![]() |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน มีเด็กจมน้ำตายหลังวัด อายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบเอง ที่จมน้ำตายเพราะพ่อไปช่วย น้ำตอนนั้นแรงมาก บริษัทท่องเที่ยวก็ดันปล่อยให้เขาล่องเรือแคนูกัน คราวนี้พอกระแสน้ำแรงเอาไม่อยู่ ก็พุ่งชนเสาสะพานหลังวัด เรือแคนูพลิกคว่ำ เด็กพลาดตกจากเรือ พ่อเอื้อมมือคว้า ดันไปจับถูกเสื้อชูชีพแล้วดึงหลุดมาทั้งตัว ถ้าเสื้อชูชีพไม่หลุดเด็กจะไม่เป็นอะไร
คนเราจะถึงที่อย่างไรก็ตาย อาตมาพาพระพาเณรไปช่วยกันงมเป็นวันเป็นคืน ก็หาไม่เจอ เพราะผีไม่ยอมให้ เลยไปยืมปืนชาตรีส่งให้ "น้าวัฒน์" ไป บอกให้หันไปห่าง ๆ ตรงนั้นหน่อย เดี๋ยวศพเป็นรูแล้วจะซวย พอซัดตูมลงไปผีเผ่นกระเจิง ทีนี้งมได้ ไม่อย่างนั้นงมเท่าไรก็หาศพไม่เจอ อยู่ตรงนั้นแหละ พระเณรลุยผ่านกี่รอบ ๆ ก็หาไม่เจอ เพราะผีบังเอาไว้" |
ถาม : กุมารทอง ?
ตอบ : กุมารทองมีเป็นปกติ จริง ๆ แล้วถ้าเป็นวิชาที่เขาอาราธนาบารมีพระสงเคราะห์ กุมารทองก็จะเป็นเทวดา แต่ถ้าหากเป็นวิชาทางไสยศาสตร์ก็จะได้กุมารทองที่เป็นผีไปเลย ถ้าเป็นกุมารทองที่เป็นเทวดา เวลาสนุกเขาจะมาชวนเด็ก ๆ เล่นด้วยกัน แต่อย่างหลังที่เป็นผีนี่จะกวน ไม่ได้อย่างใจก็จะอาละวาดอีกต่างหาก กุมารทองรายล่าสุดที่ทำแล้วได้ผลคือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม แต่ท่านยืนยันว่าท่านเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ก็แสดงว่าท่านขอบารมีพระให้เทวดาท่านสงเคราะห์ ถาม : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลหรือไม่ครับ ? ตอบ : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่จัดอยู่ในประเภทเครื่องราง ถาม :เทวดาที่มาประจำต้องดูแลในลักษณะไหนครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องของลาภผล สงเคราะห์ในเรื่องของการทำมาหากิน ลาภผลเงินทอง แสดงว่าอย่างน้อย ๆ บารมีเก่าของท่านต้องมาในด้านทานบารมี |
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกับหลานชายอายุ ๑๗ ติดอยู่ในบ้าน ภายในบ้านนั้นมีอาหารอยู่ในครัว พอ ๕ วันให้หลังหน่วยกู้ภัยไปเอายายและหลานออกมาได้ คุณยายอายุ ๘๐ กว่ายังเดินได้ แต่หลานอายุ ๑๗ ปี หน่วยกู้ภัยต้องหามออกมา..!
สภาพจิตใจของหลานชายที่โดนภัยพิบัติรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ส่วนคุณยายเคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแล้ว แกรู้ว่าเรื่องร้ายแบบนี้เดี๋ยวก็ผ่านไป เพราะฉะนั้น..คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกำลังใจยังดีอยู่ ถึงเวลาเดินออกมาได้เพราะไม่ได้ขาดอาหาร แต่หลานต้องให้หน่วยกู้ภัยหามออกมา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เรื่องของกำลังใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดูตัวอย่างคนงานที่ติดอยู่ในเหมืองใต้ดินที่ชิลี แต่ละคนหาเกมมาเล่น กินอาหารกันวันละ ๒ ช้อนเท่านั้น แต่เขามีความหวังว่าอย่างไรก็ต้องออกไปได้ ท้ายสุดเขาก็เจาะช่องเอาแคปซูลหย่อนลงไปรับออกมาได้ ถ้าหากว่าใจไม่สิ้นหวัง มโนสัญเจตนาหารมั่นคง โอกาสที่จะรอดก็มีสูงกว่าคนอื่นเขา" |
ถาม : เรื่องศีลข้อกาเมฯ ครับ ถ้าสามีข่มขืนภรรยาจะผิดไหมครับ?
ตอบ : ถึงขนาดข่มขืนเลยหรือ..?!? ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ถือว่าผิด แต่เป็นการทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป ถาม : แล้วถ้าตอนนั้นเขาถือศีล ๘ อยู่ ? ตอบ : ถ้าลักษณะนั้นความซวยจะมาเยือน ไม่ได้ผิดศีลข้อกาเมฯ แต่เป็นการละเมิดผู้ที่กำลังประพฤติพรหมจรรย์ จะเจอลักษณะเดียวกับนกแสกที่บินผ่านพระมหาโมคคัลลานะที่กำลังเข้าสมาบัติอยู่ นกแสกแหกปากร้องขู่ จนป่านนี้ยังอยู่ในนรกเลย..! ไม่รู้จะหวงที่อะไรขนาดนั้น พระเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ไปยุ่งอะไรด้วยสักหน่อย ถาม : เป็นเรื่องในชาติที่แล้วครับ ตอบ : เรื่องอดีตชาติอย่าเอามาปะปนกับปัจจุบัน ต่อให้คุณรู้จริงแค่ไหนก็ต้องมีสติว่านี่คือปัจจุบัน เรื่องที่เป็นอดีตผ่านไปแล้วไม่ต้องไปใส่ใจ อันไหนที่เป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ก็ทำให้เขาไป ถ้าทำทดแทนกันไม่ได้ เขาไม่อโหสิกรรม ไม่เลิกจองเวร ก็ปล่อยให้เขาจองไป เราอย่าไปจองด้วยก็แล้วกัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมพอน้ำท่วมก็เครียด ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติกรรมฐาน พอเรายิ่งเครียดกำลังใจยิ่งตกง่าย ก็แปลว่าพอกำลังใจตก คราวนี้จะตีคืนได้ยาก
สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ในส่วนที่ถือว่าน่ากลัวก็คือการที่กำลังใจตก กำลังใจตกสำคัญที่สุดก็เพราะเหตุที่สมาธิตก เพราะฉะนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องประคองสมาธิให้นานที่สุด ถ้าไม่ได้คล่องตัวถึงขนาดจะเข้าฌานเมื่อไรก็ได้ โอกาสที่จะกำลังใจตกมีสูงมากเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่บางทีคนเราพอฟังครูบาอาจารย์พูดเข้า ก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว เหมือนกับผ่านหูไปเฉย ๆ เพราะกำลังใจของเราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้น เมื่อผ่านหูไปเฉย ๆ ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาก็ทำให้กำลังใจตกอีก จนกว่าจะตกแล้วตกเล่า ตกจนเข็ด คราวนี้ก็เริ่มจะคิดหาช่องทางว่าจะทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจไม่ให้ตก หลังจากนั้น ถึงจะหาวิธีประคับประคองอย่างไรจึงจะรักษากำลังใจเอาไว้ได้ แรก ๆ ก็ได้เดี๋ยวเดียวแล้วก็ตกอีก แต่พอหมั่นทำบ่อย ๆ เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ก็จะตกช้าลงไปเรื่อย ๆ ระยะเวลาก็ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนท้ายสุดก็อยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี แต่พอเผลอก็ตกอีก ถ้าหากว่าถึงเวลาอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปีแสดงว่าตกมาจนเข็ดแล้ว รู้วิธีรักษาอารมณ์แล้ว แต่ถ้าไปเผลอขาดสติเข้าก็ทำให้กำลังใจตกลงได้อีก ดังนั้น จงอย่าเชื่อว่าตัวเองดีแล้วเป็นอันขาด" |
2 Attachment(s)
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเมืองไทยมีจระเข้มากเป็นปกติ ช่วงประมาณรัชกาลที่ ๗-๘ ทางการปล่อยให้คนญวนมาล่าจระเข้ พอสมัยต้นรัชกาลที่ ๙ คนญวนก็ยังล่าจระเข้อยู่ อย่างจระเข้ที่บึงบอระเพ็ด โดนคนญวนกวาดจนเกลี้ยงเลย
เขาบอกว่าคนญวนไม่กลัวจระเข้ ถ้าพายเรือไปเห็นจระเข้มาก็พุ่งเข้าล็อกเลย จระเข้เป็นสัตว์ที่ถอดใจง่ายที่สุด สัตว์ทุกชนิดพอเจอสัตว์อื่นที่แข็งแรงกว่ามักจะยอมแพ้ อย่างที่เราเห็นว่าตัวเงินตัวทอง ๒ ตัวกอดกันอยู่ จริง ๆ นั่นเขากำลังสู้กัน ผลักกันไปผลักกันมา ถ้าตัวไหนแข็งแรงกว่า อีกตัวจะยอมแพ้แล้วหนีไปให้พ้นเขต ไม่ใช่กอดกันเพราะดีใจได้เจอเพื่อน ถ้าคนญวนจับจระเข้ เขาจะกระโดดไปเกาะหลัง เสร็จแล้วเอาเท้ารัดช่วงขาหลัง เอาแขนรัดขาหน้า แล้วกลั้นหายใจ จระเข้ก็พลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย พอพลิกไป ๗-๘ รอบ เห็นว่าสะบัดไม่หลุด ก็จะยอมแพ้ ลอยนิ่ง ๆ ให้จับ แล้วเวลาจระเข้งับปากลง แรงงับจะมาก แต่จะไม่มีแรงอ้าปากขึ้น เพราะฉะนั้น..แค่เอาเทปมาพันปากไว้ก็ได้แล้ว จระเข้จะอ้าปากไม่ขึ้น เพราะมีแต่กำลังตอนงับลง แต่ไม่มีกำลังตอนอ้าปากขึ้น ถ้าในน้ำลึกเราไม่ต้องกลัวจระเข้ แต่ถ้าครึ่งบกครึ่งน้ำจะน่ากลัวมาก เพราะจระเข้จะพลิกตัวกลับตัวได้เร็วมาก แต่ถ้าอยู่ในน้ำลึกจระเข้จะกลับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีที่ให้เท้าหยั่ง จะต้องใช้หางว่ายแล้วตะแคงตัวเพื่ออ้าปากกัดเรา แบบนี้ไม่ทันกิน คนญวนรู้ก็เลยไม่กลัว พอล็อกจระเข้ได้ เห็นว่าสลัดไม่หลุดจระเข้ก็ยอมแพ้ โดนคนญวนถลกหนังไปขายหมด" |
"จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ "เจ้าไมค์" อยู่ที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ แต่ถ้าเจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงามที่ปราณบุรียังอยู่ น่าจะเป็นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นจระเข้ที่อยู่มานานจนโคตรฉลาดเลย เวลาเขาเดินอยู่กลางป่าที่เป็นทุ่ง ลักษณะโหย่ง ๆ เหมือนรถจี๊ปกำลังเคลื่อนที่ แต่พอเราไล่ตามไป พรวดเดียวเขาก็ลงน้ำก็หายจ้อยไปแล้ว ชาวบ้านเรียกว่า "ไอ้จ้าว" หรือไม่ก็ "เจ้าพ่อ" (เจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงาม) ตัวใหญ่ขนาดที่คนยืนคนละฟากของรอย ส่งปืนยาวให้กันยังเอื้อมไม่ถึง ข่าวนี้หลายสิบปีแล้ว ระยะหลังคนมากขึ้น เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีก แต่ยังไม่ได้ข่าวว่าตาย
ส่วนจระเข้ยักษ์ที่กำแพงเพชรนั่น ครูน้อย อินทนนท์ยิงตาย โดนยิงด้วยไรเฟิลแฝด อัดเข้าไปสองนัด เพราะลากวัวควายชาวบ้านไปกินหลายตัว ครูน้อย อินทนนท์ มีดวงในการล่าสัตว์มาก ครูน้อยยิงควายป่าได้ทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านไปนิดเดียว พรานนำทางยืนยันว่าเป็นควายป่า ครูน้อยยังลังเลว่าเป็นควายชาวบ้านหรือเปล่า เพราะว่าเดินพ้นหมู่บ้านไปนิดเดียวก็เจอแล้ว แล้วก็ซัดตูมเข้าให้ หงายผลึ่งตายสนิท ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย จระเข้ตัวนั้นก็เหมือนกัน คนอื่นไปซุ่มยิงก็เหมือนกับมีผีสิงมาบอกจระเข้ให้หลบได้ทุกที ครูน้อยไปนั่งซุ่มอยู่พักเดียวก็เสือกหัวพรวดขึ้นมานอนอาบแดด โดนเข้าไปสองนัดพลิกหงายท้อง ต้องบอกว่าคนมีดวงในการล่า ก็คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน แต่จระเข้ตัวนั้นใหญ่ขนาดเรือจ้าง เป็นพวกเราต่อให้อยู่ไกล ๆ ก็น่าจะมือสั่นเหมือนกัน" |
"เคยได้ยินเสียงจระเข้ร้องไหม ? คล้าย ๆ กับเสียงวัว เวลาเราเข้าป่า เสียงสัตว์บางชนิดถ้าเราไม่เคยได้ยินก็จะคิดว่าเป็นผี เช่น เสียงบ่างเวลาร้องอย่างกับเสียงผู้หญิงโหยหวนกลางป่า อย่างแมลงบางประเภทเสียงดังประหลาด อยู่ ๆ ก็แซ่สนั่นมารอบข้าง เราไม่เห็นตัวก็นึกว่าผี
คนเดินป่าต้องมีใจคอที่เข้มแข็ง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยึด จะได้ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นอาถรรพ์ป่าจะครอบเอาได้ง่าย ถ้าอาถรรพ์ป่าครอบได้จะทำให้ขาดสติ บางทีก็จะหลงป่าจนตายได้ จึงต้องใจคอเข้มแข็ง มีความมั่นใจ บางรายก็มีคาถาดี มีอาวุธดี บางรายก็พกมีดหมอครูบาอาจารย์เข้าไป ตอนนี้แม่ชีกุ๋ยมีพระขรรค์โสฬสเป็นที่พึ่ง ความที่คิดว่าวัตรปฏิบัติของตัวเองดีกว่าคนอื่น ทำให้ผีชอบมาลอง ต่อให้ไม่ได้คิดจะอวดใคร แต่พอเห็นว่าเราทำได้ดี ภูมิใจตัวเอง ผีเขาก็เอาแล้ว อยากดูว่าจะเก่งสักแค่ไหนเชียว" |
ถาม : ถ้าพระสงฆ์มี ๔ รูปในวัด จะรับกฐินได้ไหมครับ ? ถ้าไปนิมนต์พระอื่นมาเพิ่ม จะมีผลกฐินครบถ้วนไหมครับ ?
ตอบ : ได้..อานิสงส์ครบถ้วนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าอนุญาตว่าให้นิมนต์สงฆ์มาเป็นคณปูรกะ ก็คือให้เต็มคณะสงฆ์ได้ แต่ระบุไว้ชัดเลยว่าพระที่นิมนต์มาจะไม่มีส่วนในกองกฐิน ก็แปลว่ามาด้วยใจจริง ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยเลย ถ้าเป็นอาตมาจะควักกระเป๋าเอาเงินส่วนตัวช่วยค่ารถท่านไป เพราะท่านอุตส่าห์มาช่วยทั้งที ภาษาบาลีใช้คำว่าคณปูรกะ คือมาให้เต็มคณะสงฆ์คือมา ๔ รูป รวมเจ้าของวัดแล้วเป็น ๕ รูปก็รับกฐินได้ |
พระอาจารย์กล่าวถึงการแจกของแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า "ความช่วยเหลือไปถึงเร็วเท่าไรก็บรรเทาความเดือดร้อนได้เร็วเท่านั้น ส่งถึงมือเขาเร็วเท่าไรเขาก็เดือดร้อนน้อยลงเท่านั้น บางคนอดข้าวตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ถ้าเราไปถึงค่ำเขาก็เป็นลมแล้ว ดังนั้นควรที่จะออกไปช่วยเขาให้เช้าที่สุดเท่าที่เราจะทำได้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอน้ำท่วมแล้วมีสิ่งที่ดีมากอยู่หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะนักปฏิบัติจะเห็นชัดเลยว่ามีส่วนเกินในชีวิตเยอะมาก ที่เขาบอกว่าให้เก็บของมีค่าขึ้นที่สูง มาดูกันจริง ๆ จะเห็นของที่เราเก็บเอาไว้เสียเต็มบ้านเต็มช่องนั้น มีแต่ส่วนเกินแทบทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..น้ำท่วมครั้งนี้ก็ทำให้คนกรุงเทพฯ หรือว่าญาติโยมที่อาศัยในกรุงเทพฯ ได้พิจารณาดูว่า ตัวเองมีอะไรเป็นส่วนเกินบ้าง
มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่แถวรังสิต มีบ้านอยู่ ๓ หลัง เขาบอกว่าต้องขายทิ้งไป ๒ หลัง เขารู้แล้วว่าพอน้ำท่วมแล้วเป็นภาระ ดูแลไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะกั้นขนาดไหนสุดท้ายก็ท่วม ข้าวของอะไรที่เห็นว่าเกะกะบ้าน หลังน้ำท่วมก็ถือโอกาสชำระสะสาง ถ้ารู้สึกว่าว่ามีมากเกินไปก็ใช้วิธีเรียกรถขายของเก่ามาจัดการให้ พอเราดูไป ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วของที่จำเป็นต่อชีวิตของเราตอนนี้คืออาหาร ที่อยู่อาศัยมีกันทุกคน ไม่ว่าจะเช่าหรือเป็นของตัว เครื่องนุ่งห่มบางคนใส่เป็นปีก็ยังไม่รู้ว่าจะใส่ครบทุกชุดหรือเปล่า ? ยารักษาโรคซื้อครั้งหนึ่งเก็บได้ ๔ ปี เพราะอายุยาเป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ที่ขาดแคลนอยู่จริง ๆ คืออาหาร ก็แปลว่าของที่บ้านเราก็เป็นส่วนเกินกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณผู้ชายบางคนก็มีภรรยาเป็นส่วนเกิน ก็ถือโอกาสลอยน้ำไปซะ ที่รักจ๋า..รูปร่างหน้าตาเธอก็ยังดี ปีนี้เป็นนางนพมาศหน่อยนะ ว่าแล้วก็ใส่กระทงลอยไปเลย..!" |
"พอถึงเวลาแล้วเราก็ไม่อาจจะดูแลทุกอย่างได้ทั่วถึง ของบางอย่างเก็บแล้วเก็บอีก เก็บจนกระทั่งฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วยังไม่เอามาดูเลยว่านั่นคืออะไร บางบ้านออกไปเดินซื้อของได้ทุกวัน ซื้อมาแล้วก็วางกองไว้ ขอให้ได้ซื้อก็พอแต่ไม่ได้ใช้ เราก็ถือโอกาสตอนที่คนอื่นเดือดร้อน มีอะไรพอที่ช่วยเหลือคนอื่นเขาได้ก็สละออกเสีย ตัวจะได้เบา
สมัยอาตมาเป็นฆราวาส มีแค่เป้ใบเดียวเท่านั้น มีเสื้อผ้าอยู่ข้างใน ๒ ชุด ติดตัวอีก ๑ ชุด ไปได้ทั่วโลกเลย ของใช้จำเป็นนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟันไม่ต้องกังวล ไปที่ไหนก็มีขาย แต่สมัยนั้นจะเก็บเงินสำรองไว้ ๑,๐๐๐ บาท ติดตัวไว้ เป็นธนบัตร ๕๐๐ บาทสองใบพับให้เล็ก ใส่ไว้ในกรอบพระสเตนเลส หลวงพ่ออยู่ข้างหน้า เงินอยู่ข้างหลัง คนไม่เห็นหรอก โจรปล้นอย่างไรก็ไม่เอาหรอกสร้อยสแตนเลส ถ้าเอาออกมาใช้ก็ต้องรีบใส่คืนเพราะเป็นเงินสำรอง เผื่อไปตกรถอยู่สุดเหนือสุดใต้อย่างไรก็กลับบ้านได้" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เวลาพระทำผิด โดยเฉพาะพระที่มาจากที่อื่นแล้วมาทำผิดในพื้นที่ อาตมาจับได้จะเปิดทางให้เขากว้างมากเลย คือ ถามว่าจะสึกหรือจะติดคุก ? ถ้าหากคุณจะติดคุกอาตมาจะแจ้งความ แต่ถ้าคุณจะสึกจะทำพิธีสึกให้ ก็เห็นว่าเลือกสึกกันทั้งนั้น"
ถาม : มีพระทำความผิดด้วยหรือคะ ? ตอบ : อย่างเช่นขโมยของ เอาไปทั้งกระเป๋าเลย เป็นพระอาคันตุกะมาจากที่อื่น มาขออาศัยอยู่กับเราแล้วมาขโมยของ พระที่อยู่วัดเราจะไม่ทำแบบนี้ อย่างสามเณรทีทีที่วัดท่ามะขาม รายนี้แสบมาก..ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า พอพระจับได้ซึ่ง ๆ หน้า สามเณรก็บอกว่าไม่ได้เอา เขาก็เลยทำอะไรกันไม่ได้ เพราะเด็กปากแข็ง แล้วเจ้าอาวาสก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะแม่เขาเป็นขาใหญ่สนับสนุนวัดอยู่ ท่านก็เลยเกรงใจ แต่อาตมาไม่เกรงใจ ทุกคนจับทีทีมา ทีทีไม่รับสักคน วันนั้นพระครูอ้ำบอกว่า "อาจารย์เล็ก..ช่วยผมหน่อยนะ ถ้าวันนี้จับทีทีสึกไม่ได้ อ้ำจะสึกเอง..!" แสดงว่าอัดอั้นตันใจเต็มทีแล้ว อาตมาก็ถามว่าทำไม ? "เณรทีทีขโมยเงิน ผมเห็นชัด ๆ เลย ขนาดว่ากำเงินไว้ในมือ ยังบอกว่าไม่ได้เอาอีก" อาตมาเลยบอกว่า "ไปเอาตัวมา เดี๋ยวผมจัดการให้" ทีทีไปงัดตู้บริจาค แล้วเป็นคนที่นิสัยดีมาก งัดตู้บริจาคแล้วเอาเงินไปซื้อขนมแจกเพื่อน..! |
พอมาถึงเราก็ถาม "ทีที..งัดมากี่หนแล้ว ?" ทีทีก็มองหน้า "๒ หนครับ" แค่นั้นพระครูอ้ำก็ยิ้มออก "ผมถามให้ตายมันไม่เคยยอมรับเลย แต่พออาจารย์ถามทำไมมันรับ ?" อาตมาบอกว่า "ก็คุณถามว่างัดหรือเปล่า ? มันก็บอกว่าเปล่าสิ ผมถามว่างัดมากี่หนแล้ว มันก็ต้องบอกให้น้อยที่สุด แต่อย่างไรมันก็งัด" (หัวเราะ) คุณถามไม่เป็นนี่หว่า...
ทีทีเป็นอย่างนั้นไม่ต้องโทษใคร อาตมาโทษแม่เขา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาขาดความรักในบ้าน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะมีหลายครั้งที่เขาทำผิดแล้วทางวัดโทรศัพท์ไปบอกแม่ พอแม่เขามาถึง ทั้ง ๆ ที่ลูกเป็นเณร แม่เขาด่าสาดเสียเทเสียอยู่ตรงนั้น ไม่มีสักนิดหนึ่งที่จะถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ลูกมีเหตุผลอะไร ด่าอย่างเดียวจริง ๆ แสดงว่าอยู่ที่บ้านคงโดนหนักกว่านี้อีก นี่ขนาดว่าเป็นเณรยังโดนขนาดนี้ ถ้าเราเป็นลูก ขาดความรักความอบอุ่นในบ้าน ก็ต้องทำแบบทีที เขาขโมยเงินไปซื้อขนมมาแจกเพื่อน เพื่อนก็เห็นเขาเป็นวีรบุรุษ ในเมื่ออยู่ในบ้านแม่ไม่สนใจตัวเอง เอาแต่ทำงานแล้วด่าลูกอย่างเดียว ไม่เคยสอนให้ลูกทำอย่างไรถึงจะถูก ลูกออกนอกบ้านก็ทำอย่างนี้ ดังนั้น..ใครเลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกเป็นโจร ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญนะจ๊ะ |
วันก่อนอบรมเด็ก ๆ เรื่องยาเสพติด บรรดาพี่ ๆ ตชด. เขามาช่วยอบรม ท้ายสุดอาตมาเน้นย้ำตรงที่ว่า ความรักในครอบครัวเป็นรั้วป้องกันยาเสพติดที่ดีที่สุด ที่ขำที่สุดก็คือ เดินบิณฑบาตผ่านป้ายโฆษณาของทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิที่ว่า "นึกถึงครอบครัวสักนิด ถ้าคิดจะเสพยา"
อาตมาก็ว่า พอนึกถึงเด็กเสพเลยแหละ เพราะเครียดมาจากทางบ้าน ถ้าเป็นอาตมาป้ายอย่างนี้จะไม่มีทางโผล่มาได้เลย ก็เพราะนึกถึงครอบครัวเด็กถึงได้ติดยา..! |
ถาม : เวลานั่งสมาธินึกถึงลูกแก้วนี่ลืมตาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้านั่งลืมตากำหนดได้จะดีกว่า ที่เขาให้หลับตาเพราะต้องการตัดการมองเห็นภาพที่จะทำให้เสียสมาธิ แต่ถ้าสมาธิเราจดจ่ออยู่ไม่ไปไหน ลืมตาแล้วเห็นได้จะดีกว่า ถาม : แล้วต้องเน้นจับลมหายใจไหมครับ หรือว่าเน้นจับลูกแก้ว ? ตอบ : จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือจะทำสองอย่างควบกันก็ได้แล้วแต่เราถนัด ถ้าต้องการความมั่นคงก็เน้นที่ลมหายใจ ถาม : ถ้าเราจับให้เป็น ๔ ลูก..? ตอบ : อาตมาเคยทำมากกว่านั้นอีก อยู่ที่เทคนิคของเรา ทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ใจเราอยู่ตรงนั้นไม่ไปที่อื่น |
ถาม : ทำไมถึงต้องมีเศษกรรม เพราะถ้าไปใช้กรรมในนรกก็น่าจะทบต้นทบดอกอยู่แล้ว ตอนกลับมาเกิดทำไมต้องมีเศษกรรมตามมาอีกคะ ?
ตอบ : ทางโลกเขายังคิดดอกเบี้ย คิดเงินต้นเลย เราจะจ่ายเงินต้นอย่างเดียว ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรืออย่างไร ? ถาม : ตอนกลับมาเกิดเศษกรรมคือดอกเบี้ยหรือคะ ? ตอบ : จ้ะ..ในนรกเขาลงโทษเป็นกรรมส่วนใหญ่ ๆ ส่วนกรรมเล็กน้อยที่นรกเขาไม่ได้ลงโทษเพราะเขาเว้นให้มาเจอข้างบนจ้ะ |
ถาม : ถ้าพูดถึงยันต์ครูในสายของหลวงพ่อฤๅษี ยันต์อันไหนเป็นของท่านจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : ยันต์พุทธนิมิตที่อยู่หลังพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ |
ถาม : เขาบอกบุญกฐินแล้วใส่ซองมา แต่เขาไม่มาเก็บซองเพราะติดน้ำท่วมอยู่ค่ะ
ตอบ : ถึงเวลาก็ส่งให้เขาไป อาตมาเคยได้ซองกฐินมาหลายวัด เขาไม่รู้จะส่งไปให้ใครก็มายัดไว้ตรงนี้ อาตมาก็ต้องส่งไปให้วัดนั้นเพราะมีที่อยู่หน้าซอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแปรเจตนาการทำบุญ โยมเขาพ้นภาระแต่ความซวยมาตกอยู่ที่อาตมา ต้องจ่ายค่าซองค่าแสตมป์เพื่อส่งให้เขาไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การธุดงค์มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือเดินไปภาวนาไป อย่างที่สองคือไปหาที่เหมาะ ๆ แล้วก็หยุดภาวนาที่นั่นจนพอใจ จากนั้นก็ไปหาที่ใหม่
อาตมาถนัดอย่างแรก คือเดินไปภาวนาไป แต่คราวนี้คนเดินภาวนาจะไม่รู้สึกเหนื่อย ส่วนคนที่ตามไปด้วยไม่ภาวนาก็เลยเหนื่อยลิ้นห้อย ขนาดอาจารย์โมเช่ที่ว่าเซียนเรื่องเดินป่าชนิดที่ว่าอาตมาต้องวิ่งไล่ตาม พอไปด้วยกัน ๔-๕ วัน ท่านชักจะเริ่มเข็ด แรก ๆ อาตมาต้องวิ่งไล่ตามท่าน ไป ๆ มา ๆ ท่านต้องวิ่งไล่ตามอาตมา เพราะอาตมาเดินไปได้เรื่อย ๆ เท่าเดิม ขณะที่ท่านล้าแล้วจึงเดินช้าลง" ถาม : เคยเจอสัตว์อะไรที่น่ากลัวสุด ๆ ครับ ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว อย่างเสือก็แค่มาโฮก ๆ ตะกุยต้นไม้ทางหัวนอน ตอนนั้นเป็นหน้าแล้ง มีน้ำเหลืออยู่แอ่งเดียวขนาดเมตรกว่า ๆ เอง อาตมากางกลดนอนใกล้ ๆ สัตว์ต่าง ๆ ก็วนไปวนมา จะลงกินน้ำก็ไม่กล้า ตอนแรกเสือก็มาวน ๆ อยู่ด้วย ท้ายสุดหิวน้ำงุ่นง่านหนักเข้าก็แผดเสียงสนั่นป่าเลย แผดดังขนาดไหนอาตมาก็ไม่ไป ในที่สุดเสือทนความหน้าด้านของอาตมาไม่ไหวก็เดินหายลับไป นิสัยของเสือ ถ้ากระโดดตะครุบไม่ได้ ก็จะไม่ทำอันตราย เพราะฉะนั้น..ถ้านอนที่ต่ำ ๆ มีอะไรคลุมเสือจะไม่เข้าไปทำ อย่างเวลาอยู่ในกลดเสือจะรู้สึกว่ากระโดดตะครุบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่กลดกั้นอะไรเสือไม่ได้เลย แต่ผิดวิสัยเสือก็ไม่ทำ ได้แต่เดินวนไปรอบ ๆ อาตมานึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า เข้าป่าอย่าปักกลดขวางทางด่าน ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง อาตมาเล่นขวางกลางทางเลย เพราะเป็นที่เดียวที่โล่ง ทางที่สัตว์เดินบ่อย ๆ เตียนโล่ง อาตมาก็แขวนกลดกลางทางเลย นอนสบายดี |
นอกจากนี้ก็แค่เข้าไปนอนในบ้านช้าง ช้างสร้างที่นอนได้สุดยอดเลย เขาจะดึงเอาหญ้ามาทำที่นอนกลม ๆ กว้างประมาณ ๒ เมตร หนาสักศอกกว่า ๆ ตัวละอัน ๆ เต็มไปหมด อาตมาเห็นก็ขอยืมมานอนก่อน เคยบอกกับพระที่ไปด้วยว่า ดูภูมิประเทศรอบ ๆ ไว้ด้วย ถ้าเห็นว่าต้นไม้ต้นไหนพอขึ้นได้ ถ้าช้างมาคุณหนีขึ้นไปข้างบน แต่ให้เอาน้ำขึ้นไปด้วย เพราะถ้าช้างล้อมอยู่นานเดี๋ยวจะหิวน้ำแย่ พระท่านถามว่า ในเมื่อเรามอบกายถวายชีวิตแล้ว ทำไมต้องหนีอีก ? พวกเจ้าปัญหา..! อาตมาจึงว่า คุณมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย แต่ไปกับอาจารย์แล้วโดนช้างเหยียบแบนแต๋ พ่อแม่คุณจะมาเฉ่งผมนะสิ..!
ถาม : ที่นอนช้างเหมือนฟูกเลยไหมครับ ? ตอบ : ดีกว่าฟูกหน่อย แต่ต้องระวัง..บางทีก็มีเห็บป่าอาศัยอยู่ โดนกัดเมื่อไรไข้จับเมื่อนั้น ให้เอาผ้ากันฝนปูกันไว้ก่อน พอตอนกลางคืนช้างกลับมาเข้าบ้านไม่ได้ ก็หากินอยู่ในป่าข้าง ๆ หักต้นไม้โผงผางไปหมด อาตมาก็นอนจนกระทั่งสว่าง ฉันเช้าเสร็จแล้วถึงได้ไป เดินไปจนกระทั่งใกล้ ๆ เพล ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่เท้ากวดตามมา จึงหยุดรอ ปรากฏว่าเป็นพิทักษ์ป่า ๕ คน ถือลูกซองห้านัด ๓ คน ถือเอชเค ๒ คน มาถึงก็ถามว่า "อาจารย์หรือเปล่าครับ ที่เข้าไปตรงบ้านช้างเมื่อคืน ?" อีกคนหันมาพูดว่า "ผมบอกหัวหน้าแล้ว อาหารกระป๋องมีห่วงแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกล่าสัตว์ก็ต้องเป็นพระ" ก็เป็นพระจริง ๆ ด้วย เพราะฝาเครื่องกระป๋องของพวกเราเป็นห่วง เขาบอกว่า "พระอาจารย์นอนกันเข้าไปได้อย่างไร พวกผมมีอาวุธครบมือยังกลัวเลย ?" ก็เอ็งเสือกไปนึกถึงช้างเองนี่หว่า..! สำหรับอาตมาถ้าช้างอยู่ก็แปลว่าเสือไม่มี ไม่ต้องกลัว เพราะสัตว์ทุกชนิดจะตื่นคนอยู่แล้ว ได้กลิ่นก็ไม่เข้ามาหรอก เพราะเราก่อไฟไว้ เขาได้กลิ่นแต่ไกล คงจะหงุดหงิดไปอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน |
ถาม : ถ้าเจอกรีนแมมบ้าเล่าครับ ?
ตอบ : ปกติถ้าเจองู..ดูท่างูจะโดนอาตมากิน เสียดายที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระฉันเนื้องู ตอนเรียนวิชาทหารเขาสอนให้กินงูมาตลอด มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ฝึกการยังชีพในป่า ครูฝึกเขาเห็นหางงูห้อยจากโพรงลงมา เป็นงูเขียวมีพิษอ่อน กัดแล้วไม่ตายทันที รักษาทันแน่นอน แต่ถ้าโดนก็สาหัสเหมือนกัน เขาก็ให้ลูกทีมปีนขึ้นไป ปรากฏว่าล้วงงูออกมาได้ ๑๗ ตัว..! ทั้งที่เห็นหางเดียวห้อยลงมา สรุปได้ความว่า งูตัวเมียกำลังจะผสมพันธุ์ งูตัวผู้แห่มา ๑๖ ตัว อาหารมื้อนั้นจึงเป็นมื้ออย่างหรูเลย..! สัตว์ทุกชนิดเขากลัวคนเป็นปกติ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก |
พวกสัตว์ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ฆ่ากันถึงตาย น้อยรายที่ประเภทแย่งคู่ หรือแย่งแหล่งอาหารกันจนกระทั่งถึงตาย นอกนั้นตัวไหนที่บาดเจ็บ รู้ว่าสู้ไม่ได้ หรือว่ากำลังสู้เขาไม่ได้ก็จะหนีไป
ถาม : แบบนี้ถ้าเราเจอสัตว์ดุร้าย แล้วเราไม่สู้ เราก็รอดสิครับ ตอบ : ต้องรีบหนีไปให้พ้น หรือไม่ต้องทำท่ายอมแพ้ของสัตว์ให้ได้ แบบท่าที่นอนหงาย กางสี่ตีนแล้วควรจะครางหงิง ๆ ด้วยนะ..! |
ถาม : เจ้าคุณนี่เริ่มจากที่ตำแหน่งพระอะไรครับ ?
ตอบ : เริ่มที่พระ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเทียบเท่าพระยา ถ้าเป็นพระเฉย ๆ ยศทางโลกจะเรียกว่าคุณพระ หลวงก็คือคุณหลวง ขุนก็เรียกว่าท่านขุน หมื่น พัน ก็เรียกหัวหมื่น หัวพัน ถ้าเจ้าคุณนี่ต้องเป็นพระยาขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นเจ้าพระยาหรือสมเด็จเจ้าพระยาเขาเรียกเจ้าคุณใหญ่ เพราะใหญ่กว่าเจ้าคุณ (หัวเราะ) ถาม : ทางพระใครเป็นคนตั้งตำแหน่งพวกนี้ครับ ? ตอบ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ ตั้งมาแล้วถ้ามีจิตสำนึกเห็นสัญญาบัตรแล้วจะซึ้ง ขอพระคุณเจ้าโปรดรับภาระธุระในพระศาสนาแทนโยมด้วย ยกงานถวายให้เลย..! สมัยก่อนเขาได้กันสมภาคภูมิจริง ๆ พระครูนี่ดังกว่าเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ สมัยนี้อีก เพราะท่านได้กันมาเพราะฝีมือจริง ๆ อย่างหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง เป็นพระครูสังฆปาโมกข์ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ระดับเจ้าคณะภาค หลวงปู่สายเป็นพระครูปี ๒๕๑๑ ตำแหน่งพระครูสมัยนั้นสูงส่งมาก เทียบกับสมัยนี้..ขนาดเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ เขาก็ยังไม่ค่อยเห็นหัวเลย สมัยนี้พระครูประทวนหายไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่ผลงานที่ทำมากกว่าระดับประทวน ก็เลยไปเริ่มต้นที่สัญญาบัตร ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ถ้าอยู่ ๆ ใครได้เป็นแค่พระครูประทวนคงโดนหัวเราะตาย ว่านี่พ่อคุณทำงานน้อยขนาดนี้เลยหรือ ? |
เรื่องของตำแหน่งอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้า แต่ถ้าพระราชทานมาก็รับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่จะหาว่าหยิ่ง รับเอาไว้ก่อน ติดไว้ดูเล่นสักปีสองปี แล้วค่อยลาออกก็ไม่น่าเกลียด
ถาม : ลาออกได้ด้วยหรือครับ ? ตอบ : ขอพระบรมราชานุญาตลาตายยังได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก ถึงเวลาขอพระบรมราชานุญาตลาตาย คือพอไปขึ้นทำเนียบแล้วต้องแจ้งให้ในหลวงรู้ก่อน ในหลวงรัชกาลที่ ๖ เห็นเจ้าคุณอะไรก็ไม่รู้..จำไม่ได้..ยืนหน้าเศร้าอยู่ ก็ถามว่าเอ๊ะ..ทำไมวันนี้มาเร็ว ? ท่านถวายบังคมเสร็จ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านก็เสด็จเลยไป ปรากฏว่าเข้าไปข้างในเห็นพานขอกราบบังคมทูลลาตาย แสดงว่าที่เห็นนั้นไม่ใช่คน..! เป็นพระครูสัญญาบัตรขึ้นไปก็เตรียมทูลลาตายได้..! |
ถาม : แล้วอย่างที่ถอดยศหลวงปู่โต วัดระฆัง ?
ตอบ : ตอนนั้นท่านเป็นท่านเจ้าคุณธรรมกิตติ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์ หลวงปู่สมเด็จท่านก็อาวุโสมากแล้ว ปรากฏว่าคนที่อาวุโสน้อยกว่าดันไปนั่งอาสนะสูงสุด ท่านเองมองซ้ายมองขวาเห็นมีขอบหน้าต่างอยู่ ท่านก็เลยนั่งขอบหน้าต่าง ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ก็พิโรธว่าไม่สำรวม สั่งถอดยศ ท่านก็ส่งพัดยศคืนให้ พอเดินออกมาจากวังไปหน่อย ในหลวงท่านคงจะหายพิโรธแล้ว จึงให้สังฆการีถือพัดยศวิ่งไล่ตามมาคืนให้ หลวงปู่โตท่านบอกว่า ของที่ในหลวงต้องพระราชทานแล้วพ่อคุณเอามาให้ฉันเฉย ๆ ได้อย่างไรละจ๊ะ ? ต้องให้ในหลวงท่านพระราชทานให้สิจ๊ะ สรุปว่าต้องจัดงานพระราชทานให้ท่านใหม่ เสียผ้าไตรไปอีกหนึ่งไตร ของพระราชทาน สมัยก่อนถือว่าเป็นเกียรติยศ เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ หลวงปู่มหาอำพันได้รับพระราชทานผ้าไตรสำรับหนึ่ง เมื่อสมัยเป็นเจ้าคุณ หลวงปู่ใส่กล่องบูชาไว้เลย ไม่กล้าใช้ อาตมาก็มีผ้าไตรของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อยู่อย่างละไตร เก็บไว้เฉย ๆ ไม่กล้าใช้เหมือนกัน กลัวขี้กลากขึ้น..! ตอนนี้มีปัญหาอยู่ว่า เขาจะมอบพัดพระครูให้ที่วัดไหน เพราะน้ำท่วม ปกติจะวน ๆ อยู่แถววัดไร่ขิง วัดพนัญเชิง วัดโสธร แล้วก็เคยไปถึงวัดพระพุทธบาท ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าเมืองกาญจน์ฯ เขาจะเสนอวัดพระแท่นดงรัง แต่อาตมาว่าวัดพระแท่นดงรังยังเล็กไป ไม่พอรองรับจำนวนผู้คน ถ้าใครเคยเห็นงานรับพัดยศแล้วจะสยอง อาตมาเห็นแล้วกลัวเลย บางวัดเขาจัดขบวนแห่เป็นโต๊ะหมู่สูงลิบอยู่บนท้ายรถกระบะ แล้วให้หลวงพ่อถือพัดนั่งไป ถ้าเกิดหน้ามืดเป็นลม ตกลงมาคงจะแย่แน่ เขาทำกันอย่างนั้น แล้วคนที่เขาแห่ไปแสดงความยินดีกับครูบาอาจารย์ไม่ใช่แค่คนสองคน พระที่เข้ารับอย่างรุ่นอาตมา ๒๐๐ กว่ารูป ถ้า ๒๐๐ กว่ารูปนี่โยมไปสักสิบ ก็ปาไป ๒,๐๐๐ กว่าคนแล้ว วัดเล็ก ๆ นี่รับไม่ไหวแน่ เคยเห็นพระครูทางสุพรรณเขาเหมารถบัสไป ๑๐ กว่าคัน พาญาติโยมไปแห่พัดกลับ |
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงฉลองที่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ฉลองที่วัดเทพธิดาราม จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง พระที่ท่านนิมนต์เจริญชัยมงคลคาถาในงานฉลองพัดยศของท่าน หัวแถวคือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม ต่อมาเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รองลงมาพระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รองลงมาพระพุทธิวงศ์มุนี วัดเบญจมบพิตร เป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ รองลงมาพระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แล้วก็มาท้ายเลยคือพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตอนนั้นเจ้าคุณพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่นอกสายตาทุกคน เลื่อนมาเป็นพระธรรมวโรดม แล้วถึงได้เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แต่หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ? แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง และรู้ล่วงหน้านานมาก..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เห็นชัดที่สุดคือ สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอยบ้านวิริยบารมีสร้างช้าลงไปเยอะ อาจจะไม่ทันเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เพราะส่วนใหญ่เขาจะเปิดฉลองวันเกิดในหลวงกัน
ถ้าจะทำกรุงเทพฯ ให้พ้นน้ำจริง ๆ จะต้องเจาะพื้นรอบกรุงเทพฯ วางคานและแผ่นรองรับ แล้วก็ดีดให้สูงขึ้นมา ทำลักษณะเป็นชุดเหล็ก สามารถยกเลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับน้ำ จะมีใครบ้าทำไหมนะ ? ปีนี้ได้งบประมาณมาก็ทำสักหน่อยหนึ่ง ปีหน้าได้งบประมาณมาก็ทำอีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ทั่วกรุงเทพฯ ไปเอง..! สมัยก่อนกรุงเทพฯ ใช้น้ำบาดาลเยอะมาก เพราะไม่อยากจ่ายค่าน้ำประปา จึงเจาะน้ำบาดาลใช้กันเอง พอน้ำใต้ดินหมดไป พื้นก็ทรุดลง เพราะน้ำใต้ดินประคองพื้นเอาไว้ พอน้ำหมดไปดินก็ทรุดลงไปเรื่อย ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง แปลว่าถ้าน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ ก็จะแปลกมาก..! ประการสำคัญที่สุดคือ บรรพบุรุษของเราต้องการหาที่ซึ่งมีฝนฟ้าอุดม มีน้ำท่าบริบูรณ์ เพื่อถึงเวลาก็จะได้ปลูกข้าวได้ แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนา สนามหลวงก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ปรากฏว่าเราเปลี่ยนจากการทำไร่ทำนามาเป็นอาคารพาณิชย์ เป็นศูนย์ราชการ แต่ฝนฟ้าก็ยังตกอยู่เท่าเดิม ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเราเก่ง หาที่ที่ฝนบริบูรณ์ได้ทั้งปี แต่พวกเราไปเปลี่ยนเจตนารมณ์เดิมในการสร้างกรุง ก็คือต้องเป็นที่ซึ่งสามารถเพาะปลูกสะสมเสบียงอาหารได้ง่าย มาเป็นที่ที่สร้างอาคารพาณิชย์ เป็นตึกสูง เป็นที่พักอาศัย คราวนี้ในเมื่อสิ่งที่ทำไปไม่เหมาะกับธรรมชาติหรือพื้นที่แต่เดิม ก็มีแต่จะเกิดปัญหาขึ้น" |
"ถ้าหมู่บ้านจัดสรรรอบกรุงเทพฯ อยากจะขายบ้านได้ดี ๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้สร้างเป็นเรือนแพ ที่กาญจนบุรีมีเรือนแพมาก เขาเลิกใช้ไม้ไผ่แล้ว เปลี่ยนเป็นเป็นทุ่นเหล็กลอยน้ำแทน ทุ่นลอยแต่ละลูกทำด้วยโลหะ ราคาประมาณทุ่นละสองแสนบาท อย่างน้อยต้องใช้ ๒ ทุ่นขึ้นไป ถ้าแพขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ ๔ ทุ่นขึ้นไป
เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้วไม่เกินความสามารถของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เขาทำได้ ทำเป็นเรือนแพเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม ให้ตอกเสาไว้ ๔ มุมพื้นที่จะได้ยึดเรือนแพไว้ น้ำขึ้นก็ลอยสูงขึ้น อาจตอกเสาไว้สัก ๕ เมตร เวลาปกติก็ทำเป็นโคมไฟ เวลาไม่ปกติก็เป็นเสาสำหรับตรึงแพเอาไว้ รับประกันได้ว่าขายดีแน่นอน เป็นหมู่บ้านปลอดน้ำท่วม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชพระช่วงวันลอยกระทงปิดรับสมัครไปแล้ว ได้นาคมา ๑๑ ท่าน แต่จะอยู่รอดจนได้บวชพระสักกี่ท่านก็ไม่อาจบอกได้ เพราะเคยมีที่โดนไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคมา ๒ รายแล้ว เพราะเขาเอาความเคยชินจากที่อื่นมาใช้ในวัด เขาน่าจะเห็นว่าพระเณรในวัดตั้ง ๓๐-๔๐ รูป ไม่มีใครเปิดวิทยุโทรทัศน์เลยสักคน แต่เขาดันนอนกระดิกเท้าฟังเพลงอยู่คนเดียว แล้วก็เปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ เสียเต็มที่
ที่วัดท่าขนุนห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกเว้นที่ใช้ฟังธรรมะเท่านั้น เขาก็อาศัยที่ท่านอื่นใช้ฟังธรรมะมาฟังเพลง จึงต้องให้กลับไปฟังที่บ้านแทน..! ถ้าคิดว่าเลิกฟังได้เมื่อไรแล้วค่อยมาสมัครบวชใหม่ แต่ว่าส่วนใหญ่คนไหนที่โดนไล่ออกไปแล้ว ก็จะขึ้นบัญชีหนังหมาไว้เลย กลับมาอีกก็ไม่รับ..! ปีหน้าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เป็นวาระสำคัญ ๒ วาระใหญ่ ดังนั้น..ปีหน้าการบวชปฏิบัติธรรมทั้งพระและฆราวาส จะทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติทั้งในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช" |
ถาม : เวลาอยู่ที่วัดถือศีล ๘ ได้ แต่เวลาถือศีลแปดที่บ้านปวดท้อง เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจตก ถ้ากำลังใจทรงตัวจะไม่เป็น ถาม : แล้วอย่างที่บ้านเขาบ่นเรื่องหนูไม่ยอมกินข้าวเย็น ตอบ : บอกเขาว่าหนูอ้วนแล้ว อ้างเรื่องทางโลกนะ อย่าไปบอกเขาว่าเราถือศีล ๘ บอกเขาว่าหนูกลัวอ้วน ถาม : แล้วเป็นการปรามาสไหมคะ ? เห็นมีพี่เขาบอกว่าตั้งใจไว้แล้วทำไม่ได้ ตอบ : ไม่เป็นหรอกจ้ะ ยกเว้นว่าเลิกถือศีล ๘ เพื่อมากินข้าว กินเสร็จแล้วกลับไปกลับถือศีล ๘ ใหม่ อย่างนี้ปรามาสพระรัตนตรัยแน่ |
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรคะว่า เราไม่ได้มองข้ามทุกข์ที่เราเจอประจำ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาทุกข์ให้เห็นอยู่ในทุกขณะจิต หรือเราไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ? ถาม : อย่างเช่นน้ำท่วมคราวนี้ ทุกข์ก็จริง แต่เรารู้สึกว่ายอมรับได้ ตอบ : จำที่บอกเมื่อคืนนี้ได้ไหม ? เริ่มตั้งแต่แรกว่ารู้ว่าน้ำมา จนกระทั่งน้ำกำลังจะเข้าบ้าน จนน้ำเข้าบ้านแล้ว ถ้าคนที่วางกำลังไม่ได้ก็จะเครียดสะสมไปเรื่อย คือมองไม่เห็นทุกข์ หรือเห็นทุกข์แต่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าคนที่เห็นทุกข์แล้วปล่อยวางได้ ว่าเป็นธรรมดา การเกิดมาก็ต้องพบกับเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ ก็จะไม่เครียด ถาม : ไม่เครียดค่ะ ไม่ทราบว่าชินชาหรือว่าเรายอมรับได้ ? ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจเราดี ก็จะเห็นเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นกับใคร เหมือนกับยอมรับได้ แต่เป็นเพราะกำลังดีจึง "แบก" ไหว ไม่ใช่ปัญญาเห็นทุกข์ แล้วปล่อยวาง |
พระอาจารย์กล่าวถึงสันโดษว่า "คำว่าสันโดษ เราต้องตีความให้ถูกนะ วอน์เรน บัฟเฟตต์ก็สันโดษ เพราะว่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอด ตัวนี้เป็นยถาสารุปปสันโดษ คือยินดีตามฐานะของตน
ถ้าเป็นยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ดูอย่างบิล เกตส์สิ เขาหาเงินได้ตั้งเท่าไร อย่างสตีฟ จอบส์ หรือทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้น..สันโดษนี่ไม่ใช่จนนะ แล้วยังมียถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ตนได้มา อย่างเช่นว่าภิกษุบิณฑบาต เขาให้อะไรก็พอใจแค่นั้น ยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ใครได้มากก็ยินดีตามมาก ใครได้น้อยก็ยินดีตามน้อย ยถาสารุปปสันโดษ นี่ยินดีตามฐานะของตน เป็นเศรษฐีก็ทำตัวแบบเศรษฐี เป็นคนจนก็ทำตัวเป็นคนจน ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเป็นคนจนแล้วทำตัวแบบเศรษฐี เดี๋ยวก็โดนเขาค่อนขอดเอา แบบที่เขาเรียกว่าไฮซ้อ ไม่ใช่ไฮโซ ถ้าเป็นโบราณเขาบอกว่ามะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนมาบ้านวิริยบารมีน้อย ๆ อย่างนี้ทุกเดือนจะดีใจมากเลย เพราะอาตมาจะได้ไม่เหนื่อยมาก พอแก่แล้วกำลังก็ตกไปเรื่อย ที่คนอื่นเขาเห็นว่ายังแข็งแรงอยู่นั้นเป็นแค่กำลังเฉพาะตัว แต่อาตมารู้ว่าตัวเองพยุงร่างกายลำบากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีที่การที่อาตมายกของหนักได้มากกว่าคนอื่นเขานั้นเป็นกำลังเฉพาะตัว เหมือนอย่างกับช้าง ช้างแก่ก็ยังยกของหนักได้มากกว่าวัวควายอยู่ดี แต่ก็คือแก่ แค่พยุงตัวเองก็ลำบากแล้ว
ก่อนอายุ ๓๐ พอบวชเข้าไปใหม่ ๆ ได้รับคำสั่งให้ไปดูแลเฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาหน้าหนาวก็ยังใส่แค่อังสะกับสบงทุกวัน รับท่านขึ้นรับท่านลง ท่านมาถึงก็ถามว่า “แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?” กราบเรียนว่า “มีครับ แต่ผมยังไม่หนาว” พอถึงอายุ ๓๐ นี่ไม่ต้องถามเลย วิ่งไปหามาใส่เอง เพราะกำลังตก ร่างกายสู้ความหนาวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน พอมาอายุ ๔๐ ปี ยิ่งแย่ลงไปอีก ก่อนหน้านี้สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำ ๓ วัน ๓ คืนอยู่ได้สบาย พออายุ ๔๐ ปีขึ้น ก็ฝืนไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว ทำงานไปถึงเวลาก็ต้องพัก พออายุ ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว พักทั้งคืนแต่กำลังพอทรงตัวได้ไม่ถึงเย็น บางทีเวลาทำวัตรเย็นไมค์จะหลุดมือ เพราะกำลังหมด ระยะหลังนี้ให้พระครูน้อยนำสวดมนต์แทน ก็เพราะว่าไม่อยากให้โยมเขาเห็นอาตมาทำไมค์หลุดมือ พระครูน้อยท่านก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงให้สวดแทน อาตมาบอกว่า "ไม่มีอะไรหรอก ผมแก่แล้ว" ไม่ได้อธิบายให้ท่านฟังหรอก พระครูน้อยเป็นคนเครียดง่าย ถ้ารู้ว่าหลวงพ่ออาการหนักขึ้นมาเดี๋ยวเครียดตายเลย จากการที่ป่วยเป็นมาเลเรียอยู่ตั้ง ๓๐ ปี ทำให้ตับชำรุด เก็บพลังงานสำรองไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงเป็นประเภทพักเก็บแรงสักนิดหนึ่งแล้วค่อยใช้ อย่างหลังเพลแล้วมาพักหน่อยหนึ่งก็ลงมาอยู่ได้ บางทีก็นั่งภาวนาว่าเมื่อไรจะ ๔ โมงเย็นเสียที จะได้ขึ้นไปพัก ประมาณ ๕-๖ โมงเย็นก็ลงมา มีพลังใช้งานได้แค่ประมาณ ๒ ทุ่ม ระยะนี้ได้ยาดีเข้าไปก็อยู่ได้เกิน ๒ ทุ่มหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนตื่นเช้า แก้นิสัยตัวเองไม่ได้ ตีหนึ่งตีสองก็ตื่นแล้ว คนอื่นเขายังไม่หลับเลย ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติของคนแก่ที่จะตื่นเร็ว เพราะเวลาดูโลกเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบตื่นมาถ่างตาดูโลกให้มากเข้าไว้ เวลาไปเจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองแก่ ถ้าไม่ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นนี่จะไม่รู้สึกหรอก เพราะว่าเพื่อนมีทั้งอ้วน มีเหี่ยว มีหัวล้าน มีหัวหงอก ส่วนอาตมาเสียท่า ไปทีไรเพื่อนจำได้ทุกที ส่วนอาตมานี่เวลาเจอเพื่อนต้องคิดแล้วคิดอีกว่านั่นใครวะ ?" |
ถาม : ผมได้ปากกาหลวงปู่หงส์มา ช่วยเสกให้หน่อยครับ
ตอบ : ไม่ต้องแล้ว...ขนาดหลวงปู่หงส์แล้วยังต้องมาให้เสกอีก น้ำเต็มแก้วแล้วเทไปก็ล้นเปล่า ๆ วัดท่านชื่อวัดเพชรบุรีแต่อยู่ภาคอีสาน พอ ๆ กับที่ อำเภอศรีเชียงใหม่อยู่จังหวัดหนองคายนั่นแหละ คนไม่รู้จริงไปหาผิดที่มาเยอะแล้ว |
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันพระพุทธรูปงาช้าง ท่านกล่าวว่า "คนที่มีงาช้างต้องดูแลรักษาให้เป็น ถ้าดูแลรักษาไม่เป็นแล้วงาจะพังเร็ว ถ้างาแห้งมาก ๆ แล้วมักจะกินตัว คำว่ากินตัวคือจะผุ ถ้าหากว่ามีน้ำมันหรือขี้ผึ้งคอยลงเอาไว้ มีโอกาสก็เช็ดไปเรื่อย เท่ากับว่าเราถวายเครื่องหอมเป็นพุทธบูชา
แต่น้ำมันนี้มีกลิ่นหอมแปลก ๆ พวกเราไม่เคยได้กลิ่นใช่ไหม ? เป็นน้ำมันทานาคา เป็นยาแก้สิวฝ้าของพม่า ไปพม่ามาหลายครั้งอาตมายังไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย มีโยมเขาเอามาลองทา เขาบอกว่าหน้าแห้งจนเป็นขุย เพราะเขาไม่เคยชิน พระงาช้างองค์นี้อายุอย่างน้อยน่าจะ ๘๒ ปี เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่น่าทึ่งตรงที่ว่างาชิ้นนี้ใหญ่จริง ๆ เพราะว่านี่เป็นแค่ซีกเดียวแล้วก็ตันด้วย ไม่ทราบว่าอีกซีกได้แกะเป็นพระอีกองค์หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ ใครมีของโบราณที่หน้าตาเหมือนกันก็แปลว่าไปจากชิ้นนี้ ถ้าคนเขารู้คุณค่าเขาจะรักษาดีกว่านี้ นี่เขาปล่อยให้สลายไปตามธรรมชาติ สาเหตุที่วัดท่าขนุนไม่กล้าทำอะไรมากเพราะรู้ว่าคนรุ่นหลังเขารักษาไม่ไหว ถ้าสร้างพิพิธภัณฑ์ทรงไทยเสร็จเรียบร้อย ก็อาจจะทำที่พักสำหรับญาติโยมสักชุดหนึ่งก็พอแล้ว ตอนนี้ที่พักพระก็เหลือเฟือแล้ว บางที ๔๐ กว่ารูป อย่างล้น ๆ เพราะกุฏิก็มีแค่ ๔๐ ห้อง แต่ทางด้านแม่ชีมีแค่ ๑๑ หลัง ถ้าใครชอบปฏิบัติก็จะให้พักอยู่เดี่ยว ๆ อย่างแม่ชีกุ๋ย แม่ชีเอ๋ ส่วนคนอื่นทั่วไปก็ให้พักรวมกัน" |
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันลูกประคำ ท่านกล่าวว่า "ลูกประคำมักจะขี้ฟ้อง ถ้าคนใช้งานบ่อย ๆ ลูกประคำจะเงาสวย ถ้าใช้ไม่บ่อยลูกประคำจะดูไม่ได้เลย พวกประเภทเม็ดแห้งซีดนี่รู้เลยว่าเจ้าของไม่ได้ใช้ภาวนาเลย
สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ ใช้ลูกประคำทำจากลูกหวาย เป็นลอนเล็ก ๆ นับไปจนกระทั่งลื่นเป็นกระจก แต่ว่านิ้วมือสองข้างของอาตมาด้านเป็นเม็ดเลย มีคนเขาเห็นแล้วเขาชอบ อยากได้แบบนั้นบ้างก็เอาเครื่องมาขัด แต่ขัดอย่างไรก็ไม่เหมือน เพราะว่าอาตมาใช้มือนับจนลื่น ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เครื่องขัดเร็วเกิน อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน" ลูกประคำเม็ดหวาย (แต่ไม่ใช่ของพระอาจารย์นะคะ) |
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังทำความสะอาดมีดหมอ ท่านกล่าวว่า "คนใช้อาวุธไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืนจะต้องขยันเช็ดขยันถู ไม่อย่างนั้นสนิมกินหมด นี่ยังดีว่ามีดนี้เป็นเหล็กปลอดสนิม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าถ้ามีความชื้นนาน ๆ ก็อาจจะเป็นสนิมได้ หลักการดูแลพวกมีด ฝรั่งเขาสรุปว่า Clean & dry คือต้องทำให้สะอาดและแห้ง
มีดด้ามนี้ใบมีดน่ากลัวมาก ถ้าคนใช้มีดนี้เป็นจะเป็นอาวุธมหาประลัยเลย เขาใช้วิธีกำแล้วชกเอา เขาไม่แทงหรอก..เสียเวลา ถ้าชกผิดก็ดึงกลับมาแล้วปาดซ้ำ สมัยที่อาตมาเรียนทหารอยู่ เขาสอนว่าเวลาแทงต้องตะแคงมีด ทหารเขาจะจับมีดตะแคงข้าง เพราะว่าถ้าแทงตรง ๆ จะติดซี่โครง แต่พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก ตรงไหนก็จิ้มไปเถอะ ใช้มีดเป็นก็ป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง http://i498.photobucket.com/albums/r...h/420J2-23.jpg มีดหัวเข็มขัด (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ) มีเด็กผู้หญิง ม. ๒ คนหนึ่งจัดการพลขับรถเมล์ที่เมาเหล้าแล้วไปจับหน้าอกเขาด้วยมีด โดนเย็บไป ๕๐ กว่าเข็ม ถ้าเป็นอาตมาละก็..ไอ้นั่นโดนเย็บเป็นร้อยเข็ม..! เด็กผู้หญิงเขาเลื่อนมีดคัตเตอร์จนสุดแล้วใช้ฟันเอา มีดคัตเตอร์ใช้อย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะใบมีดไม่แข็งแรงพอ ต้องเลื่อนออกมาสักครึ่งหนึ่งแล้วใช้กรีด แต่นั่นเขาใช้ฟันจนใบมีดหักเลย ส่วนมีดเล่มนี้ทำมาจากเขาสัตว์ ๒ ชนิด มีเขาวัว เขาควาย และงาช้าง คนทำเขารักงานของเขา ในเมื่อเขารักงานของเขา มีดแต่ละเล่มเขาก็ทำออกมาให้ดีที่สุด เรียกได้ว่ามี ฉันทะ คือความพอใจของเขาเต็มที่อยู่แล้ว วิริยะ ความพากเพียรทำ แต่ละเล่มเขาทำเป็นเดือน ๆ กว่าจะเสร็จ จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เสร็จไม่เลิก วิมังสา ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าที่ทำไปนั้นดีพอหรือยัง มีแบบไหนที่จะสวยกว่านี้ ดีกว่านี้อีก จะว่าไปแล้วตัวเครื่องแห่งความสำเร็จ คืออิทธิบาทธรรม ทั้ง ๔ ข้อ ต้องมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่ว่ามีอยู่แบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง มีดเล่มนี้เขาเรียกว่าทรงหลังค่อม (Hump back) จะมีทรง Drop Point คือทรงปกติ มีแบบมีดพกซ่อน แล้วก็มีทรงเปอร์เซียน ที่ใบมีดโค้ง ๆ เหมือนดาบของชาวเปอร์เซีย" http://i498.photobucket.com/albums/r...h/420J2-24.jpg มีดพับทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ) http://i498.photobucket.com/albums/r...ath/4420J2.jpg ลักษณะมีดพกทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ) ลักษณะมีดพกทรงเปอร์เซียน ด้ามเขากวางอิมพาลา (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ) |
"อาวุธของแต่ละชนเผ่าขึ้นอยู่กับการใช้งานของเขา อย่างที่เด่น ๆ เลยก็ซามูไร ซามูไรบอกถึงสภาพจิตใจของเขาว่ากล้าหาญ ทุ่มเท ถ้าลงมือก็หมายความว่าไม่เขาก็เราต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่กะฟันทีเดียวจบ แล้วก็มีมีดกรูกรีของพวกชาวกูรข่าของเนปาล พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง ช่วงสมัยสงครามโลก สงครามอินเดียพวกนี้ดังมาก
ทหารกูรข่านอกจากจะเป็นยอดฝีมือแล้ว ยังซื่อสัตย์ต่อเจ้านายชนิดสามารถตายแทนได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ทหารที่พิทักษ์พระราชวังอังกฤษก็ยังเป็นทหารกูรข่า ที่เขาไปเปลี่ยนเวรยามกองรักษาการณ์ให้พวกเราดูกัน มีดกรูกรีเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในเวลาที่ปืนกระสุนหมด เขาจะใช้มีดกรูกรีแทน จะเป็นมีดทรงโค้ง ๆ ลักษณะหักข้อศอก น้ำหนักจะไปหน่วงอยู่ที่ปลาย เวลาฟันมีดจะดึงมือไปเอง เพราะน้ำหนักถ่วงปลายอยู่ ทหารกูรข่านี่เด็ดหัวศัตรูมานับสนามไม่ถ้วนแล้ว" มีดกรูกรี หรือมีดกูรข่า ใบมีดเหล็กดามัสกัส ด้ามงาช้างสลับเทอร์คอยซ์ ฝังหมุดลาย(เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ) |
"ถ้าไปทางด้านละตินอเมริกาจะมีมีดมาร์เชต์ (Machete) ลักษณะเหมือนกับอีหวดบ้านเรา เป็นมีดหัวตัด แต่ว่าเป็นมีดที่คมบาง ใบกว้าง สันหนา ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ เคยใช้ถางป่า ถางไปถางมาเจอหมูป่าพุ่งใส่ เขาเบี่ยงหลบ ฟันหมูป่าทีเดียวหัวขาดเลย เราต้องนึกดูว่าหมูป่านั้นหนังเหนียวขนาดไหน..!
http://www.terrierman.com/machete.jpg มีดมาร์เชต์ (Machete) พวกมีดที่เขามีรูปทรงเฉพาะของเขา ก็คือผ่านภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเหมาะสมต่อการใช้งาน อย่างของไทยเราสมัยก่อนก็มีมีดพร้า มีดหัวปลาหลด มีดพร้านี่ของปักษ์ใต้ เวลาเขาถือพร้าเขาจะถือในลักษณะพาดไหล่บังหูไว้ ป้องกันคู่ต่อสู้จู่โจมข้างหลัง ถ้าเขาฟันมาก็ติดมีด ฟันคอเขาไม่ได้ ส่วนมีดหัวปลาหลด ก็ลักษณะเหมือนดาบยาว แต่ว่าหัวค่อนข้างจะมน" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.