![]() |
"นอกจากจะมีความสามารถได้รับการคัดเลือกตัวเข้าไปแล้ว ยังมีผลงานที่โดดเด่นอีกต่างหาก ก็คือ พราหมณ์ ๑๐๗ คน ทำนายมหาปุริสลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะออกเป็นสองทางว่า ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ถ้าอยู่ครองราชย์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุด อาวุโสน้อยที่สุด ฟันธงว่าต้องบวชและเป็นศาสดาเอกของโลกเท่านั้น..!
ดังนั้น..พอมีข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ โกณฑัญญะพราหมณ์จึงชักชวนลูกหลานของบรรดาพราหมณ์ที่ไปทำนายลักษณะออกบวชตามด้วย ได้มา ๔ ท่าน ก็คือ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ ทั้งห้าท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้เจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยหวังว่า ถ้าเจ้าชายบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไร โอกาสก็เป็นของเรา ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลตอนอายุ ๓๕ ปี เราลองเอา ๓๕ + ๑๖ แสดงว่า อย่างน้อยท่านอัญญาโกณฑัญญะก็อายุ ๕๐ เศษ ๆ แล้วตอนนั้น ส่วนพราหมณ์อีก ๑๐๗ คน ตายหมดไม่มีใครเหลือ เหลือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์คนเดียว และได้ลูกหลานของคณะที่ทำนายมาอีก ๔ รวมเป็นคณะ ๕ เรียกว่าปัญจวัคคีย์ ด้วยความที่ท่านสั่งสมความรู้ และเวลาบรรลุมรรคผลก็บรรลุก่อนใคร ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก พระพุทธเจ้าจึงตั้งให้ท่านเป็นเอตทัคคะทางรัตตัญญู รัตตัญญู แปลตามศัพท์ว่า รู้ราตรีนาน แปลความหมายเป็นไทย ก็คือ อยู่นานมีประสบการณ์มาก พระพุทธเจ้าใช้ชีวิตในเพศฆราวาส ๒๙ ปี ใช้ชีวิตในเพศนักบวชเพื่อแสวงธรรมอีก ๖ ปี บรรลุมรรคผลแล้วทรงความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๔๕ ปี อีกสองปีข้างหน้าจะครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาจะหาโอกาสสร้างวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกงานนี้สักชุดหนึ่ง" |
ถาม : การว่าคาถาต้องใช้สมาธิระดับไหนจึงจะได้ผล ?
ตอบ : ต่ำสุดต้องเป็นอุปจารสมาธิขึ้นไป ยิ่งเป็นสมาธิสูงเท่าไรก็ยิ่งมีผลมากเท่านั้น การใช้คาถาต้องการพื้นฐานสมาธิมาก โบราณเขาสอนให้กลั้นใจว่า เพราะตอนที่เรากลั้นใจจิตจะนิ่ง ความนิ่งในระดับนั้นจิตเริ่มเป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าคนที่กลั้นใจเพื่อสร้างสมาธิต่อไปจะเสีย เสียตรงที่ว่า พอถึงเวลาภาวนาตามดูลมแล้วจิตจะไม่นิ่ง เพราะชินกับการกลั้นใจไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ฉุกเฉินจริง ๆ อย่าไปกลั้นใจ |
ถาม : ควรจะมีการตั้งศาลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีศาลควรจะตั้ง ที่ใช้คำว่า "ควรจะ" เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละเขตจะมีพระภูมิเจ้าที่หรือภุมเทวดารักษาอยู่แล้ว เราตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ แต่ถ้าเราไม่ตั้งศาล เหมือนกับเราไม่ได้ให้ความเคารพท่าน ไม่ได้ให้ความนับถือท่าน ถึงเวลาสิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ พอกรรมมาถึง แทนที่จะมีการผ่อนหนักเป็นเบาหรือทำให้เบาเป็นหาย เราก็ต้องรับไปเต็ม ๆ ถาม : แล้วถ้าแถวบ้านมีศาลใหญ่ เจ้าที่ใหญ่ แล้วเรากราบไหว้ ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้ ถือว่าเราบูชารวมกับเขาไป ถาม : เวลาตั้งมีฤกษ์มียามไหมคะ ? ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาล เขาใช้ฤกษ์วันพฤหัส ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือ เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้นและเดือนสิบสอง เดือนแปดและเดือนสิบข้างแรม เขาไม่นิยมเพราะถือว่าอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ควรตั้งศาล |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ดินว่า "สมัยนี้ถ้ามีที่มีทางต้องรักษาไว้ให้ดี ทุกอย่างเราสร้างได้ แต่ที่เราสร้างไม่ได้ ปลูกก็ไม่งอก รดน้ำก็ไม่งอก ยกเว้นใครอยู่ริมน้ำ ตะกอนที่น้ำพัดพามา อาจจะทำให้พื้นที่งอกเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง
ในปัจจุบันจำนวนคนมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินไม่ได้งอกเพิ่มขึ้นเลย เพราะฉะนั้น...เรื่องของที่หรือบ้านควรจะรีบมีไว้ก่อนเลย อย่างเช่น ระหว่างผ่อนรถกับผ่อนบ้าน ให้เลือกผ่อนบ้านไว้ก่อน ยอมลำบากโหนรถเมล์ไปก่อน เพราะว่ากว่าจะผ่อนรถเสร็จก็เหลือแต่ซากรถ แต่ถ้าผ่อนบ้านเสร็จ บ้านก็เป็นของเรา ต่อไปที่ดินจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจำนวนประชากรจะมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินยังมีอยู่เท่าเดิม รุ่นหลาน รุ่นเหลนจะเจอที่ดินราคาแพงโหดร้ายมาก สมัยอาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาสองแสนบาท เดี๋ยวนี้ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาอย่างต่ำสามสี่ล้านขึ้นไปแล้ว" |
วันเสาร์ช่วงเช้า บ้านอนุสาวรีย์ไฟดับ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไฟดับก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า บางทีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะการสร้างบ้านสร้างเรือนสมัยนี้ ไม่ได้ดูความเหมาะสมของภูมิประเทศ บ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่มักจะไปสร้างตึกตามแบบของยุโรปที่เป็นเมืองหนาว
พอถึงเวลาถ้าขาดไฟ เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่กันได้ แล้วการที่เราพึ่งพาทุกอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาขาดไปก็จะทำอะไรไม่ได้ ลองนึกดูว่าในปัจจุบัน อย่างในกรุงเทพฯ ถ้าไฟดับแล้วเรายังไม่ได้หุงข้าว จะมีสักกี่คนที่ไม่ต้องใช้หม้อไฟฟ้าแล้วหุงข้าวได้ ? นึกถึงตอนไปบึงลับแลครั้งแรก ๆ ครั้งนั้นพาพระวัดท่าซุงท่านไปด้วย มีท่านโย เป็นต้น มีญาติโยมตามไปเกือบ ๒๐ คน พอไปถึงอาตมาบอกว่า "ใครหุงข้าวเป็นช่วยหุงหน่อย จะได้เป็นมื้อเย็นของพวกคุณ" ปรากฏว่าโยมเขาถามว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" นั่นอยู่กลางป่านะ.. ท้ายสุดพระอย่างอาตมาต้องไปหุงข้าวเลี้ยงโยม..!" |
ถาม : หนูสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคืน แต่ทำไมหนูฝันร้ายทุกคืนคะ ?
ตอบ : การแผ่เมตตาแล้วยังฝันร้าย แสดงว่าจิตยังไม่เป็นสมาธิ ถ้าไม่อยากฝันต้องภาวนาให้สมาธิทรงตัวแล้วค่อยนอน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะความฝันบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตที่ฟุ้งซ่าน ฝันร้ายนั้น เกิดจากเราเก็บความเครียดจากตอนกลางวัน เอาไปฝันในตอนกลางคืน ความฝันจะมีธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุวิปริต คือ กินมาก ท้องไส้ไม่ดี ธาตุไม่ปกติ จะฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต คือ ความดีความชั่วที่เราทำมา แสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ คือ เก็บเอาความเครียดจากหน้าที่การงานที่วุ่นวายตอนกลางวันเอาไปฝัน เทพสังหรณ์ คือ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้ ถาม : แล้วหนูแผ่เมตตาทุกคืน ทำถูกใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทำถูกแล้ว ให้ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ไม่ต้องไปกังวลกับฝัน แผ่เมตตาบ่อย ๆ เดี๋ยวชำนาญแล้ว จิตเป็นสมาธิทรงตัวก็จะเลิกฝันไปเอง ยกเว้นกรรมนิมิตหรือเทพสังหรณ์ที่นาน ๆ จะมาสักครั้ง |
ถาม : ทำอย่างไรจะยอมรับกฎแห่งกรรมได้ ?
ตอบ : เป็นพระอรหันต์สิครับท่าน..! ถาม : ตอนนี้ผมว่าจิตยังดิ้น ๆ อยู่ครับ ตอบ : เป็นธรรมดา ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังดิ้นอยู่ ถ้าเข็ดแล้วจิตก็จะยอมรับและปล่อยวางไปเอง ที่ยังไม่เข็ดเพราะยังไม่เห็นโทษอย่างแท้จริง ถ้าเห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข็ดไปเอง |
ถาม : คนในที่ทำงาน เขาหน้าดำคร่ำเครียด ขี้โมโห และชอบด่า
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติ เขาเครียดกับงานนี่ ถาม : เขาเป็นมากเกินไป ตอบ : เรารู้..แต่คนที่เป็นอยู่จะไม่รู้ เวลาเครียดขึ้นมา กระทบอะไรก็ปึงปังไปเลย จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ถ้าเราเห็นก็ดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อรักษากำลังใจของเรา คนที่เขากำลังใจไม่มั่นคง ถึงเวลาเขาเป็นอย่างนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะผู้ชายก็มีวัยทอง แต่วัยทองของผู้ชายไม่ชัดเจน ถ้าเกิน ๔๕ ขึ้นไปแล้ว ประเภทขี้หงุดหงิด ขี้โมโห แปลว่าเริ่มวัยทองแล้วนะ..! ถ้ารู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นก็หลบ ๆ ไป ถ้าตอนไหนอารมณ์เขาดี ๆ ค่อยเข้าไปหา ต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง |
ถาม : ครูบาวิฑูรย์ท่านเข้านิโรธกรรม ผู้ที่ทำบุญเป็นคนแรก จะได้รับอานิสงส์ไปทั้งหมดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนี้ท่านตั้งใจสงเคราะห์เป็นส่วนรวม ก็เฉลี่ยกันไป ยกเว้นว่าตั้งใจสงเคราะห์ใครคนเดียว แล้วคนนั้นได้มีโอกาสทำ ถาม : ไม่ได้จำกัด ? ตอบ : งานลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่สงเคราะห์ใครคนเดียว เพราะประกาศเป็นสาธารณะ ในเมื่อเป็นสาธารณะ ใครทำก็มีส่วน ต่อให้ย่องไปทำคนเดียวก่อน คนทำตามหลังก็ได้เท่ากับเรา |
ถาม : ผมจะทำกรรมฐานกองไหนจึงจะได้ฌานครับ?
ตอบ : กองไหนก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ เท่านั้นเอง และอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ชอบกองไหนทำไปเลย ถ้ามัวแต่ถามอยู่ ชาตินี้ก็ไม่ได้หรอก ถาม : ผมไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ไม่แน่ใจแล้วจะไปได้อะไร คนทำกรรมฐานต้องมั่นใจตัวเอง ขาดความมั่นใจก็ไม่ต้องทำ ไปนอนตีพุงดีกว่า ถาม : ทำกสิณไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ถ้าอยากก็ทำ ถามคนอื่นเสียเวลาไปตั้งนาน ถ้าไปลงมือทำเอง ป่านนี้คงจะเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว มัวแต่ไปไล่ถามคนอื่นอยู่เลยไม่ได้อะไรสักที ถาม : กสิณกองไหนก็ได้หรือครับ ? ตอบ : เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอ่าน ชอบกองไหนก็ทำกองนั้น ความชอบแปลว่าของเดิมต้องมีอยู่แล้ว ถ้าชอบหลายกองก็เลือกกองที่ชอบที่สุด หรือไม่ก็กองที่หาองค์กสิณได้ง่ายที่สุด |
อาตมาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ ๆ สมัยเพิ่งจะเรียนมัธยม ไม่เคยสงสัยปัญหาเหล่านี้เลย คิดจะทำก็ลุยเลย ไม่เคยไปถามใคร ถ้ามัวแต่ถามอยู่ เกิดไม่มีคนให้ถาม แล้วจะทำอย่างไร ?
นึกถึงเณรของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนเณรให้ถักขาบาตร เณรก็ซน ดูบ้างเล่นบ้าง ถึงเวลาหลวงปู่ก็โยนตอกให้ถัก เณรจำวิธีทำได้นิดหน่อย ทำแล้วไปต่อไม่ได้ ก็เลยถาม "หลวงปู่..ทำอย่างไรต่อครับ ?" เงียบ... "หลวงปู่ตรงนี้ทำอย่างไรครับ ?" เงียบ... พอตอนเย็น หลวงปู่บอกกับเณรว่า "พรุ่งนี้บิณฑบาตด้วยกัน" รุ่งขึ้นเณรออกบิณฑบาตตามหลวงปู่ ออกบิณฑบาตแต่เช้า จึงมีบ้านที่เขายังทำกับข้าวไม่เสร็จ ลูกสาวตะโกนถามแม่ว่า "แม่ ๆ แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่ก็เงียบ "แม่แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่เลยตะโกนตอบไปว่า "โคตรแม่มึง..ถ้ากูตายห่าแล้วมึงจะถามใคร..!" พอแม่ด่าเสร็จหลวงปู่หันมายิ้มกับเณร ยิ้มในความหมายว่า "ถ้าปู่ตายแล้วเณรจะถามใคร ?" ต้องอย่างนั้นจึงจะเรียกว่ารู้จริง รู้ขนาดว่าจะไปเอาคำตอบให้เณรจากไหน ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาถาม ไปลงมือทำได้เลย ถาม : มีผลไหมครับ ? ตอบ : ถ้ายังมัวแต่ถามอยู่แบบนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีผล..! |
มีท่านหนึ่งกำลังอ่านหนังสือเรื่องสาส์นลับที่สาบสูญ ของแดน บราวน์อยู่ พระอาจารย์จึงถามว่า "ได้อ่านผลงานของแดน บราวน์ ครบทุกเล่มหรือเปล่า ?
ลองไปอ่านดู เราจะเห็นว่ารหัสลับดาวินชีดังมาก ดังไปทั่วโลก ทำให้คนตั้งความหวังกับเขามาก พอมาเป็นล่ารหัสมรณะ กับ แผนลวงสะท้านโลก ปรากฏว่าไม่ได้อย่างนั้น กระแสเขาก็เลยเบาไประยะหนึ่ง ชื่อเสียงเขาก็ผ่อนลงไประยะหนึ่ง เขาจึงตั้งใจสร้างผลงาน สาสน์ลับที่สาบสูญ ขึ้นมา เพื่อที่จะดึงชื่อเสียงกลับมาอีกวาระหนึ่ง ลองมานึกถึงว่า เราที่เป็นนักปฏิบัติ ถึงขนาดมีนักปฏิบัติบางสายเขากล่าวเลยว่า "ถ้าคุณเคยทำความดี โดยเฉพาะสมาธิในระดับสูง ๆ ได้ครั้งหนึ่ง ต่อไปคุณอย่าหวังเลยว่าจะทำได้อีก เพราะไปอยากได้อย่างนั้นเสียแล้ว" แบบเดียวกับหนังสือ พอเขาเขียนเรื่องนี้สนุกมาก เราก็ไปตั้งความหวังว่าเรื่องอื่นจะต้องสนุกแบบนี้ ซึ่งปกติแล้วนักเขียนจะรักษามาตรฐานได้ยาก ที่เห็นก็มีผลงานของหวงอี้ ที่เขียนแล้วมีแต่มาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น...จำไว้ว่า ถ้าหากทำอะไรได้แล้ว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นก็ได้ แต่ตอนภาวนาอย่าให้อยากแบบนั้น ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน" |
"ถ้าสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ ต่อไปภาวนาเมื่อไรก็ก้าวหน้า แต่ถ้าเราไปตั้งใจอยากจะให้ดีเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปเลย
ไปเจออาจารย์บางสายท่านบอกว่า "ลูกศิษย์ทำได้ถึงนั่นถึงนี่ พอมาผมฟันธงเลยว่า คุณไม่มีวันทำได้อีก" ถามว่าแล้วเป็นไปอย่างที่อาจารย์ว่าไหม ? ท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบนั้น ก็คือไปอยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างนั้นอีก ทำให้เสียผลการปฏิบัติไป ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติทุกระดับ จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ตามดู ตามรู้ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ก้าวหน้าเร็ว กว่าอาตมาจะคลำเจอตรงจุดนี้ได้ก็เสียเวลาไปสามปีเต็ม ๆ ต้องการแค่ปฐมฌานตัวเดียว ภาวนาทุกวัน เอาตัวอยากนำหน้าก่อนทุกวัน ตามดูว่านี่ลักษณะวิตกนะ นี่ลักษณะวิจารณ์นะ ตอนนี้ปีตินะ ขนลุกซ่า ๆ เดี๋ยวต้องเป็นอย่างนั้น เป็นขั้นตอนที่เราเคยผ่านมาก่อน ก็เลยตามจี้อยู่ตลอด จิตจึงฟุ้งซ่านไม่รวมตัวเสียที วันที่ได้เป็นวันที่หมดอารมณ์แล้ว เบื่อแล้ว ทำมาตั้งสามปีไม่ได้เสียที เราจะภาวนาก็แล้วกัน จะเป็นหรือไม่เป็นช่างมัน ผัวะเดียวได้เลย" |
พอดีวันเสาร์ มีคนนำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงถือโอกาสกล่าวถึงเรื่องสุนัขหรือหมา ให้ฟังว่า "หลังจากที่อาตมาเลี้ยงหมา แล้วหมารักอาตมามากเกินไป จึงไม่ยอมเลี้ยงสัตว์แบบใกล้ชิดอีกเลย
ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าหมาเขาจะซื่อสัตย์กับเราขนาดนั้น อาตมาไม่อยู่วัดสิบวัน เขาอดเกือบตาย เพราะเขาไม่ยอมกินอะไร คนอื่นเอาอาหารให้ก็ไม่กิน ไปนอนซุกอยู่ที่ผ้าเช็ดเท้าหน้ากุฏิ พอเรากลับไปเขาค่อยมีชีวิตชีวากินข้าวกินน้ำได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่เลี้ยงแบบใกล้ชิดอย่างนั้นอีก ตอนช่วงที่อาตมาอยู่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ตอนนั้น จะมีหมาอยู่ ๔-๕ ตัว มีโป๊ยก่ายเป็นหัวหน้า ถึงเวลากินเจ้าพวกนี้จะไปกินกับคนอื่น เพราะเราไม่เลี้ยงแล้ว แต่พอกินอิ่มก็จะกลับมานอนตรงขั้นบันได ตัวละขั้น ๆ นอนเฝ้าหน้ากุฏิ หลวงพ่อท่านบอกว่า หมาที่มีขนใต้คาง ๑ เส้น ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น ส่วนใหญ่มาจากพรหมหรือเทวดา จะเป็นหมาแสนรู้ พูดรู้เรื่องทุกตัว แต่ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปแล้ว ไม่ค่อยฟังใคร ถ้าขนเส้นเดียวจะเป็นราชาหมา เวลาไปไหนหมาอื่นจะยอมลงให้ ในชีวิตอาตมานี้เจออยู่แค่ ๒ ตัวเท่านั้น อีกอย่างก็คือ หมาที่มาจากพรหมหรือเทวดา ถ้าเจ้าของมาจากที่ต่ำกว่า เขาจะไม่อยู่ด้วย เขาจะหาทางหนีไปอยู่กับคนอื่น สมัยที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานใหม่ ๆ นั้น ยังไม่มีหมาสักตัวหนึ่ง อยู่ไปประมาณสองปีได้หมามา ๑๑ ตัว มีบางตัวสวยมาก ๆ เป็นหมาใหญ่ขนยาว หุ่นเหมือนหมาป่า เจ้าของเขาหวง พอเขาเห็นหมามาอยู่กับเรา เขาก็ล่ามโซ่ลากกลับไป แต่ถ้าหลุดจากโซ่เมื่อไรเขาก็จะวิ่งมาอยู่กับเรา เพราะฉะนั้น...ถ้าใครเลี้ยงหมา แล้วหมาหนี ต้องพิจารณาตัวเองว่าบารมีเรายังสู้หมาไม่ได้ ถ้าหากเราต่ำกว่า เขาไม่อยู่ด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอง ท่านว่าเขาจะหนีไปหาคนที่เสมอกันหรือสูงกว่า ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้สงสัย พอท่านบอก เราจึงเข้าใจ ตอนแรกก็นึกว่าเรามีอาหารให้เขากิน ที่ไหนได้เจ้าของเลี้ยงเขาดีกว่าเราอีก เขามาอยู่กับเราแล้วอด ๆ อยาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังหนีมาอยู่ด้วย" |
"ถ้าเรื่องหมาต้องถามหลวงพี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) หลวงพี่ชลอเขาเลี้ยงหมา มีเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท และพี่ชลอเขาจะเป็นคู่รักคู่แค้นของเจ้าใหม่
เจ้าใหม่เป็นหมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง ผิดท่าผิดทางเมื่อไรเป็นกัดแหลก ขนาดหลวงพ่อตี เขายังกรรโชกใส่ เราก็กะจะเล่นงานให้ร่วงอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อบอกว่า "ปล่อยมัน..เจ้านี่ชาติก่อนเป็นทหาร ตายตอนกำลังตะลุมบอนอยู่ เพราะฉะนั้น..มันแยกมิตรแยกศัตรูไม่ออกหรอก" เห็นเราเงื้อไม้ เจ้าใหม่กระโดดใส่เลย ตบะของเขาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก ขนาดอาตมาที่ว่ามั่นคง..ไม่กลัวนะ ยังรู้สึกว่าไอ้นี่น่ากลัว เวลาเช้า ๆ เจ้าใหม่จะวิ่งนำรถหลวงพ่อเข้ามาที่หน้าตึก อาตมาจะยืนรอรับหลวงพ่อที่หน้าตึก เจ้าใหม่จะพุ่งเข้าใส่เลย จะมีท่านน้อยยืนอยู่ด้วย ท่านน้อยจะรีบตะโกน "เฮ้ย ..ไอ้ใหม่ กูเอง ๆ..!" ต้องบอกเขาก่อน แต่เราไม่ได้บอก พอเขาพุ่งจะเข้าใส่ เราก็ยืนเฉยเขาก็หยุดคำรามอย่างเดียว แต่ถ้าเราขยับหนีตอนนั้นเขาจะกัดทันที เพราะอาตมาขี้เกียจส่งเสียง จึงได้แต่มอง มีปัญญาก็กระโดดมาสิ กะว่าเตะทันอยู่แล้ว..!" |
"ใครอยากรู้เรื่องความดุของเจ้าใหม่นี้ ต้องไปถามหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน) หลวงพี่วิรัชกับเจ้าใหม่เป็นคู่รักคู่แค้นกัน ในฐานะที่หลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ เจ้าใหม่เป็นเจ้านาย เจ้าใหม่นึกอยากจะกัดเมื่อไรก็กัดเลย
เจ้าใหม่เอาแต่กัดหลวงพี่วิรัช หลวงพี่วิรัชจึงไปสั่งคนงานเหลาไม้ไผ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๒ เมตร กะว่าจะตีกับเจ้าใหม่ พอถึงเวลาหลวงพี่วิรัชถือไม้มา เจ้าใหม่โฮกใส่ หลวงพี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อน ไม้หลุด ปล่อยให้เจ้าใหม่กัดแต่โดยดี... เราลองคิดดูว่า คนที่ติดอาวุธพร้อมรบ พอหมาแฮ่ใส่ แล้วมืออ่อนตีนอ่อน ร่วงไปให้มันกัด หมาตัวนั้นต้องน่ากลัวขนาดไหน ? เจ้าใหม่นี่สมกับเป็นนักรบจริง ๆ พอเราตีเขาจะดึงตัวหนีนิดเดียว ไม่ได้หนีไกล พอดึงตัวให้พ้นปลายไม้แล้วกระโดดสวนเลย..! เจ้าใหม่เห็นหลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ แต่เห็นหลวงพี่ชลอเป็นศัตรู เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าใหม่ข้ามแดน เดินไปทางด้านหลังหอฉันหลังใหม่ ก็คือ ท่าน้ำที่ลงไปเลี้ยงปลากัน เขตนั้นกลุ่มพวกเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท เขาเป็นใหญ่อยู่ พอเจ้าใหม่ไป หมา ๕ - ๖ ตัวที่นั่นก็ลุย เจ้าใหม่ก็สู้ แต่มาเป็นเรื่องตรงที่ว่า หมา ๕ - ๖ ตัวรุม ๑ ตัว ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว แต่พอหมาตัวเองเสียท่าถูกกัด หลวงพี่ชลอกลับตีเจ้าใหม่เพื่อช่วยหมาของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าใหม่จำสุดชีวิตเลย เจอหลวงพี่ชลอเมื่อไรจะต้องกัดให้ได้..! ถ้าหลวงพี่ชลอออกมาตรงหน้าตึก ไม้ต้องไม่ห่างมือ เจ้าใหม่นั้นน่ากลัวขนาดที่ว่า เมื่อกัดต่อหน้าไม่ได้เพราะพี่ชลอมีไม้คอยตีกันไว้ เขาก็จะอ้อมไปไกลแล้วย่องมาข้างหลัง..! พอเห็นแล้วอาตมาก็คิดว่า เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ นั้น กัดกินสรรพสัตว์ทุกหมู่ทุกเหล่าจริง ๆ ขนาดหมายังโกรธยังพยาบาทขนาดนั้น อย่างว่าแหละ..เจ้าใหม่เป็นทหารเก่า และตายตอนที่กำลังตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะฉะนั้น ใครขยับผิดท่าผิดทาง โดนกัดทั้งนั้น เจ้าใหม่ก็เลยทำสถิติกัดโยมที่จะมาเลี้ยงเพลพระไปเยอะมาก " |
"ท้ายสุด คณะกรรมการสงฆ์ก็ลงมติว่า เอาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ดีกว่า เขาตั้งใจว่าจะช่วยกันต้อนเจ้าใหม่เข้ากรง แล้วเอามาปล่อยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวเทศบาลก็จัดการเอง..!
ทันทีที่ลงมติเสร็จ เรื่องไปถึงหลวงพ่อ จริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านรอจังหวะอยู่ ท่านบอกว่า "หมาดุมีประโยชน์ ขโมยมันจะเกรง เอ็งก็ปล่อยตอนกลางคืนสิ ขโมยจะได้เข้าวัดไม่ได้ ถ้าจะขังก็เอาเฉพาะกลางวันเท่านั้น" ดังนั้น..โครงการพาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ จึงต้องระงับ ครั้นจะไปขังแล้วปล่อยตอนกลางคืน ก็คงจะไม่มีใครขังหรอก พี่ ๆ เขาก็ไม่มีใครไม่เอา เราก็ไม่เอา กลัวว่าจะเจอหมาอาฆาตคอยตามราวี กลายเป็นว่าต้องปล่อยท่านใหม่ให้กร่างทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนเดิม อาตมาต้องติดอาวุธยาว..ใช้หนังสติ๊ก ถ้าเจ้าใหม่แฮ่ใส่โยมเมื่อไรอาตมาก็ยิง..! เจ้าใหม่นี่อึดมากนะ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ไม่เคยร้อง จะสะดุ้งหน่อยเดียว แล้วก็หลบไป เพราะเขารู้แล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ก็จะเลี่ยงไปเอง วันดีคืนดีคุณใหม่ก็เป็นขี้เรื้อน ขนร่วงทั้งตัว อาตมาเห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงไปซื้อกำมะถันผงมา เอากำมะถันผงมาสัก ๒ กำมือใหญ่ ๆ เปิดน้ำมันพืช น่าจะประมาณ ๑ ลิตร เทลงไปให้หมดขวด คลุกให้เข้ากันก็จะกลายเป็นน้ำเหลือง ๆ ใช้ทาหมาขี้เรื้อน ทาให้ทั่ว ๆ อาตมาจัดการทาให้เจ้าใหม่ เขาก็รู้ตัวนะ ยอมให้ทา อาตมาพยายามรีบทาแล้ว แต่เจ้าใหม่เป็นขี้เรื้อนทั้งตัว โดยเฉพาะแถวซอกขาและใต้ท้อง จึงทำให้ช้า พอทา ๆ ไปสักพักหนึ่งยาออกฤทธิ์จะเริ่มร้อน พอร้อนเจ้าใหม่ก็ดิ้น พอดิ้นอาตมาก็ล็อกไว้เพื่อทายาต่อ พอล็อกก็โดนกัดเลย..! เมื่อรู้สึกว่าอันตราย เจ้าใหม่จะกัดเลย อาตมาโดนกัดไป ๑๑ เขี้ยว เข้าเฉพาะแถวฝ่ามือ ส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาเป็นรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เข้าเนื้อ หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า นอกข้อของดีกันไม่ได้ เพิ่งจะมาเชื่อก็ตอนโดนท่านใหม่กัดนี่แหละ และที่กัดได้ถึง ๑๑ เขี้ยว เพราะอาตมาถือว่า มึงมีปัญญากัดก็กัดไป กูจะต้องทาให้เสร็จก่อน ก็ทายาไปเรื่อย ตกลงว่าบ้าทั้งหมา บ้าทั้งคน เท่ากับเป็นคู่รักคู่แค้นกัน" |
"หลังจากโดนท่านใหม่ฝังเขี้ยวได้ไม่นาน ท่านใหม่ก็หายไปเฉย ๆ
ปกติแล้วทุกเช้าเขาจะวิ่งนำรถหลวงพ่อ เพื่อมาส่งท่านที่หน้าตึก วันแรกที่หายไปคนก็ยังไม่สงสัย วันที่สองคนก็เริ่มระแวง เริ่มตามหาแล้ว วันที่สามตอนเช้ามืด ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาท่านหนึ่งเดินทะลุประตูเข้ามา หน้าเป็นหมาเหมือนท่านใหม่เลย ท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องตามหานะครับ ผมตายแล้ว" อาตมาถามว่า "เอ็งเป็นอะไรตายวะ ?" เขาบอกว่า "ตกน้ำตายครับ" แล้วก็ทำภาพให้ดู ก็คือ แก่แล้วยังซนอยู่ พอเห็นสวะลอยน้ำมาก็ไปงับแล้วยื้อดึงขึ้นมา สวะกองใหญ่มากเขาดึงไม่ขึ้น ตัวเองก็เลยถลำตกน้ำไป ตะกายได้ไม่กี่ที ด้วยความที่แก่แล้วไม่มีแรง เขาก็เลยจมน้ำ ตอนที่เขาทำภาพให้ดู เป็นวันที่สามแล้ว ลอยอืดแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งภาพมาชัด ก็เลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องชัดขนาดนั้นก็ได้ แล้วมีธุระอะไร ?" เขาบอกว่า "ถ้าจะสงเคราะห์ ก็ช่วยถวายสังฆทานให้ด้วย" แล้วเขาก็บอกว่า "บอกพวกทหารตำรวจด้วยว่าไม่ต้องตามหาหรอก ผมตายแล้ว" ตอนเช้าพอส่งหลวงพ่อขึ้นตึก อาตมาบอกพวกทหารตำรวจว่าท่านใหม่ตายแล้ว เขามาบอกว่าตายแล้วไม่ต้องไปหาหรอก" |
"พวกทหารเขาเชื่อที่อาตมาพูด แต่มีคนสงสัยก็คือหลวงพี่วิรัช
ตอนบ่ายหลวงพ่อออกรับแขก หลวงพี่วิรัชจึงฉวยโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า "พระเล็กบอกว่าท่านใหม่ตายแล้วนะครับ" หลวงพ่อบอกว่า "เออ..ตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติจะต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะเขาเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ที่ไปอยู่ดาวดึงส์เพราะว่า ถ้าอยู่ชั้นดุสิตเดี๋ยวโดนนิมนต์ไปเทศน์ที่เทวสภา ท่านใหม่ขี้เกียจเทศน์เลยไปหลบอยู่ดาวดึงส์ อีกไม่นานก็จะมาเกิดใหม่" ส่วนใหญ่เขาจะไปถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ ไม่มีหรอกที่จะเชื่อเราเสียทีเดียว สรุปว่า พอท่านใหม่ตาย แทนที่จะไปหาคนอื่น กลับมาหาคู่รักคู่แค้นอย่างอาตมา ขอให้ถวายสังฆทานให้ด้วย วันนั้นอาตมาก็ฝากทหารไปถวายสังฆทาน ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องมาหน้าเป็นหมาด้วย เขาบอกว่า "ถ้ามาหน้าเป็นเทวดา เดี๋ยวจะจำไม่ได้" ลองนึกถึงคนที่แต่งตัวเป็นลิเกแล้วมีหัวเป็นหมา จะดูตลกแค่ไหน ? นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสนั้นกินทั้งคน ทั้งสัตว์ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกรูปนาม ไม่เว้นเลย หมู หมา กา ไก่ก็กินหมด" |
"เดือนที่แล้วขายท่านแมน เดือนนี้ขายท่านใหม่ เดือนหน้าขายท่านไหนดี ?
หมาที่วัดท่าซุงร้ายมากเลย เป็นผีแล้วมาหลอกพระเป็นประจำ มีอยู่ตัวหนึ่ง กลุ่มเดียวกับพวกโป๊ยก่าย ชื่อ คุณหญิง คุณหญิงโดนรถหน้าวัดชนตาย ปกติแล้วเวลาเรียกเขา เขาจะตอบรับด้วยการยิ้ม เวลาที่หมายิ้ม เขาจะทำหูรี่ไปข้างหลัง ถ้าสังเกตเป็นจะรู้ว่าเขากำลังยิ้ม วันนั้นอาตมาออกเวรตอนหกโมงเย็น พอเดินลงมาจากหน้าตึกหลวงพ่อได้ ๕ - ๖ ก้าว คุณหญิงก็เดินมาหา อาตมาก็ทักว่า "เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ?" เขาก็ทำหูรี่ยิ้มเหมือนเดิม อาตมาไม่มีเวลามาก เพราะต้องรีบไปทำวัตรเย็น ก็รีบจ้ำเดินไป พอเดินไปได้ ๔ - ๕ ก้าว เพิ่งรู้ตัว นึกขึ้นมาได้ "อ้าว..เจ้านี่ตายไปแล้วนี่หว่า..!" หันกลับมามองไม่มีหรอก ตรงนั้นเป็นลานซีเมนต์กว้าง ๆ ไม่มีทางที่เขาจะหลบพ้นสายตาเราไปได้ แต่มองแล้วไม่มีเลย พอเรารู้ทันเขาก็ไปแล้ว พวกผีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีหมาหรือผีคน เขาจะหลอกเฉพาะตอนเราเผลอ แล้วก็หลอกคนที่ไม่รู้ อย่างเช่น คนตายแล้วญาติเขายังไม่รู้ว่าตาย เขาก็จะไปหา แต่ถ้าญาติรู้ว่าตายแล้วเขาไม่ไปหรอก ฉะนั้น..หมาวัดท่าซุงตายแล้วยังมาแหกตาหลอกอยู่เรื่อยเลย ตอนที่ทักเขา ลืมไปว่าเขาตายแล้ว" |
ถาม : เขาไปหาคนที่เขายังไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร ไปหลอกหรือคะ ?
ตอบ : เขาคิดถึง เขาเลยมาเยี่ยม อีกอย่างก็คือ ถ้าเขามาลักษณะนั้น เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่แล้ว ตอนนั้นอาตมากำลังจะไปทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐานพอดี ช่วงแรก ๆ ก็ต้องตาลีตาเหลือกรีบไปทำวัตร พอช่วงหลังเลยใช้วิธีขออนุญาตครูนนทาใช้ห้องน้ำในตึก สรงน้ำเสร็จก็รอเวลา ๖ โมงเย็นจึงไปเรียกหลวงพี่ไพบูลย์ให้มารับเวรแทน เราค่อยรีบจ้ำอ้าวไปวิหาร ๑๐๐ เมตร อาตมาจะเป็นพระ ๑ ใน ๒ รูปในวัดที่เดินเร็วไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เพราะส่วนใหญ่ท่านอื่น ๆ จะนั่งรถรางหรือรถอีแต๋นไป ส่วนอีกรูปหนึ่งที่เดินไปวิหาร ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ท่านอยู่บ้านข้าง ๆ วัด คราวนี้เห็นหรือยัง พวกรั้น ๆ อยู่วัดไม่ค่อยได้หรอก ตอนขาไปใช้วิธีเดิน ตอนขากลับเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงอาศัยรถอีแต๋นกลับ ตรงนั้นแหละจึงได้เกิดการทดสอบมโนมยิทธิกัน ทางออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า พอพ้นจากรั้วแล้วจะเป็นถนนเลย ท่านสำออยก็จะขับรถอีแต๋นพากลับ ท่านสำออย ชื่อนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะหลวงพ่อเรียกว่า "ท่านดุ่ย" หลวงพ่อบอกว่า "ไปเมื่อไรก็เห็นทำแต่งานดุ่ย ๆ ไม่สนใจใคร เลยเรียกว่าท่านดุ่ย" ท่านดุ่ยก็จะคอยถามอาตมาเวลาข้ามถนนว่า "หลวงพี่..ขึ้นถนนได้หรือเปล่า ?" พออาตมาบอกว่า "ได้..ไปเลย" เขาก็แทบจะยกล้อขึ้นถนน ไม่มีเบรกเลย ถึงได้บอกว่า ถ้าวันไหนอาตมาพลาดขึ้นมา ก็คงได้ตายกันทั้งคันรถ..!" |
"สมัยนั้นจะมี '๕ เกลอหัวแข็ง' มีหลวงตาวัชรชัยอยู่ด้วย ๕ เกลอหัวแข็งไม่เป็นที่ชอบใจของใครเขาหรอก เพราะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาลำบาก เขาจะอู้ก็ไม่ได้ เพราะห้าคนนี้แบกระเบียบอยู่ แล้วดันปากกล้าทั้งนั้นเลย
ถึงเวลาประชุมสงฆ์ พอพูดถึงระเบียบวัดเมื่อไร เขาต้องมองหน้า ๕ คนนี้ เพราะเราจะปฏิบัติตามระเบียบ ไม่ยอมผ่อนปรนให้แม้แต่ข้อเดียว ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ถือว่าหลวงพ่อท่านสั่ง ท่านสมปองกับหลวงตาไปสายใต้ด้วยกัน ก็เลยไปกันได้ ตอนหลังหลวงตาเห็นว่าสายใต้แถวยาวมาก บางทีไป ๑๐ - ๒๐ รูป หลวงตาจึงแยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด ยังเหลืออาตมากับท่านสมปองเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม พอฝนตกคนอื่นเขาไม่ไปกัน แต่อาตมากับท่านสมปองไป สองคนครองผ้าสามผืนเหมือนกัน กลับมาก็เปียกโชก บิดให้พอหมาด ๆ แล้วห่มผ้าไปฉันแบบเปียก ๆ ที่วัดท่าซุงมีระเบียบอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้ากลับมาไม่พร้อมกันยังฉันไม่ได้ คนอื่นเขาก็สรรเสริญเจริญพรเรา จนตัวเองเดินกลับแล้วรู้สึกอิ่ม ๆ เลย เราก็สงสัยว่าทำไมสายแล้วจึงยังไม่หิว ที่แท้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาช่วยเจริญพรให้ ข้อหาเสือกขยันเกินเหตุ..!" |
"ตอนที่รอนานที่สุด เป็นตอนที่รอรุ่นน้องที่ชื่อท่านประสิทธิ์ ท่านประสิทธิ์ฉายา สุธมฺมยาโน
วันนั้นกลางคืนฝนตกหนัก พอตอนเช้าฝนหยุด ท่านประสิทธิ์ต้องไปบิณฑบาตทางเรือ น้ำกำลังหลากออกจากคลองยาง แล้วหักโค้งไปทางมโนรมย์ ไหลลงไปทางเขื่อน ปกติเวลาบิณฑบาต ท่านประสิทธิ์จะพายเรือไปทางมโนรมย์ กลับมาถึงวัดราว ๗ โมงครึ่ง วันนั้น ๘ โมงแล้วท่านประสิทธิ์ก็ยังไม่มา ๘ โมงครึ่งแล้วก็ยังไม่มา เวลาเกือบ ๙ โมงท่านประสิทธิ์ถึงกลับมาในสภาพสะบักสะบอม อาตมาถามว่า "ทำไมช้าจริงวะ ?" ท่านบอกว่า "ตอนไปเร็วมากเลยครับ พอเรือถึงน้ำ ก็ไหลปรู๊ดตามน้ำไปเลย แต่ตอนกลับมาต้องทวนน้ำ พายแทบตายก็แทบจะไม่ขยับเลย เหนื่อยแทบเป็นลม จึงต้องเอามือเกาะต้นไม้ข้างชายน้ำดึงเรือมาทีละหน่อย" สรุปว่า วันนั้นไม่ได้ทำวัตรเช้า ปกติวัดท่าซุงทำวัตรเช้าตอนแปดโมงครึ่ง หลังฉันเช้าแล้ว วันนั้นกว่าจะฉันเสร็จก็เกือบเพล เพราะท่านประสิทธิ์มาตอน ๙ โมง" |
"เรื่องที่เล่ามานี้สรุปลงตรงที่ว่า ระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบ ถ้าเรายังรักษาไม่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งเป็นอารมณ์ทางใจที่ละเอียด เราก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน
พระพุทธเจ้าท่านกำหนดระเบียบวินัยอย่างหยาบ ๆ ให้แก่พวกเราก็คือ ศีล ๕ ขยับสูงขึ้นมา ก็คือ กรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ ในเมื่อเรื่องของระเบียบวินัยส่วนตัว หรือระเบียบของสถานที่ เราทำไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความดีอย่างคนอื่นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะว่าจิตของเราหยาบเกินไป ดังนั้น..ใครก็ตามที่ยังไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ ให้พยายามทบทวนและเร่งรัดตัวเองให้รักษาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เป็นศูนย์ไปเลย อย่าลืมว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยนำให้เราเข้าสู่พระนิพพาน" |
ถาม : หนังที่ท่านเล่าเกี่ยวกับญี่ปุ่น ความคับแคบของสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างไร ?
ตอบ : จะเรียกว่าส่งผลก็ได้ แต่ในส่วนบกพร่องก็มีความดีอยู่ เพราะสถานที่คับแคบ ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน เขาก็เลยแก่งแย่งกันจนกระทั่งยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าของโลก ถาม : ตกลงเขามั่นคงแล้วหรือคะ ? ตอบ : จะเรียกว่ามั่นคงก็ไม่ใช่ คือ ตัวบุคคลยังขาดความมั่นคงในจิตใจอยู่ ด้วยความที่ต้องแก่งแย่งชิงดีต่อสู้กัน เพราะสถานที่มีน้อยบุคคลมีมาก ทรัพยากรมีน้อยบุคคลมีมาก ทำให้เขาสามารถแก่งแย่งจนกระทั่งยืนหยัด เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกได้ แต่สภาพจิตใจของตัวบุคคลก็คงไม่มีอะไรเยียวยารักษาได้ ถาม : มีอะไรแสดงให้เห็นว่า คนในญี่ปุ่นเขาขาดความมั่นคงในจิตใจ ? ตอบ : เขาฆ่าตัวตายหมู่กันมาก เหตุที่เขาฆ่าตัวตายเพราะจิตใจไม่เปิดกว้าง คับแคบมาก โดยเฉพาะสมัยก่อนมีการฮาราคีรี ไม่มีการให้อภัยทั้งผู้อื่นและตัวเอง ในเมื่อไม่มีการให้อภัยตัวเอง เห็นตัวเองทำผิดพลาด ก็รับผิดชอบด้วยการคว้านท้องตาย เราอาจจะเห็นเป็นความรับผิดชอบ แต่เราก็ต้องมองเห็นอีกมุมหนึ่งว่า เขาไม่มีการให้อภัยเลยแม้กระทั่งตัวเอง..! |
ถ้าเราไปดูที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก ฆ่าสัตว์ที่มีคุณมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ที่มีศีลมีธรรมมีโทษมากกว่าฆ่ามนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดก็คือ ฆ่ามนุษย์มีโอกาสบรรลุมรรคผลโทษหนักที่สุด
เท่ากับว่าเราไปฆ่าสัตว์ที่มีคุณอย่างยิ่ง โทษก็เลยหนักกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปหลายเท่า ภาษิตจีนเขาบอกว่า ร่างกายผมเผ้าบิดามารดาให้มา ต่อให้เจ้าไม่ยินดีมีชีวิตอยู่ขนาดไหนก็ตาม เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปฆ่าตัวตาย ถ้าพ่อแม่เจ้าไม่อนุญาต แต่อาตมาขอบอกว่าถ้าพ่อแม่อนุญาต ทางธรรมก็ถือว่าผิด..! ปัจจุบันนี้มีบางปัญหาที่ญาติโยมเคยกล่าวถึง ก็คือ พ่อแม่ป่วยหนัก อยู่ห้องไอ.ซี.ยู. ดูแล้วไม่รอดแน่ เราเป็นลูกสั่งถอดสายออกซิเจนได้หรือไม่ ? ขอยืนยันว่าถอดเมื่อไรเป็นอนันตริยกรรมทันที เพราะเท่ากับว่าเราสั่งให้ฆ่าท่าน ถ้าจะไม่รักษาต้องไม่รักษาแต่แรกเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่วินิจฉัยของหมอ ว่าสมควรทำอย่างไร ? ถ้าหมอจะประคองชีวิตอยู่ จะใส่สายระโยงระยางอย่างไรให้หมอใส่ไป ถ้าจะเอาออกให้หมอตัดสินใจไป อย่าไปสั่งเชียวว่าพ่อแม่ทรมานมาก หมอช่วยเอาออกที เพราะคนเราทรมานขนาดไหนก็ตาม โดยสัญชาตญาณความรักชีวิตยังมีอยู่ ความหวังที่จะหายจากการเจ็บป่วยยังมีอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทสิ้นคิดจริง ๆ ไม่มีใครอยากตาย โปรดอย่าได้ทำอนันตริยกรรม เพราะว่าผุดยากเกิดยาก สมัยเด็ก ๆ อาตมากลัวมากเลยเวลามีคนแช่งว่า "ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด" สมัยนี้เมื่อไรเขาจะแช่งให้เป็นจริงเสียที ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดของเรา ความหมายเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดมีที่เดียวคือพระนิพพาน แต่ถ้าผุดยากเกิดยากก็อเวจี |
เรื่องของการทำแท้งก็เหมือนกัน เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถตรวจได้ว่าลูกในท้องพิการ หมอก็มักจะแนะนำให้ทำแท้ง ขอยืนยันว่าถ้าคุณทำแท้ง โทษเท่ากับคุณตั้งใจฆ่าคนเลย..!
คนที่เกิดมาจะสมบูรณ์หรือพิการ ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่เขาทำมา และเขาคงสิทธิ์ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะต้องเกิดมาใช้กรรมก็ตาม เราไปตัดชีวิตเขาเมื่อไร คือเราตั้งใจฆ่ามนุษย์ให้ตาย ถ้าพระแนะนำให้ทำแท้งต้องอาบัติปาราชิกเลย เราจะไปอ้างเรื่องศีลธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมข้อไหนที่แนะนำให้ฆ่าได้ ยกเว้นศีลธรรมของศาสนาอื่น เพราะส่วนใหญ่ที่อ้างก็คือ เด็กเกิดมาจะลำบาก พ่อแม่เสียเวลาในการเลี้ยงดู สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง เด็กพิการทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว นี่มองอย่างโลกตะวันตก ไปมองในแง่ของเศรษฐกิจกำไรขาดทุน อย่าลืมว่าพื้นฐานของพวกเรา คือ พื้นฐานชาวพุทธ เราต้องมองในแง่ของศีลธรรม อย่าไปมองในแง่กำไรขาดทุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ครอบครัวของทางตะวันตกล่มสลาย ถึงเวลาแก่แล้วก็ต้องไปอยู่ที่พักคนชรา ไม่มีลูกหลานคอยดูแล บ้านเราอย่าให้แย่ขนาดนั้นเลย โดยเฉพาะจุดหนึ่งที่น่ากลัวมาก ก็คือ เด็ก ๆ สมัยนี้กร้าวกระด้างกับพ่อแม่ตัวเอง ดื้อ..เถียงพ่อเถียงแม่ ประเภทที่โบราณบอกว่า เถียงคำไม่ตกฟาก น่าตบให้ปากฉีกถึงใบหู..! |
อยากจะบอกว่าประสบการณ์ชีวิต ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา คนไหนทำอย่างไรกับพ่อแม่ เวลาตัวเองมีลูกเมื่อไรได้คืนทันที และได้คืนหลายเท่าด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ?
เคยดื้อกับพ่อแม่เท่าไร พอมีลูกจะดื้อกว่าหลายเท่า เคยเถียงพ่อเถียงแม่ เคยทำร้ายพ่อแม่ หรือทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจเท่าไร ถึงเวลาลูกตัวเองจะทำมากกว่าที่เราทำกับพ่อแม่ เป็นอย่างนี้แทบทุกครอบครัวที่เคยเห็น ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่รักเรา ถึงแม้พ่อแม่จะดุด่าเฆี่ยนตีเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธไปเกลียดท่าน เราต้องคิดดูว่า ถ้าเราไม่มีท่าน เราก็ไม่มีที่เกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นตัวเป็นตนได้ มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ก็ด้วยร่างกายนี้ที่พ่อแม่ให้มา เพราะฉะนั้น..มีโอกาสแล้วทำดีกับท่านไป ขอให้ทุกคนเชื่อว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี แม้ว่าผลนั้นจะมาช้าไปหน่อยก็ตาม |
อาตมาเห็นหลายครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนเจ้าโทสะ ค่อนข้างจะร้ายกาจกับลูกหลานตัวเอง แต่พอลูกตั้งใจทำดีในศีล สมาธิ ปัญญา สั่งสมไปนานเข้า ๆ พอกำลังความดีสูง ก็สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของพ่อแม่ได้
ดังนั้น..ถ้าเป็นไปได้ พ่อแม่ใครยังอยู่ เราควรให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ท่านบ้าง กลับไปถึงบ้าน ต่อให้ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝาก ก็ถามถึงสารทุกข์สุกดิบท่านบ้าง "วันนี้สบายดีหรือเปล่า ? งานการเป็นอย่างไร ? มีคนช่วยไหม ? เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรหรือเปล่า ?" พ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ต้องการให้ลูกสนใจพ่อแม่บ้าง มีครอบครัวคนจีนอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายโทนคนเดียว ทั้งพ่อและแม่เป็นคนขยันทุ่มเท เลี้ยงลูกเติบโตขึ้นมา หาสะใภ้ให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา คนเป็นพ่ออายุสั้นตายไปเสียก่อน เหลือแต่แม่ ปรากฏว่าลูกชายกลับมาถึงบ้าน ไปจ๊ะจ๋ากับเมียตัวเอง แม่นั่งอยู่ปากประตูกลับเดินผ่านไปทุกที เห็นแล้วนึกสะท้อนใจ เหมือนกับแม่เป็นตุ๊กตาเฝ้าหน้าร้านเฉย ๆ เราลองมาคิดดูว่า อย่างน้อย ๆ พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ส่วนคู่ชีวิตของเรามาทีหลังนานมาก แล้วเราไปให้ความสนใจกับคู่ชีวิตมากกว่า นี่ยุติธรรมแล้วหรือ ? ถ้าจะให้ดีก็คือ ให้ความสนใจเท่าเทียมกัน และถ้าเป็นไปได้ ให้ความสนใจพ่อแม่ให้มากกว่า รู้ว่าท่านชอบกินอะไร ถึงเวลาซื้อให้ท่านกินบ้าง มีโอกาสพาท่านไปเที่ยวบ้าง พาไปทำบุญใส่บาตร เข้าวัดเข้าวาตามโอกาสบ้าง ถ้าใครสามารถทำได้จะมีแต่ความเจริญแก่ตัวเอง อย่าไปคิดว่าโลกยุคใหม่ เราทำอย่างนั้นแล้วเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ทำดีกับท่านไว้เถอะ ไม่เสียหลายหรอก ถึงเวลาลูกหลานมีตัวอย่าง ก็จะทำดีกับเราบ้าง |
มีอยู่สมัยหนึ่ง หลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย อาตมาลาหลวงพ่อเพื่อไปดูแลปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ เพราะคนอื่นทำแล้วไม่ถูกใจท่าน ด้วยเหตุหลายประการ
ประการแรก ขาดความศรัทธาในตัวท่าน เห็นท่านเป็นคนแก่ และเป็นคนแก่ที่ป่วยด้วย คนทั่ว ๆ ไปจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย ประการที่สอง ขาดความละเอียดลออ ทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถที่จะดูแลปรนนิบัติคนไข้ได้ดี ประการสุดท้าย ใจไม่สงบ บางทีก็เดินพล่านเป็นชะมดติดจั่น เวลาเราเคาะประตูเข้าไปหา พอหลวงปู่เห็นหน้าก็จะยิ้มชนิดอย่างที่น้อยคนได้เห็น แล้วจะรีบบอกกับพระที่เฝ้าว่า "นิมนต์ท่านกลับได้เลยครับ ท่านเล็กมาแล้ว" ซึ่งเขาจะรีบตะเกียกตะกายกลับเลย เพราะทนรำคาญไม่ได้ บางทีหลวงปู่ก็บอกว่า ท่านก็รำคาญเหมือนกัน เขาเดินรอบห้อง ก๊อก ๆ เหมือนอย่างกับนกเลาะกรง อาตมาลามาดูแลหลวงปู่อยู่ช่วงหนึ่งติดกันหลาย ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางวัดมีระเบียบว่า ให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาเปรียบคนอื่นที่เขาทำงาน อย่างวัดท่าขนุนก็ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๗ วัน ถ้าไม่ได้ลาติดกันสองเดือนขึ้นไป สามารถลาได้ ๑๕ วัน พออาตมาลาติดกันมากเกินกำหนด หลวงตาวัชรชัยท่านรู้ว่าความดีของเราเยอะ มีคนจ้องจะฟันหัวอยู่ ท่านก็เลยเตือนว่า "สิ่งที่เอ็งทำนะดี แต่เอ็งต้องคิดดูว่า ถ้าจะเอาผลตอบแทนชาติปัจจุบันนี้ น่าจะประมาณเอ็งแก่ ๆ แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วย ไปไหนไม่ไหว จะมีพระลูกพระหลาน หรือไม่ก็ญาติโยมมาปรนนิบัติรับใช้เหมือนกับที่เอ็งไปดูแลหลวงปู่ แต่ถ้าเอ็งยังทำผิดระเบียบด้วยการลาเกิน แล้วโดนไล่ออกจากวัด เอ็งจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเลย" |
หลวงตาท่านให้เราชั่งน้ำหนักดูว่า ระหว่างมรรคผลของตัวเอง กับในเรื่องของการปรนนิบัติครูบาอาจารย์ ควรจะเลือกเรื่องไหน ?
ตอนนั้นอาตมาหูอื้อตาลาย เหมือนกับฟังไม่เข้าหู จึงยังคงลาไปปรนนิบัติหลวงปู่ต่อไป และโดนเข้าจริง ๆ มติกรรมการสงฆ์สรุปว่าผิดระเบียบ ต้องให้ออกจากวัด ผิดระเบียบเพราะลาเกินที่กำหนดไว้ รวมแล้วมากกว่า ๔๕ วัน ต่อให้ลาได้ ๑๕ วันก็ยังเกินไปมาก จากนั้นเขาก็แจ้งผลการประชุมและมติที่ประชุมให้แก่หลวงพ่อ พูดง่าย ๆ ว่าขออนุญาตเชือด..! หลวงพ่อตอบหนังสือลงมาว่า "การไปปรนนิบัติดูแลครูอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องสมควร เป็นการที่ทำไปโดยกตัญญู ให้ปรับโทษโดยตัดวันลาเหลือเพียง ๗ วัน" เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเป็นพระรูปเดียวในวัด ที่ลาได้ไม่เกิน ๗ วัน..! เรื่องที่เล่ามานี้ ถ้าเป็นพวกเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ก็จะขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง ถ้าเราเห็นแก่ตัวเองมากกว่า เราก็จะทิ้งหลวงปู่ แล้วก็ปฏิบัติตามระเบียบวัด แต่ตัวอาตมาเองนั้น มีสันดานอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นคนที่เกิดที่ไหนก็ไม่ได้หวังว่าโตที่นั่น พร้อมที่จะไปที่อื่นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ไปไกลบ้านได้มากเท่าไรก็มีความสุขเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เกรงว่าจะโดนไล่ออกเพราะผิดระเบียบวัด อาจจะเป็นผลพวงที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อท่านมาหลายชาติ ในเมื่อหลวงพ่อตั้งความปรารถนาที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้เราไม่ได้ตั้งความปรารถนา แต่อธิษฐานตามกันมา จึงรับเอาจริยานี้ไปโดยปริยาย ทำให้เห็นความสุขของคนอื่น เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสุขส่วนตัว และเชื่อว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อร้อยละ ๙๙ ก็มีความรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น |
เรื่องที่เล่ามานี้ เอาไว้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับพวกเราในการตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้น จะแสดงออกซึ่งกำลังใจของเราตอนนั้นอย่างชัดเจน เราจะมีสักกายทิฏฐิ มีมานะ มีอติมานะขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นจะออกมาหมด รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ออกมาหมด
จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้าหากผลงานนี้ ๑๐ ส่วน เป็นของหลวงตาไปเสีย ๓ ส่วน ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะสมัยนั้นเห็นหลวงตาเป็นต้นแบบ เป็นต้นแบบในการงับคนอื่น..! เท่มากเลย เวลาปฏิบัติติดขัดอะไร พี่เลี้ยงคนแรกที่นึกถึงก็คือหลวงตา แต่วันนั้นเป็นเรื่องแปลก กำลังใจอาตมาท่วมตัวเอง สิ่งที่หลวงตาเตือนกลายเป็นผ่านหูไปเฉย ๆ ไม่ได้รับไว้พิจารณาเหมือนทุกครั้ง เพราะเราตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะไป ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงไม่ฟังคำเตือน แล้วก็เป็นไปตามที่หลวงตาท่านคาดจริง ๆ ว่า "เอ็งโดนแน่..!" แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ว่าเราทำผิดด้วยสาเหตุใด ตรงนี้สำคัญที่สุด คนเราทุกคนที่ทำผิด ไม่ว่าจะผิดระเบียบ ผิดศีล ผิดกฎหมาย จะมีเหตุผลในตัวเองอยู่แล้ว เราต้องพยายามเข้าใจเหตุผลนั้นให้ได้ การที่เราตัดสินก็จะไม่ผิดพลาด ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าตามกฎหมายตรง ๆ ว่าตามระเบียบตรง ๆ บางทีเราอาจจะทำลายคนบางคนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเสียอนาคตไปเลย |
พระอาจารย์บอกถึงเคล็ดลับในการท่องบทสวดมนต์ว่า "หลักการสวดมนต์ ถ้าอยากจะเป็นเร็ว อย่าฝึกสวดทีเดียวทั้งบท
อาตมาจะแยกทีละสองบรรทัด ให้สองบรรทัดเท่ากับ ๑ บท เขียนเลข ๑ กำกับไว้ สองบรรทัดต่อมาก็เขียนเลข ๒ กำกับไว้ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาก็ตั้งใจท่องสองบรรทัดแรก พอท่องไป ๓-๔ รอบ ก็จะอ่านยาวให้จบบทไปทีเดียว พอสองบรรทัดแรกได้ บางทีบรรทัดที่ ๓-๔ ก็จำได้แล้ว ฉะนั้น..เราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พักเดียวก็จะได้ทั้งบทเลย โดยเฉพาะเราจะจำแม่น เพราะเราจะนึกได้ถึงบทที่ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ ไปถึงไหนแล้ว เลขบทต่อไปจะอยู่ในใจของเรา เวลาสวดมนต์จะผิดยาก เพราะจำลำดับได้แม่น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่ง... ของบริษัท... ซึ่งเราก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เหลือแทบจะครบทุกองค์ เพราะคนรู้เสียแล้วว่า เจ้าเดิมเป็นคนสร้าง
รายนี้เขาจะมีการจัดพิธีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อเรียกศรัทธาญาติโยม ขณะเดียวกันก็จะออกข่าวในลักษณะว่าของมีน้อยมาก โดยเฉพาะจะให้ไปรษณีย์แต่ละสาขาจำหน่ายประมาณ ๑-๒ องค์ เพื่อให้เกิดเป็นกระแสขาดแคลน ลักษณะคนแย่งกัน จะได้ไปตีข่าวโฆษณาซ้ำอีก โบราณเขาบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาทำตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ป่านนี้คาดว่านอกจากจะไม่มีคดีแล้ว คงจะรวยซับรวยซ้อน ไม่ใช่ซวยซับซวยซ้อนอย่างในปัจจุบัน เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก ถึงขนาดแนะนำดาราว่ายกบ้านให้สาวเขาไปเถอะ เสียดายอย่างเดียวว่า ไปใช้ความสามารถในทางที่ผิด ตอนช่วงที่เขารุ่ง ๆ เงิน ๔๐๐-๕๐๐ ล้านบาท เขาหาได้ในงวดเดียวในการออกวัตถุมงคล เพราะฉะนั้น..ทุกวันนี้ถึงแม้จะต้องคดีอยู่ในเรือนจำ แต่ก็อยู่แบบสบาย" |
"เคยสงสัยกับคำว่า 'กรรมติดจรวด' อยู่เหมือนกัน ปรากฏว่าผู้เฉลย คือ หลวงพ่อรัตน์ รตนญาโณ สำนักปฏิบัติธรรมรัตนประทีป ที่อำเภอแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน เจ้าของวิชาสมาธิหมุน
เรามานึกถึงลักษณะของดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เกิดเป็นสภาพของเรือนกระจก กลุ่มเมฆที่เกิดจากคาร์บอนจะคลุมรอบโลกอยู่ ทำให้ความร้อนที่ตกมาถึงโลกสะท้อนกลับออกไปไม่ได้ เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง หลวงพ่อรัตน์บอกว่ากำแพงชั้นนี้แหละ แรงกรรมที่เราทำมาจะสะท้อนกลับลงมา ทำให้เกิดเหตุการณ์กรรมติดจรวด อาตมาจึงมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อรัตน์ว่าจริง ๆ เราทำดีก็ต้องติดจรวดบ้าง เพราะฉะนั้น..ต้องเร่งทำความดีให้เยอะไว้ ถึงเวลาถ้ากรรมดีติดจรวดจะสบายไปตาม ๆ กัน ไปนั่งคุยกับท่านครึ่งค่อนวัน ได้ความรู้มากเลย โดยเฉพาะการที่ท่านสร้างเครื่องมือต่าง ๆ ได้จากสมาธิทั้งนั้น ท่านจะทำแหล่งพลังงานใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าหรือนิวเคลียร์" |
"เราควรจะศึกษาเรื่องของคนอื่นเขาบ้าง เพื่อจะได้รู้เขารู้เรา แต่ไม่ใช่ศึกษาแล้วเอาไปฟุ้งซ่าน ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเหมือนกับพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมปากช่อง
พออาตมาไปถึง บรรดาพระและแม่ชีของวัดท่าขนุนก็มากราบ และพระจากที่อื่นที่ไปปฏิบัติสมทบ มีส่วนหนึ่งเห็นอาตมาแล้วดีอกดีใจก็มากราบ มีพระเจ้าถิ่นอยู่รูปหนึ่ง ท่านมาถามว่า "ท่านอาจารย์เป็นใคร มาจากไหนครับ ทำไมพระและแม่ชีรู้จักอาจารย์กันเยอะจังเลย ?" อาตมาจึงบอกให้ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตรงนี้เป็นการวัดได้เลยว่าอาตมายังไม่ดัง ถ้าดังท่านต้องรู้จัก..! เพราะฉะนั้น..ที่อาตมาบอกว่าให้รู้เขารู้เราเอาไว้บ้าง ถึงเวลาเขาพูดจะได้รู้ว่าที่ไหน ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอ๋อ เป็นน้องเอ๋อจะน่ารักก็ตอนเรื่องที่ไม่สำคัญ ถ้าเป็นน้องเอ๋อตอนเรื่องสำคัญ เดี๋ยวก็เจอน้องโบ๊ะเข้าให้..!" |
"อาตมาไปพม่า หลวงปู่วัดคะแลบ้านน้อย อยากเจอหน้าอาตมาเป็นที่สุด จะขอให้ช่วยสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยช่วยท่านสร้างพระเจดีย์ ให้อิฐเขาไปหมื่นก้อนและเงินอีกสามหมื่น ปรากฏว่าครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปโดนพวกกะเหรี่ยงคริสต์ปิดถนนและซ้อมคนขับรถเสียปางตาย ทำให้เดินทางไม่ถึงจุดหมาย
อาตมาจึงต้องไปค้างคืนที่วัดหลวงปู่ และบอกกับครูบาน้อยไปว่า "คุณบอกท่านว่าผมเป็นแค่เพื่อนที่มาจากเมืองไทยก็พอ ไม่ต้องบอกว่าผมเป็นใคร" เพราะหลวงปู่อยากเจออาตมามาก พอถึงเวลาหลวงปู่ถาม ครูบาน้อยก็บอกว่าเป็นเพื่อนมาจากเมืองไทย จะมาเที่ยวหนองบัว อาตมาก็ไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะพูดพม่าไม่ได้ หลวงปู่ไม่รู้จะคุยอย่างไร ท่านก็ไป รุ่งเช้าอาตมาฉันเช้าเสร็จก็เผ่นจากวัดไป พอออกมาพ้นวัดจึงบอกครูบาน้อยว่า "ถ้าหลวงปู่ท่านรู้ว่าผมเคยมากินมานอนอยู่ที่วัดท่าน ต่อไปจะมีสองอย่าง อย่างแรกอาจจะเลิกคบคุณไปเลย อย่างที่สอง สถานเบาก็คงสรรเสริญความดีของคุณไปอีกนาน" อีกรายหนึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถสองแถว ชื่อปะลิ รายนี้ศรัทธาอาจารย์เล็กเหลือเกิน อาตมาไปสร้างวัดที่นั่น เป็นเงินสองสามร้อยแสนแล้ว จึงอยากพบอาจารย์เล็กเหลือเกิน อาตมาก็นั่งฟังเขาคุยว่าอยากพบอาจารย์เล็กไปเรื่อย ๆ เขากำชับกับครูบาน้อยว่า "ถ้ามาแล้วช่วยบอกด้วย จะรับส่งฟรี" ครูบาน้อยก็รับปากไปตามเรื่อง พวกนี้ถ้ามารู้ทีหลังว่าเรานั่งรถเขาจนก้นด้าน เขาคงจะงงมากเลย แต่ระยะหลังหลอกเขาไม่ค่อยได้ มีอยู่เที่ยวหนึ่งโยมเขามา อาตมาก็แกล้งถามว่ามีธุระอะไร โยมเขาบอกว่าจะมากราบอาจารย์เล็ก อาตมาจึงชี้ไปที่ท่านมหาปิง บอกว่า "ท่านนั้นแหละ" โยมเขาบอกว่า "ผมดูรูปจากในเว็บมาแล้วครับ" อาตมาหมดท่าเลย ตอนหลังนี่ชักจะหลอกใครไม่ค่อยได้" |
"บางทีโยมเขาไปวัด เดินตรงรี่เข้ามาหาอาตมา "หลวงพี่ครับ กุฏิหลวงพ่อเล็กอยู่ที่ไหน ?" ตกลงเราจะเป็นหลวงพี่หรือหลวงพ่อดีวะ..! ก็เลยชี้ไปที่กุฏิ บอกว่ากุฏิท่านอยู่หลังนั้น แล้วเราก็กวาดวัดของเราต่อไป
อีกครั้งหนึ่ง ผู้พันติ่ง เอาวัตถุมงคลไปให้พี่ชายเขาที่สุราษฏร์ธานี พี่ชายเขาเจออาวุธสงครามไป ๔๐ กว่านัดแล้วไม่เป็นอะไรเลย เรื่องราวจึงฮือฮา ทหารยกมาล้อมกุฏิอาตมา อยากได้วัตถุมงคลกัน อาตมาเปิดประตูออกมา และเดินไปทำนั่นทำนี่ แม้แต่หางตาทหารเขายังไม่มองเลย เขาวาดภาพหลวงพ่อเล็กไว้อย่างไรไม่รู้ ? แต่ไม่ใช่คนนี้แน่นอน ทำเอาอาตมารู้สึกปลื้ม ๆ อย่างไรก็ไม่รู้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่บ้านสายลมเขาจัดงานครบรอบวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง
ความจริงหลวงพ่อท่านไม่ได้เกิดเดือนตุลาคม ท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่ตอนที่ท่านหมดอายุแล้วพระต่ออายุให้ คือ เดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิดของท่าน ถ้าใครไปศึกษาประวัติท่านแล้วจะแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อเกิดเดือนหนึ่ง แล้วไปทำบุญวันเกิดอีกเดือนหนึ่ง โปรดทราบตามนี้ว่า ท่านถือว่าการที่พระต่ออายุให้คือการเกิดใหม่ จึงเอาเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิด" |
ถาม : ถ้าอยากให้มีความรู้สึกว่าเรามีความเคารพพระจริง ๆ ไม่ได้มองที่ความสวยงามของท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องมองเห็นคุณของท่านจริง ๆ ให้ไปพิจารณาว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มีคุณความดีอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นความดีของท่านจริง ๆ จะเกิดความเคารพมาจากใจจริงเอง |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:56 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.