กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2938)

เถรี 13-10-2011 21:06

ถาม : วิธีการฝึกเจโตปริยญาณต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือทิพจักขุญาณ คือตัวมโนมยิทธินั่นเอง แต่ว่าใช้ในการดูจิตดูใจของคนอื่น ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร เขาจะพูดอะไร จะทำอะไร แต่ถ้าดูแบบนี้ประโยชน์จะมีน้อย

ที่สำคัญก็คือให้ดูใจตัวเองว่า ตอนนี้มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่หรือเปล่า ? ถ้าหากมีก็ขับไล่ออกไป แล้วระวังไว้อย่าให้เข้ามา แล้วเรามีความดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็สร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น..อย่าไปใช้ผิด รู้ใจคนอื่นอย่างเก่งก็แค่ตื่นเต้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ตัดกิเลสเลย

ถาม : แต่ถ้าฝึกลักษณะนี้ก็จะตรวจสอบยากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำจริง ถึงเวลาเป็นก็จะรู้เอง

ถาม : ตอนนี้ผมฝึกทรงอารมณ์สมาธิให้เป็นปกติ ก็คือรู้ลมหายใจตลอดเวลา
ตอบ : ควรทำ อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไรมีหวังถูกรัก โลภ โกรธ หลง ตีหงายท้องเลย..!

ถาม : คราวนี้เวลาเผลอ จิตเหมือนจะดึงกลับมาภาวนาเอง
ตอบ : จิตเคยชินกับทางไหนก็ไปทางนั้น ก่อนหน้านี้เราชินกับรัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาใจก็ไปรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใจเคยชินกับความดีก็จะไปกับความดี ทำแล้วรักษาให้ได้ ถ้าทำแล้วรักษาไม่ได้ ก็เสียเวลาเปล่า

เถรี 14-10-2011 02:45

ถาม : อารมณ์ของพระโสดาบันเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : มีความรักพระนิพพานแน่นแฟ้นอยู่ในใจ ไม่คลอนคลายด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง แม้ด้วยเหตุแห่งชีวิตท่านก็เลือกพระนิพพานมากกว่า

ถาม : แล้วที่บอกว่าถ้าเป็นพระโสดาบันยังจะต้องมาเกิดอีก ๓ ชาติ ๗ ชาตินี่หมายถึงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่ำสุดก็เป็นอย่างนั้นแหละ ยิ่งสูงขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลงยิ่งเบาลง การเกิดก็เกิดน้อยลงเป็นปกติ การเกิดของท่านเกิดแล้วมีจุดจบ ขณะที่ปุถุชนทั่ว ๆ ไปเกิดแล้วไม่จบ

ถาม : พระโสดาบันที่ท่านเกาะนิพพานอยู่ได้ตลอดเวลา เวลาตายท่านก็ไม่ได้ไปพระนิพพานหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาก็ไปนิพพานกันเลย

ถาม : ไม่ต้องมาเกิดอีก ๗ ชาติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าฉลาดน้อยก็เกิดใหม่ ถ้าฉลาดมากตัดก่อนตายก็ไปได้เลย

ถาม : ตำราอื่นที่เขาบอกไม่เห็นตรงกัน ตรงที่บอกว่าจิตเกาะพระนิพพานเลย
ตอบ : ก็ลองเป็นพระโสดาบันดูสิ เป็นแล้วหายสงสัยเอง..!

เถรี 17-10-2011 15:04

ถาม : หากมีพระภิกษุท่านหนึ่ง นำเงินที่ญาติโยมเขาถวายไปทำประกันชีวิต โดยที่เห็นว่าอนาคตจะเอาเงินนี้มาบูรณะซ่อมแซมวิหารจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..ยกเว้นเขาถวายเป็นเงินส่วนตัว ถ้าคุณเล่นไปประกันอนาคตแบบนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะตายก่อนหรือเปล่า ?

ถาม : แล้วถ้าตั้งใจว่าถ้าตายก็จะนำเงินส่วนนี้ถวายวัดเหมือนกัน ?
ตอบ : ไม่ทันหรอก..จะซวยซะก่อน ภิกษุห้ามสะสมเงินโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

เถรี 17-10-2011 15:10

ถาม : ในเรื่องของการสะสมเงินของพระภิกษุ มีคนเขาบอกว่าถ้ามีคนเขาบริจาค พระภิกษุท่านต้องเอาเงินไปฝากที่ธนาคาร เพราะฉะนั้น..การซื้อประกันชีวิตไว้จะต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : เจตนาคนละอย่าง ประกันชีวิตนี่เราตั้งใจเอาประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของพระ แต่ว่าการไปฝากธนาคารนี่ประโยชน์ที่เราได้รับเป็นไปตามกฎกติกา เราไม่ได้ไปเรียกร้องอะไร ถ้าเป็นอาตมานี่ไม่เหลือฝากหรอก ใช้ก่อสร้างและทำงานสาธารณประโยชน์จนหมด

ถาม : ในกรณีที่โยมซื้อประกันชีวิตถวายให้พระ ?
ตอบ : ถ้าโยมซื้อถวายไม่เป็นไร แต่พระอย่าไปซื้อเอง อาตมาก็ยังมีอยู่ ๒ กรมธรรม์ โยมเขาถวาย มีประกันสุขภาพกับประกันอุบัติเหตุ ไม่มีหรอกประเภทสะสมเผื่อรวยตอนอายุ ๖๐ แบบที่คนอื่นเขามีกัน

เถรี 18-10-2011 05:33

ถาม : ถ้าหากว่าไปวัด ๆ หนึ่งแล้วมีตู้ทำบุญที่เขาไม่ได้เขียนว่าทำอะไร เราควรตั้งใจอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำเป็นสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน อธิษฐานไปได้เลย

เถรี 18-10-2011 05:35

ถาม : พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านนี้บูชาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้คาถาเงินล้าน ว่าคาถา อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด แล้วก็ตามด้วยคาถาเงินล้านสัก ๙ จบ

ถาม : ต้องว่าคาถาทุกวันไหมครับ ?
ตอบ : ทุกวัน..เพื่อความแน่นอน

เถรี 18-10-2011 12:57

พระอาจารย์เล่าว่า "คืนนี้จะนอนหลับแบบสลบไสลไม่ได้สติ เพราะเมื่อคืนกลับมาดึกมาก นั่งรถเกิน ๑๒ ชั่วโมง และนิสัยของอาตมาก็คือ เหนื่อยมาขนาดไหนก็ต้องทำงานให้ครบ ถึงเวลาก็ต้องมานั่งภาวนา ต่อให้นอนเที่ยงคืนก็ต้องตื่นขึ้นมาตี ๒-๓ เหมือนเดิม ถ้าไม่ตื่นก็จะโดนถีบจนตื่นเอง..!

สมัยอยู่ที่วัดท่าซุง ขอให้เจ้าที่ซึ่งท่านรักษาสถานที่ช่วยปลุกให้ตื่นตรงเวลาด้วย ตอนช่วงนั้นอาตมาตั้งใจตื่นตี ๓ ทุกวัน พอเวลา ๐๒.๕๕ นาฬิกา ท่านจะปลุกทุกครั้ง ถึงเวลาก็มีคนจะกระตุกปลายเท้า ทำให้สะดุ้งตื่น อาตมาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา สรงน้ำ ครองผ้า แล้วก็เริ่มเดินจงกรมภาวนา

เรื่องของกิเลสนี่ถ้าเราตามใจเมื่อไร เราจะขี้เกียจไปเรื่อย ๆ แล้วจะเอาดีไม่ได้ อย่าไปผ่อนปรนให้เป็นอันขาด กับกิเลสเราต้องเข้มงวดอย่างเดียว ไม่มีผ่อนปรน ต่อให้มันบอกว่าจะตายเราก็จะทำ ให้มันตายลงไปเลย..!

ปรากฏว่าวันนั้นไม่ไหว เพลียจัด เพราะไปรบกับพวกเรือหาปลามาทั้งคืน ๐๒.๕๕ ถูกปลุกตามปกติ อาตมาสะดุ้งลืมตาขึ้นมา “ขออีกหน่อยนะ” เท่านั้นแหละพ่อเจ้าประคุณเอ๋ย...กระบองอันเบ้อเร่อฟาดเปรี้ยงลงกลางแสกหน้า ดาวขึ้นว่อนเลย..! ก็เลยต้องลุก เพราะถ้าไม่ลุกจะโดนซ้ำอีก ใครโดนอย่างนั้นเข้า เหนื่อยแค่ไหนก็หูตาสว่างทุกคน..!"

เถรี 18-10-2011 13:28

"อยู่ที่นั่นก็เจอผีหลอก แต่เป็นผีหลอกของคนอื่น สำหรับอาตมาเป็นตัวกวนประสาทหรือไม่ก็คู่ซ้อม ตอนที่พักอยู่ที่ตึกกองทุน ติด ๆ กับตึกเป๊ปซี่ของโยมสุภาพร จากทางด้านวัดเก่า ฝั่งหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ถ้าเข้าไปซ้ายมือจะเป็นห้องยาม แล้วก็เป็นศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ยาวไปจรดโรงเรียนทหารอากาศสงเคราะห์ ทางด้านขวามือก็จะเป็นห้องยาม เป็นตึกขาว เป็นตึกเป๊บซี่ แล้วจึงเป็นตึกกองทุน เป็นตึกเสริมศรี พวกเราไม่รู้จักกันหรอก เพราะเป็นชื่อเก่า ถ้าไม่ทันรุ่นเก่าก็จะไม่รู้จัก

ตึกกองทุนนั้น นอกจากชั้นล่างที่ว่างโล่งแล้ว ชั้นบนยังมีห้อง ทางซ้าย ๔ ห้อง ทางขวา ๔ ห้องใหญ่ ตรงกลางเป็นโถงยาวตลอด อาตมาเดินจงกรมภาวนาไป หมดสภาพตรงไหนก็นอนตรงนั้นแหละ นอนไม่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็จะถูกท่านทั้งหลายเหล่านี้ก่อกวนเป็นประจำ

พอนอนภาวนาอยู่ เขาก็เดินมา ตึกไหวยวบไปทั้งหลังเลย คนอะไรตัวหนักขนาดนั้น..! อาตมานอนตะแคงอยู่ หันคนละข้างกับที่เขาเดินมา กะจังหวะที่เขาเดิน พอก้าวสุดท้าย กะว่าอยู่ในรัศมีเท้าอาตมาก็พลิกกลับเตะเลย..เตะเต็มที่..! ปรากฏว่าไม่ใช่คน เป็นลูกแมวตัวเล็ก ๆ กระโดดข้ามเท้าของอาตมาแบบนิ่มนวลมาก แถมรู้ด้วยว่าอาตมาจะเตะตอนไหน

อาตมาก็พลิกตัวตามไปมองแมว เห็นชัด ๆ ว่าหันมายิ้มหวานให้อาตมา แล้วก็เดินทะลุประตูไปเฉย ๆ ลูกแมวบ้านไหนวะ ? เดินทีหนึ่งตึกไหวทั้งหลัง..! เขาแกล้งให้หูตาสว่าง ลุกขึ้นมาภาวนาต่อได้เขาก็พอใจแล้ว เจอแบบนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน เจอจนกระทั่งกลัวผีไม่เป็น ไม่รู้จะกลัวไปทำไม เพราะเจอจนเบื่อ..!"

เถรี 18-10-2011 13:40

"ถามว่าปัจจุบันนี้อาตมากลัวผีหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่ายังกลัวอยู่ เพราะเวลาผีมาจะขนลุกเกรียว ถ้าไม่กลัวขนจะลุกทำไม ?

ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องว่า เวลาผีปรากฏตัวให้พวกเราเห็น เขาจะดึงเอาพลังงานบริเวณนั้นไปหมด เพื่อทำให้โมเลกุลของตัวเองหยาบขึ้น เราจะได้มองเห็น การที่เขาดึงพลังงานบริเวณนั้นไปหมด ทำให้ความร้อนหมดไปด้วย จึงทำให้เรารู้สึกหนาวกะทันหันก็เลยขนลุก นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากเลยนะ

ส่วนอาตมาถือว่า ถ้ายังขนลุกอยู่แสดงว่ายังกลัว แต่กลัวแบบไม่หนี คุยกันได้ จะให้อธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ก็บอกได้นะ อย่างที่บอกว่าวัสดุทุกอย่างเกิดจากโมเลกุลประกอบกันขึ้นมา การจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่ต่างกัน อย่างเราจะเปลี่ยนวัสดุให้เป็นทอง เราก็แค่เปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลให้เป็นการจัดเรียงแบบทอง เท่านี้ก็เป็นแล้ว

คราวนี้เห็นหรือยังว่าการที่ใช้กสิณและอภิญญาเปลี่ยนธาตุโลหะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ แต่อภิญญาแค่ใช้อำนาจจิตเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลเท่านั้นก็เป็นแล้ว ฟังดูแล้วง่ายจัง น่าจะทำวิจัยเรื่องนี้เอาปริญญาเอกดีกว่า..!"

ถาม : แล้วสีจะเปลี่ยนไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจัดเรียงโมเลกุลใหม่ก็จะเปลี่ยนสภาพเลย เหมือนกับเปลี่ยนตัวต่อเลโก้ (LEGO) ต่อเป็นบ้านเป็นรถต่าง ๆ เราเปลี่ยนลักษณะการต่อ ก็กลายเป็นของอีกอย่างหนึ่ง

พยายามอธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ให้มาก ๆ เผื่อสำหรับพวกที่เชื่อยาก พวกนี้เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เชื่อเรื่องของพระ ขำที่สุดก็น้องแพร (อรอมล จงเสริมศิริสกุล) น้องแพรเรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ใช้วิธีบนพระอย่างเดียว ตกลงว่าเรียนวิทยาศาสตร์ แต่วิธีการนี่แทบจะเป็นไสยศาสตร์ล้วน ๆ..!

เถรี 18-10-2011 13:47

การรู้เห็นต่าง ๆ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ยกเว้นว่าเรารู้ถูกทางจริง ๆ เมื่อครู่โยมผู้ชายที่ถามปัญหาเป็นอิสลาม เขาฝึกมโนมยิทธิได้ เขาก็เลยมาถามรายละเอียดที่เขาข้องขัดอยู่

ถึงได้บอกว่าสิ่งที่เรารู้เห็น ถ้าหากว่าเราเชื่อเสียทั้งหมดก็จะโดนชักจูงให้ผิดพลาดได้ง่าย และการรู้เห็นในแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน วันนี้สมาธิเราดีเราอาจจะรู้เห็นได้ พรุ่งนี้สมาธิไม่ดีการรู้เห็นไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นโปรดอย่ามั่ว..! ไม่ต้องกลัวเสียหน้า รู้ก็ให้บอกว่ารู้ ไม่รู้ให้บอกว่าไม่รู้ ถ้ามั่วเมื่อไร..เดี๋ยวจะพังทั้งคนบอกทั้งคนฟัง

ประการที่สอง ก็คือ การรู้เห็นของแต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน ความชำนิชำนาญไม่เหมือนกัน ฝึกมโนมยิทธิได้เหมือน ๆ กัน คนนี้อาจจะระลึกชาติได้เก่งมากเลย ชัดเจนมาก คนอื่นได้ไม่เท่า แต่อีกคนอาจจะได้เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่นเขา ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร สามารถพูดออกมาได้ทุกคำเลย แต่ไปใช้อย่างอื่นก็ไม่ถนัด

คนนั้นได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อีกคนถนัดจุตูปปาตญาณ แล้วแต่ความถนัดของตน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะคิดให้เก่งเสมอกันทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพ อย่างที่โยมสองคนบอกว่า คนหนึ่งได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งเห็นภาพ เพราะฉะนั้น..เอ็งไปด้วยกัน ถึงเวลาก็ตั้งกำลังใจพร้อม ๆ กัน แล้วก็เอาเรื่องมาต่อกันก็จบ

มโนมยิทธิที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าส่วนใหญ่คนเห็นแล้วเชื่อเลย ตัวนี้เป็นสักกายทิฐิและมานะเต็ม ๆ "กูเห็น กูจึงเชื่อ" เห็นหรือยังว่าขึ้นด้วยตัวกูเต็ม ๆ

เถรี 18-10-2011 14:02

เมื่ออาทิตย์ก่อน มีโยมคนหนึ่งโทรมา บอกว่ามีเด็กคนหนึ่งจะโดนทิ้ง มาเข้าฝันว่าให้ไปเก็บมาเลี้ยงด้วย เพราะว่ามีกรรมเนื่องกันมาต้องชดใช้เขา ถ้าเป็นอาตมานี่เด็กคนนั้นอยู่ในถังขยะแน่นอน..! ถ้าเอ็งจะมาทวง เอ็งหาทางมาสิ แล้วจะชดใช้ให้ ไม่ใช่ให้เราไปเก็บมาเลี้ยง

นี่ไม่ใช่เรื่องของการใจร้ายใจดำ แต่เป็นการไม่ยุ่งกับกรรมของคนอื่น ถ้าเราไปยุ่งกับกรรมคนอื่นเรื่องจบยาก ไม่แน่..เขาอาจจะเป็นเครื่องมือที่มารพามาถ่วงเราเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานช้า มัวแต่ไปห่วงไปกังวล ไปเลี้ยงไปดู ให้การศึกษา กว่าจะโตเป็นผู้เป็นคนก็ ๒๐ กว่าปี ถ้าเราตายก่อน การปฏิบัติก็ขาดช่วงไป ก็ไม่ได้อะไรเลย

ฉะนั้น..ของทุกอย่างเป็นทั้งเครื่องทดสอบและเป็นทั้งเครื่องวัดกำลังใจของเราด้วย ว่าสิ่งที่เรารู้เห็นทั้งหมดนั้น เราน้อมใจเชื่อโดยส่วนเดียว หรือว่าเชื่ออย่างคนมีปัญญา

ถ้าคุณจะทวงก็ไม่ยากหรอก ให้เขาเอามาทิ้งหน้าบ้านสิ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าต้องเลี้ยงเอง ถ้าหากว่าเขามาทิ้งไว้หน้ากุฏิ อาตมาเปิดประตูมากระแทกเด็กปลิวไป เด็กก็นอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าคลานตามมาเมื่อไรแล้วถึงจะยอมเลี้ยง..!

ถาม : ช่วยอย่างคนมีปัญญาเขาทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่วยอย่างคนมีปัญญาก็คือ เอาตัวรอดทุกวิถีทางที่จะไม่ต้องเลี้ยงเขา ถ้าหากว่าจับพลัดจับผลู ท้ายสุดต้องเลี้ยง นั่นถึงจะยอมรับว่าเป็นวาระกรรมที่เนื่องกันจริง ๆ

เถรี 18-10-2011 14:16

ถาม : จะไม่เป็นการขาดความเมตตาหรือคะ?
ตอบ : เมตตา กรุณา มุทิตา ท้ายสุดอุเบกขา ใช้ให้ครบสิวะ..! เมตตาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังเอาตัวไม่รอด เอ็งช่วยตัวเองไปก่อนนะ กรุณาสงสาร..อยากให้เอ็งพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่ขอข้าพ้นก่อน มุทิตา..ถ้ามีคนเอาเอ็งไปเลี้ยง ข้าก็ยินดีด้วย เพราะข้าไม่ต้องเหนื่อย ท้ายสุดก็อุเบกขา..ตัวใครตัวมันนะ ลาก่อน

ชอบใจเพลงเพลงหนึ่งจริง ๆ เขาร้องว่า “ลำพังตัวเองยังเลี้ยงไม่รอด แล้วเธอยังดอดคิดไปมีผัว” เพราะถ้าตัวเองยังเอาไม่รอด จะไปรับภาระคนอื่นเขาไหวหรือ ?

เถรี 19-10-2011 05:32

พระอาจารย์เล่าว่า "เจ้าดอกรัก เป็นหมาวัดที่ดื้อสุด ๆ ดุอีกด้วย ถ้าใครไปตีก็จะกัด อาตมาตีกระจายเลย เจ้าดอกรักก็แปลกใจว่าคนอื่นตีไม่เจ็บ ทำไมอาตมาตีถึงเจ็บ ก็เพราะอาตมาใช้ไม้เล็ก ๆ ตี คนอื่นใช้ไม้ใหญ่ตีไม่เจ็บหรอก ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วสะบัดเจ็บแสบดีนักแล

อาตมาไม่กลัวหมากัดด้วย กัดมาก็ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อย ทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องเลิกไปเอง เจ้าดอกรักจะมุดหนีไปอยู่ใต้เตียง อาตมาก็มุดตามไปตีใต้เตียง ตีจนกระทั่งเขารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ตีได้ หลังจากนั้นพอเห็นหน้าอาตมาเจ้าดอกรักก็เผ่นแน่บ

อาจารย์สมพงษ์ไปเตะเจ้าดอกรักเข้า โดนงับขาเลือดสาดกระจาย..! แม่ชีโหล่เขาบอกว่า "ยังกัดเข้าแบบนี้ออกเหรียญไม่ได้หรอก" อาจารย์สมพงษ์ก็โกรธใหญ่ ไม่ช่วยทำแผลแล้วยังปากไม่ดีอีก อาจารย์สมพงษ์ก็ด่า แม่ชีโหล่ก็เถียง “มันกัดอาจารย์เล็กจนเหนื่อย ไม่เห็นจะเข้าเลย” อาจารย์สมพงษ์ก็ยิ่งโมโหใหญ่ “ก็มันคนเดียวกันเสียเมื่อไรเล่าวะ ?”

เจ้าดอกรักจะซ่ากับคนอื่น เพราะเวลามันแยกเขี้ยวใส่แล้วเขากลัว ส่วนอาตมาไม่กลัว ตีสวนไปเลย บางทีถูกมันกัดไม้หักไป ๓-๔ อัน อาตมาก็คว้าไม้อันใหม่ตีไปเรื่อย ถึงมุดหนีไปใต้เตียงก็ตามไปตี เวลาหมามุดไปที่แคบเขาจะถนัดกว่าเรา แต่อาตมาไม่กลัว มีปัญญาเอ็งก็กัดไป ข้าก็ตีไปเรื่อย ตีจนไม่มีที่ให้วิ่งหลบ ต้องหนีออกไปข้างนอก อาตมาใช้วิธีเดียวกันคือให้หมาเห็นว่าเราดื้อกว่า แต่เราดื้อแล้วเขาเจ็บตัวเท่านั้นเอง

ใช้ไม้ใหญ่ตีหมา..หมาช้ำ แต่ไม่เจ็บ แต่ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วเจ็บจนสะดุ้ง เพราะฉะนั้น..ให้ใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ บางทีก็ใช้ไม้ที่เขาเสียบเงินกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีมันดีแท้ มีเป็นร้อย ๆ อัน กัดหักอันหนึ่งก็หยิบอันใหม่มาได้เลย

อาตมาบอกกับแม่ชีเขาว่า "สอนให้รู้ตัวว่ามันเป็นหมา เพราะว่ามันทำกร่างเป็นเจ้าพ่อ" ในหอฉันเวลาเขาปูผ้าให้พระนั่งฉัน เจ้าดอกรักก็จะไปฉี่ใส่ผ้าของพระ แล้วก็จะมีเสียงของแม่ชีโหล่ว่า “ดอกรัก..ลูกอย่าทำอย่างนั้น” คงจะฟังอยู่หรอก..! อาตมาไปถึงไม่ฟังเสียงเลย ตีไว้ก่อน พอโดนเข้าก็เข็ด

ระยะหลังนี่หอฉันจะเป็นที่หมายปองของบรรดาหมาทั้งหลายมาก พวกหมาจะคอยมอง พอเห็นอาจารย์ลับหลังก็วิ่งพรวดเข้าไปเลย ขอให้เหยียบหน่อยก็ชื่นใจแล้ว พอมาถึงอาตมาตวาดแว้ดเดียว เผ่นหายหมด โยมเห็นทีไรหัวเราะทุกทีเลย ที่เขาลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมา ก็ตอนที่ตวาดหมาเผ่นหมดไม่เหลือ คนอื่นตีเท่าไรหมาก็หมอบให้ตี เพราะรู้ว่าตีไม่จริง เจอคนตีจริงเข้าก็ต้องเผ่น"

เถรี 19-10-2011 08:30

"มีอีกตัวไอ้อ้วน น่าจะเป็นเบาหวาน เพราะแผลไม่หายเสียที พอถึงเวลาก็จะย่องเข้ามาที่โรงครัว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนอื่นเห็นมันอ้วนและขาเป็นแผลด้วยก็สงสาร อาตมาเห็นก็ดุ “ไอ้อ้วน ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” มันก็ลุกเดินเหี่ยวออกไป มันรู้ว่าใครเอาจริงหรือไม่เอาจริง เวลาญาติโยมมาเลี้ยงเพล เห็นหมาแต่ละตัวทำท่าแล้วหัวเราะทุกคนเลย

บางตัวก็ทำถูกกติกานะ ยืนอยู่ตรงขอบประตูเลื่อนแล้วก็ยื่นหัวเข้ามา ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปนิดหนึ่งก็ชื่นใจแล้ว

เลี้ยงหมาแล้วก็จะรู้ว่าเขาก็คือคนนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาสร้างไว้ ทำให้เขาโดนจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน นิสัยเหมือนคนนี่เอง หมาบางตัวก็สง่าสุด ๆ เลยนะ ประเภทเห็นก็รู้เลยว่าไอ้นี่แน่จริง แต่ปัจจุบันนี้อาตมาจะไม่เลี้ยงหมา มีหน้าที่ดูแลควบคุม หมาบางตัวต้องการแสดงความสนิทสนม เข้ามาหาก็เกา ๆ ให้หน่อย"

ถาม : เกาทำไมคะ ?
ตอบ : เป็นภาษาหมา

ถาม : แปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : ฉันยอมรับว่าแกอยู่ในฝูงเดียวกัน เหมือนกับหมาที่งับหมัดให้กัน เห็นไหม ? บางทีเวลาหมาก็งับ ๆ ให้กัน
ถ้าหมาดุ ถึงเราปราบอยู่ แต่มันจะไม่เชื่อง อย่าให้หัวเราต่ำกว่าเป็นอันขาด ถ้าหัวเราต่ำกว่าเมื่อไร มันถือว่าเราลงให้มันแล้ว มันจะข่ม แต่ถ้าหัวยังสูงกว่ายังไม่เป็นไร

ถาม : หมาที่บ้านชอบไปนอนบนหมอนคน บางทีก็ชอบมานอนบนหัวค่ะ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่แสดงความเป็นเจ้าของแค่นั้นเอง

เถรี 19-10-2011 08:36

อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน ที่โรงพยาบาลทหารเรือ หลวงปู่ท่านป่วยมาตั้งเกือบ ๒ เดือน อาตมากลัวท่านจะล้มในห้องน้ำ จึงนอนขวางหน้าเตียงเลย พอหลวงปู่ขยับ เสียงเตียงลั่นอาตมาก็ลุก “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำหรือครับ ?” ถ้าท่านพยักหน้า อาตมาก็อุ้มท่านเข้าอุ้มท่านออก

วันนั้นพอเสียงเตียงลั่น ลืมตาขึ้นมา “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำใช่ไหมครับ ?” ท่านยิ้มหวานจ๋อยเลย “เข้ามาแล้ว” ท่านเป็นพระสุกขวิปัสโก อาตมาเห็นนี่ยิ่งกว่าอภิญญาอีก สำคัญที่ว่าท่านจะใช้หรือเปล่า ? เพราะว่าเรื่องฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นฤทธิ์ในกสิณ ๑๐ มีฤทธิ์ในการอธิษฐาน ฤทธิ์ในฌานสมาบัติ ฤทธิ์ในบุญ

อาตมานอนขวางหน้าเตียงอยู่ เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ท่านจะไปเองได้ ขนาดขาท่านยังยกไม่ขึ้นเลย แล้วจะก้าวข้ามตัวไปได้อย่างไร ? เวลาท่านลุกขึ้น เตียงต้องดัง อาตมาต้องได้ยินแน่นอน แต่ปรากฏว่าท่านเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ท่านยิ้มหวานไม่พอ ท่านว่าอะไรรู้ไหม ? “อะไรที่เป็นระเบียบ ถ้าฝืนได้แล้วมีความสุขนะ”

เจ้าพวกนั้นก็เหมือนกัน ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปที่โรงครัวก็ชื่นใจแล้ว

เถรี 19-10-2011 16:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมมานั้น ทำให้การกินการอยู่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบ้านเรา พอมารุ่นใหม่นี่เห่อบ้านตามแบบฝรั่ง ปลูกบ้านติดพื้นดิน ที่ฝรั่งเขาปลูกบ้านติดดินแล้วอับทึบมาก เพราะว่าหน้าหนาวเขาจะได้เอาไว้หลบความหนาว และหลังคาจะได้ไม่รับน้ำหนักหิมะมากจนถล่มลงมา

แต่คนไทยเราไปเห็นดีเห็นงามสร้างตามแบบเขา พอขาดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เมื่อฝนมา น้ำท่วม ก็ไม่มีที่ให้หลบ เพราะบางทีหลังคาก็ไม่เหลือ

โบราณสร้างบ้านใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานรอไว้ หน้าน้ำก็ยาเรือเอาลง ปล่อยให้น้ำท่วมข้างล่างแล้วก็อยู่ชั้นบนตามปกติ พอหน้าแล้งเอาเรือขึ้นคาน ชั้นล่างก็เอาไว้ทำงานทำการสารพัด ดังนั้น..ถ้าใครสร้างบ้านก็เอาแบบโบราณนะ บ้านใต้ถุนสูงจะปลอดภัยและเหมาะกับบ้านเรามากกว่า

คุณหมอประสิทธิ์สร้างบ้านหมดเงินไป ๗๐ ล้านบาท พอไปเจออาคารเรือนไม้ที่เกาะพระฤๅษี คุณหมออยากได้มาก ถามว่าราคาเท่าไร อาตมาบอกว่าต่อเติมมา ๒ ครั้งแล้ว อยู่ในงบประมาณ ๒.๔ ล้านบาท คุณหมอคงกลับไปตีอกชกหัวตัวเอง ๒.๔ ล้านบาท กับ ๗๐ ล้านบาทนี่ต่างกันมหาศาล เพราะบ้านที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาคิดราคามักจะสูงเกินจริงไปเยอะ

ภูมิปัญญาโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีแกงส้มดอกแค กินแก้ไข้หัวลม ยิ่งถ้าซดร้อน ๆ เหงื่อแตกเลยยิ่งดี จะได้เป็นสิวน้อยลงด้วย"

เถรี 19-10-2011 16:35

"ฝรั่งเข้ามาทำวิจัยอาหารไทย ว่าประกอบไปด้วยเครื่องสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค แต่ปรากฏว่าคนไทยไปเห่อเคเอฟซี เห่อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอะไรที่กลับข้างกันมาก ถามคนไปเมืองฝรั่งเถอะ อาหารบ้านเขาอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ จะซื้ออาหารไทยที่นั่นก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะราคาแพงมาก

ตอนนี้ฝรั่งเขาบอกว่า มัสมั่นไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้นตำรับมาจากอินเดีย ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า ? เพราะบ้านเราพอของต่างชาติเข้ามาแล้ว มักจะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย

เรากินอาหารจีนในบ้านเราว่าอร่อย ลองไปฮ่องกงหรือไม่ก็จีนดูสิ ไปสั่งอาหารจีนบ้านเขาดูว่าจะกินลงไหม ? กินไม่ลงหรอก เพราะมีแต่มัน ๆ เลี่ยน ๆ ในไทยเราเอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของเรา ก็แปลว่าอร่อยที่บ้านเราไม่ได้แปลว่าจะอร่อยที่บ้านเขา

อาหารหลายต่อหลายอย่างบ้านเราดัดแปลงจนต้นตำรับเขาจำไม่ได้ พวกทองหยิบ ฝอยทองอะไรพวกนั้น คุณหญิงกีมาร์ (Marie Guimar de Pinha) ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำหน้าตาได้หรือเปล่าว่าสอนลูกหลานไทยเอาไว้เอง

คุณหญิงกีมาร์เป็นโปรตุเกส แต่งงานกับฟอลคอน (Constantine Phaulkon) ที่เป็นกรีก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย แล้วรับราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นออกญาหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ภรรยาเป็นคุณท้าว คราวนี้ท่านชื่อกีมาร์ คนไทยเลยเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า"

เถรี 19-10-2011 20:40

"อาตมาเห็นคนไทยสมัยก่อนอ่านหนังสือแล้วกลุ้มใจ เขาอ่านตามสบายใจฉัน อย่างเช่น "แฮรี่ เบอร์นี่" คนไทยอ่านเป็น “หันแตร บารนี” ชื่อเป็นไทยมาก "เซอร์ เจมส์ บรู๊ก" คนไทยอ่านเป็น “เย สัปบุรุษ” เขาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยได้หมด

"หมอบรัดเลย์" กลายเป็น “ปลัดเล” สถานีเขาเรียก “กะเตชั่น” แบ็ดมินตันเขาเรียก “ปั๊กกะตั้น” "เทเลกราฟ" (โทรเลข) เขาเรียกเป็น “ตะแล็บแก๊บ”

ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ก็คือ สยามกัมมาจล ก่อนหน้านั้นเขากลัวว่าการตั้งธนาคารจะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของต่างชาติ เขาก็เลยตั้งเป็น "บุคคลัภย์" มาจากคำว่า Book Club เขาสามารถแปลงให้กลายเป็นภาษาไทยได้

สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ออกเสียง “จ” ไม่ได้ ออกเสียงเป็นตัว J หมด ปกติ จ.จานไม่ต้องห่อลิ้นนะ แต่สมัยนี้ออกเสียง จ.จาน แบบห่อลิ้น แก้ไขไม่ได้ด้วย เพราะเสียมาหลายรุ่นแล้ว

นอกจากนี้ เรายังไปออกเสียง “ญ” กับ “ย” เป็นเสียงเดียวกัน ออกเสียง “น” กับ “ณ” เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งแท้จริงเขาแยกเสียงได้ “น” เขาออกเสียงขึ้นจมูก ถ้า “ณ” ถึงจะออกเสียงปกติ

ลองไปฟังเพลงสาวเชียงใหม่ของสุนทรี เวชานนท์ดูสิ เขาออกเสียง ย. ยักษ์ชัดมากเลย “เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง” นั่นแหละเสียง “ย” แท้"

เถรี 20-10-2011 08:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ของอาตมาจะเลือกช่วยเฉพาะวัดที่เดือดร้อนจริง ๆ ดังนั้น..กฐินปลดหนี้ปีหน้าจะไปที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ของครูบาเหนือชัย

พี่ ๆ น้อง ๆ ใครที่เดือดร้อนก็จะไปช่วย เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่สมัยออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ช่วงนั้นมีบุคคลอยู่จำนวนหนึ่งที่เขามองลักษณะว่า อาตมาตั้งตนเป็นอาจารย์แข่งกับสำนักใหญ่ อาตมาก็มาคิดว่า ถ้าเป็นอาตมาเองจะไม่เสียเวลาคิดอย่างนี้ ถ้าใครสามารถตั้งตัวเป็นอาจารย์ได้ จะสนับสนุนให้สุดตัวไปเลย

แล้วการสนับสนุนก็ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไร ก็แค่ประกาศข่าวว่ามีพี่น้องอยู่ทางด้านนี้ด้านนั้น ให้พากันไปเยี่ยมเยียนกัน คนก็แห่ไปช่วยกันเอง ไม่ต้องแบกต้องหามกันสักหน่อย ไปแนะไปนำกันว่าเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างไร ถึงเวลาญาติโยมท่านไหนอยู่ใกล้ก็ไปทำบุญที่นั่น จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงวัดท่าซุง

ถ้าหากว่าทางวัดใหญ่ทำแบบนี้ เวลาวัดใหญ่มีงาน ทางสำนักต่าง ๆ เขาก็เต็มใจแห่กันไปช่วยอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารวบรวมญาติโยมทางด้านนี้ไปช่วยทางสำนักใหญ่ มีแต่ได้หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ เห็นความสามัคคีเหนียวแน่นในหมู่ลูกพ่อเดียวกัน

อย่างที่สองก็คือ ถ้าหากว่าขาดเหลืออะไร ตัวเองเป็นสำนักใหญ่ สามารถช่วยเหลือเจือจุนได้ สำนักเหล่านั้นจะสามารถตั้งหลักได้เร็ว เป็นที่พึ่งของญาติโยมได้เร็ว

อย่างที่สามก็คือ สมมติว่าญาติโยมอยู่สุไหงโกลก ญาติโยมทางด้านนั้นก็ไม่ต้องแห่ขึ้นมาไกลตั้ง ๑,๕๐๐-๑,๖๐๐ กิโลเมตร เพื่อที่จะได้มาทำบุญที่วัดท่าซุง เพราะมีวัดพี่วัดน้องที่นั่นแล้ว

กลายเป็นว่าอาตมาคิดคนละอย่างกับคนอื่น แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ดังนั้นพองานตัวเองเบาลงนิดหนึ่ง พอที่จะช่วยที่อื่นเขาได้ ถึงได้จัดเป็นกฐินปลดหนี้ไปช่วยเขา"

เถรี 20-10-2011 16:25

"วันก่อนตุ๊ป้อสิงห์บอกว่าสร้างโบสถ์อยู่ ปัจจัยที่น้องหาให้เมื่อตอนกฐินปลดหนี้ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะว่าหัวหน้าช่างที่เชิญมาเขาคิดค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท
ก็ต้องดูว่าแต่ละปีตรงไหนเร่งด่วน เราก็ไปช่วยตรงนั้นกัน ช่วยได้สักปีละวัดก็ยังดี เบื่อแล้วประเภททำกฐินเอาบุญ ทำครั้งหนึ่ง ๒๐-๓๐ วัด เฉลี่ยแล้วได้วัดละไม่กี่สตางค์ ไม่พอยาขี้ฟัน ลงไปวัดเดียวหมดเรื่องหมดราว ให้เห็นหน้าเห็นหลังไปเลย

อีกไม่กี่วันก็จะลงไปที่สุไหงปาดี กลางดงระเบิดเลย กลางดงอิสลาม ชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือวัดรัตนานุภาพ แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าวัดโคกโก

อาตมาลงปักษ์ใต้ไปตั้งแต่ตอนที่ภาคใต้ยังไม่มีเรื่องไม่มีราว ลงไปจนกลายเป็นตัวประหลาดในหมู่อิสลาม ที่แปลกที่สุดก็คือ ลงไปเจอหลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ครั้งแรกที่ปักษ์ใต้ บวชใหม่ ๆ ด้วยกันทั้งคู่ อาตมาบวชได้ ๘ พรรษา ท่านเพิ่งบวชได้ ๔ พรรษา แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งทางใต้มีเรื่องมีราว แต่อาตมาก็ยังคงลงไปตลอด

แรก ๆ ก็ลงไปปีละครั้ง ไป ๆ มา ๆ พอเขาเดือดร้อนก็ไปถี่ขึ้น มาระยะนี้ความเดือดร้อนน้อยลงก็ไปห่างหน่อย บางช่วงเหตุการณ์รุนแรงมาก อย่างระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่ พออาตมาขึ้นรถไฟ ก็จะมีตำรวจเขารักษาการณ์หัวท้ายตู้ละ ๒ นาย ส่วนใหญ่พระจะมีเวรมีกรรม พอพระนั่งก็ไม่มีใครอยากนั่งด้วย ที่ตรงข้ามก็จะว่าง

พอตำรวจเดินไปเดินมาจนเมื่อย เขาก็มานั่งกับพระ แล้วถามว่า “หลวง ๆ ลงมาไม่กลัวรื้อ ?” อาตมาตอบว่า “อ๋อ..อยากให้ระเบิดที่รถคันนี้เลย จะได้ดังบ้าง” ตำรวจเดินหนีไปเลย เจอพระไม่กลัวไม่พอ ภาวนาให้ระเบิดคันนี้อีกด้วย..!

คำว่า “คัน” ในภาษารถไฟก็คือคำว่า “ตู้” พูดง่าย ๆ อยากให้เขาระเบิดตู้นี้แหละ แต่ว่าแปลก..การรถไฟเขาเรียกเป็นคัน เพราะฉะนั้น..รถไฟถ้าลงสายใต้ขบวนหนึ่งจะมี ๒๐ กว่าคัน "

เถรี 21-10-2011 04:05

"ปี ๒๕๔๗ ที่ทางใต้มีเรื่องกันแรก ๆ ตอนนั้นออกนอกที่อยู่ไม่ได้ พอออกมาก็มีมอเตอร์ไซค์รีบปาดมาจอดถาม “ไปไหนครับ ? จะไปส่ง” แต่พอตอนหลังที่เขายิงกระทั่งพระด้วย ไม่มีมอเตอร์ไซค์มารับอีกเลย ตอนที่ยิงแต่ทหารกับตำรวจ เขารีบมารับ พอพระรวมอยู่ในนั้นด้วย..ก็เลิกรับ เพราะกลายเป็นเป้าเด่น มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งพระ

อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าอยู่ทุกวัน ตอนที่เจ้าอ้อย(ศัลยา) อยู่โรงพยาบาล อาตมาก็ไปวันละ ๓ เที่ยว ไปให้เขาเห็นว่าเราไป เช้าเที่ยวหนึ่ง กลางวันเที่ยวหนึ่ง เย็นเที่ยวหนึ่ง กะว่าที่โดนง่ายที่สุดก็รอบค่ำ แต่บังเอิญว่าการที่ได้รับฝึกมาเป็นอย่างดี มียุทธวิธีทางทหาร ที่ทำให้คนที่คิดจะเข้ามาทำร้ายทำได้ยากมาก คือไม่ว่าอย่างไรถ้าเขามาเราจะเห็นก่อน

ต้องได้รับการฝึกมามาก ถึงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าได้ทุกวัน เดินให้เขาคลั่งเล่นว่า ไอ้นี่ทำไมเดินแล้วยิงกบาลมันไม่ได้สักที..!"

เถรี 21-10-2011 08:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางมหาเถรสมาคมกำลังเป็นจุดศูนย์กลางในการช่วยเหลือวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ทางคณะสงฆ์ของเรามีโครงการช่วยเหลือกันเองอย่างนี้มานานแล้ว

เจ้าอาวาสทุกรูปจะโดนหักเงินเดือนในเดือนมกราคมของทุกปี เพื่อส่งเข้ากองทุนวัดช่วยวัด วัดไหนที่ลำบากเดือดร้อนก็สามารถมาขอเงินกองทุนนี้ไปใช้ได้ ตอนนี้โดนหัก ๒ เดือน สรุปว่าพระทำงานหนักกว่าโยม มีเงินเดือนแค่เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไป ๒ เดือน เพราะว่าเดือนที่สองเป็นกองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ

กองทุนเดือนที่สองนี่จัดตั้งเป็นกองทุนของทุกจังหวัด แต่ว่าต้องส่งตัวเลขไปให้ส่วนกลางด้วย หากชาวพุทธในแต่ละจังหวัดเดือดร้อน ต้องการจะกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากกองทุนนี้ได้ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำมาก ๆ เลย กลายเป็นว่าพระเราทั้ง ๆ ที่รายได้อื่น ๆ ก็แทบจะไม่มี แต่ต้องเสียสละตัวเองอย่างมหาศาล

กองทุนแรกคือ กองทุนวัดช่วยวัด กองทุนที่สองคือ กองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ กำลังรอว่าเมื่อไรกองทุนที่สามจะมา เพราะว่าตอนนี้มีการตั้งสถานีโทรทัศน์ของพระพุทธศาสนา การดำเนินการก็ค่อนข้างจะจำกัดด้วยงบประมาณ วัดที่เป็นที่ตั้งก็คือวัดพิชยญาติการามหรือวัดพิชัยญาติ ของหลวงพ่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง

ก่อนหน้านี้หลวงพ่อพระพรหมโมลีท่านบอกว่า ตอนที่แม่ชีทศพรอยู่เราจะทำอะไรก็เหมือนกับเนรมิตได้ แม่ชีเขาบอกลูกศิษย์พักเดียวเท่านั้นก็ได้แล้ว แต่พอแม่ชีโดนคดีต้องออกจากวัดไป เราจะทำอะไรดูหนักหนาสาหัสไปหมด การงานการเงินไม่คล่องตัวเหมือนแม่ชี เพราะแม่ชีมีคนไปพึ่งพาเยอะมาก พอเอ่ยปากทำบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกนิดเดียวก็ได้เลย"

เถรี 21-10-2011 09:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "อัมพะ คือมะม่วง วน คือป่า ดังนั้น..อัมพวัน คือ ป่ามะม่วง วัดอัมพวันเป็นวัดในสมัยพุทธกาล

เวฬุวัน คือป่าไผ่ ลัฏฐิวันคือป่าตาล เชตวัน คือป่าของเจ้าเชต อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปขอซื้อที่จากเชตราชกุมาร เนื่องจากเชตราชกุมารมีเชื้อสายกษัตริย์ ฐานะไม่ได้ยากจน ก็ไม่คิดขาย แต่ถ้าจะซื้อที่ก็ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินมาปูให้เต็มพื้นที่ ไม่ใช่ปูเแบบธรรมดานะ ที่ไหนเป็นหลุมเป็นบ่อก็เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน

อนาถบิณฑิกเศรษฐีสั่งคนใช้ให้เอาเกวียนทุกเล่มที่มีไปขนเงินในคลัง แล้วมาปูให้เต็มพื้น ปรากฏว่าเหลือพื้นที่ตรงหน้าประตู เชตราชกุมารดูแล้วคิดว่า เงินเยอะขนาดนี้คงไม่มีปัญญาใช้หมดแล้ว เหลือที่ตรงนี้ยกให้ฟรีก็แล้วกัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ใจป้ำ ในเมื่อให้พื้นที่ตรงนี้ฟรีก็เลยสร้างซุ้มประตูและตั้งชื่อว่าเชตวัน

วัดเชตวัน คือวัดที่เป็นป่าของเชตกุมาร สมัยนี้มีใครซื้อที่ด้วยวิธีนี้บ้างไหม ? เอาเงินปูให้เต็มพื้นที่ถึงจะได้ที่ไปเป็นของตนเอง"

เถรี 21-10-2011 16:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่แปลกไปจากธรรมชาติ เขาจะถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้อาตมามีไข่อยู่ฟองหนึ่ง เนื้อในเหมือนมรกต น้ำหนักเบาเหมือนเป็นอำพัน แต่อำพันสีเหลือง นี่เขียวปี๋เลย ได้มาจากฝั่งพม่า อยากจะให้ช่างแกะสลักเป็นรูปพระ

ตอนไปพม่าผีเขามาบอกว่า เขาเฝ้าแก้วดวงนี้อยู่นานเต็มทีแล้ว อยากจะไปเกิด ช่วย ๆ ไปเอามาหน่อย อาตมาก็ถามว่าอยู่ที่ไหน ผีบอกว่าอยู่ข้าง ๆ กอไผ่ริมน้ำ อาตมาก็ถามว่าแล้วจะไปเจอได้อย่างไร เพราะเวลาน้ำขึ้นก็ท่วมกอไผ่กอนั้น เขาบอกว่าถ้ามาแล้วเขาจะแสดงไว้ให้ชัด ๆ เลย พอไปถึงก็มีจริง ๆ วางเด่น ๆ คลุกขี้โคลนอยู่

ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นมรกต นึกว่าเป็นหินรูปธรรมดาแบบหินน้ำตกทั่วไป แต่พอมาล้างทำความสะอาดปรากฏว่ากระทบแสงแล้วเขียวปี๋ พอเอาไฟส่องดูเห็นเนื้อใสเลย หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นไข่แก้วของพญาจระเข้ คาดว่าช่างที่ฝีมือดีที่สุดที่มีอยู่ตอนนี้ ค่าแกะคงจะไม่หนีสามหมื่นห้าถึงห้าหมื่น น่าจะได้พระหน้าตักสัก ๓ เซนติเมตร แต่เสียดายเศษที่เหลือจากการแกะ กำลังคิดว่าจะเอามาทำอะไรดี"

เถรี 21-10-2011 16:23

ถาม : ผมบนลูกชายบวชเณรไว้ครับ จะบวชนานเท่าไรดีครับ ? ตอนบนไม่ได้กำหนดไว้ครับ
ตอบ : ถ้าไม่ได้กำหนดวันไว้ บวชนานเท่าไรก็อยู่ที่เราจ้ะ บวชเสร็จก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล บอกว่าได้บวชให้เรียบร้อยแล้ว จะสึกเลยก็ได้

ส่วนที่เขาบวชเช้าสึกเย็นนั้นทำกันบ่อย โดยเฉพาะที่บวชหน้าไฟ คือจะเผาศพบ่ายโมง เขาก็บวชตอนเที่ยง พอเผาศพเสร็จ บ่าย ๓ โมงก็สึกแล้ว ถ้าไม่ได้จำกัดเวลาไว้ จะบวชยาวบวชสั้นก็อยู่ที่เรา

เถรี 21-10-2011 17:34

ถาม : หลานนอนกัดฟันค่ะ ?
ตอบ : โบราณเขาว่าให้เอามะพร้าวล้างหน้าผีมาให้กิน

ถาม : เนื้อหรือน้ำคะ ?
ตอบ : เนื้อมะพร้าว เพราะน้ำเขาใช้ล้างหน้าไปแล้ว ที่เด็กนอนกัดฟันเป็นเพราะเด็กเครียด แม่อาจจะเป็นตัวกระจายความเครียดให้ลูกให้หลาน เวลาผู้ใหญ่เครียดก็ไปทำให้เด็กเครียดด้วย ก็เลยมักจะแก้ไขไม่ได้

เถรี 22-10-2011 08:14

ถาม : ให้ลูกชายมาบวชกับท่านได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..แต่อาตมายังไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นะจ๊ะ ต้องไปบวชกับพระอุปัชฌาย์ก่อน บวชแล้วค่อยขอท่านไปอยู่ด้วยกันที่วัดท่าขนุน

เถรี 24-10-2011 15:43

ถาม : ที่โรงงานมีการตั้งตี่จู้เอี๊ยและตั้งศาลพระพรหมครับ หลังจากตั้งแล้วกิจการไม่ค่อยดี มีคนทักว่าเทพสององค์นี้ไม่ถูกกัน
ตอบ: คนที่พูดแบบนี้เอากิเลสมนุษย์ไปเทียบ ตัวเองระยำเองแล้วไปคิดว่าเทวดาไม่ถูกกัน..!

เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ เทวดาที่ไหนเขาจะทะเลาะกัน ? การตั้งศาลพระพรหม ถ้าไม่รู้ว่าตรงนั้นท่านดูแลรักษาอยู่จริง ๆ..อย่าไปตั้ง เพราะเท่ากับว่าเราไปใช้ผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะซวย..! โดยเฉพาะถ้าตั้งผิดทิศจะเป็นเรื่องเลย เขาให้ตั้งทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวอาคาร โรงงานคุณอยู่ตรงไหนก็เอาตัวโรงงานเป็นหลัก ไปดูว่าตั้งตรงทิศหรือไม่ ? ถ้าผิดทิศก็ไปทำพิธีย้ายเสียใหม่

ถาม : ต้องให้คนมาทำพิธีย้ายไหมครับ ?
ตอบ : ย้ายเองก็ได้ เตรียมศาลใหม่ไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจุดธูปบอกกล่าวท่านว่า ขออนุญาตย้ายมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์และสร้างความเจริญให้กับเราด้วย

เถรี 24-10-2011 16:08

ถาม : ความเชื่อของคนโบราณที่ว่า ถ้านกแสกไปเกาะที่บ้านไหน บ้านนั้นจะมีคนตายหรือจะมีเรื่องอวมงคลเกิดขึ้น จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แล้วบ้านไหนที่ไม่มีคนตายบ้าง ? ลองทดสอบได้ คนไหนใกล้ตายเราก็ไปนั่งรอดูว่าจะมีนกแสกมาหรือไม่ ? จริง ๆ แล้วนกแสกบินไปทุกที่ยกเว้นภาคอีสาน ถ้านกแสกไปภาคอีสาน คนยังไม่ทันจะตายหรอก นกมักจะตายก่อนทุกที กลายเป็นลาบ..! คนอีสานไม่ค่อยจะมีอะไรกิน ถ้าได้ยินเสียงนกแสกนี่วิ่งเข้าหาเลย

เถรี 24-10-2011 16:28

ถาม : ผมกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่าพุทโธ กำหนดไปจนถึงจุดหนึ่งลมหายใจหายไปเหลือแต่ตัวรู้ตัวเดียว ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีร่างกาย เวลาอยู่บนรถเมล์หรือไม่ว่าที่ไหนพอหลับตาก็เหลือสภาวะรู้สภาวะเดียว แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมลุกขึ้นกระทันหัน ตั้งแต่นั้นมาก็กำหนดไม่ได้ ปัจจุบันนี้เวลามองดูร่างกายตัวเองรู้สึกว่าไม่ใช่ร่างกายตนเอง ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ความจริงที่ทำมานั้นดีแล้ว พอทำไปถึงระดับหนึ่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เราคิดเมื่อไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สมาปัชชนวสี มีความชำนาญในการเข้าสู่อารมณ์นั้น ๆ

แต่คราวนี้เราชำนาญการเข้า ไม่ชำนาญการออก พอเราไปลุกพรวดพราดจึงหลุดหายไป พออยากจะได้ใหม่ ด้วยความที่อยากได้จึงทำให้จิตฟุ้งซ่าน ก็เลยทรงอารมณ์นั้นไม่ได้สักที

ถ้าคุณวางกำลังใจเบา ๆ สบาย ๆ ได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา ดูลมของเราไป มีลมรู้ลม มีคำภาวนารู้คำภาวนา ไม่มีลมไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้อยู่เฉพาะหน้าแค่นั้น ถ้าทำได้แบบนั้นจะกลับคืนมาเร็ว แต่ถ้าไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม อารมณ์นั้นจะไม่มาหรอก เพราะใจของเราไม่นิ่ง

เถรี 24-10-2011 16:30

การที่เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดว่า ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเราแล้วเราจะจัดการอย่างไร ? ก็ดูว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราก็ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วก็เอาใจไปเกาะตรงนั้นแทน

คนเคยทำได้แล้วครั้งต่อไปไม่ยาก กลับไปเริ่มต้นใหม่พักเดียวก็ได้ เพียงแต่วางกำลังใจให้ถูก ภาวนาแล้วอย่าอยากได้ อย่าอยากเป็น เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง น่าเสียดายนะ..เผลอหน่อยเดียวหลุด แต่พอหลุดแล้วก็เห็นชัดว่า ก่อนหน้านี้ที่รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้เพราะสมาธิไม่ขาดช่วง พอขาดลงคราวนี้กิเลสเล่นเราปางตายเลย..!

กลับไปเริ่มต้นใหม่ คนเคยทำได้แล้วไม่ยากหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าอย่าอยากเท่านั้น เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง วางกำลังใจสบาย ๆ พักเดียวก็ได้เลย

ถาม : ภาวนาเหมือนเดิมหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ แต่สภาพจิตจะเคยชินกับของเดิมมากกว่า เคยชินของเดิมก็ใช้ของเดิม เพียงแต่ว่าวางกำลังใจใหม่นิดเดียว คือเรามีหน้าที่ภาวนาจะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง

เถรี 24-10-2011 17:29

ถาม : โยมนั่งปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้คือนั่งครั้งละ ๑ ชั่วโมงค่ะ นั่งแล้วจะรู้สึกแค่ศีรษะกับปลายเท้าและปลายเท้าถึงศีรษะ เป็นเวลาตลอด ๑ ชั่วโมง จะรู้สึกอยู่แค่นั้น ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่คะ?
ตอบ : จริง ๆ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออก สมาธิจะทรงตัวแนบแน่นกว่า

เมื่อสมาธิทรงตัวแนบแน่นมั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราได้ยากกว่า การกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีแต่ว่าไม่มั่นคง ในเมื่อไม่มั่นคง ถ้าเราคลายออกมา กระทบอะไรก็จะโกรธได้ง่าย ถ้าหากว่าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งชิน ถึงเราเลิกไปแล้วก็ยังรู้อัตโนมัติอยู่ จะเป็นไปเองโดยเราไม่ต้องบังคับ ถ้าอย่างนั้นจะมั่นคงกว่า ต่อให้เราจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรกิเลสก็กินใจเราไม่ได้

ถ้าถามว่าถูกไหม..ถูก เพียงแต่ว่าความมั่นคงมีน้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าต้องการความมั่นคงจริง ๆ เราต้องไปดูลมหายใจเข้าออกแทน

ถาม : เคยลองปฏิบัติแบบดูลมหายใจเข้าออก ๑ ชั่วโมงซึ่งจะได้ไม่เต็มชั่วโมง แต่ถ้ารู้สึกตัวทั่วพร้อมจะได้ครบ ๑ ชั่วโมงเต็ม
ตอบ : อย่าบังคับตัวเองจ้ะ เอาเป็นว่าดูลมหายใจเข้าออกได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เอาเวลาที่เหลือไปกำหนดการรู้ตัวของเราแทน ทำสองอย่างรวมกันไปเลย ของเก่าก็ไม่เสีย ของใหม่ก็จะได้ไปด้วย

เถรี 24-10-2011 17:35

ถาม : ผมนั่งปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าข้างในนิ่งอยู่อย่างนั้นครับ
ตอบ : จริง ๆ แล้วลักษณะนั้นกำลังใจทรงตัวดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ตั้งใจว่าเราจะอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไร เช่นนิ่งสักครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลาครึ่งชั่วโมงสภาพจิตจะคลายออกมาโดยอัตโนมัติ เป็นอารมณ์ที่รับรู้ทุกอย่าง แล้วเราก็มาพิจารณาร่างกายของเราตามหลักไตรลักษณ์ คือให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะได้ประโยชน์มาก

แต่ถ้าหากว่าเรานั่งแล้วนิ่งแค่นั้น อารมณ์ใจจะทรงตัวเฉพาะตอนที่เรานั่ง ไม่สามารถที่จะจำกัดกิเลสได้มากกว่านั้น ให้เราไม่ก้าวหน้าไปมากกว่านั้น ดังนั้น..ก่อนที่เราจะทำ ตั้งใจไว้เลยว่าจะให้นิ่งนานเท่าไร กำหนดเวลาเอาไว้ ถึงเวลาก็จะคลายจะออกมาเอง

แต่พอคลายออกมาตอนนี้ต้องรีบหางานให้ใจทำ ก็คือพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ดูให้เห็นชัด ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่ให้ใจมีงานทำใจก็จะฟุ้งซ่านขึ้นมาเอง บางทีคิดเรื่องเดียวกันได้เป็นวัน ๆ เลย เพราะเอากำลังจากการภาวนาไปคิดฟุ้งซ่านแทน

ฉะนั้น..โยมทำมาดีแล้ว เพียงแต่กลับมาพิจารณาใหม่เท่านั้น เมื่อพิจารณาแล้วประโยชน์จะเกิดขึ้น พออารมณ์ใจทรงตัวแล้วค่อยกลับไปภาวนาใหม่

เถรี 25-10-2011 05:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นพวกแอฟริกันผิวดำที่ผมติดหนังศีรษะแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านปลงพระเกศาครั้งเดียวในชีวิต แล้วเส้นผมก็ขอดติดพระเศียร ไม่เคยต้องปลงอีกเลย พอไปดูพวกแอฟริกันผิวดำก็เห็นว่าผมเขาติดหนังศีรษะ ดูอย่างไรก็ไม่ยาว

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระไว้ผมยาวได้ไม่เกิน ๒ ข้อนิ้ว สำหรับ ๒ ข้อนิ้วนั้น ถ้าตั้งใจตัดจะได้ทรงกำลังสวยเลยนะ แต่ว่าพระท่านโกน การโกนศีรษะพระพุทธเจ้าอนุมัติว่าอย่าให้เกิน ๒ เดือนต่อครั้ง หรือว่าอย่าให้ความยาวเกิน ๒ ข้อนิ้ว เพราะบางคนผมยาวเร็ว ถ้าผมยาวก่อน ๒ เดือนถึง ๒ ข้อนิ้วก็ต้องโกน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยยาวถึงสักที เพราะม้วนติดหนังศีรษะ ก็เลยไม่ต้องโกนตลอดชีวิต

เราจะเห็นว่าพวกฮินดูพราหมณ์ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายจะไว้ผมยาวเสมอ แล้วก็จะเกล้ามวยผมแทนเขาไกรลาสอันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสำคัญที่พวกเขาเคารพนับถือ

คนที่ผมสั้นเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ไม่มีใครคบด้วย พระพุทธเจ้าทรงเสี่ยงที่สุดในโลก เพราะพระองค์ปลงพระเกศา ทำตัวเป็นคนกาลกิณี ไม่มีใครคบ ถ้าไม่บรรลุมรรคผล แปลว่าไม่สามารถจะถอยกลับไปที่เดิมได้อีกแล้ว ปิดทางถอยของพระองค์เองจนหมด ต้องเด็ดขาดแบบนั้นถึงจะเอาดีได้ ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างนั้นจะเอาดีไม่ได้ เพราะฉะนั้น..โกน..!" (หัวเราะ)

เถรี 25-10-2011 09:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "วายเม เถว ปุริโส เกิดเป็นคนต้องพยายามอยู่ร่ำไป จะทิ้งความเพียรไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิษฐานตอนช่วงที่จะตรัสรู้ว่า พระองค์ท่านจะเพียรพยายามจนสิ้นเรี่ยวแรงที่บุคคลจะพึงปฏิบัติได้ แม้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนี้เหือดแห้งไปก็ตามที ต่อให้ชีวิตินทรีย์นี้สิ้นลงไป ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ พระองค์ท่านจะไม่ละจากบัลลังก์นี้

อย่าลืมนะ..พระองค์ท่านว่า "จนสิ้นเรี่ยวแรง" ก็แปลว่าทุ่มเทชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง..!"

เถรี 25-10-2011 16:35

พระอาจารย์เล่าว่า "ในงานของครูบาวิฑูรย์ มีนักเลงดีเขาลองว่าอาจารย์ใหญ่จะแน่สักแค่ไหน ? ป่านนี้คงรู้แล้วว่าอาจารย์ใหญ่แน่แค่ไหน อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ปลุกคาถามหาสะท้อนเท่านั้น คนอื่นเขาคงแปลกใจว่าทำไมอาตมาขยับแล้วขยับอีกนั่งไม่ติด เพราะตอนนั้นเหมือนกับมีเหล็กแหลมแทงจากฝ่าเท้าเข้าไปถึงกระดูก ปวดสุดใจขาดดิ้นเลย..!

ครั้งแรกก็ว่าจะยอมรับกฎของกรรมเสียหน่อย แต่ชักจะแรงขึ้นทุกที ก็เลยไม่เอาด้วยแล้ว ทีแรกกดไว้แค่หัวเข่า เขาก็ยังไม่เลิกอีก เลยดันพรวดคืนไป พอพระเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ก็เริ่มต้นเอาอีกแล้ว ในเมื่อมาใหม่ อยากได้ก็คืนไป เราไม่ได้ทำอะไรนี่หว่า..!

ถ้าเขารู้พื้นฐานดวงของอาตมาว่าอริเป็นมรณะ ก็คงจะไม่คิดทำอะไร เผอิญว่าเขาไม่รู้ พื้นฐานดวงของอาตมา พอถอดออกมาแล้ว ปัตนิเป็นโภคะ ก็คือผู้หญิงจะให้ลาภ จะได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงเสมอ

ข้อที่สอง คืออริเป็นมรณะ ใครตั้งตัวเป็นศัตรู แค่นั่งมองเฉย ๆ เขาก็ตายไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร อันดับสุดท้าย สหัชชะเป็นพยายะ เพื่อนจะพาจนตลอด อาตมาเลยตัดสินใจจัดกฐินปลดหนี้ให้เลย จะได้ไม่ต้องมาพาให้จนอีก

พื้นฐานดวงเป็นอย่างนี้จริง ๆ ก็เลยไม่ต้องแปลกใจนะว่าทำไมยันต์เกราะเพชรหรือตะกรุดมหาสะท้อน อาจารย์เล็กถึงทำขึ้นนักหนา จะไม่ให้ขึ้นได้อย่างไร เพราะอริเป็นมรณะ มาเท่าไรก็คืนไปหมด"

เถรี 25-10-2011 21:00

ถาม : เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่จิตออกจากกาย จิตไปสุคติอย่างไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจสุดท้ายเกาะอะไร ก็จะไปที่นั่น

ถาม : ระหว่างที่จิตหลุดออกไป หนูเห็นรอบข้างมีลักษณะดำ ๆ ไม่ได้มืดสนิท แต่เหมือนกับไม่มีอะไรเลย ตรงนั้นเป็นสภาพที่เขาเรียกว่าสภาพที่ไม่มีอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คือสภาพการรับรู้ของจิตจะเป็นไปตามกำลังเฉพาะของตน ไม่ได้ขอบารมีพระก็จะไม่เห็น

ถาม : ทำไมเวลาที่เราเจ็บมาก ๆ เราไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ?
ตอบ : ความจริงเราพยายามดิ้นรนให้พ้นความเจ็บ แต่ในเมื่อไม่มีทางพ้นได้ก็ไม่อยากจะอยู่ อารมณ์นั้นจริง ๆ เป็นตัวมุญจิตุกัมมยตาญาณ ขณะเดียวกันก็ใกล้จะเป็นนิพพิทาญาณ คือจะแสวงหาความหลุดพ้น ถ้าเบื่อมาก ๆ ก็จะหาว่าควรจะไปไหน

ถาม : ถ้าอย่างนั้นหนูควรจะ..?
ตอบ :ให้พิจารณาให้เห็นจริงว่า ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ใช้งานร่างกายได้ก็ทนใช้ไป หมดอายุเมื่อไรก็ไปของเรา..!

เถรี 25-10-2011 21:04

ถาม : ในสภาวะที่จิตนิ่ง พอเราเป็นแก้วก็เหมือนกับว่ารัก โลภ โกรธ หลง บางอย่างยังเกาะได้อยู่ แต่ถ้าพอจิตเรานิ่งใสเป็นประกายพรึก กิเลสละเอียดต่าง ๆ ก็จะเกาะไม่ได้อีกต่อไป หมายความว่าถ้าทำจิตสุดท้ายแบบนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปเกาะอะไรหรือคะ ?
ตอบ : เป็นการพ้นกิเลสโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มไว้ แต่เราต้องไปให้ถึงจริง ๆ ถ้าไปไม่ถึง เผลอเมื่อไรกิเลสต่าง ๆ ก็จะกลับมาอีก

ถาม : บางครั้งจิตจะเห็นเหมือนกับว่าสิ่งข้างนอกเป็นสิ่งที่เราเห็น นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ แต่สภาพในใจจริง ๆ คือ..?
ตอบ : ก็คือสภาพการรับรู้ของจิต ถ้าเราให้ความสนใจเมื่อไร ตัวนิ่งก็จะยื่นหน้าไปใกล้กับสิ่งนั้น แล้วถ้าควบคุมไม่เป็นก็จะไหวกระเพื่อมไปกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะเกิดขึ้นกับเรา

แต่ถ้าเรารับรู้เท่าที่จำเป็น รักษาความสงบไว้ ข้างนอกสักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ เพราะเท่ากับว่าอารมณ์ข้างในไม่กระเพื่อม

ถาม : อย่างนี้ส่วนสุดท้ายก็คือพยายามทำให้จิตนิ่งละเอียดถูกไหมคะ ?
ตอบ : สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออย่าไปต่อความยาวสาวความยืด อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าจำเป็นต้องยุ่งก็ออกไปด้วยความระมัดระวังอย่างมีสติ ถึงเวลาก็กลับมาสู่ความสงบอยู่ตามเดิม

โดยเฉพาะจุดที่ต้องระวังมากที่สุด คือ การยินดียินร้ายกับสิ่งใดง่ายเกินไป สภาพจิตแม้จะเป็นปีติยินดีในธรรมก็ตาม ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะเป็นแค่กำลังของกามาวจรเท่านั้น ต้องก้าวข้ามผ่านจุดนั้นไปให้ได้

เถรี 26-10-2011 08:42

พระอาจารย์เล่าว่า "พวกซามูไรญี่ปุ่นจะรักอาวุธของเขามาก ถึงขนาดทำแท่นตั้งไว้แบบแท่นบูชา ส่วนไทยเรา ดาบไทยก็มี พระขรรค์ก็มี แต่ไม่ได้รับการดูแลดีขนาดนั้น ช่างญี่ปุ่นที่ทำดาบซามูไรเก่ง ๆ เขาสืบทอดกันมาตามตระกูล หลักวิชาของเขามีมาเป็นพันปี ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ของไทยเราในปัจจุบันก็ได้แค่ทั่ว ๆ ไป มีไม่กี่รายที่ศึกษาค้นคว้าลึกซึ้ง แต่ก็ยังไม่ได้อย่างของโบราณ

สมัยเด็ก ๆ บ้านคุณตาข้าง ๆ บ้านเป็นโรงตีเหล็ก แกเล่าให้ฟังว่าสมัยช่วงสงคราม เหล็กหาได้ยาก พวกทหารญี่ปุ่นมาดูการทำงานของแก แกกำลังตีมีดอยู่ ทหารญี่ปุ่นเห็นแกเผามีดแล้วดึงออกมาตี เขาก็สั่นหัว คุณตาก็สงสัย ทหารญี่ปุ่นพยายามบอกใบ้ว่าจะจัดการเอง แล้วเขาก็เอาคีมคีบมีดแหย่เข้าไปในกองไฟ คุณตาก็นั่งดูไปเรื่อย

พอมีดร้อนได้ที่ก็ดึงออกมาตี ออกมาเป็นมีดพร้าเหมือนกัน เหมือนที่ใช้งานทั่ว ๆ ไป แต่พอขึ้นคมเสร็จ กลับฟันมีดอื่นขาดได้..! ทั้ง ๆ ที่เป็นเหล็กอย่างเดียวกัน เขาให้ถือไว้แล้วฟันฉับให้ดูเลย แสดงว่าพวกเขาชำนาญถึงขนาดดูว่า สีโลหะที่โดนเผาถึงระดับไหน ความแข็งความเหนียวจะได้ที่มากที่สุด"

เถรี 26-10-2011 08:49

"นักประดาน้ำไทยคนหนึ่ง เคยได้รับการจ้างจากนักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว เป็นเงินห้าหมื่นดอลล่าร์ให้ดำน้ำให้ เขาก็ตกลงไปดำน้ำให้ จุดที่ดำน้ำเป็นจุดที่เรือญี่ปุ่นโดนตอร์ปิโดแล้วจมอยู่ตรงนั้น เขามีแผนที่ละเอียดมากเลย

เขาบอกว่าให้เข้าไปจนถึงห้องบังคับการเรือ จะมีโครงกระดูกอยู่ ไม่ต้องแตะต้อง ให้ดูที่ข้างฝา ถ้ามีดาบซามูไรแขวนอยู่ให้ปลดซามูไรเล่มนั้นออกมาให้เขา เพราะเป็นของประจำตระกูล เขาจะเอากลับไปบูชา

พอเข้าไป เพื่อนบอกว่าเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะปลาไหลมอเรย์ไปอาศัยอยู่ในนั้น ปลาไหลทะเลยักษ์หวงที่ เกือบโดนงับตาย แต่ก็เอาซามูไรออกมาได้ เหลือเชื่อตรงที่ว่าดาบแช่น้ำทะเลอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลก แต่ไม่เป็นสนิม แสดงว่าโลหะศาสตร์ของเขาก็ไม่หนีของโบราณเรา

ลองไปดูปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมสิ ตั้งแต่สงครามสมัยเสียกรุง จนป่านนี้สนิมกินเสียเมื่อไร ความรู้โบราณถ้าไม่ได้รับการสืบทอด ไม่มีอัจฉริยะรุ่นใหม่ ๆ มา ก็จะสูญไป อย่างบ้านจ่าตุ่มถือว่าเขาพยายามเรียนรู้เรื่องโลหะศาสตร์ แต่ว่าเขายังต้องสั่งของสำเร็จจากนอกมาใช้ในการทำมีด

งานทุกอย่างที่บ้านจ่าตุ่มทำก็ถือว่าเป็นงานฝีมือในระดับที่น่าพอใจ แต่ถ้าให้เขาหลอมโลหะเองก็ยังทำไม่ได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว