![]() |
ถาม : ถ้าจะถวายผ้าไตรจีวรในระหว่างพรรษา พระท่านจะรับได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนถวายสะดวกเวลาไหนก็ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าระบุเวลาถวายจีวรเอาไว้ เรียกว่า กาลจีวร เพื่อป้องกันไม่ให้พระไปรบกวนขอชาวบ้านเรื่อยไป แต่นี่ถ้าโยมมีศรัทธาจะถวายเองก็รับเอาไว้ได้ ถาม : ถามพระท่าน เห็นท่านบอกว่าต้องไปถวายองค์อื่นต่อ ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านให้มีผ้าไตรจีวรชุดเดียว ถ้ามีมากกว่านั้นท่านให้ทำวิกัป คือ อย่างน้อยต้องมีบุคคลอื่นร่วมเป็นเจ้าของด้วย เพื่อป้องกันพระเณรจะโลภแล้วไปสะสมของเอาไว้เยอะ ๆ จริง ๆ ถ้าอยากถวายก็ถวายไปเถอะ ท่านที่รู้ท่านก็ส่งเข้าคลังเป็นของกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเอง ถึงเวลาใครจะใช้ก็ไปเบิกเอา ได้อานิสงส์สองต่อด้วย ถาม : โยมไปเจอพระที่อยู่ในถ้ำ อากาศก็เย็น โยมเห็นแม่ชีนั่งชุนจีวรให้พระ โยมคิดว่าจะไปถวายท่านเพราะอากาศที่นั่นเย็น ตอบ : หาผ้าแบบที่เป็นสังฆาฏิสองชั้น จะเป็นผ้าสำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ ผ้าของพระธุดงค์บางสายหนาเป็นผ้าใบเลยก็มี ถ้าได้จีวรแบบนั้นไปกันหนาวได้แน่นอน แต่อาตมาเคยห่มจีวรสองชั้นเข้าไปไม่กี่ทีก็เข็ด เพราะหนัก..! |
ถาม : พระจะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร ?
ตอบ : จะเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้องมีพรรษาพ้น ๕ ก็คือ พอออกพรรษาที่ ๕ แล้วก็เป็นได้ ข้อที่สองต้องจบนักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะได้มีความรู้พอที่จะปกครองคนได้ ข้อที่สาม ต้องเป็นบุคคลที่ทั้งพระและฆราวาสในบริเวณนั้นเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะเป็น โดยเฉพาะพระผู้บังคับบัญชาอย่างน้อย ๓ รูป กฎหมายระบุเอาไว้เลยว่า คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสในบริเวณใกล้เคียงวัดนั้นนั้น ลงความเห็นร่วมกันว่าท่านนี้ควรจะเป็น พูดง่าย ๆ ว่า ต้องให้ชาวบ้านและพระมีความเห็นร่วมกันว่าท่านสมควรเป็น ชาวบ้านฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ พระฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ |
ถาม : เราอยากได้ลูกน้องที่ดี ๆ เก่ง ๆ เราต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวง ขอกับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ถาม : ตั้งกลางแจ้งได้เลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..เมื่อสำเร็จแล้วก็แก้บนแบบนั้นอีก ๑ ชุด |
ถาม : ถ้าผมต้องการเจิมรถ โดยไม่รบกวนท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : เจิมเอง ถาม : ใช้อะไรบ้างครับ ? ตอบ : แป้งหอม น้ำมันหอม คาถา บวกกับสมาธิเยอะ ๆ ถาม : แล้วน้ำมันชาตรี ? ตอบ : น้ำมันชาตรีเจิมได้ ดีที่สุดเลย เอาอย่างนี้สิ หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจ อาราธนาติดรถไว้ด้วย จริง ๆ แล้วเราสามารถเจิมเองได้ เวลาเจิมให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบตัวไว้ ว่าเป็นพระหรือครูบาอาจารย์ท่านเจิม ถ้ารู้สึกแน่น ๆ หรือของขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าใช่เลย ออกรถเอาสีอะไรก็ได้นะ แต่อย่าไปใช้สีดำ |
ถาม : เป็นพระถอนขนรักแร้ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ในพระวินัยห้ามไว้ชัดเลย ถาม : โกนได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้ ถาม : หรือต้องให้ร่วงโดยธรรมชาติ ? ตอบ : จริง ๆ แล้ว เกิดจากพระไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วช่วยกันถอน มีคนเขาตำหนิว่า ในเมื่อเป็นพระแล้วทำไมยังทำอาการเหมือนฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พอพระพุทธเจ้าท่านทราบ ท่านก็เลยห้าม ป้องกันชาวบ้านติเตียนพระแล้วเกิดโทษแก่เขา |
ถาม : ภิกษุฉันน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ภิกษุสามเณรห้ามฉัน ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง ไวตามิลค์ น้ำเต้าหู้ ถือว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นถั่วพระพุทธเจ้าท่านจัดว่าเป็นอาหาร ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร แต่ถ้าฆราวาสถือศีลแปดกินเข้าไปเถอะ ท่านไม่ได้ห้ามหรอก เพราะท่านห้ามศีลพระไม่ใช่ศีลฆราวาส ถาม : นมสัตว์ห้ามไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากเป็นนมข้น พระธรรมยุติจะไม่ฉัน เนื่องจากมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดถึงไมโล โอวัลติน นั่นเป็นข้าวบ้าง ไข่บ้าง ยิ่งเป็นอาหารหนักเข้าไปใหญ่ นึกถึงหลวงตาบัว ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ ไมโล โอวัลติน หน้าตาเป็นอย่างไร แค่จะฝันก็ยังฝันไม่ถึงเลย เพราะไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดว่าจะได้ฉัน ที่จะได้ฉันก็คือใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่เอามาต้มเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำต้มบอระเพ็ด น้ำต้มใบชุมเห็ด หรือถ้าเป็นพวกผลเภสัช อย่างสมอหรือมะขามป้อมก็พอได้อยู่ แต่อย่างอื่นในป่าไม่มี พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) แต่ละเดือนเมื่ออาตมาลาหลวงพ่อได้ก็จะไปธุดงค์ พอกลับมาก็มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด ก็คือ ไปลามาไหว้ พี่โอท่านก็ปรารภว่า "ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสว่ะ..!" ท่านบอกว่า ท่านขาดกาแฟไม่ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิท่านจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ..! แสดงว่าเป็นเอามาก อาตมาก็เพิ่งรู้จากหลวงพี่โอนั่นแหละว่าเนสกาแฟมีทั้งฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะไม่ได้ฉัน |
ถาม : ที่ท่านให้พร สิทธิกิจจัง แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : สิทธิกิจจัง ขอให้การงานสำเร็จ สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างจงสำเร็จ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ขอให้มีลาภตลอดกาลนาน สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจที่ยั่งยืน สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศีลว่า "ในเรื่องของศีลพระ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่าศีล ๑๐ ก็พอแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่าพระควรจะต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะตำหนิเอา หรือขาดความเลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติศีลส่วนหนึ่งเพื่อตามใจชาวบ้าน เป็นศีลเพื่อชาวโลก ป้องกันเขากล่าวร้าย ว่าติเตียนพระสงฆ์" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องให้ฟังว่า "พระภัททิยะศากยราชา เป็นพระราชาของแคว้นศากยะ เป็นพระญาติพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า พอท่านมาบวชในพระพุทธศาสนา นอนกลางดินกินกลางทราย ท่านก็รำพึงว่า "อโห..สุขขัง สุขจริงหนอ"
พอพระปุถุชนได้ยินเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า บอกว่าพระภัททิยะศากยราชาไปรำพึงถึงราชสมบัติ คงจะสึกในเวลาอันไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระภัททิยะไม่ได้รำพึงถึงราชสมบัติ แต่รำพึงถึงความสุขที่ไม่มีราชสมบัตินั้น ตอนที่ครองราชสมบัติอยู่ จะต้องทำมาหากินทุกอย่าง จะต้องสู้รบ จะต้องดูแลประชาชน จะต้องคอยระแวดระวังว่าคนจะชิงราชสมบัติ แต่ละวันนอนไม่เต็มตาสักวัน มัวแต่หวาดผวา พอทิ้งหมดทุกอย่าง มานอนกลางดินกินกลางทราย กลับหลับสบาย ไม่มีอะไรให้ห่วง ทำอย่างนั้นให้ได้นะ ถึงเวลาเราก็ไปตัวเปล่า อโห..สุขขัง" |
พระอาจารย์กล่าวถึงโลกันตนรกให้ฟังว่า "โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะว่าเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู
อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? ก็เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย กรอบขนาดนั้นเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากไปลงเสียเอง สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่ง กว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง" ถาม : ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ? ตอบ : ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมี ในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาเพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่ |
แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าการสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ
มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย..! ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวชด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ก็บอกว่า "พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?" ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือ ความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้ พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกลัวคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่า ปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถามและอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า "อโห..ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ" ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม "อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?" พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห..ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ |
จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ "ฝันเปียก" ลูกศิษย์เอาสบงไปซัก เห็นเข้าจึงถามว่า "ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้ว ทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?" พระมหาเทวะก็บอกว่าพระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้
มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือ คำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่ เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว..! จะว่าไปแล้ว กำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย |
จากสาเหตุที่มุสลิมทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ใช้เวลาเผาคัมภีร์ทิ้งอยู่สองเดือน นึกเอาแล้วกันว่ามีคัมภีร์พุทธศาสนาจำนวนมหาศาลแค่ไหน ? จึงทำให้คัมภีร์พุทธเถรวาทส่วนใหญ่สูญหายไป ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นฝ่ายของสันสกฤต
ในเมื่อไม่มีของเถรวาทมาเปรียบเทียบ จึงไม่รู้ว่ามหายานต่างจากของเราเท่าไร คัมภีร์ของมหายานบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต คัมภีร์ของเถรวาทบันทึกด้วยบาลี นี่ก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน ข้อดีของบาลีก็คือ เป็นภาษาที่คนเขาเลิกใช้แล้ว ในเมื่อเลิกใช้แล้วความหมายจึงไม่เปลี่ยน เขียนอย่างไรก็แปลอย่างนั้น ภาษาสันสกฤตก็มีข้อดีของเขา ก็คือ บันทึกแล้วคนทั่วไปอ่านได้ เพราะว่าอินเดียใช้ภาษาสันสกฤตบันทึกพวกหนังสือหรือคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นปกติ เหตุนี้จึงทำให้คัมภีร์มหายานแพร่หลายมากกว่า เพราะคนอ่านออก ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนแทบเป็นแทบตายกว่าจะแปลได้อย่างของบาลี แต่ของบาลีเนื้อความไม่เพี้ยน ยกเว้นว่าคนแปลจะแปลผิดเสียเอง |
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาปาน นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน
มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือตาข่าย เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้ |
"ตอนนี้บ้านเราเป็นศาสนาปฏิรูป เป็นศาสนาพุทธที่มีตรีมูรติ มีพระพรหม มีพระพิฆเนศ มีเจ้าแม่กวนอิม แม้กระทั่งพระสงฆ์ก็โดนทำให้กลายเป็นลักษณะของเทพ ก็คือ ได้รับการยกย่องบูชาเฉพาะตนไปเลย
ลักษณะบูชาเฉพาะตนอย่างนี้เป็นลักษณะการบูชาแบบฮินดู ที่เขาบูชาเทพ กลายเป็นว่าสิ่งที่ศาสนิกอื่นปฏิบัติในศาสนาของเขา คนไทยรับมาโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อรับเอามาโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่ตนเองเคารพ อย่างเช่นท่านมรณภาพไป ก็สร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬาร หรือสร้างมณฑปบรรจุสังขารเอาไว้ให้ลูกหลานบูชาต่อ กลายเป็นว่าติดอยู่เฉพาะในส่วนของเปลือกเท่านั้น เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริง แต่ถามว่าดีไหม ? อย่างน้อยก็มีความดีอยู่ส่วนหนึ่ง ก็คือ คนยังเกาะความดีอยู่ในขอบเขตของศาสนาอยู่ ยังอยู่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญอยู่ว่าควรกระทำ แต่คราวนี้ถ้ายึดเกาะมากจนเกินไป ก็จะเอาตัวไม่รอด คำว่าเอาตัวไม่รอดในที่นี้ คือหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังไปยึดสังขาร ไปยึดตัวบุคคลอยู่" |
มีคนถามถึงรูปหล่อของหลวงปู่มหาอำพัน ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "รูปหล่อที่เห็นก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน อาตมาเรียกหลวงปู่มหาอำพันจนติดปาก พอบอกว่า ท่านเจ้าคุณภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ กลับไม่มีใครรู้จัก ถึงมีคนรู้จักแต่ก็รู้จักน้อย
ขำตัวเองสมัยวัยรุ่น มีความรู้สึกว่าพระที่เป็นเจ้าคุณนั้นหาดีได้ยาก คราวนี้ได้เหรียญมา เห็นเขียนว่าเจ้าคุณนรรัตน์ ธมฺมวิตกฺโก ก็เลยไม่สนใจ จึงโดนพี่ชายหลอกเอาเหรียญไปฟรี ๆ ตอนหลังเลยมารู้ว่า พระจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ยศตำแหน่ง จริง ๆ แล้ว หลวงปู่มหาอำพันท่านมีน้ำหนักกว่า ๘๐ กิโลกรัม แต่พอป่วยเข้าโรงพยาบาลสองครั้ง น้ำหนักท่านลดเหลือแค่ ๔๐ กว่ากิโลกรัม หลวงปู่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสันมาก ๆ แต่ทีนี้ท่านเป็นโรคด่างขาว ขาวทั้งองค์ก็เลยกลายเป็นผิวขาวชมพู เพราะฉะนั้น..คนเห็นหลวงปู่รูปร่างสูงใหญ่ แล้วผิวขาวเป็นแบบนั้น ก็นึกว่าท่านเป็นฝรั่ง พอไปคุยภาษาอังกฤษกับท่านด้วย ท่านตอบน้ำไหลไฟดับอีก ก็ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะท่านเป็นนักเรียนทุน King's Scholarship รุ่นแรก ท่านไปไหว้พระแก้วมรกต บนขอให้สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ปรากฏว่ามีเสียงเข้าหูชัด ๆ ว่า "air vision" เกี่ยวกับเรื่องการบิน ท่านก็เลยไปเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องการบินแล้วไปให้อาจารย์ตรวจ อาจารย์ไม่พอใจตรงไหนก็ไปแก้ใหม่ หลายเที่ยวด้วยกัน จนกระทั่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ท่านหลับตาก็เขียนได้ พอไปสอบปรากฏว่า หัวข้อออกมาให้เขียนเรื่องนี้จริง ๆ ท่านก็เลยสอบได้ที่ ๑" |
"ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่สอบได้ที่ ๑ แต่เรียนไม่จบ เพราะไม่ชินกับอากาศทางอังกฤษ จึงป่วยหนัก กลับมารักษาตัวอยู่ที่เมืองไทยปีกว่า เพื่อน ๆ เรียนจบกันกลับมา กลายเป็นคุณหลวง คุณพระไปหมด ท่านเองป่วยหนักจะกลับไปเรียนก็ไม่ทันเพื่อนแล้ว
พอดีคุณแม่ขอให้บวช ก็เลยบวช ด้วยความที่ท่านเป็นบุคคลที่ว่านอนสอนง่าย มีอปจายนมัยสูงมาก พ่อแม่บอกอย่างไรคืออย่างนั้น ท่านก็บวชให้ หลวงปู่ท่านติดยาเส้น สูบตอนอยู่เมืองนอก สูบด้วยกล้อง ท่านน่าจะสูบมาทุกยี่ห้อ เพราะบางทีท่านก็มานั่งบรรยายให้อาตมาฟังว่า แต่ละอย่างรสชาติเป็นอย่างไร ฮาวานนาหอมฉุน อียิปเชียนออกหวานอย่างไร ท่านบอกได้หมด ถามหลวงปู่ว่าเลิกตอนไหน ? ท่านบอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง หลังเพลนั่งดูดยาเส้นอยู่ ดูดไปดูดมา "ยาก็แพง กล้องก็แพง เราเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยหาเงินให้พ่อแม่เลย ไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ได้ทำงานก็มาบวชซะแล้ว ตกลงไม่ได้ตอบแทนคุณอะไรพ่อแม่เลย แล้วยังมาล้างผลาญพ่อแม่อีก" เพราะยาเส้นพวกนั้นต้องสั่งจากเมืองนอกทั้งหมด ท่านก็เลยโยนกล้องลงถังขยะ ตั้งแต่นั้นมาก็จบกัน" |
"เราจะเห็นสองอย่างที่ชัดที่สุด อย่างแรกคือ อปจายนมัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน หลวงปู่ท่านอ่อนน้อมถึงขนาดที่ว่า อาตมาเพิ่งบวชท่านยกมือไหว้ เล่นเอาอาตมานี่เหงื่อแตกพลั่ก
อย่างที่สอง คือความเด็ดขาดของกำลังใจ เลิกเป็นเลิก ไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา ท่านสูบกล้องเลย แรงกว่าบุหรี่เยอะ แต่ท่านเลิกแล้วเลิกเลย จุดต่อไปก็คือ ท่านเจ้าคุณนรฯ บวชเข้ามา กิตติศัพท์ความที่เป็นคนซื่อตรง จงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๖ และความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ศึกษาทุกอย่าง เรียนจนรู้จริงทุกอย่าง ก็เลยทำให้หลวงปู่ท่านไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองบวชก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่บวชก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ แปดเดือน หลวงปู่ท่านไปคบหาสมาคมสอบถามขอความรู้ด้วย ทีนี้ต่างคนต่างเก่งภาษาอังกฤษ อ่านตำรามามากพอ ๆ กัน บางทีเวลาคุยกันก็พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถ้าพวกเราอ่านตำราที่เจ้าคุณนรฯ เขียน ท่านเขียนตำราใช้ภาษาอังกฤษประกอบเยอะมาก แต่ท่านไม่เคยไปเมืองนอกเลยนะ ท่านฝึกจนแตกฉานเอง พอท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านทำสมาธิบ่อย ๆ จนเกิดผล ท่านก็บอกว่าให้หลวงปู่ลองทำดูบ้าง หลวงปู่ท่านเป็นคนว่าง่าย พอชอบใจท่านก็ลองทำดูบ้าง ทำไปทำมา ท่านอยากได้ตาทิพย์ แล้วท่านไม่เข้าใจ หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านได้ตาทิพย์ แต่ท่านก็อธิบายให้หลวงปู่มหาอำพันเข้าใจไม่ได้ ว่าตาทิพย์คืออะไร ? จนกระทั่งท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพ พอถึงปี ๒๕๑๖ หลวงปู่ก็ได้พบกับหลวงพ่อวัดท่าซุง" |
"หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้แยกแยะให้ว่า ตาทิพย์กับทิพจักขุนั้นคนละเรื่องกัน ตาทิพย์เป็นเรื่องของพรหมเทวดาหรือผี เขาจะมีเป็นปกติ แต่ทิพจักขุญาณ ก็คือความรู้เหมือนกับมีตาทิพย์ อยากรู้เรื่องอะไรก็จะรู้ได้
นั่นแหละ..สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของหลวงปู่จึงได้หลุดมา หลวงปู่จึงได้กราบหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่อายุของหลวงปู่ก็มากกว่าเป็นรอบ พรรษาก็มากกว่าเป็นสิบพรรษา ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ในเรื่องการเอาจริงเอาจังและใฝ่รู้ ใครมีโอกาสเข้าไปดูในกุฏิหลวงปู่ จะเห็นว่าตำราแน่นไปทั้งห้องเลย ถึงเวลาท่านก็คว้าหนังสือขึ้นมานั่งอ่านสบายใจ ไม่จบไม่เลิก บางทีอาตมาก็นั่งสับปะหงกรอ สี่ทุ่มก็แล้ว..ห้าทุ่มก็แล้ว คนสมาธิดีเหมือนกับดิ่งลึกเข้าไปอยู่กับเนื้อหา จึงไม่รู้ถึงเวลาที่เปลี่ยนไป พอท่านเงยหน้าขึ้นมาเห็นเราสับปะหงกครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ "อ้าว..นอนดีกว่า แต่..ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะ" แล้วก็ไปสวดมนต์ไหว้พระอีกเป็นชั่วโมง แล้วถึงจะเข้านอน" |
"อาตมามีจดหมายจากหลวงปู่อยู่หลายฉบับ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุง ไม่สะดวกที่จะใช้โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์เป็นของกลาง ถ้าใช้ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านจ่าย
มือถือก็ไม่ได้มีเกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ จำได้ว่ามือถือเครื่องแรกที่หลวงพ่อสั่งติดตั้ง ราคาแปดหมื่นบาท เครื่องใหญ่เท่ากระเป๋าเอกสาร หนักอึ้งเลย ไปไหนก็ต้องหิ้วไปด้วย" |
พระอาจารย์กล่าวถึงภาษาบาลีว่า "ปาลิภาสา อุตฺตมภาสา แปลว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาอันสูงสุด ในอรรถกถาท่านบอกว่า ที่เป็นภาษาสูงสุดเพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสเป็นภาษาบาลี พระพรหมสนทนากันด้วยภาษาบาลี บุคคลต้นกัปใช้ภาษาบาลีในการสื่อสาร
เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ ถ้าไม่มีใครสอนภาษา ไม่เคยได้ยินภาษาอะไรมาก่อนเลย จะสื่อสารด้วยภาษาบาลี อย่างเช่น "อะมะ..ข้าแต่แม่" เพราะฉะนั้น..ความพิเศษของภาษาบาลี ก็ดังที่ได้วิสัชชนามานี้แล เอวัง." |
ถาม : อยากรู้วิธีการฝึกความเพียร
ตอบ : การฝึกความเพียร แค่ทำทุกอย่างบ่อย ๆ โดยไม่เบื่อเสียก่อน นั่นแหละคือการฝึก..! เรียนก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียน เพื่อนอ่านหนังสือ ๑ จบ เราต้องอ่านให้ได้อย่างน้อย ๒๐ จบ นั่นแหละคือความเพียร เพื่อนทำสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๕ นาทีเหมือนกัน แต่เราทำ ๕ รอบ ๘ รอบ นั่นคือความเพียร สำคัญตรงที่ว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก กำลังใจต้องไม่ลดลง เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ กำลังใจต้องเท่ากับครั้งแรกที่ทำ ไม่ใช่พอครั้งท้าย ๆ ก็ทำแบบซังกะตาย ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ความเพียร บุคคลที่ทำความเพียรต้องมุ่งประโยชน์ ดูตัวอย่างของพระมหาชนก ท่านว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาถามว่าท่านจะว่ายไปทำไม ฝั่งยังมองไม่เห็นเลยว่าอยู่ตรงไหน ? พระมหาชนกตอบว่า ที่ท่านเพียรพยายามว่ายอยู่ ก็เพื่อหวังบรรลุถึงฝั่ง ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไม่ไกล ถ้าท่านรามือปล่อยให้จมน้ำตาย ก็ถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าหากฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง หลังจากที่เพียรสุดกำลังแล้ว ถึงจมน้ำตายก็ยังตอบตัวเองได้ว่า เราได้ใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว นางมณีเมขลาได้รับคำตอบแล้วชอบใจ ก็เลยช่วยอุ้มไปส่ง |
ถาม : อารมณ์ตรงนี้เหมือนกับเราตื๊อสู้กิเลส แล้วเราแพ้
ตอบ : แรก ๆ ก็จะเป็นอย่างนั้น ก็คือ กำลังของเรายังไม่พอหรอก เราแพ้กิเลสแน่ แต่พอทำไปบ่อย ๆ ก็จะเบาไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังของเราเข้มแข็งขึ้น กิเลสชักจะสู้เราไม่ได้ ก็ค่อย ๆ รามือถอยไป จนกระทั่งท้ายสุดเราไม่ต้องใช้ความพยายาม เราก็สามารถทำได้อย่างสบาย ๆ ลองไปดูคนที่รักษาศีลไม่ได้ หรือไม่ก็ลองนึกถึงตัวเราที่รักษาศีลใหม่ ๆ ผิดแล้วผิดอีก แต่เราก็พยายามทำอย่างไรที่จะให้ศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้ ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย สติ สมาธิ ปัญญา ความสามารถมีเท่าไรต้องทุ่มเทลงไปจนหมด แต่พอมาทุกวันนี้ศีลทรงตัวแล้ว เราไม่เห็นต้องใช้ความพยายามอะไรเลย จะยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรก็อยู่ในศีล ขณะเดียวกันคนที่เขายังรักษาศีลไม่ได้ เขาจะเห็นเหมือนกับแบกช้างทั้งตัว ต้องทุ่มเทความสามารถชนิดจนหยดสุดท้ายแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอด ถ้ามองตรงนี้เราจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน หลังจากที่ได้เพียรพยายามมาระยะหนึ่ง ความเข้มแข็งจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ งานก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด ทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำ ถึงได้บอกว่า ถ้าเบาก็ถูก ถ้าหนักยังไม่ใช่ |
พระอาจารย์สอนน้องคนหนึ่งในเรื่องการเรียนว่า "ตอนอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ อาจารย์นั่งตรวจข้อสอบ อาตมาก็เลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปถามว่า "อาจารย์ครับ..วิชานี้ผมได้เท่าไร ?" อาจารย์ท่านถามเลขที่เท่าไร ? เราก็ตอบว่า "เลขที่ ๑๖ ครับ"
พออาจารย์เปิดดูก็บอกว่า "ได้เต็ม..เก่งนี่ ทำคะแนนได้เต็ม ไม่พร่องสักคะแนนเดียว" ก็เรียนอาจารย์ไปว่า "อาจารย์ครับ..วิชาอาจารย์ผมอ่านน้อยที่สุดเลย ประมาณ ๒๐ เที่ยวเท่านั้น..!" คุณลองนึกดู..วิชาที่อาตมาอ่านมากที่สุดจะกี่เที่ยว ? ขณะเดียวกัน..เราเคยอ่านหนังสือจบสักเที่ยวจริง ๆ ไหม ? ลองไปใช้ดู..ไม่ต้องถึง ๒๐ เที่ยวหรอก สัก ๑๐ เที่ยวก็พอ บางอย่างเราอาจจะไม่เข้าใจในการอ่านครั้งแรก พออ่านครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ผ่านไป จะเริ่มจับเค้าหรือจับใจความได้ พอครั้งที่ ๕ ครั้งที่ ๖ ครั้งที่ ๗ ครั้งที่ ๘ คราวนี้ความกระจ่างจะมีขึ้นมากเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า สุตัง ปริโยทเปติ อะไรก็ตามที่ได้รู้ได้ฟังมา ถ้าหากได้รับฟังซ้ำเข้า ก็จะเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้น ไปลองทำให้ระบือลือลั่นเสียที เต็มทุกวิชาไม่ได้ก็เอาให้เต็มสัก ๒ - ๓ วิชาก็ยังดี ไม่ใช่ทำทีไรก็ได้แค่คาบเส้นต่องแต่งหรือตกจนต้องซ่อมเป็นประจำ" |
มีครอบครัวหนึ่ง นำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงกล่าวถึงหมาหรือสุนัขให้ฟังว่า
"หมาจะมีนิสัยขี้อิจฉาทุกตัว ถ้าเราไปโอ๋ตัวใดตัวหนึ่ง อีกตัวก็จะกัดทันที ต้องระวังให้ดี เพราะเขาจะเห็นเราเป็นจ่าฝูง การที่จ่าฝูงไปดีกับตัวไหน เหมือนเราไปเลื่อนฐานะให้ตัวนั้น ถ้าตัวนั้นเคยอยู่ในฐานะที่ต่ำกว่า ตัวที่อยู่สูงกว่าจะไม่ยอม เขาจะกัด กัดในลักษณะที่ว่า "เอ็งแน่จริงหรือเปล่า ? ถ้าเอ็งไม่แน่ก็อย่าเลื่อนชั้นขึ้นมา.." ฉะนั้น..เราจะเป็นสาเหตุให้หมาทะเลาะกันบ่อยโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว แล้วเวลาหมากัดกันอย่าไปห้าม นั่นเป็นการจัดลำดับอาวุโสกัน ตัวไหนเก่งกว่า ตัวนั้นชนะ แล้วหลังจากนั้นอีกตัวจะไม่กล้าหือ แต่ถ้าเราไปห้าม แพ้ชนะยังไม่รู้กัน เขาจะกัดกันบ่อยมากแล้วเราจะรำคาญ เราเองเอาความรู้สึกของคนไปจับ ว่าไม่ควรทะเลาะกัน แต่ความรู้สึกของหมาก็คือ ผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะชนะ ฉะนั้น..ต้องปล่อยให้เขาจัดลำดับกันเอง เรามีหน้าที่ใส่ยา ทำแผลให้ตอนจบ สัตว์ที่อยู่ใกล้คนจะได้เปรียบ เพราะถ้าใจเกาะคนเขาก็จะไปเกิดเป็นคน ใจเกาะพระก็ไปเกิดเป็นเทวดา สัตว์เลี้ยงที่ใกล้ชิดกับคน กรรมของการเป็นสัตว์เดรัจฉานของเขาจวนจะหมดแล้ว" |
"สัตว์เขาจะมีภาษาเสียงเหมือนกับคำพูดของเรา และมีภาษากาย อย่างเช่น การกระดิกหาง การทำหางตก แยกเขี้ยวใส่กัน และยังมีภาษาใจอีก มนุษย์เรารับภาษาเสียงได้ ภาษากายบางอย่างเราก็รับไม่ได้ เราก็เลยสู้หมาไม่ได้
ลองเอาหมาไทยข้างถนนไปโยนอยู่ที่ประเทศอังกฤษดูสิ เราเห็นเขาคุยกับหมาอังกฤษรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องหัดภาษาอังกฤษเลย เอาไปโยนที่ประเทศลาว หมาก็เว้าลาวได้สบาย เอาไปโยนไว้ที่ประเทศไหน หมาก็คุยรู้เรื่องทันที เพราะเขาใช้สามภาษา คือภาษาเสียง ภาษากาย และภาษาใจรวมกัน เราเองเรื่องของภาษากายเราก็รับได้ยากแล้ว ยิ่งภาษาใจยิ่งรับได้ยากเข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าเกิดเป็นคนวิวัฒนาการมากเท่าไร สมรรถภาพในการสื่อสาร โดยเฉพาะภาษาใจก็หายสาปสูญไปมากเท่านั้น บางวันนั่งแปลภาษาหมาให้พี่มุกดาเขาฟัง และสอนให้พูดภาษาหมาด้วย ปรากฏว่าพี่มุกดาจำได้ไม่กี่คำ จำไว้ชัด ๆ นะ ที่หมาหอมแก้มเรา เขาไม่ได้หอมแก้มนะ เขาดมมุมปาก ท่าดมมุมปากแปลว่า มีอะไรให้กินหรือไม่ ?" |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนฆราวาสผู้ชายที่อยู่ใกล้หลวงพ่อมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะบวชหมด ช่วงนั้นที่เป็นหลักก็มีลุงเอี๊ยง มีจ่าประมวญ ส่วนพวกเราก็จะเป็นส่วนเสริม ก็มีอย่างคุณธวัชชัย ลุงพุฒ คุณธรรมนูญ หรือตัวอาตมาเอง นั่งอยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ
พูดง่าย ๆ คือ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทดสอบกำลังใจกันแรงขนาดไหน คนอื่นเตลิดเปิดเปิงขนาดไหนก็ตาม แต่ ๔-๕ คนนี้ต้องอยู่ เพราะถ้าไปจะทำให้คนที่เหลือไปด้วย เหมือนกับเป็นตัวหลัก มาแล้วต้องเจอ ถ้าไม่เจอคนก็ใจหาย นอกจากนี้จะมีอาจารย์ยกทรงคอยถามปัญหา มีคุณประเสริฐคอยเรี่ยไร บางทีคนมาทำบุญจนแน่นกระดิกไม่ได้ คนอยู่หลังไม่รู้จะทำอย่างไร คุณประเสริฐก็จะเดินถือขัน เขาก็จะบอกว่ารายการไหนบ้าง "สร้างหลวงพ่อไหลมาเทมาครับ" โยมก็ใส่เงิน ถึงเวลาก็ยกไปถวายหลวงพ่อ" |
ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับมโนมยิทธิ
ตอบ : ต้องซ้อมบ่อย ๆ ถ้าไม่ซ้อมสนิมจะกิน มโนมยิทธิต้องถึงขนาดที่ว่าเขาส่งของมา เราต้องบอกได้ว่าที่อยู่ในกล่องในห่อเป็นอะไร ถ้าทำขนาดนั้นไม่ได้ เราก็จะไม่มั่นใจตัวเอง ถึงทำขนาดนั้นได้ ถ้าเขาตั้งใจจะทดสอบเรา ภาพที่ปรากฏจะเป็นคนละเรื่องกับของจริง ยังมีการทดสอบทำให้เราเป๋ออกนอกทางได้อีก ฉะนั้น..มีอย่างเดียว คือขยันซ้อมและอย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ |
พระอาจารย์บอกว่า "ยาสมุนไพรดีกว่ายาฝรั่ง ตรงที่ว่าร่างกายเราขับออกได้ ไม่เหมือนยาฝรั่งที่มีการตกค้าง แต่ยาสมุนไพรจะให้เห็นผลทันตาเลยทีเดียวอาจจะยาก ต้องกินสะสมไประยะหนึ่ง อย่างเช่น ๑ - ๒ หม้อ ก็เลยทำให้คนสมัยใหม่ที่ใจร้อน ไม่ค่อยจะใช้สมุนไพรกัน"
|
ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน ควรฝึกอย่างไรครับ?
ตอบ : นั่งกรรมฐานตามปกติ แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่ตรงหน้า เหมือนกับมีตัวเราอีกตัวหนึ่งเล็ก ๆ ไม่ต้องใหญ่มาก มาอยู่ตรงหน้าของเรา สั่งให้เดินแถวแบบทหารเลย ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ถอยหลังสองก้าว เดินหน้าสามก้าว ฯลฯ ให้ความรู้สึกของเราชัด ถ้าไม่ชัดให้เริ่มใหม่ ทำไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็เดินวนรอบห้อง รอบตัวเราก็ได้ ช้า ๆ นะ ไม่อย่างนั้นจะวูบเดียวครบรอบเลย เดินไปที่ประตู เปิดประตู ลงบันได ไปชั้นล่าง เดินรอบชั้นล่างอีกรอบหนึ่ง ออกไปดูหลังบ้าน ออกนอกบ้าน เปิดประตู เดินไปปากซอย ค่อย ๆ กำหนดความรู้สึกให้ช้า ๆ และชัด ๆ ไปเรื่อย ตอนแรก ๆ จะชัดมากเพราะเราคุ้นกับสถานที่ แต่พอถึงจุดที่เราไม่คุ้นแล้วยังชัดอยู่ อย่างเช่น เห็นป้ายโฆษณา เห็นชื่อร้านค้า เห็นวินมอเตอร์ไซค์ ให้จำไว้เลยว่ามีลักษณะอย่างไร เลิกกรรมฐานแล้วไปดูว่ามีลักษณะอย่างที่เห็นไหม ? ซ้อมอย่างนี้ทุก ๆ วัน สวรรค์พรหมไม่ต้องไปหรอก เอาแค่นี้แหละ พอคล่องตัวมาก ๆ จนกระทั่งหลับตาและลืมตาเห็นชัดเท่ากัน คราวนี้เราจะไปไหนก็กำหนดใจไป แต่ต้องขยันซ้อม ซ้อมบ่อย ๆ ทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งเมื่อไรสนิมขึ้นเมื่อนั้น" |
ถาม : ผมเคยฝึกกสิณที่วัดแห่งหนึ่ง ผมถามว่า ถ้าจับรูปพระ จะดีกว่ามองแผ่นกสิณนี้ได้หรือเปล่า ? เขาบอกว่ารูปพระมีรายละเอียดเยอะ
ตอบ : นั่นเป็นความเห็นและเป็นความเข้าใจของเขา ที่วัดนั้นถ้าฝึกแล้วจะได้ผล ต้องเป็นคนมีของเก่าที่เคยทำมาในชาติก่อน ยกเว้นกสิณสีขาว สีเขียว สีแดง และสีเหลือง ๔ สีนี้เท่านั้น ที่ฝึกแล้วมีผล ส่วนที่เขาไปสมมติกสิณดิน กสิณน้ำ นั่นไม่มีผลหรอก ยกเว้นคนมีของเก่า เพราะวัตถุที่เขาเอามาทำเป็นองค์กสิณยังไม่ใช่วัตถุที่ถูกต้อง กสิณดินแทนที่จะใช้ดินก็ไปใช้สีส้ม ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่าปฐวีกสิณมาจากชาติก่อน อย่างไรก็ใช้งานไม่ได้ ถามว่าฝึกแล้วดีไหม ? ดี..อย่างน้อยเราก็ได้สมาธิ แต่ถ้าไม่มีของเก่า จะมีผลแค่เขียว ขาว แดง เหลือง ๔ สีเท่านั้นเอง นอกนั้นที่เหลือก็กลายเป็นอะไรติดตาเราไปก็ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะใช้ผลของกสิณได้ |
ถาม : เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะให้เจริญในธรรมและไม่ขวางโลก ?
ตอบ : อันดับแรก เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าเราไม่ละเมิดศีล ๕ อย่างไรเสียก็ไม่หลุดไปกับกระแสโลกไกลนัก อย่างเช่น ไปกินเหล้าเมายากับใครก็ไม่ได้ เพราะว่าเรามีศีลป้องกันตัวอยู่ อันดับที่สอง พยายามทำสมาธิบ่อย ๆ เพื่อให้กำลังใจของเรามั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เวลาเจอลมปากเพื่อนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ไหลตามเขาไปด้วย ระยะที่อาตมาน่าจะเสียมากที่สุด คือ ตอนเรียนนักเรียนนายสิบ เพราะว่าเพื่อนทหารทั้งกินทั้งเที่ยว ยาเสพติดทุกประเภทมีหมด แล้วเขาก็มาว่าเรา "ไม่เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งซะ..!" แต่เราคนเดียวด่าเพื่อนทั้งกองร้อยกลับไปว่า "พวกมึงทั้งหมดนั่นแหละ ควรจะไปเอากระโปรงมานุ่ง กูรู้ว่าอะไรไม่ดี กูห้ามใจกูได้ กูนี่ถึงจะลูกผู้ชายจริง พวกมึงไม่ใช่หรอก..!" เพราะฉะนั้น..ถ้ากำลังใจเราไม่มั่นคง เวลาโดนลมปากของคนอื่นแล้วเราจะอยู่ไม่ได้ ในเรื่องของศีล สมาธิ จะเป็นเครื่องช่วยในขั้นต้นเลย ส่วนขั้นต่อไป มีปัญญารู้เห็นความเป็นทุกข์เป็นโทษของโลก ในเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นประโยชน์ เราก็จะละในสิ่งที่เป็นโทษ และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาแค่นี้แหละ ไม่เอาอะไรมากมาย ถ้าทำได้ครบก็อยู่ได้ เราไม่ต้องไปด่าเพื่อนเขาแรง ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า "โอย..ไม่ไหวหรอก กินแอลกอฮอล์แล้วเป็นผื่นไปทั้งตัว ให้ไปเมาอย่างนั้นคงแย่เลย" ถาม : เนียน ๆ แบบนั้นได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ได้..ไม่เสียเพื่อนหรอก อาตมาเป็นทหารไม่ได้กินเหล้ากับเขานะ แต่ไปกับเขาได้ ถ้าหากวงไหนที่เมาแล้วมีคนสติดีอยู่คนหนึ่ง คนอื่นจะไม่กล้าแซวหรอก พอถึงเวลามีปัญหาเพื่อนเสียงดัง โต๊ะข้าง ๆ เขม่น เราก็ไปยกมือไหว้ "ขอโทษครับ..เพื่อนผมเมาเสียงดังไปหน่อย ขออภัยด้วยที่รบกวนพี่" เขาเห็นมีคนไม่เมาอยู่ เขาก็เกรงใจไม่กล้าทำอะไร พอเพื่อนเมาสิ้นสภาพสุนัขไม่รับประทาน เราก็แบกเขากลับ ไปกับเขาได้ แต่เราไปแค่กรอบของศีล อีกอย่างหนึ่ง คนไม่เมาไปนั่งวงเหล้าเปลืองกับแกล้มเขา เพื่อนกินเหล้าเรากินกับ พักเดียวเขาก็ไล่เราออกมาแล้ว |
ตอนอาตมาไปเป็นทหารอยู่ชายแดน เพื่อนพาไปเที่ยวผู้หญิง ไปกันเป็นหมวดเลย ทหารหมวดหนึ่งก็ ๔๐ กว่าคน ทีนี้ถ้าไปตอนกลางคืนเวลาทำการของผู้หญิงเขา เดี๋ยวแขกของเขาจะตกใจหมด เพราะเห็นทหารมาเยอะ ก็ต้องไปตอนบ่ายสอง เวลานอนของเขา
ไปทุบ ๆ ประตู เฮ้อ..! เราลองนึกถึงผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด ๆ เพื่อให้สวยใต้แสงไฟ ทีนี้เราไปตอนที่เขานอน ลอกหน้าออกแล้ว นุ่งกระโจมอก หัวกระเซิง หน้าซีดอย่างกับผีตายซาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อน ๆ เขามีอารมณ์ได้อย่างไร ? ส่วนเรานั่งเฉาสนิท ไปนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องให้เพื่อน สรุปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เคยพยายามทำเหมือนกัน แต่ไม่สำเร็จเพราะฝีมือไม่ถึง..! จากที่เล่ามา อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า ผลของการปฏิบัติ แรก ๆ ในเรื่องของศีล สมาธิ กำลังยังไม่พอตัดกิเลส แต่กำลังมีพอที่จะหักห้ามเราไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ได้ในระดับหนึ่ง พอเราทำไป ๆ มากกว่านั้น ความเข้มแข็งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เราถึงจะห้ามตัวเองได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นช่วงที่น่าจะเสียหายมากที่สุดก็ช่วงเป็นทหาร เพราะว่าเพื่อน ๆ เอาทุกทางจริง ๆ ถาม : ไม่ใช่ว่าสั่งสมมาแต่อดีตหรือคะ ? ตอบ : นั่นก็มีส่วน แต่อย่าลืมว่ากระแสโลกเขาแรง สติสัมปชัญญะอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมาธิ มีปัญญาเข้ามาช่วยอีกด้วย |
ถาม : การนั่งสมาธิหรือมโนมยิทธิ ควรที่จะต้องมีเวลาในการฝึกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ควรจะกำหนดเวลาให้แน่นอน อย่างเช่น เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง จริง ๆ แล้วไม่พอรับประทานหรอก แต่อย่างน้อยให้มีส่วนกำไรบ้าง แล้วจะช่วยสร้างเหตุปัจจัยให้กำลังใจเราทรงตัวเข้มแข็งขึ้น ต่อไปถ้าปฏิบัติในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เราก็จะทำได้ง่าย |
ถาม : อารมณ์ปีติมีได้ทุกฌานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีก่อนเข้าถึงฌาน เมื่อเป็นฌานแปลว่าข้ามพ้นปีติไปแล้ว แต่ว่าถึงแม้เราจะได้ถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็ตาม ถ้าวิสัยเดิมของเรามาสายพุทธภูมิ จำเป็นต้องรู้ปีติให้ครบ ปีติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้อีก ถ้าเป็นดังนั้นต่อให้เราได้สมาบัติ ๘ แล้ว ถ้าปีติจะเกิดขึ้น อยู่ ๆ กำลังฌานจะลดลงมาเฉยเลย แล้วปีติก็เกิดขึ้นจนพอใจ ให้เรารู้ชัดเจนแล้วก็จะเลิกไปเอง ถาม : แล้วจะกลับมาอีก ? ตอบ : ถ้าตัวไหนเคยผ่านมาแล้วจะไม่เป็นอีก ฉะนั้น..จะไปคิดว่าเราได้ฌานสูง ๆ แล้วจะไม่มีปีติอีก ไม่ใช่หรอก...บทเขาจะมา กำลังฌานจะลดลงไปหน้าตาเฉย แล้วปีติก็เกิดขึ้น ถาม : ถ้าเราปล่อยจะหายไหมครับ ? ตอบ : รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง ถาม : ทันทีที่ผมจับลมจะอยู่ที่ฌานสาม แล้วสักพักก็จะสั่น ๆ บางทีก็เป็นปีติตัวพองขยาย ตอบ : เขาเรียก ผรณาปีติ แสดงว่าฌานสามที่คุณเข้าใจยังไม่ใช่ฌานสามจริง ๆ ถาม : จะวนอยู่อย่างนั้นมา ๖ เดือนแล้ว ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ อย่าอยากให้เป็น อย่าอยากให้หาย มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ได้ ปีติจะขึ้นจนเต็มที่เอง แล้วก็จะเลิก บางทีตัวเราพองขึ้นเหมือนกับเราเป็นลูกโป่ง บางทีระเบิดตูมกลายเป็นฝุ่นไปเลยก็มี บางทีก็รู้สึกเป็นรูรั่ว มีอะไรไหลออกมาซู่ซ่าไปหมด เรามีหน้าที่กำหนดรู้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ถ้าไปอยากให้เป็น อยากให้หาย เมื่อไรจะเลิกเสียที ไปคอยตามดูอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ถาม : ไปเพ่งไปกำหนดตามจี้อยู่ถึง ๖ - ๗ เดือน หรืออยู่เป็นปี อย่างไรครับ ? ตอบ : แบบนั้นก็จะอยู่ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ถาม : อย่างนี้จะเกี่ยวกับการพัฒนาหรือเปล่า ? ตอบ : เกี่ยวแน่ เพราะเราข้ามไม่ได้สักที ความก้าวหน้ากว่านั้นก็ไม่มี แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ พักเดียวก็ไปแล้ว |
ถาม : นั่งทำงานอยู่ พอใจเป็นสมาธิ จะมีอาการเกร็งเหมือนโดนอะไรมัดร่างกาย จะมาอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ถอน
ตอบ : ปล่อยให้เป็นไปเถอะ คิดว่าเป็นขันธมารอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไปให้ความสนใจอยู่ตรงนั้น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า ถาม : ไม่ต้องสนใจไปใช่ไหม ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าเราไปใส่ใจว่า ตอนนี้เป็นอย่างนี้ อีกสักพักจะเป็นอย่างนี้ เรารู้เพราะเคยผ่านมาแล้ว ถ้าอย่างนี้เดี๋ยวก็หายไปแล้วมาเป็นใหม่อีก |
ถาม : การนั่งสมาธิทำให้เราหายเหนื่อยได้หรือเปล่า ? สมมติเราเรียนมาทั้งวัน เราเหนื่อยมากแต่ไม่อยากนอน
ตอบ : ได้..ถ้าสมาธิลึกมากเท่าไรก็หายเหนื่อยเร็วเท่านั้น สมาธิยิ่งลึกระยะเวลาก็ยิ่งใช้น้อยเท่านั้น เข้าสมาธิลึก ๆ สัก ๓ นาทีหรือ ๕ นาที เหมือนกับนอนมาเป็นวัน ถาม : ทำไมกีฬายิงปืน จึงเหนื่อยกว่ากีฬาวิ่งเล่น ? ตอบ : อันดับแรก ใช้สมาธิมาก อันดับที่สอง แรงอัดของปืนที่กระแทกเรา เวลายิงปืนแรงระเบิดของดินขับ เพื่อส่งกระสุนแหวกอากาศไป แรงระเบิดจะเป็นคลื่นอัดเข้ามาหาเรา อาตมาเคยยิงปืนทราบระยะ (กำหนดระยะในการยิง) อยู่สองวันสองคืน เหนื่อยรากเลือดยิ่งกว่าวิ่งสักสามสิบกิโล ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเหนื่อยขนาดนั้น พอไปดูพื้นทรายข้างหน้า ทรายที่เขาเกลี่ยไว้เรียบ ๆ กลายเป็นคลื่นเหมือนชายหาดทรายเลย แสดงว่าแรงอัดของปืนที่อัดออกไป ดันทรายไปได้ขนาดนั้น เราอาจจะใส่ที่ครอบหูไม่ได้ยินเสียง แต่แรงอัดก็ยังคงอัดใส่เราเป็นปกติ |
ถาม : พอเรารู้สึกว่าตอนนี้กิเลสตัวนี้เงียบหายไป เขาก็พยายามจะเล่นตัวอื่นเพื่อให้กระทบกับเรา พยายามจะทำให้เราฟุ้งซ่าน
ตอบ : ตั้งสติระมัดระวังให้สุดชีวิต หลับก็ต้องระวัง กิเลสจะมาแค่สี่มุมเท่านั้นแหละ รัก โลภ โกรธ หลง แต่เขาออกข้อสอบได้เป็นล้านข้อเลย เป็นสุดยอดของอาจารย์จริง ๆ |
ถาม : วิธีฝึกเหาะ ?
ตอบ : ฝึกวาโยกสิณให้ได้ก่อน ถ้าเราตั้งใจเหาะ แล้วไม่ได้อธิษฐานให้ไปช้า ๆ คนจะไม่คิดว่าเราเหาะ เขาจะคิดว่าเราหายตัว เพราะจะแวบเดียวไปอยู่ที่จุดหมายเลย แต่ถ้าหากว่าอยากจะไปช้า ๆ อวดชาวบ้านเขา ก็ต้องอธิษฐานด้วยว่าให้ไปช้า ๆ ผมอยากเท่ครับ..! |
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สมัยก่อนบวชเคยดูหนังเรื่อง ๑๘ ยอดมนุษย์ทองคำ พระเอกต้องเข้าไปฝึกวิชาที่เส้าหลินเพื่อไปล้างแค้น พอฝึกวิชาสำเร็จฝ่าด่านมนุษย์ทองคำออกมาได้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านให้โอวาทว่า "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย"
เมื่อพระเอกลงไปในยุทธจักร ก็ใช้สามคำนี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเขา แม้กระทั่งวาระสุดท้ายที่เขาไปต่อสู้กับตัวโกงที่ฆ่าพ่อเขา เมื่อใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย กำลังจะฆ่าตัวโกง เขาก็ต้องหยุด เพราะคิดถึงคำของพระอาจารย์ที่ว่า "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย" สุดท้ายพระเอกก็เลยละมือ เลิกการล้างแค้น ส่วนใหญ่สมัยนี้คนใจร้อน ทำก่อนคิด ถึงได้มีบางท่านบอกไว้ว่า "ให้คิดทุกอย่างที่เราทำ แต่อย่าทำทุกอย่างที่เราคิด" จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบก่อน เรื่องของความอดทน ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาพุทธได้เลย โอวาทปาฏิโมกข์ก็ขึ้นด้วยขันติ..ความอดทน ถ้าไม่อดทนอดกลั้นต่อสู้กับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ก็ไม่สามารถที่จะผ่านได้ และท้ายสุดก็อภัยให้เขาเถอะ ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ เขาก็คงไม่ทำแบบนั้นกับเราหรอก" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.