กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2786)

เถรี 22-07-2011 11:57

ถาม : ถ้าเกิดคนเขาฝากเงินมาทำบุญ แล้วเราลืมว่าเขาฝากทำบุญอะไรมา เราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กลับไปถามเขาใหม่

ถาม : ถ้าเราจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนฝากเสียด้วยซ้ำ ?
ตอบ : ก็รับผลกรรมจากการกระทำของตัวเองไปก็แล้วกัน จำไม่ได้ก็อย่ารับฝากสิวะ..!

เถรี 22-07-2011 12:40

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วัดประตูด่านขอเจ้าอาวาสอีกแล้ว อาตมาหาเจ้าอาวาสให้เขาไม่ทัน มานั่งเซ็งในอารมณ์ วัดในกาญจนบุรีมีตั้ง ๖๐๐ กว่าวัดและอีก ๙๐ กว่าสำนักสงฆ์ เวลาขาดเจ้าอาวาส เขาจะไปขอที่วัดท่าขนุน..!

เจ้านายเขาสรุปว่า ถ้าได้พระจากวัดท่าขนุน เท่ากับได้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปด้วย เพราะอย่างไรอาตมาก็ต้องไปช่วยอยู่ดี..!

ตอนนี้ที่พิจารณาอยู่ พระที่อายุพรรษาถึง ความรู้ถึงนั้นมีมาก แต่พระที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควรนั้นมีน้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้ารีบเร่งจะให้เขายอมรับตัวเราเองมากเท่าไร จะโดนเขาหวาดระแวงมากเท่านั้น นี่เป็นธรรมชาติของเจ้าอาวาสใหม่เลย"

ถาม : ต้องระดับไหนจึงรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ต้องรู้กาลเทศะ ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะทำอะไร ไปถึงใหม่ ๆ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป หักด้ามพร้าด้วยเข่าตามใจตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่าคนอื่นเขาฝังรากลึกมานานแล้ว เราต้องค่อย ๆ ขยับไปทีละน้อย จนกระทั่งมั่นใจว่าอำนาจการควบคุมอยู่ในมือแน่ ๆ แล้ว คราวนี้จะทำอะไรก็เชิญ ซึ่งบางทีอาจจะต้องใช้เวลา ๕-๑๐ ปี

ถาม : ความรู้แบบนี้จะไปหาที่ไหนคะ ?
ตอบ : ประสบการณ์ชีวิต หรือไม่ก็ดูจากคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วหลายคนมักจะใจร้อนใจเร็ว เก่งนิติศาสตร์โดยไม่สนใจรัฐศาสตร์เลย

เถรี 22-07-2011 12:56

ทางปักษ์ใต้มีอยู่วัดหนึ่ง อาตมาตั้งใจจะเอากฐินไปให้ แต่ว่าเป็นสำนักสงฆ์ ไม่รู้ไปเอาความรู้ที่ไหนมาว่าสำนักสงฆ์รับกฐินไม่ได้ พอได้ยินว่าอาตมาจะทอดเป็นกฐิน ท่านก็บอกว่ารับไม่ได้ ขอเปลี่ยนเป็นผ้าป่าได้ไหม ?

อาตมาก็แจ้งไปว่า ทางนี้ประกาศเป็นกฐินปลดหนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผ้าป่าเท่ากับไปเปลี่ยนเจตนาเขา เดี๋ยวจะมีโทษเท่ากับย้ายพระเจดีย์ ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นท่านรับไม่ได้เพราะรับได้แค่ผ้าป่า อาตมายังสงสัยว่าครูบาอาจารย์ที่ไหนอบรมมา..! ท่านมีหนี้อยู่ ๖ แสน ขนาดอาตมาประกันว่าให้ล้านหนึ่ง ท่านยังต้องการแค่ผ้าป่าไม่ต้องการกฐิน

หลายต่อหลายแห่งยังเข้าใจผิดอยู่ว่า กฐินต้องมีพระอยู่ครบ ๕ รูป ขึ้นไปถึงจะรับได้ ความจริงพระที่ครบ ๕ รูป ภาษาบาลีเขาเรียกคณปูรกะ คืออยู่ให้สมบูรณ์เต็มคณะเท่านั้น ไปยืมจากวัดอื่นมาได้ แต่พระที่เรายืมมามีหน้าที่แค่มาเป็นคณปูรกะเท่านั้น สิ่งของที่เกิดขึ้นต้องทิ้งไว้ให้เจ้าของวัด พูดง่าย ๆ ว่ามาให้เต็มคณะเพื่อจะได้รับกฐินได้ แต่พอรับแล้วไม่ได้มีสิทธิ์ในกองกฐินนั้น

เถรี 22-07-2011 13:00

ถาม : ป่วยค่ะ
ตอบ : เหมือนกันเลย อาตมาก็ป่วย พวกเดียวกัน

ถาม : จะมีอาการป่วยช่วงวันพระ ไม่หายสักที
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เราจะได้รู้ว่าวันนี้เราต้องทำบุญใส่บาตร เขาอุตส่าห์เตือนให้เราทำบุญทุกวันพระ ดีจะตายไป พลิกวิกฤตเป็นโอกาส อาการขึ้นเมื่อไรแปลว่าเขาเตือนให้เราทำบุญ

ลองดูปีหน้า ถ้าหากว่ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรไปลองเข้าพิธีดู เพราะว่าเวลาเป่ายันต์เกราะเพชรถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ พุทธานุภาพจะขับไล่ไป เพียงแต่ว่าอยู่ให้ถึงปีหน้านะจ๊ะ ห้ามตายก่อน..!

เถรี 22-07-2011 13:24

ถาม : เคยมีคนพูดว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นต้องท่องปาฏิโมกข์ได้ก่อน หลวงปู่มั่นท่านจึงจะรับหรือครับ ?
ตอบ : ไม่จริง..แต่อาตมาก็ไม่กล้ายืนยันนะเพราะว่าเกิดไม่ทันท่าน

ถาม : ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือครับ ? เห็นท่านวิ่งไปวิ่งมาสายพระป่าพอสมควร
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน..ได้ยินแต่ว่าต้องเป็นตาผ้าขาวประมาณ ๒ ปี ยกเว้นว่าใครที่อาจารย์เห็นว่าความประพฤติสมควร อาจจะเหลือเพียงปีเดียว

เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๒๒๗ นะไม่ใช่เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๘ ก็คือให้ปฏิบัติตัวแบบพระ ทดสอบดูประมาณ ๑-๒ ปี พอเคยชินแล้วบวชเป็นพระจะได้ไม่ทำศีลขาด นับว่าเป็นกุศโลบายที่ยอดเยี่ยมมาก สมัยนี้คนบวช ๗ วัน ให้เป็นผ้าขาว ๒ ปีคงผูกคอตายกันหมด..!

เถรี 22-07-2011 14:30

พระรุ่นพิเศษที่บวชวันที่ ๒๑ บางรูป เมื่อสึกมาแล้ว ก็มากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงถามว่า "ไปสะสมพลังมาหรือว่าพลังหมด ? ปกติการเข้าไปบวชถือว่าไปสะสมพลังงาน แต่บางคนไปบวชแล้วพลังงานหมด"

ถาม : ทำไมคะ ?
ตอบ : คุยฟุ้งซ่านระหว่างเพื่อนฝูงก็มี แทนที่จะอยู่กับการภาวนาก็ไปโม้แข่งกัน แล้วจะไปเหลืออะไร ?

เถรี 22-07-2011 20:54

ประธานกลุ่มสมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มากราบอาราธนานิมนต์พระอาจารย์ไปบรรยายธรรมในหัวข้อ "แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"
ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐น.
ห้อง๒๑๑ (ห้องสมุดสุภาฯ) ชั้น ๒ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เถรี 23-07-2011 00:12

ถาม : มูลกัจจายน์เรียนเกี่ยวกับอะไรคะ?
ตอบ : มูลกัจจายน์ ก็คือการเรียนต้นเค้าของภาษาบาลีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าศัพท์คำหนึ่งมีที่มาอย่างไร เพราะเหตุใด จะมีที่มาเป็นสูตรเลยจ้ะ

ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าเป็นวิชาบาลี ?
ตอบ : เป็นบาลี แต่ว่าปัจจุบันนี้บาลีตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ เรียนในลักษณะบังคับให้เราจำว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่บอกว่ามาอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ในส่วนของมูลกัจจายน์เขาจะอธิบายให้ละเอียดว่า ที่มาของสูตรนี้มาอย่างไร

อย่างเช่น ทุกขูปสมคามินัง มาจาก ทุกขะ+อุปะสะมะ+คามินี แค่ ๒ คำแรก ทุกขะ+อุปะสะมะ ทำไมเป็นทุกขูปสมะ ? เขาก็จะมีว่า สูตรแรกคือให้แยกสระหน้าออกจากสระหลัง ก็คือ ทุกขะ มี อะ ของขะเป็นสระหลัง แล้วก็อุปสะมะ มี อุ เป็นสระหน้าหน้า

แล้วก็มาสูตรที่ ๒ ลบสระหน้าออกคงไว้แต่สระหลัง อะจะหายไป ก็เหลือเป็นทุกข แล้วก็บวกอุปสะมะเข้าไปก็จะเป็น ทุกขุปะสะมะ

เถรี 23-07-2011 00:18

คราวนี้เขาก็ยังมีสูตรอีกว่า ถ้าหากว่าเสียงสั้นกับเสียงสั้นรวมกันจะเป็นเสียงยาว ก็คือ รัสสะ(เสียงสั้น)+รัสสะ(เสียงสั้น) จะเป็นทีฆะ(เสียงยาว) แทนที่จะเป็น ทุกขุปะสะมะ ก็กลายเป็น ทุกขูปะสะมะ

เขาจะบอกที่มาละเอียดยิบเลย เราสามารถเจาะหาได้เลยว่าคำนี้ที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมถึงมาอย่างนี้ แต่ปัจจุบันนี้เขาบังคับให้จำอย่างเดียว อย่างเช่น แปลงอะกับสิ เป็นโอ เขาบังคับเลยว่าคุณต้องจำอย่างนี้ แต่เขาไม่บอกว่าทำไมถึงต้องแปลง แล้วแปลงอย่างไร

ถาม : ไม่มีให้เรียนวิชานี้หรือคะ ?
ตอบ : ทางด้านวิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆสเขาเอาพวกนี้กลับเข้ามาเรียนใหม่ อาตมาก็บังเอิญได้เรียนไปหน่อยหนึ่ง

ถาม : เคยอ่านเจอประวัติว่ามูลกัจจายน์คืออะไร ?
ตอบ : จะมีบาลีที่มาเป็นสาย ๆ มีสายพระโมคคัลานะ สายมหากัจจายนะ สายพระสารีบุตร คราวนี้สายของเรานี่เป็นสายพระมหากัจจายนะ ก็เลยเรียกมูลกัจจายน์ คือ มีต้นเค้ามาจากพระมหากัจจายนะ

เถรี 23-07-2011 00:22

ถาม : อ่านประวัติหลวงปู่ปาน สมัยก่อนไม่มีบาลี เขาให้เรียนมูลกัจจายน์
ตอบ : มูลกัจจายน์ก็คือบาลีนี่แหละ แต่จะเรียนละเอียดกว่านี้หลายเท่า ถ้าปัจจุบันประโยค ๙ ไปเรียนวิชานี้อาจจะสอบตกหมด เพราะว่ามีสูตรตั้ง ๑๖๐ กว่าสูตร เราต้องแม่นสูตรจึงจะรู้ที่มา แล้วถามว่าอาตมาแม่นไหม ? วิชานี้อาตมาได้ a

ถาม : วิชานี้จะมีอาจารย์สอนหรือคะ ?
ตอบ : เขาขุดกลับมา แล้วเขาก็มาศึกษากัน จนกระทั่งมั่นใจก็มาถ่ายทอดต่อ

ถาม : เวลาสวดมนต์จะมีภาษาที่เขารวมกันอย่างนี้แล้ว ?
ตอบ : จ้ะ..ภาษาที่สวดมนต์ก็คือภาษาที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าเราจะแยกแยะว่าแต่ละศัพท์มีที่มาอย่างไร ควรจะแปลว่าอย่างไร จะไปเข้าสูตรพวกนี้ แล้วก็จะได้คำแปลที่ถูกต้องมา ไม่อย่างนั้นบางทีเราอาจจะแปลผิดได้

เถรี 23-07-2011 00:26

ถาม : อาฏานาฏิยสูตร เราสวด..?
ตอบ : ถ้าเราทำได้ก็มีแต่ดีจ้ะ แต่มีอยู่บางบท อย่างเช่น อาฏานาฏิยสูตร ที่เขาขึ้น นะโมเม สัพพะพุทธานังฯ แล้วก็ วิปัสสิสะนะมัตถุฯ นักขัตตะ ยักขะภูตานังฯ จะมีอำนาจในการขับไล่พวกภูตผีปิศาจต่าง ๆ ได้ ถ้าเราตั้งใจไปสวดไล่เขา ก็จะเป็นโทษ แต่ถ้าเราตั้งใจสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ไม่เป็นไร ถ้าตั้งใจไปสวดไล่เขาเดี๋ยวก็จะโดนเขาไล่บ้าง

ถาม : สวดเฉย ๆ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าไปอ่านประวัติหลวงปู่ปาน อาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์ สวดทุกวันตั้งใจไล่ วันนั้นเผลอสวดไม่ทัน โดนเจ้าพ่อขุนด่านท่านล่อซะน่วมเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจสวดไล่เขา ระวังจะโดนเขาไล่บ้าง

ถาม : อาฏานาฏิยสูตรมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มาก
ตอบ : กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์จ้ะ

เถรี 23-07-2011 20:30

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม ว่า "กินเนสบุ๊กเขาบันทึกว่า หลวงพ่อทองคำเป็นปูชนียวัตถุสำหรับการบูชาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เป็นทองคำน้ำหนักกว่า ๕ ตัน ทองเยอะขนาดนั้นอย่างน้อยต้องเอารถ ๖ ล้อมาบรรทุกจึงจะหมด

เป็นที่น่าเสียดายว่า เขาไม่ได้ดูของเก่าสมัยที่หลวงปู่ไสว (ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธาธิบดี) เจ้าอาวาสเก่าท่านทำไว้ ฉากหลังหลวงพ่อทองคำจะเป็นผ้าม่านสีแดง ซึ่งขับให้องค์พระเด่นมาก พอมารุ่นหลังเปลี่ยนเป็นฉากสีน้ำเงินดูไม่ค่อยได้ ตอนนี้ฉากหลังกลายเป็นสีซีด ๆ ยิ่งดูไม่ได้ใหญ่เลย

สีทองต้องตัดกับสีแดง ถ้าด้านหลังเป็นสีแดงสด องค์พระจะเด่นมาก โบราณบอกว่า "ทองบ่รองรับพื้น ห่อนแก้วมีศรี" ก็คือถ้าไม่มีทองมารองรับ แก้วก็คือบรรดาเพชรพลอยก็ไม่เด่น อันนี้ต้องบอกว่า "แดงบ่รองรับพื้น ห่อนทองมีศรี" ไม่มีสีแดงรองรับ ทองก็ไม่เด่น"

เถรี 23-07-2011 20:45

ถาม : หลายคนบวชเข้ามาเพื่อมาเรียน เรียนจบแล้วก็สึกไปทำงาน แทนที่จะได้กำไร..?
ตอบ : ถ้าหากว่าเข้ามาแล้วตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วย เรียนด้วย ก็จะได้กำไร แต่ถ้าหากว่าตั้งใจมาเรียนจริง ๆ ไม่เอาเรื่องศีลเรื่องธรรมก็ขาดทุนย่อยยับ

ถาม : ถ้าเราไปปรามาส..?
ตอบ : ไม่ต้องไปปรามาสท่านหรอกจ้ะ อาตมาเองสมัยก่อนก็เคยคิดว่าต้องเป็นพระสุปฏิปันโนเท่านั้นถึงจะไหว้ได้ พอบวชเองมาได้ ๒-๓ พรรษา เจอสารพัดเรื่องที่ไม่เคยชินจากการถูกบังคับด้วยสภาพของนักบวช จึงเกิดความคิดใหม่ว่า ใครอยู่ในผ้าเหลืองได้อาตมากราบตีนได้ทุกรูปแหละ ต่อให้ชั่วแค่ไหนก็กราบได้ เพราะเขาอดทนได้ขนาดนั้น..! อาตมาปฏิบัติมาแทบตายยังจะอยู่ในผ้าเหลืองไม่ค่อยได้ เวลามีคนบอกว่า “บวชได้แหละดี..สบาย” เอ็งลองมาบวชดูบ้างสิ..ถ้าสบายทำไมเอ็งไม่บวช ?

ถาม : ดีกว่าไปอยู่เกะกะ..?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่ามีจุดมุ่งหมาย อย่างเช่นว่ามาเพื่อการศึกษาก็ยังดี เพราะว่าสิ่งที่เรียนรู้ไปในระหว่างเป็นพระก็ยังเอาไปใช้ได้ในชีวิตฆราวาส

บาลีกล่าวถึงการบวชหลายรูปแบบ มี อุปชีวิกา บวชมาเพื่ออาศัยศาสนาเลี้ยงชีพ ประเภทนี้เข้ามาอาศัยกินอย่างเดียวเลย อุปกิฬิกา บวชเอาสนุก เห็นเพื่อนเขาบวช มีแห่ตึงตังโครมครามน่าสนุก ก็เอา..จัดงานบวชบ้าง อุปทูสกา บวชมาทำลายพระศาสนา พวกนี้นอกจากไม่ทำความดีแล้ว ยังทำชั่วทุกระดับชั้นเลย อุปนิสสรณา บวชเพราะต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ประเภทนี้หาได้ยาก

สมัยนี้เขาว่า "อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน" ก็เลยมาบวชไปอย่างนั้นแหละ

เถรี 24-07-2011 09:31

ถาม : กรุงเทพน้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : กรุงเทพฯ น้ำท่วมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ปีนี้ประหลาด..ประเทศจีนแล้งที่สุดในรอบ ๑๐๐ ปี อยู่ ๆ ก็น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ ๕๖ ปี พูดง่าย ๆ ว่าแล้งจนชาวบ้านเขาจะตายกันหมดแล้วน้ำค่อยท่วม

ถาม : เราจะทำอะไรได้บาง ?
ตอบ : จะไปทำอะไรได้ เกิดจากการกระทำตัวเองทั้งนั้น สิ่งที่คุณทำคุณก็ได้ ช่วยกันทำเยอะ ๆ ก็ซวยมากหน่อย การกระทำทุกอย่างเป็นพลังงาน เมื่อเกิดพลังงานขึ้นก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พลังงานในด้านดีก็ดึงแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา พลังงานในด้านที่ไม่ดีก็เอาแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่คนทำไม่ดีเสียมากกว่า

อย่างวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนเลย ถ้าเขื่อนแตกเดี๋ยวนั้น รู้ตัวเดี๋ยวนั้น ก็หนียังไม่ทันเลย..!

ถาม : ถ้าเขื่อนแตก กี่นาทีน้ำจะมาถึง
ตอบ : ประมาณสัก ๒๐ วินาทีก็ถึงแล้ว จากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ตูมแรกที่มาจะสูง ๓๕ เมตร กี่ช่วงตัวของเราล่ะ ? ก็ประมาณตึก ๑๒ ชั้นหลังจากนั้นประมาณ ๓ ชั่วโมงครึ่ง น้ำจะไปถึงกาญจนบุรีด้วยความสูงที่เหลือ ๑๑ เมตร ถัดจากนั้นอีก ๒ ชั่วโมง มาถึงกรุงเทพฯ เหลือราว ๆ ๖ เมตร คนอยู่กรุงเทพฯ มีเวลาเตรียมตัว ๕ ชั่วโมงกว่า

อย่าไปกังวลอะไรในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อนาคะตัง อย่าไปกังวลถึงอดีต และอย่าฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปันนัญ จะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ อยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งได้


เถรี 24-07-2011 09:53

พระอาจารย์กล่าวถึงภาษาบาลีว่า "ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ประหลาด ปกติภาษาไทยเราจะมีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ภาษาบาลีมีปัจจุบันใกล้จะเป็นอดีต มีอนาคตใกล้ปัจจุบัน เขาละเอียดขนาดนั้น

แบบเดียวกับเรากำลังนั่ง จะเป็นอนาคตใกล้ปัจจุบันของการนั่ง และเป็นอดีตใกล้ปัจจุบันของการยืน ฟังแล้วบ้าไปเลยไหม ? ภาษาบาลีถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งสามารถวิเคราะห์ได้เลยว่าเป็นอย่างไร เป็นเอกวัจนะ เป็นพหุวัจนะ อยู่ในรูปแบบไหน เป็นเพศชาย เพศหญิง หรือไม่ชายไม่หญิง บอกได้หมด จะมี กาล วัจนะ
บท บุรุษ วาจก ปัจจัย ฯลฯ เขามีรายละเอียดเยอะกว่าภาษาทั่วไป"

ถาม : ปัจจุบันนี้ยังใช้บาลีอยู่ไหม ?
ตอบ : เป็นภาษาที่ตายแล้ว แต่การเรียนบาลีในขั้นสูง ๆ ไปอย่างของทางพม่า จะมีบาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน พูดคุยกันเหมือนปกติอย่างนี้ แต่ก็เป็นการพูดคุยกันตามรูปแบบเก่า ไม่มีการไปดัดแปลงหรือว่าไม่มีการเปลี่ยนศัพท์เปลี่ยนอะไรเหมือนสมัยนี้

เพราะฉะนั้น..บาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ความหมายคงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้รักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วคำหรือความหมายเปลี่ยนไปก็แย่สิ เช่น คำว่า ภุญชะติ เมื่อไรก็แปลว่ากิน ไม่ใช่แปลว่า "รับประทาน ยัดห่า สวาปาม" แบบของเราที่เปลี่ยนไปเรื่อย

เถรี 25-07-2011 11:52

พระอาจารย์กล่าวถึงการยกพระพุทธรูปว่า "เห็นโยมบางคนยกพระพุทธรูปแล้วอาตมาใจหาย บางคนมือหนึ่งก็กระเดียดยกเครื่องสังฆทาน อีกมือหนึ่งก็หิ้วคอพระมา เจอมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะเขาไม่รู้สึกอะไร

ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำไปกำลังใจต้องยิ่งละเอียดมากขึ้น ต้องเห็นโทษที่เกิดจาก กาย วาจา ใจ ของเราให้มากขึ้น อย่าทำไปแล้วจิตหยาบเป็นกันเองกับพระไปเรื่อย ยิ่งเป็นกันเองมากเท่าไร โทษก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัวมากเท่านั้น"

เถรี 25-07-2011 12:10

ถาม : การที่เราอยู่กับสังคมหมู่มาก และติดนิสัยโทสะ จะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าเรามีสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ตัวก่อนที่โทสะจะเกิดขึ้น ถ้าเราระงับยับยั้งไม่อยู่ ให้หลีกจากตรงนั้นไปก่อน เพราะถ้าปล่อยจนกระทั่งระเบิดขึ้นมา เราจะเอาไม่อยู่

ให้หลุดจากตรงนั้นไปก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าอารมณ์เย็นลง เราตั้งสติได้ กลับไปหาสมาธิใหม่ พออารมณ์มั่นคงค่อยกลับไปลุยกันใหม่อีกที ตอนแรก ๆ ต้องหนีก่อน หลังจากนั้นพออารมณ์ใจทรงตัวมั่นคงจริง ๆ แล้วค่อยไปพูดกับเขา

ที่สำคัญเราต้องพิจารณาให้เห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร โทสะส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะยึดมั่นความคิดตัวเอง ไม่ยอมปล่อย ในเมื่อคนอื่นคิดต่าง แย้งขึ้นมา เราก็ไปโกรธ ถ้าเห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร ก็จะหมดความโกรธไปเยอะเลย

เถรี 25-07-2011 14:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราถือว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคล ความจริงทุกเลขก็เป็นมงคล ขึ้นอยู่กับความคิดหรือความเชื่อของเรา ฝรั่งกลัวเลข ๑๓ กันนักหนา แต่ไทยเรามีธุดงควัตร ๑๓ ข้อ มีเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ ฯลฯ

คนจีนเขากลัวเลข ๔ เพราะเลข ๔ เวลาออกเสียงจะเหมือนคำว่าตาย แต่ไทยเรามีอริยสัจ ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อะไรที่มีสี่จะมั่นคงเป็นพิเศษ เช่น รถต้องมีสี่ล้อ โต๊ะต้องมีสี่ขา ฉะนั้น..เลขสี่ของคนไทยเรากลับแสดงออกถึงความมั่นคง

แต่ของพวกนี้ไม่ใช่มงคลที่แท้จริง ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม ถกเถียงกันอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ว่าอะไรเป็นมงคลที่แท้จริง มงคลที่แต่ละท่านยกขึ้นมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่คัดค้านได้ ท้ายสุดเทวดาทั้งหมดก็ตัดสินใจว่า ตอนนี้ผู้รู้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว เราไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เถียงมาเป็นร้อยปีก็ไม่จบเสียที

จึงพากันยกขบวนไปที่เชตวันมหาวิหาร ท่านบอกว่า ยังเชตวันมหาวิหารให้สว่างรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีแห่งเทวดาและพรหมทั้งหลาย พหูเทวะมนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง เทวดาและมนุษย์เป็นจำนวนมาก ต่างก็พาคิดถึงเรื่องที่เป็นมงคล

ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสมาดังนี้ว่า อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวะนา การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ จัดเป็นอุดมมงคล"

เถรี 26-07-2011 08:59

"ถัดไปก็เป็น ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญฺญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ๑ (ถ้ารอบข้างเขาทำความดี เราดีด้วยแน่ ๆ)

การมีบุญอันสร้างสมมาแต่ปางก่อน ๑ (ส่งผลให้แต่ด้านดีอย่างเดียว) การตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ ๑ (อยู่ในกรอบของสัมมาทิฐิ อยู่ในทานศีลภาวนา) จัดเป็นอุดมมงคล ฯลฯ

มงคลทั้ง ๓๘ นั้น ท่านไล่จากต่ำไปหาสูง ข้อท้าย ๆ นั้นถึงพระนิพพานเลย ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง การบำเพ็ญตบะ(พากเพียรในการเผากิเลส) ๑ การประพฤติในพรหมจรรย์ ๑ การทำอริยสัจให้แจ้ง ๑ จัดเป็นอุดมมงคล นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ เป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง

ท้าย ๆ ก็แสดงออกซึ่งผลของการบรรลุ คือ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตอันกระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว อะโสกัง มีสภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง ปราศจากธุลีมาแปดเปื้อน เขมัง มีความเกษมสำราญอยู่เสมอ เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง

จะเห็นว่าอุดมมงคลของพระพุทธเจ้านั้น ตรัสมาแล้วเถียงไม่ได้ เป็นของจริงแท้แน่นอน พรหมเทวดาทั้งหลายเป็นอันมากสาธุการชื่นชมในภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

เถรี 26-07-2011 10:11

ถาม : สมาธิ...?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เพียงสมาธิอุปจารฌานก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่กำลังที่จะตัดเด็ดขาดนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอากำลังตัดให้ได้มรรคได้ผลต้องปฐมฌานขึ้นไป หมายถึงว่าเข้าสมาธิเต็มที่แล้วคลายออกมาพิจารณานะ เอากำลังของสมาธิมาช่วย

บางท่านไม่ชำนาญในการเข้าออก พอเข้าสมาธิแล้วจิตนิ่งคิดไม่ได้ ก็เลยต้องคลายกำลังใจออกมาเพื่อคิด ส่วนใหญ่พวกเราคิดเฉย ๆ ก็ไม่ได้อะไรสิ คิดแล้วต้องตัดสินใจด้วย เรื่องของมรรคผลสำคัญอยู่ตรงที่การตัดสินใจ บางคนคลำมาเป็นสิบปีไม่ได้อะไรสักที แต่ก็ยังดีที่คลำมาถูกทาง เหลือตอนปลาย ๆ มั่ว ๆ เอาก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ตรงประตูเอง

มีโยมบางท่านไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ สมัยก่อนอยู่บ้านสายลม โยมท่านหนึ่งเสียงดังฟังชัดเลยตั้งแต่ผลักประตูเข้ามา พนมมือพูดเสียงดัง "หลวงพ่อครับ..ผมสร้างโบสถ์มาเท่านั้น สร้างระฆังมาเท่านี้ลูก สร้างศาลามาเท่าโน้นหลัง จนป่านนี้ทำไมผมยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เสียที ?"

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "เดี๋ยว ๆ โยม..รู้ไหมพระโสดาบันเขามีคุณสมบัติอย่างไร ?" "ไม่รู้ครับ" "โยมหันไปข้างหลัง ซื้อหนังสือสักเล่มหนึ่ง ราคา ๒๐ บาท เอาเล่มที่มีอารมณ์พระโสดาบัน ถามคนขายเขานั่นแหละ แล้วก็เอาไปทำซะ..!"

โยมเขามาผิดทาง จะเอาทานภายนอกมาเป็นการตัดสู่มรรคผล ก็ได้แค่การตัดความโลภภายนอกเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าโยมเขาอึดมาก ทำมา ๑๐-๒๐ ปี มั่นใจว่าทำแล้วต้องได้อะไรสักอย่าง แต่หวังสูงจะเอาพระอรหัตผลเลย

ถาม : ......
ตอบ : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา การมีบุญที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน ในเมื่อบุญตรงนี้เคยเนื่องกันมาก็จะดึงคนเหล่านี้มา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า บุคคลที่พบพานกันในปัจจุบันนี้ ในอดีตที่ไม่เคยสัมพันธ์กันมานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยรู้จักมักคุ้นกันในฐานะใดฐานะหนึ่ง เป็นพ่อแม่ เป็นปู่ย่าตายาย เป็นลูกหลาน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนฝูง ต่อให้เป็นศัตรูก็เช่นกัน ท้ายสุดก็มาเจอกันจนได้

เถรี 26-07-2011 10:18

ถาม : ถ้าเกิดพ่อกับแม่เขาไม่อยากให้บวช แต่เราจะบวช อย่างนี้บุญกับบาปอย่างไหนจะหนักกว่ากัน ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำดี บุญย่อมมากกว่า ต้องดูอย่างพระสารีบุตร ถ้าครอบครัวเป็นมิจฉาทิฐิ เขาไม่นับพ่อแม่ว่าเป็นผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น..ถ้ามีญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสัมมาทิฐิเห็นด้วย เราไปขออนุญาตท่าน แล้วก็ไปบวช ค่อยกลับมากล่อมพ่อแม่ทีหลัง

อย่างพระสารีบุตรนี่สงเคราะห์แม่จนวินาทีสุดท้ายเลย เทศน์ให้แม่ฟังเป็นพระโสดาบันแล้วพระสารีบุตรเองก็หมดลมพอดี..!

ถาม : พ่อบอกว่ายังไม่มีแฟน จะรีบบวชไปไหน ?
ตอบ : บอกพ่อไปสิว่า.."ผมเชื่อโบราณที่บอกว่าให้บวชก่อนเบียดนะพ่อ" หรือไม่ก็บอกพ่ออย่างนี้ดีกว่า "จัดงานบวชพ่อได้เงิน แต่ถ้าจัดงานเบียด (แต่งงาน) พ่อเสียเงิน พ่อจะเลือกเอาอย่างไหน ?"

เถรี 27-07-2011 05:51

สมัยที่อาตมายังอยู่บ้านที่นครปฐม แถวนั้นคนจีนมาก เขาจะมีการเข้าสมาคมตระกูลแซ่กัน การเข้าสมาคม ก็คือ เวลามีการจัดงานในครอบครัวอื่น เราก็ต้องไปช่วยงานเขา โดยมีธรรมเนียมว่า ถ้าเขาเคยให้เราเท่าไร ต้องให้เขากลับไปไม่ต่ำกว่านั้น เช่น เขาเคยช่วยงานเรา ๑๐๐ บาท เราก็ช่วยงานเขากลับไป ๑๒๐ บาท

มีครอบครอบครัวหนึ่งไม่เคยจัดงานที่บ้านเลย มีแต่จ่ายให้บ้านอื่นอย่างเดียว ตัวเองไม่เคยได้สักที จึงตัดสินใจบวชลูกชาย ปรากฏว่างานนั้นพอลูกชายสึกออกมา เขาด่ากันทั้งตำบลเลย เพราะบวชลูกแค่สามวัน..!

วันแรกเลี้ยงอาหารเสร็จค่อยไปบวชลูกที่วัดตอนบ่าย วันที่สองเป็นพระเต็ม ๆ วันหนึ่ง วันที่สามสึกแล้ว กลับมาที่บ้านยังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย เขาถึงได้สรรเสริญกันทั้งตำบลว่าตั้งใจจัดงานเอาเงิน ไม่ได้ตั้งใจจัดเอาบุญ

ครอบครัวอาตมาก็เข้าสมาคมเหมือนกัน แต่ที่บ้านไม่ค่อยมีงาน ไปช่วยที่อื่นตลอด พอถึงคราวอาตมาบวช แทนที่จะได้จัดงานบ้าง กลับหนีไปบวชที่อุทัยธานี พอพี่ชายเจอหน้าก็บ่นทุกที "คิดว่าจะได้ถอนทุนคืนบ้าง ท่านก็หนีไปบวชซะที่โน่นเลย"

เถรี 27-07-2011 05:58

ถาม : พอถอยกำลังสมาธิออกมา ค่อยใช้อารมณ์พิจารณาตัด คำว่าคิดพิจารณาตัด คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ดูสิว่าเราจะตัดอะไร ? ถ้าจะพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงก็ไล่ไปสิ..ตั้งแต่เด็กจนแก่จนตาย ถ้าพิจารณาเห็นความเป็นทุกข์ ก็ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตาลงไป ถ้าพิจารณาว่าร่างกายนี้ โลกนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็พยายามแยกแยะว่าเป็นอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟอย่างไร

ถ้าจะดูเกิดดับก็ไล่ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าจะดูดับอย่างเดียวทุกอย่างก็พังหมด ถ้าจะให้เห็นเป็นโทษเป็นภัย ก็ไล่ไปสิ เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย

อยู่ที่เราจะพิจารณาแง่ไหน สำคัญตรงที่จิตยอมรับ แล้วตัดสินใจว่าไม่เอาแน่ ยอมรับอย่างเดียวไม่พอนะ ไม่เอาแน่ ๆ แล้ว ประเภทยกให้ก็ไม่เอาแล้ว สวยแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเบื่อ ๆ อยาก ๆ พอได้สติก็เบื่อ หน้ามืดขึ้นมาก็อยากอีก ..!

เถรี 27-07-2011 19:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่พระราหุลตักน้ำล้างพระบาทพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ดูก่อนราหุล...น้ำในขันนี้มีอยู่เท่าไร ?" พระราหุลตอบว่า "ประมาณกึ่งหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า"

พระองค์ท่านตรัสสอนว่า ถ้าคนเราทำความดีก็เหมือนกับขันที่มีน้ำเต็มเปี่ยม ถ้าหากว่าละเมิดศีลก็มีน้ำครึ่งเดียว ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาด้วย พระองค์ท่านคว่ำขันน้ำเลย แปลว่าไม่มีความดีอะไรเลย

พระพุทธเจ้าทรงใช้สื่อการสอนแบบง่าย ๆ แม้แต่สามเณรราหุลที่อายุเพียง ๗ ขวบก็เข้าใจได้"

เถรี 28-07-2011 01:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยวิสัยเก่าของตัวเองยังมีอยู่มาก ทั้งที่ยังไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับสภาพของการแข่งขันทางการเมือง แต่จากการที่เคยทำหน้าที่เป็นทหารรักษาบ้านรักษาเมืองมา จึงมีความรู้สึกว่าอยากได้นักการเมืองที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติด้วย ก็เลยพลอยมานั่งลุ้นผลการเลือกตั้งกับเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลย

ทั้งนี้เกิดจากสาเหตุสองประการ ประการแรก บ้านเมืองเราล้าหลังมานานแล้ว เขาทำร้ายทำลายบ้านเมืองมามากแล้ว ประการที่สองก็คือ เป็นห่วงและสงสารในหลวง คนแก่อายุตั้ง ๗ รอบไปแล้ว ถ้าลูก ๆ ยังทะเลาะกันไม่เลิก พระองค์ท่านก็คงไม่มีกำลังใจที่จะอยู่ ถึงได้บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องเด็ดขาดไปข้างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายไม่รู้จบ ที่สำคัญที่สุดก็คือพลังเงียบ โปรดอย่าได้เงียบ ถ้าเงียบเมื่อไรแปลว่าเราต้องยอมให้ประเทศชาติลุ่ม ๆ ดอน ๆ กันต่อไป

ตอนนี้รอบข้างประเทศของเรายกเว้นพม่า ความเจริญจะแซงหน้าเราไปหมดแล้ว แม้แต่พม่าก็อุตส่าห์พยายามสร้างนิวเคลียร์ ตกลงว่าประเทศไทยเราจะล้าหลังกว่าทุกประเทศแล้ว

ประเทศเวียดนามมีกลุ่มบุคคลระดับหัวกะทิที่จบปริญญาเอกมาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน ช่วยกันคิดวางแผนพัฒนาประเทศ มีการปรับปรุงข้อมูลอยู่ทุกวัน เขาถึงได้เจริญก้าวหน้า แต่กรรมเก่าเขายังหนักอยู่ ประเทศกำลังก้าวหน้าอยู่ดี ๆ ก็มักเกิดภัยธรรมชาติหนัก ๆ ทุกที

ถ้าบ้านเมืองเขาไม่มีภัยธรรมชาติหนัก ๆ แบบของเรา เขาจะเจริญก้าวหน้าไปกว่านั้นอีกมาก ตอนนี้ข้าวของทุกอย่างของเวียดนามตีตลาดแทนไทยเกือบหมดแล้ว แม้กระทั่งข้าวที่เราส่งออกเป็นอันดับหนึ่งอยู่ตลอด จะเสียอันดับให้แก่เวียดนามเมื่อไรก็ไม่รู้ ?

เวลาเรากินถั่วลิสงจะเห็นว่าฝักใหญ่กว่าปกติ นั่นถั่วเวียดนามทั้งนั้น จากการที่เราเปิดเขตการค้าเสรี ทำให้เขาส่งเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง ลาวกับเขมรมีโทรศัพท์ 3g ใช้นานแล้วนะ ของประเทศไทยเรายังแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวเลย ขายหน้าเขาบ้างไหม ?"

เถรี 28-07-2011 01:45

"ตอนเขาปฏิวัติกันใหม่ ๆ มีคนมาถามอาตมาว่าประเทศไทยจะดีขึ้นไหม ? อาตมาบอกว่ายัง..เขาถามว่าเมื่อไรจะดีขึ้น ? จึงบอกเขาไปว่า "ปี ๕๖ ขึ้นไปแล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้น" ทำเอาเขารับกันไม่ได้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้คงจะเห็นชัดแล้วว่าเป็นอย่างไร

ในเว็บหนึ่งเขาลงเอาไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติหลายรายที่เลือกลงทุนเป็นพันล้านในประเทศไทย ก็เพราะไทยมีในหลวง เขาไม่กลัวหรอกเรื่องการปะทะกันทางการเมืองหรือการประท้วง เขาบอกว่าถ้าเรื่องใหญ่จริง ๆ ในหลวงพูดคำเดียว ทุกคนหยุดหมด เขาเลยไม่กลัว แต่ประเทศอื่นไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีใครที่จะมีอำนาจแบบนี้ ไม่มีใครที่จะเชื่อฟังผู้นำแบบนี้

เพราะฉะนั้น..ถ้าประเทศอื่นเกิดเรื่องขึ้น กิจการของเขาจะเสียหายมาก แต่ถ้าเป็นประเทศไทยเขามั่นใจ เขาจึงกล้ามาลงทุน ในเมื่อต่างประเทศเขายังเห็นประโยชน์ตรงนี้ เราเองก็ควรจะทำในสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนให้มากกว่านี้

ต่างประเทศเขาทึ่งและแปลกใจมากว่า สถานการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมาของเราเละไม่เป็นท่า แต่เศรษฐกิจไทยกลับโตขึ้น ต้องบอกว่าคนไทยตายด้านและชาชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว อยากตีก็ตีกันไป เราก็ทำงานของเราไป

เราควรที่จะสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ให้เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวตั้งแต่เด็ก ๆ ไปเลย อาตมาเจอเด็กบางคนไปวัด เห็นเด็กเขากำมืออยู่ก็สงสัยว่าเขากำอะไร ปรากฏว่าเขากำเศษเปลือกลูกอมอยู่ ๒ ชิ้น เขาหาถังขยะไม่เจอ เลยกำไว้ก่อน พ่อแม่เขาสอนไว้ดี ว่าต้องทิ้งขยะลงถัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่คงโยนลงพื้นไปนานแล้ว"

เถรี 30-07-2011 11:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าวัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ งานอบรมพระนวกะจะมีกำหนดเวลาที่แน่นอนของแต่ละอำเภอ จะเป็นขึ้นแรมที่ตายตัวของปีนั้น อย่างวัดท่าขนุนเป็นขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ปีนี้ตรงกับวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔

อาตมาขอเวลากลับไปเตรียมงานวันหนึ่ง คือวันอาทิตย์ที่ ๗ ดังนั้น..เดือนหน้าจะมารับสังฆทานวันพฤหัสบดีที่ ๔ วันศุกร์ที่ ๕ และวันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ปีที่แล้วก็ต้องเลื่อนวันรับสังฆทานวันหนึ่งเพราะงานอบรมพระนวกะนี้ ปีนี้เลื่อนอีกครั้งหนึ่ง ปีหน้าไม่รู้ว่าจะต้องเลื่อนอีกหรือเปล่า ?

เรื่องของการคณะสงฆ์เป็นงานใหญ่ โดยเฉพาะวัดท่าขนุนของเรา พระเณรเยอะกว่าวัดอื่นทั้งหมด ถึงเวลาก็จำเป็นต้องพาพระเณรไปร่วมกับเขา"

เถรี 30-07-2011 11:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสภาพจิตใจที่อยู่เหนือร่างกาย ตัวอย่างที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือพระอริยเจ้า เพราะปกติคนทั่วไปเห็นว่าร่างกายต้องการอะไร เราก็ต้องตามใจ ความจริงไม่ใช่..ถ้าเราสู้เราก็จะชนะ

ในความเป็นพระอนาคามีเป็นอะไรที่อัศจรรย์มาก ระบบร่างกายจะพลิกเปลี่ยนใหม่ สมัยที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุไม่ถึง ๓๐ ปี คาดว่าก้าวเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว สาเหตุที่คาดว่า เพราะอยู่ ๆ ประจำเดือนของเธอก็หมดไปเฉย ๆ

อัศจรรย์กว่านั้นก็คือ ภรรยาหมดความรู้สึกทางเพศ แต่สามียังคึกเหมือนเดิม สามีก็พยายามที่จะขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่พอจับตัวภรรยาทีไรจะตกใจ เหมือนกับภรรยาเป็นไข้ ตัวร้อนมาก คิดว่าภรรยาไม่สบาย เขาก็ไม่ยุ่งด้วย วันหนึ่งสามีเมากลับมา ไม่ได้นอนกับเมียมานานก็หน้ามืดปล้ำเมียเลย..!

ไม่รู้ว่าท่านใดช่วย ภรรยาตบฉาดเดียว สามีปลิวติดข้างฝาเลย เสียงห้าวเป็นผู้ชาย บอกว่า "ถ้าทำอย่างนี้อีก คราวหน้าจะฆ่าให้ตาย..!" คึกขนาดไหนก็เฉาไปเลย แสดงว่าเทวดาคงไม่อยากให้ล่วงเกินพระอริยเจ้าระดับนั้น เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเอง ต้องบอกว่าสามีทำบุญไว้ดี ขนาดเทวดาต้องลงมาสงเคราะห์

จะเห็นได้ชัดเจนว่าในสภาพจิตใจที่เหนือร่างกาย พอทำไปถึงระดับนั้น กำลังใจที่ก้าวผ่านไปแล้ว ทำให้ระบบร่างกายที่เกี่ยวกับทางเพศหยุดทำงานไป เหมือนกับหมดฮอร์โมนไปเฉย ๆ ที่อัศจรรย์มากก็คือเธออายุน้อยมาก ฉะนั้น..ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่มานานแล้วจะได้ดี คนที่มาทีหลังเขาแซงไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว"

เถรี 30-07-2011 11:41

"การเป็นพระอนาคามีนี่ปลอดภัยแล้ว อย่างไรเสียก็ไปรออยู่ข้างบน เพียงแต่จะเป็นพระอนาคามีแบบไหน ? อันตราปรินิพพายี แปลว่า ปรินิพพานเสียในระหว่างอายุ ก็คือจะช่วงไหนก็ได้ อุปหัจจปรินิพพายี ปรินิพพานเมื่ออายุได้กึ่งหนึ่ง เช่น ท่านมีอายุสองหมื่นมหากัป พออายุได้หนึ่งหมื่นมหากัป ท่านก็ปรินิพพานแล้ว สสังขาราปรินิพพายี ปรินิพพานด้วยความเพียรพยายามอย่างสูง อสังขาราปรินิพพายี ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก อุทธังโสตอกนิฏฐคามี เป็นพระอนาคามีระดับสูงสุด ก็คือเป็นระดับอรหัตมรรคแล้ว

ฉะนั้น..สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้นจะมีความต่างอยู่ โดยเฉพาะชั้นที่ ๑๖ จะมีธุสเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุผ้าที่เจ้าชายสิทธัตถะสละออกในวันมหาภิเนษกรมณ์ ใครที่ได้มโนมยิทธิลองขึ้นไปดูบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะรู้จักแต่พระจุฬามณีอย่างเดียว ความงามความสำคัญของธุสเจดีย์ไม่ได้แพ้กัน แต่คนไม่ค่อยรู้จัก ที่ไม่รู้จักอาจจะเป็นเพราะถนัดไปแค่พระเจดีย์จุฬามณี"

เถรี 30-07-2011 17:19

"เรื่องของมโนมยิทธิ เด็กโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระหลอกอาจารย์มาเยอะแล้ว เด็กรุ่นหลัง ๆ ได้มโนมยิทธิจริง ๆ ไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นแหกตาอาจารย์เพื่อเข้าไปเรียน เขาสอนกันมาเลยว่าถ้าถามอย่างนี้ต้องตอบอย่างไร แล้วอาจารย์ก็เก่งไม่จริง ไม่รู้ว่าโดนลูกศิษย์หลอก

อาตมาก็เคยหลอกลูกศิษย์ หลอกไปหลอกมาเจอลูกศิษย์เก่งจริง ทำให้หลอกไม่สำเร็จ พาเขาขึ้นไปบนพระนิพพาน ปกติพระพุทธเจ้าจะประทับอยู่บนพระวิมาน อาตมาชิงล่วงหน้าไปก่อน อาราธนาท่านเสด็จออกมาเลย อยากทดสอบลูกศิษย์ว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถามคุณยายว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? คุณยายตอบว่าออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว สรุปว่าหลอกยายไม่ได้

วันนั้นที่หัดมโนมยิทธิกัน บรรดาพี่ ๆ เขาจะเลือกวงพวกวัยรุ่นบ้าง หรือวงเด็กบ้างเพราะสอนง่าย แต่ถ้าวงคนแก่เขาจะไม่เอา พี่ ๆ เขาอาวุโสกว่า เขามีสิทธิ์เลือกก่อน วงที่เหลือก็เป็นของอาตมา วันนั้นคุณยาย ๕ คนไปนั่งอยู่วงเดียวกัน อาตมาได้วงนั้น

ปรากฏว่าเจอคนแก่มหัศจรรย์ คล่องกว่าเด็กอีก ไม่ว่าอาตมาจะกราบอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปซ้าย ไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง ยายบอกถูกหมด อาตมายังคล่องตัวสู้ยายไม่ได้เลย นั่นพิสูจน์ได้ชัด ๆ เลยว่าเขาทำได้จริง ๆ ฉะนั้น..ถ้าอาจารย์ไม่คล่องจริง ๆ ลูกศิษย์จะหลอกอาจารย์ได้

ตอนที่อาตมาอยู่ท่าซุงได้วางแนวทางไว้ว่า จะขอคณะกรรมการสงฆ์ว่า พระที่บวชเข้าไป ๕ พรรษาแรกห้ามทำงาน ให้ฝึกมโนยิทธิอย่างเดียว ซักซ้อมให้คล่องตัวถึงขนาดพิสูจน์ได้ว่าของในหีบในห่อมีอะไร ลักษณะอย่างไรต้องบอกได้หมด เพราะมโนยิทธิเป็นธงชัยของวัดท่าซุง เอ่ยถึงเมื่อไรก็รู้ว่านี่คือวัดท่าซุง"

เถรี 30-07-2011 17:28

"ถ้าหากเราท้าพิสูจน์ไม่ได้นี่เสียหายมาก พอถึงเวลาคนท้าพิสูจน์เมื่อไรจะเกิดอาการตื่นเต้น ตอบผิดตอบถูก ลักษณะแบบเดียวกับพระที่วัดท่าขนุน พระครูน้อย อาจารย์สอนมโนยิทธิเลย พอหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็คว้ามือไว้ "เดี๋ยว..อย่าเพิ่งฉัน ไส้ในสีอะไร ?" ท่านตอบว่า "สีขาวมั้ง ?" เพราะเห็นว่าขนมปังแบบนี้ไม่น่าจะมีไส้ อาตมาบอกว่า "ผิด..สีเขียวว่ะ" พอแกะออกมากลายเป็นขนมปังไส้สีเขียว พระครูน้อยร้อง "ไม่จริ๊ง..!" ไม่จริงอะไร ก็เห็นคาตาอยู่

พอวันรุ่งขึ้นก็ถามอีก "วันนี้ไส้ในสีอะไร ?" ท่านก็ลังเล "สีเขียวมั้ง ?" อาตมาบอกว่าไม่ใช่ พอลองแกะดูเป็นไส้เผือกสีม่วง เพราะฉะนั้น...ที่วางแผนไว้ตอนอยู่วัดท่าซุงก็ยังไม่ได้ใช้ เพราะออกจากวัดมาก่อน ส่วนที่วัดท่าขนุน ถ้าหากอาตมาฝึกพระที่นี่ก็เหมือนกับไปแข่งกับสำนักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องดี ฉะนั้น..ใครฝึกแล้วติดขัดตรงไหน มาถามได้

เรื่องของมโนมยิทธิ สำคัญตรงฝึกซ้อมบ่อย ๆ ถ้าขาดการฝึกซ้อมเมื่อไรก็สนิมกิน โดยเฉพาะอย่าเผลอลืมในเรื่องการตัดร่างกาย ถ้าเผลอความชัดเจนจะหมดไปทันทีเลย ต้องเห็นให้ชัดเจนเสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอใจไม่เกาะในร่างกาย ความสะอาดของจิตมีมาก การรู้เห็นก็จะชัดเจนมาก "

เถรี 30-07-2011 17:38

ถาม : ถ้าเราตั้งใจใช้มโนมยิทธิดู สามารถมีคนปลอม..?
ตอบ : มารเขาปลอมตัวได้หมดทุกระดับ เราต้องดูประวัติตอนที่พระอุปคุตปราบพระยามาร พระยามารท่านเดียวสามารถแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมพระอัครสาวกซ้ายขวาและหมู่สงฆ์ด้วย เขาเก่งขนาดนั้น

ถ้ามีโอกาส อาตมาจะเขียนเรื่องสักตอนหนึ่ง ตอนพระยามารรำพัน ใครอ่านพระไตรปิฎกตอนนี้จะซึ้งมากเลย พระยามารนั่งเอานิ้วขีดแผ่นดิน "เราไม่มีสัพพัญญุตญาณเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ เราไม่มีอินทริยปโรปริยัติญาณเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ..." ไล่ไปจนครบญาณ ๑๖ ถึงได้แพ้กลับมา

ปรากฏว่าลูกสาวพระยามารไม่ยอม ขออนุญาตพ่อไปจัดการ "ไม่มีผู้ชายคนไหนที่พ้นจากอำนาจของลูกไปได้" พระยามารบอกว่า "อย่าเลย พ่อยังสู้เขาไม่ได้ ถ้าลูกไม่เชื่อ ก็ไปลองดู" ท้ายสุดก็ซมซานกลับมา พ่อด่าซ้ำว่า "พ่อเตือนพวกเจ้าแล้วไม่ฟัง การที่จะไปรุกรานสมณะองค์นั้น เปรียบเหมือนเจ้าใช้เล็บไปขุดภูเขา เหมือนเอาหน้าอกไปกระแทกตอไม้ จะสำเร็จประโยชน์ได้ที่ไหน"

เถรี 30-07-2011 17:47

พอพระโคธิกะเชือดคอมรณภาพไปพระนิพพาน พระยามารท่านไม่ยอม ตามค้นหาพระโคธิกะไปทั่ว แปลงกายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ถือพิณสีเหลืองเหมือนผลมะตูมมาเข้าเฝ้า กล่าวว่า "พระโคธิกะ บุตรของท่านทำการเชือดคอตาย ตอนนี้ต้องตกอยู่ในอำนาจของเรา" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ..ดูก่อน..มารผู้มีบาป บุตรของเราพ้นจากอำนาจของท่านแล้ว"

พระยามารไม่เชื่อ พยายามวิ่งค้นหา ในบาลีท่านบอกว่า ภิกษุทั้งหลายเห็นแต่ฝุ่นที่ปรากฏขึ้นในทิศทั้งสี่ แสดงว่าวิ่งฝุ่นตลบ หาจนทั่ว ลงไปในมหาสมุทร ค้นในเม็ดทราย แหวกกลีบเมฆ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เพราะพระนิพพานละเอียดกว่า หาอย่างไรก็ไม่เจอ ถึงได้ยอมแพ้ว่าพระโคธิกะพ้นไปแล้วจริง ๆ

พระยามารแปลกใจว่าคนเชือดคอตาย หลุดมือเขาไปได้อย่างไร ? ความจริงพระโคธิกะท่านไม่เห็นความดีของขันธ์ ๕ เลย เพราะป่วยอยู่ตลอด จะทรงฌานก็ทรงไม่ได้ พอภาวนาจนอารมณ์เริ่มทรงตัว เวทนาก็เกิดขึ้น ฌานก็สลายไปอีกแล้ว ท่านเบื่อหน่ายสุดชีวิต ไม่เอาแล้ว ตัดใจทิ้งร่างกาย เชือดคอตายดีกว่า กรุณาอย่าทำอย่างท่านนะ...ถ้าพวกเราทำก็เสร็จพระยามาร เพราะกำลังของเราไม่สูงขนาดนั้น

เถรี 31-07-2011 17:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะสังเกตว่าผู้นำประเทศต่าง ๆ เป็นผู้หญิงมากขึ้นเรื่อย ๆ และในอดีตผู้นำของเราก็เป็นผู้หญิงมาแล้ว เราจะเห็นว่าการออกรบจะมี "แม่ทัพ" ที่มีแม่ทัพเพราะในอดีตผู้หญิงเป็นผู้นำ และติดคำนี้มาจนถึงทุกวันนี้

ผู้ชายยอมให้ผู้หญิงเป็นผู้นำเพราะผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นเพศแม่ คนโบราณเขาเชื่อพลังสิ่งลี้ลับ ในเมื่อสามารถทำให้ชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา เขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงต้องเก่งกว่า แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ฝรั่งเขาทำวิจัยพบว่า ผู้หญิงจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากกว่าผู้ชาย เพราะสภาพร่างกายเตรียมมาเพื่อให้คลอดลูก ถ้าหากเราคลอดตามวิธีเก่าจะต้องเจ็บปวดมาก ซึ่งผู้หญิงสามารถทนได้ ดังนั้น..ที่เขาบอกว่าผู้หญิงแก่ง่ายตายช้านั้น เป็นเรื่องจริงเลย เจ็บขนาดนั้นยังทนได้ ตายยากอยู่แล้ว

อย่างช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่สุด มีลักษณะสังคมแบ่งตามลำดับชั้น คล้าย ๆ มนุษย์ ช้างตัวเมียที่อาวุโสที่สุดก็เป็นผู้นำฝูง เขาเรียกว่า "แม่ปะแหรก" เขาจะรู้ว่าตรงไหนมีแหล่งน้ำ ตรงไหนมีอาหาร ฤดูกาลแบบไหนจะต้องไปหากินตรงไหน จึงจะมีอาหารพอเลี้ยงลูกฝูงตัวเอง

จะว่าไปแล้วในเรื่องของโบราณมา ผู้หญิงเป็นผู้นำมาโดยตลอด เพิ่งจะเปลี่ยนผู้ชายเป็นผู้นำเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้ากลับไปถึงยุคผู้หญิงเป็นผู้นำอีกทีก็ไม่ใช่ของแปลก"

เถรี 31-07-2011 17:56

"อย่างสิงโตมีการจัดกลุ่มออกล่าสัตว์ ตัวเมียเป็นผู้นำตลอด ถ้าสิงโตตัวผู้ไม่ได้ตัวเมียมาช่วยอาจจะอดตายได้ เพราะสิงโตตัวผู้มีหน้าที่ปกป้องเขตแดน ถ้ามีตัวผู้มารุกล้ำก็ออกไปต่อสู้ ส่วนสิงโตตัวเมียมีหน้าที่ล่าสัตว์มาเลี้ยงฝูงอยู่ตลอด

อาตมาเองเคยป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่ง พอใกล้ ๆ จะหาย เห็นภาพตัวเองเป็นนางสิงห์จอมสังหารเหมือนกัน ล่าไม่เคยพลาด ที่เหลือเชื่อก็คือวัวมันหนีลงไปอยู่ในหนองน้ำ ห่างจากฝั่ง ๕-๖ วา ก็ยังกระโดดไปถึง แสดงว่ากำลังเหลือเฟือจริง ๆ เนื่องจากฆ่าเขาไว้เยอะ แม้จะเป็นสัตว์ อยู่ในความมืดบอดกว่ามนุษย์ แต่ก็เป็นการสร้างกรรมอยู่ดี กรรมนั้นน้อยกว่า เพราะเจตนาฆ่าด้วยความโกรธแค้นนั้นไม่มี มุ่งแต่จะหาอาหารอย่างเดียว

แต่นิมิตต่าง ๆ เวลาเกิดขึ้นจะชัดเจนมาก เวลากระโดดงับ เสียงกระดูกหักลั่นกร้วมอยู่ในหัวเราเลย เวลาเลือดกระเซ็นใส่นี่รู้สึกเลย ชัดขนาดนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะ มีอยู่ชาติหนึ่งเกิดเป็นหมูป่า เป็นจ่าฝูง มีเสือตัวหนึ่งมาตามกินลูกฝูงอยู่ตลอดเวลา เสือตัวนี้โคตรเจ้าเล่ห์เลย ย่องตามฝูงไปเรื่อย พอเราเผลอก็คว้าตัวท้ายฝูงได้ก็เผ่นไปเลย หายไปสองสามวันก็มาใหม่อีกแล้ว แสดงว่ากินหมดแล้ว ส่วนเราก็ทำอะไรไม่ได้สักที

จนกระทั่งวันหนึ่ง หากินไปเจอภูเขาที่มีหน้าผาตัด มีทางเข้าเล็ก ๆ ทางเดียว เห็นว่าชัยภูมิดี จึงเรียกลูกฝูงมาทั้งหมด สั่งให้เข้าไปหากินข้างใน ไม่ต้องออกมาเลย ๓-๕ วัน อยู่ในนั้นแหละ อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าสัตว์ก็มีความคิดเหมือนคน วางแผนได้ รู้จักโกรธ รู้จักแก้แค้นด้วย

พอเข้าไปอยู่ข้างในสามวันสี่วัน เสือหิวมากก็ย่องมา มองซ้ายมองขวาแล้วก็เข้าไป ส่วนเราแอบซ่อนอยู่ พอเสือเข้ามาก็ออกมาขวางทาง เสือออกไม่ได้ เพราะมีทางออกช่องเดียว ก็ต้องสู้ ปกติเขาไม่สู้หรอก หนีตลอด บริวารที่มือรอง ๆ ไป ๗-๘ ตัวของเรา ชักแถวปิดทางเลย ที่เหลือให้เจ้านายไปรบกับเสือเอง"

เถรี 31-07-2011 18:07

"ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเสือ แต่ในสภาพตอนนั้นไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว พริบตาแรกที่ปะทะกัน ความเร็วระดับนั้นสายตามนุษย์น่าจะดูไม่ทัน เราโดนไปเต็ม ๆ แต่ไม่เป็นไร มาเข้าใจทีหลังว่าเป็นจ่าฝูงที่หนังเหนียว มีเขี้ยวตัน..! โดนเขาตบไปเต็ม ๆ ชาไปทั้งแถบ..! ปะทะกี่ทีเราก็ไม่เป็นอะไร แต่ฝ่ายเขาได้แผลทุกที เขาก็แย่

ครั้งสุดท้ายเขาพุ่งมาปะทะ เราก็ขวิดทิ้งเลย มั่นใจว่าทีเดียวไม่รอดแน่ เพิ่งจะรู้ตอนนั้นแหละว่าหมูป่ากินเนื้อด้วย พอขวิดทิ้งเขาร่วงลงไป ตัวอื่นที่เหลือก็ช่วยกันฉีกเป็นชิ้น ๆ กินกัน ตอนนั้นทำให้รู้หลายอย่าง รู้ว่าสัตว์เขาก็คือคนนี่แหละ เพียงแต่อยู่ในร่างสัตว์ เขามีความคิด มีความโกรธ มีความรักเหมือนกันหมดทุกอย่าง เพียงแต่การแสดงออกของเขา ถ้าเราไม่ใช่สัตว์ด้วยกัน ส่วนมากเราจะดูไม่ออก

อย่างหมาจะมีภาษาเสียง มีภาษากาย มีภาษาใจอีกด้วย แต่พวกนี้ของเราเสื่อมหมด เหลือแค่ภาษาเสียง และภาษากายอีกไม่กี่ท่าเท่านั้น ทำให้เราต้องไปศึกษาภาษาคนอื่นจึงจะเข้าใจเขาได้ ลองเอาหมาข้างถนนไปโยนไว้ที่กลางกรุงลอนดอนสิ เขาคุยกับหมาฝรั่งรู้เรื่องเดี๋ยวนั้นเลย แสดงว่าเขาเก่งกว่าเราเยอะ

ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่า สัตว์ก็คือคนนี่เอง เป็นสภาพจิตที่มืดบอด แล้วก็ไปเกิดอยู่ในสภาวะของความเป็นเดรัจฉาน ความคิด ความรู้สึกเหมือนคนหมด เพียงแต่การแสดงออกเขาได้เต็มที่แค่อย่างที่เราเห็น ประการที่สอง เข้าใจเลยว่ารัก โลภ โกรธ หลงกินทุกสรรพชีวิต แม้กระทั่งในความเป็นสัตว์ก็ยังถูกกินเต็ม ๆ

ทำให้ได้เห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วน พวกเราสร้างกรรมชั่วไว้มาก ถ้าหากเผลอลงข้างล่าง เขาคิดดอกทบต้นเมื่อไร ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกนาน มีทางเดียวต้องหนีให้ได้ ที่จะหนีได้มีที่เดียว คือพระนิพพาน"

เถรี 01-08-2011 17:40

ถาม : การขอขมาแล้วโทษยังเหลืออยู่ไหมครับ ?
ตอบ : การขอขมาก็เพื่อให้ใจปลดออกจากโทษนั้น ถ้าใจยังกังวลอยู่ก็แปลว่ายังไม่ปลดออก

กังวลโดยใช่เหตุ..ตอนทำไม่กลัว ดันมากลัวตอนที่ทำลงไปแล้ว..!

เถรี 02-08-2011 08:30

ถาม : เด็กเขาดื้อค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ใช้เหตุผลเลี้ยงเขา ถ้าไม่ใช้เหตุผลจะดื้อทุกคนแหละ

เถรี 02-08-2011 08:41

หลวงพี่ติงลี่กราบเรียนพระอาจารย์ว่า ช่วงงานพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร จะสร้างเหรียญวัตถุมงคลเอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ แล้วนำไปแจก

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไม่มีการหวงห้าม ใครทำไปเยอะเท่าไรก็เบาภาระผมได้มากเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหลวงพ่อหวงใครเลย ท่านบอกว่า ถ้าคนรู้มากเท่าไรท่านก็สบายเท่านั้น ผมก็เลียนแบบบ้าง

แต่ก็แปลก..เพราะว่าศรัทธาเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล วัตถุมงคลเราก็ไปพุทธาภิเษกให้ แต่พอออกในนามวัดอื่นเขาไม่เอา แต่พอออกในนามวัดท่าขนุน เขาแย่งกันหัวแตกเลย จะว่าไปแล้วก็เป็นการยึดติดนะ แต่ถ้าไม่ยึดก็จะไม่มีอะไรให้ปล่อย อันดับแรกต้องยึดดีไว้ก่อน พอหลังจากดีเต็มที่แล้วก็จะปล่อยเอง เพียงแต่ว่าอย่ายึดเพลินจนลืมปล่อยก็แล้วกัน"

เถรี 02-08-2011 09:03

ถาม : ทำงานคนเขาไม่ค่อยเห็นใจ เกิดจากกรรมอะไร ?
ตอบ : เรื่องของงานเหมือนกับสนามรบ ไม่มีการเห็นใจกันหรอก แต่ละคนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ผู้ปฏิบัติธรรมมีอย่างเดียว คือ ต้องยอมเสียเปรียบ และเชื่อมั่นว่าทำดีย่อมได้ดีตอบ แม้จะมาช้าหน่อยแต่ก็มา

ถาม : เราทำงานกับคนที่เขาโยนงาน เราควรจะรับทำไปเรื่อยหรือเปล่า ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ หาความชำนาญใส่ตัว ถึงเวลาเราจะได้เอง

ถาม : เวลาทำงานเหมือนกับกลัวว่าเราจะทำไม่ได้ พอทำแล้วไม่มีความสุข เราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ก่อนไปทำงานให้นึกอยู่อย่างเดียวว่า งานทุกอย่างเป็นของง่าย เหมือนกับเราตั้งโปรแกรมไว้ใหม่ ทุกอย่างเป็นของง่าย เราสามารถทำได้อย่างง่ายดาย บอกตัวเองไปเรื่อย เดี๋ยวความมั่นใจจะมา

ทุกอย่างสำเร็จที่ใจทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นการตั้งโปรแกรมใหม่ อดทนไว้ มั่นใจว่าทำดีต้องได้ดีแน่


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว