![]()  | 
	
		
 พระอาจารย์เคยบอกว่า "ผู้หญิงกับผู้ชายคบค้าสมาคมกันไป น้อยรายที่จะรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันได้ โดยที่ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง" 
	 | 
		
 ถาม :  อ่านหนังสือเรื่อง ศิวาราตรี   นางเอกในเรื่องชื่อ  เจ้าหญิงยามาระตี ยุพดีขวัญฟ้า นายิกาแห่งดาราพราย  นายิกา แปลว่า อะไรคะ ? 
	ตอบ : นายิกา คือ ผู้นำที่เป็นหญิง ผู้นำที่เป็นชายเขาเรียกว่านายก นายิกาแห่งดาราพราย คือ หญิงผู้งามกว่าดวงดาวทั้งปวง ถ้าเปรียบไปแล้วคือพระจันทร์ ยุวดี (บาลี) แปลว่า หญิงสาวผู้อ่อนวัย ถ้าสันสกฤต จะเป็น ยุพดี อย่างคำว่า วิบูล เป็นบาลี ถ้าสันสกฤตจะเป็นไพบูลย์  | 
		
 พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า  ท่านไม่ชอบตัดสินใจแทนใคร  เพราะว่าถ้าตัดสินใจแทนเขาแล้ว เขาก็จะตัดสินใจเองไม่ได้เสียที 
	 | 
		
 พระอาจารย์บอกว่า "ถ้าเราไล่กั้นกิเลสได้ทัน ได้รวดเร็ว  อย่างอื่นก็จะช้าหมดสำหรับเรา" 
	 | 
		
 ขณะที่เถรีกำลังอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่ง  น้องเขาก็กลัว  ร้องขึ้นมา  พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า "บอกแล้วว่า ถ้ายังแก่ไม่พออย่าไปอุ้มเด็ก พ่อแม่วัยรุ่นเลี้ยงลูกแล้วลูกจะร้องตลอด  เพราะร่างกายมีไฟฟ้าสถิตเยอะ  ไฟธาตุยังมากอยู่  ทำให้รบกวนเด็ก ทำให้เด็กไม่สบายตัว เลยร้องออกมา 
	ต้องแก่พอแล้วจึงไปอุ้ม จะเห็นว่าเด็ก ๆ ติดปู่ย่าตายายมากกว่า เพราะไฟธาตุท่านใกล้จะหมดแล้ว เด็กอยู่ด้วยแล้วสบายตัวมากกว่า"  | 
		
 พระอาจารย์มักเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มารับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์  ตอนกลางคืนจะมีเสียงดังรบกวนตลอด เสียงเพลงคาราโอเกะบ้าง   เสียงขุดเจาะก่อสร้างบ้าง ฯลฯ  ทำให้นอนไม่หลับ  ร่างกายอ่อนเพลียไม่ได้พักผ่อน 
	ท่านบอกว่า "งานอะไรก็ตามที่เราทำเพื่อส่วนรวม โดยเฉพาะในส่วนของความดี มารเขายิ่งต้องขวางให้มากเป็นพิเศษ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงทำอะไรมากไม่ได้ กวนไม่ให้นอนเขาก็ยังเอา"  | 
		
 ในเรื่องการเรียนนั้น พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ถ้าอาจารย์ผู้สอนมีอะไรที่มากกว่าของเรา  เราต้องตะเกียกตะกายคว้าเอามาให้ได้  โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานของสมาธิ เห็นชัดเลยว่าจะเรียนดีกว่าคนที่ไม่มีสมาธิ 
	อย่าหนีของยาก ของยากที่สุดถ้าเราทำได้ ของอื่นก็ไม่มีอะไรยากแล้ว"  | 
		
 ในเรื่องของกรรมที่ผูกพันในอดีตนั้น พระอาจารย์ท่านสอนว่า "ถ้าหากว่าเราเชื่อในผลกรรม  เชื่อเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าหากมีการสนองตอบ คล้อยตามเขาเมื่อไร  ทุกอย่างจะพังบรรลัยทันที..!   
	ถ้าในชาติปัจจุบันเราไปเออออห่อหมกกับเขา ว่าในอดีตเคยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยกันมาก่อน เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง เพราะว่าแรงกรรมที่รออยู่นั้น จะฉวยโอกาสฉุด..ชัก..ดึง..ลาก ทุกอย่างจะไปตามกันหมด ฉะนั้น..เรื่องในอดีตชาติไม่ได้เกี่ยวกับเราแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้แค่รับรู้ไว้ก็พอ"  | 
		
 พระอาจารย์ท่านบอกว่า  ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วท่านแก้ไขได้ ไม่ใช่เพราะว่าท่านเก่ง  แต่ท่านคิดล่วงหน้าไว้ก่อนว่า ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นจะแก้ไขอย่างไร ? 
	"ภาษิตจีนเขาบอกว่า รุกขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ต้องถางทางถอยหนึ่งวา พวกเราต้องหัดมองในมุมกว้าง ไม่ใช่คิดแต่ในด้านที่จะได้อย่างเดียว ต้องคิดเผื่อถึงตอนที่เราจะเสียด้วย เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง"  | 
		
 พระอาจารย์เคยพูดเกี่ยวกับอารมณ์เบื่อ หรือที่เรียกว่านิพพิทาญาณไว้ว่า "ถ้าหากไม่มีกำลังของสมาธิมาช่วยหนุน อารมณ์นี้จะอยู่กับเรานานมาก หากมีกำลังสมาธิเพียงพอ จะทำให้เกิดปัญญา แล้วจะทำให้ก้าวล่วงข้ามผ่านไปได้" 
	 | 
		
 มีคณะหนึ่งมาปรึกษาพระอาจารย์ เนื่องจากเขามีปัญหาไม่ลงรอยกับคนในกลุ่ม  พระอาจารย์บอกว่า "สงบศึกไม่ได้แสดงว่ายังแบกตัวกู ของกูไว้เยอะ ยิ่งแบกนานก็ยิ่งทุกข์มาก   ถ้าเลิกแบกก็ทุกข์น้อย    เรากำลังแบกมานะ  แบกอวิชชาไว้จนเต็มบ่า  มีอยู่อย่างเดียวคือ มีอะไรก็ประนีประนอมกัน ใครวางได้ก่อนก็สบายก่อน"   
	 | 
		
 พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พอปฏิบัติไปเรื่อย ๆ เรื่องที่อยากรู้เหมือนก่อนนี้ไม่ค่อยจะมี   เราจะค่อย ๆ เบื่อไปเอง  แต่พอถึงเวลานั้นสารพัดเรื่องที่เคยอยากรู้กลับประดังกันเข้ามา   
	ที่แปลกก็คือ ตอนที่อยากได้ไม่มา มักจะมาตอนที่หมดอยากแล้ว เพราะฉะนั้นเราวางกำลังใจอย่างไรให้หมดอยากไว ๆ แล้วทุกอย่างจะไหลมาเทมาเอง"  | 
		
 พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า คนแต่งงานแล้วกับคนยังไม่แต่ง เขามองต่างกัน  "โกวเล้งเคยเปรียบเอาไว้  คนหนึ่งอยู่ในป้อมปราการ  มองออกมาข้างนอกเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ เขาก็อิจฉา  ว่าที่ตรงนั้นสบาย ลมก็เย็น  มองเห็นอะไรหมดทุกอย่าง  ทำอย่างไรเราจะได้ไปนั่งอยู่ตรงนั้นบ้าง? 
	ชายคนที่อยู่บนยอดไม้มองเข้ามาเห็นคนข้างในป้อมปราการ ก็คิดว่าคนข้างในสบาย อยู่ข้างในปลอดภัยกว่า ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร มีกินมีใช้ตลอด ทำอย่างไรเราจะได้เข้าไปอยู่ข้างในนั้นบ้าง? คนแต่งงานกับคนไม่แต่งงานเขามองต่างกัน ทำนองที่เขาว่า "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า"  | 
		
 พระอาจารย์บอกว่า "ในเรื่องคุณไสยนั้น  ถ้าเราภาวนาให้กำลังใจทรงตัวแค่ในระดับปฐมฌาน พวกผีหรือไสยศาสตร์ก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  เขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราเผลอ   เพราะฉะนั้น..เมื่อเรายังเผลอเป็นปกติ  เราก็ต้องอาราธนาบารมีพระ อาราธนาวัตถุมงคลให้คุ้มครองเราเป็นประจำทุกวัน" 
	 | 
		
 ถาม : ลาภ กับ โลภ ต่างกันอย่างไร ? 
	ตอบ : ลาภ ได้มาเองแม้จะไม่ต้องการ ....... โลภ ถ้าต้องการแล้วไม่ได้ แม้ผิดกฎหมายและศีลธรรมก็จะเอาให้ได้  | 
		
 นักปฏิบัติที่ยังไม่ทันลงมือทำ ก็เป็นกังวลว่าตนเองจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่  ทำแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน  หรือกลัวว่าถ้าทำแล้วจะออกมาไม่ดี   วิตกกังวลไปต่าง ๆ นานา  ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ทำ 
	ท่านพระอาจารย์เคยเปรียบเทียบว่า "ประเภทที่ยังไม่ทันจะกินแล้วไปห่วงว่าอิ่มหรือเปล่า เมื่อไรจะได้กินกับเขาเสียที"  | 
		
 พระอาจารย์เคยบอกว่า "บุคคลที่ยอมลำบากโดยที่ไม่ห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  จัดว่าเป็นปรมัตถบารมี  แต่บุคคลที่เป็นปรมัตถบารมีแล้วจะมีปัญญาเฉลียวฉลาดด้วย  เขาจะรู้ว่าแค่ไหน ขนาดไหน จึงพอเหมาะพอควร" 
	 | 
		
 พระอาจารย์บอกว่า  "การที่เราต้องการให้คนอื่นมาสนใจเรา  มาให้ความสำคัญกับเรา  เป็นสักกายทิฐิมานะเต็ม ๆ เลย" 
	 | 
		
 พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า  เคยหนักมากที่สุด  ๖๓.๕  กิโลกรัม  ตอนช่วงที่ท่านยังเป็นทหารอยู่   
	"เป็นคนที่น้ำหนักขึ้นยากมาก ไม่มีใครอยากชกด้วย เพราะเป็นนักมวยทหารรุ่นไลท์เวทคนเดียวที่ไม่ต้องลดน้ำหนักและไม่ต้องเพิ่มน้ำหนัก พอดีเป๊ะ แรงดีไม่มีตก ก่อนบวชสองปี ก็ตั้งใจรักษาศีลแปด จะได้เคยชินกับการอดข้าวเย็น ผลปรากฏว่าน้ำหนักหาย เหลือ ๕๔ กิโลกรัม แปลว่าหายไปทีเดียว ๙ กิโลครึ่ง จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ได้คืนมาตั้ง ๒ กิโลกรัม..!"  | 
		
 พระอาจารย์ท่านกล่าวในเรื่องอาหารว่า "ร่างกายเราต้องการอาหารเพื่อยังอัตภาพเท่านั้น  ส่วนที่ต้องการอาหารหน้าตาสวย ๆ น่ารับประทาน  รสชาติอร่อย  ติดลิ้น  นั่นเป็นกิเลสต้องการ 
	แม้กระทั่งกินเราก็ต้องระวัง"  | 
		
 ในเรื่องการปฏิบัติ  พระอาจารย์บอกว่า "ถ้าทำไปแล้วไม่หวัง..จะได้ผลเร็ว แต่ถ้าทำไปแล้วหวัง..จะได้ยาก  
	เวลาทำต้องลืม ถ้าไม่ลืมเดี๋ยวจะไปฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเป้าหมาย จิตใจเลยไม่รวมตัวสักที"  | 
		
 พระอาจารย์เคยสอนเรื่องการใช้ภาษาไทย  
	หลงใหล....ใช้สระไอไม้ม้วน หลับไหล.....ใช้สระไอไม้มลาย "ไหล" คำนี้คือการที่ทำอะไรโดยไม่รู้ตัว เช่น ไหลตาย คือตายโดยไม่รู้ตัว ส่วน "หลับไหล" คือ การละเมอทำนั่นทำนี่ บางคนตื่นขึ้นมาหุงข้าว ทำกับข้าวเสร็จก็หลับต่อ แต่สมัยนี้เห็นเขียนเป็น "หลับใหล" กันหมดแล้ว..!"  | 
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:50 | 
	
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน 
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.