให้เท่าไร ช่วงเกิดสึนามิมีของโดนคลื่นซัดไปไม่เป็นที่เป็นทาง คนนั้นก็เจอของที่ไม่ใช่ของตัวเอง คนนี้ก็เจอของที่ไม่ใช่ของตัวเอง จึงเอาไปฝากสถานีตำรวจ จนตำรวจไม่มีที่จะเก็บ แต่เขามีข้อแม้ว่าถ้าภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้วไม่มีคนมารับคืน จะเป็นสิทธิ์ของคนที่เก็บได้ ถ้าอย่างนี้อาตมาคงได้เยอะเลย เพราะว่าบางคนเป็นปี ๆ แล้วยังไม่ได้ไปรับของคืน งานเป่ายันต์ครั้งนี้คนไม่ได้มากนะ แต่ทำไมแน่นจัง ? มีใครรู้สึกบ้างไหมว่าโดนเบียดจนกระดิกไม่ออก อาจจะเป็นเพราะคนมากขึ้นจริง ๆ แต่อาตมาดูไปก็เหมือนเดิม เพราะเห็นแต่หัว มองไปก็ติดหัวคน แต่ว่าที่มั่นใจว่าคนมากเพราะว่ารอบ ๒ ปกติจะมีคนเกินครึ่งศาลานิดหน่อย แต่ครั้งนี้เกือบไม่มีที่ว่างแล้ว เพราะว่ามีบางคนรับรอบหนึ่งแล้วไม่มั่นใจขอซ้ำอีกที จะบอกว่าน้ำเต็มแก้วแล้ว เทซ้ำไปก็ล้นทิ้งเสียเปล่า ๆ ก็ใช่ที่ นั่งรับไปเถอะ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีแรกที่หน้าหนาวแล้วอาตมารู้สึกปวดข้อ แสดงว่าแก่ได้ที่แล้ว เพราะฉะนั้น..เวลาที่เกร็งมือเพื่อเขียนยันต์นาน ๆ จะปวดข้อ
ต่อไปที่น่าจะทำก็คือ ตะกรุดมหาสะท้อนที่ทำจากโรงงานแล้วเอามาเสก ตะกรุดมหาสะท้อนที่จารด้วยมือนี่หมดสิทธิ์แล้ว โดยเฉพาะตอนม้วนลำบากที่สุด จะเห็นว่าตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๒ บางทีม้วนไม่ค่อยเรียบร้อยและค่อนข้างดอกใหญ่ เพราะว่าดอกแรก ๆ แรงยังดีอยู่ จึงม้วนได้ชิดสนิทแน่นหน่อย ดอกถัด ๆ ไปแรงเริ่มหมดก็ดอกใหญ่ขึ้นเรื่อย วันหนึ่งจะจารประมาณ ๔๐ - ๕๐ ดอก แล้วรุ่นนั้นแผ่นเงินหนามาก ให้เด็กบ้านนอกอย่างพระครูน้อยช่วยม้วน ท่านบิดบุบไปได้นิดเดียว ไม่ใช่งอขึ้นมานะ งอยังงอไม่ขึ้นเลย ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องม้วนเอง ม้วนเสร็จมือก็พองและแตกพอดี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชะรา ธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้ บางคนทำใจไม่ได้ที่ตัวเองแก่ ในเมื่อทำใจไม่ได้ที่ตัวเองแก่ ก็เลยพยายามที่จะไม่แก่ บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ดูไม่แก่ มักจะมีราคาแพง จริง ๆ แล้วไม่ใช่ไม่แก่นะ ยังแก่อยู่ แต่ทำให้ดูไม่แก่ ดังนั้น..คุณค่าของความพยายามที่จะไม่แก่จึงแพงตามไปด้วย
อย่างที่เคยบอกกับญาติโยมว่า ตอนไปพุทธาภิเษกให้กับสมาคมศิลปินเพื่อพระพุทธศาสนา อาตมาเจอพวกดารา เห็นเขาต้องสวยอยู่ตลอดเวลาแล้วเหนื่อยแทน เป็นอะไรที่ดูแล้วน่าเหนื่อยใจมาก ต้องพยายามแต่งให้ดูดี เพราะว่าถ้าดาราดูไม่ดีเมื่อไรอาจจะตกงานไปเลย บางทีก็ต้องสร้างกระแสเพื่อให้อยู่ในความสนใจของคน จะได้มีงาน พอดู ๆ ไปแล้วก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยมากจริง ๆ" |
"เมื่อไม่นานนี้มีคนมาคร่ำครวญอยู่หลายราย ว่าลูกสอบเข้าเรียนไม่ได้ นั่นก็ยิ่งเหนื่อย ความจริงลูกมีที่เรียน แต่พ่อแม่อยากให้เรียนอีกที่หนึ่งก็เลยต้องไปสอบแข่งกับเขา พอไม่ได้ขึ้นมาลูกไม่เสียใจเท่าไรหรอก แต่พ่อแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นอาทิตย์เลย
พูดถึงเรื่องนี้ก็ไปนึกถึงสมัยก่อน มีนักเทนนิสคนหนึ่ง คือ มาร์ติน่า ฮินกิส บางทีมาร์ติน่า ฮินกิส ก็ได้แชมป์ บางทีก็ตกรอบแรก บางทีก็ตกรอบสองรอบสาม บางทีก็เข้ารอบชิงแล้วก็ได้แค่รองแชมป์ อาตมาฟันธงว่ารายนี้ต่อไปจะเก่ง มีคนถามว่าทำไม อาตมาบอกว่าเพราะเขาแพ้เป็น คนที่แพ้เป็น จะไม่ไปคร่ำครวญเสียใจให้แก่สิ่งที่พ่ายแพ้ แต่จะพิจารณาดูว่าแพ้เพราะอะไร แล้วแก้ไขจุดบกพร่องของตน แล้วต่อไปเขาก็จะชนะ เด็กคนไหนถ้าสอบตกแล้วแพ้เป็น เด็กคนนั้นต่อไปอนาคตจะไกล คำว่าแพ้เป็น แปลว่ายอมรับว่าตัวเองสอบไม่ได้ แล้วก็ไปพิจารณาว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เมื่อแก้ไขตรงจุดนั้นแล้ว ต่อไปก็จะไม่สอบตกอีก เขาก็ต้องไปวิเคราะห์ว่าทำไมตัวเองสอบไม่ได้ ขี้เกียจอ่านหนังสือ หรือว่าไม่ชอบวิชานั้นก็เลยไม่สนใจที่จะเรียน เหล่านี้เป็นต้น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่พระพุทธชินราชปิดทองใหม่ อาตมาว่าสู้ของเก่าไม่ได้เลย ของเก่าสวยนวลตามาก ของใหม่สว่างแสบตาเลย
คนโบราณเขาปั้นแสงปั้นเงาได้ เขาใช้แสงเงาจากช่องหน้าต่างเข้าช่วย ถ้าเดินเข้าไปจะเห็นองค์พระลอยเด่นอยู่กลางวิหาร พอมารุ่นหลังเขา กลัวขโมยบ้าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง ก็เลยอุดช่องแสงจนหมด แล้วใช้ไฟฟ้าส่องแทน จึงสว่างเกินไปจนแสบตา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นนี้ยังพอไหว แต่รุ่นถัดไปจะอยู่กันอย่างไร เพราะโลกร้อนแรงขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันความสามารถในการเอาตัวรอดของเด็กกลับน้อยลงไปเรื่อย เพราะไปพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกิน
วันก่อนยังบอกกับพระที่วัดเลยว่า ผมอยากให้ไฟดับสักอาทิตย์หนึ่ง ดูว่าพวกคุณจะตายไหม? ไม่อย่างนั้นอากาศหนาวแทบตาย ก็ยังเปิดพัดลมกันอยู่" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าบอกได้อาตมาบอกหมดทุกคนแล้ว จำไว้ว่าถ้ายังอยากตายอยู่ กำลังใจยังใช้ไม่ได้ คนอยากตายกำลังใจจะหมอง คนที่เขาทำถึงจริง ๆ เขาไม่ได้อยากตาย แต่เขาพร้อมที่จะตาย ดำเนินชีวิตอยู่ในลักษณะอยู่ก็ได้ตายก็ดี ถ้าอยู่เราก็ยังได้สร้างบุญบารมี ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพาน สมัยก่อนอาตมาก็เข้าใจผิดเหมือนกัน คิดว่าถ้าถึงระดับอยากตายก็แปลว่าเราดีแล้ว เปล่า...ยังห่างอีก ๘๔,๐๐๐ โยชน์..! ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เป็นเหมือนกันทุกคนแหละ ถ้ายังไม่ก้าวผ่านจุดนั้นไปก็คิดว่าตัวเองดีแล้ว พอก้าวผ่านไป อ้าว..ยังไม่ดีจริงนี่นา ที่ดีกว่าถูกกว่ายังมีอยู่อีก ก็จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ ด้วยความที่ยึดมั่นถือมั่นของเรา พอก้าวไปสู่จุดใหม่ก็จะไปยึดว่านั่นดีแล้ว ถูกแล้ว ต่อไปพอเจอที่ดีกว่านั้นขึ้นมาก็ อ้าว..ผิดอีกแล้ว พอโดนเข้าบ่อย ๆ ตอนหลังก็จะเปลี่ยน กลายเป็นคนที่รู้ระมัดระวัง ไม่ประมาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรู้ว่าแม้แต่ความดีก็ยังหลอกเราได้ ถ้าเราหลงติดอยู่แค่นั้นจะไม่ก้าวหน้าไปไหน ค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องรีบตายหรอก เวลายังไม่พอให้เราทำความดีเลย เพราะฉะนั้น..ให้เร่งทำให้มากเข้าไว้ อยู่ไปกินไปตามปกติ พอหมดอายุขัยเมื่อไรก็ไปเองแหละ ไม่ต้องไปกังวลหรอกจ้ะ อาตมาเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยกังวลถึงอนาคตเลย ดูแลคนป่วยไว้เยอะ มั่นใจว่าพอถึงเวลามีคนช่วยหอบช่วยหิ้วแน่ ๆ ดูแลพ่อ ดูแลแม่ ดูแลหลวงปู่มหาอำพัน รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง รวมแล้วกว่า ๒๐ ปี |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:16 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.