กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2833)

เถรี 22-08-2011 07:19

ถาม : สมัยก่อนพุทธกาลมีบรรดานักบวชที่เจริญสมาธิกันเยอะ ทำไมไม่ปรากฏว่ามีใครที่สามารถตัดกิเลสโดยใช้สมาธิข่มแบบเจโตวิมุตติได้คะ ?
ตอบ : เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องตัดกิเลสแบบไหน เขาหวังการหลุดพ้นตามแบบของเขาด้วยทรมานกาย จึงเอากำลังสมาธิไปสู้ทนกับการทรมานกายจนกำลังนั้นหมดไป ก็เลยไม่พอที่จะตัดรัก โลภ โกรธ หลง นอกจากจะกดให้นิ่งอยู่ชั่วคราว

ถ้าไม่เอาไปทรมานตัวเอง ก็คงจะตัดได้ไปเยอะแล้ว

เถรี 22-08-2011 07:21

ถาม : ถ้าหากความตายจะวิ่งเข้ามาหา ตอนนี้หนูก็ไม่กลัวความตาย แต่พอพิจารณาถึงตอนที่อธิษฐาน เหมือนกับใจค้านว่า ถ้าใจเราบรรลุธรรมได้ตอนนี้ เราจะตาย ก็เกิดกลัวความตายตอนนี้ค่ะ
ตอบ : เพราะยังทำได้ไม่จริง..!

ถาม : ให้เราหมั่นพิจารณาความตายตามที่เราเคยทำมาหรือคะ ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมดาว่า เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ เจ้าจะตายก็ตายไปเถิด เราจะได้พ้นไปจากเจ้าเสียที..!

เถรี 22-08-2011 07:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมนั้น บางทีถ้าเราทำเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีกำลังใจอยากจะทำ แต่ถ้าไปวัดแล้วมีเพื่อนร่วมปฏิบัติเยอะ ๆ ก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อ

แต่พวกเรามักจะขาดทุนเสียส่วนใหญ่ เพราะเวลาการปฏิบัติภายในวันหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชั่วโมง พอว่างจากการปฏิบัติก็ไปคุยจ้อกัน จนกำลังใจคลายไป การปฏิบัติที่ดีต้องรักษากำลังใจให้ทรงได้ ประคับประคองไว้ให้นานที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเผลอ พอเจอคนที่รู้จักคุ้นเคยก็คุยไปเรื่อยจนถึงดึกดื่นค่อนคืน พอตื่นขึ้นมาก็มานั่งหลับตอนทำวัตรเช้า พอทำวัตรเสร็จก็ไปคุยต่ออีก

ช่วงเดือนสิงหาคม ทางวัดมีงานหนัก ๆ หลายงานติดกัน เริ่มจากงานเป็นเจ้าภาพประชุมพระนวกะ ถัดไปก็งานวันแม่และบวชปฏิบัติธรรม ถัดไปก็เป็นการอบรมของกระทรวงวัฒนธรรม เด็ก ๗ โรงเรียนด้วยกัน คัดตัวแทนมารวม ๒๕๐ คน

จะพยายามฝึกให้ออกมาในลักษณะที่อวดคนอื่นเขาได้ ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำต่อได้นานเท่าไร เพราะอยากจะได้เด็กจากชั้นที่เล็ก ๆ ปีหน้าจะได้เวียนมาซ้ำอีก สิ่งที่ได้ฝึกหัดไปก็จะได้กลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อตอนเย็นโยมแม่ของคุณชลธีเดินเข้ามา อาตมามองแล้วได้แต่ประหลาดใจ โยมแม่ของคุณชลธีเป็นคนแก่ที่เดินได้สง่าจริง ๆ ลักษณะอย่างนั้นคือ ฝึกมาจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นกิริยาโดยธรรมชาติ ถ้าไม่ได้ฝึกมาก็แปลว่าต้องเป็นของเก่าที่ข้ามชาติข้ามภพมา"

เถรี 22-08-2011 07:34

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในเรื่องของผ้าไตรจีวรนั้น ภาษาพระเรียกว่าผ้าบังสุกุล

ปังสุกุละ แปลว่า ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าคลุกฝุ่น คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ถือว่าเป็นผู้สละแล้วซึ่งทรัพย์สมบัติทั้งปวง มีแต่ตัวเปล่า ก็ต้องไปแสวงหาผ้าเพื่อทำจีวร ต้องเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว นำมาซัก มาตัด มาเย็บ มาย้อม กลายเป็นผ้าสำหรับใช้งานของตน

ในสมัยแรก ๆ อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ รูปแบบที่แน่นอนก็ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มอบหมายให้พระอานนท์คิดแบบในการทำจีวรให้เหมือนกันขึ้นมา พระอานนท์ได้แนวความคิดขณะที่บิณฑบาตผ่านท้องนา เห็นชาวบ้านเขาทำนา เป็นแปลง มีคันนา ท่านก็เลยมาดัดแปลงเป็นลักษณะของจีวร ซึ่งจะมีผ้าที่เป็นจีวร มีผ้าต่อ มีผ้ากั้น มีผ้าขอบ

ตัวผ้าจีวรก็มีมณฑล ก็คือช่วงที่ยาว และอัฒฑมณฑล ช่วงที่สั้นลงครึ่งหนึ่ง และมีกุสิ ก็คือผ้ากั้นช่วงยาว อัฒฑกุสิ ผ้ากั้นช่วงสั้น และมีอนุวาต ผ้ากั้นขอบ เมื่อออกแบบมา ต้องบอกว่าท่านเป็นยอดของมัณฑกร คิดออกแบบมาสองพันกว่าปีแล้วก็ยังใช้งานได้ดีไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย"

เถรี 22-08-2011 11:04

"ผ้าที่ได้มาชิ้นใหญ่บ้าง ชิ้นเล็กบ้าง ท่านออกแบบมามีทั้งใหญ่และเล็ก อย่างที่บอกว่ามี ๗ ขันธ์ มี ๙ ขันธ์ ก็คือ ถ้าอ้วนหน่อยก็ ๙ ขันธ์ ถ้าผอมหน่อยแค่ ๗ ขันธ์ก็พอ สำคัญตรงสีที่ย้อม พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตผ้าย้อมน้ำฝาด ก็คือ น้ำจากการต้มเปลือกไม้หรือแก่นไม้

พระอัญญาโกณฑัญญะท่านบวชตอนอายุมากแล้ว ไม่อยากยุ่งกับพระลูกพระหลาน ท่านจึงไปจำพรรษา ที่ฉัตทันตสระในป่าหิมพานต์ บริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ที่จะนำแก่นหรือเปลือกมาทำเป็นน้ำฝาดย้อมผ้าได้ ท่านจึงไปขุดเอาดินลูกรังมาละลายน้ำ กรองเอาเฉพาะน้ำมาต้มและย้อมผ้า สีผ้าจึงค่อนข้างแดง

เมื่อถึงเวลาออกพรรษา ท่านก็มากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระลูกพระหลานเห็นเข้าก็นินทาว่า หลวงตาองค์นั้นมาจากไหนไม่รู้ ผอมจนเอ็นสะพรั่งไปทั้งตัว ห่มจีวรสีแดงอย่างกับเลือด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยิน เกรงว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะล่วงเกินแล้วจะเกิดโทษแก่ตนเองมาก จึงเสด็จมาตรัสถามว่า

"ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นพี่ชายใหญ่ของเธอหรือไม่ ?" ท่านทั้งหลายทูลตอบว่า "ไม่เห็นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกว่า "หลวงตาที่ห่มจีวรสีแดงนั่นแหละ คือท่านอัญญาโกณฑัญญะ พระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา พี่ชายใหญ่ของพวกเธอ

ท่านอยู่ในเขตที่ไม่มีไม้จะทำน้ำฝาดมาย้อมผ้าได้ จึงใช้ดินลูกรังย้อมผ้ากลายเป็นสีนั้น" พระพุทธเจ้าจึงตรัสอนุญาตให้ภิกษุใช้ผ้าไตรจีวรสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เกิดจากการย้อมด้วยน้ำขมิ้น สีกรักที่ย้อมด้วยแก่นขนุน และสีเจือแดงเข้ม ที่ย้อมด้วยสีลูกรัง"

เถรี 22-08-2011 11:15

พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนว่า "เทพมารสะท้านภพ จุดมุ่งหมายที่เขาต้องการจะบอกเราก็คือ คน ๆ หนึ่ง สามารถใช้ความรักที่มีต่ออีกคนหนึ่งเป็นการสร้างเสริมความก้าวหน้าให้แก่ตัวเองได้

ล่างฟานหวินพอสูญเสียภรรยาไป เขาก็เอากำลังใจที่รักเมียมากมาทุ่มเทในการฝึกวิชาบู๊ เป็นกำลังใจที่เท่ากัน แค่เปลี่ยนมุมในการใช้เท่านั้นเอง เขาก็เลยกลายเป็นกระบี่มือหนึ่งของยุทธจักร ลักษณะเดียวกับพวกเราที่ใช้ฉันทะในทางที่ผิด เด็ก ๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ได้ข้ามวันข้ามคืน ถ้าใช้กำลังใจที่นั่งเล่นเกมส์มาปฏิบัติธรรม ก็จะสบายมากเลย

ในนิยายชุดนี้นั้น พอท้ายสุดก็จะก้าวข้ามความรักความเกลียดไปได้ คล้าย ๆ กับการหลุดพ้นเหมือนกัน ตอนหลังที่มาสู้กันก็อยู่ในลักษณะที่ลองดูว่า อีกฝ่ายหนึ่งไปถึงไหนแล้วแค่นั้นเอง อย่างจอมคนแผ่นดินเดือด ที่เอี้ยนเฟยช่วยศัตรูตัวร้ายอย่างซุนเอินเปิดประตูมิติลับ แล้วส่งข้ามไปในลักษณะหลุดพ้นจากโลกนี้ ก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือความเป็นศัตรูไม่มีแล้ว เพราะจุดมุ่งหมายคนละเรื่องกัน ในเมื่อหวังความหลุดพ้น ความเกลียดความรักต้องวางหมด ฟัง ๆ ดูแล้วเหมือนศาสนาพุทธอย่างไรก็ไม่รู้"

เถรี 23-08-2011 05:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่กระดูกจะเป็นพระธาตุนั้นมีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ก็คือ ตัวเองอธิษฐานให้เป็นพระธาตุ อีกอย่างคือพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้เป็น

อย่างหลวงปู่มั่น ท่านเกรงว่าคนจะไปยึดติดอยู่กับกระดูกของท่าน ท่านก็เลยไม่อธิษฐานให้เป็น ผ่านไปสามสิบกว่าปี ลูกศิษย์ท่านกระดูกแปรสภาพเป็นพระธาตุไปหลายต่อหลายองค์ แต่ท่านไม่เป็นสักที คนก็ชักสงสัยว่าหลวงปู่มั่นปฏิบัติดีจริงหรือเปล่า ? ถ้าปฏิบัติดีจริงทำไมกระดูกไม่เป็นพระธาตุ ? พระท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้เป็น สรุปว่ามาเปลี่ยนเป็นพระธาตุเอาทีหลัง"

เถรี 23-08-2011 05:47

ถาม : หนูอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการตายแล้วฟื้น เขาบอกว่าการจะบันทึกบุญบาปของแต่ละคนจะเริ่มตอนอายุ ๖ ขวบเป็นต้นไป จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นความเชื่อของทางมหายาน ความจริงเขาบันทึกกันตั้งแต่ก่อนจะเกิดเสียอีก

ถาม : เขาให้เหตุผลว่าเด็กยังไม่รู้เรื่องค่ะ
ตอบ : ไม่จริงหรอก ลองเจอเด็กจุดไฟเผาบ้านดูสิ คุณจะลงโทษเด็กไหม ? คำว่า "ไม่รู้" นั้นไม่มี เพราะทุกอย่างทำไปตามรัก โลภ โกรธ หลง คุณจะมีสติรู้ตัวหรือไม่มีสติรู้ตัวก็เหมือนกัน เพียงแต่โทษนั้นไม่เท่ากัน

เถรี 23-08-2011 06:26

ถาม : ทำไมเวลาผมบริกรรมแล้วเวียนศีรษะ ?
ตอบ : การปฏิบัติเขาแลกกันด้วยชีวิต การที่เกิดอาการขึ้นมาภาษาพระเรียกว่า ขันธมาร เขาแกล้งให้เราไปสนใจในร่างกายแทนที่จะภาวนา ถ้าเราคิดว่าทำความดีตรงนี้ ถึงตายลงไปก็ยอม ถ้าทุ่มเทอย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็เลิก เขาตั้งใจจะกวนให้เราเลิกทำ เพราะฉะนั้น..ก็อย่าไปเชื่อเขาแล้วกัน

มีหลายคนในช่วงที่ไม่เคยปฏิบัติความดีที่เมาหัวทิ่มบ่อ นอนตากน้ำค้างทั้งวันทั้งคืนไม่เป็นอะไร แต่พอเลิกกินเหล้าหันมาปฏิบัติธรรมก็ป่วยเช้าป่วยเย็น จนทำให้เขาคิดว่า การทำความดีทำให้เขาป่วย จนจะเป็นมิจฉาทิฐิอยู่แล้ว

เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราไปในด้านที่จมปลักอยู่ในมือเขา เขาก็สนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าไปในด้านที่จะหลุดพ้นจากมือเขา เขาก็ขวางเต็มที่ ดังนั้น..ระยะแรกต้องสู้กันก่อน พอถึงเวลาถ้ากำลังเราดีกว่า เขาก็ขวางไม่อยู่แล้ว เขาเห็นว่าขวางไม่อยู่ก็เอาเรื่องใหม่มาขวางเราอีก

เถรี 23-08-2011 06:28

ถาม : ถ้าเราภาวนาโดยพิจารณาภาพพระ แล้วอยากจะเปลี่ยนกองกรรมฐานในอนาคต จำเป็นต้องไปทำกสิณ ๑๐ ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจับภาพพระจนชินแล้วเปลี่ยนไปจับภาพกสิณ ก็แค่เดี๋ยวเดียว จำเป็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของเราว่าจะทำอะไร

ถ้าเรายึดมั่นในพุทธานุสติ ก็เอาภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องไปฝึกกสิณอื่น แต่ถ้าเราต้องการฤทธิ์ในอภิญญาก็ต้องไปฝึกกสิณเพิ่มเติม

เถรี 23-08-2011 08:28

ถาม : ถ้าโยมจะปฏิบัติภาวนา โยมควรจะเร่งให้เป็นสมาธิก่อนหรือไม่คะ ?
ตอบ : จริง ๆ การปฏิบัติจะต้องค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าสามารถทำให้สมาธิทรงตัวไปเลยจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า

ถาม : สมาธิแล้วค่อยไปวิปัสสนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างนั้นจ้ะ เพราะการปฏิบัติสมาธิกับวิปัสสนาต้องไปด้วยกัน อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สมาธิเหมือนคนมีกำลัง วิปัสสนาเหมือนคนมีอาวุธ คนมีกำลังถึงจะใช้อาวุธได้ดี แต่ถ้ามีแต่อาวุธไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ไหว คนมีกำลังไม่มีอาวุธจะตัดถางอะไรก็ลำบาก

เพราะฉะนั้น..เวลาภาวนาพออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ไปต่อไม่ได้แล้ว เราจะสังเกตว่าพอถึงตรงนั้นไปต่อไม่ไหวจะถอยกลับทุกครั้ง พอถอยกลับลงมาก็มาพิจารณาวิปัสสนา ถ้าเราไม่พิจารณากำลังที่เราทำได้จะโดนไปใช้ในการฟุ้งซ่าน แล้วรัก โลภ โกรธ หลง จะแรงเป็นพิเศษเพราะว่าได้กำลังตรงนั้นไป ต่อไปอย่าเอากำลังไปให้กิเลสอีก ให้เอากำลังมาใช้พิจารณาวิปัสสนาแทน

เถรี 23-08-2011 08:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการจัดประชุมพระนวกะหรือพระใหม่นั้น เพื่อให้พระผู้ใหญ่ได้มาบรรยายถวายความรู้ ว่าเป็นพระใหม่ควรจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร ควรจะวางกำลังใจอย่างไร มีสิ่งใดที่ต้องศึกษาเรียนรู้บ้าง และที่สำคัญก็คือให้พระท่านได้รู้จักผู้บังคับบัญชาชั้นสูง ที่เหนือกว่าเจ้าอาวาสตัวเองเอาไว้บ้าง

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนอย่างสมัยที่อาตมาไปกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พอเข้าไปถึงวัด ก็ถามพระว่า "เจ้าอาวาสอยู่หรือเปล่า ?" พระท่านบอกกับหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "หลวงตาไปถามที่กุฏินั้นก็แล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอยู่หรือเปล่า?" นั่นเพราะเขาไม่รู้จักเจ้าคณะจังหวัด เขาเห็นว่าเป็นหลวงตาแก่ ๆ..!"

เถรี 23-08-2011 11:45

พระอาจารย์พูดถึงนิยายจีนเรื่องเหยี่ยวเดือนเก้า (จอมเสเพลชายแดน) ว่า "เราจะเห็นว่ามีดที่เอี๊ยบไคซัดออกไป เป็นการซัดไปด้วยความรักไม่ใช่ความแค้น แม้ว่าจะฝึกฝนจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยฆ่าคนโดยไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่คนชั่วช้าที่แก้ไขตัวเองไม่ได้แล้ว เอี๊ยบไคจะไม่ลงมือเลย

มีดสั้นมีความยาว ๓ นิ้ว ๗ หุน ฝีมือช่างเหล็กที่ไหนก็สามารถตีได้ แต่พออยู่ในมือของลี้คิมฮวงหรือเอี๊ยบไคแล้ว กลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีจึงเป็นผู้มีฤทธิ์ เพราะฉะนั้น..อยากเก่งแบบเขาก็ต้องขยันฝึกฝน"

เถรี 23-08-2011 14:28

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนอาตมาไปวัดท่ามะขาม ไปฉันเพลกับหลวงพ่อพระเทพเมธากร แมวเดินตามมา ๔ ตัว เป็นแมวแม่ลูกกัน หลวงพ่อเจ้าคุณท่านเห็นก็พูดว่า "เอ๊ะ..มันไม่เคยเข้ามาเลยนะ นี่มันเห็นอาจารย์เล็ก มันเดินตามเลย มันรู้ว่าได้กินแน่" แมวรู้ขนาดนั้นเลย

พอวางอาหารให้แมวกิน แมวตัวแรกที่เป็นลูกคว้าอาหารได้ก็เอาเท้ายัน คือ เอาสองตีนหน้าตะปบอาหารไว้ ปากก็งับอาหาร แล้วเอาตีนหลังยันตัวอื่นเอาไว้ ไม่ให้มาแย่ง โอ้โห..สุดยอดจริง ๆ ตัวกูของกูนี่ไม่เว้นคน ไม่เว้นสัตว์เลย"

เถรี 24-08-2011 05:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนเราไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ส่วนใหญ่คนเรามักกลัวการเริ่มต้นใหม่ ไม่แน่ใจว่างานใหม่จะเป็นอย่างไร ? เจ้านายใหม่จะเป็นอย่างไร ? เพื่อนร่วมงานใหม่จะเป็นอย่างไร ?

ขอยืนยันว่าเหมือนกันหมด เหมือนกันตรงที่ทำงานให้ได้อย่างใจเจ้านายเขาก็พอแล้ว ถ้าทำงานได้อย่างใจเจ้านาย เราจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้"

เถรี 24-08-2011 05:36

ถาม : เวลาที่เข้าวิปัสสนา จะเหมือน....หรือเปล่าคะ?
ตอบ : เรารู้จักคำว่าวิปัสสนาดีแค่ไหน ?

จริง ๆ แล้วเรื่องของกรรมฐาน ต้องทำสองอย่างควบกัน ถ้าทำอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ผลนั้นช้ามาก สมถะภาวนาทำให้กำลังใจของเราสงบ มีกำลังในการกดกิเลส วิปัสสนาภาวนาทำให้เห็นจริง ยอมรับ สองอย่างเหมือนกับคนที่ผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวจึงไปได้เร็ว

ถ้าเราทำสมถะภาวนาอย่างเดียว ก็เหมือนกับเราเพาะกำลังเอาไว้เยอะแยะ แข็งแรงมากเลย แต่ไม่มีอาวุธที่จะไปตัดไปฟัน ไปห้ำหั่นกับกิเลสได้ วิปัสสนาภาวนาเหมือนอาวุธที่มีคมมาก แต่ถ้าเราไม่มีกำลังก็ยกอาวุธไม่ขึ้น จึงต้องทำสองอย่างร่วมกัน

ครูบาอาจารย์ท่านจึงได้แนะนำว่า ให้ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว ให้คลายอารมณ์ออกมาพิจารณา แต่ส่วนใหญ่ปัจจุบันเราขาดตรงนี้ พอเราภาวนาเต็มที่แล้วเราก็เลิก การที่กำลังใจของเราทรงตัวเต็มที่ทำให้เรามีกำลังมาก เวลาไปฟุ้งซ่านก็เอากำลังตรงนี้แหละไปฟุ้งซ่าน ก็เลยฟุ้งได้มากเป็นพิเศษ ทำให้คนหลายคนเข้าใจผิดว่า ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก ความจริงไม่ได้มากหรอก มีเท่าเดิม แต่กิเลสแข็งแรงขึ้นเพราะเราไปเสริมกำลังให้

ถาม : หนูก็พิจารณาในเรื่องของวิปัสสนา แต่กิเลสก็ยังอยู่
ตอบ : ใจต้องยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่ปรารถนาร่างกายนี้อีกแล้ว เป็นการยอมรับที่เกิดจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ยอมรับเพราะรู้ว่าต้องยอมรับจึงจะใช่

เราไม่ใช่เด็กนักเรียน เด็กนักเรียนต้องตอบอย่างนี้จึงจะถูก จึงจะใช้ได้ แต่เรื่องของวิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าปัญญาไม่ยอมรับจริง ๆ อย่างไรก็ไปไม่ถึง ได้แต่เห็นเงาในน้ำ แต่ไม่สามารถจะหยิบจับขึ้นมาใช้งานได้

ถาม : อย่างพิจารณาแยกกาย เห็นจนเบื่อ จนชินไปแล้ว
ตอบ : ต้องเห็นว่าธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์เป็นปกติอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้จะไม่มีอีกสำหรับเรา แล้วก็เอาใจเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตาย เราไปพระนิพพานที่เดียว

เถรี 24-08-2011 07:37

ถาม : บางครั้งหนูก็ลืมพิจารณา
ตอบ : พิจารณาเห็นธรรมดาให้ได้ทุกเวลา ไม่อย่างนั้นถึงเวลาความทุกข์มาอีก เราก็เดือดร้อนอีก

ถาม : ต้องเห็นให้มากกว่านี้อีก ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องลงตรงคำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาการเกิดมาในโลกนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมดาการดำรงชีวิตอยู่ต้องเจอกับเรื่องอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ก็ปล่อยให้เป็นไป ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาสำหรับเราชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว สรุปลงมาให้ได้จ้ะ ถ้าสรุปไม่ได้ก็ไม่จบหรอก

ถาม : แสดงว่าจิตคงดื้อ ?
ตอบ : แสดงว่าเราเห็นธรรมดาไม่ตลอด ถ้าเห็นธรรมดาตลอด จิตยอมรับก็จะไม่กลุ้มใจ

ถาม : อย่างช่วงที่เข้าสมาธิก็จะหายไปช่วงหนึ่ง บางทีหนูก็นึกว่าเข้าฌาน แต่ก็ไม่แน่ใจ
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวสูงขึ้นแต่สติตามไม่ทัน เมื่อสติตามไม่ทันก็เหมือนกับหายไปเฉย ๆ บางคนคิดว่าตัวเองนั่งหลับ แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพของสมาธิทรงตัวสูงขึ้น แต่สติหยาบไปหน่อย ตามไม่ทัน

ถาม : ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่กับตัวภาวนาตรงหน้า จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น คำภาวนาว่าอย่างไรกำหนดรู้อยู่ ถ้าคำภาวนาหายไป หรือคำภาวนาเบาลงก็ให้กำหนดรู้ไว้

ถาม : สติตามไม่ทัน ?
ตอบ : ถ้าสติตามทันจะไม่หาย

ถาม : หายไปช่วงหนึ่ง พอตื่นมาก็เหมือนนอนหลับชาร์จแบต
ตอบ : ส่วนใหญ่นักปฏิบัติเขาจะหลับกันแบบนั้น

ถาม : คือตัดหลับหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ตัดหลับ ตัดหลับเราจะขาดสตินอนหลับยาวไปเลย แต่นี่เรานั่งหรือภาวนาอยู่ แต่สติหยาบไปหน่อย ตามสมาธิไม่ทัน พอตามทันก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา

เถรี 24-08-2011 11:45

ถาม : หนูปฏิบัติไม่คืบหน้า ?
ตอบ : จะรีบร้อนไปไหนเล่า ? จำไว้ว่า..ถ้าทำเพราะอยาก จะได้ยากมาก ต้องทำเพราะเห็นประโยชน์แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนจะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็น..ก็ช่าง

การปฏิบัติจำเป็นต้องมีอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขาก็จะไม่สามารถก้าวถึงจุดสูงสุดของการปฏิบัติได้ ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ จะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน


ถาม : การที่อารมณ์ควบแน่นเข้ามา ควรจะ..?
ตอบ : แค่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่ากลัว อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว ถ้าลมหายใจมีอยู่ก็กำหนดดูลมหายใจ ถ้าคำภาวนายังมีอยู่ก็กำหนดคำภาวนา ตามดูตามรู้ไปเรื่อย ๆ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าหากเราจะตายตอนนี้ หรือจะหลุดออกไปตอนนี้เราขอไปหาพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ตั้งกำลังใจไว้แค่นั้นแล้วก็ว่าไปเรื่อย

ถาม : ภาพสมเด็จองค์ปฐมมาปรากฏอยู่ตลอด หนูก็เลยคิดว่าต้องรีบฝึกกสิณภาพ
ตอบ : กองไว้ตรงนั้นก่อน รอให้ตรงนี้เรียบร้อยแล้วค่อยไปทำ การปฏิบัติอย่าหลายใจ เปลี่ยนกรรมฐานอยู่เรื่อยจะไม่ได้อะไร

ถาม : ทำอย่างไรหนูจะได้พูดคุยกับสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ก็ไปหาท่าน กราบทูลถามอะไรก็ว่าไป ผิดท่าขึ้นมาก็กระจายเองแหละ..!

ถาม : หนูไปหาสมเด็จองค์ปฐม เมื่อไรจะได้คุยกับท่านคะ ?
ตอบ : ก็มัวแต่อยากอยู่ อีกกี่ชาติจะได้เล่า ?

ถาม : ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ทำอย่างเดิมไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังถึงก็ได้เอง

เถรี 24-08-2011 16:46

ถาม : ตอนหนูสวดมนต์รู้สึกว่ามีเข็มมาทิ่มตรงหัวใจ
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย เราจะทำความดี ถ้าตายลงไปตอนนี้เราไปดีแน่ ๆ แล้วก็สวดต่อไปเรื่อย ๆ

ครั้งต่อไปเวลาสวดมนต์ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออกด้วย ทุกเวลาที่เราสวด ทุกลมหายใจที่เราสวด คือ บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกว่ากำลังบารมีของพระรัตนตรัยทั้งหมดที่รวมอยู่ในตัวเรา สามารถขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ทั้งนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาสวดไป

ถาม : ทำสมาธิเห็นพระแม่กวนอิม จึงมาเล่าให้แฟนฟัง พอจะเล่าจิ้งจกก็ร้องทักขึ้นมาเลย แสดงว่าไม่สมควรที่จะพูดใช่ไหมคะ ? แล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีคะ ?
ตอบ : พูดไปแล้วคนไม่เชื่อ เขาปรามาสก็จะเกิดโทษแก่เขามาก เขาว่าเราบ้า เขาอาจจะบ้าแทนก็ได้ ดังนั้น..เมื่อรู้เห็นอะไรต้องดูให้ดีก่อนว่า สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด

เถรี 25-08-2011 05:29

ถาม : การตั้งพระพุทธรูปไว้ในห้อง ควรหันหน้าไปทิศเหนือใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะตั้งพระพุทธรูปไว้ที่ไหนก็แล้วแต่ ท่านให้หันไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเท่านั้น หันทิศอื่นถึงจะหาเงินเก่งเท่าไรก็มีอันต้องใช้จนหมด ถ้าอยากมีเงินเหลือก็หันให้ถูกทิศ

ถาม : ศาลพระภูมิเล่าครับ ?
ตอบ : ศาลพระภูมิหันหน้าไปทางไหนก็ได้ที่เราไหว้ถนัด แต่ตัวศาลให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน หน้าศาลหันไปทางไหนก็ได้ เอาตัวบ้านเป็นหลัก แล้วก็เลือกทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน

ถาม : ถ้าหน้าบ้านผมหันไปทางทิศเหนืออยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้าหันหน้าไปทางทิศเหนืออยู่แล้วก็ตั้งศาลเยื้องไปทางขวามือ ก็คือตะวันออกเฉียงเหนือ กึ่งกลางของเหนือกับตะวันออก ประมาณ ๔๕ องศา

ถาม : ฤกษ์ออกรถควรจะอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตามแบบวัดท่าซุงก็ออกวันพฤหัสบดี แล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกวันอาทิตย์แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

ถาม : คือออกมาวันพฤหัสแล้วยังไม่ต้องขับ ?
ตอบ : เอามาเก็บไว้ที่บ้านก่อน แล้ววันอาทิตย์ค่อยไปขับประเดิม

เถรี 25-08-2011 05:36

ถาม : จริตมี ๖ จริต แต่ผมรู้สึกว่าผมจะเกิน ๖ จริต
ตอบ : จริตที่ ๗ ก็มี ประเภทดัดจริตกับวิกลจริต..! จริตมีแค่ ๖ เท่านั้นแหละ ไม่ได้เกินหรอก

ถาม : อย่างนี้ผมต้องทำกรรมฐานทุกกองเลยหรือครับ ?
ตอบ : มีจริตครบทุกคนแหละ แต่จะมีจริตที่เด่นมากอยู่อันหนึ่ง ให้เลือกกรรมฐานที่เป็นคู่ศึกกับจริตนั้น แล้วก็ลุยไปเลย

ถาม : มโนมยิทธินี่ได้อาโลกกสิณแล้ว เวลาผมฝึก ผมไม่ได้กำหนดจับภาพพระนะครับ ได้โดยอัตโนมัติ
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นของเดิม ถ้าคนไม่มีของเดิม (ของเก่า) ในชาติก่อน ฝึกไม่ได้หรอก เท่ากับเรามาฟื้นของเก่าเท่านั้น ถ้าให้ไปเริ่มฝึกจากกสิณนี่ไม่รู้ว่าอีกแสนชาติจะได้หรือเปล่า

เถรี 25-08-2011 05:56

ถาม : ผมเครียดมากจนคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่เชือดตัวเอง แล้วเลือดไม่ยอมไหล เป็นเพราะยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก..ยังไม่ถึงที่ตาย มีคนหนึ่งค่อย ๆ ซื้อยานอนหลับสะสมจนได้ ๘๐ เม็ดแล้วกินเข้าไปรวดเดียว กะจะให้ตาย หลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาสดชื่นมาก ยังไม่ตาย เขาก็เลยเอาใหม่ ซื้อยาสะสมไปได้อีก ๕๐ เม็ด กินอีกทีหนึ่งก็หลับไปอีกตื่นหนึ่งเท่านั้น

สรุปว่าถ้ายังไม่ถึงวาระ ไม่ว่าบุญหรือกรรมย่อมรักษา จำไว้ว่าคนเรากว่าจะเกิดเป็นคนได้นั้นแสนยาก ถ้าหากว่ายังไม่ทำประโยชน์ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคน แล้วดันไปฆ่าตัวตายนี่โง่กว่าควายตั้งเยอะ..! คุณเคยเห็นควายตัวไหนมันฆ่าตัวตายบ้างไหมเล่า ? มีแต่โดนบังคับให้เข้าโรงเชือด แถมยังหนีสุดชีวิตอีกต่างหาก

อยากประสบความสำเร็จใจคอต้องหนักแน่น ใจคอจะหนักแน่นได้สมาธิต้องดี เพราะฉะนั้น..คำตอบอยู่ที่สมาธิ กลับไปจัดการสร้างสมาธิให้เข้มแข็งไว้ ให้สังเกตว่าเวลาสมาธิทรงตัว ทุกอย่างจะดีหมด

เถรี 25-08-2011 06:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเลี้ยงปลาโลมาไหม ? อาตมางงมากเลยว่าสัตว์ที่ฉลาดขนาดปลาโลมาทำไมจึงไม่ครองโลก ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะปลาโลมาฉลาดจึงไม่ครองโลก

เราทำอะไรเขารู้หมด แล้วเขารู้ด้วยว่าต้องอ้อนอย่างไรถึงจะได้กิน สุดยอดกว่าหมาเยอะเลย ต้องไปเจอด้วยตัวเองแล้วจะรู้ว่าเขาฉลาดแค่ไหน สรุปว่าปลาโลมารู้ว่าโลกนี้ยุ่งฉิบหาย ก็เลยไม่อยากได้ นั่นแหละ..เพราะความฉลาดของเขาจึงไม่ครองโลก

เวลาเขาร้อง คลิก..คลิก..คลิก เหมือนเขาหัวเราะ แต่จริง ๆ เขาพูด นั่นเป็นเสียงพูดของเขา เขาอาจจะบอกว่าพาไปเที่ยวข้างบนบ้างสิ เขามีความสุขที่ได้อยู่อย่างมีอิสระ

ลักษณะของการหากินของเขาอยู่ในลักษณะของโภชเนมัตตัญญุตา กินแล้วก็จบ ไม่มีการสะสมสำหรับมื้อต่อไป จะมีกินหรือไม่มีกินในมื้อหน้าเขาไม่ได้ห่วง กำลังใจอยู่เฉพาะหน้าเลย ถ้าเขามีปัจจุบันธรรมมากกว่านั้น คงได้เกิดเป็นคนหรือเป็นเทวดากันหมด"

เถรี 25-08-2011 06:58

ถาม : หนูรู้สึกว่าเด็กเขาไม่ค่อยซาบซึ้งกับความรักความเมตตาของพ่อแม่ เวลาเขารับของจากพ่อแม่ เขาก็รู้สึกเฉย ๆ ชินกับการรับค่ะ หนูเลยบอกว่าต้องมองให้ลึกมากกว่านี้นะ ว่าทำไมเขาถึงเอามาให้เรา
ตอบ : คนอื่นเขาให้เราอย่างนี้บ้างไหมเล่า ?

ถาม : เขารู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องให้เขา
ตอบ : เข้าใจผิดแล้ว ถ้าเขาไม่ให้แล้วแกจะรอดไหม ? ตายไปตั้งแต่ไม่ทันจะรู้ภาษาแล้ว

ถาม : เขาไม่มองความรู้สึกคนอื่น ว่าทำไมต้องมาเอาใจเรา
ตอบ : เด็กสมัยใหม่ส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนั้น ในเมื่อเข้าใจอย่างนั้นก็เลยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พอไม่ได้อย่างใจก็อาละวาด เรียนมหาวิทยาลัยปี ๒-๓ แล้วกระโดดตึกตาย อยากให้พวกที่กระโดดตึกตกลงไปแล้วไม่ตายสักที จะได้รู้ว่ารสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร ต้องพิการไปตลอดชีวิต จะไปกระโดดใหม่ก็ไม่ไหว

ถาม : เด็กเป็นอย่างนี้เราต้องอาศัยการพูดบ่อย ๆ
ตอบ : จำเป็นมาก เพราะถ้าไม่ตอกย้ำบ่อย ๆ แล้วเขาจะไม่ซาบ ในเมื่อไม่ซาบ(ทราบ) โอกาสที่จะซึ้งก็ไม่มี ซาบกับซึ้งนี่ต่างกันนะ ซาบ(ทราบ)นี่รับรู้เฉย ๆ ซึ้งนี่เข้าใจเลย

ถาม : คิดไปคิดมา ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อกับแม่มีในชีวิตก็แค่เรา พ่อแม่มีแค่ลูกเท่านั้นที่เป็นดวงใจ ตระหนักขึ้นมาเอง เรามีความสุขจัง เราไปไหนเราก็มีความรักของพ่อแม่คุ้มครอง
ตอบ : เขาเรียกว่าบุญคุณของพ่อแม่ บุญคุณของพ่อแม่สามารถรักษาเราได้ โบราณเวลาเขาออกรบ เอาชายผ้าถุงแม่ไปชิ้นเดียวแล้วรอดกลับมา

เถรี 25-08-2011 15:55

ถาม : คำว่า ปูชา จ ปูชนียานํ คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชา กับ คารโว จ การเคารพต่อบุคคลที่ควรเคารพ มีความแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : สักการะคือการกระทำสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน บูชาคือการแสดงความนอบน้อมเป็นอย่างสูง เคารพ คือการแสดงออกซึ่งการให้เกียรติต่อผู้อื่น

ถาม : แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ความหนักเบาต่างกัน

ถาม : แล้วการบูชาบุคคลซึ่งควรบูชา นี่รวมถึงการปฏิบัติบูชาด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายึดพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ก็ถือเป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าท่านเน้นตั้งแต่ต่ำสุดจนสูงสุด

ถาม : คำว่า อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ?
ตอบ : อัตตสัมมาปณิธิ ก็คือเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ เขาถึงเรียกว่า ตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ

ถาม : สิปฺปญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ที่ท่านเคยพูดอยู่เสมอ ๆ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต รวมถึงพวกวิชาชีพติดตัวด้วยไหมครับ ?
ตอบ : รวมถึงการงานทุกอย่าง แต่สำคัญที่สุดในส่วนของศิลปะในการดำรงชีวิต

เถรี 25-08-2011 16:04

ถาม : การมีวินัยนี่เขาแปล วินโย จะ สุสิกขิโต มีวินัยที่ศึกษาอบรมดีแล้ว ผมอ่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ตอบ : ก็เพราะคุณไปเอาตามรากศัพท์ ความหมายคือ เป็นบุคคลที่พร้อมจะปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ หรือข้อกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น..ถ้าคุณไม่ฝืนระเบียบ ไม่ฝืนข้อบังคับ ไม่ฝืนข้อกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรที่คนอื่นเขาจะทำให้เราเดือดร้อนได้

ถาม : ข้อที่ ๑๖ ที่ว่า ธัมมะจะริยา คือการประพฤติธรรม ตรงนี้หมายถึง ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

ถาม : ส่วน ๑๘ กับ ๑๙ คือ อะนะวัชชานิ กัมมานิ การทำงานไม่มีโทษ กับ อาระตี วิระตี ปาปา การงดเว้นกับการทำบาปทั้งปวง ต่างกันตรงไหน?
ตอบ : การทำงานไม่มีโทษ เขาให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืองานที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองหรือศีลธรรม ส่วนการเว้นจากบาปทั้งปวงก็คือเว้นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

กายทุจริต ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีทุจริต ก็คือเว้นจากการโกหก เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการส่อเสียด เว้นจากการพูดวาจาไร้ประโยชน์ มโนทุจริต ก็คือไม่โลภอยากจนเกินพอดี ไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเว้นได้ก็ไม่ต้องไปชั่วแล้ว

เถรี 25-08-2011 16:36

ถาม : ส่วนคำว่า อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ คือความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลายนี่หมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ต่ำสุดยันสูงสุดเลย ก็คือตั้งหน้าปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

ถาม : อันหนึ่งที่ผมอ่านแล้วผมงงมาก คือ สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะ ในที่นี้หมายถึงการเห็นพระ แค่นี้ก็เป็นบุญ เป็นมงคลแล้วหรือครับ?
ตอบ : มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้เห็นพระพุทธเจ้าแวบเดียวก่อนตาย รอดนรกไปได้ จัดเป็นอุดมมงคลไหมเล่า ?

ถาม : มีข้อหนึ่งที่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอคือคำว่า ธมฺมจริยา การประพฤติธรรม กับอีกคำหนึ่ง พรหฺมจริยํ การประพฤติพรหมจรรย์
ตอบ : ประพฤติพรหมจรรย์ ต่ำสุดก็ต้องเป็นผู้ทรงสมาธิได้ทรงตัว เพราะคำว่า "พรหม" หมายถึง ผู้ใหญ่ พรัหมะจะริยา คือ จริยาของผู้ใหญ่

จริยาที่ทำให้เกิดเป็นพรหม ก็คือต้องทรงสมาธิ ต้องอยู่คนเดียว ต้องปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี ดังนั้น..อย่างน้อย ๆ พรัหมมะจริยาจะต้องประพฤติอยู่ในลักษณะทรงศีล และปฏิบัติในเนกขัมมะบารมี

เถรี 25-08-2011 17:12

ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสถึงมงคล ๓๘ ประการ หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีทุกข้อ แต่ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดก็ถือว่าเป็นมงคลแล้ว ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ แต่ถ้าทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกข้อ ก็ไปนิพพานแน่นอน

ถาม : สามข้อหลังนี่ใกล้เคียงกันมาก ผมหาความแตกต่างไม่เจอ อะโสกัง วิระชัง เขมัง
ตอบ : อะโสกัง..สภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง..สภาพจิตที่ผ่องใสปราศจากธุลี เขมัง..สภาพจิตที่มีแต่ความสดชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ถ้าทำถึงก็รู้เอง

ถาม : จริง ๆ สามตัวนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันอยู่ แต่ว่าเป็นความต่างกันโดยชื่อ บุคคลที่ทำถึงจะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าได้เฉพาะอย่าง

ถาม : อริยสจฺจานทสฺสนํ คือการเห็นอริยสัจ กับ นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ การทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่ถึงพร้อมกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเห็นในอริยสัจ ก็จะทำพระนิพพานให้แจ้งไปด้วย

เถรี 25-08-2011 17:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในอภิสมาจารท่านกล่าวเอาไว้ว่า ภิกษุพึงกางร่มได้เฉพาะในอารามหรือในอุปจาระแห่งอารามเท่านั้น ในอารามก็คือในวัด อุปจาระแห่งอารามก็คือเขตวัด พ้นจากนั้นไปก็ไม่ใช่แล้ว

แต่ถ้าเห็นพระที่ไหนเขากางร่มก็อย่าไปว่าท่านนะ เพราะท่านมีอนุญาตว่า เพื่อป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบได้ แต่นั่นหมายถึงต้องป่วยอยู่นะ เพราะโดนฝนโดนแดดแล้วจะเป็นหนักขึ้น แต่ก็มีคนตีความเข้าข้างตัวเองว่า ป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบ คือป้องกันเป็นไข้ ว่าแล้วก็กางเลย"

ถาม : ถ้าโยมเห็นพระเดินบิณฑบาตตากฝน โยมขออนุญาตกางร่มให้ จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะเป็นโยมผู้ชาย ไม่ใช่เป็นโยมผู้หญิงกางร่มตาม ไม่อย่างนั้นเสียหายหลายแสน..!

เถรี 25-08-2011 17:41

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยอ่านเรื่องสั้นของฝรั่งเรื่องหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งหัวค่อนข้างช้า รับกลอนจากอาจารย์บทหนึ่งไปท่องเป็นอาทิตย์ก็ยังท่องไม่ได้ พอถึงเวลาต้องไปท่องให้อาจารย์ฟังหน้าห้อง ท่องไม่ได้ก็โดนไล่ไปอยู่นอกห้อง จึงเอาตำราไปนั่งท่อง

ตรงที่เขานั่งพิงกำแพงอยู่ มีหอยทากค่อย ๆ กระดืบ ๆ ขึ้นกำแพง เขาก็เลยเกิดมานะว่า "หอยทากไปช้าขนาดนั้นยังไม่ท้อถอยเลย เพราะฉะนั้น..เราจะท่องกลอนบทนี้ให้ได้ก่อนที่หอยทากจะขึ้นถึงบนกำแพง" เกิดความมานะพยายามเพราะมีคู่แข่งแล้ว ก็เลยท่องกลอนได้จริง ๆ

เพราะฉะนั้น..ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามก็อยู่ที่นั่น..!"

เถรี 26-08-2011 05:20

ถาม : บารมีสิบที่คนสั่งสม มีการลดหรือเพิ่มในแต่ละวันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งสมก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าทำความชั่วแล้วจิตใจเศร้าหมอง ทำให้ห่างจากความดี การทำความดีของบุคคลนั้นลดลง

จริง ๆ แล้วความดีไม่ได้ลดลงหรอก ดีกับชั่วต่างคนต่างอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเกาะด้านไหน ถ้าหากว่าเราเกาะด้านดีก็พาเราขึ้น ถ้าเกาะด้านชั่วก็พาเราลง คราวนี้เวลาเราเกาะผิดด้าน ความดีก็เหมือนกับปรอทสองหลอดคู่ เทมาด้านไม่ดีเสียเยอะ จนกว่าเราจะมาสะสมเพิ่มก็ค่อยเพิ่มทางด้านดีมากขึ้นไปอีก

ถาม : ไม่ได้ลด ?
ตอบ : ไม่ได้ลดไปไหน

ถาม : ถ้าเป็นสาวกภูมิก็แค่..?
ตอบ : ไม่ว่าสาวกหรือว่าจะเป็นพุทธภูมิก็ตาม ก็ต้องสร้างบารมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่าระยะเวลาการสร้างมากน้อยกว่ากันเท่านั้น เหมือนกับสาวกเรียนจบปริญญาตรีก็พอแล้ว แต่ว่าพุทธภูมิอาจจะต้องเรียนเกินด็อกเตอร์

เถรี 26-08-2011 05:28

ถาม : กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ?
ตอบ : กิเลสเป็นต้นตอทำให้เกิดตัณหา เพราะกิเลสเป็นความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจของเรา จะเป็นตัวบงการให้เราเกิดความอยากในเรื่องต่าง ๆ ก็คือตัณหา

เมื่อเกิดตัณหาขึ้นมาแล้วก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า อันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ ก็จะเป็นอุปาทาน แล้วในส่วนของกิเลสกับตัณหาและอุปาทาน พอถึงเวลาหนึ่งจะชักจูงให้เราลงในทางที่ต่ำมากกว่า ก็คือจะไปสร้างอกุศลกรรมเหล่านั้น

พอไปสร้างอกุศลกรรมก็จะไปสั่งสมสร้างกองกิเลสนั้นให้พอกพูนมากขึ้น ๆ พวกนี้เท่ากับเป็นเชือกเส้นเดียวกัน เพียงแต่คนละเกลียวเท่านั้นเอง

ถาม : เราจะมีการทำอย่างไร ที่จะให้กำลังใจมุ่งไปทางฝ่ายดีตลอดเวลา?
ตอบ : รักษาศีลและสมาธิให้ทรงตัวไว้ อย่าให้หลุด ถ้าอย่างนั้นก็จะไปดีอย่างเดียว ถ้าหลุดเมื่อไรมีโอกาสลงไปชั่วได้

ถาม : จิตที่หลุดจากศีลและสมาธิ จะไหลไปสู่ที่ต่ำ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไหลไปสู่ที่ต่ำ แต่ "ตะเกียกตะกาย" ไปสู่ที่ต่ำ เราต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะต้อนให้กลับคืนมา แต่ท้ายสุดหลุดพ้นเหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลายาวนานมากน้อยต่างกันเท่านั้น

เราต้องคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราไม่เพียรพยายามแล้วจะไม่มีวันหลุดพ้น ไม่ใช่ไปรอว่าอีกเดี๋ยวเราก็หลุดพ้นแล้ว แค่รอแล้วไม่ทำอะไรเลยก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหนเลย

เถรี 26-08-2011 05:35

ถาม : เวลาหลบความวุ่นวาย ก็อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด อยู่ที่สงบ ก็ดิ้นอยากเข้าเมือง เป็นเพราะอะไร ? เป็นเพราะกิเลสมารหรือเป็นเพราะกิเลสเราเอง ?
ตอบ : เป็นกิเลสเรานี่แหละ ก็คือ ยังไม่เข็ด..!

ถาม : รู้สึกเบื่อ อยากไปอยู่วัด พอไปอยู่วัด ก็เบื่ออยากออกข้างนอก
ตอบ : มีพระหลายรูปบอกกับอาตมาว่า "ท่านอาจารย์..ช่วยหาที่สงบ ๆ ให้ผมหน่อย" พอส่งไปจริง ๆ เตลิดเปิดเปิงกลับมาแทบไม่ทัน เพราะเงียบเกินไปเลยอยู่ไม่ได้

ถาม : พระก็เป็นเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เป็น..พระก็ลูกชาวบ้านนี่ เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เปลี่ยนกติกาในการดำเนินชีวิตเท่านั้นเอง กิเลสก็เท่ากันนั่นแหละ

อยากจะสงบมาก อยากจะบวชชี บวชเข้าไปละดิ้นแทบตาย ตอนนี้แม่ชีที่วัดบางคนกำลังคลุ้มคลั่ง กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก

ระวังเอาไว้...อยู่ในที่ที่สงบ แต่ใจเราไม่สงบก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ในที่ที่วุ่นวายเพียงไหน ถ้าใจเราสงบก็สงบอยู่นั่นแหละ

เถรี 26-08-2011 05:37

ถาม : จิตที่ฟูขึ้นมา ?
ตอบ : เป็นเพราะสภาพจิตที่ปีติยินดีในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเองชอบใจ เหมือนอย่างกับพองลมจะลอยไปได้ พอเวลาไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เหี่ยว ร่วงไม่เป็นท่าอีก

ถาม : เป็นทั้งทางธรรมและทางโลกใช่ไหม ?
ตอบ : เป็นทุกทางเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็ฟูยินดี เพราะได้สิ่งที่ชอบใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศ โดนนินทา ก็มีความทุกข์ ก็นั่งกลุ้มใจ

ถาม : ในทางธรรมและทางโลก จะเหมือนกันไหม ?
ตอบ : เหมือนกัน ในทางธรรมเราปฏิบัติธรรมไป ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว เวลาเจออารมณ์กระทบก็ตกเหมือนกัน พอเวลาได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจก็ฟูเหมือนกัน ต้องคอยระมัดระวังไว้เสมอ

เถรี 26-08-2011 05:41

ถาม : สมัยนี้ได้ยินบ่อย ๆ เขาบอกว่าคนนี้ไปวิปัสสนา บางคนก็บอกว่าสมถะก็พอ
ตอบ : สำคัญว่าทำเป็นหรือเปล่า ? สมถะเหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรง เพาะกำลังไว้มาก วิปัสสนาเหมือนคนที่มีอาวุธที่มีความแหลมคมมาก

ถ้าร่างกายแข็งแรงแต่ไม่มีอาวุธ กว่าจะฟันฝ่าผ่านอุปสรรคไปได้ก็ลำบาก คนที่มีอาวุธแต่ร่างกายไม่แข็งแรง ยกอาวุธก็ยังไม่ขึ้น จะไปถากถางอุปสรรคขวางหน้าได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น..สองอย่างนี้ต้องทำรวมกัน พอทำรวมกันมีร่างกายที่แข็งแรง มีอาวุธที่คมกล้า ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ง่าย

คราวนี้การปฏิบัติแทบทั้งหมดจะจัดอยู่ในสมถภาวนา ในส่วนของวิปัสสนาภาวนาเป็นการใช้ปัญญา พิจารณาให้รู้เห็นความเป็นจริงว่าสภาพร่างกายนี้ โลกนี้ และสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดถือมั่นก็จะเกิดความทุกข์แก่เรา เพราะว่าไม่เหลืออะไรให้เรายึดถือเป็นตัวเป็นตนมั่นหมายได้ ท้ายสุดทุกอย่างก็พังสลายไปหมด

ถ้าเราเห็นจริง จิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน ก็จะเกิดความสุข เพราะว่าการเกิดมาในโลกนี้ก็เหมือนกับคนติดคุก ถ้าเราไปดิ้นรนพุ่งชนประตูจะออกไปให้ได้ ไม่หัวแตกตัวช้ำก็อาจจะเสียชีวิตไปเลย แต่ถ้าเรารู้แล้วว่าไม่มีทางออกไปไหนได้ ถึงเวลาเขาก็มาเปิดประตูปล่อยเราไปเอง เราแค่นั่งเฉย ๆ ก็สบายดี การเปรียบว่านั่งเฉย ๆ หมายถึงสภาพจิตยอมรับ ไม่ไปดิ้นรน เพราะว่ามีปัญญารู้ว่าไม่ช้าก็จะพ้นไปแล้ว

ดังนั้น..ในเรื่องของวิปัสสนาก็คือการรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับ เมื่อปัญญายอมรับก็ปล่อยวางทุกอย่างได้ ภาระที่แบกไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะร่างกายที่เป็นภาระหนัก ก็เท่ากับว่าไม่ได้แบกอะไรไว้ เพราะจิตใจปล่อยวางไปแล้ว

แต่ว่าในเรื่องของสมถะก็คือการที่เราเพาะร่างกายให้แข็งแรงพร้อมที่จะแบกภาระเหล่านั้น แม้ว่าจะแบกไหวแต่ก็ยังหนักอยู่ดี ดังนั้น..สองอย่างต้องทำด้วยกัน คือแข็งแรงแล้ววางภาระได้ยิ่งไปง่ายใหญ่เลย เพราะไม่มีอะไรให้แบกหนัก ตัวเราแข็งแรงอยู่แล้วก็ยิ่งเดินทางไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้น

เถรี 26-08-2011 11:34

ถาม : บางคนบอกว่า ถ้าทำพวกสมาธิจะทำให้ยังตัดราคะโทสะไม่ได้..?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะกดราคะโทสะให้ดับลงได้ชั่วคราว แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไรก็เหมือนกับเก็บกดมานาน แล้วจะกำเริบมาก เหมือนกับเราเอาก้อนหินใหญ่ ๆ มาทับต้นหญ้าไว้ ถ้าทับไปนาน ๆ หญ้าก็ตาย แต่ถ้าหญ้ายังไม่ตายแล้วเรามาพลิกก้อนหินขึ้นมาอีก คราวนี้หญ้าจะงอกงามใหญ่เลย เพราะกลัวตายก็เลยต้องดิ้นรนขึ้นของเขาอย่างเต็มที่

ลักษณะของกิเลสก็เหมือนกัน ถ้าโดนกดเอาไว้นาน ๆ แล้ว ถ้าถึงเวลากำเริบได้ จะกำเริบหนักกว่าปกติ เหตุที่กำเริบหนักกว่าปกติเพราะได้กำลังจากเราไป ก็คือกำลังสมาธิที่เราทำนั่นแหละ

เราได้สร้างสมาธิเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ได้ไปใช้พิจารณาในการตัดละกิเลส เราสร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง สร้างขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ทิ้ง พอถึงเวลาตัวกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ก็เอากำลังตรงนั้นแหละไปฟุ้งซ่าน จะไปกันใหญ่เลย เพราะว่ากิเลสแข็งแรงเสียแล้ว กลายเป็นว่าเราเลี้ยงโจรให้แข็งแรงแล้วก็มาปล้นเราหนักขึ้น

ถาม : แล้วเราจะวิปัสสนาอย่างไร ?
ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงอย่างที่ว่ามานั่นแหละ พอเห็นแล้ววางลงให้ได้ พอเห็นแล้วว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษจริง ๆ เบื่อเหลือเกินไม่เอาอีกแล้ว ถ้าใจบอกว่าไม่เอาอีกแล้ว วางลงได้ก็จบเลย

แต่ว่าถ้าหากเบื่อ ๆ อยาก ๆ อยู่ ถึงเวลาก็จะกำเริบใหม่อีก เพราะฉะนั้น..นักปฏิบัติที่เสียคนมาเยอะต่อเยอะก็คือว่า พอจิตเริ่มสงบก็จะมีคนมาคอยกวนอยู่บ่อย ๆ พอไม่มีเวลาปฏิบัติเป็นของตัวเอง สภาพกิเลสกำเริบขึ้นมาใหม่อีก คราวนี้ก็หงายท้อง เสียผู้เสียคนไปเลย

เถรี 26-08-2011 11:40

ถาม : ด้านราคะเราใช้อสุภสัญญามาพิจารณา ถ้าเราทำถูกจะระงับราคะได้หรือไม่ ?
ตอบ : จะพิจารณาอย่างไรก็ตาม ถ้าปัญญายังไม่ยอมรับ ก็เพียงแค่ระงับได้ชั่วคราว แต่ถ้าเรายอมรับเพราะเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนก็เพราะร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าการคบหากันแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก จบกันแค่นี้ ถ้ากำลังใจเห็นอย่างนี้จริง ๆ แล้ว กำลังสมาธิเพียงพอก็จะตัดขาดไปเลย แล้วจะไม่กำเริบอีก

ถาม : จะไม่กลับไปกลับมา ?
ตอบ : ไม่กลับไปกลับมา แต่ถ้าหากกำลังใจยังไม่เห็นจริง สมาธิพอขนาดไหนก็ยังตัดไม่ได้ เพราะว่าใจไม่ยอมรับ ได้แต่ป้องกันเอาไว้ชั่วคราว

ถาม : แต่เวลาตัดจะไม่ขาดทีเดียว จะค่อย ๆ ขาด ?
ตอบ : มีทั้งตัดทีเดียวขาดและค่อย ๆ ลด ขึ้นอยู่กับกำลังของเราว่าพอไหม ? ถ้ากำลังเราพอ สมาธิเราสูงพอ ปัญญาเราพอ ตัดทีเดียวขาดเลย แต่ถ้าสมาธิและปัญญาไม่สูงพอ ก็ยังไม่ขาด แต่สามารถทำได้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ กิเลสก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อยเช่นกัน

เถรี 26-08-2011 11:43

ถาม : ปีติยินดีมีทั้งทางธรรมและทางโลก ปีติเป็นกุศลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นกุศลก็จริง แต่ว่าก็เป็นแค่กามาวจรกุศล จิตที่ยังมียินดียินร้ายจะไม่มีทางหลุดพ้น

ถาม : ปีติเป็นกามาวจร ?
ตอบ : ใช่..กามาวจรไปได้แค่เทวดา แต่ถ้าหากว่าเป็นทางโลก เรายินดีได้ แต่ให้มีสติอยู่ในกรอบของศีล คือให้ได้มาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม อย่าถึงขนาดผิดศีลผิดธรรมด้วยการคอรัปชั่น ลักขโมย ช่วงชิง หลอกลวงเขามา ถ้าอย่างนั้นผิดศีลผิดธรรม จะพาให้เกิดโทษหนักทีหลัง

เถรี 26-08-2011 11:56

ถาม : อย่างที่บอกว่าใช้ปัญญาในการพิจารณาตัด ก็คือ เราดูจากจุดนั้น เรายอมรับว่าจุดนั้นมีความรู้สึกอย่างไร และก็มองลงไป แล้วให้รู้สภาวะนั้นค่อย ๆ ดับลงไป ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ปัญญาที่เกิดขึ้นจริง ๆ จะรู้สาเหตุว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วก็จะไม่ทำเหตุอันนั้น (หยิบแก้วน้ำขึ้นมา) นี่คือแก้วน้ำ ถ้าหากว่าคนมีปัญญามอง จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็สักแต่เป็นแก้วใบหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้

แต่ถ้าคนที่ขาดปัญญามอง จิตจะเริ่มปรุงแต่งต่อว่า แก้วน้ำ..ใส่น้ำดื่มได้ ถ้าได้น้ำแช่เย็นสักหน่อยก็ดี นี่ออกไปทางโลภะแล้ว อยากมีอยากได้

วันนั้นไปกับสาว เขาสั่งน้ำปั่น นึกถึงสาวราคะเกิดอีกแล้ว วันนั้นเราแช่น้ำในตู้เย็นไว้ พรรคพวกกินจนหมดแล้วไม่เติมใหม่ เรากลับมาหิวแทบตาย ไม่มีน้ำเย็นกิน โทสะเกิดอีกแล้ว นี่แค่แก้วใบเดียว

ถ้าหากว่าปัญญาถึงก็จะเห็นเลยว่า แก้วนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นรูป พอเห็นแล้วสภาพจิตจะหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปปรุงแต่งคิดต่อ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้ ที่กิเลสเกิดเพราะเราไปคิดต่อ เปรียบเหมือนกับว่าเราซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้ชามหนึ่ง เขาลวกเส้นเสร็จก็ใส่ชามมาให้ ไม่ได้ใส่เครื่องปรุง ไม่ได้เติมพริก ไม่ได้เติมน้ำปลา ไม่ได้เติมน้ำส้ม ไม่ได้เติมน้ำตาล เรากินไม่ลงหรอก เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า

สภาพจิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ไปช่วยปรุงแต่ง ก็คือ ไม่ไปปรุงรสให้ จิตก็ไม่อยากที่จะรับอารมณ์นั้นต่อไป เพราะจืดชืดไม่เป็นท่า ก็จะปล่อยวางลงไปเอง

เถรี 26-08-2011 12:01

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสามารถหยุดได้ถือว่าดี แต่ถ้าหากว่าเราตัดได้ตั้งแต่ต้นเหตุด้วยปัญญาของเรา โดยไม่ปรุงแต่งต่อได้ ก็จะจบกันแค่นั้นเลย คราวนี้การที่เราจะหยุดการปรุงแต่งได้ กำลังของสมาธิต้องดี เหมือนอย่างกับม้าวิ่งไปถึงหน้าผาแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะดึงม้าให้หยุด คือกำลังของเราต้องดี แต่ทำอย่างไรจะหันหัวม้าออกไปให้พ้นจากทิศนั้น จะได้ไม่ต้องวิ่งไปทางเหว นั่นปัญญาของเราต้องดี

ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาก็จะเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าหากว่าศีลทรงตัว สมาธิจะตั้งมั่นได้ง่าย เพราะเราต้องคอยระมัดระวัง อย่างน้อยศีล ๕ นี้เราต้องไม่ผิด สติสมาธิของเราจะอยู่ตรงนี้ ในเมื่อระวังบ่อย ๆ รักษาศีลได้ สมาธิจะทรงตัวได้ เมื่อศีลสมาธิทรงตัว สภาพจิตจะสงบ ปัญญาจะเริ่มเกิด

พอปัญญาเริ่มเกิด รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็เริ่มเว้น รู้ว่าอะไรดีเราก็ทำ แล้วก็เอาปัญญาตรงนี้ไปคุมศีลกับสมาธิอีกที ว่าทำอย่างไรจะทำให้ศีลของเราไม่บกพร่อง ทำอย่างไรจะทำให้สมาธิเราทรงตัว เพราะยิ่งควบคุมศีลสมาธิยิ่งดี ปัญญาก็ยิ่งเกิด จะไล่ไปเรื่อย เหมือนกับเราไขน็อต ไขไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็สุด ทุกอย่างก็จะจบ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว