![]() |
ถาม : คาถาเงินล้านมีผลในด้านใด ?
ตอบ : มีความคล่องตัวในทุกเรื่องจ้ะ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ ถาม : หน้าที่การงานติดขัดมาก ตอบ : ไปทำเอา..ถ้าทำจริง ๆ ภายในสองเดือนได้ผลแน่ ถาม : มีคำแนะนำ ? ตอบ : ไม่มี ทำอย่างเดียว อย่าเสียเวลาถาม |
ถาม : พ่อผมเขาเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ท่านก็บอกผมว่าจะไปผ่าตัด แล้วก็พูดในทำนองสั่งเสีย ผมก็เลยแนะนำท่านว่า ให้ท่านไปลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ท่านก็ปฏิเสธ กระผมควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ปล่อยท่านไป บอกว่าทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ผมให้หมด ถ้าจะผ่าก็ผ่าไปเถอะ ผมจะไม่ไปดูดำดูดีเลย..! ในเมื่อท่านไม่เชื่อ แนะนำไปจะมีประโยชน์อะไร เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว จำเอาไว้ให้แม่น ๆ ทำหน้าที่ไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลว เราได้ทำแล้ว นั่นแหละคือความสำเร็จ |
ถาม : ทำไมฤกษ์ยามจึงเกี่ยวข้องกับชะตา ?
ตอบ : เหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราข้ามถนนตอนรถว่าง ๆ ก็เดินข้ามได้อย่างสบายใจ ถ้ารถมาเยอะ ๆ ข้ามไม่ดีก็อาจจะโดนรถชนกองอยู่ตรงนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เกี่ยวกับวาระบุญวาระกรรม ส่วนใหญ่ฤกษ์ยามเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ที่เขาดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่าง ๆ การเคลื่อนที่ของดวงดาวมีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ โดยเฉพาะมีอิทธิพลต่อมนุษย์เป็นปกติอยู่แล้ว เราดูแค่ว่าดวงจันทร์อย่างเดียว ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้ แม้กระทั่งผู้หญิงก็มีรอบเดือนใน ๒๘ วัน ตามการโคจรของดวงจันทร์ เพราะฉะนั้น..ดาวทุกดวงมีอิทธิพลต่อพวกเราอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่รู้เท่านั้น พวกบรรดาโหราศาสตร์เขาเก็บสถิติเรื่องนี้ต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี แล้วบัญญัติเป็นโหราศาสตร์ ถามว่าเชื่อถือได้เท่าไร ? เต็มที่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องชำนาญจริง ๆ ถ้าพวกไม่ชำนาญ เดามั่ว เชื่อได้สัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าเก่งแล้ว สาเหตุที่บอกว่าเกี่ยวข้อง ก็คือ ถ้าเลือกจังหวะที่ดีที่เหมาะสม เหมือนกับว่าได้รับการหนุนเสริมจากกำลังของดวงดาวพวกนี้ สิ่งที่เราทำก็จะสะดวกและเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าเลือกจังหวะผิด เหมือนกับเราไปต้านเขาพอดี แทนที่จะไปตามน้ำ ก็ไปเดินทวนน้ำ เราก็จะเหนื่อย ลำบาก ถ้าหากกำลังไม่เข้มแข็งพอ ทุนไม่ยาวพอ อาจจะหมดสภาพเสียก่อน |
ถาม : พวกที่ขโมยของวัด เทวดาที่อยู่ประจำวัด ทำไมท่านจึงไม่ช่วย ?
ตอบ : เทวดาท่านไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันขโมยนะจ๊ะ ป้องกันขโมยเป็นหน้าที่ตำรวจ เทวดายอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวแสดงซึ่งความเคารพนับถือ และขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ เทวดาท่านก็จะปล่อยวางให้เป็นไปตามวาระของกรรม แต่ถึงจะมีการขอให้ช่วยสงเคราะห์ก็ตาม ถ้าเป็นวาระกรรมจริง ๆ ท่านก็ไม่ยุ่งเกี่ยว ต้องปล่อย แต่ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมหนัก สามารถสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนเบาเป็นหายได้ ท่านก็จะช่วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสคนเดียว ถ้าเจ้าอาวาสไม่ให้ความเคารพ ไม่มีการบวงสรวงบอกกล่าวขอให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง ไม่มีการบอกแขกช่วยแบกหาม แขกก็นั่งมองอย่างเดียวเท่านั้น |
ถาม : ผมอยากรับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน ต้องทำอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ นี้ พอถึงเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า ให้ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย กราบพระสวดมนต์แล้วอธิษฐานว่า สิ่งใดที่พระท่านสงเคราะห์มา เราขอรับทั้งหมด และภาวนาพุทโธสักครึ่งชั่วโมง |
ถาม : ระหว่างวันที่เป็นอมฤตโชค วันมหาเศรษฐีฤกษ์ และวันสิทธิโชค ควรจะเปลี่ยนชื่อวันไหนดีครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนวันไหนก็ได้ ไม่ต้องดูฤกษ์หรอก อ้อ..ดูเอาไว้นิดก็แล้วกันว่า อย่าให้ตรงวันเสาร์อาทิตย์ เจ้าหน้าที่เขาไม่มาทำงาน..! ถาม : แล้วการเปลี่ยนชื่อกับความสำคัญของแต่ละวัน ไม่เท่ากันหรือเปล่าครับ ? ตอบ : การเปลี่ยนชื่ออาตมายังไม่เห็นว่าสำคัญเลย ถึงเปลี่ยนไปเพื่อนก็ยังเรียกแต่ชื่อเก่า..! มีโยมคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อมา ๔ ครั้งแล้ว ยังไม่ดีสักทีหนึ่ง แล้วมาถามว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งที่อุตส่าห์ไปดูชื่อที่ถูกโฉลกที่สุดแล้ว อาตมาจึงบอกว่า "เอ็งเลิกเปลี่ยนชื่อ แต่ไปเปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนสันดานแล้วจะดี..!" เขาเปลี่ยนชื่อแล้วแต่ยังสันดานเสียเหมือนเดิม แล้วจะไปเอาดีได้อย่างไร |
ถาม : ทำไมบางคนตายแล้ว ศพบางคนแข็ง บางคนก็ไม่แข็ง ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามหลักการแพทย์ คนที่ตายสบายไม่มีความทุกข์ทรมาน กล้ามเนื้อจะไม่เกร็งตัว คนไหนเจ็บปวดทรมานมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งเร็ว นี่ว่ากันตามหลักแพทย์ เรื่องอื่นอย่าว่ามาก เดี๋ยวจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่ ถาม : เห็นเขาว่า คนที่ตายแล้วศพไม่แข็งเป็นคนที่มีบุญ คนที่แข็งก็มีบุญไม่ใช่หรือคะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายมีความเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าเจ็บปวดมาก กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งก็แข็งตัวเร็ว |
หลังจากหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพไป ๙๖ วัน อาตมาทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน ตั้งใจว่าทำเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะผนึกโลงไปเลย พอครบร้อยวันจะได้อัญเชิญท่านไปที่วิหารร้อยเมตร
ปรากฏว่าหมวดบัง (ร้อยตรีนที ทนุวงษ์) เห็นว่าหมอนที่หนุนหลวงพ่ออยู่ไม่น่าดู จะเปลี่ยนใบใหม่ให้ เขาก็ดึงหมอนออก คิดว่าหลวงพ่อคงจะค้างแข็ง ที่ไหนได้..หลวงพ่อหงายคออ่อนพับลงไป เขาก็ร้องตกใจ "เฮ้ย..!" เราก็ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?" "ตกใจ..คิดว่าป๋าหัวหลุด" เราสามารถจะยกแขนยกขาท่าน ทำความสะอาดได้เหมือนคนปกติ เพียงแต่ว่าปลายนิ้วของท่านจะดำ ๆ เหี่ยว ๆ และปลายจมูกจะเหี่ยว ๆ หน่อย นอกนั้นลักษณะท่านเหมือนคนนอนหลับปกติ นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะผ่านไปตั้ง ๙๐ กว่าวันแล้ว อาตมามีโอกาสเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงพ่อ ตั้งใจว่าวันสุดท้ายแล้ว เราจะหาผ้าอย่างดีที่สุดที่เรามีมาเปลี่ยน อาตมาไปได้ผ้าไตรแพรราคา ๗,๕๐๐ บาทมา ก็ย่อง ๆ จะไปเปลี่ยนให้ ปรากฏว่ามีนักเลงดีเดินตามมา เราก็หันไปดู เห็นเขานำผ้าไตรใส่พานมา "เฮ้ย..ผ้าไหมหรือ ?" เขาบอกว่า "ครับ..ไหมโคราช ราคาสองหมื่นครับ..!" อาตมาจึงต้องยกสิทธิ์ให้เขาไป นำผ้าไหมเขาไปเปลี่ยนให้หลวงพ่อ แต่เรื่องอะไรเราจะยอม ในเมื่อตั้งใจมาถวายแล้ว เราก็เอาผ้าของเราปูผืนหนึ่ง ห่มให้ท่านผืนหนึ่ง ความจริงคนที่น่าจะมีผ้าครองหลวงพ่อมากที่สุด น่าจะเป็นหลวงพี่ประทีป หลวงพี่ประทีปเก็บผ้าครองอย่างดีเลย พับ ๆ ใส่ถุงปุ๋ย เย็บปากไว้เลย เพราะมีการเปลี่ยนผ้าครองให้หลวงพ่อทุกวัน เป็นเวลาตั้ง ๙๐ กว่าวัน ปรากฏว่าตอนที่น้ำท่วมวัด หลวงพี่ประทีปให้คนไปทำความสะอาด คนทำความสะอาดเห็นกระสอบเละ ๆ มีแต่จีวรเปื้อนโคลน เขาก็เลยเอาไปทิ้ง หลวงพี่ประทีปเจอหน้าก็บ่นแหลก "กูไม่น่าปล่อยให้พวกโง่ไปทำความสะอาดกุฏิเลย เอาของกูไปทิ้งหมด" (หัวเราะ) |
ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ปิดทอง คนที่มาร่วมบุญกับเราก็จะได้อานิสงส์เหมือนกันทุกคน แต่ถ้าพระองค์นั้นไม่ได้ปิดทองละครับ คนที่เขามาร่วมกับเราจะได้อานิสงส์หรือไม่ ?
ตอบ : เขาได้อานิสงส์สร้างพระ แต่ไม่ได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าไม่ได้ปิดทอง เจ้าภาพได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์เพียงคนเดียว ถาม : ถ้าการสร้างพระนั้นไม่ได้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ จะมีอานิสงส์อัตโนมัติหรือเปล่า ? ตอบ : ต้องตั้งใจด้วย อย่าลืมว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาเท่านั้นจึงจะเป็นบุญ ถาม : ถ้าเราไปร่วมกับเขา แล้วเจ้าภาพเขาไม่ได้ตั้งเจตนาตรงนี้ไว้ ? ตอบ : ในเมื่อเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร เราก็ตั้งเจตนาเองได้ |
ถาม : สมมติว่ามีคนได้รับการพยากรณ์ว่าเป็นพระโสดาบัน กำลังท่านจะมีโอกาสถอยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่ถอยแล้ว สมาธิหลุดได้ แต่ว่ากำลังใจไม่มีตกต่ำแน่นอน แต่อย่าลืมว่าการพยากรณ์เป็นหน้าที่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ฉะนั้น..ใครพยากรณ์มา ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถือว่าผิดมารยาท ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า อย่าเพิ่งเชื่อ |
ถาม : สิ้นเดือนนี้จะมีสอบ ท่านมีข้อคิดอะไรบ้างไหมคะ ? ปกติภาวนานะมะพะธะอยู่
ตอบ : ถ้าสอบต้องใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์จ้ะ ถาม : ไม่เคยได้ยินค่ะ ตอบ : คาถาท่านปู่พระอินทร์ ท่านให้ว่า สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ ถึงเวลาก็ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยให้เรามีความคล่องตัวในการสอบ ถ้าเป็นข้อเขียนท่านให้คว่ำกระดาษลง อย่าเพิ่งดูคำถาม ว่าคาถาสัก ๓ จบ อธิษฐานเสร็จเรียบร้อยก็เปิดอ่าน ถ้าหากยังทำได้ไม่หมด ให้คว่ำลงว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้นึกอยากจะเขียนอย่างไร ให้เขียนไปอย่างนั้น ถาม : เฉพาะข้อเขียนใช่ไหมคะ ? ตอบ : จ้ะ..ถ้าเป็นสัมภาษณ์ก็อธิษฐานขอให้มีความคล่องตัว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จนป่านนี้น้อยคนที่จะรู้ว่าทำไมเขาจึงกำหนดอายุเทวดานพเคราะห์ไว้เท่านั้นเท่านี้ อย่างเช่น อาทิตย์มีกำลัง ๖ จันทร์มีกำลัง ๑๕
เขาเชื่อว่าพระพรหมสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้นมา อย่างเช่นว่า ใช้ราชสีห์ ๖ ตัว สร้างเป็นพระอาทิตย์ พระอาทิตย์จึงมีกำลัง ๖ ใช้นางฟ้า ๑๕ ตน สร้างเป็นพระจันทร์ พระจันทร์จึงมีกำลัง ๑๕ ดังนั้น..ส่วนใหญ่กำลังดาวนพเคราะห์จึงเป็นไปตามสิ่งที่นำมาสร้าง ว่าเอามาเท่าไร โบราณเขาได้ผูกไว้เป็นโคลงว่า อาทิตย์หกต่อตั้ง........พรรษา จันทร์สิบห้าคณนา......นับได้ อังคารแปดพุธา.......สิบเจ็ด เสาร์สิบกำหนดให้......โลกรู้ กำลัง พฤหัสบดีสิบเก้า...........สืบสนอง อสุรินทร์สิบสอง................เช่นชี้ ศุกร์ยี่สิบเอ็ดกอง...กอปรเกตุ เก้านา ทวยเทพนพเคราะห์นี้......ท่านเลี้ยง รักษา เขาบอกเอาไว้ชัด ๆ เลย โดยเฉพาะถ้าเราศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ จะพบว่าดาวราหูไม่มี เพราะราหูก็คือโลกเราเอง ดาวราหูจึงกลายเป็นดาวนพเคราะห์เทียมตามหลักโหราศาสตร์ ก็คือ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์ ถ้าพูดไปก็จะไม่เข้าใจ ให้เข้าใจแค่ว่ากำลังของดาวนพเคราะห์ เกิดจากการที่เขาเอาสิ่งต่าง ๆ มาสร้าง อย่างเช่น ใช้กระบือ ๘ ตัวสร้างพระอังคาร พระอังคารก็เลยมีกำลัง ๘ เป็นต้น" ถาม : แล้วคนที่เกิดวันอังคารเหมือนกระบืออย่างไรครับ ? ตอบ : อึด ถึก และบึกบึน..! ถาม : กระบือไม่โง่ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่โง่ เป็นบุคคลที่รักสงบต่างหาก น่าจะไปนิพพานได้ง่าย เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาอาละวาดขึ้นมา คนก็จะตายเสียเปล่า ก็เลยต้องยอม ๆ ให้คนใช้งานไป |
ถาม : แต่ก็แปลกนะครับ คนเกิดวันไหนก็เป็นไปตามบุคลิกลักษณะนั้น ๆ
ตอบ : บอกแล้วว่าเป็นสถิติ พราหมณ์เขาเก็บสถิติมาต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี พอเก็บสถิติได้มากพอ ก็สรุปออกมาเป็นศาสตร์ บรรดาพราหมณาจารย์เขาสรุปออกมาเป็นโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง แยกต่างหากออกมาจากดาราศาสตร์ ถ้าว่ากันตามหลักของพระพุทธศาสนาก็คือ บุคคลที่ทำบุญทำกรรมกันมาใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ฉะนั้น..สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิตเขาก็จะเกิดคล้าย ๆ กัน เต็มที่ก็จะใกล้เคียงกันสักประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นท่านที่ได้ทิพจักขุญาณ ก็จะสามารถรู้ได้แม่นยำถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีพวกนอกเหตุเหนือผลสัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่น พวกที่เลือดบ้าเยอะ ถึงเวลาแล้วก็ฝืนดวง |
ถาม : เรื่องกฎของกรรม ถ้าเราเข้าไปบ่ายเบี่ยงกฎของกรรม เราต้องรับผลประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ?
ตอบ : ไปเบี่ยงกรรมของเขาประมาณ ๑ ส่วน ก็จะได้รับเองประมาณ ๑๐ ส่วน ถาม : ผมฟังผิดหรือเปล่า ทำไมผลมันเยอะขนาดนั้น ? ตอบ : เพราะอย่างนี้จึงได้เป็นเรื่องที่น่าทำ ทำหนึ่งได้สิบ หายากนะ..! |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่วัดท่าซุง ตอนที่เดินบิณฑบาตแถวบ้านหัวตะพาน ซึ่งห่างจากวัด ๒-๓ กิโลเมตร มีชาวบ้านเขาหิ้วตะกร้ามาพร้อมกับข้าวต้มมัด ๔๐ มัด พอเขาใส่บาตรมาเราก็หิ้วไป
เดินบิณฑบาตไปบ้านที่สอง เขาก็มีตะกร้าพร้อมกับข้าวต้มอีก ๔๐ มัด เราก็ร้อง "เฮ้ย..!" พอเขาเห็นเราร้องเฮ้ย เขามองดูจึงเข้าใจ บอกกับเราว่า "เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ค่อยถวายครับ" เขาก็หิ้วไปเก็บ เราจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่า "หลวงพ่อธรรมจักรมาเข้าฝัน ใครที่มีลูกหัวปีเป็นผู้ชาย ให้ถวายข้าวต้มมัด ๔๐ มัด ไม่อย่างนั้นจะเกิดอันตรายแก่ลูกตัวเอง" อาตมาอยู่วัดท่าซุงมาหลายปี หลวงพ่อธรรมจักรท่านเข้าฝันชาวบ้านหลายรอบเหมือนกัน เขาก็ทำตามกันทั้งเมือง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าฝันบอกว่า ให้ไปขอเงินเขาคนละหนึ่งบาท ให้ได้ ๒๙ บาท แล้วนำไปถวายพระเป็นสังฆทาน ให้ทำเฉพาะสำหรับคนเกิดปีมะ อย่างเช่น มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม เป็นต้น" |
ถาม : หลวงพ่อธรรมจักรคือใคร ?
ตอบ : หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่วัดธรรมมูล เขาว่าท่านลอยน้ำมา เป็นพระรูปยืน สูงประมาณ ๑ เมตร ๘๐ ซม.ได้ ถาม : ท่านเข้าฝันคนเดียวหรือว่าหลายคน ? ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่คนเขาเชื่อมาก เพราะท่านขลังจริง ๆ เท่าที่สังเกตทุกครั้ง วิธีแก้ไขของท่านก็คือให้คนทำบุญ ประเภทไปขอเงินเขา บังคับให้ขอคนละบาทเท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้ ก็แปลว่าต้องไปขอเขาอย่างน้อย ๆ ๒๙ คน อันดับแรก ได้ทานเพราะให้เงินเขา อันดับสอง คนขอเอาเงินไปถวายสังฆทาน ก็มีบุญอีกรอบหนึ่ง อีกประการคือ คนขอต้องลดมานะตัวเอง จึงไปขอเขาได้ ดูลีลาของท่าน มีลีลาการสอนแบบพระจริง ๆ เขาจะมีการอุ้มหลวงพ่อธรรมจักรไปสรงน้ำทุกปี ถ้าปีไหนไม่อุ้มท่านไปสรงน้ำ ท่านจะลงไปเอง ที่เขารู้ก็คือ เขาบอกว่าไม่รู้ท่านลงไปตอนไหน ตอนที่ท่านขึ้นมา ท่านก็ยืนอยู่ที่เดิม มีแนวน้ำเปียก ๆ ขึ้นมาจากท่าน้ำและมีสาหร่ายติดที่พระบาทด้วย โดยเฉพาะหน้าเลือกตั้ง นักการเมืองของชัยนาทต้องไปขอพรหลวงพ่อธรรมจักร ก็เลยสงสัยว่า หลวงพ่อท่านจะช่วยใครดี เพราะเขาไปขอกันทุกคน เรื่องชาวบ้านแห่ถวายของพระ มาเดือดร้อนอีกทีก็ตอนที่พันเอก (พิเศษ) เสนาะ จินตรัตน์ ตายแล้วฟื้น ที่เขาบอกว่า ตายไปแล้วไม่มีน้ำกิน พระที่วัดท่าซุงก็เลยเจอขวดน้ำคนละโหล เวลาพระบิณฑบาต โยมถวายไม่ได้มองหน้าพระเลย ว่าพระจะแบกไปได้อย่างไร ฉะนั้น..อย่าให้อะไรมันฮือฮาขึ้นมา ฮือฮาขึ้นมาเมื่อไรพระเดือดร้อนทุกที |
ถาม : ในการฝึกมโนฯ การที่เอาจิตไปกราบพระข้างบน กิริยาของจิตต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็นึกว่าเรากราบ ถาม : มีความรู้สึกว่า ข้างในเรามองเห็นท่าน แต่ไม่ได้มีเราคนเดียว มีคนอื่นด้วย ก่อนเข้าก็จะมีท่านที่เฝ้าอยู่หน้าประตู แต่ปกติเข้าไปจะไปอยู่หน้าองค์พระเลย จะเหมาะไหมคะ หรือเข้าออกต้องทักทายคนที่เฝ้าก่อน ? ตอบ : ถ้าสามารถรู้เห็นได้ชัดเจน ก็ทักทายหรือทำความเคารพให้ครบทุกท่าน ถ้าการรู้เห็นไม่ชัดเจน เรามุ่งที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้อยู่ เราไปเทวดาท่านก็หลีกให้เอง ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะไปเหยียบท่านเข้า ถาม : เกรงใจท่านที่อยู่ก่อน ตอบ : ตัวอย่างมีมาแล้ว โดยเฉพาะท่านท้าวสัจจพรหม ท่านมีสัจจะจริง ๆ ด่าตามหลัง "อีห่านี่..ไม่ดูใครเลย..!" ถาม : ในจังหวะที่เข้าไปในวิมานองค์ท่าน จะมีจุดที่เป็นที่ของเราอยู่แล้ว ก็จะไปนั่งตรงนั้น บางทีเราใจร้อนเกิน ก็จะไปอยู่หน้าพระ บ่นไปเรื่อย กลัวว่าจะโดนบ่นตามหลังอีกหรือไม่ ? ตอบ : ไม่ต้องห่วง เพราะถ้าเขาบ่นเราก็ไม่ได้ยิน ถาม : ใช่ค่ะ แต่นึกเกรงใจหลวงพ่อ ตอบ : ท่านย่าบอกว่า ขึ้นไปอย่าลืมนึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยู่องค์เดียว เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาก็ให้ขออนุญาตพระ ขออนุญาตเทวดาท่านเข้าไปด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ฝ่าวงล้อมเข้าไป จนเขาแตกกระจายกันหมด แล้วจะมีเสียงบ่นเข้าหูท่านย่าว่า "หลานท่านอีกแล้ว..!" ถาม : บังเอิญว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่เกรงว่าครูบาอาจารย์จะโดนบ่น ตอบ : ถ้าจิตละเอียดสามารถรับรู้ได้ ก็ควรจะทำตามขั้นตอนจ้ะ |
ถาม : การที่ขึ้นไปข้างบนพระนิพพาน เราขออนุญาตท่านให้เทวดาที่ปกปักรักษาเราขึ้นไปด้วย จะเหมาะหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ได้..และเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะเรื่องของพรหมเทวดา ท่านที่อยู่สูงท่านลงมาชั้นต่ำกว่าได้ แต่ท่านที่อยู่ชั้นต่ำกว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ท่านขึ้นไปไม่ได้ เราขึ้นไปลักษณะนั้น แล้วเราเป็นผู้เชิญท่านไป เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง อาตมาทำเรื่องนี้มานานแล้ว ทำด้วยความขี้เกียจของตัวเอง จนกระทั่งหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน ก็เลยรู้ว่าของเราขี้ตรงร่องพอดี เราทำมานานแล้ว หลวงพ่อท่านก็เคยทำมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง ที่อาตมาบอกว่าขี้เกียจ ก็คือ พอนาน ๆ ไป ความตื่นเต้นในเรื่องการท่องเที่ยวก็หมดลง เหลือแค่ไปแล้วอยากอยู่ที่นิพพานเลย ที่อื่นไม่อยากไป จากที่ไปกราบพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวด ผู้มีพระคุณต่าง ๆ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็ขี้เกียจ ใช้วิธีขึ้นไปบนนิพพานแล้วน้อมจิตเชิญท่านทั้งหลายมา แล้วเราก็กราบท่านที่นิพพานเลย ทำอย่างนั้นเป็นประจำ เคยคิดเหมือนกันว่าเราทำถูกหรือเปล่า ? พอได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องพาเทวดา นางฟ้า พรหมไปนิพพาน ก็เห็นว่าวิธีการคล้าย ๆ กัน แสดงว่าเรามั่วถูกมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าใครเบื่อเที่ยวจะใช้วิธีการเดียวกันได้ ถาม : ขอพาท่านไป คือ ไม่ต้องสนใจว่าท่านจะติดตามเราหรือไม่ ? ตอบ : ท่านกลับเองได้ ขอให้ท่านไปได้ก็พอ ถาม : เทวดาท่านขออนุญาตขึ้นไปเองไม่ได้หรือคะ ขนาดเรายังขอเองได้เลย ? ตอบ : บางทีเรื่องของวาระบุญวาระกรรมบางอย่าง ก็บังไว้ไม่ให้ท่านรู้เรื่องพวกนี้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากการปฏิบัติธรรมรุ่นที่สองที่ผ่านมา ทำให้บรรดาชาวบ้านที่ปกติแล้วอย่างไรก็ได้ กระตือรือร้นขึ้นมาอีกเยอะ เพราะรู้ว่าถ้ามาไม่ทันจะโดนตัดรายชื่อออกไป โดนไปไม่กี่ครั้งเดี๋ยวเขาก็ชิน
แบบเดียวกับตอนแรกที่หัดให้เขาเวียนเทียนตอนสองทุ่ม เขามาไม่ทันกันหรอก เราเวียนรอบที่สามเสร็จแล้ว เขาค่อยมาเวียนต่อท้าย พอโดนไป ๒ - ๓ ครั้ง คราวนี้ก็มาเร็วขึ้น สาเหตุที่เวียนเทียนตั้งแต่สองทุ่ม ซึ่งถือว่าเป็นเวลาหัวค่ำของเขา มีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลแรก ก็คือ ถ้ารอค่ำกว่านั้น ฝนอาจจะตก ประการที่สอง พวกวัยรุ่นที่บอกผู้ปกครองว่าไปเวียนเทียนที่วัดท่าขนุน แล้วมาไม่ถึงวัด พ่อแม่เขาจะได้รู้ว่า วัดท่าขนุนเลิกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ถ้ากลับเกินเวลานั้น จะได้จัดการกับลูกได้ถูก" |
ถาม : ท่านโตเทยยพราหมณ์ท่านได้รับพยากรณ์แล้ว ทำไมชาตินั้นท่านจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : เรื่องการพยากรณ์ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องไม่ตกนรก ได้รับพยากรณ์ หมายความว่า ท่านจะต้องตรัสรู้ในระยะเวลานั้น ๆ แต่บุญและกรรมที่สร้างมาไม่ได้หมายความแน่ ๆ ว่า จะขึ้นหรือลง ถาม : น่าจะเที่ยงแท้แล้ว ตอบ : เที่ยงแท้แล้วว่ามีโอกาสลงแน่นอน..! จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไทย สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล เขาจะใช้เป็นลักษณะฉายา โตเทยยพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ไทยชื่อนายโต บอกชัด ๆ เลย สมัยก่อนเขาแยกแยะด้วยฉายา อย่างท่าน ลกุณฏกภัททิยะ ก็คือ ท่านภัททิยะหลังค่อม ภัททิยะศากยราชา คือ ท่านภัททิยะที่เป็นราชาของชาวศากยะ เป็นต้น |
ถาม : วันที่ ๕ ธันวาคม ผมตั้งใจจะบวชครับ แต่ถ้าเกิดบวชแล้วไปร่วมธุดงค์ที่วัดอื่นด้วยจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะได้ แต่ไม่อนุญาตให้ไป บวชไม่ทันไรก็ไปเลยผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๕ พรรษาจึงจะไปได้ ถ้าจะบวช ๕ ธันวาคม ก็โปรดดูด้วย ต้องจัดงานเอง และก็บวชเองด้วย เพราะ ๕ ธันวาคม ตรงกับวันที่อาตมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ |
ถาม : ที่ท่านสอนเดินจงกรม หนูเดินไปเรื่อย ๆ แต่กำหนดไม่ถูกค่ะ ไม่รู้จะจับลมหายใจควบด้วยอย่างไร ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาให้สติกำหนดรู้อยู่กับการเคลื่อนไหว ไม่ใช่อยู่กับลม เขาใช้สมาธิแค่ไม่เกินอุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าไปกำหนดลมจะเกินอุปจารสมาธิ ยิ่งถ้าเป็นปฐมฌานจะเดินไม่ได้ เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เราจะก้าวไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น ให้กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ถาม : เราสามารถใช้วิปัสสนาญาณเข้าไปในการพิจารณาได้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้ามีความสามารถพอก็ได้ ถาม : เอาตัวอะไร เป็นการวัดผลสำเร็จ สมมติตอนบ่ายกำลังง่วง เดินจงกรมแล้วหายง่วง ถือว่าใช้ได้แล้วใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถือว่าใช้ได้แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น บางทีก็ไม่ใช่ความง่วง แต่เป็นถีนมิทธะนิวรณ์มารบกวน บางทีเวลาเช้านี่แหละ บางคนเดินแล้วยังเซเลย จะหลับให้ได้ เพราะสภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่หยาบเกินไปเพราะไม่เคยซักซ้อมมาก่อน จะตัดหลับท่าเดียว ถาม : พอเดินจงกรมได้ ๑๕ นาที แล้วมากำหนดนั่งต่อ จิตจะควบเป็นฌานเลย เหมือนจะมีกำลังมากกว่าปกติ ตอบ : เพราะว่าเรากำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า เราไม่ส่งจิตไปไหนจึงไม่ทำให้เสียกำลัง เมื่อไม่เสียกำลังเท่ากับเราสั่งสมกำลังได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลาจะใช้งานก็รวดเดียวได้เลย |
พระอาจารย์บอกว่า "สาเหตุที่เหรียญทำน้ำมนต์มีขนาดใหญ่ เพราะตั้งใจให้ไว้ทำน้ำมนต์ ไม่ได้ตั้งใจให้แขวน เป็นเหรียญที่ตั้งใจทำจริง ๆ เพราะในชีวิต วิชาที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดก็อันนี้แหละ คือไปรับกรรมแทนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น..ตัวเองยิ่งแย่เท่าไร ของก็ยิ่งขลังเท่านั้น..!"
|
ถาม : เวลาปฏิบัติไป รู้สึกมันสวนกับทางโลก เราทำงานไม่ได้เลย
ตอบ : แสดงว่าคุณทำผิด การปฏิบัติธรรมเราไปตามกรอบของศีล ทำไมจะไปกับทางโลกไม่ได้ ? ถาม : เวลาเราทำงาน เราใช้พลังบางอย่างเพื่อที่จะปลุกเร้าทีมงานให้เกิดความรู้สึกขึ้น ใจเราก็เห่อตาม ตอบ : เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน แสดงว่าคุณแบ่งเวลาไม่เป็น คุณจะอยู่กับกรรมฐานตลอด ก็ทำงานไม่ได้สิ ไปปรับใหม่ เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างให้ใจอยู่กับกรรมฐาน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ถาม : หลัง ๆ เวลางานจะเยอะขึ้น ก็เลยลองถอดกำลังใจบางส่วน แล้วก็ทำกับงาน พอกำลังใจบางส่วนทำกับงาน รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา วุ่นไปหมด ไม่สงบ ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้น เดี๋ยวก็ต้องทิ้งงานแล้ว ถ้าเราอยู่กับความสงบจนชินก็จะอยู่กับงานไม่ได้ ต้องทิ้งงานมาเข้าวัด ดูจังหวะดี ๆ เสียก่อน ค่อยหาโอกาสเข้าวัด ถาม : พยายามหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าทางบ้าน ? ตอบ : อดทน สู้ต่อไปไอ้มดแดง..! เราจะเห็นความสุดยอดของพระพุทธเจ้า โอวาทของท่าน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขึ้นต้นด้วยขันติ ต้องอดทนอย่างเดียว..! |
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ทำน้ำมนต์ ถาม : อาราธนาอย่างไรครับ ? ตอบ : อิติปิ โสฯ ๗ จบ นะมะพะธะ ๑๕ จบ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระสารีบุตรเป็นที่สุด ให้ช่วยกำจัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายโดยฉับพลัน ระยะนี้ไม่ค่อยแกล้งใคร ไม่อย่างนั้นจะบอกว่า ให้อมเหรียญไว้ ละลายเมื่อไรถึงจะหาย..! |
ถาม : หนูรู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์มันโปร่ง ไม่ค่อยมีเรื่องมีราว
ตอบ : อยากมีมากใช่ไหม ? ถ้าอยากมีมาก ไปแส่หาเรื่องเดี๋ยวก็ได้เอง..! อาตมาเคยระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะเสียท่ากิเลส เพราะกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลยสามปีเต็ม ๆ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนตัวเองอยู่ก้นเหวแล้ว..! ถาม : สามปีท่านระวังตลอด ? ตอบ : ระวังตลอด แต่เหมือนกับว่าทางเดินที่เราเห็นว่าราบ ๆ กลับต่ำลงไปทีละมิลลิเมตรโดยไม่ได้สังเกต เดินไปสามปีจึงไปอยู่ก้นเหวแล้ว ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไร ? ตอบ : รู้ตัวก็ตะกายกลับสิ ถาม : แล้วตอนนั้นท่านรู้ได้อย่างไร ? ตอบ : ตอนนั้นเห็นชัดแล้วว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มตัว เพราะฉะนั้น..ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ามั่นใจว่าดีเป็นอันขาด ถาม : ทำอย่างไรถึงจะมองเห็น ? ตอบ : เร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง ถาม : ตอนท่านทำท่านเร่งอย่างไร ? ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก แล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ถ้าศีลและสมาธิดี เดี๋ยวปัญญามาเอง เพราะฉะนั้น..ประมาทได้ ตอนนี้สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวกิเลสก็เหยียบเราแบน..! ถาม : ตอนที่กิเลสโผล่มานี่น่ากลัวที่สุด ตอบ : น่ากลัวมาก.. ตอนนั้นอาตมาระวังจ้องเอาไว้ทั้งกลางวันกลางคืน สามปีไม่เห็นกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลย แต่ก็ยังโดนหลอกไปเต็ม ๆ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำงานทุกอย่าง ถ้ามีสมาธิช่วย งานจะออกมาดี ถ้าไม่มีสมาธิช่วย ถึงจะมีผลงานออกมาก็ดีสู้เขาไม่ได้
สมัยที่อาตมาเรียนบาลีอยู่ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ให้โอวาทว่า "ท่านเล็ก..เรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธินะ ถ้าทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ..ไปไม่รอด" นี่สำหรับพระและเณรของเราด้วยนะ สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น อย่าทิ้งเด็ดขาด ถ้าทิ้งพอไปเจอของยากแล้วจะกลัว เพราะกำลังใจไม่พอ แต่ถ้าสมาธิทรงตัว ยิ่งยากก็ยิ่งสนุก ท้าทายดีเหลือเกิน" |
ถาม : อย่างเวลาคนเราโกรธ ใจเราเป็นคนโกรธ หรือใจเป็นคนสั่งให้เราโกรธ ?
ตอบ : หลายอย่างรวมกัน อย่างแรก เขาเรียกสัญชาตญาณ คือ ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิด ความรู้นี้ก็คือ กิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์ อย่างที่สอง ก็คือ สภาพจิตของเราที่ปรุงแต่ง ให้ยินดียินร้ายตามอารมณ์นั้น ๆ อย่างที่สาม คือ โมหะ หลงผิดคิดว่าสิ่งนั้นดีจึงได้ทำ เห็นหรือยังว่ามีตั้งหลายอย่างรวมกัน ถาม : แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลาง ๆ ตอบ : ทันทีที่มีการปรุงเมื่อไร ก็จะเสียความเป็นกลาง จะเอียงไปด้านรัก ด้านโลภ ด้านโกรธ ด้านหลง ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เพราะกิเลสแรงกว่า เราจึงโดนกิเลสรั้งไว้ ก็เลยต้องเพาะสร้างกำลังให้แข็งแรง เพื่อที่จะดิ้นหลุดจากกิเลสให้ได้ พอดิ้นหลุดออกมาเสร็จก็ต้องหาทางฆ่ากิเลสให้ได้ด้วย ถาม : สิ่งที่เราสร้างได้ คือ เราสร้างหลักธรรม หรือสร้างอะไร ? ตอบ : จริง ๆ เราสร้างกำลังให้กับใจ กำลังของใจจะเป็นกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา สติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะทำอะไร สมาธิกำลังความมุ่งมั่นจดจ่อที่จะทำให้ได้สำเร็จ และปัญญาหาช่องทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้สำเร็จ |
ถาม : ที่ท่านบอกว่า ให้ใช้ปัญญาหาทางที่ง่ายที่สุดของแต่ละคน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นทางที่ถูกสำหรับเรา ?
ตอบ : ทางที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ย่อมเหมาะกับตัวเรามากที่สุด ถาม : แล้วไม่มีวิธีที่... ตอบ : มี แต่ไม่เหมาะสำหรับเรา แต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละสภาพ แต่ละผู้คน บุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งมาก ทางที่เขาสามารถผ่านได้โดยง่าย แต่เราลองไปบ้างอาจจะปางตายเลย ถาม : แล้วถ้ากำหนดใจเรา..? ตอบ : ค่อย ๆ ย่อง ถาม : ย่องอย่างไรครับ ? ตอบ : อย่างไรก็ได้ให้ถึงเถอะ ก็อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญานั่นแหละ พยายามสั่งสมความดีไว้ อย่าให้ขาดช่วง ถ้าเป็นความดีนิดหนึ่งก็เอา หน่อยหนึ่งก็เอา ว่าไปเรื่อย ถาม : แล้วการสั่งสมสร้าง..? ตอบ : ถ้าทำได้ผลจะมีฉันทะมาก โดยเฉพาะถ้าปีติเกิด เราจะไม่เบื่อไม่หน่าย ทำไปตลอด แต่ถ้าทำไม่ถึงตรงจุดนั้น เดี๋ยวก็ถอยแล้ว |
ถาม : เมื่อวานตอนที่แม่ชีมา ท่านบอกว่าพวกหนูใจร้อน มุทะลุ เป็นอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : อย่างพวกเรา ถ้าอาตมาบอกว่าเสกเพี้ยงเดียวได้เป็นพระโสดาบันทันที ก็เอาเลย..ใช่ไหม ? ถาม : ค่ะ ตอบ : นั่นแหละ..ใจร้อน รอไม่ได้ ถ้าในโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านพาเราไปพระนิพพานหมดแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ความสามารถของเรา ถ้าเราทุ่มเทมากผลก็เกิดเร็ว ถ้าทุ่มเทน้อยผลก็เกิดช้า ถ้าทุ่มเทแล้วจะให้ผลเกิดเร็ว ต้องทุ่มให้ถูกทางด้วยนะ ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าออกนอกแนวของศีล สมาธิ ปัญญา ถึงทุ่มเทไปก็ไม่เกิดผล ถ้าเกิดผลก็กลายสภาพเป็นมิจฉาทิฏฐิไป ดีใจกับคุณแม่ชีท่านด้วย ตอนนี้ท่านสอบผ่านแล้ว คนแก่ได้เปรียบ กิเลสน้อยหน่อย จะมีมากก็ตัวมานะทิฏฐิ อายุ ๘๐ แล้วจะไป รัก โลภ โกรธ หลง กับใครไหว ถ้าเป็นลักษณะของนักปฏิบัติ อายุมากจะได้เปรียบ ถ้าตั้งใจเอาดีจริง ๆ เท่ากับว่า กำลังของราคะ โลภะ โทสะ โมหะจะน้อยกว่า แต่จะมีมากตรงทิฏฐิและตัวอติมานะ กูใหญ่มาก่อน กูอายุมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเจ๊งแน่ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิและมานะ ถือตัวถือตน กลายเป็นตัวกูของกูไป |
ถาม : ตอนที่ท่านปฏิบัติอยู่ ท่านใจร้อนไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาใจร้อนมาก จะเอาให้ได้วันนั้นเลย ในเมื่อจะเอาวันนั้นเลยก็ต้องทุ่มเทมาก ๆ แต่ผลไม่เกิดตอนนั้นหรอก ผลที่ทุ่มเทมาเกิดทีหลัง ถาม : ทำมากี่ปีคะ ? ตอบ : ๑๑ ปี ยังไม่ได้อะไรเลย นอกจากพื้นฐานสมาธิสมาบัติต่าง ๆ ถาม : ๑๑ ปี นี่ยังไม่ได้อะไรเลย ? ตอบ : พวกนั้นไม่ใช่ของที่ต้องการ อาตมาต้องการจะไปนิพพาน ยังแตะไม่ถึงเลย ถาม : ๑๑ ปีได้บวชหรือยังคะ ? ตอบ : ยัง..เป็น ๑๑ ปีที่ไม่ได้ทำอย่างพวกเรา เป็น ๑๑ ปี ที่ทุ่มเทจนคนอื่นเขาว่าบ้ากันหมดแล้ว ทำแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจโลกภายนอกจะเป็นอย่างไร กูรู้ว่าทางนี้ดีกูก็จะไปท่าเดียว |
ถาม : ถ้าเรารู้สึกว่าตอนนี้ใช่แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อีก เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่ใช่แล้วจริง ๆ ?
ตอบ : อย่าเชื่อว่าใช่จริง ๆ เพราะทันทีที่จิตละเอียดกว่าเดิมขึ้นไป ก็จะรู้ว่ายังไม่ใช่นี่หว่า..แล้วเราก็จะไปยึดตรงจุดที่ปัจจุบันว่าใช่ตรงนี้อีก เพราะฉะนั้น..อย่าเพิ่งไปยึดว่าใช่ จนกว่าจะเข้านิพพานจริง ๆ แล้วค่อยใช่ ถ้ายังมีร่างกายนี้อยู่อย่าเพิ่งเชื่อ ถาม : ในส่วนของสมาธิเองนั้น สำหรับบุคคล ๆ หนึ่ง ก็จะมีวิธีการที่จะใช้ตัวสมาธิได้แตกต่างไป เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละตัวควรจะใช้ตอนไหน ? ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก แล้วขณะเดียวกันก็พยายามที่จะระงับเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยศีล และกรรมฐานคู่ศึกของอารมณ์ตอนนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเห็นผู้หญิงสวย ก็เอาอสุภะกรรมฐานแทรกไปทันที ซึ่งจะต้องมีความคล่องตัวในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวในเรื่องเดียว ก็ต้องวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทันที |
ถาม : เรื่องของอรูปพรหม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมก็ไปตามบุญของเขา หมดบุญเมื่อไรก็จะไปเสวยกรรมตามที่ตัวเองทำมา อรูปพรหมนี่อันตรายที่สุด เพราะว่าหมดบุญแล้วมีแต่จะลงต่ำ ไม่มีขึ้นสูง |
ถาม : สติ เป็นตัวระลึกหรือเป็นตัวตัด ?
ตอบ : การตัดต้องใช้กำลังสมาธิช่วย สติเพียงรู้เท่าทัน แต่กำลังไม่พอที่จะไปตัดหรอก ต้องอาศัยกำลังจากสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะมั่นคง ว่องไวไปด้วย ถาม : ถ้าเราตัดได้ แสดงว่าเกิดจากสติ หรือเกิดจากสมาธิ ? ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญา จะต้องไปด้วยกัน ปัญญาเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษ สติจึงบอกให้หยุด โดยใช้สมาธิเป็นตัวรั้ง ถาม : การที่เราเห็นว่าไม่ดี เห็นว่าเป็นตัวนำมาซึ่งความทุกข์จริง ๆ อย่างนั้นจะถือว่าเป็นปัญญา ? ตอบ : เห็นว่าไม่ดีนั่นแหละ ตัวถือว่าเป็นโทษ เป็นตัวปัญญา |
ถาม : คลำไปเจออารมณ์หนึ่งค่ะ อารมณ์ที่เหมือนกับว่าเราพ้นจากตรงนั้นแล้ว คือเราไม่มีความวิตกกังวล ใคร่ครวญในสิ่งใด สิ่งนั้นทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราอยู่เหนือกว่าแล้ว
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อ กติกาใดที่ทำให้เราก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น ต้องทำแล้วทำอีก ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าเราทิ้ง กำลังอาจจะตกลงมา ถ้าตกลงมาคราวนี้ก็จะชอกช้ำอยู่คนเดียว |
ถาม : เขานั่งกรรมฐานก่อนนอน พอเขาจะนอนเขาได้กลิ่นธูปหอมเย็น ๆ ลอยมา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้จุดธูปจุดเทียนอะไรเลย
ตอบ : พวกกลิ่นธูปส่วนใหญ่จะเป็นพรหม จริง ๆ แล้ว กลิ่นคล้ายพวกกระแจะจันทน์ แต่เราไปเข้าใจว่าคล้ายกลิ่นธูป ถ้าเป็นเทวดากลิ่นจะหอมสดชื่นเหมือนดอกไม้ แต่ไม่เหมือนกับดอกไม้ใดบนโลก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนพวกเราไว้ บางทีพวกเราอาจจะไม่รู้กันก็คือ พยายามเลี่ยง อย่าไปนอนหน้าหิ้งพระ หรือนอนหน้าพระประธาน เพราะเวลาดึก ๆ เทวดานางฟ้าท่านลงมาไหว้พระ ถ้าเราไปนอนขวาง ก็ไปเกะกะท่าน ท่านไหว้พระไม่ได้
อาตมาเองชอบนอนหน้าหิ้งพระ เวลานอนยังต้องหลบมาด้านข้าง ไม่นอนตรงกับพระพุทธรูป" ถาม : เว้นช่วงแล้วปูผ้าให้ท่านได้ไหม ? ตอบ : ได้..อาตมาใช้วิธีนอนตะแคงข้างให้ เพราะชอบนอนหน้าหิ้งพระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอได้รับคำเตือนก็เลยใช้วิธีนี้ คือหลบออกข้างไป |
พระอาจารย์แจ้งว่า "กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๔ จะลงไปที่วัดรัตนานุภาพ ของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) เป็นเพื่อนรุ่นน้องของอาตมาเอง อยู่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส วันทอดกฐินตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ส่วนปี ๒๕๕๕ ไปภาคตะวันออก ปี ๒๕๕๖ ไปภาคอีสาน
ถ้าไปถึงนราธิวาสแล้ว อย่าลืมแวะไปที่วัดโกลกเทพวิมล ที่สุไหงโกลก หลวงพ่อเอียดท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่า ท่านนอนพนมมือมรณภาพ แต่สังขารท่านเขาเผาไปแล้ว เขาเลยสร้างรูปหล่อไว้ในลักษณะพนมมือ นอกจากนี้ควรแวะไปกราบสังขารของ หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม ท่านนั่งมรณภาพ เขายังเก็บสังขารท่านไว้ในลักษณะท่านั่ง วัดอยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่ไกลมาก ไหน ๆ จะไปเสี่ยงตายที่นราธิวาสทั้งทีก็เอาให้คุ้ม ขากลับถ้าเราวิ่งผ่านสงขลา ก็จะผ่านหาดใหญ่มีวัดโคกสูงของหลวงพ่อใบ ภทฺทิโย ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า มีโอกาสก็แวะ ไปทั้งทีไปด้วยความยากลำบากก็ไปให้คุ้ม เอาให้พวกทหารคุ้มกันประสาทกลับไปเลย จะต้องออกวัตถุมงคลเพื่อปักษ์ใต้โดยเฉพาะหรือเปล่า ? ถ้าออกจะต้องไปรับที่นราธิวาสเลยนะ มีเคล็ดลับตอนขับรถ ก็คือ ควรขับกลาง ๆ ถนน จะปลอดภัยกว่า เพราะส่วนใหญ่เขาจะเจาะฝังระเบิดเข้ามาเลนเดียว รู้ไหมว่าพวกคุณเลือกวัดที่นราธิวาส อาตมาชอบมากเลย เพราะเป็นคนชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ ถ้าเลือกวัดที่ง่าย ๆ แล้วจะน่าเบื่อมาก ถ้าเลือกวัดของหลวงปู่อำนวย อาตมาคงจะต้องไปเครื่องบินแล้วโดดร่มลงเองเพื่อความมันในชีวิต..! เพราะวัดอยู่ข้างสนามบิน ออกจากสนามบินไม่กี่ก้าวก็ถึงวัดแล้ว เริ่มเก็บสตางค์เพื่อบูชาวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้ เตรียมประมูลวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้กันได้แล้ว กฐินงวดนี้เขาจะเอาไปสร้างโบสถ์วัดรัตนานุภาพ" |
"วันก่อนที่พุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนาที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หลวงพ่อมนัสท่านขีดเส้นแบ่งสมบัติกัน ท่านรับผิดชอบด้านตะวันออก เหนือ ใต้ ส่วนเราให้รับผิดชอบด้านตะวันตก เหนือ ใต้ แบ่งกันดูแลประเทศไทยคนละซีก พูดง่าย ๆ ว่าให้เอาภาคตัวเองเป็นหลัก ส่วนเหนือกับใต้ถือเป็นของแถม
ตกลงกันว่าสามเดือนเป็นอย่างน้อยต่อครั้ง จะต้องสร้างบุญใหญ่เพื่อส่วนรวม ปีหน้าวัดท่าขนุนก็จะมีปฏิบัติธรรม ๕ รุ่น ขณะเดียวกันก็ยังมีบวชพระอีก ๔ รุ่น ก็น่าจะแทบมีการสร้างบุญใหญ่ทุกเดือน วันนั้นไม่ได้คุยอะไรกันมากมายหรอก คุยกันแค่นี้ นับเป็นเรื่องแปลก พี่น้องสองคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่งประเทศ อาตมาผ่านไปวัดของท่านก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวท่านโยนงานให้ วันหนึ่งผ่านไป ท่านฝากโน้ตมาว่า "คราวหน้าถ้าผ่านมาแล้วไม่แวะวัดกู มึงไม่ต้องมาเลย..!" ในที่สุดก็หนีไม่พ้น เจอกันในงานนั้น พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ตัวจริงก็ใจเย็นเหลือเกิน ไม่ขยับสักที ขอให้โยมทั้งหลายทราบว่า เรื่องของการปฏิบัติในหน้าที่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของอาตมา เพราะอาตมาเองไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แต่เป็นการติดตามหลวงพ่อมาระยะยาวนาน การสร้างบารมีก็เลยคล้ายเป็นพระโพธิสัตว์ ฉะนั้น..ต้องรอตัวจริงเขามาทำหน้าที่ แต่ตัวจริงก็สมกับเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาท่านเยอะเหลือเกิน ก็เลยยืดเวลาไปเรื่อย พวกนี้ท่านจะต้องเกิดอีกนาน ในเมื่อเกิดอีกนาน เวลาของพวกท่านจึงเยอะ หรือท่านเห็นเราทำอยู่ ท่านจึงฉวยโอกาสอู้ก็ไม่รู้ อาตมาได้ยืนยันกับทุกคนว่า อาตมาไม่ใช่ตัวจริง แค่ทำหน้าที่แทนเท่านั้น เหมือนรักษาราชการแทน" |
"ตอนนี้ที่ดู ๆ อยู่ ท่านที่มาสายพระโพธิสัตว์จะไปหนักอยู่ทางภาคเหนือ ในเมื่อหนักอยู่ทางภาคเหนือ จะลงมาภาคนี้ก็ไกลเกิน ขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณท่านก็อายุมากเหลือเกินแล้ว กลายเป็นว่า ของที่มีอยู่ก็มีแต่จะหลุดมือไป ส่วนของใหม่ก็ยังโตไม่ทันเสียที
จะดูว่ากฐินปักษ์ใต้จะมีนิมิตไปทางไหน เพราะวันงานกฐินที่วัดหนองหญ้าปล้อง นกอินทรีใหญ่คู่นั้นบินลงทางทิศใต้ ทันทีที่ยกพระเกศมาลาสมเด็จองค์ปฐมขึ้น แล้วพระสวดชยันโต อินทรีใหญ่คู่นั้นมาจากไหนไม่รู้ บินวนทักษิณาวรรต พอพระชยันโตเสร็จเขาก็บินลงทิศใต้ไป ขอยืนยันว่าเป็นนกอินทรีเพราะตัวใหญ่มาก ๆ แต่ถ่ายรูปติดมานิดเดียว ที่อาตมาขึ้นลงสลิง ถามว่ากลัวไหม ? ต้องบอกว่าเคยกลัว แต่หลังจากที่เราเข้าใจว่า ความตายเป็นของที่ต้องมาถึงสัตว์ทุกรูปทุกนามเป็นปกติอยู่แล้ว ความกลัวก็ห่างไป แล้วถ้าเรามั่นใจว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงตายไปเราไปดีแน่ ก็ยิ่งกลัวน้อยไปอีก แค่โหนสลิงขึ้นไป ๓๗ เมตร ประมาณตึก ๑๒ ชั้นกว่า เรื่องเล็ก..!" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:59 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.