กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4101)

เถรี 10-08-2014 15:23

ถาม : ทำบุญไปแล้วค่อยมาอธิษฐาน กับอธิษฐานก่อนทำบุญ ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าก่อนทำบุญแล้วอธิษฐานเหมือนกับอยากได้อะไรให้ตั้งใจไว้ก่อน ส่วนทำบุญแล้วอธิษฐานเหมือนกับว่าเราพร้อมทุกอย่างแล้ว แค่ว่าจะให้เป็นอย่างไรเท่านั้น

เถรี 12-08-2014 13:11

มีโยมทำวัตถุมงคลรูปสมเด็จองค์ปฐมมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "พวกเราส่วนใหญ่แล้วอยากได้บุญจนลืมความเหมาะสม ลืมกาลเทศะ โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม เรานึกอยากจะสร้างก็สร้าง นึกอยากจะทำก็ทำ เหมือนอย่างกับพระองค์ท่านเป็นเพื่อนเรา ทำอะไรเราต้องดูความเหมาะสมด้วย

อาตมาจะทำวัตถุมงคลแต่ละอย่างต้องรอพระองค์ท่านสั่งแล้วถึงทำ เห็นแล้วบางทีแทนที่จะโมทนากลับรู้สึกสลดใจว่า นี่ตกลงพวกเราเป็นเพื่อนกับพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร ? นึกอยากจะทำเมื่อไรก็ทำ ถ้าสภาพจิตยังหยาบอยู่อย่างนี้โอกาสเข้าถึงมรรคผลก็จะยาก โดยเฉพาะการสร้างพระ เราไปเอาพระเก่ามาบดทำผง เป็นโทษทำลายพระพุทธรูป มีแต่จะลงอเวจีมหานรกโดยใช่เหตุ..!

พระเก่าต่อให้หัก ให้บิ่นอย่างไรก็ตาม มีวิธีเดียวที่เหมาะสมคือบรรจุเอาไว้ในองค์ใหญ่ หรือไม่ก็บรรจุเอาไว้ในเจดีย์เพื่อบูชาต่อไป ไม่ใช่ไปบดทำลายเพื่อมาเป็นชนวนหรือว่าเป็นผง ฉะนั้น...กลับไปไปกราบขอขมาพระกันเสีย ไม่อย่างนั้นโทษไม่หมดหรอก ไม่รู้จะตักจะเตือนกันอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงกันมาอีท่าไหน ถึงได้ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านเตือนเรื่องนี้ไว้ขนาดนี้

ระยะหลังหลายต่อหลายวัดก็ทำแบบเดียวกัน ถึงเวลาก็เอาพระเก่ามาหลอมบ้าง ตำแล้วทำเป็นชนวนเป็นมวลสารบ้าง โทษมากกว่าประโยชน์เยอะเลย พระชำรุดให้ซ่อม ถ้าซ่อมไม่ได้ก็บรรจุ ไม่ใช่เห็นว่าพระชำรุดแล้วก็เป็นโอกาสเอามาทำเป็นมวลสาร ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียน แล้วต่อไปอย่าบ้าบุญจนกระทั่งลืมความเหมาะสม ทำแล้วเป็นโทษมากกว่าประโยชน์จะกลายเป็นทำแล้วขาดทุน รีบไปขอขมาพระรัตนตรัยกันเสีย"

เถรี 12-08-2014 13:14

พระมหาจุมพล สีหพโล มากราบนมัสการพระอาจารย์ "เรื่องของการสอบเปรียญธรรมได้ ๙ ประโยค ต้องบอกว่าเป็นบุญจริง ๆ ถ้าหากว่าไม่ได้สร้างบุญมาดีนี่โอกาสจะได้ถึงยากมาก แล้วโดยเฉพาะประโยค ๙ นาคหลวงนี่หายากสุด ๆ แต่ละปีจะมีสามเณรสักกี่คนฝ่าฟันหลุดมาได้ ?

มหาจุมพลได้ฉายาอะไรครับ ? (สีหพโลครับ) สีหพโล = มีกำลังดั่งราชสีห์ ไปนึกถึงคาถา“สีหะนาทัง นะทันเตเต ปริสาสุ วิสาระทา” พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ด้วยความแกล้วกล้าประหนึ่งพญาราชสีห์บันลือสีหนาท พวกนักเทศน์มักใช้คาถาบทนี้ ป้องกันตัวเองขึ้นไปเทศน์แล้วประหม่า

มหาจุมพลท่านเพิ่งบวชพระ เป็นนาคหลวง อยู่วัดสระเกศ สอบได้ประโยค ๙ นอกจากจะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่สำนักเรียน เป็นเกียรติแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลแล้ว ต้องบอกว่าเป็นเกียรติแก่ศาสนาด้วย เสียดายว่าบ้านเราเรียนแค่นี้ ถ้ามีโอกาสเรียนบาลีชั้นสูงต่อไปจะแตกฉานกว่านี้อีกมากเลย ท่านมหาจุมพลลองไปหาพวกตำรามูลกัจจายน์หรือปทรูปสิทธิมาดู จะมีบรรดาสูตรต่าง ๆ ของไวยากรณ์บาลีบอกไว้หมดเลย ต่อไปเราจะรู้ว่าทำไมต้อง อะ บวกกับ สิ ต้องเป็น โอ เขาจะมีบอกหมด

เขาจะไล่มาทีละสูตร ๆ มี ๑๒๐ กว่าสูตร ไม่อย่างนั้นเราเรียนบาลีมาประโยคแรกถึงประโยค ๙ เขาให้เราเชื่ออย่างเดียว ต่อให้เราสัมพันธ์ได้บางทีเราก็ไม่รู้ว่าตัวนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงต้องแปลง ทำไมถึงต้องลงอักษรใหม่ ทำไมถึงต้องทำให้ต่างไปจากเดิม เขาจะเริ่มจาก อัตโถ อักขระสัญญาโต = เนื้อความอันบุคคลรู้ได้ด้วยตัวอักษร แล้วเป็นการกล่าวถึงอักขระ ฐาน กรณ์ ต่าง ๆ จากนั้นขึ้นสูตรแรก ปุพพะมะโธฐิตะมัสสะรัง สะเรนะ วิโยชะเย บอกชัดเลยว่า พึงแยกสระหน้าออกจากสระหลังก่อน จะได้รู้ว่าสนธิกันเข้าไปแล้วอะไรเป็นอะไร แล้วก็ไล่ไปทีละสูตร"

เถรี 12-08-2014 13:17

"บ้านเราไม่ค่อยได้เรียน เราจะเห็นว่าสมัยโบราณ หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านขนาดเรียนแล้วไม่ได้สอบเอาประโยคยังมีความคล่องตัวกันมาก หลวงปู่ปานท่านเรียนบาลี แปลวิสุทธิมรรคชนิดตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว แต่ว่าหลวงปู่ปานท่านไม่สอบเอาประโยค ถ้าหลวงปู่ปานสอบเอาประโยค ท่านต้องได้อย่างต่ำประโยค ๘ เพราะวิสุทธิมรรคเป็นหลักสูตรประโยค ๘ แล้วหลวงปู่ปานเรียนที่ไหน ? ท่านเรียนที่วัดสระเกศ

ที่หลวงปู่ปานท่านตั้งใจเรียนจนความรู้ถึงระดับประโยค ๘ เพราะท่านตั้งใจจะแปลวิสุทธิมรรคไม่ให้ผิด จะได้สอนลูกศิษย์ได้ถูกต้อง ความตั้งใจของคนโบราณท่านขนาดนั้น ของพม่าเขาพอจบแล้วเขาจะมีบาลีปารคู ถ้าหากว่าแปลง่าย ๆ ก็คือ “ผู้ถึงฝั่งแห่งบาลี” เขาจะใช้ภาษาบาลีสนทนากันในชีวิตประจำวัน บ้านเรายังทำไม่ได้ จากบาลีปารคู ใช้ภาษาบาลีสนทนากันในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีการสอบผู้ทรงพระไตรปิฎกอีก

ฉะนั้น..
การเรียนของทางพม่าเขาจะเข้มข้นกว่าเราเยอะ ของเราพอจบประโยค ๙ แล้วไปไหนไม่เป็น เอาวุฒิประโยค ๙ ไปเรียนต่อปริญญาโทของ มจร. นี่ปางตายทุกคนเลย เพราะว่าวุฒิประโยค ๙ เขาเทียบให้เท่ากับปริญญาตรี แต่วิชาพื้นฐานไม่เคยเรียนกันมาเลย แล้วอยู่ ๆ ไปเจอปริญญาโทก็แทบตาย ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี (ไพบูลย์ คุณวิปุโล ป.ธ. ๙) ตอนนี้มรณภาพไปแล้ว ตอนเรียนปริญญาโทการบ้านทุกอย่างอาจารย์เล็กต้องทำให้ ประโยค ๙ เรียนปริญญาโทเป็นอะไรที่สาหัสมาก ๆ

มีมหาอนุวัฒน์กับมหาสมคิดเหมือนกัน ใช้วุฒิประโยค ๙ ไปเรียนปริญญาโทรุ่นพระครูบ่าว ก็จุกเหมือนกัน ท่านอาจารย์พูดอะไรมามึนไปหมด เพราะพื้นฐานไม่มี"

เถรี 14-08-2014 14:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะทำมีดหมอเพชราวุธ ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นสุดท้าย ว่าจะทำให้เต็มความรู้ความสามารถที่ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ แต่สร้างหรือผลิตมากไม่ได้ ฉะนั้น..ใครต้องการไปหามีดมาเข้าพิธีกันเอง จะเป็นมีดอะไรก็ได้ ยกเว้นมีดพับ"

เถรี 14-08-2014 14:06

พระอาจารย์กล่าวกับท่านอาจารย์ติงลี่ว่า "เราต้องมาคิดว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง นี่แค่รุ่น ๆ เราที่ทันตอนหลวงพ่อท่านยังอยู่ ยังเพี้ยนไปจนขนาดนี้ หลายคนพยายามออกข่าวว่าสมเด็จองค์ปฐม รุ่น ๓ ทันหลวงพ่อปลุกเสก เพื่อที่จะได้จำหน่ายได้ราคาสูง ขณะเดียวกันรุ่นสี่เหลี่ยมที่เลียนแบบของวัดปากน้ำ ก็ไปเรียกกันว่า "รุ่นยันกลับ"

อาตมาขอยืนยันว่า ที่หลวงพ่อท่านพูดเรื่องยันกลับก็คือสมเด็จองค์ปฐม รุ่นที่ ๒ เป็นรุ่นที่ไม่อุดกริ่ง รุ่นยันกลับพิมพ์สี่เหลี่ยมที่เขาไปเรียกกันเองนั้น เข้าพิธียังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเลย เพราะว่าคุณวิมาลีเอายัดเข้าไปในงานที่หลวงพ่อท่านเสกพระพุทธรูป ซึ่งเครื่องบวงสรวงไม่ครบ การที่จะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลให้ติดตัวแก่ญาติโยม เป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ถ้าโยมเขาบูชาด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย มีเคราะห์กรรมอะไรเกิดขึ้น ถ้าหนักก็เป็นเบา ถ้าเบาก็เป็นหาย ท้าวจาตุมหาราชท่านสั่งนักสั่งหนาว่า ถ้าจะพุทธาภิเษกพระเครื่อง เครื่องบวงสรวงต้องครบชุดใหญ่ แต่ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูปเพื่อบูชาไว้ที่บ้าน ไม่ต้องมีหัวหมูกับไก่ก็ได้

คราวนี้หลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกพระพุทธรูป เครื่องบวงสรวงมีไม่ครบ แต่คุณวิมาลีก็เอาพระเครื่องเข้าพิธีไปด้วย หลวงพ่อท่านแทบจะคลานออกจากห้องมาเลย บอกว่าเกือบตาย ท้าวมหาชมพูบอกว่า ถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่งแล้วจะล่อให้คลานเลย เสร็จแล้วท่านก็บอกว่าให้เอาไปเข้าพิธีใหม่ แต่ปรากฏว่ารุ่นสี่เหลี่ยมไม่ทันจะเข้าพิธีใหม่ หลวงพ่อก็มรณภาพไปก่อน แต่เขาไปปล่อยข่าวกันว่า หลวงพ่อพูดถึงรุ่นนี้ว่าเป็นรุ่นยันกลับ เพื่อจะเอาไปขายแพง ๆ กัน เป็นอะไรที่น่าเกลียดมาก เพราะหวังประโยชน์อย่างเดียว แล้วทำให้ความเป็นจริงเสียหายหมด

ฉะนั้น..แค่รุ่นเราที่ทัน ๆ กันอยู่ยังเพี้ยนไปจนขนาดนี้แล้ว แล้วลองคิดดูว่า
ต่อไปประวัติจะเพี้ยนไปถึงขนาดไหน ระยะหลังนี่ก็จะมีเพชรเขาพระงาม ออกมาจำนวนมหึมามโหฬารเลย แต่ละชุดจำหน่ายสองหมื่นสามหมื่นบาท แล้วก็บอกว่ารับมาจากมือหลวงพ่อ เพชรเขาพระงามนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่เคยแจก แล้วจะไปรับมาจากมือหลวงพ่อได้อย่างไร ชุดที่ท่านสั่งทำเป็นวัตถุมงคลก็คือแหวนจักรพรรดิรุ่นแรก มีไม่กี่วงที่ได้เพชรเขาพระงามมา เพราะช่างไปพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพชรแท้ไปตั้ง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว จึงเปลี่ยนเอาเพชรรัสเซียมาให้หมดเลย

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเงียบเอาไว้ก็จะเละเทะกันไปใหญ่โต ไม่อยากจะไปขัดประโยชน์เขาหรอก แต่บอกให้พวกเรารู้ว่า รุ่นนี้อย่างไรก็ไม่ทัน"

เถรี 14-08-2014 14:11

ถาม : ผมก็ได้รู้ว่ารุ่นสี่เหลี่ยมเข้าพิธีไม่ทัน แล้วทำไมมาออกข่าวกันแบบนั้น
ตอบ : พวกเราอยู่ทันแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาได้ทั้งนั้น ขนาดหลวงพี่ทีปยังโดนหลวงพ่อดุเอา พอหลวงพ่อบอกให้เอาไปเข้าพิธีใหม่ หลวงพี่ทีปก็ว่า “แหม..อุตส่าห์ไปเข้าพิธีมาแล้ว จะไม่ติดสักนิดเลยหรือครับ” หลวงพ่อท่านว่า “ไอ้ห่..เดี๋ยวกูถีบ พระท่านพูดคำไหนก็คำนั้น”

ถาม : แต่หลวงพ่อท่านแจกเอง ?
ตอบ : แจกเพราะคุณวิมาลีถวายให้แจกพระทุกรูป ท่านแจกพร้อมกับคำสั่งว่าให้เอาไปเข้าพิธีใหม่ คิดดู..บางคนปั่นราคาไปเป็นแสน แล้วความจริงก็คือพระท่านไม่อนุญาตให้ ที่เมื่อครู่ดุโยมไปเพราะนึกจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมก็สร้าง ทำอย่างกับว่าอัดรูปเพื่อนแจก ต่อให้อัดรูปเพื่อนแจกโดยมารยาทก็ต้องบอกเพื่อนก่อน แล้วนี่สมเด็จองค์ปฐมเป็นเพื่อนคุณหรือ ?

หลายคนเอาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาให้ดู ผมไม่รับรองให้ใครทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะสมเด็จคำข้าวปลอมตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าพิธีพุทธาภิเษก แม่พิมพ์ ๑๓ ตัว เขาขอส่งงานช้าไป ๒ เดือน คุณลองคิดสิว่าเขาปั๊มไปเท่าไร ? แม่พิมพ์ก็ใช่ ผงก็ใช่ เขาปลอมตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะเข้าพิธีเลย หลวงพี่วิรัชท่านบอก “เล็ก.. ช่วยเป็นเจ้าภาพแม่พิมพ์สักตัวสิ” ผมก็ว่า “ได้ครับพี่” สรุปแล้วมีแม่พิมพ์ ๑๓ พิมพ์ มีบางพิมพ์ที่เขาแอบทำตำหนิมา เสร็จแล้วเขาก็จะปั๊มพิมพ์นั้นแหละ ออกมามากที่สุด ถึงเวลาไปก็ยืนยันว่าพิมพ์นี่ของแท้ เพราะมีตำหนิตรงนั้นตรงนี้ ตำหนิที่เขาทำไว้เองนั่นแหละ พิมพ์อื่นไม่มีตำหนิ รับมาจากมือหลวงพ่อเองกลายเป็นไม่แท้

เถรี 14-08-2014 14:16

ถาม : เหรียญท้าวเวสสุวรรณมีปลอมแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเราช่างสังเกตหน่อยจะเห็นว่าของปลอมพิมพ์ตื้นกว่า เพราะไปถอดจากเหรียญจริงอีกที นั่นฝีมือช่างเกษม มงคลเจริญแกะให้ ฝีมือช่างเกษมตอนนั้นถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือของช่างแกะพิมพ์พระเลย ผลงานเขาอย่างเช่น เหรียญเราสู้ของหลวงปู่แหวน ช่วงนั้นช่างเกษมเป็นช่างแกะแบบพระที่ค่าตัวแพงที่สุด

ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่คบกับพวกเซียนพระหรือสนามพระเลย ก็เพราะอย่างนี้แหละ เขาไม่ค่อยจะมีศีลมีธรรมกัน ถึงเวลาก็ไปปั่นราคาของจริงของปลอมปนกันให้มั่วไปหมด ขายราคาของแท้ทั้งนั้น ตั้งแต่พระปิดตา ตชด. ปี ๒๕๒๓ หลวงพ่อสั่งทำสองหมื่น เขาปั๊มมาห้าหมื่น ให้วัดสองหมื่นนะ ตัวเองนี่มีเยอะกว่าของวัดอีก เอามาถึงหลวงพ่อสั่งเก็บเลย หนังสือพิมพ์ลานโพธิ์เอาไปลงว่า “ฤๅษีลิงดำทราบด้วยญาณ เซียนพระตั้งใจทำพระปิดตา ตชด. ปลอม สั่งเก็บไม่จำหน่าย” พวกนั้นเหี่ยวเลย เขาตั้งใจลงทุนทำมาขายแล้วนี่ หลวงพ่อไม่เอาเข้าพิธีก็เจ๊งไปเลย

เถรี 15-08-2014 15:21

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : หลวงพ่อท่านบอกว่าให้มีเก็บไว้ทุกรุ่น ถึงเวลาจะได้ทำเป็นทำเนียบของวัดได้ แต่เขาก็ขายกันเกลี้ยง ถ้าจะขนตอนนั้น เฉพาะลูกแก้วรุ่นหนึ่งที่เป็นกลีบมะเฟืองมีเป็นคันรถกระบะเลย ปรากฏว่าขายกันหมด ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อท่านสั่งให้เก็บไว้ ท่านบอกว่าเก็บไว้แล้ว หากวัดวาอารามทรุดโทรม จะได้มีจำหน่ายซ่อมวัดได้ เขาก็ไม่สนใจ เขาถือว่าหลวงพ่อสิ้นลง คนกำลังต้องการ เลยขายเกลี้ยง

แม้กระทั่งรุ่นที่พวกผมทำกัน พระวิสุทธิเทพเนื้อผงรุ่นที่หนาเป็น ซ.ม.เลย เขาก็บอกว่าทางวัดทำ เขาไม่รู้ว่าผมทำ พุทธาภิเษกเสร็จหลวงพ่อท่านบอกว่า เป็นพิธีที่พระท่านบอกว่าสมบูรณ์ที่สุด ให้เก็บเอาไว้เพื่อซ่อมวัด ช่วงนั้นทั้งพรรษาไปตำผงอัดมือกันทีละองค์ แบบของปู่เหม่นั่นแหละ ปู่เหม่เขาทำบาง ๆ ส่วนของผมก็คิดว่าถ้าบางเดี๋ยวหัก จึงตั้งพิมพ์หนาเลย ทำมาด้วยกันมีผม มีพี่สามารถ มีท่านจิตโต มีพระใหม่อีก ๕-๖ รูป ช่วยกันตำผงจนแขนโตเลย ตำทีละครกน้ำพริกนี่แหละ ครกหนึ่งก็ได้ประมาณ ๓๐-๔๐ องค์ กว่าจะได้หมื่นองค์อย่างที่ตั้งใจไว้นี่แทบตายเลย

หลังจากนั้นก็ควักกระเป๋าชำระหนี้สงฆ์คนละ ๕๐๐ บาท ตำไปคนละครก เพราะว่าตอนนั้นขอหลวงพ่อจนหมดแหละ จีวรเอย เกศาเลย อะไรเลย จนท่านบ่นว่า "โกนหัวจนแสบหมดแล้วโว้ย" บางองค์ที่คิดว่าจะเก็บไว้เองก็หยิบใส่เกศาทั้งขยุ้มเลย ถ้าของคนอื่นบางทีเขาหยิบมาโรยในครก ครกหนึ่งเท่ากับที่ใส่องค์เดียว เล่นกันอย่างนั้น ท้ายสุดผมเองก็ไม่เหลือสักองค์เหมือนกัน

รุ่นนั้นผมยืนยันเลยว่าแช่น้ำก็ไม่ละลาย เพราะว่าพวกผมใส่น้ำมันตังอิ๊วกันไม่เป็น ปกติเขาผสมนิดเดียว ของผมใส่ไปครกละ ๒ ช้อน ตากอยู่ ๒ เดือนกว่าถึงจะแห้ง จำได้ว่าทำเสร็จพอดีเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๙ ที่จำแม่นเพราะเลขสวย แล้วท่านก็บอกให้บรรจุให้หมด ถามว่าเอาไว้ที่ไหนดีครับ ท่านบอกว่า “ใต้หลังคาวิหารร้อยเมตร” รุ่นนี้เขาขายกันครึกครื้นไปหมด ถ้าพี่ทีปไม่คอยด่าไว้จะหมดเร็วกว่านั้นอีก

เถรี 15-08-2014 15:22

ถาม : ที่หลวงพี่มหาดำท่านขอไป ?
ตอบ : ชนวนสมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อท่านให้ไปนิดเดียว ขำจะตาย ถึงเวลาผมก็คิดว่าพี่เขาจะใส่ไปหมด เปล่าหรอก..เล่นมาฝนเอา ฝนเสร็จใส่ไปนิดหนึ่งแค่นั้นแหละ ที่เหลือเก็บ..ขำจะตาย หลวงพี่ดำท่านเคารพหลวงพ่อจริง ๆ ตอนนี้เป็นเจ้าคุณไปแล้ว พวกเราโผล่หน้าไปบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่แทบจะกระโดดกอดเลย

เถรี 15-08-2014 15:23

พระอาจารย์กล่าวว่า “ให้ดูกำลังตัวเอง พอถึงเวลารู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลง บางทีเราจะอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไม่ขาด จะได้รู้ว่าเรื่องแค่นี้ยังตัดใจยากขนาดนี้ เรื่องอื่นยากกว่านี้มีอีกเยอะ ส่วนใหญ่เกิดจากการกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการเปลี่ยนแปลงก็คือกลัวตัวเองรับไม่ได้ ในเมื่อตัวเองรับไม่ได้อาจจะมีเหตุบางอย่างให้ถึงแก่ชีวิต ท้ายสุดสรุปได้ว่ากลัวตาย”

เถรี 15-08-2014 15:30

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำให้เป็นปกติจนเป็นธรรมชาติของเราเอง ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกว่าคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไร แต่ให้เรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ทำไปเมื่อไรก็มีประโยชน์แก่ตัวเราเมื่อนั้น ฉะนั้น..ตั้งหน้าตั้งหน้าทำไปเลย พอนาน ๆ ไปก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเอง

แรก ๆ ก็ต้องฝืนใจ พอนานไปกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวก็เป็นธรรมชาติของเราเอง คนจะยอมรับได้ง่าย ถ้าแรก ๆ ยังฝืนอยู่ก็เหมือนกับลูกเต๋า หล่นลงไปก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ แต่พอเกลาเหลี่ยมไปเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ กลมขึ้นมา คราวนี้ก็กลิ้งไปเรื่อย จากลูกเต๋าเปลี่ยนเป็นลูกบิลเลียดเมื่อไรก็คราวนี้ก็สบายแล้ว

เถรี 15-08-2014 15:30

ถาม : เมตตา ?
ตอบ : ถึงได้ว่าต้องมีอุเบกขา ช่วยแค่ที่ช่วยได้ เกินกำลังเมื่อไรก็ต้องปล่อยวาง ถ้าช่วยด้วยกำลังทรัพย์ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ช่วยแนะนำหนทางก็ยังดี ไปนึกถึงที่หลวงปู่จันทร์ ท่านเจ้าคุณพระพุทธวรญาณ วัดเจดีย์หลวง (จันทร์ กุสโล) ท่านบอกว่า “ถ้าเมตตาเกินประมาณจะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง” คนไม่รู้จักพอนี่ ให้เท่าไรเมื่อไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวาไปเรื่อย เราก็เสร็จ

ถึงได้บอกว่าเมตตาก็ต้องมีประมาณ ต้องลงท้ายด้วยอุเบกขาไว้ คำว่าเมตตาเกินประมาณของท่านนี่เกิดจากประสบการณ์แท้ ๆ เลย หลวงปู่ท่านเป็นพระนักปฏิบัติก็จริง แต่ท่านมาสายปกครองตลอด จนกระทั่งขึ้นถึงตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ

เราเรียกรองสมเด็จ แต่อย่างเป็นทางการเขาเรียกสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ แต่คราวนี้พวกเราจะเรียกสมเด็จฯ ก็ต่อเมื่อเป็นชั้นสุพรรณบัฏ ฉะนั้น..สมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏและชั้นสุพรรณบัฏ ท่านถึงใช้คำว่าสถาปนา ไม่ใช้แต่งตั้ง เป็นศัพท์เฉพาะ ของพระนี่ต่อให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเขาก็ให้ใช้อยู่ในระดับของหม่อมเจ้าเท่านั้น

ของพระเราโดยพื้นฐานตั้งแต่บวชใหม่ไปเลย มีศัพท์เฉพาะที่ใช้ลักษณะเหมือนราชาศัพท์อยู่แล้ว อย่างกินก็ฉัน ไปห้องน้ำก็ไปถาน นอนก็จำวัด เป็นศัพท์เฉพาะต่างหากไป ลักษณะเหมือนราชาศัพท์ ไม่ใช่ศัพท์ของชาวบ้านทั่วไป ถ้าเชิญก็นิมนต์ ขอร้อง
ก็อาราธนา จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็คือให้โยมรู้สึกตัวว่าต่างจากเรา แต่ว่าโยมส่วนหนึ่งพอเคยชินกับพระแล้วก็มักจะลืมตัว ก็เลยกลายเป็นว่าอยู่ใกล้พระจริง ๆ คุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ ไปดูนางขุชชุตตรา ใช้เพื่อนพระภิกษุณีครั้งเดียว ไปเกิดเป็นคนใช้เขาตั้ง ๕๐๐ ชาติ

เถรี 15-08-2014 15:31

ถาม : ญาติโยมชอบเอาของมียี่ห้อ ราคาแพง ๆ มาถวาย ?
ตอบ : บอกเขาไปว่าพระไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ถ้าหากว่าโยมศรัทธาไปถวายที่อื่นก็ได้ แต่ที่นี่ไม่รับ บอกไปตรง ๆ ถ้าหากว่าไม่บอกไปตรง ๆ ก็ประเภทมาอยู่เรื่อย คนสมัยนี้แปลก พูดให้นัยมักจะฟังไม่เข้าใจ ด่าใส่หน้าไปเลยค่อยหูตาสว่างหน่อย อาตมาเลยกลายเป็นพระปากร้ายมาตลอด

เถรี 15-08-2014 15:32

ถาม : อยากได้งานครับ ?
ตอบ : ไปขัดส้วมวัดที่ไหนก็ได้ แล้วไปอธิษฐานของานกับพระประธานที่วัดนั้น

เถรี 16-08-2014 14:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ความแตกต่างของสัตว์ขึ้นอยู่กับนิยาม ๕ ประกอบไปด้วยอุตุนิยาม ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ เราสังเกตดูว่าฝรั่งทำไมผิวขาว เพราะบ้านเขาอากาศหนาว แล้วทำไมนิโกรผิวดำ เพราะบ้านเขาอากาศร้อน แบบเดียวกับประเทศไทยของเรา คนเหนือจะผิวขาวและพอลงใต้แล้วทำไมดำ วัวแดงอยู่ภาคกลางลงภาคใต้แล้วกลายเป็นวัวดำ ที่เขาเรียกสีตาลโตนด อันนี้เขาเรียกอุตุนิยาม ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ

อันดับต่อไปคือพีชนิยาม อันนี้ขึ้นอยู่กับพืชพันธุ์ เผ่าพันธุ์ หรือขึ้นกับดีเอ็นเอ เมื่อเชื้อพันธุ์ต่างกัน เกิดมาก็ต่างกัน ต่อไปท่านบอกว่าจิตนิยาม ขึ้นอยู่กับสภาพจิต สภาพจิตถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่มีเมตตา เกิดมาก็จะมีผิวพรรณสวยงาม จิตใจเยือกเย็น ถ้าหากว่ามากด้วยโทสะเกิดก็ผิวพรรณทราม หน้าตาไม่ผ่องใส

กัมมนิยาม ท่านบอกว่าขึ้นอยู่กับการกระทำ ถ้าหากว่าสร้างไว้แต่กรรมดี เกิดมาก็จะอยู่ในสภาพที่ดี อย่างเช่นว่าผิวพรรณดี ฐานะดี ตำแหน่งหน้าที่การงานดี ถ้าหากว่าสร้างไว้แต่กรรมไม่ดีเกิดมาก็ผิวพรรณทราม ฐานะไม่ดี ตำแหน่งหน้าที่การงานไม่ดี เป็นต้น

ท้ายสุดท่านบอกว่า ธรรมนิยาม ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเรา ถ้าหากว่ากำลังใจยิ่งสูงเท่าไร โอกาสที่จะเกิดอยู่ในที่สูง อยู่ในที่ดีก็มีมากเท่านั้น

โดยเฉพาะในส่วนของกรรมนิยาม คือการบันดาลของกรรมนั้น เราทำอะไรก็จะได้อย่างนั้น คราวนี้บางอย่างก็พิลึกพิลั่นจนเรานึกไม่ถึง อย่างเช่นว่าทำไมถึงต้องเกิดมาเป็นฝาแฝด ทำไมคู่นั้นเป็นแฝดหญิงล้วน คู่นั้นแฝดชายล้วน อันนี้แฝดชายหญิง โน่นเป็นแฝดตัวติดกัน อันนั้นเขาเรียกกรรมนิยาม ฉะนั้น..พ่อขาว แม่ขาว ลูกออกมาดำก็เป็นเรื่องปกติ

คนเราจริง ๆ ก่อนหน้านี้เกิดมาจากพรหม..ใช่ไหม ? เกิดมาก็เหมือน ๆ กัน นานไปนิยาม ๕ อย่างปรากฏขึ้น ก็แตกต่างกันไปเรื่อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งผิวขาวกับนิโกรผิวดำก่อนหน้านี้คือบรรพบุรุษเดียวกัน มีคอเคซอยด์ผิวขาว นีกรอยด์ผิวดำ มองโกลอยด์ผิวเหลือง แล้วพวกผิวแดงเขาเรียกอะไร ?"

เถรี 16-08-2014 14:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กทั่ว ๆ ไปเกิด ๗ เดือนบ้าง ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง บางคนก็หนึ่งปี เคยเจออยู่คนหนึ่ง ๒ ปีกว่า แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่จุติเพื่อตรัสรู้นี่ จะอยู่ในท้องแม่ ๑๐ เดือนถ้วน เขาถึงได้ใช้คำว่าทศมาส คือ ๑๐ เดือน

โยมแม่ของอาตมาซึ่งต้องบอกว่าเป็นหมอตำแยมืออาชีพ ทำคลอดลูกตัวเองมาเป็นสิบยังไม่พอ ยังต้องไปทำคลอดลูกคนอื่นเขาทั้งตำบลอีก แม่บอกว่า ๗ เดือนรอด ๙ เดือนรอด ๘ เดือนตายทุกคน ไม่รู้เป็นเพราะอะไร คาดว่าในช่วงระหว่าง ๗-๙ เดือน ก็คือเดือนที่ ๘ ร่างกายคงจะสร้างอะไรบางอย่างเพิ่มเติมออกมา คราวนี้ยังไม่ทันจะสมบูรณ์แล้วไปคลอดก็เลยตาย ตอน ๗ เดือนนี่อาจจะขาดอะไรนิดหน่อย ๙ เดือนก็ครบถ้วน

พี่สาวของอาตมาคลอดลูกแฝด แต่ก่อนจะคลอดฝันไปว่า พระอินทร์เอากำไลหยกมาให้ ๒ วง ก็ใส่ไว้วงหนึ่งแล้วคืนไปวงหนึ่ง ลูกแฝดเลยตายไปคนหนึ่ง แปลกดีเหมือนกัน เป็นนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า พอมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าไปคืนทำไม ? แล้วก็จริง ๆ ด้วย ตายไปคนหนึ่ง พระอินทร์เอากำไลหยกมาให้ ๒ วง คืนไปวงหนึ่งคราวนี้เลยเหลืออยู่วงเดียว ไอ้เจ้านั่นก็คลอดตอนเจ็ดเดือน อาตมาอุ้มนั่งตักนี่ก้นแหลมทิ่มตักเลย ตัวผอมนิดเดียว"

เถรี 19-08-2014 14:11

ถาม : เดี๋ยวนี้อยากทำบุญอะไรก็ไม่ค่อยไหว คิดว่าจะสร้างพระไม่รู้ว่าจะได้สร้างหรือเปล่า พระอาจารย์ว่าจะได้สร้างไหม ?
ตอบ : มัวแต่ไปกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง นึกถึงพระไว้จะปลอดภัยกว่า

ถาม : จะอ่านหนังสือสวดมนต์สายตาก็ไม่ไหวร่างกายแย่
ตอบ : เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ได้มองความเป็นจริงของร่างกาย เขาบอกให้เรารู้แล้วว่าคบกันยาก ถ้ายังอยากเกิดมาทุกข์อย่างนี้อีก ก็มัวแต่ห่วงเรื่องอื่นต่อไปเถอะ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นเพราะแก่จ้ะ ชีวิตมีแต่ก้าวใกล้จุดดับเข้าไปเรื่อย ๆ มัวแต่ห่วงอย่างอื่นอยู่ไม่ต้องอะไรหรอก นึกถึงพระไว้ก็จบ

เถรี 19-08-2014 14:12

ถาม : ผมได้ทำตามวิธีการขอพรพระคำข้าว แต่ว่าไม่ได้ผลตามที่ขอไป ขอความกรุณาช่วยบอกด้วยว่าผิดพลาดที่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ประการที่หนึ่ง..เรื่องการขอพรพระคำข้าว อาตมาไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาเผยแพร่ ฉะนั้น..เรื่องขั้นตอนต่าง ๆ บอกไม่ได้หรอกว่าพลาดกันตรงไหน แต่เท่าที่ตัวเองรู้มาก็คือ เราจะขออะไรต้นทุนของเราต้องพอ คำว่าต้นทุนต้องพอก็คืออย่างน้อย ๆ เราต้องมีพื้นฐานความดีอยู่บ้าง ถ้าพื้นฐานความดีไม่เพียงพอ เหมือนกับไม่มีน้ำเลยในแก้ว เติมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม แบบนั้นขออะไรก็ไม่สำเร็จ

ในเรื่องของพุทธศาสนาของเราเป็นเรื่องของเหตุกับผล ถ้าสร้างเหตุไม่พอผลก็ไม่เกิด เท่าที่สังเกตดูคนที่ขออะไรแล้วมักจะสำเร็จก็คือของเขาเองขาดน้อย เติมนิดเดียวก็เต็มแล้ว สามารถที่จะขอให้สำเร็จได้ แต่ถ้าขาดมากชนิดเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม แบบนั้นขออย่างไรก็ไม่สำเร็จ แล้วถ้าฟังไม่ผิดมา เขาบอกว่าต้องให้ลำบากชนิดเลือดตากระเด็นจริง ๆ แล้วค่อยขอ ไม่ใช่นึกอยากได้ก็ขอกันส่งเดชไปเรื่อย

เถรี 19-08-2014 14:31

ถาม : ฟังกรรมฐาน รู้สึกเบื่อมาก เบื่อ..ไม่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเกิดนิพพิทาญาณ พอความเบื่อเกิดนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าไม่เบื่อเราก็ไม่คิดที่จะละจากร่างกายนี้หรือโลกนี้ คราวนี้ความเบื่อเกิดขึ้น จำเป็นที่เราต้องรักษาไว้ให้ได้ระยะหนึ่ง แล้วพิจารณาให้ชัดเจนว่า ถ้าตราบใดที่เรายังเกิดอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นแก่เรา คือความน่าเบื่อจะเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดไป จนกระทั่งท้ายสุด ถ้าเห็นว่าธรรมดาของการเกิดมาก็จะเจอแต่เรื่องน่าเบื่อแบบนี้ ก็จะก้าวข้ามไปได้เอง ตอนนี้ต้องซักซ้อมการเบื่อกันบ่อย ๆ

เมื่อนิพพิทาญาณเกิดขึ้นแล้วเราไปต่อต้านนี่จะเศร้าหมอง แต่ถ้าหากว่าใช้ปัญญาช่วยจะเป็นสิ่งที่ช่วยหนุนเสริมในการปฏิบัติได้ดีที่สุด อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ถ้าไม่เบื่อเราก็ยังไม่คิดจะละจากไป


ถาม : วิปัสสนาละครับ ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นวิปัสสนาอยู่แล้ว ถ้าไม่เห็นชัดก็ไม่เบื่อ วิปัสสนาเป็นเรื่องของคนต้องใช้ปัญญา ของดีอยู่ตรงหน้าถ้าใช้ผิดก็กลายเป็นโทษแก่ตัวเอง

ถาม : เบื่อไม่รู้เมื่อไรจะดีเสียที ?
ตอบ : จำเป็นต้องเบื่อ และจำเป็นต้องรักษาความเบื่อไว้จนกว่าจะก้าวข้ามไปได้ ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าความเบื่อหายไป กว่าจะทำขึ้นมาได้นี่อีกนาน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ได้เกินหรอก ยังพอดีอยู่ ถ้าหากว่าไม่ได้เบื่อจนกระทั่งอยากจะทิ้งไปทุกอย่าง ก็ยังติดอยู่แค่นั้น

ถาม : เรื่องของแม่ทำให้เราเจ็บช้ำ ?
ตอบ : ก็อย่าลืมว่าแม่เป็นสายเลือดเดียวกับเรา ต้องมีกรรมผูกพันกันมาถึงมาเกิดเป็นแม่ลูกกัน เรื่องของแม่กระทบถึงลูกเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

เถรี 19-08-2014 14:44

ถาม : ผมฝันเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นท่านบรรยายธรรมให้คนฟังอยู่ พอผมเข้าไปใกล้ ท่านก็ลอยขึ้นไป ผมก็ร้องไห้ร้องห่ม ?
ตอบ : เรื่องของความฝัน ถ้าฝันแล้วเจอสิ่งที่ดี อย่างน้อย ๆ กำลังใจของเราก็อยู่ในด้านดีมากกว่าชั่ว คราวนี้สำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเรามัวแต่ไปตีความอยู่ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไร ถ้าคนฝันทุกวันก็ประสาทกินกันพอดี เจอพระถือเป็นมงคลใหญ่ เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจตัวเองก็พอ

เถรี 20-08-2014 15:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะเป็นบุญในส่วนของเนกขัมมบารมี ซึ่งในการสร้างบารมีทั้งหมด แทบจะไม่มีใครเริ่มต้นด้วยเนกขัมมบารมี ในเมื่อแทบจะไม่มีใครเริ่มต้นด้วยเนกขัมมบารมี ถ้าไม่ได้มีวิสัยการบวชมาก่อน โอกาสที่จะบวชต้องบอกว่าเป็นศูนย์เลย หรือไม่ก็บวชแล้วอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ใช่วิสัยของตน

โดยเฉพาะการบวชในสมัยนี้ ที่อยู่เป็นพรรษาหายากมาก ส่วนใหญ่เขาบวชกัน ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง เดือนหนึ่งบ้าง บางคนบวชแล้วสึกกลับบ้านไป เขายังเก็บโต๊ะจีนไม่เสร็จเลย สมัยก่อนทางบ้านอาตมาจะมีสมาคมตระกูลแซ่ เวลาเขามีงานก็ต้องช่วยกันไปช่วยกันมา เช่น เขาใส่ซองให้เรามาร้อยหนึ่ง ครั้งต่อไปเราต้องใส่ซองเขาไป ๑๕๐ มีอยู่บ้านหนึ่ง มีแต่ใส่ซองให้คนอื่นมาตลอด คนเป็นลูกก็ไม่คิดที่จะบวชหรอก เพราะไม่ใช่วิสัยของตนเอง ต่อมาลูกบ้านนี้บวช เลี้ยงโต๊ะอะไรเสร็จสรรพเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นก็สึก คนเขาด่ากันทั้งตำบล ว่าตั้งใจบวชมาเอาซองอย่างเดียว

ส่วนอาตมานั้น ที่บ้านมีพี่ชายคนโต พี่สาวคนโตสองคน และพี่ชายคนที่สามที่แต่งงานไป นอกนั้นก็ไม่ได้แต่ง โอกาสที่จะได้ครองเรือนเหมือนคนอื่นเขาก็ไม่มี พอมางานบวชของอาตมา อาตมาก็หนีไปบวชที่อุทัยธานี พี่ชายคนโตเขาก็บ่น เพราะว่าพี่ชายคนโตเป็นคนไปสมาคม ต้องควักเงินให้เขาตลอด บ่นว่าบวชทั้งทีจะถอนทุนสักหน่อยก็ไม่ได้ หนีไปบวชยันอุทัยธานีโน่น"

เถรี 20-08-2014 15:10

"ปัจจุบันนี้ที่วัดท่าขนุนเวลาบวช ก็ไม่มีการแห่อะไรหรอก วนรอบโบสถ์ ๓ รอบก็บวชได้แล้ว ยกเว้นว่าครอบครัวไหนจัดเครื่องเสียงมา คุณก็แห่กันเองแล้วกัน แต่อย่าให้ผิดเวลานะ ถึงเวลานัดพระอุปัชฌาย์มาแล้วยังไม่เสร็จก็โดนด่ากระจาย..!

มีอยู่รายหนึ่ง อาตมาบอกว่านัดพระอุปัชฌาย์ไว้ ๘ โมงเช้า ท่านมีงานที่อื่นต่อ ให้มาถึงวัดอย่างช้า ๗ โมงครึ่ง ปรากฏว่า ๘ โมง ๑๐ นาที แล้วเพิ่งจะโผล่มา มาถึงตั้งขบวนแห่ อาตมาบอกว่า "ถ้าจะแห่ก็แห่ไปบวชวัดอื่น ถ้าจะบวชที่นี่ให้เข้าโบสถ์มาเลย ไม่ต้องแห่หรอก.." เดินเหี่ยวเข้ามา มีการมากระซิบอีกว่า "ไม่แห่แล้วจะได้บุญหรือ ?" ถ้าอาตมาไม่ได้ย้ำนี่จะไม่ว่าอะไร บอกไปตั้งแต่วันสมัครบวชแล้ว ตอนโกนหัวนาคก็ย้ำอีกรอบหนึ่งว่า
ต้องมาให้ทัน ๗ โมงครึ่ง

ส่วนอีกรายหนึ่งน่าสงสารมาก น่าสงสารนักดนตรี เขาไปจ้างวงดนตรีแห่มาจากบ้าน พอวนรอบโบสถ์ ๓ รอบ นักดนตรีก็ประเภทเป่าไปตีไป พอครบ ๓ รอบแล้วยังไม่หายมัน เจ้าภาพบอกเอาให้ครบ ๙ รอบ ไม่ได้เห็นใจเลยว่าเครื่องเป่าจะเหนื่อยขนาดไหน ลองนึกดูว่าแซกโซโฟนหนักเท่าไร ไหนจะต้องเดินไปเป่าไปอีก กว่าจะเดินครบ ๙ รอบจะตายเอา อาตมาอยากจะตะโกนบอกว่า "ถ้าอยากได้บุญจริง ๆ ก็เอา ๑๐๘ รอบไปเลย" ดูว่าจะมีปัญญาไหม ? ประเภทนั่งเป่าเฉย ๆ ก็จะแย่แล้ว นี่ต้องเดินเป่า แล้วเขาไปลือกันว่าบวชวัดท่าขนุนห้ามแห่ พอหลุดจากปากไปแล้วกลายเป็นคนละเรื่องไปทุกที

อาตมาไม่ให้คณะนั้นแห่เพราะว่าพระอุปัชฌาย์นั่งรอนานแล้ว เขาไปบอกว่าบวชวัดท่าขนุน อาจารย์ไม่ให้แห่ แต่ก็ดี ต่อไปใครมาบวชจะได้รู้ว่าไม่ต้องแห่"

เถรี 20-08-2014 15:34

ถาม : เวลานั่งสมาธิรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ?
ตอบ : เลิกห่วง เลิกกลัวตายก็หายแล้ว

ถาม : ผมหายแล้วครับ แต่คนที่เขาติด เขาติดมาเป็นปี ๆ ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวตาย บอกเขาให้พิจารณาจนเห็นชัด ๆ ว่าเกิดมาแล้วต้องตายแน่ ๆ จะได้เลิกกลัวตาย ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาลมหายใจหมด ก็รีบตะเกียกตะกายไปหายใจ สภาพร่างกายอยู่ในระดับของลมหายใจละเอียด แล้วมากระชากลมหายใจหยาบก็เหมือนกลับไปเริ่มใหม่ พิจารณาให้เห็นว่าเราต้องตายแน่ ๆ พอเลิกกลัวตาย ก็เลิกทำอย่างนั้นไปเอง

เถรี 21-08-2014 13:27

ถาม : การฝึกกสิณจินตนาการได้ไหมครับ ?
ตอบ : หาวัสดุมา ไม่ใช่จินตนาการ ถ้าจินตนาการจะเอาอะไรเป็นองค์กสิณ ? นอกจากความคิดตัวเอง หาวัสดุมาใช้งานก่อน จนภาพกสิณติดตาติดใจแล้วถึงเลิกใช้ นึกถึงเมื่อไรภาพก็ปรากฏ

เถรี 21-08-2014 13:36

ถาม : หลวงพี่ติงลี่ส่งข่าวมาว่า ที่วัดโดนรุกอีกแล้ว น่าจะโดนไถไปครึ่งถนนค่ะ
ตอบ : กว่าที่หลวงพ่อสมคิดจะไปลุยจนได้ที่คืนมา ก็แทบจะเอาชีวิตไปทิ้ง ถ้ามีขอบเขตชัดเจนก็น่าจะสร้างรั้วตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เห็นหรือว่าของวัดหนองบ้านเก่า เขาเริ่มด้วยรั้ว

เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยจะกลัวบาปกลัวกรรม ถึงเวลาก็รุกได้เขาก็รุก บอกท่านติงลี่ว่า ถ้าจะไปให้เอาหลวงพ่อสมคิดไปด้วย จะได้ช่วยชี้แนว ที่วัดนั้นมีอยู่ ๘๘ ไร่ เขารุกจนเหลืออยู่หน่อยเดียว ของวัดท่าขนุนก็หายไปเกือบ ๑๐๐ ไร่ เพราะว่าช่วงที่อาจารย์สมเด็จเป็นเจ้าอาวาส ท่านไม่ค่อยใส่ใจกิจการงานของวัด พอดีเขาเปิดให้ขึ้นทะเบียนเป็น นส. ๓ ทางวัดก็ไม่ได้ไปดูไปแลไปแจ้งอะไร คนอื่นเขาเลยออกเอกสารสิทธิ์ทับที่วัดไป โดยเฉพาะฝั่งถนนตรงข้าม เดิมเป็นที่วัดทั้งหมด คิดดูแล้วกันว่ากี่ร้อยไร่ ไม่เหลือเลย ตอนนี้เหลืออยู่แค่ ๕๐ กว่าไร่

เถรี 21-08-2014 13:45

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ท่านบอกว่า ดอกบัว ๑ ดอกแทนดอกไม้อื่นได้เป็นหมื่นดอก คนเห็นดอกบัวก็มักจะนึกถึงพระรัตนตรัยไว้ก่อน ดอกบัวบ้านเราสมัยนี้ก็เพี้ยนไปเยอะ เพราะมีพันธุ์ผสมออกมา

บ้านเราแต่เดิมมีพวกบัวหลวง บัวผัน บัวเผื่อน บัวสาย บัวหลวงสีขาวเรียกว่าปุณฑริกา บัวหลวงสีแดงเรียกว่าปัทมา บัวสายสีขาวเรียกว่าโกมุท บัวสายสีแดงเรียกว่าสัตตบุษย์หรือสัตตบรรณ บัวเผื่อนสีเหลืองเรียกว่าจงกลนี บัวเผื่อนสีน้ำเงินเรียกว่านิลุบล แยกกันออกหรือเปล่า ? มาตอนหลังกลายเป็นพันธุ์ผสมหมด

แล้วก็มีบัวกระด้ง เรียกว่าบัววิกตอเรีย หนามเพียบ ใบใหญ่เป็นกระด้ง เอาเด็กไปวางนอนเล่นได้ แต่ใต้ใบหนามเยอะมาก พอใบแก่หน่อยหนามข้างล่างแข็งชนิดที่ใครลุยเข้าไปไม่ได้เลย บัววิกตอเรียไม่ใช่บัวพื้นบ้านของเรา เป็นบัวทางอเมริกากลาง ทางโน้นแหล่งน้ำธรรมชาติมีปลากินพืชเยอะมาก ถ้าไม่มีหนามไว้รักษาตัวเอง ก็โดนปลากินหมด"

เถรี 21-08-2014 13:54

พระอาจารย์เล่าว่า "ครูบาเหนือชัยท่านเส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก ตอนที่ท่านเส้นโลหิตในสมองแตกแล้ว อาตมาไปเยี่ยม ไปดูเครื่องวัดความดัน ๒๐๕/๑๒๐ น่ากลัวมาก ขนาดแตกแล้วนะ ปกติความดันตัวล่าง ๙๐ ก็แย่แล้ว นี่ปาไป ๑๒๐ คิดว่าเครื่องรวนหรือเปล่า อาตมาก็กดให้เครื่องทำงานใหม่

ไม่ต้องสงสัย..อาตมาอยู่โรงพยาบาลมาเยอะ เฝ้าไข้โยมพ่อ ๖ ปี เฝ้าไข้โยมแม่ ๓ ปี เฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน ๔ ปี รวมแล้วอยู่โรงพยาบาลมา ๑๐ กว่าปี เครื่องไม้เครื่องมือใช้เป็นหมด ไปวัดใหม่ ปรากฏว่ายังเหมือนเดิม บอกพยาบาลว่าความดันสูงเกินไป พยาบาลเอายามาฉีดลดให้ อาตมาก็นึกว่าฉีดแล้วจะลด ที่ไหนได้..ลดนิดเดียว เห็นพยาบาลบอกว่า บางคนฉีดทั้งวันยังไม่ค่อยจะลด พอเห็นคนอื่นความดันสูง ๆ แล้วก็อิจฉาเขา เพราะของอาตมาไม่ค่อยจะสูงเท่าไร

เมื่อเดือนก่อนที่วัดมีบริจาคโลหิตถวายพระราชกุศลในหลวง เดินตรวจงานกลับมาใหม่ ๆ ก็ให้พยาบาลวัดความดัน วัดการเต้นของหัวใจ ปกติแล้วถ้าไปเดินหรือไปออกกำลังมา เขาจะไม่วัดให้ เพราะความดันจะสูง อาตมาวัดเสร็จสรรพเรียบร้อยออกมา ๑๐๒/๖๔ ก็เลยมีผู้หวังดีวัดชีพจรให้ ได้ ๕๗ ครั้งต่อนาที บอกเขาว่าถ้านั่งเฉย ๆ จะเหลือแค่หน่อยเดียว

พวกเราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าตั้งใจทำกันจริง ๆ ถึงเวลากำลังใจทรงตัว ความดันหรือการเต้นของหัวใจจะลดลงโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะว่าถ้าทรงสมาธิระดับสูง ๆ เหลือแต่ลมหายใจละเอียด อาการภายนอกคนทั่ว ๆ ไปก็คิดว่าตายไปแล้ว มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินคุยกับพระครูน้อยและปลัดเผื่อน ๒ คน อยู่ที่เกาะพระฤๅษี คนหนึ่งก็จับแขนขวา คนหนึ่งก็จับแขนซ้าย เดินคุยกันไปก็จับชีพจรไปด้วย สักพักหนึ่งทั้งสองคนก็หัวเราะ "ไม่เห็นเต้นเลยครับ" "คุณกำลังคุยกับผีอยู่ คนตายแล้วยังเดินได้..!"

เถรี 21-08-2014 13:59

ถาม : มีพระที่วัดได้เอาพระพุทธรูปเก่าแก่ในวัดไปถวายให้.. ?
ตอบ : ถ้าขึ้นทะเบียนวัดแล้วแตะไม่ได้เลย ต่อให้พระทั้งวัดยกให้ก็ไม่ได้ เพราะพระพุทธรูปจัดอยู่ในส่วนของครุภัณฑ์ ครุแปลว่าหนัก ไม่สามารถยกย้ายจ่ายโอนได้

ถาม : เมื่อตอนถวายไปไม่คิดว่าเป็นพระทองคำ ?
ตอบ : จะทองคำหรือธรรมดาก็ไม่ได้ ของวัดท่าขนุนจะไม่ขึ้นทะเบียนพระพุทธรูป ขึ้นทะเบียนแล้วจำหน่ายจ่ายโอนไม่ได้ จำหน่ายคือเอาออกจากบัญชี ฉะนั้น..พอถึงเวลาวัดอื่นมาขอ อาตมาก็ให้เขาได้ ถ้าขึ้นทะเบียนเมื่อไรหมดสิทธิ์เลย พวกเครื่องมือก่อสร้างก็ถือเป็นครุภัณฑ์ ห้ามให้วัดอื่น เพราะถ้าถึงเวลาวัดตัวเองต้องใช้ เดี๋ยวจะไม่มี

เถรี 21-08-2014 14:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "พยายามเน้นให้พระท่านศึกษาในส่วนของอภิสมาจาร ก็คือศีลที่มานอกปาติโมกข์ให้มาก ๆ เพราะศีลในปาติโมกข์มี ๒๒๗ ข้อก็จริง แต่ศีลนอกปาติโมกข์มีอีกเป็นพัน ฉะนั้น..ใครบอกว่าพระรักษาศีล ๒๒๗ ข้อนี่ไม่จริงเลย เล่นกันเป็นพันข้อ

พระวัดท่าขนุนสึกไปรูปหนึ่ง เพราะว่ารักษาศีลไม่ไหว เขาบอกว่าศีลตั้ง ๒๑,๐๐๐ ข้อ เขารักษาไม่ไหวหรอก เนื่องจากว่าตอนที่พระครูแสงเป็นพี่เลี้ยง ท่านไปอธิบายเรื่องศีล แล้วด้วยความที่ท่านเป็นนักศึกษาปริญญาโทมา ก็โยงเรื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระวินัยปิฎกคือในส่วนของศีลพระมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระท่านฟังไม่ถนัด ท่านคิดว่ามีศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ ท่านสึกไปเลย..!"

เถรี 21-08-2014 14:06

"ต้องโทษครูบาอาจารย์ อย่างวัดท่าขนุนใช้ระเบียบโบราณ คือพระถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษายังไม่ให้ไปอยู่ที่อื่น แปลว่าถ้าคุณจะบวชที่นี่ ต้องกัดฟันทนอย่างน้อย ๕ พรรษา ถ้า ๕ ปีผ่านไปแล้วความประพฤติยังไม่น่าไว้วางใจก็ไม่ให้ไป แต่คราวนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์สมัยใหม่ ส่วนใหญ่แล้วบวชเสร็จแล้วก็ทิ้งเลย ไม่อบรมสั่งสอน"

เถรี 22-08-2014 11:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัครบวชงาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ให้มาซ้อมขานนาค ไม่ควรขาด ถ้าขาดแล้วไปไม่เป็น มีสิทธิ์โดนไล่ออกจากโบสถ์ ไม่ได้บวช..!"

เถรี 22-08-2014 12:40

ถาม : เอาพระพุทธรูปไปฝัง เหมาะหรือไม่คะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าลักษณะพื้นที่เป็นอย่างไร อย่างของวัดท่าขนุน เวลาสร้างฐานพระหรือสร้างอาคารที่เพดานปิดมิดชิดแข็งแรง ก็จะเอาพระพุทธรูปที่รับสังฆทานไปบรรจุเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพระสังฆทานโดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ ต้องบอกว่าเห็นแก่ตัวมาก คือวัสดุไม่มีราคาและไม่แข็งแรง ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นปูนปลาสเตอร์ลงสี ถ้าดูแลไม่ดีนอกจากสกปรกไม่น่าเลื่อมใส กลายเป็นที่สลดใจแล้ว ยังแตกหักได้ง่าย ก็จะเอาไปบรรจุไว้ในฐานพระใหญ่ เพื่อที่ว่าจะได้กราบไหว้บูชา แต่ที่เอาไปฝัง ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเจตนาอะไร ?

ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่ฝังจะตรัสรู้ที่ไหน นอกจากใต้ต้นโพธิ์ ?
ตอบ : สงสัยเหมือนกันแหละว่าวัดนั้นใครสอนมา อย่างของวัด.... ที่ให้ลูกศิษย์ทุบพระพุทธรูป ถ้าที่เป็นโลหะก็หลอมไปชั่งกิโลไปขาย รับรองว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกนาน..!

เถรี 22-08-2014 13:14

ระยะหลัง ๆ พระพุทธศาสนาของเรามีเรื่องเพี้ยน ๆ เข้ามาเยอะ เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะบรรดาร่างทรงจริงบ้าง ทรงปลอมบ้าง รู้จริงบ้าง รู้ไม่จริงบ้าง ปนกันมั่วไปหมด โดยเฉพาะวัดวาอารามต่าง ๆ ไปเอาเทพเจ้าของฮินดูบ้าง มหายานบ้าง เข้ามาเต็มไปหมด อย่างเจ้าแม่กวนอิม พระพิฆเณศวร์ เต็มวัดไปหมด

เรื่องพวกนี้พอปนเข้ามาก็ทำให้สับสน อาตมาเองสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ไว้หน้าวัด เพื่อที่จะให้เขากราบไหว้บูชากัน ปรากฏว่าสมเด็จองค์ปฐมของอาตมากลายเป็นเจ้าพ่อไปเรียบร้อยแล้ว รถผ่านกี่คันบีบแตรแปร๊น ๆ แล้วก็ไป นึกเอาก็แล้วกันว่าเจตนาผิดไปขนาดไหน อุตส่าห์ลงทุนไปเป็น ๑๐ ล้านบาท ดันเห็นพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าพ่อไปได้..!

เรื่องพวกนี้ พอมีขึ้นมา ทำให้เห็นชัดว่า ในเรื่องของศาสนานั้น ยิ่งนานก็ยิ่งห่างไกลไปจากแก่นแท้ ฉะนั้น..ไม่ต้องหวังเลยว่าการปฏิบัติจะถูกหลัก ไม่อย่างนั้นจะมีการนิมนต์พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ใหม่หรือ..?

หลายต่อหลายคนบอกว่า ทำไมไม่สร้างรูปหลวงพ่อฤๅษีให้ใหญ่ที่สุดในโลก ? อาตมาไม่อยากสร้างหลวงพ่อให้กลายเป็นเทพเจ้า เราสร้างเอาไว้ให้เขากราบไหว้ ระลึกถึงเป็นอนุสติ แต่พวกนี้ไปถึงก็จุดธูปบน ลองนึกดูสิว่าเป็นอย่างไร ? เราตั้งใจจะเอาถึงพระนิพพานเลย พวกนี้เขาเอาแค่ปัจจุบันเท่านั้นแหละ เดือนร้อนอะไรมาถึงก็บนอย่างเดียวเลย กลายเป็นเรื่องที่หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้

เถรี 22-08-2014 13:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ปฏิทินผิดทั้งประเทศไทยเลย เท่าที่ค้นเจอมีอยู่เว็บเดียวที่ถูก เนื่องจากว่าปีนี้เป็นปีอธิกวาร เดือน ๗ จะมีข้างแรม ๑๕ ค่ำ แต่ว่าเขาไม่มีกัน ตั้งแต่แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๗ ปฏิทินก็ผิดตลอด แล้วทุกวันนี้อาตมาก็ต้องผิดตามเขา เพราะถ้าไม่ผิดตามเขา ช่วงวันพระในพรรษาชาวบ้านจะไม่มาทำบุญตามวันที่ถูก เขาจะทำบุญตามวันที่ผิด เพราะปฏิทินลงไว้อย่างนั้น

อยากรู้ว่าปีหน้าเขาจะทำอย่างไรให้ถูก ปีหน้ามีเดือน ๘ สองหน ปีนี้ต้องมีวันเพิ่มมาอีกวันหนึ่งเพื่อให้พอที่จะมีเดือน ๘ สองหน ถ้าดูตามปฏิทินร้อยปียังไม่ผิด แต่ดูตามปฏิทินที่ออกมาใช้งานนี่ผิดหมดเลย เพราะว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่เผยแพร่ก็คืออินเตอร์เน็ต ซึ่งอินเตอร์เน็ตนี่พอผิดแล้ว คนคัดลอกต่อกันไปก็ผิดตามกันไปเรื่อย กลายเป็นผิดไปหมด อาตมาเจอมาเยอะต่อเยอะแล้ว ค้นข้อมูลบางอย่างแล้วผิด ไปดูอีกกี่อันก็ผิด สรุปแล้วผิดที่เดียวกันด้วย แสดงว่าเขาคัดลอกต่อ ๆ กันไป"

เถรี 22-08-2014 13:36

ถาม : วิธีแก้ความอาย ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราตั้งใจปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้น เพราะว่าคุณความดีที่เราทำเป็นของดีแท้ พอเราเกิดความมั่นใจในตนเองขึ้น ความขี้อายก็จะหายไป

เถรี 22-08-2014 13:44

ถาม : นั่งสมาธิวันละ... มากไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่มีคำว่ามาก ส่วนใหญ่ที่ทำในปัจจุบันไม่พอใช้ด้วยซ้ำไป

ถาม : ควรจะวันละกี่ชั่วโมง ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจละกิเลสก็ต้องวันละ ๒๔ ชั่วโมง

ถาม : ๒๐ ชั่วโมงได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วคุณคิดว่ากิเลสกินคุณวันละ ๒๐ ชั่วโมงหรือ ?

ถาม : เวลานั่งต้องมีสติ
ตอบ : ต่อให้ไม่นั่งก็ต้องมีสติ

ถาม : นั่งสมาธิแล้วต้องเดินจงกรมไหมครับ ?
ตอบ : จะเดินหรือไม่เดินก็ได้ แต่สมาธิต้องทำไว้เสมอ

เถรี 22-08-2014 14:52

มีลูกศิษย์พาลูกแฝดชายหญิงมาหา พระอาจารย์กล่าวว่า "ถึงจะเป็นฝาแฝดก็ตาม แต่ผู้หญิงจะโตเร็วกว่า เรื่องนี้โบราณเขารู้ดี โบราณเขากำหนดให้เด็กผู้หญิงโกนจุกตอน ๑๑ ขวบ เด็กผู้ชายโกนจุกตอนอายุ ๑๓ ขวบ แสดงว่าเด็กผู้หญิงโตเร็วกว่า ๒ ปี

ในพระอภัยมณีเขาว่า "อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง เนื้อดั่งทองนพคุณจำรูญศรี เพิ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี ชนนีรักใคร่ดังนัยนา" ศรีสุวรรณเพิ่งจะโกนจุกตอน ๑๓ เด็กผู้หญิงโกนจุกตอน ๑๑ ถ้าเป็นในรั้วในวัง พอ ๑๑ ขวบก็ห้ามออกมาข้างนอกแล้ว ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่วังหลัง คราวนี้มีสมเด็จเจ้าฟ้าสุธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ พระองค์ท่านทำหน้าที่เหมือนเป็นเลขานุการส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่แรก

พออายุ ๑๑ ก็มีคำสั่งต้องไปเก็บตัวอยู่ฝ่ายใน พระองค์ท่านไม่ยอม จะช่วยงานทูลกระหม่อมพ่อต่อ คนอื่นก็คิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะธรรมเนียมเป็นอย่างนี้ ปรากฏว่าพระองค์ท่านฉลาดกว่า เข้าไปหาในหลวงรัชกาลที่ ๕ ขอให้สั่งให้ท่านเป็นเด็ก ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ตรัสว่าจะสั่งได้อย่างไร เพราะคนต้องโตขึ้นไปเรื่อย พระองค์ท่านกราบทูลว่า "ทูลกระหม่อมพ่อเป็นทั้งเจ้าฟ้าเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น..ต้องสั่งได้" สั่งอย่าให้ท่านต้องเป็นสาว จะได้ช่วยงานทูลกระหม่อมพ่อที่ฝ่ายหน้าได้"

เถรี 23-08-2014 13:06

ถาม : นอนไม่หลับค่ะ
ตอบ : ให้ตั้งใจว่าไม่หลับได้แหละดี เราจะภาวนาให้เยอะเลย รับประกันว่าพักเดียวก็หลับ อาตมาเองยังสงสัยว่าตัวเองแก่เกินแกงหรือตัวเองไม่มีกังวลกันแน่ นอนเมื่อไรเป็นหลับ ทุกวันนี้ต้องคอยบอกตัวเองให้ตื่น

วิธีแก้การนอนไม่หลับมี ๒ วิธี วิธีแรกไปซื้อแกงขี้เหล็กมาหนึ่งถุง แล้วก็กินคนเดียวให้หมดเลย พอหาจะได้ไหม ? วิธีที่ ๒ คือไปหาต้นไมยราบ ต้นสีม่วงแดงที่แตะแล้วใบหุบ บางคนเรียกว่าต้นกระทืบยอบ ถอนมาสัก ๗ -๘ ต้น ล้างทั้งต้นทั้งรากให้สะอาด ใส่หม้อต้มกับน้ำหนึ่งหม้อแล้วกินแทนน้ำ อย่ากินเยอะนะ ไม่อย่างนั้นจะหลับไม่ค่อยตื่น ถ้าเป็นแกงขี้เหล็กก็หาที่อร่อย ๆ กินไปเลย แต่กินแกงขี้เหล็กแล้วตื่นสายไม่ได้ เพราะต้องรีบเข้าห้องน้ำ เขาไม่เรียกว่าท้องร่วงหรอก เขาเรียกว่ายาระบาย แต่รับประกันเรื่องหลับ..หลับแน่นอน

เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี มีพระที่นอนไม่หลับ ก็ให้ท่านไปเอาต้นขี้เหล็กมาสับ ๆ ตากให้แห้ง ท่านบอกว่าเข้าพรรษาจะตากแห้งได้อย่างไรเพราะมีแต่ฝน เลยให้เอาไปคั่วไฟ พอแห้งแล้วเอามาชงน้ำกิน ท่านบอกว่าได้ผล หลับแต่ขี้แตก..! เป็นยานอนหลับแบบไทย ๆ ที่ไม่อันตรายด้วย ไม่ต้องไปติดยานอนหลับฝรั่ง ยานอนหลับฝรั่งถ้าไม่กินจะนอนไม่หลับ ของเรากินแล้วผ่อนคลายประสาท พอเราพักผ่อนพอ ต่อไปก็หลับเองได้ ไม่ต้องใช้ยาอีก

เถรี 23-08-2014 13:08

อาตมายังไม่เคยกินยานอนหลับ ยังไม่เคยโดนวางยาสลบ หวังว่าคงจะไม่เคยต่อไป มีฝรั่งหลายคนที่เขาโดนวางยา แต่เขาไม่ได้สลบ เขาหลับ แสดงว่าสภาพจิตเขาตื่นอยู่ เขาบอกเขารู้ตัวตลอดเวลาที่โดนผ่าตัด เจ็บจนบอกไม่ถูก แต่ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ เพราะร่างกายหลับ มีบันทึกเอาไว้หลายราย เลยมาคิดว่าถ้าวันร้ายคืนร้าย อาตมาเองโดนวางยาจะเป็นลักษณะนี้หรือเปล่า ?


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:25


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว