กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2603)

เถรี 17-04-2011 18:03

"ในเรื่องของพุทธบารมี จริง ๆ แล้วท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่เกินกฎของกรรม ตอนที่สร้างสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ญาติโยมเขากลัวแผ่นดินไหวและเขื่อนแตก วัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี จึงกราบขอบารมีพระท่านป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย

พระท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปตีบ้านทำลายเมืองเขา ถึงเวลาก็ต้องโดนบ้าง ถ้าไม่รับเลยก็ฝืนกฎของกรรม ถ้ากรรมเก่ามาถึงจริง ๆ ทำให้ต้องเสียหายในส่วนทรัพย์สินและเงินทอง ก็จะให้ชีวิตปลอดภัย เพราะฉะนั้น..พระท่านจะทำแค่ไม่เกินกฎของกรรม ถ้าใครรู้ตัวว่าเคยเกเรไว้มากก็พกหลาย ๆ องค์หน่อย..!"

เถรี 18-04-2011 20:39

ถาม : รถอะไรมี ๓๐ วัน ?
ตอบ : รถยนต์มี ๓๐ วัน ถ้ารถคม จะมี ๓๑ วัน ถ้ารถพันธ์ จะมีแค่ ๒๘ วัน..!

เด็กเขาถาม ถ้าไล่ไม่ทันบางทีก็มึน บางทีเด็กเขามีคำถามแปลก ๆ คำถามประเภทลับสมองประลองเชาวน์เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คำถามที่กวนบาทา

คำถามสมัยก่อนเขาว่า "สี่ขากินขาเดียว หัวเขียวกินปากอ้า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย ต้นทายปลายบอก" คืออะไร ? เขาบอกว่าต้นทายปลายบอก

สี่ขากินขาเดียว ก็คือเต่ากินเห็ด หัวเขียวกินปากอ้า ก็คือเป็ดกินหอย เขาเฉลยไว้เสร็จสรรพแล้ว กวนมากเลย ปล่อยให้เราคิดหัวแทบระเบิด หัวเขียวนี่แสดงว่าเป็ดตัวผู้ เป็ดตัวเมียหัวไม่เขียวหรอก

ของโบราณเขาจะมีลักษณะที่ต้องให้คิด แต่ของเด็กปัจจุบันก็ให้คิดเหมือนกัน แต่ให้คิดแบบกวน ๆ ไม่เอาหลักความเป็นจริง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ในพระไตรปิฎกมีมากทีเดียว อย่างปัญหาที่นางนาควิกานำมาร้องเป็นเพลงเพื่อให้คนแก้

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเอรกปัตตนาคราชเคยบวชเป็นพระ จำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี แต่บังเอิญท่านไปพรากตะไคร่น้ำที่เป็นของเขียว ของเขียว ก็คือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังติดอยู่กับที่ ทำให้หลุดออกมาจากฐาน ทำให้ท่านโดนอาบัติ (ศีลขาด) คราวนี้ท่านอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปแสดงคืนอาบัติกับใคร จิตใจเศร้าหมองเพราะว่าศีลขาด พอมรณภาพลงก็เลยได้ไปเกิดเป็นพญานาคเท่านั้น

ท่านก็รอพระพุทธเจ้ามาโปรด รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีลูกโตเป็นสาว ก็เลยแต่งเพลงให้ลูกสาว คือ นางนาควิกา ไปร้องเพลงที่ชายหาด ท่านเองก็คืนเพศเป็นพญานาค ให้นางนาควิกายืนอยู่บนขนด ร้องเพลงอยู่ในทะเลใกล้ชายหาด ใครสามารถแก้ปริศนาเพลงนี้ได้ จะยกนางนาควิกาและสมบัติต่าง ๆ ให้

เถรี 18-04-2011 21:03

หนุ่ม ๆ ไปกันมากมาย ปรากฏว่าอุตรมาณพในอดีตเคยสร้างบุญร่วมกับนางนาควิกา เป็นเนื้อคู่กัน พระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณตอนเช้ามืด เห็นว่าสมควรจะไปโปรด จึงเสด็จไปดักทาง อุตตรมาณพเห็นนักบวชก็เข้าไปกราบไหว้

พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงให้ทราบว่าท่านเป็นใคร ถามว่า "ท่านอุตรมาณพจะไปไหน ?" นี่จำไว้เลยนะ..ลีลาของพระ..รู้ต้องทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน อุตรมาณพก็บอกว่าจะไปร้องเพลงแก้ปัญหานางนาควิกา พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ท่านจะแก้อย่างไร ?" อุตรมาณพก็ร้องเพลงให้ฟังว่าแต่งมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ถูก แล้วก็สอนให้ใหม่

อุตรมาณพนำเพลงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปร้องแก้นางนาควิกาได้ เอรกปัตตนาคราชได้ยินก็ดีใจมาก สะบัดหางจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ กวาดคนลงทะเลไปบานเลย ท่านต้องค่อย ๆ เอาหางช้อนคนขึ้นบกมา แล้วจึงแปลงเป็นคน พานางนาควิกาตามอุตรมาณพไป

ด้วยความที่ในอดีตชาติเอรกปัตตนาคราชเคยเป็นพระมาก่อน ท่านบำเพ็ญภาวนามา ๒ หมื่นปี สิ่งที่ท่านแต่งเป็นเพลงคือหลักธรรม คนที่จะแก้ได้คือต้องรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้ามีคนแก้ได้ แปลว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก

เมื่อไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้ทิพยสมบัติทุกอย่างดีขึ้น

ตรงจุดนี้ เชื่อว่าพวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว เคยสงสัยไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงด้วย ? ไม่ค่อยมีใครคิดกันนะ

ถาม : นึกไม่ออกว่าท่านจะร้องเพลงแบบไหน ?
ตอบ : อย่างไรท่านก็ต้องร้อง ถ้าไม่ร้อง คนหัดจะตามได้ที่ไหน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมา แล้วท่านได้ที่ ๑ ทุกอย่างด้วย นักร้อง AF สมัยนี้สู้ท่านไม่ได้หรอก..!

แต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่ในขอบเขต จิตใจของบุคคลที่ปราศจากกิเลสแล้ว สิ่งที่แสดงออกก็เป็นแค่อาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ทำโดยกิริยา ไม่ได้ประกอบไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง กรรมจึงไม่เกิด

เถรี 18-04-2011 21:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าปัจจุบันที่อาตมาหาสาวสวยไม่เจอ เพราะดันไปเห็นนางฟ้าเข้า สาวอื่นจึงหมดราคาไปเลย ภาษิตจีนบอกว่า ผ่านทะเล เห็นน้ำไร้ความหมาย คนที่เจอทะเลมาแล้ว แหล่งน้ำอื่น ๆ มีใหญ่เท่าทะเลไหมเล่า ? ไม่มีหรอก อาตมาดันไปเจอของดีเข้า สวยสุด ๆ ไปเลย

บางทีแม่เจ้าประคุณมาเป็นสาวตัดผมบ๊อบ นุ่งยีนส์มาก็มี ขอบอกว่า เวลาพรหมเทวดาท่านกวนเรานี่ ท่านกวนสุด ๆ อย่างที่มีผีหลอก เอาผ้ามาคลุมแล้วกางแขนวิ่งใส่

อาตมาถามว่า "ทำอะไร ?"
"ท่านไม่กลัวหรือ ?"
"ไม่รู้ว่าจะไปกลัวทำไม ?"
"เห็นในหนังเขาทำอย่างนี้ แล้วคนกลัว" ไปเจอผีทันสมัย ดูหนังเสียด้วย

โดยธรรมดา คาดว่าท่านก็คงต้องเรียบร้อย แต่วิสัยเดิมมีอยู่ ถึงเวลานอกทุ่งนอกท่าได้ ก็ไปกันครึกครื้นเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินทางกลับจากพระบรมธาตุอินทร์แขวนมาที่เมืองมะละแหม่ง แล้วต่อเข้าเมืองมุด่ง เพื่อเตรียมเดินทางกลับด่านพระเจดีย์ ๓ องค์

ท่านปู่พระอินทร์มาบอกว่า "เช้านี้พ่อติดภารกิจ เดี๋ยวจะให้พี่เขามาแทนนะ" อาตมาก็ว่า "ได้ครับ ใครมาก็ได้" ท่านก็ให้พี่ ๆ มา ๔ - ๕ คน มีพี่เกศแก้วมณี พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ พี่พรสวรรค์"

เถรี 18-04-2011 21:36

"นาน ๆ พี่ ๆ เขาได้มาสนุกกันสักที ก็เลยแปลงเป็นพระพม่า ห่มจีวรสีแดงแปร๊ด เอาผ้าจีวรคลุมหัว หัวเราะกันคิกคัก ๆ อยู่บนหลังคารถ อาตมากับครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เจ้าอาวาสวัดหนองบัว นั่งอยู่หน้ารถคู่กับคนขับ โยมก็อัดอยู่ท้ายรถจนเต็ม พระอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) เจ้าอาวาสวัดซายากง จึงต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว

พี่ ๆ ๔-๕ ท่าน ก็สนุกกันใหญ่ ปลอมเป็นพระพม่านั้นไม่มีปัญหาหรอก ไปมีปัญหาตอนจะเข้าเมืองมะละแหม่ง ตำรวจจราจรเขาโบกรถให้หยุด ยึดใบขับขี่ไป คนขับถามว่าข้อหาอะไร ? เขาบอกว่าให้พระอยู่บนหลังคารถมากเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายได้..!

คนขับก็เซ่อรับประทาน เพราะเห็นพระนั่งอยู่รูปเดียว มาบอกว่าพระมากเกินไป คือ ท่านพี่ ๆ ทำให้จราจรเห็น แต่คนขับไม่เห็น คนขับก็บอกว่า "เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้ใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวผมไปส่งผู้โดยสารที่มุด่งเสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยกัน" ตำรวจก็ให้ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้คุยกันรู้เรื่องหรือยัง ?!!

คนทั่ว ๆ ไปจะเห็นท่านอาจารย์จันทร์นั่งอยู่รูปเดียว แต่ตำรวจจราจรเห็นพระ ๕-๖ รูปนั่งอยู่ข้างบนหลังคา จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ท่านก็อยากสนุกเหมือนกัน แต่ว่าพี่ ๆ เหล่านั้น เวลาอยู่ข้างบนเป็นผู้ใหญ่มาก เล่นก็ไม่ได้ คราวนี้พอมีน้องเชิญมา ก็เลยปล่อยเต็มที่ วิสัยเดิมเป็นอย่างไรก็มาอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น"

เถรี 18-04-2011 21:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเช็งเม้งหรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ท่านยังอยู่ เราก็ทำไปกับเขา อย่าไปขัดเขา ไปไหว้ร่วมกับเขา พอไหว้เช็งเม้งเสร็จ เราค่อยมาถวายสังฆทานกันทีหลัง

ในส่วนที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี แม้เราจะรู้ว่าไม่ค่อยได้บุญ หรือประเพณีบางอย่างก็แทบไม่มีประโยชน์อานิสงส์เลย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกันมานาน เพราะฉะนั้น..อย่าไปขัดเขา เราก็เช็งเม้งด้วย พอเช็งเม้งเสร็จเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษอีกทีหนึ่ง"

เถรี 18-04-2011 21:45

"เรื่องของฮวงจุ้ยที่ทำให้เกิดสุสานต่าง ๆ ขึ้นมา คนจีนเขาจะถือว่า ความมั่นคงของสุสานบรรพบุรุษ ก็คือ ความมั่นคงของวงศ์ตระกูลหรือบุตรหลาน

เขาจะเลือกฮวงจุ้ยที่หลังพิงเขา หน้าหันลงน้ำ ถ้าซ้ายขวามีภูเขาขนาบด้วยยิ่งดี แต่ว่าฮวงจุ้ยของเขาจะเป็นแนวเหนือ-ใต้ ยิ่งถ้ามีแนวเขาวิ่งยาวจากเหนือลงใต้จะยิ่งดี และถ้ามาสิ้นสุดลงตรงหน้าแนวเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ยิ่งชอบใจ เพราะเขาถือว่าเป็นมังกรลงทะเล มังกรจะแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ตอนอยู่ในทะเล..ใช่ไหม ? เขาจะเลือกหาที่ที่เหมาะสม แล้วไปตั้งฮวงจุ้ย

ปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทองคำบาทหนึ่งยังราคาพันกว่าบาทอยู่ ขึ้นเต็มที่ก็ประมาณสองพัน ทางบ้านอาตมาซื้อฮวงจุ้ยหลังละสองหมื่นห้า..! แปลว่าใช้ทองสิบกว่าบาทซื้อพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำเลดี"

เถรี 18-04-2011 21:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งเขาได้ทำวิจัยแล้ว พบว่าในเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ผู้หญิงจะมีความอดทนมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะธรรมชาติเขาสร้างความอดทนให้แก่ผู้หญิงมากกว่า

ตั้งแต่คลอดลูก สมัยก่อนเขาไม่มียาฉีด ไม่มีการบล็อกหลัง คลอดลูกแต่ละครั้งแทบปางตาย ก็เลยสร้างความอดทนให้เพศหญิงมากกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้าอาการป่วยหนักเท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่ผู้ชายจะตายก่อน ส่วนผู้หญิงตายยาก..!"

เถรี 19-04-2011 11:26

ถาม : อยากทราบรายละเอียดของพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ?
ตอบ : พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เป็นหินสีแดงแต่ว่าเนื้ออ่อนเหมือนสำลี ถ้านั่งลงจะจมลงประมาณถึงสะดือ นิ่มขนาดนั้น

พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จะแข็ง ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีศีลมีธรรมในโลกมนุษย์ที่สร้างสมบารมีมาดี มีความเดือดร้อน พระแท่นจะแข็งขึ้นมา พระอินทร์ก็จะส่องทิพเนตรดูว่าเกิดจากอะไร และสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร

ฉะนั้น..ถ้าใครอ่านวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง อาจจะเคยได้ยินว่า

มาจะกล่าวบทไป.......................ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา...........กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุแม่นมั่นในแดนดิน...........อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย........ก็แจ้งใจในนางรจนา ฯลฯ

เถรี 19-04-2011 11:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "กาแฟเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะเวลากินเข้าไป จะไปทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น พอหมดฤทธิ์ หัวใจก็กลับมาเต้นเท่าเดิม พอโดนเข้าบ่อย ๆ กลายเป็นว่า หัวใจเต้นผิดปกติโดยอัตโนมัติ ก็จะพังเร็ว เพราะเครื่องเดินรอบไม่เท่ากันบ่อย ๆ

ถ้าใครกินกาแฟเป็นประจำ เตรียมสตางค์ไว้รักษาโรคหัวใจด้วย รับรองว่าได้เจอแน่นอน..!"

เถรี 19-04-2011 11:28

ถาม : แผ่นดินจะไหวไปถึงเมื่อไร ? มีอะไรป้องกันได้ ?
ตอบ : วัตถุมงคลทุกอย่างที่เป็นคุณพระกันได้จ้ะ แต่ว่าเราต้องอาราธนาเป็นประจำ

เถรี 19-04-2011 17:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบาลีเขาบอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง

อาหาระ คืออาหาร นิททัง คือการนอน ภะยะ คือความกลัว เมถุนะ คือการเสพกาม สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง มีความเสมอเหมือนกันระหว่างบุคคลและสัตว์ ปะสุ ก็คือสัตว์ นะรานัง คือคนทั้งหลาย

ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้แตกต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนต่างไปจากสัตว์

เพราะฉะนั้น..ถ้าเรากลัวภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์มีความกลัวภัยเป็นเรื่องปกติของเขา เมื่อถึงเวลากลัวภัยก็ต้องหาวิธีหนีภัย หลบหลีก ป้องกัน ต่อสู้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร

เมื่อรังสีจากญี่ปุ่นใกล้มาถึงไทย มีแต่คนโทรหา "มีวัตถุมงคลอะไรที่กันรังสีได้บ้าง ?" ท้ายสุดก็เลยต้องแนะนำพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนสุดว่า "รัศมีสี่เมตร รังสีเข้าไม่ได้"

ที่กล่าวไว้ชัด ๆ อีกจุดหนึ่ง ก็เป็นปฐวีธาตุของหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ตอนที่ท่านเสกเสร็จท่านบอกว่า มีอานุภาพกันรังสีได้ แต่ว่าปฐวีธาตุมีปลอมกันเยอะมาก เพราะในสายตาคนทั่วไปก็เป็นเม็ดกรวดล้างสะอาดหน่อยเท่านั้นเอง

ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของคนที่เชื่อถือได้และมีประวัติชัดเจน อย่าไปเสี่ยงเลย เพราะอะไรที่ดังขึ้นมา ตลาดท่าพระจันทร์มีเป็นคันรถในเวลาที่ไม่นาน ตอนนี้ท่าพระจันทร์ปลอมพระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญทำน้ำมนต์ และ พระองค์ที่ ๑๑ ของวัดท่าขนุนกันแล้ว เพียงแต่ฝีมือหยาบไปหน่อย"

เถรี 19-04-2011 18:09

1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดเจดีย์หลวง เขาเก็บพระธาตุของครูบาอาจารย์เอาไว้มาก เก็บไปเก็บมา เก็บของหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน"

ถาม : เอาไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเดินเข้าประตูหน้า จะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของเจดีย์ เป็นหอเก็บพระธาตุ

แต่งานของหลวงปู่จันทร์ อลังการจริง ๆ นกหัสดีลิงค์ของหลวงปู่งามมาก ตามความเชื่อของคนโบราณ เขาเชื่อว่านกหัสดีลิงค์จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีผู้มีบุญมาเท่านั้น

หัสดีลิงค์ แปลว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง หรือบางคนบอกว่านกที่ตัวใหญ่เท่าช้าง บางคนก็บอกว่าเป็นนกที่กินช้างเป็นอาหาร อย่างสุดท้ายนี่น่ากลัว ใหญ่ขนาดกินช้างเป็นอาหารได้..!

เขาบอกว่าผู้มีบุญจะขี่นกหัสดีลิงค์เพื่อไปสู่ป่าหิมพานต์ นกเขาจะมารับ ดังนั้น..บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง จะมีการสร้างที่ตั้งศพเป็นรูปนกหัสดีลิงค์เพื่อเผาส่งท่าน ในลักษณะว่าท่านเป็นผู้มีบุญขี่นกหัสดีลิงค์ไป

กลายเป็นว่า สร้างสวยเท่าไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ต้องเผาไปพร้อมกับท่านด้วย แต่งานของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) มีใครได้ไปบ้างไหม ? เขาสร้างนกหัสดีลิงค์งามมาก ๆ สมกับเกียรติยศของท่านจริง ๆ


เถรี 19-04-2011 18:16

ถาม : ถ้าเราเอาภาพที่เคยติดตาเราในอดีตมาร่วมกับในเวลาที่เราฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วก็ยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ ? เป็นอนุสติ ? หรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไป อันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ

แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก

ถาม : เวลาผมมองพระแก้วใสหรือว่าพระสีทอง จะรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมไปเอาภาพตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ?
ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ?

ถาม : พอเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ
ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง

อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วที่ใส และก็ได้ปีตกสิณ ก็คือกสิณสีเหลืองจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน

คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง

เถรี 19-04-2011 21:00

ถาม : พอจังหวะนั้น ตัวผมลองนึกตาม เช่น นึกถึงสวรรค์ ก็เบาขึ้นระดับหนึ่ง นึกถึงพรหมก็เบาขึ้นอีก พอนึกถึงพระนิพพานก็เบาสว่างดี
ตอบ : เพราะว่าแต่ละระดับ ความหยาบละเอียดไม่เหมือนกัน สวรรค์ละเอียดกว่าภพภูมิทิพย์ชั้นต่ำอื่น ๆ อย่างเช่น นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น พรหมละเอียดกว่าสวรรค์ ส่วนพระนิพพานละเอียดกว่าพรหมจนประมาณไม่ได้ ถ้าเรายกจิตขึ้นไปตามลำดับจริง ๆ ก็จะมีความเบาขึ้นไปตามลำดับที่เราไปถึง

ถาม : แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ในสวรรค์ ในพรหม
ตอบ : ไม่ต้อง..เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพานถือเป็นอุปสมานุสติไปก่อน ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากรู้อยากเห็นมากนัก จิตใจปล่อยวาง พอนิ่งได้ระดับการรู้เห็นจะปรากฏเอง ถ้าหากว่าทำแล้วยังอยากรู้เห็น ก็เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ยังไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็ไม่สามารถที่จะมองอะไรเห็นได้

ถาม : ขณะที่เข้าสมาธิอยู่ เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ ผมรู้ว่าชาติที่เรานึกไปได้ จิตปัจจุบันเกิดสติขาดแล้วเราก็ไปตามในอารมณ์นั้น ถ้าจิตปัจจุบันกำลังคล้อยตามกับอารมณ์ในอดีต อย่างเรานึกว่าเราได้เป็นนักรบ มีโทสะตอนนั้น จิตเราดับตายตอนนั้น ก็คือไปตามอารมณ์ขณะนั้นที่ดับ ?
ตอบ : ขอบอกว่า ถ้าคุณระลึกชาติแล้ว ความรู้สึกไม่ไปด้วยแสดงว่าเป็นของปลอม..!

ถ้าระลึกชาติแล้วเห็นจริง ๆ ความรู้สึกของเราจะเป็นบุคคลหรือสัตว์นั้นจริง ๆ สิ่งที่เป็นรักโลภ โกรธ หลง ของคน ๆ นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ก็เชื่อว่าระลึกชาติได้จริง แต่ถ้าหากเราสักแต่ว่ามองเห็น ยังไม่แน่ว่าจะใช่ จริง ๆ แล้วอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย

แต่ขอให้คุณมั่นใจว่า ถ้าคุณเห็นจริง ๆ ตอนนั้น แปลว่าคุณใช้กำลังของฌานสมาบัติไปรู้เห็น ฌานสมาบัติที่คุมอยู่ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปตามกำลังฌานที่เราได้ ยกเว้นว่าเกิดความบังเอิญ อดีตทำกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาภาพปรากฏขึ้น แล้วไปรัก โลภ โกรธ หลงตามนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งท่าปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งกำลังใจให้ทรงตัวก่อน ถ้าตายตอนนั้นก็ไปตามกำลังใจของตนเองตอนนั้น

เถรี 19-04-2011 23:03

ถาม : เคยมีโยมอยู่คนหนึ่งเขาฝึกกสิณลม เวลาเขาหิวข้าว เขาจะใช้กสิณลมแทน ผมอยากทราบว่า ในเมื่อเราไม่หิว ทำไมเราไม่จับภาพนิมิตอาหารเป็นอารมณ์ไปเลยครับ ?
ตอบ : ถ้าหากคนหิวแล้วไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งกระตุ้นความหิวให้มากขึ้น แต่ลักษณะที่เขาทำ เป็นการย้ำตัวเองให้อยู่ในระดับปีติ ซึ่งจะทำให้อิ่มเอิบ ไม่หิว

เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แต่กสิณลมที่คุณว่าเท่านั้นจึงทำได้ ถ้าการปฏิบัติของคุณถึง สามารถรั้งอยู่ในระดับปีติได้ ก็จะรู้สึกอิ่มโดยไม่หิวเหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ แต่ถ้าไปนึกถึงภาพอาหารก็จะยิ่งหิวหนักขึ้น เพราะอยากกิน

เถรี 19-04-2011 23:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ภาวนาคาถาเงินล้านบ่อย ๆ ความคล่องตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความคล่องตัวในเรื่องของกิจการงาน หรือการทำมาหากินของเรา เพราะบทคาถาที่ว่า พรัหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เป็นคาถาปัดอุปสรรคโดยเฉพาะ ทีนี้เราไม่ได้ภาวนาบทเดียว ภาวนาทุกบทเลย เอาให้รวยไปเลย

วันก่อนมีโยมคนหนึ่งถามปัญหา อาตมาฟังแล้วก็ขำ เขาบอกว่าตั้งแต่ภาวนาคาถาเงินล้านมามีความคล่องตัวทุกอย่าง แต่ไม่รวยสักที..! อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น นี่ยังไม่รวยใช่ไหม ? เขาคงอยากจะให้เงินทับตายก่อนจึงค่อยเรียกว่ารวย..!"

เถรี 19-04-2011 23:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่คนมาบ้านวิริยบารมีน้อย เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ มาตั้งแต่วันเปิดบ้านแล้ว สาเหตุที่สอง เพราะว่าทางสลับซับซ้อนก็เลยไม่คิดที่จะมากัน สาเหตุที่สาม แค่รู้ว่าไปยากก็ท้อแล้ว บ้านนี้ชื่อวิริยะ แปลว่า ต้องเพียรพยายามถึงจะมาได้"

ถาม : แต่ถ้าเป็นบ้านอนุสาวรีย์คนก็คงเต็มเหมือนกัน
ตอบ : คนจะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร คนน้อยเป็นเรื่องดีเพราะเราไม่เหนื่อยมาก คนจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ถ้าเขามาแล้วหวังพึ่งพาเราอย่างเดียว ก็เหมือนกับตู้รถไฟ พ่วงมากไปเรื่อย ๆ หัวรถจักรก็เหนื่อยตายชักเลย

ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเขามามาก ทำบุญมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เพราะได้ปัจจัยมาเท่าไร ก็ต้องก่อสร้างเป็นบุญให้เขา มาน้อย ๆ อาตมาปลอดภัยที่สุด

เถรี 19-04-2011 23:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วได้พบกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในอดีตไม่เคยเกิดมาเจอกันนั้นไม่มี แรงบุญแรงกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมาในอดีต จะชักจูงกันมาให้เจอกันในชาติปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น..ทุกคนมักจะรู้สึกว่า เรามีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว"

เถรี 19-04-2011 23:24

ถาม : หนูดูทีวีแล้ว คุณผัดไทที่เป็นดารา เขาบอกว่าเขาเคยไม่สบายมากเหมือนเขาตาย เขาเห็นเป็นภาพอยู่ในโบสถ์สีขาว ๆ ทุกอย่างเป็นแบบศาสนาคริสต์ของเขา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตของเราหรือคะ ทำไมเขาเห็นเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : การที่เห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ความจริงแล้ว ก็คือนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน ถ้าเป็นเทวดาของไทย เราเคยชินว่ามีสภาพไหน ถ้าท่านแสดงสภาพอื่น เราก็ไม่รู้ว่าเป็นท่าน จึงต้องแสดงแบบนั้น แต่ว่าเทวดาองค์เดียวกัน ถ้าไปหาคนคริสต์ เขาก็ต้องห่มผ้าขาว มีวงแหวนสว่างอยู่บนหัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องแสดงไปตามความเชื่อถือของเขา

ถาม : ทำไมไปพระนิพพานจะต้องเป็นเครื่องทรงแบบไทยด้วย
ตอบ : อยู่ที่เราเห็นอย่างนั้น บางทีเราขึ้นไปท่านก็แต่งตัวธรรมดา ถือว่าเราเป็นลูกเป็นหลาน แต่งตามสบายก็ได้ แต่ถ้าเต็มสูตรเต็มบารมีของท่านจะเป็นอย่างนั้น และเต็มสูตรเต็มบารมีของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันด้วย

ถาม : ทำไมเครื่องทรงต้องเหมือนประเทศไทย ทำไมไม่เป็นแบบอินเดียที่ห่มส่าหรี ?
ตอบ : บอกแล้วว่าของจริงก็คือของจริง ถ้าของจริงเราเห็นได้ละเอียดแค่ไหน เราก็จะเก็บรายละเอียดได้มากเท่านั้น และขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือของเขา บุคคลที่เป็นใหญ่ ผู้ที่สูงส่งอย่างกษัตริย์ของเขานิยมการแต่งตัวอย่างไร เขาก็จะเอาอุปาทานตรงนั้นไปจับด้วย ทำให้คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้นจึงจะเชื่อ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อปราบพระยาชมพูบดี เพราะว่าถ้ายังแสดงองค์เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ พระยาชมพูบดีก็จะไม่เชื่อ

เถรี 19-04-2011 23:33

ถาม : ไม่ใช่เราอุปาทานไปเองว่าจะต้องเห็น..?
ตอบ : ถ้าเราเอาอุปาทานไปปน เราจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมา จะต้องเคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกอยู่เสมอว่า ให้กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ เพราะโลกอื่นเขาไม่มีการปรุงแต่งหลอกกัน ถ้าเราขอให้เห็นตามจริง ท่านก็จะแสดงให้เห็นตามจริง ถ้าไม่ขอให้เห็นตามจริง บางทีด้วยความที่เคยผูกพันกันมา อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก เป็นปู่เป็นตา เป็นย่าเป็นยายกันมา ท่านก็มาในลักษณะธรรมดา ๆ แบบที่อาตมาไปเจอลุงกำนันสูบบุหรี่อยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพราะเคยเป็นลูกเป็นหลานท่านมา ท่านก็ทำท่านั้นให้ดู

ถาม : ไม่ได้เกิดจากจิตของเราเอง ที่เราเห็นก็คือเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าเราคิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามที่จิตปรุงแต่งไว้ เขาเรียกว่าอุปาทาน ถ้าเราไม่คิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามสภาพความเป็นจริง

แต่ถ้าเราไปได้อย่างแท้จริง ต่อให้คิดไว้ก่อนขนาดไหน ก็จะเห็นตามที่ตัวเองเห็นแบบนั้น อย่างที่อาตมาตั้งใจเต็มที่ว่าจะไปดูพระอินทร์ตัวเขียวปี๋ ขึ้นไปก็เจอลุงกำนันนั่งสูบบุหรี่เฉยเลย

ถาม : แต่ถึงคิดไว้เองก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ก็ใช่..แต่การที่เราคิดไปเองและยึดถือของเดิม จะทำให้กลายเป็นรู้เห็นแบบฟุ้งซ่าน มีโอกาสถูกหลอกได้ง่าย ฉะนั้น..อย่างไรเสียก็พยายามวางกำลังใจตัดร่างกายให้ดี แล้วค่อยไป จะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเมตตาสงเคราะห์

เถรี 19-04-2011 23:40

ถาม : การถวายหนังสือธรรมะที่ถวายทั่วไป กับถวายหนังสือคำสอนพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ มีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นอานิสงส์ธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่าผลที่ได้รับจะได้ต่างกัน การถวายหนังสือทุกชนิดจัดเป็นธรรมทานทั้งนั้น แต่สิ่งใดที่เป็นเรื่องของธรรมะโดยตรง สิ่งนั้นจะมีอานิสงส์มากกว่า

ถาม : การได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว ได้สังฆานุสติ และได้ความรู้สึกว่าเรานี่น่าเสียดาย ตอนท่านมีชีวิตอยู่ไม่ได้สนใจจะทำบุญกับท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว จึงเห็นว่าโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์หลุดลอยไปแล้ว ผู้ที่อยู่ภายหลัง ยังไม่ตาย ควรจะพิจารณาอย่างไร เพื่อที่จะมีหลักยึดในพระธรรม จะได้ไม่ยึดในสังขารของพระที่ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : ก็แค่คิดว่าแม้แต่ท่านก็ยังตาย เพราะฉะนั้น..เราต้องตายแน่ ๆ เป็นสังฆานุสติและมรณานุสติด้วย ในเมื่อเราตายแน่ เราก็อย่าประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้

เถรี 20-04-2011 07:19

ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าบารมีเราจัดอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะทำกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?
ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น), อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง), ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด) ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้

ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

อุปบารมีขั้นต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปบารมีขั้นกลางให้ทานได้ รักษาศีลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ

ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ

เถรี 20-04-2011 07:20

เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สมาธิตกเพราะปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก เคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย

ฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น

เถรี 20-04-2011 12:24

ถาม : บางทีก็เหมือนมีปัญหา รู้สึกว่าเบื่อ ทุกข์ก็ไม่เอา ไม่อยากได้อะไรเลย แล้วทำไมคนเราถึงต้องเกิดมาตั้งแต่แรก ? จุติเกิดมาเป็นดวงวิญญาณเลยหรือคะ ? ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าต้นไม้มีเมล็ด เมล็ดก็จะงอกต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีเมล็ด คือสิ้นเชื้อแล้วก็งอกต่อไม่ได้ อย่างเรางอกมาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ทนไปอีกสักชาติหนึ่งไม่ได้หรือ ?

ตั้งใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วกติกาความเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป โดยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว

ถ้ากำลังใจเราเกาะมั่นคงอย่างนี้ได้ สักเช้าวันละ ๑๐ นาที เย็น ๑๐ นาที ตายแล้วไปพระนิพพานได้แน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าเราต้องการอย่างนั้น แบบเดียวกับจองตั๋วรถไว้ พอเราขึ้นรถ รถก็จะไปส่งยังจุดหมายเอง

ถาม : แต่หนูรู้สึกว่า กำลังใจของหนูจะไปตกร่องตรงอรูปพรหมเสียก่อน
ตอบ : ไม่มีปัญหา เราก็ไปอรูปพรหมก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าตายจากตรงนี้เราจะไปนิพพาน ใจสุดท้ายเอาเกาะนิพพานไว้ เราแค่เอานิพพานต่อท้ายไว้นิดเดียว กำลังอรูปพรหมสูงมากอยู่แล้ว แค่ต่อท้ายด้วยนิพพานก็พอ

ถาม : หนูรู้สึกว่าพวกรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าคนถึงฌานจึงจะละได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ต้องเป็นตั้งแต่พระสกทาคามีหรือเป็นพระโสดาบันละเอียดที่เรียกว่าเอกพีชีขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รัก โลภ โกรธ หลงแทบจะไม่ปรากฏแล้ว แต่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงที่ยังมีอยู่นั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หลงที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ลึกอยู่ในใจ

อย่างเช่น เราตั้งความปรารถนาว่า เราจะเกิดเป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ยังตั้งความปรารถนาว่า เราจะเป็นพรหมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือยังต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นต่อไป สภาพจิตยังมีงานที่ต้องทำอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าเราก้าวพ้นจากตรงนั้นแล้ว งานทุกอย่างไม่มี ก็จะปล่อยวางไปเอง

เถรี 20-04-2011 12:34

ถาม : คนที่หวังจะไปพระนิพพาน ก็ต้องละรัก โลภ โกรธ หลง ได้ก่อน ?
ตอบ : จำเป็นต้องละให้ได้ก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องละตามลำดับ จากบุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ ปัญญาของตนว่ามีขนาดไหน

ดังนั้นว่า..ในความเป็นพระโสดาบันละเอียดหรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลงก็เหลือน้อยมากแล้ว ยกเว้นว่าเราขาดสติ ก็จะโผล่มาหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี รัก โลภ โกรธ หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่ตัวหลงอยู่นิดเดียว

ตัวหลงที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอะไร เป็นส่วนละเอียดที่ยังเห็นว่า บางทีบุญกุศลก็ยังเป็นความดีอยู่ เราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวหลงเหมือนกัน เป็นการหลงในด้านดี ก็คือยังเกาะความดีอยู่

จำไว้ว่าถ้าต้องการหลุดพ้น ต้องปล่อย แต่ตอนแรกก่อนที่จะปล่อย เราต้องเกาะในด้านที่ถูกไว้ คือเกาะดีไว้ก่อน ถ้าเราไม่มีอะไรเกาะ เราก็จะไม่มีให้ปล่อย อย่าทำข้ามขั้นนะ ทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะปล่อยดีไปเอง

ถาม : อย่างศาสนาเซน เขาก็ละรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้หวังนิพพาน ในเมื่อละรัก โลภ โกรธ หลงก็ยากกับพอ ๆ ไปนิพพานเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปนิพพาน ?
ตอบ : ที่เขาไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมาทางสายพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์จริง ๆ ต้องทำละเอียดกว่าพระอรหันต์เสียอีก แต่ว่ายังมีงานสุดท้ายที่หวังอยู่คือ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกต่าง ๆ ทำให้กำลังใจสุดท้ายไม่ตัด

แต่ความละเอียดของใจท่าน สามารถทำได้เหมือนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เหมือนพระอรหันต์

ถาม : อย่างเราจะแซงโค้งสุดท้าย แก่ไปสัก ๖๐ ปี ยังละไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ สุดท้ายเราจะตาย เราแซงโค้งตอนสุดท้ายได้ไหม ?
ตอบ : โค้งสุดท้ายเป็นตอนที่เรานอนตะแหงก ๆ อยู่ เรารักไหวไหมเล่า ? หามไปตีกับเขาไหวไหมเล่า ? ก็ไม่ไหว..ใช่ไหม ?

ในเมื่ออย่างนั้นเท่ากับ รัก โกรธ ก็หายไปอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า ร่างกายที่แก่กำลังจะตายชักอยู่นี้ เรายังเห็นว่าดีอยู่ไหม ? ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายแล้วเราไปพระนิพพานดีกว่า ตอนนั้นก็จะไปแซงโค้งปาดหน้าเข้าพระนิพพานได้เอง

เถรี 20-04-2011 12:46

ถาม : ตอนนี้เรายังไม่เดือดร้อน ถ้าเรายังละไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ละได้ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่ได้ก็คอยไปแซงโค้งสุดท้ายเอาตอนนั้น

ถาม : อย่างหนูไม่ได้ทำอะไรมากมาย เริ่มรู้สึกว่าอยากอ่านเว็บมากขึ้น เข้าใกล้ความดีมากขึ้นนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าเจ็บที่หัวใจ หายใจขัด แล้วหงุดหงิด พาลทุกคนที่ขวางหน้า แล้วกลายเป็นทุกข์ขึ้นมา
ตอบ : นั่นแหละจำไว้ว่า สิ่งนั้นเป็นมาร คือ เครื่องขวางความดี เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราหัวหกก้นขวิดไปเรื่อย เราก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดี เขาก็จะเอาร่างกายนี้มาขวางให้เราเกิดมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด คิดว่าเพราะทำความดีถึงเป็นอย่างนี้ เรากลับไปทำความชั่วเหมือนเดิมดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็จะพลาดไปจากความดีที่เราควรจะได้

ขอให้เราดีใจว่า ถ้าเขาทำการขวางเรามากเท่าไร แปลว่าเราเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะหลุดพ้นมากเท่านั้น เพราะถ้าเราทำเมื่อไรก็จะพ้นมือเขา เขาจึงต้องขวาง ถ้าคนทำแล้วยังไม่พ้น เขาไม่ขวางให้เสียเวลาหรอก ของเราที่เกิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้น ให้รู้เลยว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่เขาจะทดสอบเราแล้ว ก็แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะสอบได้แล้ว

ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป โดยที่คิดว่าอย่างดีก็แค่ตาย ถ้าตายตอนนี้สิดี เราจะได้พ้นจากร่างกายที่มีความทุกข์นี้ เราจะได้ไปพระนิพพาน

ถาม : แต่ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับใจ ไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายนะคะ คือจะหงุดหงิด
ตอบ : เขาให้พิจารณาต่อไปเลยว่า บุคคลที่ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างเรา ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี ความทุกข์มีสภาพปกติอย่างนี้ เป็นสมบัติของร่างกายนี้ เอ็งอยากจะทุกข์ก็จงทุกข์ต่อไปเถอะ ข้าอยู่กับเอ็งอีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

เพราะถ้านับจริง ๆ ชีวิตนี้เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจก็พอเพียง เราหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว เราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว ในเมื่อจะตายลงไปอยู่แล้ว เอ็งจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ข้าจะไปพระนิพพาน

ยิ่งเราเห็นทุกข์มากเท่าไรยิ่งดี เพราะเราจะได้รู้สึกว่าร่างกายนี้น่ากลัว เราจะได้ไม่ต้องการอีก เพราะฉะนั้น..บอกให้มาเยอะ ๆ พวกนี้ท้าแล้วมักจะหนี ไม่สู้หรอก เขากลัวคนบ้า..!

เถรี 20-04-2011 12:51

ถาม : ทำไมเวลาผมฝึกกสิณดิน ผมหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ตอนเริ่มเราไปเริ่มเลย บางทีก่อนภาวนาทุกครั้ง ถ้าทำได้ ให้หายใจยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยมาภาวนา ไม่อย่างนั้นพอจิตเริ่มละเอียดขึ้น ลมหยาบยังเหลืออยู่ จะดันแน่นอยู่ข้างใน ทำให้หายใจไม่ออก

ประการที่สอง ขันธมารมาแกล้ง เขาอยากรู้ว่าเราแน่สักแค่ไหน หายใจไม่ออกแทบจะตายแล้ว เรายังกลัวอยู่ไหม ? แบบคราวที่แล้วที่มาแกล้งคุณจนสติแตก ในเมื่อมีบทเรียนแล้ว ก็ระมัดระวังด้วยว่าจะโดนอีก

ถาม : จะฝึกอย่างไรให้จิตปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นครุฑ ?
ตอบ : จริง ๆ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือตัวกูของกูนั่นเอง ถ้าเราเห็นในสิ่งที่ดีกว่า เราก็จะไม่ต้องการอย่างนั้น คราวนี้เราลองพิจารณาดูว่า โลกของครุฑนั้นทุกข์ขนาดไหน ? เพราะว่าอยู่ในภพของสัตว์เดรัจฉาน ถึงแม้ว่าอยู่ในภาวะกึ่งทิพย์ก็จริง แต่ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ เป็นปกติ

โดยเฉพาะว่าไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล เป็นการเสียชาติเกิดจริง ๆ..! ดังนั้น..ถ้าหากเรายังไปเกิดในลักษณะนั้นอีก โอกาสที่จะหลุดพ้นของเราก็ไม่มี เราเกิดในภพภูมิมนุษย์สูงกว่าตั้งเท่าไร โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมาก เราควรปฏิบัติให้พ้นไปเลยดีกว่าที่จะไปติดอยู่แค่นั้น ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้ ใจก็จะค่อย ๆ ปลดออกมาเอง

เถรี 20-04-2011 12:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกว่าจะเป็นศาสนานั้น มีอยู่จำนวนมากด้วยกัน ที่ให้คุณค่าให้ความสำคัญต่อเพศพ่อและเพศแม่มาก เพราะถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต

อย่างศาสนาฮินดูก็มีการบูชาศิวลึงค์ ศิวลึงค์จะตั้งอยู่บนฐานโยนีที่ถือว่าเป็นอวัยวะของพระอุมา ถือว่าเป็นจุดกำเนิดชีวิต เป็นศูนย์รวมของพลังทั้งหมด พอเป็นศาสนาขึ้นมาแล้ว ตอนหลังก็ลามมาในศาสนาพุทธ กลายเป็นพุทธตันตระ

มีการกล่าวถึงพลังของเพศแม่ที่จะมาเสริมเต็มในความเป็นพ่อ คือ ความเป็นพ่อจะมีแต่ความแข็งแกร่ง ความเป็นแม่จะมีความอ่อนโยน แข็งอ่อนผสมรวมกันก็จะสมดุลพอดี ดังนั้น..ในทาง พุทธตันตระนี้ พระพุทธเจ้าของเขา ก็จะมีนางตาราที่เป็นศักติ คือคู่บารมี เป็นส่วนเสริมเต็มในบารมีของพระพุทธเจ้าท่านอยู่

เพราะฉะนั้น..ระยะหลัง ๆ เราไปเห็นรูปว่ามีผู้หญิงกอดเอวพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ไปว่าเขาสร้างรูปลามกอนาจาร แต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจปรัชญาศาสนาของเขาว่าคืออะไร เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายต้องอยู่ด้วยกัน ความสมดุลถึงจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วพลังจะหนักไปข้างเดียว ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้งานได้อย่างเต็มที่ คือขาดความสมบูรณ์นั่นเอง"

เถรี 20-04-2011 13:05

"ส่วนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถา ท่านกล่าวถึงนางผุสดีที่ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ แล้วจุติลงมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา พร ๑๐ ประการนั้น มีอยู่ประการหนึ่งว่า ตั้งท้องจนถึงเดือนสุดท้ายจะคลอด ก็อย่าให้ท้องนูนออกมาจนมองเห็น

พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีใครสวยกว่านั้นอีกแล้ว เพราะนอกจากจะสมบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ ประการที่คู่ควรที่จะเป็นพระพุทธมารดา

เราเคยชินกับการทำนายลักษณะของสิทธัตถะราชกุมาร ที่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ท่าน ลงความเห็นไป ๑๐๗ ท่านว่า ถ้าหากไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก ก็จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นโกณฑัญญะพราหมณ์ พราหมณ์หนุ่มที่สุด ฟันธงอย่างเดียวเลยว่า จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกโดยสถานเดียวเท่านั้น

นี่เราเคยชินกับคำทำนายนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป เราไม่เคยชินกับคำทำนายของพระนางสิริมหามายา พราหมณ์ที่มาทำนายในลักษณะที่ฟันธงว่าจะเป็นพระพุทธมารดา เขาเอาคำว่าพระพุทธมารดามาจากไหน ? แสดงว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีจารึกอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว

อย่างเรื่องมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ เขาก็บอกว่าท้าวมหาพรหมลงมาชี้แจงลักษณะเหล่านี้ให้แก่ผู้นำศาสนาของเขา แล้วได้บันทึกไว้เป็นคัมภีร์ เพื่อที่ถึงเวลาเมื่อมีมหาบุรุษปรากฏขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่ใช่แล้ว เพราะตรงกับตำรา

แต่ทางด้านของพระนางสิริมหามายาที่จะเป็นพระพุทธมารดา เราไม่รู้ว่าตำรานี้มาจากไหน เพราะว่าไม่ได้เขียนเอาไว้ อาตมาก็ไม่อยากจะมั่วว่าก็คงจะมาแบบเดียวกัน

พระนางสิริมหามายานอกจากที่จะสวยงามสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธมารดาแล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ส่วนตัวอยู่อีก ๑๒ ประการด้วยกัน ความมหัศจรรย์ส่วนตัว ๑๒ ประการนี้ ในบาลี เรียกว่า อัจฉริยธรรม คำว่า อัจฉริยะ แปลว่า มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ ไม่เหมือนคนอื่นเขา"

เถรี 20-04-2011 16:49

"ความอัศจรรย์ประการแรกก็คือ ถ้าหากพระพุทธมารดาจะให้ทานโดยอาหารที่บรรจุไว้ในถาดทองคำ บาลีเขาบอกไว้ละเอียดเลยว่า ต่อให้ผู้คนมาขอรับอาหารทั่วทั้งชมพูทวีป อาหารนั้นก็ไม่ได้พร่องลง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเมณฑกเศรษฐี ที่ตักข้าวออกไปเลี้ยงคนทั้งเมือง ก็แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว

แต่กรณีของพระพุทธมารดาไม่ได้เลี้ยงคนทั้งเมือง หากแต่เลี้ยงคนทั้งชมพูทวีป ซึ่งสมัยนั้นเขาหมายถึงโลกมนุษย์ คือเลี้ยงคนทั้งโลก..!

ความอัศจรรย์ประการที่ ๒ ของพระนางสิริมหามายา ก็คือ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ท่านยกมือแตะคนป่วยก็หาย ฟังแล้วคุ้น ๆ ไหม ? มีใครอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลมาบ้าง ? พระคริสต์ก็คือพระเยซู..ใช่ไหม ? สัมผัสตัวคนป่วยก็หาย แสดงว่าเรื่องแบบนี้ มีอยู่ในทุกศาสนา ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้นประกอบด้วยบารมีธรรมระดับไหน ดังนั้น..ใครที่เป็นมะเร็ง รีบไปหาพระพุทธมารดาโดยด่วน ขอให้พระองค์ท่านช่วยจับให้หน่อย

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๓ อยากให้ท่านมาช่วยจับแถว ๆ นี้หน่อย ท่านบอกว่า จับต้องใบของติณชาติ (หญ้า) หรือรุกขชาติ (ต้นไม้) ก็จะกลายเป็นสุวรรณ (ทองคำ) ทั้งหมด นี่ดีกว่าพระราชาไมดาส

พระราชาไมดาสขอพรจากเทพเจ้า เพราะว่าท่านชอบทองคำมาก ขอพรว่าทุกอย่างที่พระองค์จับต้องขอให้กลายเป็นทองคำ จับอาหารก็เลยเสวยไม่ได้เพราะว่ากลายเป็นทอง เผลอหน่อยเดียว ลูกที่รักวิ่งเข้ามา จับเข้าก็กลายเป็นทองไปอีก นั่นท่านขอพรแบบไม่รอบคอบ แต่ว่าของพระนางสิริมหามายา จับต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นจะกลายเป็นทอง แต่อย่างอื่นไม่เป็น

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๔ ก็คือ ถ้าพระองค์ท่านปลูกต้นไม้ จะโตทันตาและออกดอกออกผลให้เดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี 20-04-2011 18:55

"ถ้าเราอ่านพุทธประวัติในช่วงพรรษาที่ ๗ ที่นายคัณฑะนำผลมะม่วงมาถวายพระพุทธเจ้า ความจริงนายคัณฑะเป็นนายอุทยานอยู่ ปลูกผลมะม่วงแล้วออกลูกสุกเหลืองอร่าม มีหน้าที่ต้องเก็บไปถวายพระราชา แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถวายพระพุทธเจ้าได้บุญมากกว่า จึงตัดสินใจนำไปถวายพระพุทธเจ้า ถ้าพระราชาจะประหารชีวิตเราก็ยอม

พอพระพุทธเจ้าเสวยผลมะม่วงแล้ว จึงสั่งให้นายคัณฑะขุดหลุม หย่อนเม็ดมะม่วงลง กลบดิน เอาน้ำล้างพระหัตถ์รดลง พอรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์เท่านั้น ก็งอกขึ้นมากลายเป็นต้นมะม่วงโตทันทีเลย เพราะพระองค์ท่านบอกว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิชาเหล่านี้ทางด้านศาสนาอื่น ๆ เขาทำกันได้เป็นปกติ เรียกว่า ตัชชารีวิชา ถ้าหากว่าเป็นเราสมัยนี้เรียกว่า "เล่นกล" แต่ของพระองค์ท่านนั้นเกิดด้วยบุญญาบารมีจริง ๆ

คนสมัยก่อนทำได้เป็นปกติ จนกระทั่งทุกวันนี้ แขกก็เล่นกลหลอกเราเป็นปกติ ตัชชารีวิชาจัดเป็นมายาการอย่างหนึ่ง มายาการนี่จะต้องประเภทหลอกชาวบ้านเขาได้ ไม่อย่างนั้นหากินไม่ได้หรอก

ความมหัศจรรย์ประการที่ ๕ ก็คือ ถ้าหากว่าพระนางเสด็จไปที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งขึ้นไปบนยอดเขาที่ไม่มีน้ำ ถ้ากระหายน้ำขึ้นมา ท่านบอกว่าก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาโตเท่าลำตาล จะเสวยหรือจะสระสรงอย่างไรก็ได้

ให้เราสังเกตว่า เนื้อหาเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาในลักษณะเดียวกัน ก็คือ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากบารมีที่พระองค์ท่านสั่งสมมา จนกระทั่งเหมาะสมที่จะเป็นพระพุทธมารดา"

เถรี 20-04-2011 19:03

"ความอัศจรรย์ประการที่ ๖ ของพระพุทธมารดา ก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารไป ถึงเวลาเทวดาจะนำโภชนะอันเป็นทิพย์มาถวาย ไม่ได้ถวายคนเดียวนะ ถวายมากพอที่จะเลี้ยงบริวารของพระนางทั้งหมดได้ด้วย

ความอัศจรรย์ประการที่ ๗ ของพระพุทธมารดาก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสสระสวนอุทยานที่ไหน ก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องแต่งตัวไป จะสระสรงสนานอย่างไร เทวดาจะนำเครื่องทิพย์ของหอมและนำพัสตราภรณ์ต่าง ๆ มาถวายให้ได้ใช้ทุกครั้ง

พวกเราอย่าเผลอนะ อยากเป็นพระพุทธมารดาเดี๋ยวได้เป็นจริง ๆ เพราะเท่ากับว่าเราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่เราต้องคอยระมัดระวังด้วยว่า จิตของเราจะคล้อยตามหรือเปล่า ?

ความอัศจรรย์ประการที่ ๘ ก็คือ เมื่อพระนางเข้าที่บรรทม ท่านใช้คำว่า ยักขราชา ๘ ตน คือ บรรดาหัวหน้าเทวดาที่เป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งหลาย จะถือวชิราวุธแวดล้อมคอยป้องกันอันตรายให้ตลอดคืน แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไปมาให้การดูแลอยู่

ความอัศจรรย์ประการที่ ๙ คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม บรรดาอสูรราช ก็คือราชาของอสูร น่าจะเป็นระดับท่านท้าวเวปจิตตาสูร ท่านอสุรินทราหู จะแปลงกายเหมือนกับเป็นนักแสดงมหรสพติดไปกับขบวน เพื่อคอยแวดล้อมระมัดระวังอันตรายต่าง ๆ ให้

พูดง่าย ๆ ว่า กลางวันก็มี รปภ.ส่วนตัวขบวนหนึ่ง กลางคืนก็ขบวนหนึ่ง แบ่งสรรหน้าที่กันเสร็จสรรพเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟัง ๆ แล้วก็ต้องมาคิดว่า บุญคนนี่ส่งให้เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?"

เถรี 21-04-2011 06:51

"เรามานึกดูว่า ตอนก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กาลนาคราชและบริวารทั้งหลายก็ขึ้นมาแสดงมหรสพต่าง ๆ ถวายเป็นปกติ

อย่าลืมว่ากาลนาคราชหลับไปงีบเดียวพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อีกหนึ่งองค์แล้ว นอนงีบเดียวแต่นานเป็นพุทธันดรเลย นอนยังไม่ทันจะหายง่วง ถาดทองคำตกลงมาอีกใบหนึ่งแล้ว

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพระพุทธประเพณีอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนจะตรัสรู้จะลอยถาดทองคำ เพื่อเสี่ยงบารมีว่าสามารถที่จะตรัสรู้ได้หรือไม่ ? เมื่อลอยถาดทองแล้ว ก็ไม่ใช่ลอยตามน้ำ แต่จะลอยทวนน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอกแล้วก็จะจมลงไปที่บาดาลซึ่งกาลนาคราชนอนหลับอยู่ ก็ไปซ้อนกับใบเดิม ได้ยินเสียงดัง "แกร๊ก..!" พ่อเจ้าประคุณก็ลืมตาดู "จะตรัสรู้อีก ๑ องค์แล้วหรือ ?"

แสดงว่ากาลนาคราชนี่บุญดีจริง ๆ นะ เพราะว่าคนอื่น ๆ รอกัน ชาติแล้วชาติเล่า อย่างเมื่อวานที่พูดถึง เอรกปัตตนาคราชก็รอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เมื่อไร แต่กาลนาคราชนั้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์จะตรัสรู้ กาลนาคราชรู้ก่อนเพื่อนเลย จะบอกว่าท่านบุญดีหรือกรรมหนักก็ไม่รู้นะ นอนเพลินเหลือเกิน เรามีโอกาสนอนอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงบุรพกรรมของคน ๔ คน มีอยู่คนหนึ่งที่พระองค์ท่านเทศน์ขนาดไหนก็ตาม หลับลูกเดียว ในอดีตชาติท่านนั้นเคยเกิดเป็นงูใหญ่ ชินกับการพาดหัวบนขนด แล้วก็หลับติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ พอเกิดเป็นคนก็มีนิสัยเหมือนเดิม อยู่ที่ไหนก็หลับที่นั่น

พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมประดุจมหาเมฆที่บันลือขึ้น เราฟังอย่างนี้ก็แปลไม่ออก ต้องบอกว่าเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างหู เขายังหลับได้..!

มหาเมฆบันลือขึ้นก็เหมือนกับฟ้าร้อง..ใช่ไหม ? เปรี้ยงปร้างโครมครามขนาดนั้น ยังหลับอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย พระอานนท์ถึงได้ทูลถามว่าเกิดจากกรรมอะไร ? พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟังถึงบุรพกรรมว่า เขาเคยเกิดเป็นงูใหญ่ติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ มีใครบ้างที่นั่งที่ไหนหลับที่นั่น ถ้ามีก็คงจะเป็นอย่างนั้นแน่เลย"

เถรี 21-04-2011 07:25

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๐ ก็คือ ถ้าเป็นฤดูร้อน เหล่าเทวดาจะนำน้ำทิพย์จากสระอโนดาต บรรจุในหม้อทองคำ มาถวายให้สรงทุกวัน

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๑ ก็คือ ถ้าเป็นหน้าหนาว เทวดาจะนำผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ในป่าหิมพานต์ มีความยาว ๘๐ ศอก มาถวายเป็นผ้าห่มกันหนาว

ความเชื่อเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ บางคนก็ตีความว่า ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดว่าไปทางไหนก็ตาม พวกเครื่องใช้ไม้สอย ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน คือท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ไปตีความอีกอย่าง

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๒ ของพระพุทธมารดา คือ ถ้าพระองค์ท่านต้องการให้ทานต่อบรรดาสมณชีพราหณ์ หรือคนยากจนเข็ญใจเมื่อไร ฝนจะตกลงมาเป็นแก้วแหวนเงินทอง เก็บไปให้ทานได้เดี๋ยวนั้นเลย

ดังนั้น..รวมความแล้วว่า นอกจากพระองค์ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว ยังประกอบไปด้วยบารมีอันเป็นอัศจรรย์ ๑๒ ประการด้วยกัน บาลีเรียกว่า อัจฉริยธรรม ธรรมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มหัศจรรย์สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจเรื่องการส่งผลของกรรมเท่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด ถ้าหากว่าคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า พึงมีส่วนของความเป็นบ้า แปลมาจากบาลีว่า อุมฺมตฺตกภาโค แต่ถ้าหากเป็นเราพูดภาษาไทยชัด ๆ ก็คือ คิดไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ คิดไม่ออกหรอก

พุทธวิสัย ก็คือความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุคคลทั่ว ๆ ไปแค่ ๑ อสงไขยก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว บุคคลที่ทำงานมากกว่า ๔ เท่า ย่อมรวยกว่าไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องไปคิดหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ

ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานสมาบัติ เขาจะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ เราทำไม่ได้แล้วไปคิดว่าเขาทำอย่างไรหนอ ? คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคิดได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้

กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม จะพิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดไหน แค่พระนางสิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์ ๑๒ ประการ ก็ว่ามากแล้ว พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะอีกมากมายมหาศาล แต่ละอย่างเกิดจากกรรมในอดีตที่พระองค์ท่านสร้างมาทั้งสิ้น"

เถรี 21-04-2011 07:32

"โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก ทำไมภาคเหนือถึงแผ่นดินไหว ? ทำไมภาคกลางจึงหนาว ? ทำไมภาคใต้ถึงน้ำท่วม ? คิดแค่ประเทศเราก็จะบ้าแล้ว ถ้าหากคิดไปว่า ทั้งโลกทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็จะประสาทกินเสียเปล่า ๆ

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ เพราะว่าวิบากคือการส่งผลของกรรมนั้น เป็นไปตามผลที่ตนเองทำมา แต่ว่าผลมหัศจรรย์นั้น ถ้าได้ทำในส่วนที่เป็นบุญกุศลในเขตของพุทธศาสนา จะส่งผลให้มากกว่าที่ทำจนประมาณไม่ได้

ความจริงในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า การได้ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด มีบุญมากประมาณไม่ได้ นั่นแค่นอกศาสนานะ

ถามว่านักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด หมายถึงว่าเขาเป็นพระอนาคามีหรือเปล่า ? ไม่ใช่..หากแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ฝึกฌานสมาบัติเสียจนมีความคล่องตัว สามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทลงได้ ไม่ใช่ดับกิเลส แต่กดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว อย่างบรรดานักบวชอเจลกต่าง ๆ อย่างศาสนาเชนที่เป็นนักบวชแก้ผ้า

ถ้าหากว่าฝึกไม่ถึงระดับจริง ๆ เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกเพื่อเผยแพร่ศาสนาหรอก ขายหน้าชาวบ้านเขา เพราะว่าเขาแก้ผ้าอยู่ ถ้าหากเกิดกามราคะจริง ๆ ผู้ชายเราจะปรากฏเห็นชัดเลย ดังนั้นว่า..ถ้าหากไม่ฝึกแล้วฝึกอีกจนมั่นใจแล้ว อาจารย์ก็ไม่ปล่อยออกไปให้ขายหน้าหรอก

ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่ปราศจากความกำหนัด ยังมีอานิสงส์ประมาณไม่ได้ เราก็ต้องมาคิดถึงที่พระองค์ท่านเปรียบเทียบว่า ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน มีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน ทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลมีผลมากกว่าอีกเป็น ๑๐๐ ส่วน ไล่ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นบุคคลที่มีศีล บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติเป็นปกติ

นักบวชนอกพระพุทธศาสนาเขาทรงฌานสมาบัติกันเป็นปกติ เราจะมาภูมิใจว่าเรามีหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ เราดีกว่าเขา วิเศษกว่าเขา แต่เรากระทั่งปฐมฌานเราก็ทรงไม่ได้ เราขายหน้าเขาบ้างไหม..?!"

เถรี 21-04-2011 07:37

"อาตมาเคยไปท้ารบกับพวกโยคี ยังเผ่นแน่บเลย สู้เขาไม่ได้หรอก ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าที่ไหนที่สร้างพระรอด แต่อาตมาต้องไปที่วัดมหาธาตุ เห็นเขาเชิญโยคีมาปลุกเสก อาตมาก็ตะหงิด ๆ ใจ "ไอ้ห่..พระตั้งเยอะแยะไม่นิมนต์มาเสก เอาโยคีมาเสก เห็นกูเป็นอะไรวะ..?!" กิเลสขึ้นหน้า ไหน..ขอลองหน่อย..คุณจะแน่สักแค่ไหน ?

โยคีเขาก็เก่งจริงเหมือนกัน เขานอนตะแคงข้าง มือวางตามยาวแนบพื้น แล้วบอกให้อาตมาขึ้นไปเหยียบบนมือได้เลย ถ้าเราลองนอนตะแคงเอามือเหยียดแนบติดพื้น มีคนเอาของใส่มือเรายกได้ไหม ? นี่อาตมาขึ้นไปยืนทั้งตัว เขายกลอยเฉยเลย..! ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้เขาทำกันได้เป็นปกติ

อาตมาก็ขี้โกง ตัวกูหนักไม่พอใช่ไหม ? เอาแผ่นดินไปด้วย ว่าแล้วเหยียบติดพื้นไปเลย เขาเห็นว่าแหกคอกนี่หว่า เล่นโกงแบบนี้เขาก็เอาด้วย เขาก็อธิษฐานเตโชธาตุจะเผา แล้วเรื่องอะไรตูจะอยู่ให้เผา โกยแน่บเดี๋ยวนั้นเลย..!"

เถรี 21-04-2011 08:04

พระอาจารย์กล่าวถึงดอกบัวครรภ์รักษาว่า "ดอกบัว ๕ ดอก เขียนอักขระทุกกลีบ เสกด้วยบทอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มหาสมยสูตร จตุรัปปมัญญา จตุปัจจยเมตตา ยะโตหังฯ โพชฌงค์ฯ

รับประกัน ถ้าหากว่าไม่แม่นในมนต์คาถา ๓ ชั่วโมงครึ่งเสกไม่จบหรอก ถึงได้บอกว่าไม่ได้ยากตรงเขียน แต่ยากตรงเสก เป็นวิชาประจำตระกูลของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านอุตส่าห์เมตตาถ่ายทอดให้

อาตมาทำครั้งแรกก็เจอลองของเลย เพราะว่าเด็กที่จะคลอดออกมาน้ำหนัก ๘ ปอนด์กว่า ประมาณ ๔ กิโลกรัม แค่ ๒ กิโลครึ่งก็ตัวใหญ่เบ้อเร่อแล้ว นี่ตั้ง ๔ กิโล หมอจะผ่า แม่เด็กเขายืนยันว่าไม่ผ่า "กินดอกบัวหลวงพ่อไปแล้ว อย่างไรก็คลอดได้แน่นอน" เล่นเอาหมอประสาทกลับไปเลย วิทยาศาสตร์เจอไสยศาสตร์เข้าเต็ม ๆ..!

ปรากฏว่าเขาคลอดได้จริง ๆ ปลอดภัยด้วย การทดสอบจึงถือว่าผ่าน เพราะถ้าเด็กตัวใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังคลอดได้ ขนาดอื่นก็ไม่มีปัญหาหรอก ถึงได้กล้าทำต่อมาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เจออย่างนั้นเข้า ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ผลจริงหรือเปล่า ?

ดอกบัวครรภ์รักษา ท่านบอกว่า เด็กที่เกิดมาจะฉลาดทุกคน แต่ให้ทำใจไว้เลยว่า โคตรซนเลย หลวงปู่ท่านบอกว่า เด็กฉลาดต้องซนเป็นธรรมดา"

เถรี 21-04-2011 10:49

ถาม : มีใครคิดร้ายท่าน ?
ตอบ : อาตมาสร้างบุญไว้เยอะ ก็เลยมีแต่คนคิดร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาตินะ โบราณเขาว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราแปลความออกไหม ? หนังของเราก็ใหญ่แค่หุ้มตัวเอง แต่เสื่อสามารถหุ้มเราทั้งตัวไปได้อีกชั้นหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ไหนก็ตาม คนเกลียดมีมากกว่าคนรักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ถ้าแกไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย สุขสบาย ให้รู้ว่าสถานที่นั้นเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต แต่ให้ระมัดระวังด้วยว่า ถ้าเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต ศัตรูตั้งแต่อดีตก็มีอยู่ด้วย

และอาตมาอยู่มาทั่วประเทศไทย ไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนแปลกที่เลย ขนาดกลางดงเสือดงช้าง ก็หลับสนิทอย่างเดียวเลย แสดงว่าเคยอยู่มาแล้วทุกที่

ในเรื่องของศัตรูโดยตรงไม่มี แต่มีหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นว่า พอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จะมีบุคคลบางประเภทอยากลองว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ทำไมจอมยุทธ์ถึงมีคนมาท้าสู้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ตูรู้แล้ว..ยังไม่ทันจะเป็นจอมยุทธ์เลย เขาก็ยังเอาเป็นเป้าอยู่เรื่อย..!

เถรี 21-04-2011 10:53

ประการต่อไปก็คือว่า สายงานการปกครองคณะสงฆ์ คนอื่นเขาไม่เหมือนลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำงานต่าง ๆ ไม่ได้หวังยศหวังตำแหน่ง ก็ทำเต็มที่ หวังแต่ในเรื่องบุญกุศล หวังสงเคราะห์คนหมู่มาก แต่เพราะว่าทำเต็มที่ ผลงานจึงออกมาดี ก็ทำให้คนที่หวังยศหวังตำแหน่งกลัวว่าเราจะเกินหน้าเกินตาเขา ก็มีรายการเตะสกัดเป็นปกติ

เพราะฉะนั้น..บางเรื่องดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็เป็นขึ้นมาได้ ต้องบอกว่ากิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เมื่อกิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เราก็ได้แต่แผ่เมตตาให้เขาไป ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะตาสว่างและก้าวพ้นจากจุดนั้นมาเสียที

เราเห็นข้อบกพร่องของเขา แสดงว่าเราเคยมีข้อบกพร่องอย่างนั้นมาก่อน เราถึงรู้ว่านั่นคือข้อบกพร่อง ในเมื่อเราเคยมีข้อบกพร่องมาก่อน เขารับช่วงในข้อบกพร่องของเราไป เขาก็คือทายาทที่รับมรดกจากเรา คนที่เป็นทายาทรับมรดก ถ้าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ก็คือคนที่เรารัก เราถึงให้มรดกแก่เขา

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขารับมรดกจากเรา ก็เปรียบเหมือนกับลูกกับหลาน เหมือนคนที่เรารัก เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขาเลย แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ ฟังดูเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว