![]() |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก แปลว่า ต่อให้จนแค่ไหน ถ้ารู้สึกยินดี พอใจในสิ่งที่ตนเองมี มันก็รู้สึกว่าตนรวย
ส่วนผู้ที่ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นวนิพกในเรือนเศรษฐี ต่อให้รวยขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่รู้จักพอก็ยังจนอยู่ ที่ว่ามาเป็นของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง สมัยท่านเป็นพระเทพกวี วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านติดคำคมไว้รอบวัด เช่น ถ้าอยากจะดัง อย่าหวังความสงบ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พัฒนาการในการฝึก ในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้าหากว่าใจร้อนเมื่อไร หลงทางได้ง่ายที่สุด"
|
ถาม : ครั้งล่าสุด ไปกราบวิหารสมเด็จองค์ปฐม พอไปกราบเสร็จ หลับตาปั๊บ สว่างโร่เลย ผมไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอบ : ไปใหม่ ถาม : ไม่เหมือนเดิมครับ ตอบ : ต้องย้อนกลับไปดูว่า ตอนนั้นเราวางกำลังใจอย่างไร ช่วงก่อนที่ทำจะอย่างนั้น เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร |
ถาม : วันอังคารนี้ผมจะตั้งศาลพระภูมิครับ
ตอบ : ทำไมไปตั้งวันอังคาร ? ถาม : ฤกษ์พรหมประสิทธิ์พอดีครับ ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาลพระภูมิเขาให้ใช้ฤกษ์วันพฤหัส เดือนคู่ อย่างเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้น และเดือนสิบสอง เดือนแปดข้างแรมและเดือนสิบเขาไม่ทำกัน เพราะถือว่าอยู่ในช่วงพรรษา ฉะนั้น..เราลองไปดูใหม่ เอาวันที่เหมาะ ๆ หน่อย |
ถาม : ขอกราบเรียนถามเรื่องใช้ทรายเสก ที่เขาบอกว่าสาดจากข้างในออกไป หมายถึงในตัวบ้าน ในตัวอาคารเลย ?
ตอบ : ซัดในบ้านก่อน จากนั้นค่อยไปล้อมเป็นวง ถ้าคุณไปล้อมวงก่อน ของข้างในเขาออกไม่ได้ เดี๋ยวจะมีการอาละวาดหนักเลย ถึงเป็นตึกสิบชั้น ยี่สิบชั้นก็ไม่เป็นไร ตั้งใจแค่ชั้นเดียวก็พอ อานุภาพคลุมถึงหมด ถาม : ทำเองได้ โดยที่ไม่ต้องให้ใครทำให้ ? ตอบ : ไม่ต้อง ตั้งใจกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ เวลาซัดก็ว่า นะโมพุทธายะ ถาม : อย่างนี้ถ้าซัดไปแล้ว สัตว์เขาตาย เท่ากับปาณาติบาต ? ตอบ : เคยมีตัวอย่างว่า มีบ้านโยมบางคน มีงูเข้ามาแล้วตายพาดอยู่กับวงทรายเสก เขาก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า นั่นเขามาร้าย ถ้าเขามาดีจะไม่เป็นอะไร สามารถเข้าออกได้ ถาม : ซัดในอาคาร กวาดได้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ท่านบอกว่าซัดทิ้งไว้สัก ๓๐ นาที แล้วค่อยกวาด ถ้ากลัวว่าจะไม่พอทำรั้ว เราเอาไปโรยใส่ทรายอื่นเยอะ ๆ ก็ได้ โรยลงไปแล้วคลุกเลย จากนั้นก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน ถาม : ขอบพระคุณครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะต้องเอาไปกี่สิบถุงถึงจะพอใช้ |
ถาม : ในระหว่างที่ผมนอนหลับ จะรู้สึกว่ามีแผ่นใส ๆ มาปิดที่ใบหน้า ช่วงนั้นจะรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ค่อยออก แต่พอสักพักหนึ่ง มันคลุมตัว พอตื่นมารู้สึกจิตกระปรี้กระเปร่าขึ้น อันนี้เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ สภาพจิตเป็นสมาธิทรงตัวมากขึ้น พอสมาธิทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะน้อยลงโดยอัตโนมัติ แล้วเรายังไม่เคยชิน ก็เลยรู้สึกอึดอัดในระยะแรก อย่างที่สอง เป็นเหตุผลทางการแพทย์ เขาบอกว่าคนที่นอนไม่หลับ ถ้าระบบการหายใจไม่ดี จะมีอาการเป็นอย่างนั้นเอง ถาม : เราก็เลยกลัว เพราะหายใจขัด ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเสียเพราะกลัว คือ ถ้าหากว่าเป็นอย่างแรก ที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น ถ้าหากว่าเรากลัว ก็จะถอยหลังเลย กลายเป็นกลัวดี ต้องตัดสินใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย เพื่อแลกกับความดี |
ถาม : เรื่องคาถาเงินล้าน การท่องสัมปะจิตฉามิกับสัมปะติจฉามิ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ท่องไปทั้งคู่นั่นแหละ ถาม : ท่องได้ทั้งสองอย่างใช่ไหมครับ ? ตอบ : อย่างหนึ่งเป็นคาถาป้องกัน อย่างหนึ่งท่านเรียกว่า แก้วสารพัดนึก ถาม : แล้วคาถาเงินล้านแบบพิเศษเป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าท่านอนุญาตแล้วจะบอก ไม่ได้พิเศษอะไรหรอก น้อยเป็นพิเศษ ท่องน้อยแต่ได้เยอะ ส่วนใหญ่พวกเราชอบทางลัด ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ได้ อาตมาเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า วันหนึ่งภาวนาเป็นพันจบ ต้องว่าจนกระทั่งทรงตัวแล้ว หลังจากนั้นสูตรพิเศษก็จะตามมา ข้ามขั้นตอนไม่ได้ ถาม : ต้องเข้าสมาบัติแปดท่องหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ต้อง |
ถาม : เมื่อก่อนสังเกตอารมณ์ตัวเอง อย่างเวลามีความกำหนัดเกิดขึ้น จะมีอยู่สองอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือ พยายามที่จะทำตามความรู้สึกนั้น กับพยายามที่จะให้ความรู้สึกนั้นหายไป ทีนี้เกิดมีอีกอารมณ์หนึ่งเกิดขึ้นเข้ามา ก็คือ รู้สึกว่าความกำหนัดเกิดขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้หายไป และก็ไม่ได้อยากจะทำตาม ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : อันหลังนี่เป็นอารมณ์ที่ถูกต้องกว่า เพราะว่าสภาพร่างกายของเราถ้ายังดีอยู่ เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ จะแรงเป็นปกติ แต่จะแรงก็แรงไป เราไม่ให้ความใส่ใจ ไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งจินตนาการ ก็จะอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็จะหายไปเอง เพราะฉะนั้น..เราทำตัวเป็นคนดู พอถึงเวลามีตัวละครขึ้นเวทีมา เราก็ดูไปเรื่อย พอเล่นครบบทเดี๋ยวมันก็ลงเวทีไปเอง ถ้ายิ่งสติ สมาธิ ปัญญาของเราเข้มข้น แหลมคม ว่องไวมากเท่าไร ระยะเวลาที่จะอยู่ได้ก็สั้นลงเท่านั้น และท้ายสุดถ้าหากว่าไวจริง ๆ ก็จะตัดตั้งแต่เหตุเลย แล้วมันจะเกิดไม่ได้ ถ้าถึงตอนนั้นคุณสบายแล้ว อย่างเช่นมองไปจะสักแต่เห็นว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์เท่านั้น จะไม่มีการคิดต่อว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สวยหรือไม่สวย ชอบหรือไม่ชอบ เพราะฉะนั้น..ทั้งราคะ ทั้งโทสะก็เกิดไม่ได้ ก็คือเห็นก็สักแต่ว่าเห็น หูได้ยินเสียงเหมือนกัน ต่อให้ไพเราะขนาดไหนก็ตาม แต่ทันทีที่ได้ยินก็จะกลายเป็นสักแต่ว่าได้ยิน เพราะรู้ว่าถ้าคิดตามหรือทำตามจะเกิดโทษอย่างไร ประเภทนี้กว่าจะถึงได้จะต้องโดนจนเข็ด พลาดแล้วพลาดอีก ผิดแล้วผิดอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วในที่สุดพอเข็ดขึ้นมาแล้วจะหาวิธีการ คือ เริ่มใช้ปัญญาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะโดนอีก ที่ว่าหาวิธีการไหนที่จะหลีกเลี่ยง อันดับแรกก็ต้องหยุดไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นท้ายสุดก็เลิก ฉะนั้น..ที่เราทำอยู่ปัจจุบัน ถือว่าถูกต้องมากกว่าอย่างแรก แต่ขอให้รู้ว่า ไม่ว่าจะชอบ ก็คือคล้อยตาม หรือว่าจะชัง ต่อต้านก็ตาม จะเสียทั้งคู่ ถ้าชอบก็เป็นราคะตรง ๆ ชังก็เป็นโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ถาม : อันนี้เป็นขั้นหนึ่งที่ก้าวเข้าใกล้อารมณ์สังขารุเปกขาญาณหรือเปล่าครับ ? ตอบ : จะเรียกว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณไหม ? ยังไม่เป็น เพราะถ้าหากว่าสังขารุเปกขาญาณนี่ จะปราศจากการปรุงแต่งแล้ว จะเรียกว่าก้าวเข้าไปใกล้ไหม ? ใกล้กว่าเดิมสักก้าวหนึ่ง เหลืออีกกี่กิโลว่ากันอีกที |
ถาม : สงสัยมาจากครั้งก่อนครับ ที่ถามเรื่องนิพพิทาญาณ ที่หลวงพ่อบอกว่าจะต้องพิจารณาให้ก้าวต่อไปสู่สังขารุเปกขาญาณ ก็คือ มาทางนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามาทางนี้ ถูกแนวแล้ว ต่อไปก็ทำอย่างไรที่จะรู้ทันและหยุดมันให้ได้ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วก็จะสักแต่ได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส แล้วให้อยู่แค่นั้น อย่าให้เข้ามาในใจ ไม่คิดต่อจะจบเลย คิดต่อเมื่อไร เป็นโทษทันที แล้วหลังจากนั้นต่อไป ปัญญามีมากขึ้น ก็เห็นเหตุว่าเกิดจากอะไร ก็จะตัดเหตุอันนั้นเลย ต่อไปจะสักแต่ว่าเห็น ถ้าถึงตอนนั้น จะเป็นโต๊ะก็ดี จะเป็นเสาก็ดี จะเป็นคนก็ดี จะมีราคาเท่ากันหมด คือเราสักแค่ว่าเห็นเป็นรูปหรือเป็นธาตุเท่านั้น ไม่มีความเป็นหญิง เป็นชาย เป็นเรา เป็นเขา ตัวที่จะปรุงแต่งไปทางราคะ โลภะ โทสะ โมหะก็หมดไป ทำไปเถอะ ขอให้ถึงไว ๆ จะได้หมดภาระอาตมาไปสักคน |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พ.ต.อ. อรรณพ กอวัฒนา ด้วยความที่ท่านเป็นตำรวจและผจญกับผู้ร้ายมาเยอะ ก็เลยเชื่อมั่นในเรื่องวัตถุมงคล
ตอนนั้นท่านไล่จับผู้ร้ายทางจระเข้น้อย ออกไปทางสมุทรปราการ ท่านบอกว่ายิงมันกระเด็นตกเรือไป คาดว่าตายแน่นอน แต่จ้างคนงมเท่าไรก็ไม่เจอ ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันมันไปปล้นอีกแล้ว สืบดูก็เลยรู้ว่าโจรมันพกเขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดคลองด่าน ของท่านขลังขนาดนั้นเลยหรือ ? ยิงกระเด็นตกเรือไปเลย แต่กลับไม่เป็นอะไร ของอย่างนี้จะต้องมีประสบการณ์เองจึงจะเชื่อมั่นมากขึ้น พวกเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ทำให้พระจำเป็นต้องออกธุดงค์ เพราะว่าเมื่อต้องผจญอันตราย ไม่ว่าจากสัตว์ร้าย ภูตผีปิศาจหรือว่าเทวดาแกล้งก็ตาม ท้ายสุดถ้าเอาคุณพระรัตนตรัยเข้าสู้ จะไม่มีอะไรสู้ได้ กลายเป็นว่าคุณพระรัตนตรัยสูงสุด ไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างได้ ก็จะเกิดความเชื่อมั่นพระรัตนตรัยอย่างเต็มที่ เต็มจิตเต็มใจไปเอง ไปไหนก็เลยจะเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นั่นเป็นกติกาข้อแรกของความเป็นพระโสดาบัน เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ไปชำระศีลให้บริสุทธิ์ และระลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่เขาไปธุดงค์กันจนแทบปางตาย เขาต้องการแค่นี้แหละ เขาไม่ต้องการอะไรมากมาย" ถาม : ถ้ามีความเคารพพระรัตนตรัยเสียอย่าง การรักษาศีล นึกถึงความตายก็... ตอบ : เท่ากับเป็นส่วนประกอบเลย ที่ยากที่สุดอยู่ที่ข้อแรก |
ถาม : ถ้าเราพิจารณาว่าร่างกายไม่มี ทำไมรู้สึกว่าร่างกายมันหนัก
ตอบ : เพราะเป็นภาระ ถาม : มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตอบ : สมาธิแน่นขึ้น พอสมาธิแน่นขึ้น ทรงตัวมากขึ้น ถ้าถึงระดับฌานสองต่อฌานสาม เราจะรู้สึกหนัก หรือบางทีเหมือนกลายเป็นหินไปเลย ความจริงไม่อยากจะบอก แต่ว่าถ้าไม่บอกก็อธิบายไม่ชัด แต่พอบอกไปก็ให้ระมัดระวังไว้ว่า ต่อไปเวลาปฏิบัติอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้นเมื่อไร ชาตินี้ก็ไปไม่ถึง เพราะจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน รอว่าเมื่อไรจะเป็นอีก ให้เราปฏิบัติไปเหมือนเดิมทุกอย่าง จะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของมัน ถาม : ก็คือ ช่างมัน ตอบ : จ้ะ เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน ถาม : แล้วบางทีใจหวิว ๆ ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องของร่างกาย อย่าไปสนใจมากนัก คิดว่าเราทำความดีอยู่ ตายตอนนี้ก็ช่างมัน อยากจะบอกกับโยมว่า ที่มานั่งตอบตรงนี้ได้เพราะหวิวมาเยอะแล้ว ทุกขั้นตอนที่โยมว่า อาตมาเจอมาหมดแล้ว ถาม : มันจะตาย ตอบ : ถ้าใจจะขาด ให้ตัดใจไปเลย ตายเป็นตาย..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่เขาจะก่อความวุ่นวาย บางทีทางใต้เขาจะสวมรอยพร้อม ๆ กัน ความสนใจที่มุ่งมาทางกรุงเทพฯ ทางด้านนั้นจะโหว่...
ถ้าหากว่าฝ่ายป้องกันขาดความระมัดระวัง จะเป็นเหตุให้ทางภาคใต้ก่อเหตุความรุนแรงได้ง่าย" |
ถาม : หลวงพ่อเคยรู้สึกขี้เกียจไหมครับ ?
ตอบ : เคย ถาม : บ่อยไหมครับ ? ตอบ : นาน ๆ ที ถาม : แล้วตอนขี้เกียจทำอย่างไรครับ ? ตอบ : นอน..! ถาม : ตื่นมาแล้วหายไหมครับ ? ตอบ : ตื่นมาแล้วก็ทำงานต่อ ขี้เกียจอีกไม่ได้ เพราะหน้าที่บังคับ มีหลายครั้งในลักษณะของการปฏิบัติเพื่อสู้กิเลส บางทีสู้กิเลสไม่ไหวจริง ๆ ต้องใช้วิธีโกงก็คือนอนเลย จริง ๆ นะ ไม่อย่างนั้นเราจะพิจารณาหรือภาวนาอย่างไร ก็เอาไม่อยู่ทั้งนั้น ถ้าเอ็งมีปัญญาอาละวาดก็อาละวาดไป ข้าจะนอน พอตื่นขึ้นมาคราวนี้มีแรงฟัดกับมันต่อได้ วิธีโกงอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ใช้มาหลายครั้งแล้วด้วย ถาม : มันไม่ตามไปตีต่อในฝันหรือครับ ? ตอบ : ตอนนั้นเรามืดบอดไปหมด ชนิดในฝันมันก็เอาเราไม่ได้แล้ว ฉะนั้น..บางทีก็โกงได้ซึ่ง ๆ หน้าเหมือนกัน |
ถาม : ระหว่างอุปาทานกับการคิดเอง จะพิจารณาว่าต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุปาทาน คุณเข้าใจว่าอะไร ? อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นไปกับสิ่งที่เราได้รู้มา อันนั้นคืออุปาทาน ไม่ใช่คิดเอง การคิดเองอาจจะเป็นจินตามยปัญญาก็ได้ จินตามยปัญญาเป็นปัญญาเกิดจากการคิด โดยที่อาศัยการอนุมานเอา จากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราได้มา จะเป็นการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษาก็ตาม แต่ภาวนามยปัญญา เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว อย่างเช่น รู้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ใครก็เถียงไม่ได้ รู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ใครก็เถียงไม่ได้ รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้น..อุปาทานที่เราว่า เราเข้าใจรากศัพท์จริงไหม ? อุปาทาน คือการไปยึดของเก่าเป็นหลัก อย่างเช่นว่า พระอินทร์จะต้องเขียว ๆ ถ้าท่านมาในลักษณะอย่างอื่นที่ไม่เขียว เราก็คิดว่าไม่ใช่ ถาม : การยึดมั่นถือมั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงความเป็นอริยเจ้า ตราบนั้นยังมีความเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ฉะนั้น..คุณไม่ไปกังวลหรอก เป็นแทบทุกคน จะเป็นมากเป็นน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นชนิดที่ไม่เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย ก็มิจฉาทิฏฐิแท้ ถ้าเชื่ออยู่บ้าง แต่ปฏิบัติไม่ได้ ก็ถือว่ามีส่วนของความเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่บ้าง |
ถาม : หนูไปทำตามที่หลวงพ่อบอก ก็คือ ฟังเสียงเทศน์ไปเรื่อย ๆ ทั้งคืน แล้วก็เหมือนไม่ค่อยได้หลับทั้งคืน พอวันที่สี่ หัวหมุน ตาโฟกัสไม่ได้
ตอบ : อันนั้นแสดงว่ายังไม่ใช่ ถ้าหากว่าใช่จริง ๆ ตัวเราหลับแต่ใจเราตื่น ถาม : หลวงพ่ออยู่ได้อย่างไร ทั้งที่เวลานอนมีนิดเดียว ? ตอบ : ก็อยู่อย่างนี้แหละ ถาม : แล้วหัวไม่หมุนหรือคะ ? ตอบ : ก็ได้นอน คือเราขอนิดเดียวเท่านั้น พอกำลังใจละเอียดขึ้น การพักผ่อนน้อยก็เหมือนพักผ่อนมาก เพราะร่างกายได้พักจริง ๆ อาจจะพักในระดับที่ว่า อวัยวะภายในหยุดทำงานเลย นี่บอกข้ามขั้นตอนไปหน่อย เอาไว้ทำถึงตรงนี้แล้วค่อยมาถาม ในเมื่อร่างกายที่ทำงานมาตลอด จู่ ๆ ดับเครื่องไปสัก ๑๕ นาที ก็ถือว่าพอแล้ว ถึงเวลาก็เริ่มต้นใหม่ |
ถาม : กราบเรียนถามเรื่องการใช้สีรถให้ถูกโฉลก
ตอบ : สีอะไรก็ได้ ยกเว้นสีดำก็พอ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเองว่า "เป็นการไว้ทุกข์ให้ตัวเอง..ไม่ดี.." แต่ส่วนใหญ่ร้อยละร้อย มักจะเอาแต่สีดำ ถาม : รถสีเทาได้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : ก็ยังจัดว่าอยู่ในโทนดำ |
ถาม : เมื่อคืนฝันว่าเห็นท่านมาบอกเคล็ดเรื่องอาราธนาพระ แต่บอกเป็นภาษาบาลีครับ ผมจำไม่ได้
ตอบ : ไม่ต้อง จำไม่ได้ ก็ปล่อยไป ถาม : เป็นท่อนก่อนขึ้น พุทธัง อาราธนานังครับ ตอบ : อะไรในฝัน ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ |
ถาม : เมตตาเพศตรงข้ามอย่างไรไม่ให้เป็นราคะ?
ตอบ : ตั้งกำแพงกั้นเอาไว้เลย ถ้าไม่ตั้งกำแพงกั้นไว้ ให้เขาเข้าใกล้ได้ เดี๋ยวก็เสร็จ..! เพราะของอย่างนี้จะดึงดูดกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงเวลาเขาเข้ามา เราก็ยันออกไป ตอนนั้นเราเบรกด้วยขา คือยัน ไม่ใช่อุเบกขา อารมณ์เมตตาจริง ๆ จะไม่มีราคะเจือปน แต่เนื่องจากว่ากำลังของเรายังไม่บริสุทธิ์จริง ถึงเวลาแล้วสถานการณ์พาไป เผลอไปนึกคิดปรุงแต่ง ก็จะออกไปทางราคะได้ ฉะนั้น..ต้องตั้งกำแพงกั้นไว้เลย ถ้ายังทำได้ไม่ดี เราอุเบกขาไม่ได้ เราก็เบรกด้วยขา เข้าใกล้มาก็ถีบพลั่ก..! ถาม : เผอิญว่าไม่ได้มีรายเดียวด้วยค่ะ ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถึงวาระที่กรรมจะส่งผล โอย..ไหลมาเทมา ถาม : ใช่ค่ะ ตอบ : คอยยันเอาไว้ พอพ้นวาระก็จะพ้นเลย จากที่เคยให้ความสนใจก็จะธรรมดาปกติ ถาม : หนูก็พยายามไปตัดตัวโลภะด้วย เพราะหนูเห็นว่า พอทำให้ตัวโลภะเบาบาง ราคะก็เบาบางลงด้วย ตอบ : จะไปตัดตัวไหนก่อนก็ได้ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีกำลังเท่ากัน ตัวไหนเบาลงที่เหลือก็เบาไปด้วย เหมือนกับกองทัพกิเลส ถ้าเขามีกองทัพอยู่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง กองหนึ่งมีทหารสัก ๑๐,๐๐๐ ก็แปลว่าจำนวนยอดก็คือ ๔๐,๐๐๐ ไม่ว่าเราจะทำลายกองทัพใดกองทัพหนึ่ง อาจจะสูญเสียไพร่พลไปสัก ๕๐ คน ๑๐๐ คนก็ตาม ก็ตัดไปจากยอดสี่หมื่น อย่างน้อยก็เท่ากับว่าส่วนอื่นกำลังน้อยลงไปด้วย ไม่ใช่ว่าของคุณเสียกำลังไปกองหนึ่ง อีกสามกองกำลังเท่าเดิม...ไม่ใช่..เราต้องดูในภาพรวม |
ถาม : ถ้าเราอธิษฐานขอให้ไม่รู้ไม่เห็น พอถึงเวลาเราจะรู้ จะเห็นไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกับว่าพอไปถึงสถานที่นั้นแล้ว..ก็ต้องเห็น ไม่ต้องการรู้..ก็ต้องรับรู้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "กำลัง ๗ ช้างสาร เป็นกำลังบุญ ไม่ใช่กำลังทั่ว ๆ ไป
กำลังบุญในที่นี้ ก็คือ พลังงานขนาดนั้น แม้จะมีอยู่ แต่สภาพร่างกายก็แก่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป กำลัง ๗ ช้างสารนั้นมีไว้ประคองร่างกายตัวเอง เราต้องนึกถึงท่านย่าวิสาขา ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี นั่งอยู่ท่ามกลางลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน เขาแยกไม่ออกว่าคนไหนคือท่าน เพราะท่านมีเบญจกัลยาณีที่เรียกว่า วัยงาม ก็คือ คลอดลูกคนแรกอายุเท่าไร ลักษณะหน้าตาจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต เบญจกัลยาณีมี ๑) เกสะกัลยาณิ คือ ผมงาม ผมสวย เขาบอกว่ายาวสลวยลงมาประมาณบั้นเอว แล้วปลายจะงอนช้อนขึ้น สีเหลือบเขียวเหมือนหางนกยูง แสดงว่า ต้องเงางามมาก ๒) มังสะกัลยาณิ คือ เนื้องาม เขาบอกว่า เนื้องามให้ดูริมฝีปากเป็นหลัก เพราะว่าส่วนของร่างกายที่บางที่สุด คือ ริมฝีปาก ๓) อัฏฐิกัลยาณิ คือ กระดูกงาม ท่านบอกให้ดูฟันเป็นหลัก เพราะกระดูกที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายก็คือฟัน ๔) ฉวิกัลยาณิ คือ ผิวงาม แสดงว่าผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นคนผิวสีไหนก็สวย ๕) วยกัลยาณิ คือ วัยงาม ไม่แก่ตามวัย มีลูกคนแรกตอนอายุเท่าไร รูปร่างหน้าตาจะอยู่แค่นั้นตลอดไป คราวนี้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร ตรงนี้ที่พิสูจน์ได้ก็ตรงเครื่องประดับของท่าน เพราะเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ทำขึ้นมาจากทองพันแท่ง เงินพันแท่ง เรามานึกดู ทองแท่งละบาทก็แย่แล้ว ยังมีแก้วมณี ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ แก้วไพฑูรย์อย่างละ ๒๒ ทะนาน ร้อยขึ้นมา ลักษณะเป็นมงกุฎรูปนกยูงรำแพน มีชายลงมาเป็นเสื้อคลุม น้ำหนักก็เลยมากเป็นพิเศษ ตอนที่นางวิสาขาประกาศขายเครื่องสาธน์ เขาต้องใส่เกวียนไป แต่ถึงเวลาที่ท่านใส่ ท่านก็สามารถใส่ได้สบาย ๆ เพราะกำลังของท่านเยอะ |
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ข่าว ก็ไปแอบดูนางวิสาขา ตอนแรกดูไม่ออกเพราะสาวเหมือนกันหมด พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านฉลาด ท่านรู้ว่า คนแก่ร่างกายไม่ดี กำลังไม่พอ เพราะฉะนั้นถ้าคนแก่ลุกขึ้น ต้องเอามือค้ำพื้นเพื่อช่วยยัน ท่านก็ไปเล็งดู และในที่สุดก็เห็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์เสร็จแล้ว ในกลุ่มนางวิสาขาพร้อมกับลูกหลาน เวลาลุกขึ้นมีสาวอยู่คนหนึ่งที่ต้องใช้มือยันพื้นก่อน ก็คาดว่าต้องเป็นคนนี้แน่นอน
คราวนี้การพิสูจน์ยังไม่มั่นคง เพราะไม่รู้จักตัวจริง ท่านก็เลยให้เอาช้างไปซุ่มไว้กลางทาง พอถึงช่วงที่เป็นตรอกแคบ แล้วปล่อยช้างวิ่งเข้าใส่ คนอื่นก็วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง คุณยายวิสาขาหันมา เอานิ้วทิ่มหน้าผาก ในอรรถกถาท่านอธิบายละเอียด ท่านบอกว่าจะจับงวงบิดก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ช้างถึงชีวิต ก็เลยแค่เอาสองนิ้วทิ่มหน้าผากไว้ ช้างวิ่งเข้ามาไม่ได้ ติดอยู่แค่นั้น คราวนี้ในเรื่องของกำลัง ถ้าถามว่าคนในปัจจุบันนั้นมีไหม ? ก็ต้องบอกว่าได้เห็นจากหลวงพ่อวัดท่าซุง คำว่าได้เห็นจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ไม่ได้เห็นชัดเจนมาก เป็นการประมวลเอา อย่างเช่นว่า เวลาท่านรับสังฆทานเรียบร้อย จะกลับกุฏิ เดินลงจากศาลานวราช โยมก็มักจะนั่งเป็นสองแถวให้ท่านเอาไม้เท้าเคาะหัว ท่านจะมีไม้เท้าอะลูมิเนียม ที่มันเป็นรู ๆ เลื่อนได้ หมุนปรับได้ แล้วตอนปลายก็หุ้มยาง เราจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่บนศาลานวราช ก็อยู่ในเหตุการณ์ ท่านก็เคาะ ๆ โยมไปเรื่อย พอเคาะเสร็จ มีโยมคนหนึ่งเอาทิชชูแปะศีรษะไว้ เราก็ถามว่าเป็นอะไร ? เขาบอกว่าเลือดออก หัวแตกเลย ไม้เท้าอะลูมิเนียมเบา ๆ แถมหุ้มยางด้วย แต่หลวงพ่อท่านเคาะโยมจนหัวแตก..! |
อีกท่านหนึ่ง หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันคือ ท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเวที วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก)
หลวงพี่เจ้าคุณดำตอนนั้นท่านยังเป็นพระมหาอยู่ ท่านรักและเคารพหลวงพ่อมาก เวลาได้พบหน้าหลวงพ่อทีไร ท่านจะมักเข้าไปกราบที่อก พอกราบที่อก หลวงพ่อท่านก็โป๊ก..! "เป็นยังไงวะ..ไอ้ดำ ?" หลวงพี่มหาลงไปกราบที่เท้า อาตมา ก็คิดว่าพี่เรานี่เคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบหน้าอกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าอีก พอหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิ ก็ปรารภเรื่องนี้กับท่าน หลวงพี่ท่านบอกว่า "ไอ้บ้า..กูเกือบสลบ..!" หลวงพ่อตบหัวด้วยความเอ็นดู อย่างกับโดนตะลุมพุกทุบหัวเอา ที่ลงไปที่ตีนไม่ได้กราบหรอก แต่ทรุด..! คราวนี้ที่ชัดที่สุด ปกติอาตมาจะเข้าเวรเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ ถ้าไม่มีคำสั่งท่านนี่ห้ามคนอื่นเข้าเด็ดขาด มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านเรียก "เฮ้ย..เล็ก เข้ามาหน่อยสิวะ" เข้าไปถึง ท่านก็บอกว่า "ยกออกไปทีซิ..วันนี้รู้สึกกำลังดี เลยลองใช้ดู ดึงสองทีเอง..ขาดเลย..! " เป็นเครื่องออกกำลังแบบโยก ๆ จะมีสปริงตัวเท่าแขนอยู่สองฝั่ง หลวงพ่อท่านบอกว่า ดึงสองที ทีที่สองขาดเลย แสดงว่าคงจะดึงจนสุด อาตมาก็เอ๋อรับประทาน แบกเครื่องนั้นออกมาด้วยความงง ๆ ก็เลยมานึกถึงในเรื่องของกำลัง ๗ ช้างสาร ก็คือ กำลังบุญ ตัวเองเป็นคนแก่ ถึงเวลากำลังนั้นจะช่วยพยุงร่างกาย แต่พอไปใช้กับคนอื่นแล้วกลับมีเยอะ ก็คงเหมือนกับช้างแก่ ๆ ไม่มีเรี่ยวแรง แต่พอเดินไปไหนแค่เฉี่ยว ๆ เราก็แทบหมุนไปสามตลบเลย ดังนั้น..ในเรื่องของกำลัง ๗ ช้างสาร ต้องดูว่าเป็นเรื่องของบุญ ในสมัยนั้นที่ระบุไว้ชัดเจนถึงบุคคลที่มีกำลัง ๗ ช้างสาร ก็มีพระอานนท์ นางวิสาขา นางบุญทาสี และพันธุลเสนา |
แล้วกำลังของพระพุทธเจ้ามีเท่าไร? ต้องไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก
เมื่อพระพุทธเจ้าฉันสูกรมัททวะของนายจุนทะไปแล้ว ก็เกิดปักขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นโลหิต ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าที่มีกำลังเท่ากับช้างเป็นแสนเชือก หมดกำลังเหมือนกับน้ำที่ใส่ตะกร้าแล้วรั่วไปหมด นั่นขนาดรั่วไปหมดนะ ท่านยังเดินไปถึงกุสินารา ถ้าเป็นพวกเรากำลังหมดจะเดินไหวไหม? |
ถาม : พอดีผมได้ของอะไรบางอย่างมา ชีวิตผมไม่ค่อยจะดี
ตอบ : ก็โยนทิ้งไปเท่านั้นเอง ถาม : ฝากไว้กับหลวงพ่อองค์หนึ่ง ตอบ : แล้วจะไปห่วงอะไร ? ถาม : ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะฝากท่านไว้เฉย ๆ แต่จะไปเอาคืน ตอบ : กลัวว่าชีวิตจะดีเกินไปใช่ไหม ? ถาม : หลวงพ่อมีคำแนะนำอะไรบ้างไหมครับ ? ตอบ : ไม่มีหรอก ถ้าเรารู้ว่าไม่ดีเพราะอย่างนั้น ถ้าไปเอากลับมา ก็ไม่ดีต่อสิ ถาม : แล้วควรจะไปไว้ที่ไหนดีครับ ? ตอบ : ฝากท่านไว้ ก็ฝากยาวไปเลย ถาม : ฝากยาว ท่านไม่ว่าหรือครับ ? ตอบ : ฝากลืม หรือไม่ก็บอกท่านว่า ถวายเลยครับ ถาม : ตอนแรกท่านจะไม่เอาครับ ท่านบอกว่าให้คุยกับทางที่เอามา ตอบ : คิดว่าพ้นตัวไปแล้วสบายเกิน ก็ไปเอากลับมา..! |
ถาม : ไปซื้อ Twilight มาอ่านตามหลวงพ่อ
ตอบ : อ่านแล้วได้อะไรมาบ้าง ? จุดใหญ่ใจความ ก็คือ แม้ว่าเขาเองจะเห็นนางเอกเป็นอาหาร แต่เขาก็ยังอดใจไว้ได้ การหักห้ามใจลักษณะนั้นแหละ คือ ศีล แล้วการที่เขาสามารถจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ โดยการอนุมานเอาจากกลิ่น หรือสภาพอากาศ ตรงนั้นเป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง เป็นเราไหวไหมละ ? เธอหอมน่ากินขนาดนั้น แล้วต้องมานั่งเฝ้าอยู่ทุกคืน แมวเฝ้าปลาย่าง แล้วมีกติกาว่าห้ามกินนี่ สุดยอดทรมานจริง ๆ แต่ถ้าเรามาดูเบลล่า (นางเอกของเรื่อง) เขามีพื้นฐานดีมาก่อน ถ้าเป็นลักษณะของธรรมะ ก็คือ ปุพเพกตปุญญตา สร้างบุญไว้แต่ปางก่อนดี จึงส่งผลดีในชาตินี้ ปกติพอเป็นแวมไพร์ใหม่ ๆ ก็จะกระหายเลือดมากกว่าปกติ แต่เบลล่าเองสามารถหักห้ามใจได้เลย ห้ามได้แบบเด็ดขาดด้วย ส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง มีไม่เว้น แม้แต่พวกผีดิบก็ยังมีเป็นปกติ อยากใหญ่ อยากมีอำนาจ ไม่อยากให้คนอื่นเด่นกว่าตัว มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงเหมือนกัน ถาม : แต่นางเอกตอนเป็นมนุษย์...(ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไม่ใช่..คนปกติใครเขาจะทำอย่างนั้น ต้องบอกว่าเป็นบุพเพสันนิวาส แค่เห็นก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมมอบกายถวายชีวิตแล้ว ต่อให้รู้ว่าพระเอกไม่ใช่คน ก็ไม่เปลี่ยนใจ |
สิ่งที่เย้ายวนใจขนาดนั้นอยู่ตรงหน้า แล้วสามารถหักห้ามใจได้ ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ เรื่องการสู้กิเลสก็เป็นเรื่องเล็กมาก ถ้าเรื่องขนาดนั้นยังห้ามใจตัวเองได้ เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านั้นหรอก
ถาม : ใช้กำลังตรงนี้หักห้ามใจ เหมือนกับว่าห้ามทั้งชีวิตเลยนะคะ ต้องใช้กำลังใจสูงมาก เหมือนแทบเอาชีวิตเราไปเลย ตอบ : เรายังไม่มีประสบการณ์ อาตมาเจอประเภทที่เขาหันหลังไปแล้วน้ำตาไหล เราเองหัวใจจะขาดรอน ๆ ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่เจออย่างนั้น เพราะอาจจะวิ่งตามเขาไปเลย มาดูถึงตัวเอง เขามาทวงสัญญาจะให้สึก เราก็พยายามหนี โดยอ้างว่า พระไม่สามารถจะอยู่กับผู้หญิงสองต่อสองได้ เขาก็ไปหาเพื่อนผู้ชายมา ตามไปทุบประตูเรียกมาเจรจา อยากจะบอกว่า ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะกำลังของครูบาอาจารย์ท่านช่วย ตอนช่วงนั้นมันเหมือนกับเรารู้ว่า นี่เป็นศึกสงครามครั้งสุดท้าย ถ้าไม่เขาตาย เราก็ตาย..! เหมือนกับกำลังของเราทั้งหมดที่สั่งสมมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนั้นมารวมตัวกันหมด นิ่งสุด ๆ จริง ๆ ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนทั้งน้ำตาขนาดไหนเราก็เฉย..! ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับเป็นหินใหญ่อยู่กลางสายน้ำ ไม่ว่าสายน้ำจะไหลมาอย่างไร มีแต่ต้องแหวกออกข้างไปเอง เราไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก พอปฏิเสธประโยคสุดท้ายออกไป เขาหันหลังร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย เมื่อรู้สึกว่าเขาพ้นจากตรงหน้าแล้ว สมาธิเราก็คลายตัว โอ้โห..คราวนี้เกือบตายเลย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับไม่มีกำลังเหลือ ถ้าเขาเหลียวมานิดเดียว เราจะตามเขาไปเลย โชคดีเขาไม่เหลียวมา เขาไปแล้วไปเลย ปกติเวลาที่เขาขับรถกลับ เขาก็จะต้องผ่านกุฏิ เราก็ไปยืนจ้องตรงหน้าต่าง "ถ้ามองมานิดเดียว จะตามไปเลย" เขาก็ไม่มอง นี่ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์ช่วยก็เสร็จไปแล้ว แค่เขาเหลือบมานิดเดียวก็จะตามไปเลย ฉะนั้น..อย่าให้เจออย่างนั้น ถ้าเจอแล้วกำลังไม่พอ..เสร็จแน่..! ตูสะสมกำลังมาสิบกว่าปี พลังวัตรยังไม่พอเลย..! |
ถาม : อารมณ์มันโดดขึ้นโดดลง
ตอบ : เรื่องปกติ พอถึงเวลาเราเผลอให้กิเลสเข้ามาได้ ก็ต้องหล่น ให้ตั้งหน้าตั้งตาตะกายใหม่ ก็จะขึ้น เหลืออยู่อย่างเดียว คือทำอย่างไรที่เราจะประคองอารมณ์ให้สม่ำเสมอติดต่อกันได้ นั่นเป็นวิธีที่ต้องไปหาทางจัดการเอาเอง บอกได้...แต่ต้องไปซ้อมเอง ในขณะที่เรากำลังทำอย่างอื่น เอาให้นิ่งได้เหมือนตอนที่เรากำลังปฏิบัติ แรก ๆ ก็ครู่เดียว พอเคลื่อนไหว..เผลอ..ก็ขาดสติ พอเราตั้งใจประคอง นานไป ๆ ก็จะอยู่นานขึ้นเรื่อย ๆ พอได้เป็นเดือนเป็นปี คราวนี้จะมีความสุขมากเลย ถาม : เมื่อก่อนไม่เป็น ตัวร้าย ๆ มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ตอบ : เขาอยู่ข้างใน ยิ่งทำยิ่งละเอียด ยิ่งเห็นหน้าเขาชัดขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เรายังไม่เห็น ก่อนหน้านี้เราอาจจะเห็นแค่ต้น พอตัดต้นหมด ลงไปดูรากสิ มีแต่เล็กลงเรื่อย ๆ และเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งละเอียด ก็จะเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีอะไร รับรู้แล้วก็วาง รับรู้แล้วก็วาง กิเลสชวนไปทำอะไร ก็อย่าไปทำตาม |
ถาม : ถ้าเรากำหนดรู้จิตของเรา แล้วเราต้องการรู้จิตของคนอื่นด้วย ก็กำหนดรู้เหมือนดูจิตของตนเองใช่ไหมคะ?
ตอบ : ถ้าหากระดับสูงกว่า เสียเวลาไปดู ถ้าท่านปิดก็มืดตื๋อ ถาม : แล้วถ้าคนทั่ว ๆ ไปล่ะคะ? ตอบ : ดูเอาไว้เป็นบทเรียนก็พอ การดูจิตที่มีประโยชน์จริง ๆ คือ ดูจิตตัวเอง ดูจะได้รู้ว่ามีกิเลสอะไรอยู่บ้าง แล้วก็แก้ไขได้ ดูจิตของคนอื่น อย่างเก่งก็...เราก็รู้ของเขาเหมือนกันนะ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศที่ร้อน ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นภาวะโลกร้อน แต่ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ชัดเจนก็คือ การก่อตัวขึ้นของพระอาทิตย์ดวงใหม่ ท่านบอกว่าพระอาทิตย์จะก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบ ๗ ดวง ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก
พระอาทิตย์ดวงใหม่ที่ก่อตัวขึ้น ตอนนี้มีลักษณะเหมือนพระจันทร์ข้างแรม คือ เป็นเสี้ยวเดียวเท่านั้น ขนาดเสี้ยวเดียวและอยู่ห่างขนาดนั้น ยังเพิ่มความร้อนได้ระดับนี้" ถาม : ดวงที่สองหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ดวงที่สอง คราวนี้ในเรื่องของพระอาทิตย์ที่ก่อตัวขึ้น ทางด้านดาราศาสตร์เขาก็รู้ แต่เขารู้ในลักษณะที่ว่าดาวฤกษ์เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขาไม่รู้ว่าที่ก่อตัวขึ้นมาเพื่อจัดการโลกเราโดยเฉพาะ..! ท่านบอกว่า พอวาระสุดท้ายน้ำทั้งหลายก็แห้งเหือดไป ทุกอย่างมันอยู่ในลักษณะกรอบเกรียม แค่ลมพัด ใบไม้สีกัน ก็เกิดเป็นไฟ คราวนี้ก็ไหม้เลย เราอยู่ไม่ถึงหรอก ไม่ต้องไปกังวล ยกเว้นทะลึ่งดันไปเกิดใหม่..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอเกิดศรัทธา อาจจะโดนหลอกลวงได้ง่าย
อันดับแรก เชื่อง่ายเป็นอธิโมกขศรัทธา โดนหลอกได้ง่าย อันดับที่สอง สิ่งที่แฝงมาหลอกลวง เขาใช้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มาหลอกเรา ก็ลักษณะเดียวกับที่กิเลส เขาใช้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ดีที่สุด มาหลอกเรา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานที่หลายแห่งมีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ ถ้าหากได้ทิพจักขุญาณจริง ๆ ก็จะเห็น บางทีก็มีท่านทั้งหลายเจริญกรรมฐานอยู่ตรงจุดนั้นบ้าง ทำอะไรตรงนี้บ้าง เราไม่เห็นเขา เราไม่รู้สึกอะไร แต่เขาคงจะรำคาญเราบ้างเหมือนกัน
อย่างพระธาตุอินทร์แขวนในพม่า ก็มีส่วนที่ทับซ้อน แต่ส่วนที่ชัดที่สุด จะเป็นพระธาตุมอละอิต พระธาตุมอละอิตอยู่ไม่ไกลจากชายแดนไทยมาก แต่ว่าอยู่บนเขาสูง เป็นพระเจดีย์องค์เล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก อยากรู้ว่าใหญ่เท่าไร ถามหลวงตาแสงดูได้ เพราะท่านไปมาแล้ว สมัยก่อนคนที่จะขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ ไปมือเปล่าได้ จะมีพวกในพื้นที่ทับซ้อนเอาอาหาร เสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ ถึงเวลาก็ไปกินข้าวกินน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดขาว เดินขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ ที่นั่นอากาศเย็นสบายทุกปี แต่แปลกตรงที่ว่า ฝนตกจากข้างล่างขึ้นข้างบน..! อันนี้ถ้าหากเราดูกันในแง่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็จะรู้สึกว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องปกติ ฝนตกจากข้างบนลงข้างล่างนั่นแหละ แต่ลมจากภูเขาที่แรงมาก พัดตีหวนขึ้นไปข้างบน ก็เลยกลายเป็นฝนตกจากข้างล่างขึ้นข้างบน แต่พอมาระยะหลัง คนไร้ศีลไร้ธรรมมีมากเข้า ถึงเวลากลับลงไป เสื้อผ้าก็ไม่คืนเขา กินแล้วเก็บถ้วยชามเขาไปด้วย เขาก็เลยเลิกช่วย รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้แทบทุกแห่งเลย เขาทนความโลภของมนุษย์ไม่ได้ อาตมาตั้งท่าไปพระธาตุมอละอิตอยู่หลายครั้ง ปรากฏว่าไม่สำเร็จ คนนำทางพาหลง เอาไว้มีโอกาสค่อยไปใหม่" |
ถาม : เรื่องปีชง เชื่อได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเชื่อและกังวลใจก็อาการหนัก ถ้าหากว่าไม่เชื่อ มีความมั่นใจในตัวของเราเอง ก็น้อยหน่อย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ถ้าเราไปเชื่อว่าไม่ดี พอไปเจอปีชงเข้า เราก็คิดว่าไม่ดี ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอด ก็เท่ากับว่าไปแช่งตัวเอง ก็จะเป็นไปตามที่เราแช่ง ถ้าหากกำลังใจของเรามั่นคงในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย เรื่องพวกนี้แทบจะกระทบไม่ได้เลย |
ถาม : ที่มีข่าวบอกว่า ค้นพบรอยพระพุทธบาทที่สนามศุภชลาศัย ไม่ทราบว่าเป็นรอยจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องไปถามคนพบ เรื่องของรอยพระพุทธบาทที่พบ จะจริงหรือไม่จริง ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญที่กำลังใจของเราระลึกถึงหรือเปล่า ? ถ้านึกถึงก็เป็นพุทธานุสติ ฉะนั้น..จริงหรือปลอมไม่ใช่สาระ |
ในขณะที่กำลังสนทนาเรื่องศีลแปด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของศีล..ถ้าปฏิบัติเข้มงวดไว้แหละดี เพราะว่าถ้าเข้มไว้แล้วหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าหากเราผ่อนตั้งแต่แรก ถึงเวลาแล้วจะยาน
โดยเฉพาะระยะหลัง บางทีพระเห็นเราทำสบาย ๆ ท่านก็สบายด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าของเราที่สบายนี่ เราลำบากมามากแล้ว แต่ของท่านเองยังไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วก็ไปสบาย ก็แปลว่ากำลังหาเรื่องเดือดร้อน..!" |
ในขณะที่พระอาจารย์หยิบใบประกาศการทำบุญของสายพระป่ามาอ่าน ท่านก็กล่าวให้ฟังว่า
"อยากจะบอกอะไรบางเรื่อง ไม่รู้ว่าพวกเราเคยสังเกตหรือเปล่าว่า พระธรรมยุตท่านสามัคคีกลมเกลียวกันดีมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าหากเป็นธรรมยุตแล้ว เขาจะช่วยเหลือกันดี โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่มรณภาพแล้ว ถ้ามีคนนับถือเป็นจำนวนมาก เขาจะสร้างเจดีย์หรือพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ราคาเป็นร้อยล้านพันล้าน เพื่อบรรจุอัฐิธาตุหรือบริขารของครูบาอาจารย์ไว้ในลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นเครื่องระลึกถึง ให้คนที่ไปถึงแล้วได้กราบไหว้บูชา เหมือนอย่างกับท่านยังมีชีวิตอยู่ นี่คือลักษณะการยกย่องครูบาอาจารย์ของพวกเขา ซึ่งต่างจากมหานิกายของเรา มหานิกายของเราเหมือนกับต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ถ้านับแล้วความเจริญในเรื่องของวัตถุ โดยเฉพาะศาสนสถานของธรรมยุต เขาจะดูดีกว่ามาก สมถะก็สมถะเรียบไปเลย แต่ในความเรียบ แฝงเอาไว้ด้วยสารพัดอย่างที่พร้อมจะปรากฏทันที ถ้าหากครูบาสายนั้นท่านอนุญาต เพราะคนเต็มใจที่จะทำให้ แต่ขณะเดียวกัน จะเอาเลิศลอยอย่างวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนารามก็ได้ ราคาไม่ถึงหมื่นล้านก็ใกล้เคียง" |
"ฉะนั้น..ในส่วนนี้ที่เรามอง จะเห็นว่าการบริหารจัดการของเขาเหนือกว่าเรามาก โดยเฉพาะถ้ามีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในด้านของธรรมยุต เรื่องจะจบเร็วที่สุดเลย นี่คือการทำงานของเขา
พวกเรามองเห็นตรงนี้ไหม ? ฝากเอาไว้ ถึงเวลาเราควรบริหารจัดการอย่างไร ตัวอย่างมีให้ดูแล้ว โดยเฉพาะความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เส้นสายของเขาถึงกันทุกมุมและทุกประเทศของโลก ขณะที่ของเราต่างคนต่างทำ พวกเราส่วนใหญ่เห็นกันทุกคน แต่ไม่สามารถเอามาประมวลเป็นเรื่องเดียวกันได้ ก็เลยทำให้ไม่เห็นระบบการทำงานของเขา ในเมื่อเราเห็นแล้วส่วนไหนที่เป็นเรื่องดี ที่เราสามารถทำได้ก็ต้องทำ อย่างตอนนี้อาตมาก็เริ่มวิ่งช่วยพี่ช่วยน้อง วัดนั้นบ้างวัดนี้บ้าง เพื่อสร้างความกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในหมู่คณะ ถึงเวลาจะได้กลายเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ยิ่งกลุ่มใหญ่มากเท่าไร ก็จะมีพลังในการทำงานเพื่อพระศาสนามากเท่านั้น เพราะฉะนั้น..เรื่องของสายสัมพันธ์ต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ ธรรมยุตเขาสามัคคีกลมเกลียวหนาแน่นกว่าเราเยอะมาก และทันทีที่เห็นว่าจะมีนอกทุ่งนอกท่า นอกคอกออกไป จะทำให้เสียหายถึงชื่อเสียงเมื่อไร เขาตัดทิ้งทันที ไม่มีการเสียดาย เพื่อรักษาส่วนที่ดีไว้ เป็นลักษณะสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แล้วเรื่องก็จะสงบลงอย่างรวดเร็ว" |
"แม้กระทั่งอาตมาเองก็โตมากับสายพระป่า จุดเปลี่ยนที่มาทางสายมหานิกาย เพราะว่าก่อนสิ้นหลวงปู่ฝั้นสองปี มีโอกาสฝึกปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ ปัญหาที่เราสงสัยต่าง ๆ ได้รับคำตอบจากทางด้านนี้หมด เพราะว่าทางสายนั้นเขาให้เราทุ่มเทกับการปฏิบัติจริง ๆ มีปัญหาอะไร ติดขัดแล้วจึงไปสอบถาม
ท่านใช้คำว่า 'ไปทำเอา ไปภาวนาเอา' กว่าจะหาจังหวะ หาเวลาไปปรึกษาท่านในเรื่องอารมณ์ปฏิบัติได้..มันยาก พอมาทางสายหลวงพ่อแล้ว รู้สึกว่าสิ่งที่เราสงสัยทั้งหมดมีคำตอบอยู่ตรงนี้ ก็เลยค่อย ๆ เลี้ยวมาทางนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ขนาดเลี้ยวมาทางนี้แล้ว สองปีแรกก็ยังแขวนเหรียญหลวงปู่ฝั้นอยู่เหรียญเดียว เพราะถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์คนแรก มองอะไรอย่ามองผ่านเฉย ๆ มองแล้วคิดวิเคราะห์ด้วย แล้วเราจะได้อะไรอีกเยอะ ถ้ามองผ่านเฉย ๆ อ๋อ..ใบประกาศของเขาทำดี ก็เอาเสียหน่อย ขอทำบุญด้วย เราจะได้มีส่วนด้วย เท่านั้นจบ..! อย่างอื่นก็ไม่เห็น พวกเราจะกลายเป็นคนเข้าป่าที่ เห็นป่าแต่ไม่เห็นต้นไม้ ป่าประกอบไปด้วยต้นไม้ชนิดใดบ้างก็แยกแยะไม่ออก ต้องซักซ้อมเอาให้มากกว่านี้ ธัมมวิจยะจะได้เจริญ แล้วเราจะได้เห็นว่าเหตุนี้เกิดจากอะไร ? ผลนี้เกิดจากอะไร ? เหตุนี้จะทำให้เกิดผลอะไร ? ผลนี้เกิดจากเหตุไหน ? ถ้าแยกอย่างนี้ได้ ส่วนที่ดีเราก็สร้างเหตุขึ้นมา..ผลดีก็จะเกิดกับเรา ถ้าส่วนไม่ดี..เราก็ไม่แตะต้องเหตุนั้นผลร้ายก็จะไม่เกิด ก็จะมีแต่ความเจริญในธรรมโดยส่วนเดียว" |
ถาม : แล้วเราจะเริ่มมองแบบแยกแยะอย่างไรคะ บางทีไม่รู้ว่าเป็นการแยกแยะหรือเป็นการฟุ้งซ่าน ?
ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก ถ้าสมาธิทรงตัว ก็ฟุ้งไม่ได้อยู่แล้ว ถาม : บางทีไม่ทันจะแยก โดนกิเลสมันพาไปเสียก่อน เลยแยกไม่ออก ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า กำลังจะยืนก็ยังไม่มี ก็เลยโดนกระแสน้ำกวาดเอาไป |
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มาฟังธรรมว่า "ถ้าคุณเอาสิ่งที่เขาตั้งใจทำบุญอย่างหนึ่ง ไปทำอีกอย่างหนึ่งโดยพลการ มีโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ ลงอเวจีสถานเดียว ถ้าเป็นพระนี่โดนปรับอาบัติหลายชั้น เพราะไปทำศรัทธาเขาให้ตก"
ถาม : เหมือนเรารวบรวมเงินทำบุญอย่างหนึ่งแล้วเอาไปใช้อีกอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ ? ตอบ : นั่นแหละ..เหมือนกัน อย่างเช่นเงินทำบุญกฐิน แต่เอาไปเป็นค่ารถ ค่ากิน พวกนี้โดนไปเต็ม ๆ ถาม : แล้วถ้ามีคนเขาเชื่อมั่นในเรามาก เขาฝากเงินเราไปทำเฉย ๆ ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ระบุชัดเจนไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาระบุชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง ต้องทำให้เขาตามนั้น |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:05 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.