กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2894)

เถรี 20-09-2011 08:16

ถาม : ถ้าเรานั่งมองพระแล้วมีรัศมีล้อมองค์พระ แล้วสักพักหนึ่งเปลี่ยนทรง จะมีความหมายอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ให้ถือเป็นพุทธานุสติเท่านั้น อย่าไปตีความ เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่

เถรี 20-09-2011 08:17

ถาม : รู้สึกตัวเองแย่ลงค่ะ
ตอบ : แย่ลงก็ต้องเร่งให้ดีขึ้น ตอนนี้หันไปข้างหลังก็ไม่เห็นต้นทาง มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นจุดหมาย มีอยู่ทางเดียวคือต้องเดินขึ้นหน้าเท่านั้น

เถรี 20-09-2011 08:31

ถาม : เพื่อนของโยมคนหนึ่ง เวลาเขาดี ๆ เขาก็บอกว่าจะไปนิพพาน แต่บางทีก็ออกมาด่า ๆ แล้วไปกราบพระใหม่
ตอบ : คนปฏิบัติใหม่ ๆ ได้อย่างนั้นก็ดีมากแล้ว เพราะว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังดีที่ชนะความโกรธ ชนะกิเลสได้บ้าง อย่าให้แพ้ตลอด พอไปนาน ๆ สะสมมากขึ้นก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี 21-09-2011 03:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ถ้าใครสังเกตตอนอาตมากราบพระ จะเห็นชัด ๆ ว่า เบญจางคประดิษฐ์นั้นคือ เวลากราบมือและศอกต่อเข่า ปัจจุบันนี้เห็นหลายคนกราบแล้วมือและศอกอยู่ข้างเข่า อีกประการก็คือกราบไม่ลง ไม่ถึงพื้น จะบอกว่าติดพุงก็ไม่ใช่ เพราะลูกสาวอาตมาน้ำหนัก ๙๓ กิโลกรัม ยังกราบพระได้นิ่มมาก แสดงว่าพุงไม่เกี่ยว

ปัจจุบันเวลาตั้งโต๊ะหมู่ มักจะมีโต๊ะสำหรับกราบ ถ้าเป็นโต๊ะหมู่ของพระเขาให้เอาโต๊ะสำหรับกราบออก ฆราวาสน่าจะยังนิยมตั้งโต๊ะกราบอยู่ การตั้งโต๊ะกราบทำให้กราบไม่ครบองค์ ๕ ที่แน่ ๆ ก็คือศอกกับหน้าผากไม่ลงพื้น

เพราะฉะนั้น..ให้เข้าใจไว้เลยนะว่า ถ้าหากตั้งโต๊ะหมู่ก็ให้เอาโต๊ะกราบออก ถ้ามีคนถามก็ชี้แจงเขาด้วยว่าการกราบพระนั้น เรากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประกอบด้วยองค์ ๕ เข่า ๒ ศอก ๒ หน้าผาก ๑ ถ้ามีโต๊ะนี่ เราจะกราบได้ไม่ครบองค์ ๕ "

เถรี 21-09-2011 04:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศิลปะของไทยเรามีความประณีตทุกอย่าง แม้กระทั่งพวกโขนละคร โขนละครของเรานี่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน ไม่ได้มาจากอินเดีย แม้ว่าเนื้อหาในการเล่นจะมาจากรามายณะหรือรามเกียรติ์ของอินเดียก็ตาม แต่ว่าโขนละครของเราเป็นภูมิปัญญาของตระกูลขอม พอมาถึงไทยแล้ว เราดัดแปลงจนกระทั่งดูดี ทางด้านเขมรต้องมาเลียนแบบของไทยกลับไปอีกทีหนึ่ง เป็นการส่งผ่านวัฒนธรรมย้อนไปย้อนมา

ถ้าใครเคยไปเขมร ไปเยี่ยมพระราชวังเขมรินทร์ เห็นชัด ๆ เลยว่าเขาถอดแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทไป แต่ว่าฝีมือยังไม่ได้เท่าของเรา

สมัยเด็กที่เราเรียนกาพย์ห่อโคลงฯ เขาบอกว่า
จักรีพระที่นั่ง........สามยอดตั้งตรูตาชม
สำราญสถานสม...........สถิตถิ่นปิ่นนรา
ดุสิตปราสาทตั้ง............พระมนังคะศิลา
พิมานรัถยา.............อุดมอาสน์ราชฐาน"

เถรี 21-09-2011 04:27

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำคทาใหม่ ๆ อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่ พอสอนมโนมยิทธิเสร็จ ออกมาจากห้อง มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ เห็นท่านใช้คทาแตะคนนั้นแตะคนนี้ อาตมาก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า "ขอผมบ้างครับ" ท่านฟาดเปรี้ยง..! เสียงสนั่นเลย เสียงสนั่นอย่างกับท่านแกล้งตีลงบนโต๊ะ

ท่านบอกว่า "ขอทั้งทีให้เบา ๆ เดี๋ยวหาว่าขี้เหนียว" คนอื่นนึกว่าท่านฟาดโต๊ะ จริง ๆ แล้วท่านฟาดหัวอาตมานั่นแหละ แต่ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย รู้สึกพองวูบไปทั้งตัว อยู่ในท่าคุกเข่าก้มหัว ตัวลอยขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ท่านให้เยอะจริง ๆ ครั้งนั้น"

เถรี 21-09-2011 04:42

ถาม : พระอัลเลาะห์ ?
ตอบ : พระอัลเลาะห์จริง ๆ คือ พระโยนกธรรมรักขิต เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แต่ตอนหลังคนนับถือไปนับถือมาจนเพี้ยน เพราะว่ารอจนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปีแล้ว ถึงมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่

แถว ๆ เขตนั้นเขาเรียกว่าโยนก มีในส่วนของอัฟกานิสถาน จะมีแถวที่เขาเรียกแบกเทรีย ที่เป็นอาณาจักรโบราณ แล้วก็มีทาริม ปัจจุบันสถานที่พวกนี้อยู่ในประเทศที่ลงด้วยคำว่า "สถาน" เยอะแยะไปหมด เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ฯลฯ

อัลเลาะห์จริง ๆ มาจากคำว่า "อัลลาฮะ" ก็คือ "อรหันต์" เขาออกเสียงได้แค่นั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไหว้พระอัลเลาะห์ถูกตัวจริง ๆ ก็จะเป็นพระอรหันต์ คือพระโยนกธรรมรักขิตตะ

ถาม : ทำไมไม่มีรูปแทนองค์พระอัลเลาะห์ ?
ตอบ : พระโยนกธรรมรักขิต ท่านตั้งใจว่า ถ้าหากยังมีสิ่งให้ยึด คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่ยังยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? นั่นจริง ๆ เป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย

เถรี 21-09-2011 04:52

มีหลายอย่างที่ศาสนาพุทธเข้าไปทางด้านเขา แต่เขาพยายามที่จะทำลายเสียไม่ให้เหลือ เพื่อที่จะเอาศาสนาของตัวเองอย่างเดียว อย่างงานศิวาราตรีที่เขามีการลอยบาป มีการบูชาพระศิวะกัน จำไม่ได้ว่าที่เมืองไหน เขาจะเอาดอกดาวเรืองไปสุม ๆ จนเต็มพระพักตร์พระศิวะเลย เพราะเขาไม่ต้องการให้เห็นว่าคนโบราณเขาแกะสลักพระพุทธรูปเล็ก ๆ ไว้ที่พระนลาตของพระศิวะ

ท่านที่รู้จริง ท่านเอาพระเหนือเทพ แต่ท่านที่นับถือเทพว่ายิ่งใหญ่ที่สุดท่านยอมไม่ได้ แต่คราวนี้จะไปเปลี่ยนแปลงจะไปลบไปอะไร ก็กลัวจะเป็นการลบหลู่เทพเจ้าของตัวเองที่นับถือ ก็เลยใช้วิธีนี้ ถึงเวลามีงานก็เอาดอกไม้ไปสุมไว้เสีย

ทางด้านนั้นไม่แน่ใจ แต่ว่าบรรดานักปราชญ์สมัยก่อนอย่างสมัยของเพลโต โสเครติส ท่านเดินทางจากทางด้านกรีกมาศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้ ก็เลยสงสัยว่าคำสอนของท่านบางอย่างของเขาเหมือนกับศาสนาพุทธของเรา จะบอกว่าวิสัยนักปราชญ์มักคิดอะไรคล้าย ๆ กันก็ใช่ แต่ก็ระแวงว่าท่านเดินทางมาศึกษาก็น่าจะได้อะไรไปบ้าง

เถรี 21-09-2011 12:46

ถาม : เวลาเรามีปัญหา จะทำให้จิตปลอดโปร่งสบาย ๆ อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็อย่ารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองสิ ส่วนใหญ่ที่จิตไม่ปลอดโปร่งเพราะเรารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองเสียเยอะ แบบเดียวกับที่บอกว่าสงสารเขา สงสารไปสงสารมา แบกปัญหาแทนเขา ก็ตายสิจ๊ะ

พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของศาสดาจริง ๆ พระองค์ท่านสอนให้เรามี เมตตา กรุณา มุทิตาแล้ว ยังสอนหลักธรรมป้องกันไม่ให้เราบ้า นั่นก็คือต้องมีอุเบกขา ไม่อย่างนั้นสงสารเขา เมตตาเขาจนเกินประมาณ ช่วยเขาได้แล้วก็มาเครียด มาเศร้า มาเสียใจเอง จะบ้าเสียเปล่า ๆ

เพราะฉะนั้น..หลักธรรมท่านให้ไว้ ๔ ข้อ ต้องใช้ให้ครบ ถ้าใช้ไม่ครบแล้วเราจะแย่ ทำตัวเป็นก๊วยเจ๋งไปได้ ครั้งแรกก๊วยเจ๋งฝึกกำลังภายในอยู่ท่าเดียว พอไปเจอโอวหยางอู่จี้ลูกศิษย์เฒ่าพิษปัจฉิมซึ่งมีฝีมือเหนือกว่า โอวหยางอู่จี้ดูไปดูมาเห็นก๊วยเจ๋งเป็นอยู่ท่าเดียว จึงจัดการเสียน่วมเลย เพราะฉะนั้น..ฝึกใช้ให้ครบ ๔ นะจ๊ะ ถ้าไม่ครบ ๔ นี่กิเลสอัดเราน่วมแน่

ถาม : บางทีเราก็ยังทำไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไม่ได้ก็พยายามต่อไป จริง ๆ แล้วทั้งหมดสำคัญตรงสมาธิ วันนี้บอกกับโยมที่ไปปฏิบัติที่วัดท่าซุงมาว่า ไปมาหลายวัน อารมณ์ใจทรงตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระมัดระวังรักษาอารมณ์เอาไว้ อย่าให้รั่ว พูดแค่ที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นกำลังที่เราสั่งสมเอาไว้จะรั่วออกทางวาจาหมด แล้วก็ไม่พอใช้ในการตัดกิเลส ไม่พอใช้ในการดึงตัวเองขึ้นมาให้สูงจากสภาพปกติตรงนั้น

ในเมื่อจิตใจเราไม่ได้สูงกว่าเขา ถึงเวลาไปรับภาระมากก็ทับเราแบน ถ้าหากว่าสภาพจิตใจสูงกว่า คือความเข้มแข็งมีมากกว่า เท่ากับว่าเรายืดคอพ้นขึ้นมาแล้ว อย่างน้อย ๆ หนักแค่ไหนก็ยังหายใจได้ ถ้าตอนนี้ดีที่สุดก็คือไม่รับเลย กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ

ระวังให้มาก พวกเราส่วนใหญ่เสียตรงปาก พอถึงเวลาก็โม้กระจาย กำลังที่สั่งสมไว้ก็ไปกับปากหมด เพราะกำลังนี้จะรั่วออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รั่วทุกรูเลย พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า ถ้าหากว่าจะจับเหี้ย เราต้องอุดรูไว้ ๕ รู เหลือแค่รูเดียว นั่งเฝ้าไว้เดี๋ยวเหี้ยก็ออกมาให้เราจับเอง ดังนั้น..ให้ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ระวังใจอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเด็กชาวนาจับเหี้ยกินไม่ได้หรอก ถ้าเปิดเอาไว้หลายรูเหี้ยก็หนีออกได้ทุกรู

เถรี 22-09-2011 08:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางศาสนาฮินดูที่ปฏิบัติตามหลักโยคะ จะมีช่วงหนึ่งที่เขาเรียกว่าวานปรัสถ์ คือช่วงที่ออกป่าเพื่อแสวงหาธรรม

ศาสนาฮินดูนี้เหมือนเป็นข้อบังคับไปในตัวว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วให้กลับมาสอนคนอื่น เขาจะมีวัยต้นเรียกว่า พรหมจารีย์ วัยถัดมาคือ คฤหัสถ์ วัยครองเรือน วัยถัดมาคือ วานปรัสถ์ ผู้ออกป่า วัยถัดมาคือ สันยาสี กลับมาเป็นอาจารย์สอนคนอื่น หลักการเขาดีมาก

การแสวงหาโมกษะ คือ ความหลุดพ้นตามความเข้าใจของเขา โดยการไปอยู่กับปรมาตมัน(ตัวตนผู้เป็นใหญ่) ส่วนใหญ่เขาหมายถึงพรหม ไม่ใช่การหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน"

เถรี 22-09-2011 08:39

ถาม : การบรรลุธรรมของบางท่านที่ปฏิบัติแล้วเข้าถึงอรหัตผลเลย กับบางท่านที่ต้องผ่านเป็นขั้นเป็นตอนไป อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นจริตนิสัยเฉพาะของแต่ละคน

เถรี 22-09-2011 08:54

ถาม : หนูอยากจะร้องไห้ วนอยู่สิบรอบกว่าจะมาถึงที่นี่ มือถือก็เสีย โทรถามทางไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นไร ถือว่าทดสอบกำลังใจ แต่ไม่ผ่าน..! แล้วมาถึงนี่ได้อย่างไร ?

ถาม : จอดแล้วก็ถามทาง จอดแล้วก็ถามทาง
ตอบ : ถ้าทำอย่างนั้นตั้งแต่รอบแรกก็มาถึงแล้ว นิสัยไม่ถามทางเป็นนิสัยผู้ชาย เพราะผู้ชายมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ แต่ไม่ใช่อาตมา อาตมาถือภาษิตโบราณว่า หนทางอยู่ที่ปาก ไปไหนไม่รู้จักทางก็ถามดะ ถามเองด้วย เพราะเวลาพระถามเขาจะตั้งใจตอบ

ไม่เป็นไร...จะได้รู้ว่าที่ปฏิบัติมายังไม่พอใช้งาน พอกระทบยังกำเริบได้ง่าย

ถาม : อุตส่าห์ดีใจว่าเมื่อคืนมีเทวดามาคุม นึกว่าท่านจะมาคุมเราให้มาบ้านวิริยบารมีได้สบาย แต่ที่ไหนได้..?
ตอบ : ที่แท้มาหลอกให้เราหลงทาง ตอนนี้เชื่อหรือยังว่า เจออะไรเชื่อไม่ได้สักอย่าง คิดดูแล้วกันว่า เขาบอกให้ไปขุดสมบัติตรงนั้น มีภูมิประเทศอย่างนั้น มีเครื่องหมายอย่างนั้น ตรงหมดทุกอย่าง แต่พอไปถึง ขุดแล้วไม่เจออะไร

เขามาใหม่ก็บอกว่า ตอนนั้นทำพิธีไม่ถูก ไปเวลาไม่ถูก อาตมาก็ไปใหม่ พอครั้งที่ ๓ ไม่ไปแล้ว เขาโผล่หน้ามา อาตมาบอกว่า "ถ้าจะให้ ก็เอาไปจำหน่ายเอง โอนเงินเข้าบัญชีมาแล้วจะรับ..!" ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเทวดาที่ไหนมาทดสอบอย่างนี้อีกเลย เพราะท่านต้องเอาไปจำหน่ายเอง โอนเข้าบัญชีเองอีกต่างหาก โดนไป ๒ ครั้งก็พอแล้ว

ทุกอย่างใช่หมด ยกเว้นของที่เขาจะให้นั้นไม่ใช่ จะบอกว่ารู้ไม่ตรงก็ไม่ใช่ แค่จะหลอกให้เสียเวลา ต้องบอกว่ากำลังใจของเรายังเชื่อไม่ได้ จนกว่าจะผ่านข้อทดสอบที่แท้จริง พอทดสอบเข้าไปจริง ๆ ก็เพิ่งจะรู้ว่าไม่ผ่าน

ถาม : ถ้าผ่านแล้วจะเจอข้อต่อไปหรือคะ ?
ตอบ : ก็จะเจอที่แย่ขึ้น มีแต่หนักขึ้นไม่มีเบาลง

เถรี 22-09-2011 09:41

ถาม : ญาติธรรมคนหนึ่งอยู่สระบุรี เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้คันไปทั้งตัว เดี๋ยวเขาก็คันตรงนั้น คันตรงนี้
ตอบ : ให้เขาเอาน้ำมันชาตรีมาอธิษฐานกิน น้ำมันชาตรีกินได้เพราะเป็นน้ำมันงา กินช้อนเดียวก็พอแล้ว ถ้าไม่เกรงใจจะกินหมดขวดก็ได้..!

เถรี 22-09-2011 09:51

พระอาจารย์บอกว่า "พออายุมากขึ้นร่างกายเริ่มสะสมไขมัน เพราะอายุมากขึ้นการทำมาหากินไม่คล่องตัวเหมือนหนุ่มสาว ก็ต้องสะสมไว้ เผื่ออด

ในเมื่อพวกเราไม่อยากจะสะสมก็ต้องใช้ให้หมด แต่สิ่งที่เราใช้ไม่มากเท่ากับที่กิน ก็เลยเหลือ มีอยู่ ๒ อย่าง คือกินให้น้อยลงหรือใช้ให้มากขึ้น ไม่ต้องไปเข้าสำนักออกกำลังหรอก กวาดบ้านถูบ้านทำไปเถอะ กินเช้า ลดกลางวัน งดเย็น เพราะส่วนใหญ่ที่เน้นกินคือมื้อเย็น กินแล้วไม่ได้ใช้งาน ร่างกายเก็บสะสมไว้ทุกวันก็เลยอ้วน"

เถรี 22-09-2011 10:05

ถาม : ฝันเห็นช้าง
ตอบ : ถ้าฝันว่าขี่ช้างแปลว่างานใหญ่จะสำเร็จ

ถาม : หนีช้าง
ตอบ : ถ้าฝันว่าหนีช้างก็พิจารณาว่าติดหนี้หรือติดการบนที่ไหนหรือเปล่า ?

เถรี 22-09-2011 10:32

ถาม : นั่งสมาธิแล้วไปหยุดอยู่ที่ตัวโยกโคลง ไปต่อไม่ได้ครับ
ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่แล้วอาการโยกโคลงจะเลิกไปเอง ถ้าหากเราไปกลัว ไปอายก็จะเป็นไม่เลิก ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าจริง ๆ ใจตอนนั้นนิ่ง เรามีหน้าที่รับรู้อย่างเดียว ปล่อยให้ดิ้นตึงตังโครมครามให้เต็มที่ไปเลย แล้วกำลังใจจะผ่านไปทรงฌานได้

อาตมาติดอยู่ตรงนี้ ๓ เดือนกว่า ดิ้นทุกวัน ดิ้นจนคนอื่นเขาตกใจว่าบ้านจะพัง อย่ากลัวและอย่าอายคน ปล่อยเต็มที่ไปเลย คิดว่าถ้าจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป

เถรี 22-09-2011 10:46

ถาม : ถ้าเราทำเรื่องเบิกเงินนอกเวลาไว้วันนี้ แต่วันนี้ไม่ได้ทำงาน วันหลังมาทำชดใช้จะผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเอาไปโดยไม่ชดใช้จะผิด ถ้าเรามาทำชดใช้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าตายก่อน..! ถ้าตายก่อนก็ผิดเต็ม ๆ เพราะยังไม่ได้ทำงานให้เขา

ถาม : ถ้าก่อนหน้านี้เราทำไปแล้ว แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเบิก ถ้าเราไปเบิกย้อน ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตั้งใจเบิกไว้ก่อน ไปเบิกทีหลังถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องตั้งใจเบิกแล้วมาเบิกรวมกันทีหลัง

เถรี 22-09-2011 15:53

ถาม : ยันต์มหาพิชัยสงครามนี่ถ้าไม่มีเหรียญเอกราชจะสามารถเลี่ยมแบบเดี่ยว ๆ ไหมครับ?
ตอบ : ได้...แล้วใครเขาบังคับให้เลี่ยมคู่ ?

ถาม : รบกวนปลุกด้วยครับ
ตอบ : ปลุกก็ตายห่_พอดี..! จำไว้เลยว่ายันต์พิชัยสงครามห้ามปลุกเด็ดขาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้ามไว้ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือหลวงตาวัชรชัยสมัยยังไม่ได้บวช พอเขาเอาผ้ายันต์พิชัยสงครามมาวางจำหน่ายที่บ้านสายลม จะมีเศษผ้าที่เขาตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ผูกอยู่เป็นมัด พอแกะออกหลวงตาก็เอามาคาดหัวแล้วก็ทำท่าให้ถ่ายรูป ไม่รู้เท้าใครเตะมา โครมเดียวหลวงตากระเด็นไปติดข้างฝา นั่นแค่เศษ ๆ ผ้าที่เข้าพิธีนะ..ยังห้ามเล่นเลย

หลวงตาคอเอียงเลย ต้องให้พี่ ๆ เขามานวดให้ พอพี่ตั้วช่วยจับเส้นก็ถึงกับสะบัดมือพรวดเลย เหมือนโดนไฟดูด "ไอ้ห่_ มึงไปทำอะไรมาวะ ? ของแรงปานนี้" หลวงตาสารภาพว่าเอาเศษผ้าที่ผูกยันต์พิชัยสงครามมาคาดหัวเล่น

พี่ตั้วไปเอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อมาควั่นข้อมือตัวเองจึงนวดได้ ไม่อย่างนั้นจะเข้าตัว หลวงพ่อถึงได้เตือนว่า ธงพิชัยสงครามอย่าปลุก ถ้าปลุกแล้วทานกำลังไม่ได้ เดี๋ยวจะตายเอา ถ้าจะเป็นประเภทเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นวัตถุมงคลอย่างเดียวที่ห้ามลองด้วยการปลุก ใครจะลองก็ไม่ว่า จองเมรุไว้ก่อนเลย..!

อะไรที่หลวงพ่อสั่ง นานแค่ไหนอาตมาก็จำไม่ลืม เพราะว่าคำสั่งที่ท่านสั่งก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น

เถรี 22-09-2011 16:11

ธงมหาพิชัยสงครามพอพ้นจากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว คนอื่นก็ทำก็ได้แค่สวยเท่านั้น ท่านบอกว่าอานุภาพได้ไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าไม่ใช่เชื้อสายของท่าน

ท้าวมหาชมพูก็คือพระร่วง ท่านเป็นเจ้าของธงมหาพิชัยสงคราม ในเมื่อหลวงพ่อท่านไม่มีลูกไม่มีหลานที่สืบสายท่านโดยตรง ท่านจึงถวายตำราพระร่วงให้กับในหลวงไป ด้วยความที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินสามารถเริ่มต้นสายวิชาการใหม่ได้ทุกประเภท อยู่ในลักษณะที่ทรงประทานให้ เพราะฉะนั้น..ใครอยากได้ให้ไปขอจากในหลวง ถ้าในหลวงประทานให้ถือว่าท่านครอบครูให้เราเป็นต้นสายใหม่

วิชาการอะไรที่ขาดช่วงลง ในหลวงสามารถที่จะครอบครูให้ใหม่ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นทั้งเจ้าฟ้าเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เขาถือกันอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ

เถรี 23-09-2011 08:23

ถาม : ก่อนพุทธศาสนาจะเกิดขึ้น มีศีล ๕ ศีล ๘ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พวกโยคีฤๅษีส่วนใหญ่เขามีศีล ๕ ศีล ๘ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าคิดว่าศีล ๕ เป็นของศาสนาพุทธ ความจริงศีล ๕ เป็นของศาสนาเชน

ถาม : ใครสร้างกฎขึ้นมา ?
ตอบ : ศาสดาเขาเห็นว่าเหมาะ เขาจึงสร้างขึ้นมา ศาสดาของศาสนาเชนคือท่านมหาวีระ มีศีล ๕ ก่อนศาสนาพุทธจะเกิดขึ้น มีวันหยุดธรรมสวนะ ศาสนาพุทธมามีตามหลัง ถึงได้บอกว่าคนที่จะเอาศาสนาพุทธบริสุทธิ์ หาทั้งชาติก็หาไม่เจอ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้ามีส่วนที่ท่านเห็นว่า สิ่งที่ศาสนาอื่นบัญญัติไว้เหมาะสมแล้ว ท่านก็นำมาใช้ อย่างเช่นศีล ๕ หรือวันพระ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ท่านดัดแปลงจากศาสนาอื่นมาเพื่อให้สมบูรณ์ เช่น สิงคาลกสูตร ที่สิงคาลกมานพไหว้ทิศทั้ง ๖ อยู่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าจะไหว้ให้ถูกต้อง ต้องไหว้ดังนี้ทิศเบื้องบน คือสมณชีพรามณ์ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องล่าง คือข้าทาสบริวาร ต้องปฏิบัติอย่างไร

ทิศเบื้องหน้า คือพ่อแม่ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องหลัง คือบุตรภริยา ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องขวา คือครูบาอาจารย์ ต้องปฏิบัติอย่างไร ทิศเบื้องซ้าย คือมิตรสหาย ต้องปฏิบัติอย่างไร นี่คือส่วนที่ท่านดัดแปลงให้ถูกต้องสมบูรณ์

ส่วนที่เป็นพุทธแท้ ๆ ก็คือ อริยสัจ สิ่งที่ท่านตรัสรู้มากกว่าศาสดาอื่นเขา เพราะหลักการปฏิบัติศาสนาอื่นเขาก็มีถึงสมาบัติแปดแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเขาเน้นร่างกายมากเกินไป คิดว่าใครทรมานได้ยิ่งกว่าก็จะทำให้พระเจ้ารักมากกว่า กลายเป็นผิดไปหน่อยเดียว ถ้าเลี้ยวถูกทางก็ไปลิบโลกแล้ว

แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เท่ากับว่าบ่มเพาะตัวเองจนไปถึงระดับที่บารมีของท่านเต็ม พอฟังเทศน์จบเดียวก็บรรลุกันเป็นแถว เพราะฉะนั้น..จะว่าสิ่งท่านทำจะไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ อย่างท่านที่เสียประโยชน์ไป เช่น ท่านอาฬารดาบสตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๗ วัน ท่านอุทกดาบสยิ่งน่าเสียดายใหญ่ ตายวันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ทันได้เจอพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้แล้ว แสดงว่าท่านอาฬารดาบสตายวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ ท่านอุทกดาบสตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันวิสาขะพอดี

เถรี 23-09-2011 08:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงสมเด็จย่า...สมเด็จย่าตรัสกับในหลวงว่า "แม่แก่แล้ว..จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ?" พระองค์ท่านย้ำอยู่บ่อย ๆ ในหลวงก็ต้องดูแลแม่มากขึ้น ช่วงท้าย ๆ ถึงขนาดไปเสวยพระกระยาหารค่ำอาทิตย์ละ ๕ วัน

พันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธิน ท่านเคยเป็นอาจารย์เคยสอนอาตมาอยู่ ท่านบอกว่ามีใครบ้างที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ได้อาทิตย์ละ ๕ วัน พวกข้าราชการ อธิบดี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ถึงเวลาอ้างติดงานไม่มีเวลาไป แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ..!"

เถรี 23-09-2011 08:49

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ท่านอุปกาชีวกเป็นบุคคลแรกที่ได้พบพระพุทธเจ้าหลังจากที่ตรัสรู้แล้ว เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เรียกพระพุทธเจ้าว่า อนันตชินะ แปลว่า ผู้ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้

ตอนนั้นพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทาย อุปกาชีวกเดินผ่านมาพอดี สงสัยว่าไฟไหม้ราวป่าหรืออย่างไร เพราะมีแสงสว่างไปหมด ก็คือฉัพพรรณรังสี จึงเข้าไปดูแล้วพบพระพุทธเจ้า ชอบใจมากเลยเข้าไปถาม

"ดูก่อนท่านผู้เจริญ...อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านชอบใจธรรมะของผู้ใด ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ?" พระพุทธเจ้าตอบว่า "เราเป็นสวยัมภู" คือเป็นผู้รู้เอง

ท่านอุปกาชีวกถามพระพุทธเจ้าว่า "ถ้าจะไปหาท่าน จะให้บอกว่าไปหาใคร ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ให้เรียกเราว่าอนันตชินะ คือ ผู้ที่ชนะอย่างหาประมาณไม่ได้"

ในพระไตรปิฎกอธิบายว่า อุปกาชีวกแลบลิ้นสั่นศีรษะแล้วหลีกไป ทุกวันนี้อรรถกถาอธิบายว่า อุปกาชีวกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วตอนหลังอุปกาชีวกย้อนกลับไปบวชเพื่ออะไร ?

เราลองไปทิเบตทุกวันนี้ ถ้าเขาเคารพใครมาก ๆ เขาจะแลบลิ้นให้ พวกเมารีที่ออสเตรเลียเขาก็แลบลิ้นให้ ส่วนการสั่นศีรษะของแขกแปลว่าใช่เลย เวลาพระไทยไปเมืองแขก แขกเขาเลี้ยงอาหารที่เรียกว่าอังคาสด้วยมือ ก็คือ จะมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยเติมให้ คนไทยก็สั่นหัวไม่เอา แขกยิ่งเติมใหญ่เลย เพราะการสั่นหัวของเขา คือเอาอีกหรือใช่เลย

เพราะฉะนั้น..อุปกาชีวกแลบลิ้นคือแสดงความเคารพ ที่สั่นหัวก็คือเชื่อ แต่กิเลสยังบังหน้าอยู่ ไม่มีโอกาสขอฟังธรรม จะรีบเดินทางไปแต่งงานก่อน เพื่อนของอุปกาชีวกยกลูกสาวให้ ตอนนั้นตัณหาราคะนำหน้า อุปกาชีวกจึงไม่ได้คิดที่จะบวช ไม่ได้คิดที่จะฟังธรรม จะรีบไปแต่งงาน"

เถรี 23-09-2011 08:54

"พอแต่งงานแล้วอุปกาชีวกไปอยู่อาศัยบ้านของผู้หญิง คือ การแต่งงานมีอาวาหมงคลกับวิวาหมงคล ถ้าผู้ชายไปอยู่บ้านผู้หญิง คืออาวาหมงคล แต่ถ้าผู้หญิงไปอยู่บ้านผู้ชาย คือวิวาหมงคล

อุปกาชีวกไปอยู่บ้านเพื่อนที่กลายเป็นพ่อตา ก็เท่ากับไปกิน ๆ นอน ๆ ที่บ้านเขา เมียก็บ่นบ้าง ด่าบ้าง เกิดมาทั้งทีหาความดีก็ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี พี่น้องเพื่อนฝูงที่เป็นคนรวยก็ไม่มี พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นคนใหญ่คนโตก็ไม่มี ท้ายสุดอุปกาชีวกทนไม่ไหวบอกว่า ตัวท่านเองมีเพื่อนที่ยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้เป็นศาสดาเอก ภรรยาถามว่าใคร ?

อุปกาชีวกบอกว่า ท่านฟังข่าวเพื่อนคนนี้อยู่ตลอด ไปไหนมีรัศมีออกอยู่คนเดียว ชื่อว่าพระอนันตชินะ เมียก็ประชดบอกว่า มีเพื่อนก็ไปพึ่งเพื่อนสิ อุปกาชีวกก็เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า

ตอนช่วงเช้าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "ถ้ามีบุคคลมาถามหาพระอนันตชินะ ให้พามาหาเรา" อุปกาชีวกก็ถามหาชื่อนี้จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์อุปกาชีวกฟัง ท่านก็เลยบวช"

เถรี 23-09-2011 09:01

"เรื่องของการบวชพระที่เขาถามอันตรายิกธรรม คือ กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส โสโส อะปะมาโร เหล่านี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจในยุคนั้น พวกโรคกลากเกลื้อน โรคเรื้อน ลมชัก วัณโรค

หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านเคารพพระพุทธเจ้ามาก ท่านรักษาแต่พระพุทธเจ้าและพระ ส่วนเวลาอื่นท่านต้องถวายการรักษาพระเจ้าแผ่นดินเพราะเป็นหมอหลวง ไม่มีเวลารักษาคนทั่วไป คนทั่วไปก็ฉลาด ใช้วิธีบวชเข้ามาเป็นพระให้หมอชีวกฯ รักษา พอหายจากโรคแล้วก็สึก

หมอชีวกโกมารภัจจ์เดินเข้าวัง พอดีสวนกับพระที่เพิ่งสึกใหม่ ๆ ก็จำได้ "ท่านสึกแล้วหรือ ?" เขาตอบว่า "เราหายจากโรคแล้วจึงสึก" ได้ยินดังนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงเข้าใจว่า เขาบวชเข้ามาต้องการให้รักษาอย่างเดียว ท่านก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคสังคมรังเกียจ ๕ ประการนี้ อย่าให้บวช คือให้มีการถามอันตรายิกธรรม ก็คือถามว่าเป็นโรคพวกนี้หรือเปล่า

หลังจากนั้นส่วนอื่น ๆ ก็จะมี มะนุสโสสิ เป็นมนุษย์หรือเปล่า ? เพราะเคยมีพญานาคแปลงกายมาบวช ปุริโสสิ เป็นผู้ชายหรือเปล่า ? ความจริงเขาถามว่าเป็นบุรุษหรือเปล่า ? ภุชิสโสสิ เป็นทาสหรือเปล่า ? ถ้าเป็นทาสหนีเจ้านายมาก็บวชให้ไม่ได้ เพราะเป็นคนมีเจ้าของ

อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ? นะสิ ราชะภะโฏ เป็นข้าราชการหรือเปล่า ? ถ้าหนีราชการมาบวช พระเจ้าแผ่นดินสั่งประหารชีวิตจะเดือดร้อนกันใหญ่"

เถรี 23-09-2011 09:03

"อะนะโณสิ เป็นหนี้หรือเปล่า ? ข้อนี้คนเข้าใจผิดกันเยอะว่าถ้ามีหนี้สินอยู่บวชไม่ได้ เขามีวิธีสำหรับคนเป็นหนี้แล้วอยากบวช ก็คือหาคนมารับสภาพหนี้ เช่น ทางบ้านรับปากว่า ถ้าเขามาทวงจะใช้หนี้ให้ ก็ถือว่าทางบ้านรับสภาพหนี้ให้แล้ว บวชได้

อะนุญญาโตสิ มาตาปิตูหิ พ่อแม่อนุญาตแล้วหรือยัง ? ตรงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ต้องรอให้ท่านอนุญาตหรอก เพราะทั้งชาตินี้ก็ไม่อนุญาตแน่ อย่างพระสารีบุตรท่านรู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าน้อง ๆ ไปขออนุญาตบวช คงไม่ได้บวชแน่ ท่านจึงรับเป็นผู้ปกครองน้อง ๆ เอง ถึงเวลาถามก็บอกว่า ท่านให้บวชก็บวชได้"

เถรี 23-09-2011 10:22

ถาม : ท่านช่วยเคาะหัวให้ผมได้พระนิพพานเร็ว ๆ หน่อยครับ ?
ตอบ : สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว มรรคผลของใครของมัน ทำกันเอง คนหนึ่งช่วยอีกคนหนึ่งไม่ได้หรอก สนับสนุนได้ ส่งเสริมได้ แต่ช่วยให้หลุดพ้นไม่ได้ ถ้าช่วยได้พระพุทธเจ้าท่านเอาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว เคาะคนละโป๊กก็จบ ไม่ต้องมาเทศน์ปากเปียกปากแฉะ..!

ถาม : พระโพธิสัตว์...?
ตอบ : ไม่มีหรอก เป็นทั้งนั้น เพียงแต่ว่าท่านยินดีรับเพื่อความสุขของคนอื่น ส่วนตัวเองจะรับเละแค่ไหนไม่ว่า ถ้าความรู้สึกไม่ได้อย่างนี้ยังไม่ใช่พุทธภูมิ

เถรี 23-09-2011 10:25

ถาม : บารมี ๑๐ เราต้องทำให้อารมณ์ทรงตัวหรือว่าต้องทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : ให้ทุกข้อเต็มอยู่ในใจของเรา เจอแบบไหนต้องทำให้ได้ทันที อย่างทานบารมี ทันทีที่คนมีความต้องการ เราพร้อมจะให้ได้ทันที ให้แล้วก็ปลื้มใจว่าเราได้ให้ไปแล้ว ส่วนเขาจะไปทำอย่างไรเราไม่ใส่ใจ เพราะเราได้ให้ไปแล้ว

ศีลบารมี ศีลทุกข้อของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลแม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เดือดร้อนถึงแก่ชีวิตของตนก็ยอม เพราะฉะนั้น..ต้องทำได้จริง ๆ ไม่ใช่จำได้ จำได้ว่าบารมี ๑๐ มีอะไรบ้างจบแล้ว แบบนี้ชาติหน้าบ่าย ๆ ถึงจะบรรลุ

ถาม : คำว่าปรมัตถบารมีมีเกณฑ์ที่ชัดเจนไหมครับ ?
ตอบ : ปรมัตถบารมีเขาวัดกันด้วยชีวิต ถ้าหากว่ายอมตายเพื่อให้ได้ทำความดี ต้องเป็นปรมัตถบารมีแน่

เถรี 24-09-2011 12:59

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ผู้หญิงมอญและพม่ายังไว้ผมยาวเป็นปกติ แล้วเกล้ามวยผมไว้ ลักษณะแทนเขาพระสุเมรุอันเป็นหลักโลก เป็นความเชื่อของฮินดู เขาเชื่อว่าเขาพระสุเมรุเป็นที่อยู่ของพระศิวะ เลยเกล้ามวยผมแทนเขาพระสุเมรุ

ถ้าชาวพม่าพบบุคคลหรือพระที่เขาเคารพมาก เขาจะคลี่มวยผมลงมาเป็นทางให้เดิน นั่ง ๒ ข้างปูลงมาเป็นแถว แรก ๆ อาตมาไม่กล้าเหยียบเพราะจั๊กกะจี้เท้า แต่นี่เป็นศรัทธาของเขา ก็เลยต้องฝืนทำไป

ส่วนพวกกะเหรี่ยงเขาจะทอดตัวเป็นทางให้เดิน เขาเอารูปแบบมาจากพระพุทธเจ้าสมัยเป็นสุเมธดาบส ที่ทอดตัวเป็นสะพานให้สมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จข้ามไป แล้วองค์สมเด็จพุทธทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดาบสนี้อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคตมะ ทางด้านของกะเหรี่ยงเขาชอบใจตรงประวัติส่วนนี้เขาก็จะทอดตัวให้เดิน

คราวนี้พวกกะเหรี่ยง มอญ พม่าเขาทอดตัวให้เดินก็ยังพอไปได้ แต่กะเหรี่ยงบ้านคลิตี้เขาโก้งโค้งให้เดิน โห...เดินยากมาก ถึงเวลาเขาจะตั้งซุ้มสำหรับอุ้มพระขึ้นไปสรงน้ำ เขาจะต่อรางไม้ไผ่ยาว ๆ เทใส่ ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระ แล้วเขาจะโก้งโค้งต่อแถวซะยาวยืด ให้พระเดินเหยียบจากที่สรงน้ำไปจนถึงกุฏิ"

เถรี 24-09-2011 13:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำงานแล้วจะเอาประโยชน์ก็ต้องให้สติอยู่เฉพาะหน้า ไม่ให้ไปที่อื่น แล้วเราก็สังเกตว่าเราบังคับให้อยู่ตรงหน้าได้นานกี่นาที ปกติแล้วพักเดียวก็จะแวบไปที่อื่น แล้วเราก็ดึงกลับมาเริ่มต้นใหม่

เพราะฉะนั้น..เวลาทำงานถ้าใจมุ่งอยู่กับงานเฉพาะหน้าก็เป็นกรรมฐาน เพราะว่าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมตรงหน้า"

เถรี 24-09-2011 14:03

ถาม : ตะกรุดลูกอมโลกธาตุ มีวิธีใช้อะไรพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : ตะกรุดลูกอมก็ไว้อมสิจ๊ะ

ถาม : เคล็ดอย่างอื่นไม่มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เอาไว้อม ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันอันตราย พอฉุกเฉินก็กลืนลงไปเลย ก่อนนอนให้ปูผ้าขาวไว้ พอตื่นนอนลูกอมจะมาอยู่บนผ้าขาวเอง

ถาม : เขาลองกันมาเยอะแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาลองกันมาเยอะแล้ว อมอยู่ปากในแล้วเวลาโดนอัดหนัก ๆ อาจจะหล่นได้ ให้กลืนลงไปเลย ตะกรุดลูกอมของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หรือเปล่า ?

ถาม : ของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จครับ
ตอบ : หลวงปู่ใจเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม

ถาม : ของหลวงปู่ยิ้มก็อยากได้อยู่ครับ
ตอบ : ของหลวงปู่ใจก็เหลือเฟือแล้ว หลวงปู่ยิ้มกับหลวงปู่เนียม ลูกศิษย์แต่ละองค์ของท่านนี่ ออกจากสำนักไป ถ้าเอ่ยชื่อคนก็รู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วอาจารย์จะเก่งขนาดไหน ?

เถรี 25-09-2011 10:39

ถาม : พระปิดตานี้เขาหมายถึงอะไรคะ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือปิดทวารเพื่อไม่รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ก็คือตาไม่ดูสิ่งที่ไม่ดี หูไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดี ปากไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี แล้วอีกนัยหนึ่งก็คือปิดทวาร ลักษณะเป็นมหาอุด ป้องกันอันตรายทุกอย่าง

เถรี 25-09-2011 11:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง...แต่ก็ดันใช่ คือเห็นสาวสะพรั่ง หน้าตาสวยด้วยเดินเข้ามาแล้วรู้สึกสลดใจ ก่อนหน้านี้เขายังเด็ก ๆ อยู่เลย พักเดียวก็แก่ขนาดนี้แล้ว แทนที่จะปลื้มปีติชื่นชมที่เขาเจริญเติบโต แต่กลับเศร้าว่าพักเดียวเปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว อีกพักเดียวก็ต้องเหี่ยวแล้วสินะ ต้องบอกว่าปัญญาไปไกลเกิน

จะว่า ไกลเกินก็ยังไม่ใช่หรอก แค่นี้ยังไม่พอกิน เกิดความเศร้าขึ้นมาเราต้องรีบหยุดไว้ก่อน หยุดการปรุงแต่ง ให้เห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาเราผิดทาง แล้วก็เห็นต่อไปด้วยว่า อีกสักพักเขาก็ตาย คราวนี้กำลังของเราต้องหยุดแค่นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่ปัญญาเกิดแล้วจะดีกลายเป็นเศร้าหมองไป ต้องหยุดตัวการปรุงแต่งเอาไว้แค่นั้น"

ถาม : การพิจารณาให้มาก ๆ กับการวางเร็ว อะไรจะดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาจนใจยอมรับจริง ๆ แล้วจะวางเอง ถ้าใจไม่ยอมรับ เราพิจารณาจนตายก็วางไม่ลง

สำคัญ ตรงอารมณ์สุดท้ายว่าปัญญาพอหรือเปล่า ? ถ้าปัญญาพอ สมาธิพอ กำลังในการตัดกิเลสก็จะเข้มแข็ง เด็ดขาด ส่วนใหญ่พวกเราเด็ดไม่ค่อยขาด รู้ว่าต้องเด็ดนะ..แต่เด็ดไม่ค่อยขาด เด็ดไม่ขาดไม่พอยังไปเสริมใยเหล็กให้อีกด้วย

เถรี 26-09-2011 11:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภายในวัดแรงกระทบเยอะกว่าข้างนอก ที่แรงกระทบเยอะกว่าเพราะเราไปตั้งเป้าว่าอยู่ในวัดแล้วทุกคนต้องดี ไม่ใช่หรอก...คนอยู่ในวัดก็ลูกชาวบ้านข้างนอกนั่นแหละ กิเลสเท่ากันหมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่าใครจะคุมอยู่หรือคุมไม่อยู่เท่านั้น

แต่คราวนี้เราไปตั้งเป้าว่าเขาจะต้องดี ก็เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ถึงได้บอกว่าครูบาอาจารย์ดี สถานที่ดี ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะดีด้วย เพราะฉะนั้น..อย่าไปตั้งความหวังกับใคร

โดยเฉพาะอยู่ในวัด หาหน้าที่ประจำให้ได้เร็วที่สุด แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเราไป ถ้าทำหน้าที่ของเราสมบูรณ์ก็ไม่มีใครตำหนิเราได้ โดยเฉพาะฝ่ายแม่ชีน่าสงสารที่สุด โดนใช้งานอย่างกับทาส แล้วจะมานั่งคิดว่าเราเป็นพจมาน สว่างวงศ์ไปตั้งแต่เมื่อไร ใช้งานซะสาหัสขนาดนี้

ม.ร.ว.หญิงศรีสุดาท่านบวชชี ถามอาตมาว่า "มีกุฏิสำหรับแม่ชีแก่ ๆ บ้างไหม ?" อาตมาบอกว่า "มี..แต่งานหนักมากนะ" เขาถามว่าแก่แล้วยังต้องทำอีกหรือ ? ก็เลยตอบว่า “ถ้ายังต้องกินก็ต้องทำ” ส่วนของแม่ชีงานหนัก แค่งานในโรงครัวก็ยากแล้ว ทำแทบจะไม่รู้จบ"

เถรี 26-09-2011 11:21

ถาม : วันนั้นที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดสระพัง เวลาหล่อพระเขาให้ท่องคาถาอะไรนะคะ ?
ตอบ : พุทโธ โลเก อุปปันโน แปลว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก คาถานี้เกิดจากพ่อค้าที่เข้าไปในเมืองของพระมหากัปปินะราชา สมัยก่อนนี้เวลาพ่อค้าไปค้าขายประเทศไหน ก็จะต้องเข้าไปแจ้งกับพระราชาก่อน ขออนุญาตเข้าไปทำการค้า คราวนี้ตัวเองเดินทางมาไกลหลายเมือง ก็จะได้ข่าวคราวต่าง ๆ มาด้วย

พอพระมหากัปปินะราชาถามพ่อค้าว่ามีข่าวคราวอะไรบ้าง ? พ่อค้าก็ตอบว่าข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระมหากัปปินะดีใจจนสลบไปเลย จึงเขียนหนังสือให้พ่อค้าเอาไปให้พระมเหสี บอกว่าให้เบิกเงินจากคลัง เอาเงินไปเลยสามแสนกหาปณะ แจ้งพระมเหสีด้วยว่าเราจะไปบวชแล้ว แล้วก็สอบถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทางทิศไหน จึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า บรรดาข้าราชบริพารก็ขี่ม้าตามไปบวชหมดเลย

ทางพ่อค้าก็เอาหนังสือที่มีลายพระหัตถ์ไปให้พระมเหสี พอพระมเหสีเห็นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อค้าก็บอกว่าท่านแจ้งข่าวสำคัญให้พระราชาทราบ ว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระมเหสีเกิดปีติขนพองสยองเกล้า บอกว่าถ้าอย่างนั้นเราให้เธอหกแสนกหาปณะ สรุปแล้ว ๒ ประโยคได้ไปเกือบล้าน..! และพระมเหสีเด็ดขาดกว่าอีก พาพวกนางสนมบริวารตามไปอีก เพื่อไปบวชบ้าง

เถรี 26-09-2011 12:07

พระมหากัปปินะควบม้าไป เจอแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า เรือแพที่จะข้ามไปมันก็ไม่มี เพราะว่าท่านไปกะทันหันไม่มีใครจัดให้ ท่านก็ตั้งใจว่า ถ้าทิศเบื้องหน้านี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ก็ขอให้น้ำอย่าได้ท่วมเท้าม้าเลย แล้วก็ชักม้าลงน้ำไป ปรากฏว่าวันนั้นม้าวิ่งบนผิวน้ำได้ เพราะว่าท่านศรัทธาจริง พุทธานุภาพก็เลยคุ้มครองรักษาได้

พระมเหสีก็เช่นกัน บอกว่าถ้าทางนี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริงก็ขออย่าให้น้ำท่วมถึงข้อเท้าม้าเลย และม้าก็วิ่งบนผิวน้ำได้เช่นกัน พอพระมหากัปปินะไปถึง ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์เลย

หลวงพ่อพระธรรมปริยัติเวที หรือหลวงพ่อเจ้าคุณสุเทพ เจ้าคณะภาค ๑๕ เวลาหล่อพระท่านจะให้ภาวนาว่า พุทโธ โลเก อุปปันโน คือพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็เลยกลายเป็นคาถาประจำตัว ถึงเวลาไปหล่อพระที่ไหนท่านก็จะใช้พุทโธ โลเก อุปปันโน

ส่วนอาตมานี้เวลาหล่อพระจะใช้บทว่า นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปันนานัง มเหสีนัง บทของภาณพระ

ถาม : แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : นะโม เม สัพพะพุทธานัง ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงถึงซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง อุปปันนานัง มเหสีนัง ซึ่งอุบัติเกิดขึ้นแล้ว ประกอบไปด้วยศักดานุภาพอันใหญ่ยิ่ง แล้วก็จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตั้งแต่ ตัณหังกะโร มหาวีโร เมธังกะโร มหายโส สรณังกะโร โลกหิโต ทีปังกะโร ชุตินธโรฯ เป็นต้น

เถรี 26-09-2011 14:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "พอใกล้เวลาสอนกรรมฐาน เขาพยายามที่จะทำให้เสียงอาตมาหาย สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงเวลาท่านเป็นมาก ๆ ขึ้นมา ท่านควักยาหม่องเป็นก้อนแล้วก็ล้วงควานเข้าไปในคอ จะได้พูดมีเสียง ลองคิดดูว่านั่งมาทั้งวันไม่เป็นอะไร พอเวลาใกล้กรรมฐานเสลดกลับมาพันคอ จึงบอกว่าเขาพยายามจะขวางทุกวิถีทางจริง ๆ

การที่จะนำญาติโยมทั้งหลายปฏิบัติธรรม เท่ากับว่าพาพวกเราใกล้พระนิพพานไปเรื่อย ก็จะไม่เป็นที่ชอบใจของบรรดามารทั้งหลาย เขาก็จะหาทางขวางอยู่เสมอ ทุกครั้งก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาสอนกรรมฐานและรับสังฆทาน อาการป่วยไข้ไม่สบายจะมาแบบฉับพลัน บางทีก็ป่วยขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ อยากจะป่วยก็ป่วยขึ้นมาเฉย ๆ ก็ได้แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง

เขามีหน้าที่ขัดขวางเขาก็ขวางไป เรามีหน้าที่สอนกรรมฐานเราก็สอนไป ดูว่าใครจะอึดกว่ากัน วัดกันที่ลูกอึด ถ้าไปโดนอะไรนิดหน่อยแล้วไปท้อถอยง่าย ๆ แสดงว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้ อย่างที่บอกเมื่อเช้าว่า จากการที่เข้มงวดกับตัวเองโดยการปฏิบัติตามระเบียบตามวินัยอย่างเคร่งครัด แม้ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรก็ไม่ยอมละเว้นการบิณฑบาต ทำให้เอานิสัยเข้มงวดมาเข้มงวดในการปฏิบัติไปด้วย ก็เลยได้อะไรมากกว่าคนอื่นเขา

เพราะฉะนั้น..เป็นเรื่องที่พวกเรานอกจากจะต้องสำนึกรู้แล้ว ยังต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย ทำอย่างไรที่เราจะเข้มงวดกับตัวเองให้มากเข้าไว้ บอกว่านี่เป็นเวลาปฏิบัติไม่ใช่เวลานอน นี่เป็นเวลาปฏิบัติไม่ใช่ไปสนุกเฮฮา ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าถึงระดับที่การต่อสู้กับกิเลสเริ่มทันกัน เราก็จะสนุกอยู่กับการต่อสู้กับกิเลส ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย เพราะต้องลุ้นกันสุดชีวิตว่าคะแนนต่อไปใครจะได้"

เถรี 26-09-2011 15:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งนานก็ไม่ได้แปลว่าได้ดี ประเภทนั่งทนแข่งกันนี้ สมัยก่อนบางสำนักเขานิยมนั่ง ๓-๕ ชั่วโมง อาตมาก็ไปลองนั่งกับเขาบ้าง ได้ดีประมาณ ๓๐ นาที ที่เหลือนั่งแช่งชักหักกระดูกไปเรื่อย "มันจะนั่งไปทำโคตรพ่อโคตรแม่อะไรนานขนาดนี้วะ ?" นั่งได้แต่ใจไม่มีคุณภาพเลย

สมัยวัยรุ่นเห็นเขาว่าสำนักไหนดีก็ไป ท้ายสุดมาเจอสำนักวัดท่าซุง ท่านบอกนอนปฏิบัติได้นี่ถูกใจเลย แต่กว่าจะฝึกปฏิบัติให้นอนโดยไม่หลับได้นี่...สุดยอด เพราะหลับแล้วหลับอีก หลับจนนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งท้ายสุดใช้วิธีเปิดเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วเอาจิตจดจ่อเงี่ยหูฟังชนิดที่ตั้งใจจะฟังให้ได้ทุกคำ พอสติต่อเนื่องได้ไม่ขาด ก็ไปได้เรื่อย ๆ เมื่อสภาพจิตดิ่งลึกไป ก้าวข้ามไปจนกระทั่งเริ่มเป็นฌาน ก็จะผ่านตัวตัดหลับไปได้ หลังจากนั้นก็จะสว่างโพลงอยู่

คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบังคับให้เป็นอย่างไร ถึงเวลาสภาพจิตก็จะรวบเข้า ๆ จนสว่างอยู่จุดเดียวเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งข้างหน้า ตรงจุดนี้ก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่รับรู้อะไรเลย แต่ว่าภายในก็มีความสุขเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น และโดยเฉพาะที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เสียงธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะเทศน์อย่างมากที่สุดหน้าหนึ่งก็จะไม่เกิน ๔๐ หรือ ๔๕ นาที ส่วนใหญ่ก็จะ ๓๐ นาที

แต่ตอนที่กำลังใจรวมเข้ามาก ๆ นี้ ฟังท่านได้เป็นชั่วโมง ๆ ไม่จบสักที แล้วเนื้อหาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่วนด้วย ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแปลกใจว่า วันนี้ทำไมเทปนานแท้ ไม่จบสักที ลืมตาขึ้นมาเสียงหายวับ เครื่องเทปหยุดเล่นไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ได้ยินอยู่ตลอด...แปลกดี"

เถรี 27-09-2011 09:55

"การฟังเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงได้พบเรื่องแปลก ๆ มีอยู่เที่ยวหนึ่งท่านเล่าเรื่องพระนางรูปนันทาที่ว่าป่วยเป็นโรคเรื้อน ทำให้ไม่กล้าไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็เล่าไปเรื่อย ๆ อาตมาก็เถียงในใจว่านี่ไม่ใช่พระนางรูปนันทา ต้องเป็นพระนางโรหิณี เสียงในเทปบอกว่าพระนางโรหิณีนั่นเป็นเรื่องในธรรมบท แต่ที่เล่านี้เป็นเรื่องของรูปนันทา เทปเถียงได้ด้วย..! เป็นอะไรแปลกจริง ๆ

แต่ก็ยังไม่เท่ากับแม่ชีท่านหนึ่ง แม่ชีท่านนั้นปฏิบัติธรรม เข้าถึงอารมณ์ที่ท่านคิดว่าดี ท่านก็ตั้งใจว่าจะไปเล่าถวายให้หลวงพ่อท่านฟัง พูดง่าย ๆ ก็คือจะไปอวด ปรากฏว่าตอนเช้าเสียงตามสายด่าท่านซะหูดับตับไหม้เลย ว่าอวดดี อวดเก่ง อวดวิเศษ ความรู้แค่หางอึ่งก็คิดว่าเก่งแล้ว ตั้งใจที่จะมาคุยอวดว่าดีอย่างไร ไอ้พวกนี้ไม่พ้นนรกสักราย ท่านก็ว่าไปเรื่อย

แม่ชีไปทุบประตูศาลานวราชโครม ๆ "ท่าน ๆ ขอเช่าเทปม้วนนี้เถอะ ไอ้เทปม้วนที่ด่าฉัน" แล้วจะหาที่ไหนให้ เทปม้วนนั้นเป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่มีหรอกที่ตั้งใจด่าแม่ชีคนเดียว"

เถรี 27-09-2011 10:01

ถาม : ตอนท่านอยู่วัดโดนหลวงพ่อด่าบ่อยไหมครับ ?
ตอบ : ไม่บ่อยหรอก ปีหนึ่งโดนแค่ ๓๖๕ ครั้ง อย่างไรก็ต้องมีให้โดนด่าจนได้ เพราะว่าเวลาหลวงพ่อท่านด่าคนอื่นแล้วคนอื่นเขารับไม่ได้ เขาจะตายเอา หลวงพี่บัญชาโดนเข้าหน้าเขียว มืออ่อนตีนอ่อนนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ไปไหนไม่เป็นเลย หลวงพี่ชัยวัฒน์โดนด่าเข้าย้ายหนีจากหน้าตึกไปอยู่สวนไผ่ ไม่ยอมกลับ จนกระทั่งหลวงพ่อท่านมรณภาพ

ส่วนอาตมาค่อนข้างจะหน้าด้าน ด่าเท่าไรก็เข้าใจ ถ้ากล่าวอย่างเข้าข้างตัวเอง ก็คือ รู้ว่าถ้าท่านยังด่าแสดงว่าเรายังแก้ไขได้ และไม่มีพ่อที่ไหนที่จะฆ่าลูกหรอก เพราะฉะนั้น..ท่านด่ามาแปลว่าเราผิดจริง ให้รีบแก้ไขด่วน


บางทีคนอื่นเขาโดนด่าแล้วเขารับไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อท่านจะด่า ท่านก็จะมาเริ่มด่าจากอาตมาก่อน พอเข้าโบสถ์ก็ใส่อาตมาไปเต็ม ๆ คนอื่นเขาก็
"เฮ้อ..มันโดนอีกแล้ว" กว่าจะรู้ว่าเลี้ยวกลับมาที่ตัวเองก็โดนไปแล้ว บางทีท่านนั่งลงก็บ่น “เฮ้อ..ไอ้วัดเรามีแต่เกินกับขาด หาพอดีไม่ได้สักคน” แล้วก็หันขวับมา “เล็ก..เอ็งเกินหรือขาดวะ ?” “ผมเกินกว่าร้อยอีกครับหลวงพ่อ” เขาก็ฮากัน

เถรี 27-09-2011 10:18

พอเขาฮากันเสร็จ หลวงพ่อท่านเห็นว่ากำลังใจคลายตัวแล้ว ท่านก็เลี้ยวเข้ามาด่าคนที่ตั้งใจไว้จนได้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมาก แปลกตรงที่ว่า พอออกมาจากโบสถ์ เขาเที่ยวมาไล่ถามกันว่า "คราวนี้ใครวะที่โดนด่า ?" จนกระทั่งบางทีอาตมาทนไม่ไหวก็ว่า “ผมคนหนึ่งละ..ไอ้ที่เหลือไปแบ่งกันเองแล้วกัน”

ทำไมไม่คิดว่าที่ท่านด่าคือเรา จะได้ไปแก้ไขให้หมดเรื่องหมดราวไป ในชีวิตเสียใจอยู่อย่างเดียวคือ หลวงพ่อให้เทศน์แทนท่านแล้วอาตมาไม่รับปาก เนื่องจากว่าในช่วงนั้นไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง พี่ ๆ น้อง ๆ เขาไม่ได้โมทนาด้วย แต่เขาจ้องจะงับน่องอาตมา เพราะฉะนั้น..หลวงพ่อท่านบอกให้เทศน์แทนก็เรียนท่านว่า "ไม่ไหวครับ เดี๋ยวตกธรรมาสน์..!"

ท่านก็ยังพูดซ้ำอีกว่า "ใบฎีกาเท่ากับเป็นตัวแทน แล้วทำไมถึงไม่เทศน์แทน ?" ตอนนั้นท่านตั้งให้เป็นพระใบฎีกา คืออยู่ในสถานะที่รู้ว่า ถ้าขึ้นไปเมื่อไรแล้วก้อนอิฐก้อนหินมารอบข้าง ไม่มีดอกไม้หรอก ก็เลยปฏิเสธท่านไป


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว