![]() |
ถาม : กรรมที่ทำให้คนมีลักษณะวิตกจริต
ตอบ : อ๋อ ไม่มีอะไรจ้ะ ขาดการภาวนา ถ้าหากการภาวนามีสติมั่นคง มันจะไม่เป็นวิตกจริต แสดงว่าบำเพ็ญบารมีในด้านของการภาวนาน้อยไป ถาม : แล้วถ้าอยากรู้ว่าในอดีตเคยทำกรรมอะไรมา ใช้มโนฯ ขึ้นไปถามท่านโดยตรง กลัวว่าคนที่เราถามจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า ตอบ : ถ้าหากว่ากลัวก็ไม่ต้องทำอะไร ทำให้มันได้ก่อน ไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปแยกแยะว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไปลังเลตั้งแต่ก่อนทำนี่ไปไหนไม่รอดหรอก เขาเรียกว่าตีตนไปก่อนไข้ เคยได้ยินไหม |
ในขณะที่พี่ซันและพี่ตู่กำลังคุยเรื่องการรวบรวมวัตถุมงคล เพื่อนำไปเปิดให้คนในเว็บบูชา ช่วยงานกฐินตุ๊ป้อ
หลวงพ่อเล็กก็กล่าวว่า "คราวนี้เราจะได้เห็นว่าความสามัคคีสำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความสามัคคีในหมู่คณะย่อมก่อให้เกิดความสุข คนเดียวมันไม่ไหวหรอก ให้มันแน่ขนาดไหนก็แบกไม่ไหวหรอก ต่อให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเถอะ ถ้าไม่มีสัตตรัตนะก็ไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด" |
มีท่านหนึ่งที่ตาบอด ได้มาทำสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์เป็นประจำ ต้นเดือนที่ผ่านมาในขณะที่เขากำลังหยิบสิ่งของ หลวงพ่อได้กล่าวว่า
"สังเกตไหมว่าเวลาที่เขาจะทำอะไร เขาต้องตั้งสมาธิก่อน การตั้งสมาธิอย่างนี้มันเป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง เพราะมันจะเพ่งความรู้สึกลงไปในสิ่งที่ตัวเองกระทำ จริง ๆ ถ้าหากเปลี่ยนวิธีฝึกนิดเดียวได้มโนมยิทธิเลย" |
หลังจากที่พี่สาวท่านหนึ่งถวายสังฆทานเสร็จ ก็ได้กล่าวกับหลวงพ่อว่า "ขอบคุณมากนะคะหลวงพี่ ตอนนี้เป็นอภิชาตเมียแล้วค่ะ"
หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ พร้อมกับพูดว่า "สุดยอดต้องทำให้ได้อย่างนี้" แล้วหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า "เขาโมโหแฟน โดนยื่นคำขาด ถามเราว่าจะทำอย่างไร ก็บอกว่าทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยเวลาเลยไปอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยมาเจรจากัน เพราะว่าตอนนั้นมันเป็นการใช้อารมณ์ พอผ่านไปแล้วมันจะรู้ตัว มันเริ่มจะตรองแล้วว่าฝ่ายนั้นขาดเราจะเป็นอย่างไร ฝ่ายนี้ก็เออไม่มีเขาเราจะเป็นอย่างไร บางทีพระก็ไม่ได้แนะนำอะไรมากหรอก แต่มันได้ผล เหมือนนักมวยกับเทรนเนอร์ นักมวยอยู่บนเวทีไม่เห็นช่องทางอะไรเลย เทรนเนอร์อยู่ข้างล่างก็บอกให้ต่อยซ้าย เตะขวา" |
ถาม : หลวงพ่อเคยเทศน์มหาชาติหรือเปล่าคะ
ตอบ : จำเขามา มันเหนื่อย เทศน์มหาชาติตั้งนะโม ๓ นาที นะกว่าจะลงโมได้ เอื้อนจนลิ้นห้อย ถาม : เดี๋ยวนี้แถวบ้านหนูเขาอ่านเฉย ๆ ไม่ได้เป็นเทศน์ทำนอง ตอบ : จริง ๆ ต้องเป็นทำนองแหล่ คนที่เก่ง ๆ เขาใช้ปากทำเสียงกลอง ฆ้อง ปี่ได้ทุกอย่าง ต้องมีใจรัก แต่ที่หลวงพ่อไม่เอาเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านห้ามขับลำด้วยเสียงอันยาว บุคคลผู้ขับลำด้วยเสียงอันยาวเกิดโทษหลายประการ ประการที่หนึ่ง ผู้อื่นย่อมหลงในเสียงนั้น ประการที่สอง แม้แต่ตัวเองนานไปก็หลงในเสียงของตน ถาม : แสดงว่าหลวงพ่อฟังบ่อย ตอบ : จำได้ ยังสงสัยอยู่ว่าหัวตัวเองเป็นอะไร ฟังเขาแล้วมันขโมยได้เลย ตอนแรกฟังหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ตอนนั้นท่านเล่นดนตรีปี่พาทย์ วงดนตรีไทย ทีนี้มีอยู่เพลงหนึ่งที่อาจารย์ไม่ต่อให้ เพราะเขาถือว่าคนละสาย คนละทางกัน แล้วเขาก็หวงมากด้วย ปรากฏว่าวันนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ท่านบอกว่าเขาไปเล่นในงานศพ ตอนพระฉันเช้าเขาตีรอบหนึ่ง พอพระฉันเพลเขาตีอีกรอบหนึ่ง ตอนเย็นประโคมศพตีอีกรอบหนึ่ง หลวงพ่อก็บอกว่าเสร็จท่าน ครั้งแรกจับจังหวะ ครั้งที่สองทวน ครั้งที่สามมั่นใจ ได้ขนาดนั้นเลย "สมาธิมันทรงตัว มันจะจำแม่น ต้องบอกว่าของเก่า ของเก่าเคยทำไว้ มาชาติใหม่กินทุนเดิม สมาธิเดิมมันดี ความจำก็เลยดีด้วย" |
ในขณะที่หลวงพ่อกำลังสนทนากับหลวงพี่เอในเรื่องความจำ ท่านบอกว่า "แถวบ้านผมนิยมสวดเจ็ดตำนาน บทแรกเขาจะขึ้นโยจักขุมา โยจักขุมาเป็นบทแรกที่ผมจำได้ บทต่อไปคือ อเสวนา กว่าจะบวชนี่จำได้เยอะแล้ว"
|
หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "สุขภาพมันแย่ ต้องรีบสมมติสถานการณ์ไว้ด้วย ถ้าไม่มีหลวงพ่อแล้วจะอยู่อย่างไร"
ถาม : ตอนสมัยหลวงพ่อ หลวงพ่อก็คิดว่า เออ หลวงพ่อฤๅษีจะไปทุกวัน ตอบ : คนอื่นประมาท ส่วนใหญ่คิดว่าท่านจะอยู่ถึง ๑๒๐ ถาม : ขนาดตัวหนูเองยังคิดเลยว่าจะไปทุกวัน ตอบ : แต่ละวันกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุด ช่วงนี้มันจะบู๊หน่อยช่างหัวมัน วันที่นั่งทำงานแล้วความดันขึ้นจนแทบจะระเบิด มันปวดหัวจนนอนไม่ได้ ในสมองมันรู้สึกเลยว่ามีก้อนอะไรมาเบียดประสาทจนหัวหมุน มันจะอาเจียน แสดงว่าเส้นเลือดมันโป่ง พักไม่พอ ไม่มีเวลาเหมือนชาวบ้านเขา เราก็คิดว่าในเมื่ออะไรก็ช่วยไม่ได้ ทำงานให้มันตายคางานไปเลย กะว่าก่อนตายจะเกลางานให้ดีที่สุด อย่างน้อยคนมาเห็นเข้า มันส่งงานแทนเราได้ |
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ ที่คนโมทนาบุญจะได้อานิสงส์ก่อน
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ โมทนาได้เท่าเขายังไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ได้ลงทุนด้วยกายวาจาใจของตัวเอง ใช้แต่ใจอย่างเดียว แต่ว่าในส่วนที่จะพึงได้นั้น ถามว่าได้เหมือนเจ้าของไหม....เหมือน แต่ว่าได้ทีหลัง ผลต้องเกิดจากเจ้าของบุญก่อน |
ถาม : คนที่ไม่ได้มโนฯ หรือจับภาพพระได้ไม่ชัดเจน จะสามารถทำให้จิตจับพระนิพพานได้หรือไม่คะ
ตอบ : ได้ ขอให้เรามั่นใจว่านั่นคือพระนิพพาน ถาม : แล้วอารมณ์จะเป็นอย่างไรหรือคะ ตอบ : เป็นอย่างไร พยายามพิจารณาว่าการไม่มีสิ่งร้อยรัดใด ๆ เลย มีความสุขเบาสบาย จิตใจที่ปราศจากการรัก โลภ โกรธ หลง มีความเบาสบายอย่างไร เสร็จแล้วก็รักษาอารมณ์นั้นไว้ ถาม : เคยตั้งอารมณ์อาราธนาพระพุทธเจ้ามาเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติและก็กำหนดว่าพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องหน้า ปรากฏว่าเกิดความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ แล้วดีใจจนน้ำตาไหล อันนี้เป็นจิตจับพระนิพพานหรือจิตปรุงแต่งขึ้นมา ตอบ : จัดเป็นพุทธานุสติ เป็นทิพจักขุญาณด้วย เพียงแต่ว่าถ้าไม่มั่นใจก็จะไม่รู้ว่านั่นคือทิพจักขุญาณจริง ๆ นั่นแหละคือลักษณะการเห็นพระ เขาเห็นแบบนั้น |
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะขายของดี
ตอบ : ท่องคาถาเงินล้าน แล้วขายของถูก ๆ |
ถ้าใครเคยเห็นสมุดเล็คเชอร์ของหลวงพ่อ จะคิดว่าท่านคัดลายมือ เพราะลายมือท่านเรียบร้อยเป็นระเบียบ
หลวงพ่อบอกว่า "ที่เล็คเชอร์มันออกมาดี ก็เพราะเราจำแม่น พอเราจำแม่นก็ไม่ต้องรีบ เวลาเขียนก็เขียนไปเรื่อย ๆ คนเห็นเขาก็บอกว่าเราคัดลายมือ" มีคุณป้าท่านหนึ่งสังเกตเห็นลายมือของหลวงพ่อ จึงบอกว่า "สระโอของท่านนี่ไม่มีใครเหมือน" หลวงพ่อก็บอกว่า "หมอดูบอกว่า ลายมือลักษณะนี้มีแต่ขึ้น ไม่มีลง" |
ถาม : แล้วเวลาที่เขาเจิม (เจิมหน้าผากบ่าวสาว) เขาเจิมอะไร หลวงพี่พอจะรู้ไหมครับ
ตอบ : ในการเจิม โบราณเขาจะยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางคนถ้าถือธรรมเป็นใหญ่ ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าไปบอกเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวล่ะ เดี๋ยวมันช็อกตาย ถ้าคิดว่าดีเราก็เจิม |
หลวงพ่อบอกว่า "พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ (วัดสระพัง) ท่านยังจะไปเกิดอีกเยอะ ท่านสร้างบารมี หล่อพระประธานทุกปี ช่วงปลายสิงหาคม คือวันเกิดท่าน ท่านก็หล่อพระประธานแล้วก็เลี้ยงพระ ๑,๐๐๐ รูป ทำอย่างนี้มาหลายต่อหลายปี เฉพาะที่นิมนต์มานั้นแค่ปัจจัยก็มหาศาลแล้ว
ใครต้องการพระประธาน โดยเฉพาะพระประธานโลหะหล่อ ให้ไปลงชื่อจองได้ ท่านจะหล่อไล่ให้เรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ " |
หลวงพ่อบอกว่า "พระสมเด็จศรีอินทราทิตย์ อย่าคิดว่ามีเยอะ เพราะว่าสร้างมาหนึ่งแสนองค์ บรรจุกรุไปเก้าหมื่นกว่าองค์ ที่เอามาแจกก็ดี เอามาจำหน่ายก็ดี เท่ากับว่าเหลืออยู่หน่อยเดียว เป็นของที่ตั้งใจทำเพื่อกันภัยพิบัติโดยตรงด้วย"
|
ถาม : ถามเรื่องจิตค่ะ คือ วันก่อนตอนนั่งสมาธิ เห็นจิตตัวเอง พอได้ยินเสียงดังขึ้นมา ก็เห็นขึ้นว่ามันเกิดเสียง แล้วมันก็ดับไปแล้ว หลังจากนั้นก็เห็นตัวเองอยู่ในบ้านแคบ เหมือนไปมอง แล้วก็...
ตอบ : จริง ๆ คือมันเป็นสภาพปกติของมัน มันคอยจะรับรู้ทุกอย่างที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ ถาม : ก็เห็นว่ามันไปรับรู้ตัวอายตนะทั้ง ๕ ก็เห็นว่ามันบังคับไม่ได้ เพราะมันยิ่งไปฟัง ตอบ : มันบังคับได้ แต่ว่าสติ สมาธิ ปัญญาจะต้องเข้มแข็ง แหลมคม และรวดเร็วพอที่จะทันมัน ถ้ายังไม่พอเมื่อไหร่บังคับมันไม่ได้ ก็แปลว่าเราต้องเพิ่มการปฏิบัติสมาธิอะไรให้มากขึ้น ถาม : ตอนนี้ยังน้อยไป ตอบ : มันไม่พอที่จะใช้งาน ถ้าพอที่จะใช้งาน มันจะต้องป้องกันตัวเองได้จากรัก โลภ โกรธ หลงที่เกิดขึ้นทางอายตนะทั้งหมด แต่ทีนี้มันยังไม่เพียงพอ กว่าจะรู้มันพาเราไปไกลแล้ว ต้องเพิ่มขึ้นอีดนิด ให้เวลาปฏิบัติกับมันมากหน่อย คำว่ามากหน่อยในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรานั่งกรรมฐานให้มากขึ้น แต่ว่าเรานั่งปฏิบัติแล้ว พอเลิกจากการปฏิบัติตรงนั้นให้เรารักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานขึ้น |
ถาม : กิเลสที่ตัวละเอียดขึ้นไปละอย่างไรคะ
ตอบ : มันไม่ได้ละอย่างไรหรอก มันก็พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เพียงแต่ว่านานไป ๆ มันก็จะค่อย ๆ คลายออกได้ ซ้ำอยู่อย่างนั้น ถาม : ตอนแรกก็กะฟันแค่สังโยชน์ ๕ ไป ๆ มา ๆ ตัวอื่นโผล่มาอีกอย่างแรง แค่นี้จึงไม่พอ ตอบ : อย่าคิดว่ามันหมด มันมีเยอะกว่าที่คิด เคยบอกว่ามันเหมือนกับเราโค่นต้นไม้ มันล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือน เราทำอะไรได้เยอะเหลือเกิน ที่ไหนได้พ่อคุณ ตอกับรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก ถาม : ตอนแรกก็นึกว่าจะสบาย ตอบ : อาตมาเป็นมาหลายยกแล้วไอ้จะสบายนี่ แรก ๆ พอผ่านไปจุดหนึ่ง โอ๊ย สบายแล้วเรา ที่ไหนได้ เดี๋ยวมีที่แย่กว่านั้นอีก ไปค่อย ๆ ทำ ถาม : แล้วแบบเวลาที่ไล่กรรมฐาน ๔๐ ตอนแรกที่หนูไล่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปทีละกอง ๆ ตอนหลังเลยมารู้ว่ามันสามารถทำในระดับเดียวได้ ตอบ : มันทรงอารมณ์เต็มที่แล้วเราค่อยเปลี่ยนอารมณ์นิดเดียว ไม่ต้องไปขึ้น ๆ ลง ๆ ถาม : หนูขอถามความแน่ใจหน่อยค่ะว่า อารมณ์ที่เป็นสีลานุสติมันคล้ายกับพรหมวิหารใช่หรือเปล่าคะ ตอบ : คล้ายกัน |
ถาม : หลวงพ่อคะ หลวงพ่อฝึกกสิณกองแรกนานไหมคะ
ตอบ : อันแรกนาน แต่ว่าอันอื่นง่ายแล้ว ก็บอกแล้วว่ามันไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่นเลย มันต้องคอยประคองตลอด ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวหาย ถาม : เวลาจับภาพ เมื่อภาพกสิณเปลี่ยนเป็นนิมิตสีขาวแล้ว แต่ทีนี้มันหายไป แต่เราก็จำภาพที่เป็นสีขาวได้ ทีนี้เราต้องกลับไปย้อนใหม่ไหมคะ ตอบ : แค่นึกใหม่ ไม่ต้องเริ่ม ถาม : แล้วสังโยชน์ ๑๐ อย่างคนที่ต้องละตัวอรูปราคะ พวกสายอื่นที่เขาไม่ได้ฝึกอรูปฌานอย่างนี้แล้วเขาจะละอย่างไรคะ ตอบ : ละในส่วนที่ไม่ใช่รูป อย่างเช่นพวกกลิ่น เสียง รส ถาม : บางครั้งหนูมาไล่ดูว่า เป็นไปได้ไหมว่าฟุ้งซ่านแล้วไม่เป็นไปในทางกิเลส สรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ตอบ : มันก็คิดอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากดีอย่างนั้น อยากดีอย่างนี้ ถาม : ถึงแม้มันจะเป็นไปในด้านกุศล ตอบ : กุศลมันก็ฟุ้ง เพราะใจมันไม่รวม เมื่อใจมันไม่รวม พอกำลังมันหมด ทีนี้กิเลสมันตีตายเลย ถาม : แต่ว่าห้ามไม่ให้ฟุ้งซ่านนี่มันยากนะคะหลวงพ่อ หนูเคยลองนั่งรถเมล์มาถึงอนุสาวรีย์ อยากจะดูว่ามันจะคุมได้นานสักเท่าไหร่ ปรากฏว่าได้ไม่นานค่ะหลวงพ่อ ตอบ : แค่ ๒ นาทีก็ถือว่าเก่ง อะไรที่แว่บเข้ามาทางตาก็มองส่องไป (หัวเราะ ) ไม่ยาก ขอยืนยัน ถาม : อย่างบางครั้งเราพิจารณาในร่างกาย แค่เราพิจารณานิดเดียว มันก็ได้กรรมฐานหลายกองไปในเวลาเดียวกัน อย่างเช่นตัวอสุภะ มันได้ทั้งธาตุ ๔ และตัวกายคตา ตอบ : มันทำได้ ของมันเนื่องกันอยู่แล้ว ถ้าเคยคลำ ๆ มาบ้าง ถึงเวลามันก็ไปลงที่เดียวกัน |
ถาม : ปฏิฆะกับโทสะต่างกันอย่างไรคะ
ตอบ : ปฏิฆะมันเป็นตัวกระทบ โทสะนั่นอารมณ์มันเกิดแล้ว ปฏิฆะพอกระทบแล้วความรู้สึกมันเกิด แต่ว่ามันเกิดในลักษณะเหมือนกับว่าสะเก็ดไฟมันกระทบเชื้อ แต่โทสะนี่มันไหม้เป็นเปลวแล้ว ถาม : แล้วอย่างเวลาอารมณ์ที่มันกระทบ มันยังไม่ได้ไปลงที่ตัวโทสะ ตอบ : มันจะดีหรือไม่ดีมันเป็นปฏิฆะแล้ว ถ้าปรุงเมื่อไหร่ไปทันที เพราะฉะนั้นอย่าเป็นแม่ครัว ถาม : อย่างสังเกตถ้าเป็นอารมณ์กระทบที่ไปในทางไม่พอใจ มันก็ไปลงที่ถือตัวถือตนอยู่ดี ตอบ : มันบวกกัน มันจะต้องมีมานะ เมื่อมีมานะมันก็ก่อให้เกิดโทสะ ถาม : แล้วอย่างเวลาที่เราเกิดอารมณ์ปั่นป่วน เรารู้ คือ เราเห็นพายุ เรากำลังมองดูพายุที่อยู่ข้างใน ตรงอารมณ์ที่มันเกิดปั่นป่วนตรงนั้น มันเป็นในลักษณะที่ว่าเราปรุงไปแล้วหรือเปล่า หรือว่ามันเกิดขึ้นตามสภาวะปกติธรรมชาติของมัน ตอบ : มันปรุงไปแล้ว ถ้าไม่ปรุงมันไม่เกิด เพียงแต่ว่ามันปรุงยังไม่พอ รสยังไม่ได้ที่ ถ้ารสได้ที่เมื่อไหร่จะมันส์กว่านี้เยอะ จึงได้บอกว่าการปฏิบัติของเราคือการฝึกสติ เมื่อสติมันทรงตัว มันรู้เท่าทัน เห็นต้นเหตุของมัน มันก็จะไม่ปรุงอีก เรียกง่าย ๆ ว่ามันรู้จักเข็ด ถ้าไม่รู้จักเข็ดก็ยังปรุงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็อร่อยไปเรื่อย ๆ |
มีคนนำพระธาตุมาให้หลวงพ่อท่านดู ท่านบอกว่า "บอกแล้วเรื่องพระธาตุไม่ต้องดูว่าจริงหรือปลอม ดูว่าใจยึดหรือเปล่า"
|
ถาม : หนูพยายามจับภาพพระแล้วก็ภาวนาไปด้วยระหว่างวัน เสร็จแล้วมันก็มีอารมณ์แนบแน่น สบายดี แต่มันยังแน่น หนัก ๆ หน่อย อย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์พระนิพพานหรือเปล่าคะ
ตอบ : จะว่าเป็นก็ได้ แต่มันเป็นจากการที่เราใช้สมาธิมาก พอใช้สมาธิมากมันกดกิเลสได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าเป็น วิขัมภนวิมุตติ ข่มกิเลสเอาไว้ ถ้าข่มนานก็หลุดได้เหมือนกัน ถาม : แล้วมีความรู้สึกว่าพระอยู่ตรงหน้าจริง ๆ พอพระอยู่ตรงหน้าจริง ๆ เกิดขึ้นเยอะ ๆ นี่ เหมือนตัวเองจะหลุดไปในอีกมิติหนึ่ง มันจะโล่ง ๆ เบา ๆ อันนี้ดีใช่ไหมคะ ตอบ : ดีจ้ะ ถาม : หนูจะภาวนาตอนนอนด้วย แล้วตัวมันหลุดออกไปค่ะ แต่ก่อนระหว่างจะหลุดรู้ตัวดีว่าตอนนี้มันนิ่งแล้วนะ มันวืดไปแล้ว แล้วมันก็หลุดออกมาแบบนี้แหละค่ะ การที่เรารู้สึกตัวตลอดเวลาแบบนี้แสดงว่าเราหลุดไปจริง ๆ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ ตอบ : แล้วมันฝันไหมล่ะ ถ้ามันรู้ทุกขั้นตอน ควบคุมได้ทุกขั้นตอน มันผ่านหมดได้ มันก็ไปจริง ๆ ถาม : แต่ทีนี้ตอนแรกที่หนูออกไป มืดตื๋อ มองไม่เห็นอะไรเลย ตอบ : มันขาดการพิจารณา ถาม : เกี่ยวไหมว่าตอนนั้นยังไม่สว่าง ตอบ : ไม่เกี่ยว ถ้าพิจารณาตัดร่างกาย มันก็จะสว่าง ถาม : พอออกไปมันก็เหาะไปเที่ยวไปเล่น แล้วรู้สึกว่าตัวเองฝ่าลมฝ่าแดด เหมือนตัวไปจริง ๆ แสดงว่าไปแบบเต็มกำลังใช่ไหมคะ ตอบ : ไปแบบเต็มกำลัง ถาม : เต็มกำลังแสดงว่าหนูคงจะเคยถึงฌาน ๔ บ้างใช่ไหมคะ ตอบ : น่าจะได้นิด ๆ |
ถาม : พอถึงจุดนี้ ที่หนูบอกว่าหลุดทุกครั้ง ทีนี้ถ้าออกไปพิจารณาข้างนอก เปรียบกับคนอื่นที่เขาไม่ได้หลุดไปแต่พิจารณา อย่างนี้มีผลเหมือนกันหรือเปล่าคะ
ตอบ : พิจารณาก่อนไป ถือว่าปลอดภัยกว่า เพราะว่ากำลังใจที่ไม่ยึดเกาะร่างกายจริง ๆ การรู้เห็นทุกอย่างจะชัดเจน ส่วนการออกไปพิจารณาข้างนอกง่ายกว่า ง่ายกว่าเพราะกายกับใจมันแยกออกเป็นคนละส่วนจริง ๆ มันไม่ได้ยึดไม่เกาะกันอยู่แล้ว ถือเสียว่าถนัดแบบไหนทำแบบนั้นแล้วกัน ถาม : เมื่อหลุดไปแล้ว หนูก็คิดว่าถือโอกาสก่อประโยชน์ให้เกิดสูงสุด ก็อยากจะไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจว่าไปก็พุ่งไปอย่างเร็วเลยค่ะ เสร็จแล้วมันก็ค่อยช้าลง ๆ ร่วงลงไปยังที่เดิม ๕-๖ ครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย ตอบ : สมาธิก็ไม่พอ ปัญญาก็ไม่พอ วิปัสสนาญาณยิ่งแย่ใหญ่ เร่งสามอย่างนี้ใหม่ ถาม : แล้วหนูขอพระ อย่างหลวงพ่อฤๅษีช่วยอย่างนี้ไม่ได้หรือคะ ตอบ : แล้วตอนนั้นขอหรือเปล่า ถาม : ขอค่ะ ปรากฏว่าพอขอแล้วก็มีแรงดึงขาหนูไป แต่ไม่ได้ขึ้นข้างบน ไปทางราบค่ะ แล้วก็ไปโผล่กำแพงเมืองจีนค่ะ ตอบ : ดีที่ไม่หลุดไปข้างล่าง ถาม : การที่ในชีวิตประจำวัน หนูพิจารณาทุกข์โดยที่ไม่รู้ว่าได้ฌานหรือเปล่า ตรงนี้จะมีผลอะไรหรือเปล่าคะ ตอบ : มี อย่างน้อยความดีที่เราทำได้ จะได้ทรงตัว มันจะได้ฌานหรือไม่ได้ฌานช่างมัน ขอให้ได้ทำก็พอ |
ถาม : ลูกสาวหนูคนโต เป็นเด็กที่ขาดความอดทนมาก อันเนื่องมาจากการเลี้ยงดูของหนูเอง ทีนี้หนูจะแก้ไขอะไรได้บ้าง
ตอบ : สอนให้ทำสมาธิ ถ้ากำลังใจเข้มแข็ง มันก็จะมีความอดทนมากขึ้น ถาม : แล้วหลัง ๆ นี่หนูจะมีความรู้สึกว่าเบื่อกิเลสมาก ๆ เลยค่ะ พอกิเลสมันเข้ามาแรง ๆ ตัวเบื่อมันก็จะถีบกิเลสกระเด็นออกไปได้ ทีนี้พอมันออกไปแล้ว ตัวเบื่อมันก็ยังอยู่ หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแจ่มใส ทำอย่างไรดีคะ ตอบ : ดี และจำเป็นต้องรักษาไว้ด้วย เพราะว่าอันนั้นเป็นเบื้องต้นเลยที่จะนำพาเราให้หลุดพ้น ตัวเบื่อเป็นนิพพิทาญาณ ถ้าไม่มีนิพพิทาญาณมันจะไม่เบื่อ ในเมื่อมันไม่เบื่อเราก็จะหลุดพ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นพยายามรักษาไว้ ทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้ากำลังมันพอมันจะก้าวล่วงลงไปกลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ คราวนี้มันจะปล่อยวาง ก็สบาย ถาม : แล้วอย่างหนูนี่ไม่ได้อะไร จะกระโดดไปถือศีล ๘ จะมีข้อดีช่วยในการปฏิบัติได้ไหมคะ ตอบ : ปรึกษาผัวก่อน เดี๋ยวมันไม่ยอม ถาม : คุยกันแล้วค่ะ จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนชวนหนูเองค่ะ แล้วเรื่องศีลแปด หนูอ่านเจอว่าในสมัยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านไม่ให้เด็กกินนมแม่ด้วยซ้ำ แล้วอย่างสมัยนี้กินนมได้หรือคะ ตอบ : กินไปสิ ถาม : ก็สมัยก่อนไม่ได้ค่ะ ตอบ : นั่นของเขาตั้งใจจริง ๆ ทีนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขากินพวกน้ำผึ้งอะไรแทน เราก็คิดเสียว่ามันมื้อเดียวก็อิ่ม ที่เขาห้ามก็คือเขาห้ามอาหารแบบปกติ เด็กมันกินนมเป็นปรกติก็เปลี่ยนซะ อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากค่ะ จบแล้วค่ะ |
ในขณะที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่อง msn กันอยู่ หลวงพ่อได้กล่าวว่า "เครื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ถ้าขาดการชั่งใจ ขาดสติ วันเวลาต่าง ๆ จะหมดไปเร็ว ไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก เหมือนกับตอนมีมือถือใหม่ ๆ เด็กไปเรียนหนังสือก็คุยโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ คุยกันทั้งวันยังไม่พอ การกระทำลักษณะนี้เขาจะรู้สึกว่าได้รับความสนใจจากคนอื่น
คราวนี้พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกสมัยใหม่ มักจะไม่มีเวลาให้ลูก พอไม่มีเวลาให้ลูกก็เท่ากับว่าเขาขาด ขาดในส่วนที่ต้องการในใจ เมื่อเพื่อนฝูงสามารถให้ตรงนั้นเขาได้ก็ไปติดเพื่อน โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ต้องระมัดระวังให้ดี เทคโนโลยีมีคุณอนันต์และก็มีโทษมหันต์ในเวลาเดียวกัน" |
ถาม : หลวงพี่คะ หนูต้องพิจารณาอะไรต่อไปคะ
ตอบ : อะไรก็ได้ที่มันไม่อยากได้ในร่างกายนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เบื่อ (ทำ) ไม่ได้ เลิกไม่ได้ เบื่อ (ทำ) เมื่อไหร่กิเลสมันตีกลับ ถาม : ทุกครั้งที่ออกจากการปฏิบัติ ตาหูมันก็เห็นค่ะ บังคับทุกตัว.... ตอบ : กำลังใจนึกถึงตลอดเวลา แบ่งความรู้สึกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งประมาณ ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ให้ภาพพระอยู่กับเราตลอด อีกส่วนหนึ่ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ก็ทำงานของเราไป เขาต้องการให้เห็นอย่างนั้นจ้ะ ไม่ใช่ไปกลัว แสดงว่ากลัวจะดี พอกำหนดรู้ไปเรื่อย ๆ ภาพพระจะเปลี่ยน สีก็จะจางลง จางลง จนกระทั่งค่อย ๆ ใสขึ้น สว่างขึ้น ถาม : ใช่เลยค่ะ ตอบ : ไปทำต่อ คนอื่นเขาทำแทบล้มประดาตายกว่าจะได้ แต่นี่ได้แล้วดันกลัว |
หลวงพ่อบอกว่า "งานอะไรที่ไม่มีอุปสรรค...มันไม่มีหรอก เพียงแต่ว่าอุปสรรคหรือปัญหาเขามีไว้ให้แก้
มีคนเขาถาม คุณเทียม โชควัฒนา ว่าแล้วถ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ล่ะ เขาก็บอกว่าปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ไม่ใช่ปัญหาสิ ถ้าแก้ไม่ได้มันจะเป็นปัญหาได้อย่างไร ซึ่งก็จริงของเขา" |
หลวงพ่อบอกว่า "การตักบาตรเทโว เกิดขึ้นจากวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกว่า วันเทโวโรหณะ เขาจึงมาเรียกสั้น ๆ ว่า ตักบาตรเทโว
พระพุทธเจ้าเสด็จลงที่เมืองสังกัสสนคร ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็นำข้าวปลาอาหารไปถวาย คราวนี้ว่าคนมากเป็นแสน ๆ โอกาสจะเข้าใกล้ก็น้อย เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยมีการพัฒนาในระยะหลังเป็นข้าวต้มลูกโยน เป็นข้าวเหนียวห่อใบตอง แล้วก็มีหางยาว ๆ ที่ทำด้วยใบมะพร้าว ถึงเวลาก็โยนไป ถามว่าใช้วิธีอย่างนั้นถวายของพระพุทธเจ้าได้ไหม....ได้ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้ ท่านบอกว่าถ้าเจ้าของให้ด้วยใจเคารพ...รับได้ ระยะหลังบ้านเราก็พัฒนาไปอีกกลายเป็นประเพณีโยนบัว รับบัวกัน ที่พระประแดง" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:46 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.