กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3589)

เถรี 23-11-2012 19:11

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : การศึกษาปริยัติเป็นการดูแผนที่ ปฏิบัติคือการเดินทางในพื้นที่จริง แผนที่เราทิ้งไม่ได้ แต่อย่าเชื่อแผนที่จนเกินไป เพราะกว่าเราจะรู้ว่าความหมายในแผนที่คืออะไร เราต้องผ่านอย่างนั้นก่อน นั่นก็คือต้องเปิดใจให้กว้าง พยายามพิจารณาทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยเลยก็คือ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะแบกทิฐิมานะไปชนกับคนอื่นเขา

เถรี 23-11-2012 19:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบัน ถ้าไม่ใช่พุทธิจริต ก็จะเป็นโทสะจริต ซึ่งทั้ง ๒ อย่างต้องอาศัยการหวดแรง ๆ ถึงจะรู้ตัว พุทธิจริตจะฉลาด ถ้าจะหวดต้องดูช่องให้ดี แต่ก็ต้องหนักมือ

โทสะจริตนี่นอกจากขี้โมโหแล้ว ยังมีอุปนิสัยแข็งกร้าว ต้องอัดหนัก ๆ เหมือนกัน แต่ทั้ง ๒ ประเภทนี้ เขาต้องเจอบุคคลที่เขาศรัทธา ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมลงให้ ตีให้ตายก็เท่านั้นแหละ"

เถรี 23-11-2012 19:20

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนเข้าพรรษา มีชาวบ้านแถวตลาดพาลูกมาบวช แต่ท่องคำขานนาคไม่ได้ เจอด่ากลางโบสถ์ไป เขาย้ายลูกไปอยู่วัดอื่นเลย เขาบอกว่าลูกเขารับไม่ได้ อะไรจะขวัญอ่อนขนาดนั้น นับว่าโชคดีที่ย้ายไป ไม่อย่างนั้นคงอยู่ไม่พ้นพรรษา เพราะระยะนี้พระใหม่โดนกันแทบทุกวัน

ทำอะไรยังขาดความรอบคอบ ถ้าปล่อยให้เลยไปเขาก็จะไม่จำว่าผิดตรงไหน เพราะฉะนั้น..พลาดเมื่อไรต้องใส่ตรงนั้นเลย ถ้าโดนอย่างนั้นแล้วจะจำไปนาน"

เถรี 23-11-2012 19:44

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนออกพรรษา ๓ วันอาตมาไปผ่าเหงือกมา เหงือกบวมมาตั้งแต่วันที่ ๒๕ แต่ต้องไปคุมห้องสอบนักธรรมอยู่ จึงปลีกตัวไปหาหมอไม่ได้ จนปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดเหงือกบวมใหญ่ประมาณ ๒ ข้อนิ้วชี้ พอวันอาทิตย์ไปให้หมอผ่า ปรากฏว่าเขารีดหนองออกมาบานเลย หมอบอกว่า “พระคุณเจ้ากลับไปตรวจสอบด้วยว่า ฟันมีปัญหาหรือเปล่า ?”

คุณหมอมาถึงก็ล้วง ๆ ควัก ๆ บีบ ๆ เค้น ๆ อาตมาก็คิดว่า "กูไม่ร้องไม่ใช่ไม่เจ็บนะ.." เหงือกบวมขนาดนั้น แรงดันข้างในขนาดนั้น ต้องปวดจนเห็นดาวเห็นเดือนอยู่แล้ว ท้ายสุดหมอฉีดยาชาให้ ๔ - ๕ เข็มแล้วก็ผ่า ผ่าเสร็จยังสอดท่อระบายเอาไว้ให้อีก แต่ยัดลึกเกินไป เลยที่ยาชาออกฤทธิ์ก็เลยสะดุ้งเฮือก ยังดีที่ไม่ได้ร้อง

พอกลับวัดไปวันแรก รุ่งขึ้นก็ออกพรรษาไม่ต้องบิณฑบาต แม่ชีต้มข้าวต้มให้ เป็นข้าวต้มเห็ดหอม เขาตักเห็ดหอมมาเกือบทั้งชามเลย คนเจ็บเหงือกจะไปเคี้ยวได้อย่างไร ? อาตมาก็เลยได้แต่ซดน้ำไปหน่อยหนึ่ง มื้อต่อไปเป็นข้าวต้มอีก ฝืนฉันลงไปได้ ๓ คำก็ต้องวางอีกเพราะเค็มจนฉันไม่ได้

รุ่งขึ้นก็ปีนเขาไปตักบาตรเทโวฯ มีแรงเดินก็บุญโขแล้ว ถ้าเทโวฯ อย่างเดียวตอนบ่ายจะได้พัก แต่ตอนบ่ายมีกฐินต่ออีก อาตมาได้แต่นั่งยิ้มกับตัวเอง ถ้าหงายตึงลงไปนี่จะไม่แปลกเลย..!"

เถรี 23-11-2012 19:48

"เรื่องของกรรมเขาไม่เว้นให้หรอก เผลอเมื่อไรเขาก็เอาคืน ถ้าเคยทำก็ต้องคืนเขาไป สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบตกปลา เป็นนักล่ามือฉมัง ขนาดลุยน้ำลงไปถึงเอวยังตกปลาได้ ปกติพอคนลงน้ำปลาก็จะหนีหมด คราวนี้ชายฝั่งที่ทำเลดี ๆ ผู้ใหญ่เขายึดไปหมด แล้วเราจะทำอย่างไร อยากตกปลาก็ต้องลุยลงไปกลางนาเลย น้ำแค่เอวก็ยังอุตส่าห์มีปลามากินเบ็ดอีก ตอนนี้ก็เลยต้องไปให้เขาผ่าเหงือกเสียบ้าง จะได้รู้ว่าปลาเจ็บอย่างไร

เรื่องของความเจ็บปวดทรมาน ถ้าไม่ได้ระดับที่เขาต้องการเขาก็ไม่เลิก อาตมาก็เลยต้องทนอยู่ ๓ - ๔ วันกว่าจะ
ได้ไปหาหมอ

ต้องยอมรับว่าตักบาตรเทโวฯ ปีนี้ กว่าจะเดินถึงยอดเขานี่เหนื่อย เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวย พระเขาเห็นพระอาจารย์เดินรวดเดียวถึงยอดเขาได้ก็ยิ้ม ไม่รู้หรอกว่าตอนนำทำวัตรข้างบนอาตมาหายใจไม่ทันแล้ว อาศัยเชิงดีต่างหาก ถึงเวลาเปลี่ยนลมหายใจนี่เขาไม่รู้ ถ้าสวดลากเสียงยาวแสดงว่าตั้งใจจะเปลี่ยนลมหายใจ พอลากเสียงกังวานยังไม่ทันจะขาด ก็ได้จังหวะเปลี่ยนลมหายใจแล้วสวดต่อได้"

เถรี 23-11-2012 20:12

ถาม : เดินอยู่เฉย ๆ มีแมลงสาบวิ่งมาจากไหนไม่ทราบ มองไม่เห็นเขา ตอนก้าวเดิน ส้นเท้าลงไปโดนเขาดัง 'เป๊ะ' ก็รีบยกขึ้นทันที... ถ้าเรามีสติดีกว่านั้น เขาจะไม่ตายหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเวรกรรมมานี่สติดีแค่ไหนก็ตาย น้ำหนักทิ้งลงไปแล้ว คนที่ไม่ได้ฝึกมาจนชินนี่ยั้งไม่อยู่หรอก นั่นเป็นกตัตตากรรม คือกรรมที่ไม่เจตนา เขาเองเคยมีกรรมเนื่องกับเรามา พอถึงเวลาอย่างไรก็ต้องมาตายเพราะเรา

เมื่อเดือนก่อนน้องเล็กขับรถตอนดึกเข้าวัด ปรากฏว่าพอถึงสี่แยกแก่งเสี้ยน จะเลี้ยวซ้ายก็มัวแต่ดูรถข้างขวามืออยู่ หมาเดินตัดหน้ารถกระชั้นชิด เสียงดัง “พลั่ก” น้องเล็กก็เบรก อาตมาเลยบอกว่า ไปเลย..ไม่ต้องไปใส่ใจ พอวิ่งต่อเสียงดัง “กรึบ” หมาแหกปากร้องสนั่นหวั่นไหวไปสามบ้านแปดบ้าน น้องเล็กเขาก็ใจเสีย อาตมาบอกไปว่าไม่ตายหรอก หมาร้องแบบนี้ยืนยันได้เลยว่าไม่ตาย เพราะถ้าหมาตายจะร้องไม่ออก คาดว่าคงโดนทับแถว ๆ ปลายเท้าโดยเฉพาะเล็บ เจ็บมากถึงได้ร้องขนาดนั้น

ปรากฏว่าไม่กี่วันผ่านไปเห็นนอนอยู่หน้าบ้าน น้องเล็กเขาก็ใจไม่ดี บอกว่าไม่ตายก็จริง แต่จะลุกขึ้นหรือเปล่า ? พอวันก่อนเห็นเดินอยู่ก็สบายใจแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก

เรื่องเวรกรรมที่ผูกพันมา ซึ่งไม่น่าจะโดน มัวแต่ไปเหลียวมองขวา หันมาอีกทีรถถึงตัวแล้ว หักหลบไม่ทัน

เถรี 23-11-2012 20:30

ถาม : สมเด็จวัดระฆังของท่านคิดราคาเท่าไรคะ ?
ตอบ : คิดแค่ ๑๐ ล้านบาท อาตมาติดตัวมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ขี้เกียจเอาเข้าตลาดพระ เข้าไปแล้วช้ำใจ

มีอยู่ช่วงหนึ่งทางนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง เขาไปบูชาหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่มา ราคา ๒.๕ ล้านบาท อาตมาเห็นว่าของตัวเองสวยกว่าตั้งเยอะ จึงให้ทิดเก่งเอาไปแหย่เขาดูหน่อย ว่าให้ราคาเท่าไร ปรากฏว่าเขาให้หนึ่งแสน..! สวยกว่าของเขาตั้งเยอะนะ..ให้หนึ่งแสน แต่ของเขาบูชามา ๒.๕ ล้านบาท คราวนี้เห็นหรือยังว่าราคาเซียนดุขนาดไหน ?

สมเด็จวัดระฆังของอาตมา ถ้าอยู่ในวงการราคาไม่หนี ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท แต่ที่ไม่สามารถไปถึงขนาดนั้นได้ เพราะเราไม่มีราคาเซียนบวกไปด้วย ถึงได้บอกว่าถ้าออกมาขอแค่ ๑๐ ล้านบาทพอ

เถรี 23-11-2012 20:35

เขาเองก็มาบ่นว่า "ทำไมไม่ค่อยมีพระใหม่เข้าวงการ ?" เข้าไปทีไรแล้วพวกเอ็งก็ไปทำกับเขาอย่างนั้น ทีของตัวเองค้าขายกันองค์หนึ่ง ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท แต่ของคนอื่นเข้าไปให้เขานิดเดียว เล่นไม่แบ่งให้คนอื่นเขากินบ้างเลย

ที่จริงอาตมามีเบญจภาคีครบชุดเลยนะ แต่พระรอดท่านลงไปดูแลบ้านวิริยบารมีเสียแล้ว ตอนยกเสาเอกบ้านนี้แหละ อาตมาใส่ลงไป แล้วเห็นไหมว่าท่านรอดจริง ๆ น้ำท่วมแค่ไหนก็ไม่โดนไปกับเขาด้วย


ถาม : พระของหลวงพ่อฤๅษีมี... ?
ตอบ : เรื่องของพระเครื่องบอกแล้วว่า วัตถุมงคลเป็นเครื่องส่ง กำลังท่านส่งเป็นปกติอยู่แล้ว สำคัญตรงเครื่องรับคือเรานี่แหละ ถ้าเครื่องรับดีก็ได้เยอะหน่อย เครื่องรับไม่ดีก็ได้น้อยหน่อย

ถาม : เครื่องรับดีทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี 23-11-2012 20:40

พระอาจารย์เล่าว่า "วันตักบาตรเทโวฯ ถามโยมสูงอายุที่มาจากทางด้านบ้านสองแคว หนองบัว สามพระยา ว่า “เป็นอย่างไรโยม..สบายดีหรือ ? ” โยมเขาตอบเป็นหลักธรรมมากเลยว่า “ยังพอไปได้มาได้อยู่..ครูบา” อาตมาฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่นักปฏิบัติยังไม่สามารถจะเค้นออกมาได้เลย แต่ชาวบ้านเขาตอบออกมาจากใจ

อาตมาถามว่า "ได้กลับบ้านบ้างไหม ?" เขาบอกว่าไม่ไปแล้ว เป็นคนไทยกันหมดแล้ว แผ่นดินไหนที่อยู่สุขอยู่สบาย เขาก็อยู่กันไป

อย่างที่ทำวิจัยเรื่องของพระแม่เจ้าจามเทวี พอมาตอนช่วงท้าย ๆ มีการรบกับทางด้านละโว้ กระทั่งทางพุกามก็ยกมารบด้วย ท้ายสุดชาวเมืองหริภุญชัยจำนวนหนึ่งก็เลยหนีไปอยู่ที่สะเทิม ก็คือสุธรรมวดี อาณาจักรมอญ เพราะพูดภาษาใกล้เคียงกัน คุยกันรู้เรื่อง อยู่ไปอยู่มามีความสุข เพราะว่าทางอาณาจักรมอญเป็นอาณาจักรพุทธศาสนา อยู่สุขอยู่เย็นมากก็เลยไม่กลับ

จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ทางด้านหริภุญชัยพอถึงเวลาเดือน ๑๒ จะทำตามประทีปลอยโคมส่งไปเพื่อถามข่าวคราวญาติทางนั้น"

เถรี 26-11-2012 20:15

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปแม่ฮ่องสอนมาหลายครั้ง คราวที่สนุกที่สุดก็คือ ไปแจกของร่วมกับท่านจิตโต แถว ๆ ห้วยไก่ป่า ห้วยกองเป๊าะ เอารถวิ่งลุยน้ำไปหลายกิโลเมตรเลย วิ่งไปตามลำห้วย ที่แย่ที่สุดก็คือ เป็นรถยนต์คันแรกที่เข้าไปในรอบปี พวกเด็กกะเหรี่ยงก็เลยเดินมาคลำรถ เขาไม่เคยเห็นรถ ลูบ ๆ คลำ ๆ เล่นเอารถลายพร้อยทั้งคัน

เด็กกะเหรี่ยงตั้งใจจะมากินก๋วยเตี๋ยว ถือชามมาคนละใบ เพราะพวกเราส่งข่าวไปว่าจะเอาก๋วยเตี๋ยวไปเลี้ยงตอน ๘ โมงเช้า เขารอแล้วรออีก มาได้กินตอนเกือบ ๆ ๖ โมงเย็น เร่งเตาแก๊สกันอุตลุดกว่าน้ำจะเดือด เห็นเขากินกันอย่างมีความสุขแล้ว อาตมาคิดว่า..ชีวิตหนึ่งของเขาได้กินก๋วยเตี๋ยวเขาก็มีความสุขแล้ว อะไรจะเรียบง่ายขนาดนั้น พวกเรานี่ขึ้นเหลาไปจ่ายมื้อหนึ่งเป็นพัน ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

ถึงได้บอกว่า บุคคลที่ร่ำรวยต้องเจือจานคนจน จะให้ทุกคนรวยเท่ากันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสร้างบุญมาไม่เสมอกัน ในเมื่อเราเจือจานคนจน คนจนก็จะเป็นพื้นฐานให้แก่เรา เวลามีอะไรเขาก็ช่วยเหลือเรากลับมา เรามีเงินเขามีแรงงาน ก็สมประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ถ้าจะเอาความรวยอย่างเดียว ไปไม่รอดหรอก

คุณรวยแค่ไหนคุณก็ตัดตัวเองออกจากสังคมไม่ได้ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ถ้าไม่ใช่บุคคลหวังความหลุดพ้น หลีกไปอยู่คนเดียวเพื่อปฏิบัติ พวกที่เหลืออยู่ไม่ได้หรอก ขืนไปโดดเดี่ยวอย่างนั้น เดี๋ยวตัวเองก็เฉาตาย"

เถรี 26-11-2012 20:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๖ ว่าจะไปวัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ช่วยสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก แปลว่าปีหน้าวัดนี้จะได้เงินจากพวกเรา ๒ ครั้ง ก็คือวันแม่กับวันกฐิน ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเหลือล้น ถ้ามีคนหาเงินให้กูทำทุกอย่าง..!

รอบนี้ท่านอาจารย์วันชาติบอกว่า.. "เสียท่าไปหน่อย เราดันไปเอ่ยปาก พอเอ่ยปากว่าเราจะทำ พรหมเทวดาโมทนาไปแล้ว จะถอยก็ขายหน้า.." อาตมาก็เลยบอกกับท่านว่า จะไปยากอะไรเล่า บอกเขาว่า ในเมื่อโมทนาแล้วก็ช่วยหาเงินให้ด้วยสิ"


หมายเหตุ : ท่านอาจารย์จะทอดกฐินปลดหนี้ ปี ๒๕๕๖ ที่สำนักสงฆ์ของพระอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ ฐิติญาโณครับ

เถรี 26-11-2012 20:22

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปได้หลวงพ่อนากน้อยมาองค์หนึ่ง โยมเขาถวายมา เป็นพระประจำตระกูลของเขา น่าจะมีเนื้อทองสัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ หน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ก็คงตกเป็นสมบัติของวัดท่าขนุนต่อไป"

เถรี 26-11-2012 20:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วญาติโยมที่จองกฐินมักจะถามว่า ทางวัดตั้งยอดไว้เท่าไร วัดอื่น ๆ เขาตั้งเอาไว้ ๕ แสนบาทบ้าง ๑ ล้านบาทบ้าง อาตมาเลยบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน โยมหามาได้ ๓๐๐ บาท ถือว่าประสบความสำเร็จ”

ปีถัดมาปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจตก โยมมาถามใหม่ “ปีนี้จะตั้งยอดกฐินไว้ที่เท่าไร ?" อาตมาบอกว่า "ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เอามา ๙ บาทก็พอ” ปี ๒๕๔๑ มาถามซ้ำอีก บอกไปว่า “เออ...ปีนี้ดีขึ้นมาหน่อย เอามา ๑๖ บาท”

ถามมา ๓ ปีแล้ว เล่นเอาโยมเลิกถามไปเลย ถ้าญาติโยมมีศรัทธาก็หามาสิ จะมากจะน้อย ยอดเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในกองกฐิน สิ่งสำคัญในกองกฐินคือผ้าไตร"

เถรี 26-11-2012 20:47

ถาม : เมื่อวันออกพรรษา ผมอธิษฐานขอให้แก้วบารมีประจำตัวมาร่วมบารมี ปรากฏว่ามีแก้วในวันรุ่งขึ้นมาด้วย ขออนุญาตท่านช่วยพิจารณา
ตอบ : ไม่ต้องพิจารณาหรอก เก็บเอาไว้เถอะ..ส่วนใหญ่ท่านเหล่านี้จะมาอำนวยความสะดวกในเรื่องของความเป็นอยู่ และเรื่องของบริวาร ถ้ามีอะไรก็นึกถึงเทวดาที่ท่านรักษาแก้ว ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ความสะดวกคล่องตัวในเรื่องนี้ ๆ

แต่จะก้ำกึ่งกันอยู่ในระหว่างสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิไปเลย เพราะสิ่งที่มาไม่มีรูปลักษณ์ของพระรัตนตรัย พอจะทำอะไรให้นึกถึงพระเป็นหลักไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนดึงเป๋ไปเรื่อย เพราะของอย่างนี้พอถึงเวลาแล้ว ทุกอย่างจะสมเหตุสมผลและลงตัวไปหมด แต่อาจจะเป็นการทดสอบก็ได้ แล้วเราอาจจะเผลอสอบตก จึงต้องยึดพระรัตนตรัยเป็นหลักไว้ก่อน


ถาม : เพิ่งทราบว่าพระอาจารย์เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน
ตอบ : แก้วคู่ตัวของอาตมาดูแล้วน่าจะเป็นมรกต ถ้าเป็นมรกตก็คงราคาแพงหูตูบ

ถาม : ไม่ทราบว่า ของผมพอจะเป็นยอดจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าถึงระดับนั้นต้องเคยเป็นมาก่อน ถ้าไม่เป็นมาจะไม่มีดวงแก้วประจำตัว แสดงว่าในอดีตของคุณสักชาติหนึ่งต้องเคยเป็นระดับนั้นมาแล้ว

ถาม : เขามาเองครับ
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็มาเองทั้งนั้นแหละ เพราะถ้าไม่มาเองก็ไม่ใช่ของแท้ รักษาไว้ให้ดี หมดจากเราไปแล้ว ขอให้เป็นมรดกของลูกหลานได้ด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หายไปเองอีก

เถรี 26-11-2012 21:05

ถาม : เขาไปนับถือผี
ตอบ : ต้องมีขอบเขตอย่างที่เมื่อครู่บอกไปว่า จะทำอะไรก็ตาม เราต้องนำด้วยพระรัตนตรัยไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเตลิดไปไกล

คราวนี้มีปัญหาตรงที่ว่า เราถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่มีที่พึ่งอื่นใดยิ่งไปกว่า แล้วอยู่ ๆ เราก็เปลี่ยนจุดหมายไปถือผี กลายเป็นว่าเราจะเป็น อัญญัตสัตถุเทสหรือเปล่า ? อยู่ในลักษณะถือศาสดาอื่นแทนพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้ดี
ถ้าเรากำลังใจวางผิดจุดนิดเดียวจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย แล้วจะโดนดึงเป๋ไปเรื่อย ๆ

ถาม : พ่อก็เป็น แม่ก็เป็น
ตอบ : เขาเป็นอย่างไรก็เป็นไปสิ ถึงเวลาเราไปด้วยความเคารพ แต่เรายึดพระรัตนตรัยเป็นที่หนึ่ง คุณจะเก่งคุณจะยิ่งใหญ่อะไรผมไม่คัดค้าน ผมจะให้ความเคารพตามปกติ แต่ที่เราเคารพที่สุด หนึ่งเดียวในชีวิตก็คือพระรัตนตรัย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็โดนหลอกไปเรื่อย

เถรี 26-11-2012 21:09

ช่วงประมาณ ๒ - ๓ เดือนที่แล้ว มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นกับอาตมา ก็คือ วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ... สมเด็จองค์ปฐมไม่ได้อยู่กับตัวเรา เมื่อลองคลำ ๆ ดู ปรากฏว่าไม่อยู่จริง ๆ ตอนนั้นกำลังเดินทางไปสอนหนังสือที่ มจร.วัดใต้ ก็สงสัยว่าท่านไปไหน เพราะตอนช่วงนั้นพกแก้วอินทนิลอยู่ จึงไปตามหาทั่วทั้งกุฏิเรือนไทยก็ไม่มี ไปที่ตึกแดง ท่านเสด็จไปอยู่ใต้หมอน ก็กำหนดใจถามเทวดาที่ท่านรักษา ท่านบอกว่า “อ๋อ...มีแก้วแล้ว ไม่ต้องไปด้วยก็ได้” อาตมาฟังแล้วรู้สึกแปลกใจอย่างไรก็ไม่รู้

พอมาอีกไม่นานแหวนจักรพรรดิหาย หาเท่าไรก็ไม่เจอ พอกำหนดใจถึงเทวดาที่ท่านรักษาแหวน ท่านบอกว่ามีแก้วแล้ว ไม่ต้องมีท่านก็ได้ อาตมาก็คิดว่า "ไม่ได้แล้ว..เรื่องนี้เราไม่เชื่อ เพราะว่าแก้วอย่างไรก็ไม่ใช่พระ ต่อให้แก้วมีอานุภาพเหนือกว่าจริง ๆ เราก็ถือพระเป็นใหญ่.."

อย่าหลงประเด็นนะ..ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะไปยึดของอื่นแทน แล้วคุณเป็นใครมาจากไหน ถึงคุณจะมาช่วยงานผมก็จริง แต่คุณไม่ใช่สิ่งที่ผมยึดถือนี่ ไม่อย่างนั้นจะหลงตามเขาจริง ๆ เถียงกันไปเถียงกันมา ท้ายที่สุดท่านต้องคืนแหวนจักรพรรดิมา แต่ขอโทษ..ไปเจอที่ไหนรู้ไหม ? ในเครื่องซักผ้า โดนเหวี่ยงเสียบู้บี้หมดเลย อาตมาก็เลยต้องเอามาดัดกว่าจะคืนรูปตามเดิม

เถรี 26-11-2012 21:12

แต่แปลกมาก..ขนาดวงแหวนหักเลยนะ แต่เพชรไม่เป็นอะไรเลยสักเม็ดเดียว อาตมาเคยยืนยันว่า แหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้ามีลายเซ็นท้องแหวนจะติดกัน ตอนนี้ของอาตมาไม่ติดแล้ว หักไปเรียบร้อยแล้ว หน้าตาเหมือนเดิมทุกประการ มีรอยขีดเพิ่มมาขีดหนึ่งเพราะหักไปแล้ว

ของอย่างนี้บางทีเป็นการทดสอบกำลังใจเรา สิ่งที่ได้มาอาจจะมีอานุภาพสูงมาก ให้ผลทางด้านลาภผลบริวารสูงมาก แต่ว่าไม่ใช่พระรัตนตรัย ในเมื่อเราถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องเอาพระเป็นหลัก เขาอาจจะมีการทดสอบกัน ดูว่าเราจะหลงประเด็นหรือเปล่า ? ถึงขนาดพระท่านเล่นด้วย

ถ้าอาตมานอนอยู่แล้วท่านตกก็ต้องอยู่บนที่นอน แต่นี่ท่านไปอยู่ใต้หมอนเรียบร้อยเลย เหมือนกับเจตนาหยิบวางเอาไว้ อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นว่าเจอทดสอบ อาตมาเป็นคนขี้ระแวง เจออะไรระแวงไว้ก่อนว่าจะโดนทดสอบ

ท่านมาช่วยเหลือ อาตมาก็ยินดีและโมทนาด้วย ยินดีรับการช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่อาตมาจะคล้อยตามจนกระทั่งยึดท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึก เหมือนอย่างกับที่เราเคยยึดพระ..นั่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้น..อย่าหลงประเด็นนะ ใครโดนอย่างนี้เข้า ถ้าเขาเลี้ยวออกจากพระเมื่อไรนี่เราอย่าไปด้วย ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่ไป

เถรี 26-11-2012 21:19

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นึกถึงพระได้ ก็บอกแล้วว่าจะเริ่มอะไรต้องเริ่มด้วยพระ ถ้าเราจะใช้วัตถุมงคลอะไรที่ไม่มีสภาพของความเป็นพระ เราก็นึกถึงพระก่อน ถ้าเป็นองค์พระเป็นพระพุทธหรือพระสงฆ์ เรานึกได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นของอย่างอื่น เช่น ตะกรุด ลูกอม ลูกแก้ว ให้นึกถึงพระไว้ก่อน ถ้าโดนดึงให้หลงทางแล้วต้องเดินทางอีกนานมาก อาตมาเหนื่อยแล้ว..เข็ดแล้ว..ไม่เอาด้วยแล้ว

เถรี 26-11-2012 21:21

แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังโดนทดสอบอยู่เป็นปกติ บางทีก็นึกว่าจะสอบไปถึงไหนวะ ? เขาช่างมีความพยายามจริง ๆ รู้ว่าสอบอย่างไรอาตมาก็ตกยาก ก็ยังจะสอบอีก ทำให้เจ็บนั่นป่วยนี่ อาตมาก็ว่าดี..ยิ่งเจ็บป่วยมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายมากเท่านั้น ถ้าเอ็งทำให้ข้าแข็งแรงด้วย รวยด้วย ชื่อเสียงโด่งดังด้วยนี่อาจจะหลงตามไปได้ แต่ถ้าป่วยอย่างนี้ดีจริง ๆ อย่างไรก็ไม่หลงตามไป อย่างนี้แหละดีแน่..!

เถรี 26-11-2012 21:24

ถาม : การดูจริยาของผู้อื่น ?
ตอบ : ถ้าชื่นชมเอาเป็นตัวอย่าง..ไม่เป็นไร ถ้าเห็นเขาทำผิดพลาด เอามาสอนใจเราว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น..ไม่เป็นไร แต่อย่าไปตำหนิเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าตำหนิเขาในลักษณะนั้น คือการที่เราไปสนใจจริยาคนอื่นแล้ว ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากทำให้ใจเราเศร้าหมองเอง

เถรี 26-11-2012 21:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการจัดดอกไม้ ถ้ามีธูปเทียนอยู่ด้วย ธูป ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียน ๒ คือ ตัวแทนของพระธรรมโดยตรง ก็คือ โลกียธรรม โลกุตรธรรม เพราะเทียนเขาหมายถึงความสว่างที่เป็นดวงปัญญา โดยเฉพาะความสว่างของพระธรรม บูรพาจารย์มักจะแทรกปริศนาธรรมต่าง ๆ เอาไว้ อยู่ในหลักการปฏิบัติบ้าง อยู่ในศาสนพิธีบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความออกไหม ? เข้าถึงไหม ?

ปกติแล้วเราจะจุดธูปแล้วค่อยจุดเทียน ถ้าที่ไหนก็ตาม เขาเตรียมธูปเทียนไว้พร้อม มีการใส่น้ำมันไว้ด้วย เราจะจุดธูปก่อนแล้วจุดเทียน แต่ถ้าที่ไหนที่เขาไม่พร้อม เราต้องจุดเทียนก่อนแล้วเอาธูปไปต่อจากเทียน แต่มาระยะหลังเห็นจุดเทียนก่อนแล้วจุดธูป เขาก็เลยบอกว่าเป็นการจุดเทียนธูป เป็นวลีที่ไม่สะดวกลิ้น แต่จริง ๆ ก็คือจุดธูปจุดเทียน

อาตมากำลังคิดว่าจะออกหนังสือสักเล่มหนึ่งชื่อว่า กลิ่นธูปควันเทียน มีบรรยากาศผี ๆ หน่อย ตอนนี้ปกิณกธรรมไป ๓ เล่มแล้ว สัพเพเหระไป ๑ เล่ม เดี๋ยวลองดูว่ากลิ่นธูปควันเทียนจะออกไปทางไหน"

เถรี 26-11-2012 21:35

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ เขาจะว่าพวกผู้หญิงไม่ดีว่า นางกะแหร่ง พอเวลานางร้ายออกมาเล่นงานนางเอกมาก ๆ ก็จะมีคนออกมาด่าว่า "อีนางกะแหร่ง" กว่าจะรู้ว่าคำว่ากะแหร่ง แปลว่าตอแหล ก็เมื่อตอนข้ามไปฝั่งพม่าแล้ว เป็นภาษาพม่าเต็ม ๆ เลย กะแหร่งแปลว่าตอแหล

คำที่ติดตลาดมาจนถึงสมัยนี้ ก็คือคำว่า "เชย" ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๘ จนป่านนี้เชยยังติดตลาดอยู่ เกิดจากนิยายเรื่อง ๓ เกลอ พล นิกร กิมหงวน มีคุณลุงเป็นเศรษฐีบ้านนอก ชื่อลุงเชย ลุงมาทำกะป้ำกะเป๋ออยู่ในกรุงเทพฯ ประจำ ก็เลยเรียกลุงเชย คำนี้ก็เลยเอาไว้สำหรับคนที่ทำอะไรไม่ค่อยทันสมัย ไม่ถูกที่ถูกทาง

ชิ้น แปลว่า คู่รัก เหมือนคำว่ากิ๊กในสมัยนี้ สมัยก่อนเขาจะถามว่า เป็นชิ้นกับเธอหรือเปล่า ? ประมาณนั้นแหละ เวลาไปอ่านหนังสือเก่า ๆ เจอคำพวกนี้จะได้รู้ มีพวกเด็ก ๆ หลายคน เวลาอ่านหนังสือแล้วก็งง เข้ามาถามว่าคำนี้หมายความว่าอะไร อาตมาก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง"

เถรี 26-11-2012 21:43

"นายกะเต ก็คือนายสถานีรถไฟ มาจากคำว่า Station สมัยก่อนเขาเรียกตามความสะดวกลิ้นว่ากะเตชั่น ไม่เรียก Station ดังนั้น..ถ้าเป็นนายสถานีจึงเรียกว่านายกะเต

ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลก็อย่างนางกีสาโคตมี กีสะแปลว่าผอม นางกีสาโคตมีหุ่นเธอผอม ถ้านางถูลนันทา ก็หุ่นแบบเดียวกับหยก ถูละแปลว่าอ้วน ถ้าอุจจะหรืออุจโจ แปลว่าสูง ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ เขาใช้คำว่า อุจจาสะยะนะ สะยะนะก็คือที่นอน มหาสะยะนา ก็คือที่นอนใหญ่"

เถรี 27-11-2012 23:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนอาตมาไม่สบาย นอนหลับแล้วก็ฝันไปเรื่อยว่า สถานการณ์บ้านเมืองเราปีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก การที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลจะเข้มข้น ถึงขนาดอาจจะมีการลอบสังหารบุคคลสำคัญ แล้วก็ป้ายโทษให้ทางรัฐบาล

อะไรจะทำกันได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา อ้าว..ฝันไปนี่หว่า แต่ปีหน้าพระผู้ใหญ่สำคัญหลายรูป ก็น่าจะถึงวาระ"

เถรี 27-11-2012 23:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อแม่จะรักลูกมากเกินไปไม่กล้าตี ไม่กล้าลงโทษ แต่พอเก็บกดมากเข้า ๆ ทนไม่ไหว ไปตีระบายอารมณ์ ทำให้เด็กจะไม่เชื่อถือ

คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ลงโทษก็คือลงโทษ ให้รางวัลคือให้รางวัล เด็กเขาจะรับได้ แต่ถ้าปล่อยให้ผิดไปเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว แล้วค่อยไปตี เด็กเขาไม่รับรู้ด้วย เพราะว่าเขาลืมไปแล้ว แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ไปเก็บเอาไว้ซะเยอะ เขาเห็นว่าผิดหน่อยเดียว ทำไมตีซะเยอะแยะขนาดนั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองโดนลงโทษแบบไม่ยุติธรรม เขาก็จะเริ่มดื้อ..!

แบบชินจัง..โดนแม่ลงโทษ เขกหัวจนปูดเป็นลูกมะกรูด เด็กญี่ปุ่นเขกหัวไม่เป็นไร แต่ถ้าตีก้นนี่เรื่องใหญ่ บ้านเรานี่ตีก้นได้ แต่อย่าตีหัว "

เถรี 27-11-2012 23:28

"สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงเด็กแบบปล่อย ถ้าเขาซนแบบไม่มีอันตราย จะปล่อยให้เล่นไปเลย อยากเล่นมีดก็ส่งให้อีกเล่ม พอโดนบาดเข้าก็จะไม่เล่นอีก อยากเล่นไฟใช่ไหม ? เอาไปอีก เดี๋ยวเดียวร้องจ๊ากเข้าให้ ต่อไปส่งให้แล้วเขาเดินหนีเลย

จำไว้ว่าเด็กอยู่ในลักษณะที่ว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ฉะนั้นอย่าไปห้าม ปล่อยเขาไป ประเภทบันได ๑๐ กว่าขั้น ตกสักครั้งต่อไปไม่กล้าลงบันไดหรอก อาตมาเลี้ยงหลานนี่พ่อแม่เขาจะหัวใจวายตาย แต่พอถึงเวลาเขายอมรับว่าเด็กรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะนอกจากไม่ห้ามแล้วยังยุส่ง อยากเล่นนักใช่ไหม ? เอาไปเลย ไปหาประสบการณ์จริงเอาเอง..!"

เถรี 02-12-2012 19:50

ถาม : บันไดบ้านควรตั้งอยู่ทิศใดของบ้าน ?
ตอบ : เรื่องของบันไดเขาดูขั้นมากกว่า ส่วนใหญ่เขาให้ขั้นบันไดเป็นเลขคี่ ๑-๓-๕-๗-๙-๑๑ อย่าให้ลงเลขคู่

ถาม : ทิศที่เราขึ้น ?
ตอบ : จะขึ้นด้านไหนก็ช่างเถอะ ทิศของบันไดเขาไม่คิด ยกเว้นตำราฮวงจุ้ยของจีนที่บางทิศก็ห้ามตั้งเหมือนกัน แต่เราไม่ควรฟุ้งซ่านขนาดนั้น เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องรื้อบ้านอีก..!

เถรี 02-12-2012 20:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในส่วนของพระพุทธศาสนามหายานถือว่าเป็นพระหมอ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยให้อาราธนาท่านทำน้ำมนต์ ดื่มเข้าไปรักษาโรคได้ หรือติดตัวไว้ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

เมื่อความเชื่ออย่างนี้แพร่หลายออกไป บรรดาพ่อค้าที่ไปค้าขายต่างประเทศสมัยก่อน ต้องไปเรือสำเภากันข้ามปี จึงพกพระกริ่งติดตัวมา การค้าขายสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ค้าขายกับอยุธยากับละโว้ พอพ่อค้าจีนเข้ามาถึงเมืองไทย คนไทยจึงทราบในอานุภาพของพระกริ่ง ก็เลยมีการสร้างขึ้นมาบ้าง

ตำราพระกริ่งที่ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยอยุธยา เชื่อกันว่าท่านเป็นคนริเริ่มสร้างขึ้นมา"

เถรี 02-12-2012 20:07

"ความจริงแล้วพระกริ่งทางสายมหายาน เขาจะจารึกอักษรธรรม แล้วก็หลอมเป็นเม็ดกริ่งใส่ไว้ในองค์พระ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าได้สวดมนต์บทนั้นไปด้วย ส่วนใหญ่คนจีนนิยมก็คือคำว่า โอม มณี ปัทเม หุม

คนที่ไม่มีเวลาก็ใช้วิธีแกว่งกงล้อมนต์บ้าง หมุนกงล้อมนต์บ้าง นับลูกประคำบ้าง พระกริ่งก็อยู่นัยเดียวกัน ก็คือ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าตนเองสวดมนต์ไปรอบหนึ่ง คราวนี้การเขย่าของที่มีเสียงดังอยู่ข้างใน คนไทยเขาว่าดัง "กริ่ง ๆ" เขาก็เลยเรียกว่า พระกริ่ง แต่คนที่คิดมากพยายามลากเข้าหาบาลี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ก็เลยไปไกลเกินเหตุ

เขาไปเปรียบกับบาลีว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ก็มานั่งพิจารณาว่า การที่เข้าถึงมรรคถึงผลนี้ได้ เกิดจากการหนุนส่งของกุศลกรรมอะไรหนอ บาลีเขาว่า กิง กุสโล คำว่ากิงก็คืออะไร อย่างเช่น กิงนะระ ก็คือคนอะไร ที่เรามาเรียก กินนร กินนรี นั่นแหละ"

เถรี 02-12-2012 20:11

"พระกริ่งของไทยเราที่สร้างแล้วชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือ พระกริ่งที่สร้างโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จำนวนสร้างน้อย เพราะว่าโลหะต่าง ๆ ที่รวบรวมนั้นมานั้น ใช้ตำรานวโลหะของไทย ไม่ได้สร้างตามแบบของจีน

ปกติโลหะก็มีพลังอำนาจในตัวอยู่แล้ว อย่างเช่น การแพทย์ของจีนบอกว่าร่างกายของคนเรา นอกจากมีดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว ยังมีธาตุไม้ ธาตุทองด้วย ธาตุทองก็คือโลหะธาตุ เพราะฉะนั้น..บางทีเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตำรายาต้องเข้าทองคำเปลวด้วย หรือไม่อย่างยาหอมอำพันทองของปราสาททองโอสถ ก็จะเป็นยาหอมปิดทอง ถือว่ากินโลหะทองเข้าไปเสริมธาตุ พอธาตุสมบูรณ์จะได้ไม่เจ็บป่วย

การเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างเกิดจากความบกพร่องของธาตุ พอใช้พระกริ่งที่สร้างจากนวโลหะแช่น้ำทำน้ำมนต์แล้วดื่มเข้าไป ก็เลยทำให้รักษาโรคบางอย่างได้ เมื่อมาประกอบไปด้วยพุทธมนต์ ก็ยิ่งมีอำนาจในการรักษาโรคที่ผิดไปจากปกติธรรมดาได้มากยิ่งขึ้น"

เถรี 02-12-2012 20:17

"ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดพระเชตุพนฯ ป่วยเป็นอหิวาตกโรค ซึ่งสมัยนั้นคนเป็นโรคนี้ตายอย่างเดียวเลย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จไปเยี่ยม พอเห็นเข้าก็ตรัสว่า สมเด็จพระอุปัชฌาย์ ก็คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้สร้างพระกริ่งเป็นพระหมอรักษาโรคไว้ จะรีบกลับไปวัดบวรนิเวศน์วิหาร เพื่อไปอัญเชิญพระกริ่งมาทำน้ำมนต์รักษาโรคให้

สมเด็จพระวันรัต (แดง) กราบทูลว่า ถ้าเป็นพระกริ่งของสมเด็จมหาสมณเจ้าฯ นั้น ไม่ต้องกลับไปวัดบวรฯ หรอก ที่นี่ก็มีอยู่องค์หนึ่ง จึงอัญเชิญพระกริ่งออกมา สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงทำน้ำมนต์ให้ พอฉันเข้าไปแล้วหายจากอหิวาต์จริง ๆ

เราจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งบุคคลที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ง่าย ๆ อย่างสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ยังให้ความเคารพ ยังเชื่อถือในวัตถุมงคลที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของท่านสร้างขึ้นมา ตำราพระกริ่งเมื่อสืบทอดมาจากสมเด็จพระวันรัต (แดง) ก็มาโด่งดังในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม

ที่ดังเพราะว่าสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านเล่นแร่แปรธาตุมาก่อน สมัยนั้นมักจะนิยมหลอมโลหะให้เป็นทอง ในเมื่อท่านได้ตำราสร้างพระกริ่งมา ก็อาศัยความสามารถพิเศษในการเล่นแร่แปรธาตุ ผสมนวโลหะเพื่อหล่อพระกริ่ง ท่านเล่นแร่แปรธาตุขนาดที่ว่า หลอมโลหะแต่ละครั้งใช้ถ่านหมดไปหลายลำเรือ"

เถรี 02-12-2012 20:22

ถาม : ถ้าทำบุญเราต้องอุทิศให้ตัวเองไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำบุญเราได้บุญเองแล้ว ทำเองได้เองแล้วจะอุทิศไปทำไมเล่า ? การอุทิศเป็นการให้กับคนอื่น

เถรี 02-12-2012 20:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "การซ่อมพระพุทธรูป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงได้เบญจกัลยาณี ตอนสมัยคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ได้นางงามจักรวาล มีโยมไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทำบุญอะไรถึงได้เป็นนางงามจักรวาล ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ต้องมีเมตตาพรหมวิหารเป็นปกติ ต้องมีศีลเป็นปกติ และที่สำคัญคือต้องเคยซ่อมพระพุทธรูปเก่า ทำของเก่าให้สวยงามขึ้นมาใหม่

ฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะเกิดใหม่ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเอาไว้บ้างนะ อาตมาไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปอย่างเดียว โบสถ์ก็ซ่อม แต่ขอบอกว่าซ่อมของเก่านี่ยากมาก ทำของใหม่เลยดีกว่า ซ่อมโบสถ์เก่ายิ่งรื้อก็ยิ่งเจอส่วนที่ชำรุด สร้างโบสถ์ใหม่หลังหนึ่งใช้เวลาไม่กี่เดือน เพราะอาตมาทำส่วนใหญ่คนพร้อม ของพร้อม เงินพร้อม

แต่พอซ่อมโบสถ์เก่าหลังหนึ่งใช้เวลาเป็นปีเลย เพราะยิ่งรื้อก็ยิ่งเจอจุดที่ชำรุด โดยเฉพาะโบสถ์เก่าเป็นไม้ระแนง เพื่อให้เขาเอากระเบื้องขอไปเกี่ยว ๆ ติดไว้ พอนานหลายสิบปี ไม้ระแนงก็ผุ แต่ที่ทรงตัวอยู่ได้เพราะขอกระเบื้องเกี่ยวกันประคองอยู่ พอเราเริ่มรื้อก็พังเลย..!"

เถรี 02-12-2012 20:40

"ประมาณปี ๒๕๓๒ อาตมาธุดงค์ไปทางทองผาภูมิ ก็ไปกราบขอความรู้จากหลวงปู่สาย วัดท่าขนุนนั่นแหละ เห็นว่าชายคาโบสถ์ทรุดพังลงไปซีกหนึ่ง จึงกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่จะไม่ซ่อมชายคาโบสถ์สักหน่อยหรือครับ ?" ท่านบอกว่า "เดี๋ยวก็มีคนมาทำให้" สรุปว่าคนที่มาทำให้ นั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ...(หัวเราะ)...

พอคล้อยหลังมาอีก ๑๒ ปี ตอนนั้นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด คือหลวงพ่อพระเทพเมธากร ท่านส่งอาตมาไป บอกว่า "วัดหลวงปู่สายโทรมเต็มทีแล้ว อาจารย์เล็กไปช่วยทำให้ใหม่หน่อยสิ" อาตมาก็เลยต้องไปเริ่มซ่อมเริ่มสร้าง ทำอยู่ได้ ๒ ปี คือปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕ พอปี ๒๕๔๖ ท่านส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ อาตมาไปทำวัดทองผาภูมิอยู่ประมาณ ๑๐ กว่าเดือน ท่านก็เรียกกลับมาช่วยที่วัดท่ามะขามของท่าน พอปี ๒๕๕๑ กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ที่ซ่อมไว้โทรมหมด ต้องเริ่มลงมือทำใหม่อีกแล้ว

ถ้าวัดวาอารามไม่มีเจ้าอาวาสที่ค่อนข้างเข้มงวด พระเณรก็ปล่อยปละละเลย วัดจะโทรมเร็ว อย่างปัจจุบันวัดท่าขนุนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งทางคณะสงฆ์และชาวบ้าน เข้มงวดถึงขนาดขอมติคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่งโดนไล่ออกจากวัดท่าขนุน เพราะการกระทำที่ละเมิดพระวินัยหรือระเบียบวัด ขอให้วัดที่เหลืออย่ารับไว้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่กลัวโดนไล่ออกจากวัดกัน"

เถรี 02-12-2012 20:45

"ปรึกษากันอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงเพราะได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าคนของเขาโดนไล่ออกมา ทางวัดเราก็ไม่รับเหมือนกัน สรุปว่าถ้าใครอยู่วัดหรือสำนักสงฆ์ในทองผาภูมิ แล้วไปทำผิดระเบียบวัดหรือผิดพระวินัย โดนไล่ออกมาเมื่อไร ๕๑ วัดกับ ๑๖ สำนักสงฆ์ไม่มีใครรับคุณหรอก เพราะว่าถ้ารับไปเมื่อไร เวลาประชุมสงฆ์ทุกวันที่ ๕ ของเดือน ก็จะโดนพวกยำกลางที่ประชุม เพราะดันไปฝืนมติเอง

ถามว่าโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าคนเราไม่มีที่ให้ต้องกลัวบ้าง ก็จะทำชั่วไปเรื่อย ฉะนั้น..บางอย่างจึงจำเป็นต้องเข้มงวด มีญาติโยมเอาลูกมาบวช แล้วละเมิดระเบียบวัด อาตมาบอกกับพ่อแม่เขา
เลยว่า เอาลูกคุณออกจากวัดไปก่อน ไปอยู่ที่วัดอื่นที่เขาเข้มงวดน้อยกว่านี้ ถ้าโดนไล่ออกเดี๋ยวจะอยู่ในทองผาภูมิไม่ได้เลย คุณเป็นคนมีชื่อเสียงที่นี่ จะทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไปด้วย

เขาถามว่าอาจารย์เข้มงวดไปหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าไม่เข้มเกินไปหรอก สมัยหลวงปู่สายหนักกว่านี้อีก คุณทันหลวงปู่ก็รู้อยู่ แต่เขาว่าอาจารย์ไม่ให้เกียรติเขา เขาเลยไม่มาทำบุญที่วัด อาตมาก็ว่าไม่เป็นไร ขาดคุณไปสักคนวัดไม่ล่มหรอก แต่ถ้ามีลูกคุณอยู่คนหนึ่งวัดอาจจะพัง..!

ของบางอย่างเพื่อส่วนรวม เราก็ต้องเสียสละส่วนน้อย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถือว่าอาตมาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน ถึงจะเถรตรงไปหน่อยก็ช่างมันเถอะ"

เถรี 02-12-2012 20:48

ถาม : พระอาจารย์ไปยุโรป ประเทศไหนบ้างคะ ?
ตอบ : ไปฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ๕ ประเทศ ส่วนอังกฤษถ้ามีเวลาว่าง น่าจะไปประมาณปลาย ๆ เดือนมีนาคม

เถรี 02-12-2012 21:50

ถาม : พระเวสสันดรเอาชนะใจพระนางมัทรีอย่างไร ?
ตอบ : ท่านอธิษฐานตามกันมา พระนางมัทรีอธิษฐานว่า ขอเป็นสำเภาทองรองรับพระองค์ท่านเพื่อข้ามสู่วัฏสงสาร ชาติที่เป็นพระนางมัทรีก็เลยโดนบริจาคเป็นทาน

ถาม : มีชาติที่พระโพธิสัตว์ต้องเอาชนะ ต้องได้ตัวมาให้ได้ ?
ตอบ : ชาติที่เป็นพระเจ้ากุสราช ท่านเกิดมาหน้าตาขี้ริ้ว โผล่หน้าเข้าไปพระมเหสีตกใจจนเป็นลม..!

ถาม : ผมต้องเอาชนะนางแก้วด้วยการอธิษฐานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คุณจะเอาชนะเขาไปทำไมวะ..!?

ถาม : ต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ เพื่อจะดึงเขามา
ตอบ : คิดดี พูดดี ทำดีไว้ เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง

สมัยก่อนอาตมาไม่เคยชวนคนเข้าวัดแม้แต่คำเดียว คบหากันเฉย ๆ กินด้วย เที่ยวด้วย เล่นด้วยทุกอย่าง แต่เวลามีงานวัดก็บอกเขาว่า ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องไปวัด แล้วเราก็ไปของเรา ไม่ชวนเขาไปหรอก ผ่านไป ๗ ปี เขาอดรนทนไม่ได้ ถามว่าวัดมีอะไรดี ทำไมถึงต้องไปทุกครั้ง อาตมาบอกว่าถ้าอยากรู้ต้องไปดูเอง เท่านี้ก็เสร็จเรา..เข้าวัดจนได้ ไม่เห็นต้องชวนสักคำ

ถาม : ถ้าพ่อแม่เขาไปหาผู้หญิงมาให้เรา ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ต้องเราหาเอง พ่อแม่พามาบางทีไม่ใช่ ไม่ถูกใจหรอก

เถรี 02-12-2012 22:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่อยากให้วัตถุมงคลมีราคาแพง เพราะถ้าแพงแล้วคนจะเข้าถึงน้อย ท่านตั้งราคาสมเด็จพระคำข้าว สมเด็จหางหมากไว้องค์ละ ๑๐ บาท ดูซิว่าตอนนี้ราคาไปถึงไหนแล้ว ? อุตส่าห์สร้างไว้เป็นล้านองค์ ท่านบอกว่า "ต่อไปของข้าจะพอ ๆ กับสมเด็จวัดระฆัง" ดูท่าจะใกล้เคียงแล้ว ล่าสุดเท่าที่ได้ยินมา สมเด็จองค์ปฐมทองคำเขาสู้กันที่ ๔ แสนบาท ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงขนาดไหน เพราะสร้างแค่ไม่กี่องค์ ราคา ๔ แสนนี่เพื่อนกันด้วยนะ...

เดี๋ยวนี้เขาเอารูปสมเด็จองค์ปฐมทองคำที่อาตมาถ่ายไว้ไปลงในเว็บต่าง ๆ อยู่เรื่อย แล้วก็บอกว่าไม่รู้ว่าของใคร อยากจะบอกว่าของอาตมาเอง แต่ขี้เกียจบอก เพราะคนอื่นถ่ายแล้วไม่สวยอย่างที่เราถ่าย และถ้าบอกไปเดี๋ยวเขาก็มาตื๊อขอบูชาอีก..!"

เถรี 03-12-2012 08:46

ถาม : เราถือศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง อานิสงส์ที่เราจะได้ ?
ตอบ : อานิสงส์เราได้อยู่แล้วตามระยะเวลาที่เราตั้งใจถือ ต้องดูตัวอย่างเทวดาที่เป็นคนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี นั่นก็ถือศีล ๘ ครึ่งวันเหมือนกัน

พอหลังเที่ยงไปแล้ว ถ้าเรายังกินอาหารอยู่ก็ถือว่าศีล ๘ บกพร่องไป อานิสงส์ส่วนนั้นเราก็ไม่ได้ เวลาถือให้เราตั้งใจถือจริง ๆ เวลาที่เราจะกินเราก็กินตามปกติของเราไป แต่ถ้าทำในลักษณะเล่น ๆ อย่างเช่นนึกจะถือเมื่อไรก็ถือ นึกจะกินเมื่อไรก็กิน จะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ให้ตั้งใจงดเว้นให้จริงจัง เวลาที่เราไม่สามารถรักษาต่อได้ เราค่อยละไป

เถรี 03-12-2012 08:57

ถาม : ตอนที่เป็นพระชาดก พระโพธิสัตว์เกิดอยู่ในช่วงพุทธกาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ช่วงพุทธกาลนี้ พระพุทธเจ้ามีอยู่แต่ผ่านช่วงของพระองค์ท่านไปแล้วก็มี มีหลายต่อหลายช่วงในชาดกที่เกิดทันพุทธกาลแต่ไม่ใช่พุทธกาลนี้ อย่างสุเมธดาบสก็เกิดทัน จึงอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าขอสำเร็จพระโพธิญาณ พูดง่าย ๆ ว่าเกิดมาเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง สลับกันไป ถ้าเกิดมาเจอทุกชาติไม่ได้อยู่ถึงพระโพธิญาณหรอก เจอทุกชาติเดี๋ยวก็ตัดใจไปพระนิพพานก่อน

ถาม : ช่วงที่โดนทดสอบหนักจะไม่ได้เกิดในพุทธกาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอยู่ในบารมีอะไร ถ้าเจอบารมีที่ต้องใช้การทดสอบหนัก ๆ ต่อให้เกิดร่วมสมัยพุทธกาล ก็อาจจะโดนหนัก ๆ ได้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว