กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   สิ้นโลก เหลือธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1288)

สายท่าขนุน 29-01-2010 19:14

อนึ่ง ท่านยังแยกฌานออกเป็นภวังค์ มี ๓ คือ ภวังคุบาท ๑ ภวังคจรณะ ๑ ภวังคุปัจเฉทะ ๑
ตามลักษณะของจิตที่รวมเข้าไปเป็นภวังค์
ส่วนสมาธิก็แยกออกเป็นสมาธิ ดังอธิบายมาข้างต้นเป็น ๓ เหมือนกัน
คือ ขณิกสมาธิ ๑ อุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑

สายท่าขนุน 29-01-2010 19:17

ส่วนการละกิเลสท่านก็แสดงไว้ ไม่ใช่ละกิเลส เป็นแต่กรณีข่มกิเลสของตนไว้ไม่ให้มันเกิดขึ้นด้วยองค์ฌานนั้น ๆ
ส่วนการละกิเลสของสมาธิท่านแสดงไว้ว่า พระโสดาบัน ละกิเลส ได้ ๓ คือ
ละสักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑
พระสกทาคามี ละได้ ๓ ตัวเบื้องต้นและยังทำให้ราคะเบาบางลงอีก
พระอนาคามี ละได้ ๓ ตัวเบื้องต้นนั้นได้เด็ดขาดแล้วยังละกามราคะและปฏิฆะให้หมดไปอีกด้วย
นี้แสดงว่าฌานเป็นโลกิยะโดยแท้ ส่วนสมาธิเป็นโลกุตตระ ละกิเลสได้ตามลำดับ ดังอธิบายมาแล้ว

สายท่าขนุน 02-02-2010 23:05

ฌาน ถึงแม้เป็นโลกิยะก็จริงแล แต่ผู้ฝึกหัดทำสมาธิจำเป็นจะต้องผ่านฌานนี้เสียก่อน
เพราะฌาน แลสมาธิมันกลับกันได้ ด้วยอุบายแยบคายของตนเอง ผู้จะไม่ผ่านฌาน แลสมาธิ ทั้งสองนี้ไม่มี
ฝึกหัดจิตอันเดียวกัน บริกรรมภาวนาอันเดียวกัน หนีไม่พ้นฌาน แลสมาธิ เป็นอันขาด
ฌาน แลสมาธิ เบื้องต้นเป็นสนามฝึกหัดของจิตของพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย
พระโยคาวจรเจ้าฝึกหัดฌาน แลสมาธิทั้ง ๒ อย่างนี้ ให้ชำนิชำนาญ
รู้จักผิด รู้จักถูก ละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว จึงจะทำวิปัสสนาให้เป็นไปได้

วิปัสสนามิใช่เป็นของง่ายเลย ดังคนทั้งหลายเข้าใจกันนั้น
จิตรวมเข้ามาเป็นฌาน แลสมาธิ เป็นบางครั้งบางคราว ก็โมเมเอาว่า
ตนได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ไม่ทราบว่าถึงขั้นไหน เป็นฌาน หรือเป็นสมาธิ คุยฟุ้งเลย
ทีหลังสมาธิเสื่อมแล้วเข้าไม่ถูก

สายท่าขนุน 02-02-2010 23:09

สมาธิ ก็มีลีลามากน่าดูเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนฌาน
เหมือนกับเล่นกีฬา คนหนึ่งเล่นเพื่อความมัวเมา แต่คนหนึ่งเล่นเพื่อสุขภาพอนามัย

สมาธิ นั้นเมื่อจิตรวมเข้าไป ก็รู้ว่าจิตรวมเข้าไปรู้อยู่ตลอด
เวลาจิตจะหยาบ แลละเอียดสักเท่าไร สติย่อมรวมเข้าไปรู้อยู่ตลอด
เวลาจิตจะหยาบอยู่ มันรู้อยู่แต่ภายนอก เมื่อจิตมันละเอียดเข้าไป มันก็รู้อยู่ทั้งภายนอก แลภายใน
ไม่หลงไปตามอาการของจิตของตน รู้ทั้งที่จิตเป็นธรรมแลจิตปะปนไปกับโลก
ไม่เห็นไปหน้าเดียว อย่างที่เขาพูดว่า “หลงโลก หลงธรรม” นั่นเอง
ผู้เห็นอย่างนี้แล้ว จิตก็จะเป็นกลาง วางอารมณ์ทั้งหมดเฉยได้ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
เมื่อจะทำก็ทำแต่สิ่งที่ควร สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า
สมาธิเป็นลักษณะของผู้ใหญ่ผู้รู้เดียงสา
กระทำฌานเป็นลักษณะของเด็กผู้ไม่รู้เดียงสากระทำ

สายท่าขนุน 04-02-2010 22:39

นิมิตแลความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมาธินั้น นอกจากดังได้อธิบายมาในฌานในเบื้องต้นแล้ว
มันอาจเกิดความรู้เห็นอรรถเป็นคาถาหรือเป็นเสียงไม่มีตัวตน หรือเป็นเสียงพร้อมทั้งตัวตนขึ้นมาก็ได้
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องเตือนตัวเองแลคนอื่นให้ระวังอันจะเกิดภัยในข้างหน้า
หรือเตือนว่าสิ่งที่ตนทำมานั้นผิด หรือถูกก็ได้
นิมิตแลความรู้อันเกิดจากสมาธิภาวนานี้ จึงนับว่าเป็นของสำคัญมากทีเดียว
เป็นเครื่องมือของนักบริหารทั้งหลาย ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น

สายท่าขนุน 04-02-2010 22:43

นิมิต แลความรู้ ดังอธิบายมานั้น เมื่อจะเกิดขึ้นแก่นักปฏิบัติ ย่อมเกิดในเวลาจิตเป็นอุปจารสมาธิ
แต่ตัวเองไม่รู้ว่าเป็นอุปจารสมาธิ แลรู้ได้ในขณะยืนอยู่ก็ได้ นั่งทำสมาธิก็ได้
นอนอยู่ในท่าทำสมาธิก็ได้ แม้แต่เดินไปมาอยู่ก็รู้ได้เหมือนกัน

มีหลายท่านหลายคนซึ่งไม่เคยไปที่วัดของผู้เขียนเลยสักหนเดียว แต่รู้ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว
ว่า ที่นั้น ๆ เป็นรูปร่างลักษณะอย่างนั้น ๆ เมื่อไปถึงแล้วเห็นสถานที่ต่าง ๆ ไม่ผิดเลยสักอย่างเดียว
ดังได้เห็นนิมิตไว้แต่ก่อน อันนี้จะเป็นเพราะฌาน สมาธิของเขา
หรือเพราะบุญบารมีของเขาซึ่งเคยได้ไปมาอยู่แล้วแต่ก่อน ก็ไม่ทราบได้
เมื่อถามท่านเหล่านั้นว่าเคยทำฌาน สมาธิแลภาวนาหรือไม่ ก็บอกปฏิเสธทั้งนั้น

สายท่าขนุน 08-02-2010 22:53

นิมิต แลความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อกัน แลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง
เพราะผู้เข้าสมาธิไม่ชำนาญ พอเข้าเป็นอุปจารสมาธิก็เกิดขึ้นแล้ว ดังได้อธิบายมาแล้วในเบื้องต้น
ไม่เหมือนท่านที่ชำนาญ ท่านที่ชำนาญแล้วท่านจะต้องเข้าสมาธิให้ถึง อัปปนาสมาธิ
แล้วจึงถอนออกมาอยู่แค่ อุปจารสมาธิ
เมื่อต้องการจะรู้จะเห็นเหตุการณ์อะไรท่านจึงวิตกถึง(คิดถึง)เรื่องนั้น เมื่อวิตกขึ้นแล้วท่านก็วางเฉย

เมื่อเหตุการณ์อะไรจะเกิดมันก็เกิดขึ้น เมื่อมันไม่มีมันก็จะไม่เกิด
เมื่อมันเกิดขึ้นเรื่องนั้น แน่นอนที่สุด เป็นจริงทุกอย่าง

สายท่าขนุน 08-02-2010 22:56

ไม่เหมือนคนเราในสมัยนี้ ทำฌาน ทำสมาธิยังไม่ทันจะเกิด เอาความอยากไปข่มแล้ว
ความอยากจะเห็น อยากรู้นั้นต่าง ๆ นานา เมื่อมันไม่เห็นสิ่งที่ตนต้องการ ก็เลิกล้มความเพียรเสีย
หาว่าตนไม่มีบุญวาสนาอะไรไปต่าง ๆ นานา ความจริงตนกระทำนั้นมันถูกหนทางแล้ว
มันได้แค่นั้นก็นับว่าดีอักโขแล้ว พึงยินดีพอใจกับที่ตนได้นั้นก็ดีแล้ว
จะไปแข่งบุญวาสนากับท่านที่ได้บำเพ็ญมาแต่ก่อนไม่ได้
แข่งเรือแข่งพายยังพอแข่งได้ แข่งบุญวาสนานี้ไม่ได้เลยเด็ดขาด
บางท่านบำเพ็ญเพียรมาสักเท่าไร ๆ นิมิตแลความรู้ต่าง ๆ ไม่เกิดเลย
ทำไม่ท้อถอย ท่านสามารถบรรลุผลได้เหมือนกัน
ท่านที่ได้จตุปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ กับผู้ที่ท่านไม่ได้เลย
ถึงพระนิพพานแล้วก็เป็นอันเดียวกัน ไม่เห็นแตกต่างกันตรงไหน

สายท่าขนุน 11-02-2010 21:50

คำบริกรรมนี้ ถ้าผู้ภาวนายังไม่ชำนาญ ต้องถือเป็นหลัก ภาวนาครั้งใดต้องใช้คำบริกรรมเสียก่อน
จะภาวนาโดยไม่ใช้คำบริกรรมไม่ได้ คำบริกรรมที่ดีที่สุด คือ มรณานุสติ
พิจารณาความตายแล้วไม่มีอะไรเหลือหลอ
ถ้าผู้ภาวนาชำนาญแล้วจะพิจารณาอะไรก็ได้ หรือจะไม่ใช้คำบริกรรมเลยก็ได้
ที่พิจารณาเอาแต่อารมณ์ของกรรมฐานเลยก็ได้ จิตมันจะมารวมเอง

สายท่าขนุน 11-02-2010 21:53

คำบริกรรมนี้ เมื่อบริกรรมไปนาน ๆ เข้าชักจะขี้เกียจ ไม่อยากพิจารณาเสีย
จะเอาแต่ความสงบอย่างเดียว เพราะเข้าใจว่าตนเก่งพอแล้ว
แท้จริงนั้นคือความประมาท ถึงแม้วิปัสสนาก็ไม่พ้นจากมรณานุสตินี้เหมือนกัน
แต่วิปัสสนาพิจารณาให้เห็นแจ้งชัดทั้งที่เกิดขึ้น แลดับไป ด้วยเหตุปัจจัยนั้น ๆ ของสิ่งทั้งปวง
ส่วนฌาน แลสมาธินั้น พิจารณาเหมือนกันแต่เห็นบางส่วน
ไม่เห็นแจ้งชัดตลอดพร้อมด้วยเหตุปัจจัยของมัน

แต่ผู้ภาวนาทั้งหลายก็เข้าใจว่าตนเห็นตลอดแล้ว

สายท่าขนุน 17-02-2010 20:35

ตัวอย่าง ดังยายแก่คนหนึ่งภาวนา บอกว่าตนเห็นตลอดแล้ว
ทุกอย่างมันเป็นของไม่เที่ยงทั้งสิ้น แม้แต่ตัวของเรานี้ก็จะต้องแตกดับ
แกภาวนาจนรับประทานอาหารอยู่ จิตรวมเข้าภวังค์จนลืมรับประทานอาหาร
นั่งตรงมองอยู่เฉย ๆ ต้มน้ำร้อนถวายพระ นั่งเฝ้ากาน้ำร้อนอยู่จนน้ำร้อนเดือดแห้งหมด
วันหนึ่ง แกนั่งภาวนาอยู่ ปรากฏว่าตัวแกไปนอนขวางทางรถยนต์อยู่
ขณะนั้นปรากฏว่ารถยนต์วิ่งปรูดมา แกก็คิดว่าตายแล้วเวลานี้ ในใจบอกว่าตายเป็นตาย
ที่ไหนได้ พอรถวิ่งมาใกล้ ๆ จวนจะถึงจริง ๆ แกลุกขึ้นทันที
นี่แหละ..ความถือว่าตัวตนเข้าไปลี้อยู่ลึกซึ้งมาก
ขนาดภาวนาจิตรวมเข้าจนไม่รู้ตัวภายนอกแล้ว ความถือภายในมันยังมีอยู่

สายท่าขนุน 17-02-2010 20:38

มรณานุสสติ
ต้องพิจารณาให้ชำนิชำนาญ แลพิจารณาให้บ่อย ๆ จนให้เห็นความเกิดขึ้น แลความดับ
เมื่อดับไปแล้วมันไปเป็นอะไร จนเห็นเป็นสภาพธรรมดา ตามเป็นจริงของมัน
จนเชื่อมั่นในใจของตนเองว่าเราจะไม่หวั่นไหวต่อความตายละ

สายท่าขนุน 22-02-2010 20:01

กายแลจิต หรือรูปกับนามก็ว่า แยกกันเกิด แลแยกกันดับ
ฉะนั้น ผู้มีปัญญาทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อท่านมีทุกขเวทนาทางกาย
ท่านจึงแยกจิตออกจากกาย แล้วจึงเป็นสุข

สายท่าขนุน 22-02-2010 20:08

เมื่อจะเกิด สัมภาวะธาตุของบิดามารดาประสมกันก่อน หรือเรียกว่าน้ำเชื้อ
หรือเรียกว่าสเปอร์มาโตซัวกับไข่ประสมกันก่อน แล้วจิตปฏิสนธิจึ่งเข้ามาเกาะ
ถ้าธาตุของบิดามารดาประสมกันไม่ได้สัดส่วนกัน เช่น อีกฝ่ายหนึ่งเสีย
เป็นต้นว่า มันแดง หรือ สีมันไม่ปกติ ก็ประสมกันไม่ติด แล้วปฏิสนธิจิตก็ตั้งไม่ติด
เรียกว่า รูปเกิดก่อน แล้วจิตจึงมาเข้าปฏิสนธิภายหลัง

สายท่าขนุน 03-03-2010 20:12

เวลาดับ จิตดับก่อน กายจึงดับภายหลัง

พึงเห็นเช่นคนตาย จิตดับหมดความรู้สึกแล้ว แต่กายยังอุ่น เซลล์หรือประสาทยังมีอยู่
คนตายแล้วกลับฟื้นคืนมา ยังใช้เซลล์หรือประสาทนั้นได้ตามเดิม
เมื่อจิตเข้ามาครองร่างกายอันนี้แล้ว จิตจึงเข้าไปยึดร่างกายอันนี้หมดทุกชิ้นทุกส่วน
ว่าเป็นของกู ๆ แม้ที่สุด ร่างกายอันนี้จะแตกดับตายไปแล้ว
มันก็ยังถือว่าของกู ๆ ๆ อยู่นั่นเอง

พึงเห็นเช่นพวกเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว ได้เสวยกรรมตายที่ตนได้กระทำไว้แต่ยังเป็นมนุษย์อยู่
ไปเกิดเป็น อทิสมานสกาย เช่น ภูต ผี ปีศาจ หรือเทวบุตร เทวดา เป็นต้น
เมื่อเขาเหล่านั้นจะแสดงให้คนเห็น ก็จะแสดงอาการที่เคยเป็นอยู่แต่ก่อนนั้นแหละ
เช่น เคยทำชั่ว จิตใจเศร้าหมอง กายสกปรก
หรือเคยทำความดี จิตใจสะอาด ร่างกายงดงามสมบูรณ์
ก็จะแสดงอย่างนั้น ๆ ให้คนเห็น

สายท่าขนุน 03-03-2010 20:16

แม้ที่สุดสัตว์ตายไปตกนรก ก็แสดงภูมินรกนั้นให้คนเห็นชัดเจนเลยทีเดียว
แต่แท้จริงแล้วภพภูมิของเหล่านั้น มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเห็นได้ดอก
เพราะเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตกับกรรมที่เขาได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น

มนุษย์คนเรานี้เกิดมาแล้ว มายึดถือเอาร่างกายอันนี้ว่าเป็นของกู
มันแน่นหนาลึกซึ้งถึงขนาดนี้
ท่านผู้ฉลาดมาชำระจิตด้วยการทำสมาธิภาวนา ให้จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้ว
จนเข้าถึงความเป็นกลางได้ ไม่มีอดีต อนาคต วางเฉยได้
เข้าถึงใจนั่นแลจึงพ้นจากสรรพกิเลสทั้งปวงได้

สายท่าขนุน 08-03-2010 20:17

สมาธิ เป็นเรื่องของจิต แต่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องของวาจา แลกายด้วย
เพราะจิตมีแล้ว กายแลวาจา จะต้องมี เมื่อจิตมีแล้ว ความวิตกคือ วาจา จะต้องมี
ความวิตกนั้นและวาจามีแล้ว มันจะต้องวิ่งแส่ส่ายไปในรูปธรรม
ที่เป็นของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย แลสิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวง
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ จิตจะหาที่เกาะเกี่ยวไม่ได้
จิตของคนเรา ไม่ว่าหยาบ และละเอียด นับแต่กามาพจรภูมิ รูปาพจรภูมิ แลอรูปาพจรภูมิ
ต้องมีรูปธรรมเป็นเครื่องอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มีอาตนะ ภายในภายนอก
มีสัมผัสอยู่เป็นนิจ มีผู้รู้อยู่เสมอ
แม้แต่อรูปาพจรจิต ก็มีอรูปจิตนั้นแหละเป็นเครื่องอยู่
อรูปจิตนี้ผู้ได้อรูปฌานแล้ว จะเห็นอรูปจิตด้วยอายตนะภายในของตนเองอย่างชัดทีเดียว

สายท่าขนุน 08-03-2010 20:19

อายตนะภายใน ในที่นี้มิได้หมายเอาอายตนะภายในคือ หู ตา จมูก ลิ้น กายแลใจ อย่างที่ท่านแสดงไว้นั้น
แต่หมายเอาอายตนะภายในของใจ คือ หมายเอาผู้ละ อายตนะภาย ใน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้หมดแล้ว
แต่ยังมีอายตนะภายในของใจยังมีอยู่อีก อย่างที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส อันเป็นทิพย์
เช่น เมื่อตาเห็น ก็มิได้เอาตาธรรมดานี้ไปเห็น แต่เอาตาของใจไปดู
รูปที่ตาของใจเห็นนั้น ก็มิใช่รูปที่ตาธรรมดาเห็นอยู่นี้ แต่เป็นรูปที่ตาใจเห็นต่างหาก
เสียง กลิ่น รส สัมผัส แลอารมณ์ ก็เหมือนกัน

สายท่าขนุน 12-03-2010 16:21

อายตนะภายในของใจนี้ เมื่อสัมผัสเข้าแล้ว
จะซาบซึ้งยิ่งกว่าอายตนะภายในดังที่ว่ามานั้นมากเป็นทวีคูณ
แลจะสัมผัสเฉพาะตนเองเท่านั้น คนอื่นหารู้ได้ไม่
อายตนะภายในของจิตนี้พูดยาก
ผู้ไม่ได้ภาวนาจนเห็นจิตใจของตนเสียก่อนแล้ว จะพูดเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้าใจ
จะใช้ภาษาคำพูดของคนเราธรรมดาเป็นสื่อสารนี้ยาก
จะเข้าใจไม่ได้ ต้องใช้อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบจึงจะพอเข้าใจได้

สายท่าขนุน 12-03-2010 16:26

เหตุนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายผู้ไม่ชำนาญในการปฏิปทา จึงปฏิบัติไม่ค่อยลงรอยกัน
ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติใช้คำบริกรรมอย่างเดียวกัน
ถ้าเป็นพระคณาจารย์ผู้ใหญ่เสียแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหามาก ๆ ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย
ฉะนั้นจึงควรยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่ตั้ง
เราปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธศาสนาหรือไม่
แบบตำราเป็นบรรทัดเครื่องวัดให้เราดำเนินตาม มิใช่ต่างคนต่างปฏิบัติ
พุทธศาสนาคำสอนอันเดียวกัน พระศาสดาองค์เดียวกัน
แต่สาวกผู้ปฏิบัติไปคนละทางกัน
เป็นที่น่าอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง

สายท่าขนุน 23-03-2010 19:39

อายตนะภายในที่ว่ามานี้ มันเป็นของหลอกลวงเหมือนกัน จะเชื่อมันเป็นของจริงเป็นของจังทั้งหมดไม่ได้ ของทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้จะต้องเป็นของจริงบ้าง ของปลอมบ้าง ด้วยกันทั้งนั้น

สรรพสังขารทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าสิ่งสารพัดวัตถุ สัตว์ มนุษย์ ทั้งปวง ล้วนแล้วแต่เป็นของหลอกลวงกันทั้งนั้น

สายท่าขนุน 23-03-2010 19:42

โลก คือ จิต ของคนเรา มาหลอกลวงจิตให้หลงในสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง
แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแต่เพียงมายาเท่านั้น เกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปเป็นธรรมดาของมัน

เช่น มนุษย์เกิดมาจากธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเป็นก้อนอันหนึ่ง เขาเรียกกันว่า ก้อนธาตุ
จิตมนุษย์เข้าไปยึดถือเอา จึงสมมติเรียกว่า เป็นมนุษย์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นหนุ่ม เป็นสาว
แต่งงานกันมีลูกออกมา หลงรักหลงใคร่
แล้วก็โกรธเกลียดชังกัน เบียดเบียน ฆ่าฟัน อิจฉาริษยา ซึ่งกันและกัน
ส่วนอาชีพการงานก็เหมือนกัน เกิดมาในโลกกับเขาแล้วจะไม่ทำก็อยู่กับเขาไม่ได้
ต้องกระทำ ทำมาค้าขาย หรือกสิกรรมกสิกร หรือเป็นข้าราชการ
ทำไปจนวันตายก็ไม่จบไม่สิ้น คนนี้ตายไปแล้วคนใหม่เกิดมาตั้งต้นทำอีก
ยังไม่ทันหมดทันสิ้นก็ตายไปอีกแล้ว

สายท่าขนุน 28-03-2010 22:46

ตราบใดโลกนี้ยังมีอยู่ มนุษย์คนเราก็เกิดมาทำอยู่อย่างนี้ร่ำไปทุก ๆ คน
เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีใครหอบเอาสิ่งที่ตนกระทำไว้นั้นไปด้วยสักคนเดียว
แม้แต่ร่างกายก็ทอดทิ้ง เว้นแต่ กรรมดี แลกรรมชั่ว ที่ตนทำไว้เท่านั้น
ที่ตามจิตใจของตนไป


โลกจิต ที่มีวิญญาณครองยังหลอกจิตได้ ไม่เห็นแปลกอะไรเลยแม้ที่สุด
โลกที่หาวิญญาณครองไม่ได้ ก็ยังหลอกจิตเลย
เราจะเห็นได้จากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น ป่า ดง พงไพร ต้นไม้ประกอบด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด
เกิดในดงงดงาม เขียวชะอุ่ม ประกอบด้วยกิ่ง ก้าน ดอก ผล
เป็นช่อระย้าเรียงลำดับเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งกว่าคนเอาไปประดับตกแต่งไว้
ใครเห็นแล้วก็นิยมชมว่าสวยงาม
ส่วนผาเล่า ก็มีชะโงกเงื้อมงุ้ม เป็นตุ่มเป็นต่อม มีชะง่อน ชะเงื้อม เพิงผา
ดูน่าอัศจรรย์ เป็นหลั่นเป็นถ้องแถวดังคนเอามาเรียงลำดับให้วิจิตรงดงาม

สายท่าขนุน 28-03-2010 22:48

ส่วนแม่น้ำลำธารซึ่งตกลงแต่ที่สูงแล้วก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ
เป็นลำธารมีแง่มีมุม เป็นลุ่มเป็นดอน มีน้ำไหลวนเวียน
มีหมู่มัจฉาปลาหลากหลายพันธุ์ว่ายวนเป็นหมู่ ๆ
ดูแล้วก็จับใจ ดูไปเพลินไป ทำให้ใจหลงใหลไปตาม ๆ กัน
ดูแล้วเหมือนของเหล่านั้นจะเป็นจริงเป็นจัง
เดี๋ยว ๆ ของเหล่านั้นก็อันตรธาน หายจากความทรงจำของเรา
หรือมิฉะนั้นคนเราก็จักต้องอันตรธาน หายจากสิ่งเหล่านั้น
ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลกนี้สักอันเดียว เป็นอนิจจังทั้งสิ้น

สายท่าขนุน 31-03-2010 19:43

เมื่อของในโลกนี้เป็นของหลอกลวงได้ “ธรรม” ธรรมที่เป็นโลกีย์ ก็หลอกลวงได้เหมือนกัน
เราจะเห็นได้จากการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ ตกใจผวา เหมือนกับมีคนมาผลัก
บางทีมีเสียงเปรี้ยงเหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมาก็มี บางทีกายของเราแตกออกเป็นซีก ๆ ก็มี
บางทีมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาเห็นสิ่งต่าง ๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง
พอลืมตาขึ้นหายหมด สารพัดแต่มันจะเกิด
บางทีพอจิตจะรวมเข้าไป ปรากฏเห็นภูต ผี ปิศาจ ทำเป็นหน้ายักษ์ หน้ามารมา
เลยกลัววิ่งหนี เลยเสียสติเป็นบ้าไป
ก็มีธรรมที่ยังเป็นโลกีย์อยู่ ก็หลอกลวงได้ เช่นเดียวกับโลก ๆ เรานี้แหละ

สายท่าขนุน 31-03-2010 19:45

บางทีเราพิจารณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ
เมื่อใจเราน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา
เปื่อยเน่าเฟะไปทั้งตัวเลย
แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายมันก็เป็นอสุภะธรรมดา ๆ เท่าที่มันมีอยู่นั่นแหละ
แต่เราเข้าใจผิด หลงไปเชื่อตามจิตมันหลอก เลยหลงเชื่อว่าเป็นอสุภะจริง ๆ
ไปยึดถือเอาจนเหม็นติดไม้ติดมือติดตัว ไปไหนก็มีแต่กลิ่นอสุภะทั้งนั้น

สายท่าขนุน 04-04-2010 01:35

จิตที่เราฝึกหัดให้เข้าถึงธรรมแล้ว แต่ธรรมนั้นมันยังเป็นโลกียะอยู่ มันหลอกได้เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าจึงเทศนาว่า “จิตหลอกจิต” เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าจิตหลอกจิต
เรื่องเหล่านี้ มันยากเหมือนกัน ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องของจิต เรื่องของใจ
จิต กับ ใจ มันคนละอันกัน ดังภาษาชาวบ้านที่พูดกันว่า ใจ ๆ นั่นแหละ
ใจ เขาหมายเอาของที่เป็นกลางกลางอะไรทั้งหมดที่เป็นของกลางแล้ว เขาเรียกว่า ใจ ทั้งนั้น

สายท่าขนุน 04-04-2010 01:36

คราวนี้มาพูดถึงเรื่อง จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง
สัญญา อารมณ์ร้อยแปดพันเก้า ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเป็นเรื่องของ จิต
ตามความรู้สึกของคนทั่วไปแล้ว จิต กับ ใจ มักจะเป็นอันเดียวกัน
ดังพูดออกมาเมื่อไม่สบายว่า “ไม่สบายใจ จิตใจหงุดหงิด” ดังนี้ เป็นต้น
ถ้าสบายใจก็บอกว่า “จิตใจมันปลอดโปร่งโล่งไปหมด”

สายท่าขนุน 06-04-2010 22:56

จิต แล ใจ แยกออกไว้เป็นคนละส่วนกัน
บางทีท่านก็เรียกว่าจิตเป็นของผ่องใสอยู่เป็นจริง แต่อาคันตุกะกิเลสจรมา ทำให้จิตเศร้าหมองต่างหาก
หรือบางทีท่านก็ว่า จิตเป็นของเศร้าหมอง จิตนี้เป็นของผ่องใส สะอาด หลายอย่างต่าง ๆ นานา
ทำให้ผู้ศึกษาเรื่อง จิต เรื่อง ใจ ยุ่งกันไปหมด

สายท่าขนุน 06-04-2010 22:57

จิต นี้ถ้าเราจะพิจารณาด้วยสามัญสำนึกแล้ว มันให้คิด ให้นึก ให้ปรุง ให้แต่ง ไปต่าง ๆ นานา
สารพัดร้อยแปดพันอย่าง ยากที่บุคคลจะห้ามให้อยู่ในอำนาจของตนได้
แม้ที่สุดแต่นอนหลับไปแล้ว ยังปรุงแต่งท่องเที่ยวไปเลย อย่างเราเรียกว่า ฝัน
ปรุงแต่งไปทำธุรกิจการงานต่าง ๆ ทำสวน ทำนา ไปค้าขาย หาเงิน หาทอง อาชีพต่าง ๆ
หรืออาฆาตบาดหมางฆ่าฟันกัน เป็นต้น

สายท่าขนุน 08-04-2010 20:16

สังเกตว่ากระทู้นี้ จะมีขาประจำเพียงไม่กี่ท่านที่อ่านทันทีสม่ำเสมอ
นอกนั้น เห็นว่าค่อย ๆ ทยอยเข้ามาอ่านอย่างช้า ๆ
จึงไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะพิมพ์มากเกินไปหรือถี่เกินไป แต่ละคราว หรือเปล่า
หรือเป็นเพราะบทความนี้ เป็นที่แพร่หลายมาก ทำให้ได้อ่านกันอยู่แล้ว
หากท่านใด มีข้อคิดเห็นต่อการลงบทความนี้...
ขอให้ช่วยเมตตาบอกกล่าวกันแนะนำกันบ้าง
:onion_love:

นอกจากนี้ จะขอแนะนำให้อ่านบทความนี้จากกระทู้นี้:8f337f1c:
...ไม่เพียงเพราะยายสายที่นำบทความมาลง ได้ประโยชน์มากมายเท่านั้น
แต่ที่กระทู้นี้ ท่านพี่สุธรรมท่านเมตตาตรวจสอบข้อความให้
...อย่างชนิดที่แม้อ่านจากต้นฉบับก็ไม่สามารถเทียบได้
ดังตัวอย่างด้านล่าง

จึงขอกราบขอบพระคุณท่านพี่เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ:875328cc:

บทความที่นำมาลงเพิ่งผ่านไปได้ประมาณ ๑ ใน ๔ เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการค่อย ๆ ซึมซาบข้อพระธรรม...
แนะนำให้ค่อย ๆ ทยอยอ่านไปเรื่อย ๆ:onion_wink: ก็จะไม่สมทบกันมากเกินไป อาจทำให้รู้สึกลังเลที่จะอ่านได้


อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 34049)

เมื่อต้องการจะรู้จะเห็นเหตุการณ์อะไรท่านจึงวิตกถึง(คิดถึง)เรื่องนั้น เมื่อวิตกขึ้นแล้วท่านก็วางเฉย

คำอธิบายเพิ่มเติม
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 35588)

ที่ไหนได้ พอรถวิ่งมาใกล้ ๆ จวนจะถึงจริง ๆ แกลุกขึ้นทันที
นี่แหละ..ความถือว่าตัวตนเข้าไปลี้อยู่ลึกซึ้งมาก

ตัดแบ่งวรรคตอน ขึ้นบรรทัดใหม่ทำให้อ่านได้เข้าใจถูกต้องดีขึ้น
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 36171)

ถ้าธาตุของบิดามารดาประสมกันไม่ได้สัดส่วนกัน เช่น อีกฝ่ายหนึ่งเสีย
เป็นต้นว่า มันแดง หรือ สีมันไม่ปกติ ก็ประสมกันไม่ติด แล้วปฏิสนธิจน(เอาคำว่า "จน" ออกไป)จิตก็ตั้งไม่ติด

ต้นฉบับพิมพ์ผิด แต่คนนำมาลงไม่ทราบว่าผิด
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 37844)

จิตของคนเรา ไม่ว่าหยาบ และละเอียด นับแต่กามาพจรภูมิ รูปาพจรภูมิ แลอรูปาพจรภูมิ
ต้องมีรูปธรรมเป็นเครื่องอยู่ด้วยกันทั้งนั้น

ต้นฉบับพิมพ์ไม่ครบ และคนนำมาลงไม่สังเกตเห็น
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 40635)
บางทีเราพิจารณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ
เมื่อใจเราน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา

เสริมรูปประโยคให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น (ต้นฉบับอาจพิมพ์ตกหล่น)

สายท่าขนุน 12-04-2010 18:38

ถ้าเราฝึกหัด จิต ของตนที่ดิ้นรนนี้ให้สงบอยู่เป็นหนึ่งได้แล้ว
เราจะมองเห็นจิตที่เป็นหนึ่งนั้น เป็นหนึ่งอยู่ต่างหาก
กิเลส มีโทสะ เป็นต้นนั้น อยู่อันหนึ่งต่างหาก
จิต กับ กิเลส มิใช่อันเดียวกัน
ถ้าอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะทำให้บริสุทธิ์ได้
จิต เป็นผู้ไปปรุงแต่งเอา กิเลส มาไว้ที่จิตต่างหาก
แล้วก็ไม่รู้ว่าอันใดเป็นจิต อันใดเป็นกิเลส

พระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า
จิตฺตํ ปภสฺสรํ อาคนฺตุเกหิ กิเลเสหิ
จิตเป็นของผ่องใสอยู่ทุกเมื่อ กิเลสเป็นอาคันตุกะจรมาต่างหาก

นี้ก็แสดงว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดแล้ว

สายท่าขนุน 12-04-2010 18:40

ของในโลกนี้ต้องประสมกันทั้งหมดจึงเป็น โลก ของอันเดียวมีแต่ ธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้เห็นธรรมเป็นของหลายอย่างต่าง ๆ กัน ผู้นั้นได้ชื่อว่ายังเข้าไม่ถึงธรรม

นัยหนึ่ง เหมือนกับน้ำเป็นของใสสะอาด เมื่อบุคคลนำเอาสีมาประสม ย่อมมีสีต่าง ๆ เช่น เอาสีแดงมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีแดงไป เมื่อเอาสีดำมาประสมน้ำก็เลยเป็นสีดำไป สุดแท้แต่จะเอาสีอะไรมาประสม น้ำก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีนั้น ๆ แท้จริงแล้วน้ำเป็นของใสสะอาดอยู่ตามเดิม

หากผู้มีปัญหา สามารถกลั่นกรองเอาน้ำออกมาได้ น้ำก็ใสสะอาดเป็นปกติอยู่ตามเดิม สีเป็นเครื่องประสมน้ำให้เป็นไปต่าง ๆ

สายท่าขนุน 20-04-2010 18:35

น้ำ เป็นของมีประโยชน์มาก สามารถชำระของสกปรกสิ่งโสโครกทั้งปวงให้สะอาดได้ ความสะอาดของตนมีอยู่แล้ว ยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในสิ่งโสโครกทั้งปวง ชำระเอาสิ่งโสโครกเหล่านั้นออกมาได้ นี่ก็ฉันใด

ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมสามารถกลั่นกรองเอาจิตของตนที่ปะปนกับกิเลสออกมาได้ฉันนั้น

สายท่าขนุน 20-04-2010 18:37

คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่อง จิต กับ ใจ ให้เข้าใจกันก่อน
จึงค่อยพูดกันถึงเรื่องกิเลส อันเกิดจากจิตต่อไป

จิต คือ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง สังขาร สัญญาอารมณ์ทั้งหมด เกิดจากจิต
เมื่อพูดถึงจิตแล้วไม่นิ่งเฉยได้เลย แม้ที่สุดเรานอนอยู่ก็ปรุงแต่งไปร้อยแปดพันเก้า
อย่างที่เราเรียกว่า ฝัน นั่นเอง
จิต ไม่มีการนิ่งเฉยได้ จิตนอนหลับไม่เป็น แลไม่มีกลางคืน กลางวันเสียด้วย
ที่นอนหลับนั้นมิใช่จิต กายต่างหาก มันเหนื่อยจึงพักผ่อน
จิต เป็นของไม่มีตัวตน แทรกซึมเข้าไปอยู่ได้ในที่ทุกสถาน
แม้แต่ภูเขาหนาทึบก็ยังแทรกเข้าไป แทรกทะลุปรุโปร่งได้เลย
จิต นี้มีอภินิหารมาก เหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้

สายท่าขนุน 27-04-2010 20:14

ใจ คือผู้เป็นกลาง ๆ ในสิ่งทั้งปวงหมด ใจก็ไม่มีตัวตนอีกนั่นแหละ
มีแต่ผู้รู้อยู่เฉย ๆ แต่ไม่มีอาการไป อาการมา อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี บุญแลบาปก็ไม่มี นอกแลในก็ไม่มี
กลางอยู่ตรงไหน ใจก็อยู่ตรงนั้น ใจ หมายความเป็นกลาง ๆ
ดังภาษาชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ใจมือ ก็หมายเอาท่ามกลางมือ ใจเท้า ก็หมายเอาท่ามกลางเท้า
แม้ที่สุดเมื่อถามถึงใจคนเราก็ต้องชี้เข้าท่ามกลางหน้าอก
แต่แท้จริงแล้วที่นั่นไม่ใช่ใจ นั่นเป็นแต่หทัยวัตถุ
เครื่องสูบฉีดเลือดที่เสียแล้วกลับเป็นของดีให้ไปหล่อเลี้ยงสิ่งต่าง ๆ ในสรรพางค์ร่างกายเท่านั้น
ตัว ใจแท้ มิใช่วัตถุ เป็นนามธรรม

สายท่าขนุน 27-04-2010 20:17

จิต กับ ใจ โดยความหมายแล้วก็อันเดียวกัน ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า
“จิตอันใด ใจก็อันนั้น ใจอันใด จิตก็อันนั้น”
จิต กับ ใจ เป็นไวพจน์ของกันแลกัน ดังพุทธภาษิตว่า จิตตํ ทนตํ สุขาวหํ
จิตที่ฝึกหัดดีแล้วนำความสุขมาให้ หรือ
มโนปุพพํ คมาธมมา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน เป็นต้น
แต่โดยส่วนมากท่านจะพูดถึงเรื่องจิตเป็นส่วนมาก
เช่น เรื่องพระอภิธัมม์จะพูดแต่เรื่องจิตเจตสิกทั้งนั้น
จะเป็นเพราะจิตทำงานมากกว่าใจ ไม่ว่าจะเรื่องของกิเลส
หรือเรื่องของการชำระกิเลส (คือปัญญา) เป็นหน้าที่ของจิตทั้งนั้น


กิเลสมิใช่จิต จิตไม่ใช่กิเลส
แต่จิตไปยึดเอากิเลสมาปรุงแต่งให้เป็นกิเลส
ถ้าจิตกับกิเลสเป็นอันเดียวกันแล้ว
ใครในโลกนี้จะชำระกิเลสให้หมดได้

สายท่าขนุน 05-05-2010 02:08

จิต แล กิเลส เป็นแต่นามธรรมเท่านั้น หาได้มีตัวมีตนไม่
จิตที่ส่งไปทางตา หู เป็นต้น ก็มิใช่ตา หู เป็นกิเลส แต่จิตกระทบกับอายตนะจึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสเท่านั้น
เมื่อตาเป็นต้น กระทบกับรูป ให้เกิดความรู้สึกแล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป
จิตไปตามเก็บเอาความรู้สึกนั้นมาเป็นอารมณ์จึงเกิดกิเลส ดีแลชั่ว รักแลชัง ต่างหาก
ผู้ไม่เข้าใจ ไปหลงว่าจิตเป็นกิเลส ไปแก้แต่จิต ตัวกิเลสไม่ไปแก้ ไม่ไปแยกเอาจิตให้ออกจากกิเลส
อย่างนี้แก้เท่าไร ๆ ก็แก้ไม่ออก เพราะแก้ไม่ถูกจุดสำคัญของจิต
จิตไปหลงยึดเอาสิ่งสารพัดวัตถุเครื่องใช้ต่าง ๆ มาเป็นของกู ๆ ติดมั่นอยู่ในสิ่งนั้น ๆ มันเลยเป็นกิเลส

สายท่าขนุน 05-05-2010 02:16

เป็นต้นว่า เรือกสวน ไร่นา ทรัพย์สิน เงินทอง วัตถุต่าง ๆ
แม้ที่สุดแต่บุตร ธิดา สามี ภรรยา พี่ ป้า น้า อา เป็นที่สุด ว่าเป็นของกู ๆ จิตเลยเป็นกิเลส
แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นอยู่อย่างไร มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
มันหาได้ไปเป็นตามความหลงยึดมั่นถือมั่นของเราไม่
ดังภรรยาสามีของเรา หลงยึดมั่นถือมั่น สำคัญว่าเป็นของเราจริง ๆ
ราวกับว่าเอาหัวใจของเขามาไว้ในหัวใจของเราเลยทีเดียว
เวลาเขาคิดจะทำมิจฉาจาร เขาไม่ได้บอกเราเลยสักนิดเดียว
พอรู้เรื่องเราเกิดความทุกข์ระทมใจแทบตาย
นี่ก็เพราะ ความหลง ไม่เห็นตามความเป็นจริงของมันนั่นเอง
ยิ่งเป็นสิ่งที่หาวิญญาณไม่ได้เสียแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่
เช่น เพชร นิล จินดา ราคามาก ๆ เก็บใส่ตู้ใส่หีบไว้แน่นหนา กลัวขโมยจะมาลักเอาไป
แต่ตัวมันเองหาได้รู้สึกอะไรไม่ ใครมาลักมาขโมยเอาไปก็ไม่มีความรู้สึก
จะโวยวายก็ตัวเจ้าของผู้ไปยึดมั่นถือมั่นนี้ต่างหาก
กิเลสตัวผู้ยึดถือนี้มันช่างร้ายกาจจริง ๆ
ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มันเข้าไปยึดถือเอาเลย แล้วก็ฝังตัวรุกเข้าไปจนถอนไม่ขึ้น

สายท่าขนุน 10-05-2010 19:33

จิต ใจ แล กิเลส มีความหมายดังได้อธิบายมานี้

จิต ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมไว้ให้ดีแล้ว มีแต่จะนำให้กิเลสมาทับถมถ่ายเดียว
ตรงกันข้าม ถ้าผู้ได้ฝึกฝนอบรม จิต ไว้ดีแล้ว ก็จะเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาล
เพราะจิตเป็นผู้แส่ส่ายแสวงหากิเลสใส่ตัวเอง
พร้อม ๆ กันนั้น ก็เป็นผู้แสวงหาปัญญามาให้ตัวอีกด้วย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว