กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3131)

เถรี 14-01-2012 11:48

ถาม : การภาวนา คืออะไร ?
ตอบ : ภาวนาแปลว่าทำให้เจริญ อะไรที่ทำให้จิตของเราห่างไกลจากรัก โลภ โกรธ หลง จัดเป็นการภาวนาทั้งนั้น

เถรี 14-01-2012 11:52

ถาม : ทีแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะถือศีล ๘ แต่ได้ยินพระท่านให้ศีลจึงพนมมือรับ แล้วถ้าผมกินข้าวเย็นจะผิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณตั้งใจรับศีลถือว่าผิดสัจจะ ถ้าไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน รับเอาไว้ก็ถือว่าเป็นส่วนของกุศล เพราะว่าจะทำมากหรือทำน้อย อานุภาพศีล ๘ ย่อมมากกว่าศีล ๕ อยู่แล้ว

ถาม : ถือศีล ๘ ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : จะมากหรือน้อยก็ได้ ไม่กี่นาทีก็ได้

เถรี 14-01-2012 12:02

ถาม : อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมควรจะทำ เพื่อให้ลูกสาวสนใจทางนี้ครับ ?
ตอบ : ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างให้เขาเห็นทุกวัน ถึงเวลาก็สวดมนต์ไหว้พระ นำเขาไปทำด้วย เขาจะรู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็นำเขาทำ เดี๋ยวเขาก็คล้อยตามไปเอง

การปลูกฝังต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาเองยังไม่รู้ภาษา หลับคอพับคออ่อนอยู่ พ่อพาไปสวดมนต์ทุกวัน หลับอยู่ก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ท้ายสุดจำได้หมด พอเข้าเรียนป.๑ ครูเห็นสวดมนต์ได้ตั้งเยอะแยะก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้นไปเลย

เถรี 14-01-2012 12:14

ถาม : มีคนเขาสงสัยว่าพระทันตธาตุของพระพุทธกัสสปที่เอามาให้นมัสการ สมัยพระพุทธกัสสปผ่านมานานขนาดนั้นยังมีพระธาตุอยู่อีกหรือครับ ?
ตอบ : พระธาตุของพระพุทธกัสสปยังไม่ไกลนะ ของสมเด็จองค์ปฐมยังมีอยู่เลย..!

เถรี 14-01-2012 12:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานที่ไปสนามหลวง เห็นพวกดาราแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่ง จะว่าขำก็ขำ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นเหมือนเราหรือเปล่า ? แต่เขาต้องรู้สึกอย่างเดียวกับเราแน่ ๆ เลย

ก็คือการที่ไปไหนแล้วต้องสวยอยู่ตลอดเวลา นี่เหนื่อยน่าดูเลย เราว่าเขาเองอาจจะไม่เห็นตรงนี้ แต่เขาเองต้องรู้สึก คือเขารู้สึกว่าเขาเหนื่อย แต่เขาต้องทำ ทำอย่างไรจะให้สวยอยู่ตลอดนี่คงเหนื่อยน่าดู"

เถรี 14-01-2012 12:35

มีคนพูดถึงข้าวของว่าราคาแพงขึ้น พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ขึ้นไปเลย ขึ้นให้เยอะ ๆ เพราะถ้าราคาไม่แพงจริงคนไทยจะไม่รู้ตัวหรอก ตอนน้ำมันขึ้น ๒๐ กว่าบาท รถเหลือบนถนนอยู่หน่อยเดียว ไป ๆ มา ๆ คนไทยชักตายด้าน รถเริ่มเต็มถนนอีกแล้ว เพราะฉะนั้น..ขึ้นได้ขึ้นไปเยอะ ๆ จะให้สมเหตุสมผลต้องสักลิตรละ ๖๐ บาท

บ้านเราส่วนใหญ่นักการเมืองมักจะทำงานโดยอิงคะแนนเสียงชาวบ้าน ก็เลยไม่มีใครกล้าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริง ๆ เพราะกลัวเสียคะแนน ถ้าเป็นอาตมาก็ทำเอาสะใจ งานเดียวจบเลย ถึงครั้งหน้าคุณไม่เลือกผมก็ช่าง ขอให้ประเทศชาติดีก็แล้วกัน"

เถรี 14-01-2012 12:53

มีนายทหารจากเหล่าพลาธิการมาทำบุญ พระอาจารย์ถามว่ายังมีการผลิตรองเท้าเบอร์ ๑๒ อยู่อีกหรือไม่ ? แล้วเล่าให้ฟังว่า "ทหารรุ่นอาตมามีคนที่ตัวใหญ่บึ้กเลย เพื่อน ๆ เรียกกันว่า "ไอ้ยักษ์" ชื่อศิลปชัย บำรุงกิจ กับ ฉลอง ไพรงาม เวลาแข่งกีฬา ท.บ. จะลงวอลเลย์บอล คู่นี้ยืนคู่หน้าเมื่อไร คู่ต่อสู้หนาว เพราะเขาไม่ต้องกระโดดเลย แค่ยื่นมือตบอย่างเดียว พอฝ่ายตรงข้ามเซ็ตลูก เขาก็ยื่นมือตบได้เลย กลายเป็นอีกฝ่ายเซ็ตลูกใส่มือให้

ไอ้ยักษ์เป็นทหารคนเดียวที่ดึงข้อที่บาร์เดี่ยวไม่ได้ พอเอามือจับบาร์ คางก็เกยพอดี จึงไม่สามารถที่จะดึงข้อเหมือนคนอื่นได้ ครูฝึกบอกให้เปลี่ยนไปวิดพื้น ๑ ล้านครั้ง ใช้หนี้ทุกครั้งที่เจอ เขาก็มารายงาน “ตามคำสั่งของครูฝึก ให้กระผม..นักเรียนนายสิบศิลปชัย บำรุงกิจ วิดพื้น ๑ ล้านครั้ง ขออนุญาตใช้หนี้ ๕ ครั้งครับ..!” แล้วก็วิดพื้นไป ๕ ครั้ง แบบนี้ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เจอหน้าทุกครั้งให้ใช้หนี้ “ตอนนี้กระผมได้วิดพื้นไปแล้วทั้งหมด ๒๐ ครั้ง เหลืออีก ๙๙๙,๙๘๐ ครั้งครับ..!”

ทหารมีอะไรที่ตลกสำหรับคนนอก แต่คนที่เจอข้างในบางทีก็หัวเราะไม่ออก จะไปสนุกตอนเล่าให้คนอื่นฟังนี่แหละ อาตมาว่าเท้าตัวเองใหญ่แล้วนะ ยังใส่รองเท้าแค่เบอร์ ๗ ส่วนไอ้ยักษ์ใส่เบอร์ ๑๒..! หารองเท้าจนหมดคลังก็ไม่ได้ ต้องขอให้ทางพลาธิการตัดพิเศษให้"

เถรี 14-01-2012 13:05

ถาม : ถั่วลาชมาศหน้าตาเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ถั่วเขียวแกะเปลือกคั่ว ถั่วเขียวที่เขาเอาไว้ทำเต้าส่วนนั่นแหละ

ถาม : หาซื้อได้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ตลาดมีขายเป็นกุรุส ที่เขาขายไว้ทำเต้าส่วน เคยเห็นไหม ? หรือไม่เคยกินเต้าส่วนอีก เป็นถั่วเขียวแกะเปลือก เราจะเห็นเป็นเหลือง ๆ
ลาชะแปลว่าข้าวตอก มาศแปลว่าทอง ข้าวตอกทองก็คือถั่วเขียวคั่วสุก คั่วให้สุก..ไม่ใช่ให้ไหม้..!

ถาม : แล้วขนมต้มขาว ขนมต้มแดงล่ะครับ ?
ตอบ : ขนมต้มธรรมดาคือขนมต้มขาว ขนมต้มแดงจะเป็นแป้งที่เขาบี้แบน ๆ แล้วเคี่ยวน้ำตาลราดลงไปก็เลยเป็นสีแดง ความจริงเป็นสีน้ำตาลเข้มมากกว่า

ถาม : ต้องจัดของครบทั้ง ๔ ทิศไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราตั้งโต๊ะใหญ่หรือโต๊ะเล็ก ถ้าโต๊ะเล็กก็ไม่ต้องครบ ๔ ทิศ ถ้าโต๊ะใหญ่ก็ต้องครบ

ถาม : ผมจะเอาธงพิชัยสงครามไปติดแทนรูปพระภูมิได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้..ถึงเวลาขออนุญาตท่านติดธงพิชัยสงคราม อย่างอาตมาเป็นพระ เวลาไหว้เทวดาท่านจะไม่ยอมรับ จึงต้องหาวัตถุที่ไหว้ได้ไปใส่แทน ถึงเวลาจะได้นึกถึงท่านไปด้วย เหมือนกับศาลเจ้าที่ของบ้านวิริยบารมี อาตมาเอาพระไปตั้งไว้ เวลาไหว้พระก็เท่ากับไหว้ท่านไปด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเทวดาท่านไม่ยอมรับ

เถรี 15-01-2012 09:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จึงทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับในหลวง ที่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ให้ความสำคัญกับในหลวง เพราะว่ารุ่นของเขาไม่เคยผ่านความทุกข์ยากลำบากมา เหมือนกับรุ่นพ่อรุ่นแม่

ถ้าเขาได้ผ่านช่วงสงครามโลก สงครามมหาเอเชียบูรพา เขาจะรู้ว่าในระหว่างประเทศชาติวิกฤตขนาดนั้น ศูนย์รวมใจเพียงหนึ่งเดียวของเราคือในหลวง ในระหว่างที่ประเทศชาติเกิดความแตกแยกทางความคิด ฝ่ายหนึ่งเข้าป่าจับอาวุธ อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในเมือง พระองค์ท่านทำจนกระทั่งเขาเปลี่ยนความคิด จากศัตรูกลับมาร่วมกันพัฒนาประเทศชาติได้

ในช่วงที่เผด็จการทหารครองเมือง ถึงเวลาชาวบ้านและนักศึกษาประท้วงก็โดนปราบโดนฆ่า พระองค์ท่านก็สามารถระงับเหตุทั้งหลายเหล่านั้นลงได้

บรรดาชาวเขาที่ปลูกฝิ่นเป็นอาชีพเพราะว่าทำเงินให้กับเขาได้ เนื่องจากว่าปลูกมาก็มีคนซื้อ พระองค์ท่านก็ไปเปลี่ยนเป็นการปลูกพืชผลในพื้นที่สูง จนกระทั่งมีฐานะมั่นคง มีโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ออกมา ทำให้พวกเขาอยู่กินกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยยาเสพติด

ดังนั้น..คนรุ่นนั้นจะเห็นชัด ๆ ว่าในหลวงสร้างคุณประโยชน์มหาศาลเพื่อประเทศชาติและประชาชนขนาดไหน ก็จะเกิดความเคารพขึ้นมาเอง เกิดความรักขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปปลุกใจ ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกร้อง แต่ว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาไม่ได้ผ่านสภาวะประเทศชาติที่เป็นอย่างนั้นมาก่อน ต่อให้เกิดปี ๒๕๓๕ ที่ประเทศชาติเกิดวิกฤตครั้งสุดท้าย ปีนี้เขาก็อายุ ๒๐ ปีโดยไม่เคยเห็นเรื่องเหล่านั้นมาก่อนเลย

เพราะฉะนั้น..เด็กรุ่นหลังจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ถึงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับในหลวงได้ขนาดนั้น ต้องบอกว่าคนรุ่นหลังนี้เสียชาติเกิดจริง ๆ..!"

เถรี 15-01-2012 09:47

"ที่ขำ ๆ กว่านั้นก็คือ หลวงปู่หลวงพ่อรุ่นครูบาอาจารย์เก่า ๆ เป็นพระเถระ ๔-๕ แผ่นดิน เพราะถ้าเกิดช่วงรัชกาลที่ ๖-๘ ก็ไม่กี่ปี ยิ่งไปเจอหลวงปู่สีเป็นพระเถระตั้ง ๕ แผ่นดิน มารุ่นของอาตมานี่ต่อให้อายุ ๖๕ แล้วก็ยังแผ่นดินเดียว เพราะในหลวงทรงครองราชย์มาเป็นปีที่ ๖๖ แล้ว

ต่างประเทศเขารู้และเห็นคุณค่าของในหลวงมากกว่าพวกเราหลายเท่า พวกเราเหมือนหนูอยู่บนกองข้าวสาร จึงไม่เห็นคุณค่า วันไหนไปเป็นหนูในทะเลทราย กว่าจะหาข้าวสารได้สักเม็ดหนึ่งไม่รู้ว่ากี่คืนกี่วันถึงจะเห็นคุณค่า แต่ก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้"

เถรี 15-01-2012 10:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา แต่ละคนคงมีผลสรุปกับตัวเองว่า มีสิ่งที่มีมากเกินในชีวิตของตนนั้นมีอยู่เยอะมาก จนกองพะเนินเทินทึกเลย ส่วนใหญ่แช่น้ำแล้วเสียหายหมด เอาไปขายของเก่าก็ไม่ได้

มีเรื่องหนึ่งที่เขาอาจจะทำได้จริง น่าเชื่อถือ แต่อาตมาก็ขอบอกว่าอย่าไปร่วมลงทุนกับพวกนี้ คือพวกที่เขาบอกว่า การนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มาแปรรูปวงจรข้างใน ที่มีส่วนผสมของพวกทองพวกเงินอยู่ เสร็จแล้วมาแยกโลหะธาตุทั้งหลายเหล่านี้ออกมาขายต่างหาก จะทำกำไรมหาศาลให้ จึงมาชักชวนเราไปร่วมลงทุนด้วย การชวนให้ลงทุนด้วย ก็อาจจะให้ลงหุ้นเป็นเงินตรง ๆ หรืออาจชักชวนไปซื้อที่ดิน ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ ไร่ เพื่อสร้างโรงงานมหึมาที่จะทำเรื่องนี้ให้ครบวงจร

ถ้าได้ยินก็ให้รู้ไว้เลยว่ากำลังจะซวยแล้ว บอกเขาไปเลยว่าถ้าดวงฉันจะรวยง่ายขนาดนั้น ก็รวยไปนานแล้ว เป็นความจริงที่ว่าวงจรของเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ จะประกอบด้วยโลหะธาตุมีค่าต่าง ๆ แต่มีน้อยมากขนาดเท่าขี้ตายุง ต้องใช้กี่แสนกี่ล้านเครื่องกว่าที่จะรวมกันแล้วมีมูลค่าทางการตลาดเพียงพอที่จะทำกำไรได้ ?

แต่คนเราพอได้ยินว่าราคาเท่านั้นราคาเท่านี้ เป็นตัวเลขมหาศาลก็จะเกิดความโลภอยากได้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทำให้กลายเป็นเหยื่อเขาได้ง่าย ถึงเวลาเขาชักชวนให้ลงทุนก็ควักกระเป๋าไป ดีไม่ดีก็ชักชวนพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ลงทุนคนละสองแสนสามแสนบาท ด้วยความหวังที่ว่า อีกไม่กี่เดือนก็คืนทุน แถมมีกำไรอีกมหาศาล

ลองถามพวกนี้สักหน่อยสิว่า ถ้ารวยขนาดนั้นทำไมไม่ไปชักชวนพี่น้องเพื่อนฝูงของคุณทำ ? ทำไมต้องมาชวนเราด้วย ? เขาก็จะบอกว่าเราเป็นคนมีบุญบารมี จะช่วยหนุนเสริมดวงของเขาได้ แบบนี้แทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นไสยศาสตร์ไปเลย..!"

เถรี 15-01-2012 10:40

"ฟังแล้วคิดให้ดี ๆ อย่าให้ความโลภบังหน้า จุดอ่อนของคนก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เขาก็จะใช้ตรงจุดนี้แหละมาหลอกลวงเรา แบบเดียวกับที่กิเลสมารหลอก อย่างเรื่องตกทอง จนทุกวันนี้ก็ยังหากินกันได้ ทั้ง ๆ ที่เขารู้กันจนทั่วแล้วก็ยังหากินกันได้อยู่ดี

อยู่ ๆ ก็ไปเจอทองหนัก ๕ บาท เขาบอกว่าเราอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ต้องมีส่วนได้ด้วย ทองตั้ง ๕ บาท จะแบ่งกันอย่างไร จะตัดก็น่าเสียดาย คุณมีทองติดตัวไหม ? ถ้ามีสร้อยมีแหวนสักบาทสองบาท เอาอันนั้นแหละมา แล้วคุณเอาทองเส้นใหญ่ ๕ บาทไป เราก็เห็นว่าทองที่เขาเจอ ๕ บาท ขณะที่ทองของเรา ๕๐ สตางค์หรือบาทเดียว ความโลภเริ่มบังหน้า ปัญญาชักจะเริ่มหมด อะไรจะมีน้ำใจขนาดนั้นนะ เขาเป็นคนเห็นแท้ ๆ เราแค่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ยังคิดจะแบ่งให้เรา

ล่าสุดมีคุณยายคนหนึ่งโดนหลอกให้ซื้อรางวัลที่ ๑ ไปหกแสนบาท ทั้ง ๆ ที่รางวัลที่ ๑ สองล้านบาท ยายไปเบิกไม่เป็น เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไม่ถูก ยายก็ควักเสียจนหมดธนาคารให้เขาไปหกแสนบาท แล้วก็ได้ล็อตเตอร์รี่ปลอมมา ๑ คู่ จะว่าปลอมก็ไม่ใช่ ของจริงนั่นแหละเพียงแต่ว่าเขาตัดเอาตัวเลขมาตัวหนึ่ง มาแปะให้ดูเหมือนรางวัลที่ ๑ เท่านั้นเอง ถ้าไม่ไปลูบ ๆ คลำ ๆ หรือส่องดูให้ดีก็เสร็จ

คุณยายพอรู้ว่าเป็นล็อตเตอร์รี่ปลอมก็เป็นลมไปเลย ยังโชคดีที่ไม่หัวใจวายตาย เงินเก็บที่จะเอาไว้ใช้ตอนแก่ติดปีกบินไปหมดแล้ว"

เถรี 15-01-2012 10:55

"จะว่าไปแล้วตรงนี้เกิดจากกรรมเก่า ในอดีตเราต้องเคยหลอกลวงฉ้อโกงเขามา พอมาถึงชาติปัจจุบันกรรมนี้ตามมาทันเราก็โดนบ้าง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า อย่าประมาทว่ากรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทว่ากรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ เพราะว่าความดีความชั่วแม้เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าถึงวาระ..กรรมนั้นก็ส่งผลเสมอ

เพราะฉะนั้นถ้ามีบางคนถามว่า พระพุทธศาสนาสอนว่าอะไร ? ถ้าเราตอบหลักธรรมชั้นสูงจนเกินไป บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ มีหลักหนึ่งที่ตอบได้คือ สอนให้เชื่อกรรม มีเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

เชื่อกรรม ก็คือ ทำ..แล้วถึงจะได้ เชื่อผลของกรรม ก็คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อการส่งผลของกรรม ก็คือ คุณดีในปัจจุบันนี้เพราะกรรมดีในอดีต คุณไม่ดีในปัจจุบันนี้เพราะกรรมไม่ดีในอดีต เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ เชื่อว่าท่านรู้จริงแล้วเอามาบอกเรา

บาลีว่า กัมมสัทธา วิปากสัทธา กัมมสกตาสัทธา ตถาคตโพธิสัทธา ส่วนไทยเราว่า เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า บาลีฟังง่ายกว่าภาษาไทยอีก"

เถรี 15-01-2012 11:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีประเพณีอยู่อย่างหนึ่งที่อาตมาเห็นแล้วขำก็ขำ ทุเรศก็ทุเรศ คือการที่เอาข้าวปลาอาหารไปตั้งหน้าโลง แล้วก็เคาะก๊อก ๆ เรียก..พ่อกินข้าว..แม่กินข้าว..ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่เคยเรียกหรอก ถ้าเป็นอาตมาอยู่ในโลง จะบอกว่า "เออ..ตั้งไว้ตรงนั้นแหละ" เจอแบบนี้ ดูซิว่าจะวิ่งไหม..!

เพราะฉะนั้น..ให้รีบทำดีกับพ่อแม่ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้เกิดความปลื้มใจชื่นใจว่าลูก ๆ มีความรัก มีความกตัญญูต่อท่าน ไม่ใช่ว่าพอตายแล้วค่อยไปเคาะโลง ถ้าเจอผีขี้รำคาญอย่างอาตมาก็คงได้วิ่งกันกระจายทั้งศาลา..!"

เถรี 15-01-2012 12:42

ถาม : มีความรู้สึกว่า ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : เรื่องปกติ เน้นลมหายใจเข้าออก ถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไปถึงจะพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วไม่พอ กว่าจะรู้ตัวก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ดึงไปไกลแล้ว รู้ตัวก็ให้เร่งทำไว้ ไม่ใช่ว่ารู้ตัวแล้วก็ไปนั่งดูเฉย ๆ ปล่อยให้กิเลสดึงเราไปทุกที

ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ต้องรีบสร้างไว้ เมื่อไม่มีศรัทธาก็ไม่คิดที่อยากจะปฏิบัติ ในเมื่อไม่มีศรัทธา วิริยะความพากเพียรก็น้อย เมื่อไม่มีความเพียรที่จะสร้างขึ้นมาสติก็ตั้งมั่นได้ยาก เมื่อสติไม่ตั้งมั่นสมาธิก็ไม่ทรงตัว เมื่อสมาธิไม่ทรงตัวปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าความศรัทธาต่อสิ่งที่เราทำนั้นดีอย่างไร วนเป็นงูกินหางอย่างนี้แหละ

ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนรถที่เทียมม้า ๕ ตัว ศรัทธากับปัญญาต้องไปด้วยกัน วิริยะกับสมาธิต้องไปด้วยกัน สติต้องนำหน้า เมื่อสตินำหน้า อีก ๒ คู่ตามหลังมาก็สามารถที่จะนำรถไปได้ดี ถ้าสลับผิดที่ผิดทางเมื่อไรก็มั่วไปหมด

ถาม : พยายามรักษาศีลเป็นเรื่องปกติ แต่ยังมีความรู้สึกหนัก
ตอบ : ถ้ายังหนักอยู่ แปลว่ากำลังใจของเรา สติสมาธิของเรา ยังไม่ค่อยได้อยู่กับศีล ยังเลื่อนไหลไปด้านอื่นอยู่มาก เราต้องคอยบังคับให้อยู่กับร่องกับรอย

ถ้าหากว่าเรามีสติสมาธิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล แค่ขยับตัวก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดหรือไม่ ถ้าถึงเวลานั้นก็เบาสบาย ไม่ต้องเสียเวลาไปไล่ตามกันอีก

เถรี 15-01-2012 12:58

พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่มาลาไปอเมริกาว่า "ระยะนี้ดินฟ้าอากาศแปรปรวนมาก ทางประเทศตะวันตกมีพวกพายุทอร์นาโดเพิ่มมากเป็นพิเศษ จากที่เคยมีปีละไม่กี่ลูก ก็เพิ่มมากขึ้นมาเป็นเท่าตัว

ไปที่ไหนก็อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ ขอบารมีพระท่านคุ้มครอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบารมีของพระท่านก็ไปถึงอยู่แล้ว"

เถรี 15-01-2012 13:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๕ นี้ มีงานพุทธาภิเษกและเป่ายันต์เกราะเพชร หลายต่อหลายรายมาขออนุญาตเอาวัตถุมงคลมาเข้าพิธี อาตมาไม่เคยหวงห้าม แต่จะมีปัญหาทีหลังทุกครั้ง พอถึงเวลาแล้วญาติโยมบางส่วนที่พบเห็นวัตถุมงคลชนิดนั้น ก็จะวิ่งไปเอาที่วัดท่าขนุนซึ่งไม่มีให้

ใครจะทำบุญไม่ได้ห้าม ใครจะเอาของมาเข้าพิธีไม่ได้ว่า แต่เวลาเอาของไปบอกบุญต่อ หรือเอาไปแจกเขา ให้บอกให้ชัดด้วยว่าทางวัดไม่ได้ทำ ไม่ใช่ว่าให้เขาวิ่งไปหาที่วัดอยู่ประจำ พอไม่มีเขาก็ไม่พอใจเพราะว่าเดินทางมาไกล"

เถรี 15-01-2012 13:25

"จากการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่าน ๆ มา มีญาติโยมจำนวนหนึ่งที่ไปโดนไสยศาสตร์มา พอไปเข้าพิธีแล้วหายจากอาการเหล่านั้น ก็ไม่ทราบว่าไปพูดต่ออย่างไร จนกลายเป็นว่าอาตมาเป็นผู้รักษาโรคพวกนี้ ทำให้มีคนหอบหิ้วกันมาให้รักษาอยู่เสมอ บางคนก็เดินทางมาไกล ๖๐๐-๗๐๐ กิโลเมตร

เพราะฉะนั้น..ขอประกาศบอกให้ทราบชัด ๆ เลยว่า อาตมาไม่มีความสามารถในการรักษาโรคพวกนี้ ที่เขาหายได้เพราะว่าไปร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งยันต์เกราะเพชรนั้นเป็นคู่ศึก เป็นสิ่งต่อต้านกับไสยศาสตร์โดยตรง

ถ้าหากว่าใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไสยศาสตร์ให้ไปเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ไม่ต้องหามกันไปหาอาตมาอย่างที่ผ่าน ๆ มา ถึงไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอาตมารักษาไม่เป็น"

เถรี 15-01-2012 13:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของปีนี้ รู้สึกว่าทั้งหน่วยราชการและประชาชนมีความตื่นตัวมาก ในเรื่องของการรับปีใหม่วิถีพุทธ คือมีการสวดมนต์ข้ามปีและเจริญกรรมฐาน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องดี แต่ก็มีข้อผิดพลาดเพราะขาดการประสานงานกัน ในส่วนของกรุงเทพฯ ชาวบ้านส่วนใหญ่มาร่วมกันสวดมนต์ข้ามปีที่วัดสระเกศ แต่พอออกจากวัดมาหารถเมล์กลับไม่ได้ มีหลายร้อยคนต้องเดินข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งถนนอรุณอมรินทร์ ใช้คำว่าหลายร้อยคนเพราะเดินเหมือนกับเดินขบวนกันเลย

ทางราชการโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างความตื่นตัวให้กับชาวบ้าน แต่ไม่มีการจัดการขนส่งมวลชนมารองรับ เหมือนกับช่วงแรกที่เขาเห่อเรื่องบั้งไฟพญานาค รถติดอยู่ห่างจากตัวจังหวัดหนองคายเกือบ ๓๐ กิโลเมตร โฆษณาให้คนไปเป็นหมื่นเป็นแสนแต่ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีที่พัก เอาแต่โหมโฆษณาอย่างเดียวโดยไม่มีแผนงานอื่นรองรับ

เรื่องที่จอดรถกับที่พักก็ยังพอทน แต่ห้องน้ำห้องส้วมจะไปหาที่ไหนเพราะคนเป็นหมื่น ๆ ที่ลำบากที่สุดก็บรรดาวัดวาอารามริมฝั่งโขง พอญาติโยมกลับกันไปทางนี้พระเณรก็เดือดร้อน ต้องเรียกหารถเทศบาลมาดูดส้วมกันอุตลุด เพราะส้วมล้นไปเลย..!"

เถรี 15-01-2012 13:40

"การทำงานต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบ ว่างานอย่างนี้เกิดขึ้นจะมีอะไรตามมา จะได้เตรียมแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเอาไว้ อย่างวัดท่าขนุนไม่มีปัญหา เพราะว่าโยมไปค้างที่วัดเลย ส่วนที่เป็นคนในพื้นที่เขาก็เดินทางมาแล้วกลับเลย และที่แน่ ๆ เรามีเสียงตามสาย คุณไม่ต้องมาถึงวัดก็ได้ยินทั่วอำเภอ เพราะฉะนั้น..ทางวัดเราไม่มีปัญหา แต่ในกรุงเทพฯ การสวดมนต์ข้ามปีกลายเป็นปัญหาใหญ่

เป็นที่น่ายินดีว่าประชาชนตื่นตัวในการต้อนรับปีใหม่แบบไทย ๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปชนแก้วนับเวลาถอยหลังกัน แต่ปรากฏว่ามาแล้วประทับใจมาก เดินกันขาลากเลย ปีหน้ายังจะกล้ามาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

วัดท่าขนุนนอกจากจัดสวดมนต์ออกเสียงตามสายแล้ว ยังมีการถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ตไปทั่วโลกด้วย เพราะฉะนั้น..ต่อให้เราไม่ได้ไปก็สามารถเปิดเข้าไปที่เว็บวัดท่าขนุนและเว็บสะพานบุญ เพื่อร่วมพิธีได้ มีทั้งภาพมีทั้งเสียงเหมือนอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ดู ๆ ไปแล้วบางคนเกิดความอยากไปขึ้นมาเฉย ๆ เพราะมีคนนั่งเต็มศาลาสวดมนต์ไปพร้อม ๆ กัน

ได้เห็น ได้ยิน เกิดศรัทธาขึ้นมา ยังไม่รู้ว่าปีหน้าที่พอจะรองรับหรือเปล่า ? ปีนี้แค่ลำพังผู้ปฏิบัติธรรมก็เต็มศาลาอยู่แล้ว ยังมีชาวบ้านเดินทางมาร่วมงานอีกส่วนหนึ่งด้วย"

เถรี 16-01-2012 08:49

มีโยมเอาข้าวสารมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ข้าวพันธุ์นี้ชื่อว่าปิ่นเงิน สมัยอาตมาเรียนอยู่ชั้นประถม ๔-๕ ข้าวไทยประกวดชนะเลิศอันดับหนึ่งของโลก ชื่อพันธุ์ปิ่นแก้ว หลังจากนั้นมาข้าวไทยก็ชนะมาตลอด โดยเฉพาะช่วงที่พัฒนามาเป็นข้าวหอมมะลิ เพิ่งจะมีปีที่ผ่านมานี้เสียตำแหน่งให้กับพม่า ข้าวพม่ากลายเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลกแทนไทยไปแล้ว

ความจริงประเทศพม่าแทบจะไม่มีอะไรสู้เราได้เลยในเรื่องของการเกษตร เพราะส่วนใหญ่เป็นการเกษตรแบบตามบุญตามกรรม ตามสภาพดินฟ้าอากาศ รัฐบาลเขาไม่ได้สนับสนุน แต่ว่าเขาสามารถที่จะสร้างผลผลิตออกมาให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดแทนของไทยได้ น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง..!"

เถรี 16-01-2012 09:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้มีญาติโยมถวายทองคำเพื่อบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาหลายรายแล้ว อาตมาเองยังต้องเปลี่ยนแผน จากที่เคยนำเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่มีทองคำหนักหลายร้อยบาทระโยงระยางเต็มไปหมด มาไว้ที่บ้านวิริยบารมี ก็เปลี่ยนไปเป็นซื้อเจดีย์ใหม่ ถึงเวลาก็อัญเชิญมาแต่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เจดีย์เก่าพร้อมกับทองคำก็เอาไว้ที่วัด

อาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาที่บ้านวิริยบารมีนี้ทุกต้นปีที่รับสังฆทาน แค่ ๓ วันเท่านั้น ก็แปลว่าจะได้เห็นกันอย่างใกล้ชิดที่นี่ อยู่ที่วัดก็ไม่ได้เห็นหรอก เพราะทองคำบังพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วจนมิดไปหมด การถวายทองเป็นพุทธบูชาท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเผลอเกิดใหม่ จะรวยไม่รู้จบจริง ๆ

หลังตรุษจีนราคาทองคงจะลดลงนิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมาประเทศอินโดนิเซียกับประเทศอินเดียมีการใช้ทองคำมาก เพราะช่วงเทศกาลคนนิยมให้ทองคำเป็นของขวัญ ส่วนบ้านเรานิยมให้ในเทศกาลตรุษจีน ช่วงที่ผ่านมาทองขึ้นราคาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ พอหลังตรุษจีนหมดงานแล้วราคาก็จะหล่นลงไปหน่อย

ตอนนี้รออยู่ก็คือว่าบรรดาประเทศในสหภาพยุโรปที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เมื่อไรจะทุ่มขายทองออกมาในตลาด ถ้าขายออกมาทีหนึ่งราคาก็คงจะตกฮวบไปเลย เพราะว่าเขาต้องเอาเงินกลับไปหมุนเวียนเพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจของเขา

ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเขาผิดทางเพราะไปตัดค่าใช้จ่าย ในเมื่อไปตัดค่าใช้จ่าย ทำให้การหมุนเวียนในท้องตลาดน้อยลง สภาพเศรษฐกิจก็ยิ่งฝืดหนักเข้าไปอีก จริง ๆ แล้วต้องลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายขึ้นมา ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็เก็บเงินกันหมด อันนี้ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกเขาว่ากันเถอะ เราคงไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาไม่ได้หรอก"

เถรี 16-01-2012 09:33

1 Attachment(s)


ถาม : ภาพนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : เขาแสดงภาพที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่ไม่สามารถจะจุดไฟติดได้ พระอนุรุทธเถระอยู่ในสถานที่นั้นก็แจ้งว่า พรหมเทวดาทั้งหลายยังไม่ประสงค์ให้พระราชทานเพลิงพระบรมศพในช่วงนี้ เพราะพระพุทธองค์ยังรอพระมหากัสสปะอยู่

เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึง น้อมเศียรถวายบังคม พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทะลุรางโลหะออกมาเพื่อให้พระมหากัสสปะสามารถที่จะถวายบังคมพระบรมศพครั้งสุดท้ายได้ หลังจากนั้นไฟก็ติดขึ้นเอง เพราะเทวดาจุด อันนี้มาจากภาพพุทธประวัติตอนช่วงปรินิพพาน

ในบาลีเขาใช้ภาษาว่า ถวายบังคมแทบพระบรมบาทด้วยเศียรเกล้า พระพุทธองค์ก็เลยยื่นพระบาทมาให้จริง ๆ ถ้าเป็นสมัยนี้อยู่ ๆ ถ้ามีใครยื่นเท้าโผล่มาแบบนี้ คาดว่าคงตกใจวิ่งหนีกันเป็นแน่..!

เถรี 16-01-2012 10:27

พระอาจารย์กล่าวเมื่อเห็นญาติโยมที่อายุมาก ต้องยันพื้นเพื่อช่วยในการลุกขึ้นว่า "คนแก่พออายุมาก จะลุกจะนั่งสองขาเริ่มไม่ไหว ต้องใช้สี่ขาช่วย เหมือนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จักนางวิสาขามหาอุบาสิกา

คุณยายวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี มีลูกชาย ๑๐ คน ลูกหญิง ๑๐ คน มีลูกเขยอีก ๑๐ คน ลูกสะใภ้อีก ๑๐ คน แล้วบรรดาลูก ๆ ลูกเขยและสะใภ้ก็มีหลานให้อีกคนละ ๒๐ รวมแล้วคุณยายวิสาขามีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จัก จึงไปดักดูเวลาท่านไปทำบุญ

แต่หาไม่เจอว่าคนไหนเป็นคุณยายวิสาขา เพราะคุณยายเป็นเบญจกัลยาณี วัยงามของเบญจกัลยาณีเขาบอกว่า มีลูกคนแรกอายุเท่าไร หน้าตาจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต คุณยายวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็ตีว่ามีลูกตอนอายุ ๑๗ แล้วกัน อายุเป็นร้อยแล้วก็ยังสาวพริ้งอยู่อย่างนั้น

พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีความฉลาดจึงใช้วิธีสังเกตเอา พอพระพุทธเจ้าเลิกเทศน์ ญาติโยมลุกเตรียมกลับ มีสาวสะพรั่งนางหนึ่งยักแย่ยักยัน เอามือท้าวพื้นแล้วค่อยลุกขึ้น แสดงว่าคนนี้ใช่เลย เพราะต่อให้ร่างกายจะดูสาวแค่ไหนก็ตาม คนแก่อย่างไรก็กำลังตก จะลุกแบบสาว ๆ ทั่วไปไม่ได้

แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลยังไม่แน่พระทัยอีก จึงบอกให้ควาญช้างปล่อยช้างลุยไปกลางวง คุณยายกับบรรดาหลาน ๆ กำลังเดินทางกลับ เห็นช้างวิ่งสวนมา หลาน ๆ ก็ตกอกตกใจ ร้องวี้ดว้ายเตรียมจะหนี คุณยายหันมา เจอช้างมาถึงตัวแล้ว

บาลีเขาบอกว่า นางวิสาขาเห็นว่าถ้าใช้มือจับงวงช้างดึง กลัวอันตรายจะเกิดแก่ช้างได้ ไม่ใช่อันตรายจะเกิดแก่ตัวเองนะ เพราะคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร ก็เลยใช้มือยันช้างไว้เฉย ๆ ลองนึกถึงว่าช้าง ๑ ตัววิ่งชนช้าง ๗ ตัวจะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับวิ่งชนภูเขาดี ๆ นี่เอง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลยมั่นใจว่าใช่แน่ เพราะว่าเขาลือกันว่าคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร"

เถรี 16-01-2012 10:40

"ถามว่ากำลังนี้เกิดจากอะไร ? เกิดจากกำลังบุญ ร่างกายคนแก่ก็แก่ตามสภาพ กำลังที่ไม่พอจะทรงตัวของคุณยายวิสาขานั้น ยังแข็งแรงกว่าช้างเสียอีก

เรื่องของกำลังบุญที่อาตมาเห็นชัด ๆ ก็หลวงพ่อวัดท่าซุง ญาติโยมเอาเครื่องออกกำลังไปถวายให้ท่าน ลักษณะคล้ายกรรเชียงเรือ ได้ทั้งกำลังแขนกำลังขากำลังเอว เพราะโยกไปทั้งตัว ๒ ข้างมีสปริงขนาดใหญ่ประมาณท่อนแขนของอาตมา

วันนั้นพอ ๗ โมงครึ่ง หลวงพ่อเดินทางจากวิหารร้อยเมตรมาถึงหน้าตึกริมน้ำเพื่อมาทำงานที่นั่น ท่านจะมาเซ็นหนังสือ มาตอบจดหมาย บันทึกเทปตรงนั้น ท่านขึ้นมาถึงก็บอกว่า "เฮ้ย..เล็กเว้ย..วันนี้รู้สึกร่างกายแข็งแรง ลองเอาเครื่องนั่นมาทีซิ..!" อาตมาก็ต้องแบกเครื่องออกกำลังมาวางไว้กลางห้อง หลวงพ่อท่านก็ขึ้นไปโยกสองที สปริงขาดผึง..!

อาตมาก็ได้แต่นั่งเซ็งในอารมณ์ ท่านก็หัวเราะหึ ๆ "ไอ้ของอย่างนี้ทำมาได้" สปริงตัวเท่าแขนหลวงพ่อดึง ๒ ทีขาดเลย กำลังขนาดนั้นแต่เวลาท่านไปไหนเดินเซ แสดงว่ากำลังที่ใช้ประคองร่างกายไม่พอ เพราะสภาพร่างกายคือคนแก่ แต่กำลังที่ใช้งานทั่ว ๆ ไปของท่านมากกว่าคนปกติ

อย่างเวลาที่ท่านรับสังฆทานที่ศาลานวราชบพิตรเสร็จ เวลาท่านเดินลง คนจะนั่งเรียงเป็นแถว ๒ ข้างให้หลวงพ่อเคาะหัว ท่านใช้ไม้เท้าอะลูมิเนียมที่ปรับระดับได้ แล้วมียางหุ้มอยู่ที่ปลายเคาะ ๆ หัวโยม มีอยู่รายหนึ่งเอาทิชชู่แปะหัว ถามว่าเป็นอะไร "หัวแตก..!" ขนาดมียางหุ้มแล้ว หลวงพ่อเคาะเบา ๆ หัวยังแตกเลย

ส่วนอีกรายหนึ่งคือหลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี หลวงพี่ดำท่านเคารพหลวงพ่อมาก เจอหน้าหลวงพ่อก็วิ่งเข้าไปกราบที่อก หลวงพ่อก็ใช้มือตบหัว "เป็นอย่างไรวะ..ไอ้ดำ ?" หลวงพี่ดำก็ลงไปกราบที่เท้า อาตมาเห็นก็คิดว่าพี่เราเคารพหลวงพ่อมาก กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าท่านอีก

พอหลวงพ่อเดินผ่านไป หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "โอ้โห..เกือบสลบเลยกู" อาตมาถามว่าทำไม ? "ป๋าสิ..มือหนักเป็นบ้าเลย ตบหัวเล่น ๆ เหมือนกับโดนตะลุมพุกฟาดเลย..!" อ๋อ..ที่ลงไปกองกับพื้นไม่ได้กราบเท้าหรอก ร่วงลงไปเอง..! นั่นนะเพิ่งจะรู้ว่ากำลังคนแก่ เผลอเมื่อไรกำลังบุญของท่านออกมาเราก็แย่"

เถรี 16-01-2012 10:50

ถาม : เหมือนจะขัดแย้งกันนะคะ
ตอบ : ไม่ขัดแย้ง..เพราะสภาพร่างกายที่แข็งแรงขนาดนั้นก็เหมือนกับรถ ลองเอารถเบนซ์ไปเทียบกับรถเก๋งญี่ปุ่นดูสิ ว่าน้ำหนักต่างกันขนาดไหน

รถเบนซ์ที่วิ่งดีเพราะรถหนักมาก รถหนักการทรงตัวถึงจะดี คนที่กำลังมากร่างกายก็หนัก กำลังตัวเองที่จะแบกร่างกายไม่มีหรอก แต่พอถึงเวลาไปปะทะกับรถคันอื่น แล้วรถคันอื่นจะไหวไหม ก็คงยุบไปสักครึ่งคัน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : กำลังบุญเป็นธรรมชาติอย่างนั้นเลย เกิดจากบุญที่สร้างมา พระอานนท์ก็มีกำลังอย่างนั้น นางปุณณทาสีก็มีกำลังอย่างนั้น ถ้าไม่มีกำลังขนาดนั้นใครจะไปใส่เครื่องมหาลดาปสาธน์ได้ มีหวังโดนทับคอหักตาย

เครื่องมหาลดาปสาธน์สร้างจากทองคำ ๑,๐๐๐ แท่ง เงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ไม่รู้ว่าแท่งหนึ่งหนักกี่กิโลกรัม แก้วมณี ๓๓ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน ร้อยกันเป็นเสื้อคลุมขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วมีมงกุฏเป็นรูปนกยูงลำแพน มีขนปีกทองคำข้างละ ๕๐๐ เส้น ไม่รู้ว่าหนักเท่าไร แต่ตอนเอาไปขายต้องใส่เกวียนไป ท้ายสุดไม่มีใครซื้อเพราะราคาตั้ง ๙๑ โกฏิ นางวิสาขาก็เลยต้องควักเงินตัวเองซื้อคืนมา ตอนใส่คุณยายใส่ได้หน้าตาเฉย แต่พอตอนขายคนอื่นต้องเอาใส่เกวียนไป ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องบรรทุกรถกระบะไป

เถรี 16-01-2012 11:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ก็ตกประมาณ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวจะมีวัตถุมงคลมาให้บูชา เพื่อเอาเงินไปปิดทอง ถึงแม้เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แต่เราปิดทองหมดทุกองค์ เท่ากับว่าเราได้เป็นเจ้าภาพหมดทุกองค์เลย เพราะถ้าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์จะคุ้มกันได้เป็นคณะ จะกี่หมื่นกี่แสนคนก็ได้ รวม ๆ กันไปก็มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมดได้เหมือนกับเป็นเจ้าภาพเอง

เดี๋ยวจะให้เขาไปออกประกาศในเว็บวัดท่าขนุน เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการ ๓๐๐ ชุด ชุดละ ๗,๕๐๐ บาทเอง จะมีพระองค์หนึ่งที่ไม่เคยออกมาก่อนเลยคือเนื้อชินตะกั่ว พระชุดนี้ถ้าคิดตามราคาแต่ละองค์จะแพง แต่อาตมาไม่คิดตามราคา คิดเป็นชุด ชุดหนึ่งมี ๗-๘ องค์ จะมีเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อเมฆพัตร เนื้อผง เนื้อชุบทองพ่นทราย เนื้อชินตะกั่ว

เนื้อนวโลหะที่ราคาแพงมากเพราะว่ารุ่นนั้นอาตมาใส่ทองคำไป ๑๐๐ บาท ทองคำ ๑๐๐ บาทตอนนี้เข้าไปเท่าไรแล้ว ก็ตก ๒ ล้านกว่าบาทแล้ว บางคนได้พระปิดตาฯ เหลืองเป็นทองเลย เพราะว่าเป็นองค์อยู่ก้นช่อพอดี ทองคำมีน้ำหนักมาก พอเทลงไปทองคำจะวิ่งลงก่อน แต่เนื้อนวโลหะจะมีธรรมชาติ ก็คือ สีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ภาษานักเล่นพระจะเรียกว่า กลับดำ ถ้ามีส่วนผสมเงินมากก็จะกลับดำเร็วขึ้น ถ้าผสมตามสูตรก็นานหน่อยกว่าที่จะดำ

อาตมามีพระนวโลหะที่เก็บมานานอยู่องค์หนึ่ง ตอนแรกเนื้อแดงอร่ามเหมือนนากเลย ปัจจุบันนี้ปลายพระนาสิกกับพระชานุ(หัวเข่า)เริ่มจะดำแล้ว ของโบราณสูตรเขาทนนานมาก ถ้าเราเช็ดอยู่เรื่อยจะแดงอร่ามอยู่ตลอดเวลา แต่พอเก็บไปนาน ๆ ก็จะเริ่มกลับดำ"

เถรี 16-01-2012 11:31

"แบบเดียวกับครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่มหาอำพัน คนไม่รู้เรื่องเห็นว่าครอบน้ำมนต์ดำปี๋เลย ดำหนา ๆ ด้วย คนก็ไม่ได้ใส่ใจเพียงแต่เคยเห็นหลวงปู่พรมน้ำมนต์ ก็รับ ๆ ไป กว่าจะรู้ว่าเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดสุทัศน์ก็สายไปเสียแล้ว ใครคว้าเอาไปแล้วก็ไม่รู้

พอหลวงปู่มหาอำพันมรณภาพแล้ว เขาขนทรัพย์สมบัติของท่านกันใหญ่ ไม่ได้กลัวเลยว่าจะติดหนี้สงฆ์ หลวงพี่มนตรีท่านอยู่กับหลวงปู่ เฝ้ากุฏิอยู่ โทรมาบอกว่า "พี่เล็ก..ทำอย่างไรดี พระองค์เท่าคนเขายังแบกไปกันเลย" อาตมาบอกว่า "เขาอยากเอาไฟเผาบ้านก็ให้เขาแบกไป..!"

ถาม : สมมติหนูขโมยหยิบไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วเอาไปให้อีกคนเช่าบูชา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง คนที่มาเช่าต่อมีผลไหมคะ ?
ตอบ : มีผลเหมือนกัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วให้ทำอย่างที่อาตมาเคยแนะนำพระน้องชายไป พระน้องชายเขาชอบเล่นพระเครื่อง ส่วนใหญ่พระเครื่องเก่า ๆ บางทีก็ออกจากกรุมาโดยไม่ถูกต้อง คือขโมยขุดกันมา เขาถามว่าจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์

อาตมาบอกว่า ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้ว ถวายคืนสงฆ์ไปองค์ต่อองค์ เราเอาพระเครื่องมา ๑๐ องค์ก็ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปคืน ๑๐ องค์ เพราะว่าเรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ไม่ได้ดูมูลค่าปัจจุบัน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นอัปปมาโณ ประมาณราคาไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น..ให้สร้างพระหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปถวายคืน ถ้าได้ ๙ นิ้วไปเลยยิ่งดี

ถาม : ทำแล้วไปถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ ให้เราตั้งใจถวายเพื่อชำระหนี้สงฆ์

เถรี 16-01-2012 12:46



พระอาจารย์กล่าวว่า "ตราประจำตระกูลของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นตราพระอาทิตย์ทรงรถ เพราะท่านชื่ออาภากร

อาภากร ผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง หมายถึงพระอาทิตย์ นอกจากพระอาทิตย์ทรงรถแล้วยังมีบาลีว่า กยิราเจ กยิราเถนัง แปลว่า ทำอะไรต้องทำให้จริง ถ้าหากว่าเราทำจริง จะสำเร็จทุกอย่าง ส่วนใหญ่แล้วของพวกเรายังทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริง เขาต้องแลกกันด้วยชีวิต..!"

เถรี 16-01-2012 12:51

ถาม : แค่ตั้งใจทำบุญก็ได้บุญนั้นแล้ว แต่ถ้ายังไม่ทันได้ทำ ก็ตัดใจเลิกทำบุญนั้นแล้ว ?
ตอบ : ก็หมดบุญ..!

ถาม : ไม่ใช่ว่าได้บุญไปแล้วหรือครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าบุญอยู่ที่ความตั้งใจ พอความตั้งใจหมด บุญก็หมดไปด้วย

ถาม : ถ้าตั้งใจใหม่ก็ได้ใหม่ ?
ตอบ : ได้ใหม่..ถ้าอยากได้บุญฟรี ต้องรีบตายก่อนที่จะเปลี่ยนใจ ไม่อย่างนั้นผลบุญนั้นยังไม่สำเร็จ..!

เถรี 16-01-2012 14:02

ถาม : สมมติว่ามีผู้หญิงกับผู้ชายหนีไปด้วยกัน โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ยอมรับ แล้วอยู่ ๆ ผู้หญิงก็ไปมีสามีใหม่โดยที่ไม่ได้เลิกกับสามีที่หนีตามกันไป แต่พ่อแม่ยอมรับผู้ชายคนใหม่ อย่างนี้ผู้หญิงจะผิดศีลข้อ ๓ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แล้วผู้ชายคนใหม่ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่ยกให้ก็ไม่ผิด แต่ต้องดูด้วยว่าผู้ชายคนแรกเขายึดถือว่าเป็นเจ้าของหรือเปล่า ? ถ้าเขาหวงขึ้นมาก็โทษถึงตาย..!

ถาม : แต่พ่อแม่เขายกให้แล้วนี่ครับ ?
ตอบ : พ่อแม่ไม่ได้ยกให้ผู้ชายคนแรก แต่คุณยอมไปกับเขา ถือว่าคุณเป็นสมบัติของผู้ชายคนแรกไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงผิด ๒ ครั้ง อย่างแรกคือพ่อแม่ไม่ได้ยกให้ อย่างที่ ๒ คือสามีคนแรกไม่ได้ยกให้

ถาม : ทำไมผู้หญิงจึงผิดสองอย่าง ก็พ่อแม่ผู้หญิงยกให้ผู้ชายคนใหม่แล้วนี่ครับ ?
ตอบ : ก็เพราะผู้ชายคนแรกเขาไม่ได้ยอม ส่วนผู้ชายคนที่สอง ไม่มีโทษเพราะพ่อแม่ยกให้แล้ว แต่ผู้หญิงผิดทั้งสองรอบ

ถาม : ถ้าเกิดพ่อแม่ผู้หญิงตายไป ผู้ชายคนแรกไปขอขมาศพ เพื่อยกโทษให้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้..การขอขมาต้องอยู่ต่อหน้าโจทก์และจำเลย เอ่ยปากแล้วยินยอมกัน ถ้าไปขอขมาศพแล้วพ้นโทษได้ ป่านนี้ก็สบายกันไปหมดแล้ว

เถรี 16-01-2012 14:11

ถาม : ทำไมเวลาสมาธิทรงตัวดี ๆ เราถึงคิดเลวได้ ?
ตอบ : เพราะเราสู้กิเลสไม่ทัน กิเลสเข้ามาเร็ว กว่าเราจะรู้ตัวกิเลสก็พาไปไกลแล้ว ถ้าหากว่าสติปัญญาไม่แหลมคม ไม่ว่องไวพอ ก็หยุดกิเลสไม่ทัน ถ้าหยุดไม่ทันก็ไม่ต้องไปหวังว่าจะฆ่ากิเลสได้

ถาม : เรามีหน้าที่หยุดกิเลสอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : ตอนแรกคือหยุดก่อน หลังจากนั้นค่อยทำลายกิเลสทีหลัง

ถาม : ผมรู้ตัวเมื่อไรก็เสร็จไปแล้วทุกที
ตอบ : เห็นหรือยังว่ากิเลสเร็วแค่ไหน ? ต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้นมา เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นภาพช้า เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วมาก ทุกอย่างจะช้าไปหมด เมื่อเป็นอย่างนั้นกิเลสที่เข้ามาก็จะช้าไปด้วย จิตถึงสกัดกั้นกิเลสได้ทันและสามารถทำลายทิ้งได้

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราเฉียดตายบ่อย ๆ ก็ดีสิครับ ?
ตอบ : ดี..!

ถาม : ถ้าอย่างนั้นผมอาราธนาท่านนั่งรถไปกับผมอีกนะครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เสี่ยงตายด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นแล้ว

ถาม : ถ้าเราไม่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราจะคิดเองเป็นไหมครับ ?
ตอบ : อีกนาน ต้องค่อย ๆ สั่งสมกำลังสติ สมาธิ ปัญญาให้เพียงพอ

มีใครเคยเจออย่างนี้บ้างไหม ? ขับรถมาด้วยความเร็ว ๑๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ ๆ รถบรรทุกสิบแปดล้อตบออกมาเต็มช่องทางของเรา ถ้าชนเข้าไปรถก็เหลือแค่เมตรเดียว..! แต่ครั้งนั้นถนนขยายใหญ่ได้ รถก็เลยผ่านไปได้ (หัวเราะ)

เถรี 16-01-2012 14:18

ถาม : .............เป็นโลภะหรือเป็นโมหะ ?
ตอบ : เป็นโลภะและเป็นโมหะทั้งคู่เลย แต่จริง ๆ แล้วโมหะมาก่อน

ถาม : เห็นสิ่งนั้นเป็นของเรา ?
ตอบ : เห็นว่าเป็นของเรา แล้วยังไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นของเรา เพียงแต่อยู่ในลักษณะที่ว่าอยู่กับร่างกายนี้อย่างมีสติ และรู้เสมอว่าเราจะต้องจากไป

ถาม : ถ้าเราเห็นว่าจิตเป็นสีขาว ๆ ขุ่น ๆ แปลว่า จิตของเรา...?
ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตตอนนั้นเรารับอารมณ์อะไร เพราะว่าจริง ๆ มีกิเลสครบทุกตัว แต่ที่เด่นออกมาตอนนั้นคืออารมณ์ที่จิตรับในตอนนั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หรือหลง ? ขอให้รู้ว่ายังมีอยู่เต็มที่ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าจิตเป็นโมหะ เราจะเห็นเป็นจิตดำหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ

ถาม : ถ้าจิตเป็นอีกแบบ เป็นแบบเม็ดเล็ก ๆ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ความเป็นทิพย์มีใช่ไหม ? ให้นึกถามตอนนั้นเลยว่านั่นคืออะไร

เถรี 16-01-2012 19:39

ถาม : การพิจารณากสิณ คือการพิจารณาโดยเห็นภาพ เห็นสี ในกรณีที่จิตของเราไปสัมผัสตัวเปลวไฟ กระแสลม ที่ใช้ความรู้สึกไปจับ จะเรียกว่าเป็นกสิณ หรือเรียกเป็นมหาสติ ?
ตอบ : อย่างหนึ่งเป็นมังสะจักษุ ตาเนื้อเห็น อีกอย่างหนึ่งเป็นปัญญาจักษุ เห็นด้วยปัญญา ถ้าจิตเราจดจ่อเพ่งอยู่ตรงนั้นก็เป็นกสิณ แต่ถ้าหากว่าเราเอาสติสมาธิทั้งหมดไว้ตรงนั้นจะเป็นมหาสติ คือถ้าเราเพ่งอยู่ที่ภาพจะเป็นกสิณ ส่วนช่วงที่เราประคับประคองอยู่จะเป็นมหาสติ แต่ถ้าทำอย่างที่ว่ามาจัดเป็น "กสิณโทษ" เพราะไปสนใจสิ่งอื่นนอกเหลือดวงกสิณ จะทำให้สำเร็จกสิณกองนั้น ๆ ยาก

ถาม : ถ้าตามหลักการกสิณ สีจะเปลี่ยน แล้วถ้าเป็นในกรณีปัญญาจักษุ แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ปัญญาจักษุสามารถเห็นได้ในทุกที่ แต่ถ้ามังสะจักษุการเห็นจะจำกัด เสียดายเราไม่มีสมันตจักษุเหมือนพระพุทธเจ้า สมันตจักษุเป็นการเห็นรอบ รู้รอบ ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ท่านได้ เราเองถ้าหากว่าใช้ปัญญาพิจารณาไม่ละเอียดจริง ก็จะมองข้ามจุดที่ละเอียดไป

พระพุทธเจ้าท่านเห็นครบหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังท่านได้เลย อย่างเวลาเราสวดทำนองสรภัญญะ พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส
เบญจพิธจักษุ คือ ดวงตาทั้ง ๕ ได้แก่ มังสจักษุ ทิพยจักษุ สมันตจักษุ ปัญญาจักษุ ธัมมจักษุ เพราะฉะนั้น..ภาษาไทยความหมายลึก พวกเราเองส่วนมากก็แปลไม่ออก

ธรรมะคือคุณากร คุณากร คุณากะโร แปลว่า ผู้กระทำซึ่งคุณ ธรรมะมีคุณโดยส่วนเดียว ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล เป็นความดีที่มั่นคง เปรียบเหมือนแสงไฟที่สว่างไสว แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ส่องเข้าไปในใจของสรรพสัตว์ที่มืดมิดให้สว่างไสวขึ้นมา

ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีองค์ ๘ คือมรรค ๔ ผล ๔ บวกนิพพานอีก ๑ ก็เป็น ๙ สมญาโลกอุดรพิสดาร เรียกว่าโลกุตรธรรมอันพิสดาร โลกอุดรคือโลกุตระ อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส เพราะฉะนั้น..ต้องไปเรียนภาษาไทยใหม่ถึงจะแปลได้ ไม่อย่างนั้นแปลไม่ออก สวดกันอยู่ประจำแต่แปลกันไม่ได้

เถรี 16-01-2012 19:45

ถาม : กรรมบถ ๑๐ มีอยู่สองข้อที่ผมไม่เข้าใจ ที่กล่าวว่าไม่มีความโลภจนเกินไป กับไม่เป็นมิจฉาทิฐิครับ ?
ตอบ : ไม่มีความโลภจนเกินไป ก็คือต้องการอะไรให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ถ้าอยู่ในลักษณะนี้จะเป็นอารมณ์พระโสดาบัน ยังต้องการอยู่ แต่ผิดศีลไม่เอา ไม่ลักขโมย ไม่หยิบฉวย ไม่ช่วงชิง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงใคร จริง ๆ แล้วในเรื่องกรรมบถ ๑๐ นี่อย่างต่ำ ๆ ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

ถาม : แม้แต่ความอยากมากจนเกินไป แต่ไม่ได้ทำผิดศีล ถือว่าผิดกรรมบถไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ผิดศีลก็ยังไม่ถือว่าอยากมากไป แต่ในขณะเดียวกันเริ่มอยากก็เริ่มทุกข์แล้ว การมีความเห็นเป็นสัมมาทิฐินั้น คือเห็นว่าทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นของดี เราควรจะปฏิบัติตามนั้น

ถาม : แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของพระโสดาบัน ที่พยายามจะเป็นพระสกิทาคามี โดยเนื้อแล้ว ท่านก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนหรือครับ ?
ตอบ : แล้วจะให้ปฏิบัติตามใครวะ ? ท่านลดในเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ลงมากกว่าพระโสดาบัน ลักษณะของการลดลงก็ไม่ต้องเสียเวลาไปพยายาม ถ้าสมาธิถึงปัญญาถึงก็จะลดลงไปเอง

เถรี 16-01-2012 19:46

ถาม : โลกุตรฌาน มีความหมายว่าอย่างไรครับ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเราก็สักแต่ว่าเรียกไป ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าทรงฌานได้ก็เป็นโลกุตระฌาน

ถาม : แสดงว่าปุถุชนทรงอารมณ์นี้ไม่ได้ ?
ตอบ : ปุถุชนเป็นโลกียฌาน ทรงฌานเท่ากัน แต่ความสะอาดจากกิเลสของจิตไม่เท่ากัน

เถรี 17-01-2012 08:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดนตรีไทยทำให้คนใจเย็น เพราะเป็นการสร้างสมาธิโดยตรง เด็กรุ่นใหม่ ๆ รับไม่ได้หรอก เพราะรู้สึกว่าช้าเกินไปสำหรับเขา

ถ้าเด็กรุ่นใหม่จะฟังดนตรีไทยเดิมต้องเพลงค้างคาวกินกล้วย หรือ ลาวแพน จังหวะจะเร็วหน่อย ถ้าเพลงเถา ๓ ชั้น ๕ ชั้น ต้องเอื้อนลูกคอ บางทีนอนหลับไป ๓ ตื่นจึงจะจบ แบบนั้นเขาไม่ฟังกันหรอก"

เถรี 17-01-2012 08:20

ถาม : เวลาภาวนาหรือทรงสมาธิ ปกติจิตผมจะติดอยู่กับร่างกายมาก พอภาวนาไปรู้สึกว่าเกิดความเครียด ก็ปล่อยสภาวะให้สบายขึ้น อารมณ์ก็จะไปอยู่ในลักษณะไม่รู้สึก แต่รู้ตัวอยู่ แต่ไม่สามารถประคองได้นาน สักพักก็จะกลับมาเกาะอยู่กับร่างกายอีก อันนี้ถูกทางหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตอนนั้นสภาพจิตไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าถูกทางอยู่

ถาม : ถ้าถูกทาง ทำอย่างไรจึงจะทรงอารมณ์นั้นได้อยู่ ?
ตอบ : พอรู้ตัวก็กลับไปทำใหม่ อยู่ในลักษณะการซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ ถ้ามีความชำนาญแล้ว เราจะสามารถกำหนดเวลาได้ ว่าต้องการเข้าสมาธิมากน้อยเท่าไร ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาอารมณ์สมาธิหล่นลงมาแล้วเราก็เลิก พอหล่นลงมาก็ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ ต้องตื๊อกันไปเรื่อย ๆ

แรก ๆ ยังต้องใช้ความพยายามอยู่ พอนานไปความเคยชินเกิดขึ้น แค่นึกก็เป็นแล้ว เขาเรียกสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าสมาธิ ถ้าเป็นวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากสมาธิ บางคนเข้าได้แล้วออกไม่ได้ ต้องดิ้นรนอึกอัก ๆ เหนื่อยแทบตาย ก็เลยเข็ด..ไม่กล้าเข้าอีก ความจริงแค่ยังขาดความชำนาญเท่านั้น ถ้าหากว่าซักซ้อมบ่อย ๆ ได้ก็จะดี

ต้องบอกว่าโดนกิเลสหลอก หลอกให้กลัว อย่างที่เคยพูดว่า ความกลัวทุกชนิดมีผลมากจากความกลัวตาย เข้าสมาธิแล้วออกไม่ได้เดี๋ยวจะตาย ในเมื่อโดนกิเลสหลอกก็ทำให้ไม่กล้าเข้าสู่สมาธิระดับนั้นอีก พอเราไม่หลบเข้าไปอยู่กับสมาธิลึก ๆ เขาก็ทำอันตรายเราได้ง่าย

ในเรื่องของการปฏิบัติ กิเลสเขาหลอกลวงเราสารพัด เขาสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขัดขวางไม่ให้เราก้าวสู่ความดี โดยเฉพาะคนที่เรารักและเกรงใจอย่างพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่

พอถึงเวลาขออนุญาตไปวัด "จะไปทำไมยังอายุน้อยอยู่ รอให้แก่ ๆ ก่อน" "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโต "โอ๊ย..หลานยังเด็กอยู่เลยเจ้าค่ะ" คราวนี้ก็รอตอนหามเข้าไป ถ้าหามเข้าไปก็พอดีเผาทุกที ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว

เถรี 17-01-2012 08:24

ถาม : บางคนเขาคุยว่านั่งสมาธิเห็นภาพต่าง ๆ ถ้าเราจับภาพพระที่เรานึกถึง พร้อมกับดวงจิตของเรานึกถึงพระด้วย อันนั้นถือว่าอนุสติหรือว่าโดนหลอกคะ ?
ตอบ : ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าความดีส่วนใดส่วนหนึ่งก็เป็นอนุสติ ต่อให้เป็นการหลอกก็ไม่เป็นไร ยิ่งหลอกให้เรายึดความดีได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แล้วค่อยไปว่ากันตอนสุดท้ายที่ต้องการหลุดพ้นค่อยไปปล่อย

ตอนนั้นถ้าปัญญาถึงก็จะปล่อยเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาปฏิบัติให้มากมาย แต่ตอนแรกต้องยึดความดีก่อน ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็จะไม่มีอะไรให้ปล่อย อย่างที่เคยเปรียบให้ฟังบ่อย ๆ ว่า เราเดินขึ้นบันไดก็ต้องเกาะราวบันไดก่อน พอไปถึงห้องก็ไม่มีใครแบกราวบันไดไปด้วย หรืออย่างในพระบาลีท่านว่า พายเรือข้ามฝั่ง พอขึ้นฝั่งก็ไม่มีใครแบกเรือไปด้วย

เถรี 17-01-2012 10:21

ถาม : คำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นอกจากความงามหรือรูป แล้ว รวมถึงจิตด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา รวมจิตด้วย

ถาม : แสดงว่าจิตก็ไม่ใช่เรา นิพพานก็ไม่ใช่เรา ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ไปทำให้ถึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงใคร ถ้ายังทำไม่ถึงก็เสียเวลาไปถกเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง เรียนอยู่ ป.๔ แล้วดันไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าด็อกเตอร์เขาเรียนอะไรกัน บ้าเสียเปล่า ๆ..!

สภาพจิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทุกวินาที ตามอารมณ์ที่มาเสวยอยู่ในขณะนั้น แล้วจะยึดเป็นตัวตนได้หรือไม่เล่า ? เพราะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถาม : อย่างนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่า จิตเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ?
ตอบ : การที่จิตไปรับอารมณ์ภายนอกเข้ามาทำให้เกิดทุกข์ พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีของให้แบกแล้วดันไปเอามาแบก

ถาม : จริง ๆ จิตก็ไม่มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเสียเวลาไปวิพากษ์ ถ้าคุณจะเอาให้มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้มีให้ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้ไม่มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้ไม่มีให้ได้ สรุปแล้วก็เป็นทิฐิมานะทั้งคู่..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว