กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   อัศจรรย์โลกใบนี้ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1866)

ลัก...ยิ้ม 24-06-2010 14:20

พบรอยพระพุทธบาทบนเขาทรายขาว

ที่อำเภอนาประดู่ จังหวัดปัตตานี มีเทือกเขายาวลูกหนึ่ง อันเป็นที่ตั้งของน้ำตกทรายขาวที่สวยงามมีชื่อเสียง เป็นที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวอาบน้ำตกอยู่เป็นประจำ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า น้ำที่ตกลงมาจำนวนมากและมีทั้งปีนั้นไหลมาจากไหน จึงเดินขึ้นไปดูต้นน้ำ ปีนป่ายไปตามโขดหินจนถึงต้นน้ำที่น้ำไหลตกลงมา

พบลานกว้าง มีสระน้ำกว้างพอสมควร น้ำไม่ลึกมากนัก ได้พบรอยพระพุทธบาทข้างขวาบนแผ่นหินอยู่กลางสระ รอบ ๆ รอยพระพุทธบาทนั้น มีดอกบัวขาวจำนวนมาก บานสะพรั่งอยู่รอบ ๆ ได้ลงไปลูบคลำรอยพระพุทธบาทนั้น ได้อาบน้ำในสระ เล่นดอกบัวจนเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยากที่จะบรรยาย เสร็จแล้วลงมาชวนเพื่อน ๆ ให้ขึ้นไปดู แต่เมื่อกลับไปอีกครั้ง ไม่พบรอยเท้าและสระนั้นเสียแล้ว

ภายหลังได้รับฟังจากชาวบ้าน และพระนักปฏิบัติที่ได้เดินทางขึ้นไปหาสมุนไพรและไปปฏิบัติตน บางคนเคยได้พบเช่นกัน เขาเล่ากันว่า หากขึ้นไปเพียงลำพัง บางครั้งก็จะพบรอยพระพุทธบาท แต่ถ้าหากไปหลายคนจะไม่พบ บางครั้งแม้ไปคนเดียว หากเจตนาอยากพบก็หาไม่พบ

ลัก...ยิ้ม 25-06-2010 08:38


ภูเขาลูกนี้มีสิ่งแปลก ๆ มากมาย พระภิกษุที่เดินธุดงค์หากเกิดหลงทาง จะมีคนนำอาหารมาถวายแล้วนำทางไปส่งให้กลับลงมา ชาวบ้านบอกว่าเป็นคนธรรพ์ที่มาดูแลพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

นอกจากนี้ เขาลูกนี้ยังเป็นที่เก็บสมบัติพวกถ้วยชามเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในถ้ำ มีผีพวกหนึ่งรักษาไว้เรียกว่าผีหลังกลวง ที่เรียกว่าผีหลังกลวงเพราะผีพวกนี้มีรูปร่างเหมือนคนเรา แต่ด้านหลังไม่มีหนังปิดหลัง ไม่มีอวัยวะภายใน

เขาชอบทำบุญที่วัดทรายขาว โดยได้ขอโอกาสจากท่านเจ้าอาวาส หากทางวัดมีงานพวกเขาจะนำข้าวของมาช่วย เป็นอย่างนี้ประจำทุกงาน พวกเขาจะนั่งทำครัวโดยใช้หลังพิงฝาเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นหลังของพวกเขา แต่ตอนหลังพวกเขาไม่ยอมลงมาช่วย เพราะข้าวของที่เอามาใช้มักถูกขโมยสูญหายไป พวกเขาได้ปิดปากถ้ำ ไม่ให้ใครได้พบเห็นและได้เข้าไปในถ้ำจนถึงปัจจุบัน

ลัก...ยิ้ม 25-06-2010 15:16

พลังอำนาจจิต ปราบวิญญาณ


สิ่งที่เล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ตอนเด็ก สมัยอยู่ที่วัดได้เกิดเหตุกับตัวข้าพเจ้า ที่เขียนเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อให้เห็นว่า ชีวิตถูกกำหนดขีดเส้นให้เดิน บีบบังคับสร้างศรัทธาให้บังเกิดขึ้นในจิตทีละน้อย ๆ เพื่อให้เดินในเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อไม่ให้หลงทางกระทำชั่ว ทำให้เสียภพเสียชาติที่เกิดมา

ดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลทำกรรมใดจะต้องใช้กรรมนั้น จะแบ่งกรรมนั้นให้ผู้อื่นไม่ได้” ทั้งกรรมดีกรรมชั่วล้วนต้องตอบสนองบุคคลที่ได้กระทำ ทั้งยังตรัสบอกกล่าวเอาไว้อีกว่า “บุคคลทำกรรมชั่ว มักไม่รู้ว่าตนนั้นทำกรรมชั่ว เพราะผลแห่งกรรมชั่วนั้นยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อผลของกรรมชั่วนั้นปรากฏ จึงรู้ว่ากรรมชั่วนั้นเหมือนดั่งยาพิษ”

ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเป็นการเตือนสติของพวกเรา ของบุคคลที่หลงผิด ไม่กลัวบาป และยังคึกคะนอง จองหองพองขนเหมือนม้าที่กำลังคึกคะนอง ได้พึงระลึกไว้ว่า เราเกิดมาชาตินี้เพื่อทำดี มาแก้ตัวที่เคยทำผิดมาแล้วแต่หนหลัง

ในชาติต่าง ๆ สิ่งที่บังเกิดขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้า ยังเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงอดีตสัญญาว่า การเวียนว่ายตายเกิดชีวิตใหม่ มีจริงตามกฎแห่งกรรม กรรมนั้นสะท้อนความจริงที่ได้กระทำมาทั้งดี ชั่วปะปนกันมากมาย ทั้งหนักและเบาแตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงแตกต่างกันไป

ผลมาบังเกิดในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน บ้างสุขสมบูรณ์ บ้างทุกข์ยาก บ้างมีหน้ามีตาทางสังคม บ้างเจริญในหน้าที่การงาน บ้างผิดหวังท้อแท้รันทดใจ บ้างมีจิตใจงามด้วยคุณธรรม จริยธรรม บ้างหยาบกระด้าง เป็นโทษกับตัวเองและผู้อื่น บ้างถือตัวอวดตน บ้างสงบเสงี่ยม หนักแน่น บ้างมีชีวิตสงบสุข บ้างพบแต่ความเดือดร้อน บ้างประสบเคราะห์ภัยในครอบครัว บ้างเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดเวลา บ้างอายุยืนบ้างอายุสั้น บ้างต้องพลัดพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่เยาว์วัย บ้างก็ถูกฆ่า บ้างเกิดมาแล้วนำความทุกข์ให้กับพ่อแม่อย่างใหญ่หลวง บ้างสร้างความเจริญให้บังเกิดในตระกูล

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และในด้านอกุศลกรรม สามารถแก้ไขด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี บำเพ็ญบารมีกุศล ทำให้ชีวิตที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น ที่หนักก็เป็นเบา ที่ทุเลาก็หายในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 28-06-2010 08:45

เรื่องของวิญญาณมาเข้าคนนั้น เป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อตายแล้ว การปฏิสนธิเป็นไปตามกรรม ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง มีเหตุมีผล เพียงแต่วิญญาณนั้น อยู่ในมิติที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นรูปกายของเขาเท่านั้น

ดังนั้น..การจะแสดงรูปให้ปรากฏ ก็ต่อเมื่อมาสิงสู่ในกายมนุษย์แล้ว แสดงภูมิเดิม บอกกล่าวชื่อสกุล ทั้งวงศ์ญาติ พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ตอนดำรงชีวิตอยู่ มีผู้รับรู้ เคยรู้เห็นว่าจริง จากปากบุคคลที่เขาสิงอยู่ เป็นเครื่องวัดความจริงทั้งหลาย

วิญญาณอีกประเภทหนึ่งที่มีฤทธิ์ ก็จะมาแสดงให้เห็นกันด้วยเหตุผลของวิญญาณนั้น ๆ ต้องการอะไร ? ทำเพื่ออะไร ?

ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ประมาณสองทุ่ม ขณะนอนเล่นดูหนังสืออยู่ในห้องพัก มีเพื่อนวิ่งมาบอกว่า ผีเข้าสิงพระรูปหนึ่ง หลวงตากำลังช่วยอยู่ ให้ไปดูกัน จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่เชื่อ ไม่อยากไปดู เพื่อนเด็กวัดคนนั้นอยากไปดู ขอให้ไปเป็นเพื่อนกัน เพราะเขากลัวผี แต่ก็อยากดู อยากรู้ อยากเห็นตามประสาเด็กทั่ว ๆ ไป อดไม่ได้ก็ไปเป็นเพื่อน

พอข้าพเจ้าก้าวไปในห้องที่พระรูปนั้นกำลังนอนอยู่ หลวงตากำลังปราบ ได้ถามไถ่เพื่อให้วิญญาณตนนั้นออกจากร่างของพระรูปนั้น แต่เสียงที่พูดจากปากพระรูปนั้นเป็นเสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงพระที่เคยได้ยินเป็นประจำว่า อย่าให้เด็กคนนั้นเข้ามา แล้วชี้มือมาที่ข้าพเจ้า ซึ่งไม่รู้เล่าเก้าสิบใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงไปเป็นเพื่อนคนอื่นเท่านั้น เขาบอกว่าจะไปแล้ว อย่าทำอะไรเขา

ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จะทำอะไรวิญญาณนั้น แม้สวดมนต์ยังไม่ถนัดชัดเจน แต่วิญญาณนั้นกลัวมาก บอกหลวงตาให้บอกกับข้าพเจ้าว่า "อย่าทำอะไรเขา เขาไม่ได้มาทำร้าย เพียงแต่ทนทุกข์ทรมานไม่ไหว จึงมาเข้าพระเพื่อบอกให้ช่วยทำบุญ ปลดปล่อยตัวเขาเท่านั้น เขาตายมาร้อยกว่าปีแล้ว ต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่เคยขโมยพระในวัดไปจำหน่าย ตายแล้วตกนรก ถูกทรมานให้มารับกรรมอยู่ภายในวัด อยากไปผุดไปเกิด เพราะสำนึกผิดแล้ว"

ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้ามีดีอะไร เพราะยังเป็นเด็กอยู่ วิชาอาคมใด ๆ ก็ไม่ได้เรียน หนังสือยังอ่านไม่คล่อง ทำไมวิญญาณนั้นจึงกลัวข้าพเจ้ามากกว่าหลวงตา เพียงแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า “ทำไม ? เรามีอะไรผีถึงกลัว แต่ไม่ได้คำตอบ”

จากนั้นหลวงตาก็พูดคุยกับวิญญาณตนนั้น บอกว่าจะทำบุญไปให้ ขอให้ออกจากพระเสียก่อน วิญญาณนั้นยกมือไหว้ข้าพเจ้าแล้วออกไป เป็นที่โจษจันกันทั้งวัดว่าข้าพเจ้าปราบผีได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลย ตอนเช้าหลวงตาเรียกไปถามว่า "มีของดีอะไร ผีถึงกลัวนัก" ได้ตอบหลวงตาว่า "ไม่มีอะไร และไม่รู้เรื่องผีเข้าจริงหรือเปล่า หรือพระรูปนั้นแกล้งทำ"

แต่ตอนที่วิญญาณออกจากพระ พอท่านรู้สึกตัว ท่านก็สงสัยว่าคนมาที่ห้องท่านมากมายเกิดอะไรขึ้น หลวงตาบอกว่าผีเข้าท่าน พระรูปนั้นก็ยังตกใจ ถามว่าจริงหรือ เมื่อรู้ว่าจริง ดูท่านจะเขิน ๆ อยู่ไม่น้อย

ลัก...ยิ้ม 28-06-2010 09:02

จริง ๆ แล้วเหตุการณ์ครั้งนั้นจะเกิดจากอะไรก็ตาม เริ่มกระตุ้นให้ข้าพเจ้าสนใจอยู่ลึก ๆ เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างแรงดลใจ กระตุ้นให้ข้าพเจ้าสนใจอยู่ไม่น้อย ประกอบกับความอยากรู้ อยากเห็น เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุปัจจัย นำสู่เส้นทางธรรมอันบริสุทธิ์ในชีวิตของข้าพเจ้า จนถึงวันนี้ จึงจับปากกาขึ้นมา *เขียนเรื่องราวของข้าพเจ้าบันทึกไว้เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งอัศจรรย์ของโลก*

ลัก...ยิ้ม 28-06-2010 16:10

เดินทางเข้าเมืองหลวง แสวงหาความรู้

ได้เกริ่นไว้แต่ต้นแล้วว่า ข้าพเจ้ามีความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่เยาว์วัย ชะตาชีวิตผกผันตลอด ทำงานทุกอย่างที่จะได้เงินมาเลี้ยงดูตนเอง ยกเว้นลักขโมยที่ไม่ได้ทำ ทำกระทั่งเก็บกระป๋องนมไปขายให้ร้านกาแฟใบละ ๕ สตางค์ (ในสมัยก่อนเวลาซื้อกาแฟกลับบ้าน จะใส่กระป๋องนม) เป็นช่างตัดผม เป็นนักมวยและอื่น ๆ อีกมากมาย

พูดแล้วไม่น่าเชื่อ แต่นี่แหละชีวิต..ที่ต้องสู้จนประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน ชีวิตไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับมีคุณค่า ยากนักที่คนทั่วไปจะได้พานพบ แต่บางคนอาจจะหนักกว่าก็มีอยู่ไม่น้อย คิดว่าจิตใจของเขาเหล่านั้นคงไม่ต่างจากข้าพเจ้า ทั้งรันทด หดหู่ ท้อแท้ หมดหวัง ครุ่นคิด ประชดตนเอง น้อยเนื้อต่ำใจ ตามประสาของคนตกระกำลำบากในชีวิต

อยู่ที่ว่าใครจะเข้มแข็งต่อสู้กับอำนาจที่เกาะกินใจ เหมือนสนิมเกาะกินเหล็กกัดให้กร่อนมากกว่ากันเท่านั้น ผู้อ่อนแอก็จะพ่ายแพ้ เสียอนาคต ประพฤติเสื่อมเสีย จนหมดโอกาสของชีวิต แต่บางคนเข้มแข็ง สู้จนประสบความสำเร็จ แข็งกล้าต่ออุปสรรค

ข้าพเจ้าเป็นผู้โชคดี โชคชะตายังให้โอกาส วิบากกรรมยังปรานี ไม่เป็นคนอ่อนแอย่อท้อต่อชีวิต ทำให้ไม่คิดสั้น ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเรียนดีมาตลอด เรียนอยู่ที่จังหวัดปัตตานี อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงพี่ จากชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก

จึงขออนุญาตลาหลวงพี่เข้ากรุงเทพมหานคร มีเงินติดตัวมา ๓๖ บาท ซื้อตั๋วรถไฟก็ไม่พอ แต่ใช้อุบายไม่ซื้อตั๋ว หากผู้ตรวจรถไฟจับได้ ให้ลงสถานีใดก็จะลง แล้วค่อยขึ้นรถไฟขบวนใหม่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงกรุงเทพมหานคร คิดเอาไว้เช่นนั้น คิดอย่างเดียวคือไปตายเอาดาบหน้า

แต่โชคดีที่นายตรวจไม่ได้ตรวจข้าพเจ้าเลย จึงรอดพ้นจนถึงกรุงเทพมหานคร พี่สาวไปรับที่สถานีบางกอกน้อย ได้ไปพักอาศัยกับพี่คนนี้ซึ่งมีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังลำบากอยู่ เงินที่หามาได้ก็ไม่พอใช้ตลอดเดือน

ลัก...ยิ้ม 28-06-2010 16:15

เมื่อเข้ามาในกรุงเทพมหานครนั้น โรงเรียนต่าง ๆ ปิดรับสมัครและสอบกันหมดแล้ว จึงไม่มีที่เรียน เหลือโรงเรียนราษฎร์ก็ไม่มีค่าเทอม โชคช่วยไปสมัครเข้าเรียนโรงเรียนเทเวศร์ศึกษา เข้าไปกราบผู้จัดการขอเรียนก่อน อ้างว่าทางบ้านยังไม่มีเงินส่งมา ท่านผู้จัดการใจดี ให้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ แผนกวิทยาศาสตร์

สมัยนั้นเรียนไปหนึ่งเทอมถูกเรียกไปเสียค่าเทอมก็ขอผ่อนผันต่อ ตั้งใจว่าหากสิ้นเทอมไม่มีเงินมาจ่าย ก็จะลาออกไม่เรียนต่อ แต่ทางโรงเรียนเมตตาให้เรียน สอบปลายภาคเสร็จไม่สามารถหาเงินมาจ่าย ทางโรงเรียนจึงไม่ตรวจข้อสอบให้ ต้องออกจากโรงเรียนไปหาที่เรียนใหม่

ไปสอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัยในตอนนั้น เราชอบกีฬาอยู่แล้ว ตอนเรียนชั้นมัธยมเป็นนักกีฬาของโรงเรียน เป็นตัวแทนกีฬาเขตในกีฬาฟุตบอลและกรีฑา ไปสอบติดหนึ่งในสองร้อยคนที่เขารับเข้าเรียนสมัยนั้น การมอบตัวเข้าเรียนใช้เงินไม่มาก ๔๕๐ บาท แต่ก็ไม่มี ได้เขียนจดหมายไปขอครูใหญ่ที่สอนข้าพเจ้าตอนเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๔ เป็นเงิน ๕๐๐ บาท ท่านเมตตาส่งมาให้ จึงได้เรียนฝึกหัดครูพลานามัยรุ่นที่ ๙ ในพุทธศักราช ๒๕๐๙

ชีวิตเริ่มยุ่งยากอีก เมื่อพี่สาวไม่มีกำลังจะเลี้ยงดูส่งเสีย จึงตัดสินใจขอไปพึ่งวัดอีก ทั้งที่ไม่รู้จัก ลองไปดู พอมีโชคอยู่บ้าง ได้ไปที่วัดโพธิ์ท่าเตียน เดินไปประตูกุฏิ ก.๑๓ (คณะกลาง ๑๓) ที่เปิดอยู่ เข้าไปกราบหลวงพี่ บอกความประสงค์ขออยู่อาศัยรับใช้ท่าน

ปรากฏว่าท่านเป็นพระมาจากสงขลา ท่านเห็นใจเพราะข้าพเจ้าเองก็เป็นคนใต้ ท่านจึงรับให้อยู่ด้วย ช่วยติดตามท่านออกบิณฑบาตในตอนเช้า กินข้าวแล้วค่อยไปเรียน แต่ตอนเย็นไม่มีอาหาร ข้าพเจ้าจึงไปหาร้านขายข้าวแกงในตลาดท่าเตียน ไปขอช่วยล้างจานให้ในตอนเย็นหลังกลับจากเรียน ขอข้าวเย็นกินมื้อหนึ่ง จึงมีอาหารเย็นกินตลอด ๖ ปี

เรียนฝึกหัดครูพลานามัย ๒ ปี เข้าเรียนต่อวิทยาลัยพลศึกษาระดับ ปกศ.สูง ๒ ปี เรียนเกรดดี จึงได้รับเลือกเข้าเรียนวิทยาลัยพลศึกษาอีก ๒ ปีในระดับปริญญาตรีรวมเป็น ๖ ปี ซึ่งช่วงที่เรียนอยู่ชีวิตค่อยดีขึ้น สมัครทำงานในสโมสรอาจารย์ตอนเที่ยงได้วันละ ๑๐ บาท อาจารย์แบ่งอาหารให้กินบ้าง ตกตอนเย็นไปฝึกสอนฟุตบอลให้เยาวชนที่สวนลุมพินีได้วันละ ๑๐ บาท ตกลงได้เงินวันละ ๒๐ บาท เก็บไว้เป็นค่าหน่วยกิต กลับไปถึงวัดก็ไปล้างจานเพื่อกินข้าวเย็น ทำอย่างนี้ทุกวันจนเรียนจบ

ตอนเรียนอยู่วิทยาลัยพลศึกษา ชีวิตเริ่มผกผันในทางที่ดี ได้รับทุนการศึกษาของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นทุนเรียนดีแต่ยากจน ได้ปีละ ๕,๐๐๐ บาท และมีสัญญาเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องชดใช้ทุน คือ ต้องไปเป็นครู ทั้งในช่วงนั้นหารายได้พิเศษวันเสาร์และอาทิตย์ ไปรับสอนว่ายน้ำตามสระต่าง ๆ ตอนเย็น ไปสอนลีลาศให้กลุ่มแม่บ้านที่ y.w.c.a. พอมีรายได้ช่วยพี่สาวและส่งให้แม่ทุกเดือน ที่เขียนเล่า เพื่อไม่ให้เห็นว่าเป็นการโอ้อวดจนเกินไป

ลัก...ยิ้ม 29-06-2010 07:55

ชีวิตข้าราชการ

เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ก็ต้องชดใช้ทุนที่ได้รับตอนศึกษาอยู่ จึงตัดสินใจไปสมัครเป็นข้าราชการครู ที่กรมพลศึกษาในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ ได้บรรจุเข้าเป็นข้าราชการครูตรี วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ แต่ให้ไปช่วยราชการที่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดมหาสารคาม เป็นชีวิตใหม่

เป็นข้าราชการครูภูมิใจมาก แม่ก็ดีใจเป็นที่สุด พ่อซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๐ ไม่ได้รู้ได้เห็น ชีวิตในช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้นึกคิดว่า “เราเกิดมาโคจรอยู่กับโลกนี้น้อยนิดในแต่ละชาติ ทำไมเราต้องเสียโอกาส ให้เวลาเป็นเหมือนมัจจุราชมาฉุดกระชากชีวิตเราไปอย่างเสียประโยชน์ พาเราไปจากโลกนี้จะไปอยู่ภูมิไหนโลกไหน หรือกลับมาสู่โลกนี้อีกหรือไม่ เราไม่มีคำตอบ แต่การกระทำบอกเราได้ ทำดีไปดี ทำชั่วไปที่ไม่ดีแน่

การทำงานเป็นข้าราชการครูเป็นงานหนัก เพราะวิทยาลัยเปิดใหม่ปีแรกต้องทำทุกอย่าง ทั้งสอนทั้งพัฒนา แต่ก็ได้เงินพิเศษจากการสอนนักศึกษาภาคสมทบ ทั้งของวิทยาลัยครูและของวิทยาลัยเอง ได้เงินก้อนแรกยกให้แม่ ช่วยพี่สาวที่กำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง ที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่าจะเสียชีวิตเมื่ออายุ ๓๕ ปี

ในการรับราชการนั้นได้ให้สัญญาไว้กับตนเองว่า จะซื่อสัตย์สุจริตทำงานเพื่อประเทศชาติ อยู่ในศีลธรรม เพราะเราเข้าใจในความทุกข์ยาก ความลำบากมานานแล้ว จึงอยากเห็นทุกคนสุขสบายด้วยอานิสงส์แห่งการทำกรรมดี ชีวิตพัฒนาไปเรื่อย ๆ เกินคาดคิด *อยู่วิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดมหาสารคาม ๔ ปี ได้พบสิ่งใหม่ ๆ มากมาย ทั้งดีและไม่ดี มีวุฒิภาวะมากขึ้น*

ลัก...ยิ้ม 29-06-2010 10:28

พระอริยสงฆ์ ให้แสงสว่างแก่ชีวิต

จากคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ยกเว้นต้องพิสูจน์ให้รู้เห็นด้วยตัวเอง อาจด้วยบุญวาสนาเป็นเหตุให้พบพระผู้มีอภิญญาที่ซ่อนตัว ไม่แสดง ไม่โอ้อวด เป็นผู้มีความสงบเยือกเย็น มีสติมั่นคง มีแต่ความเมตตากรุณาต่อทุกคน พูดน้อย พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ทักท้วงเมื่อเห็นเราเห็นผิดเป็นชอบ มีวาจาปราณีต เจริญธรรม ดำรงสติด้วยองค์กรรมฐานไม่ขาด

ท่านเป็นเสมือนผู้ให้ชีวิตที่เกิดใหม่ เมตตาให้แสงธรรมส่องสว่าง ทำให้จิตลดมานะ หมดความสงสัยในหลักธรรม เป็นผู้ปราบพยศในจิตของข้าพเจ้าให้หมดจด ใครพบเห็นท่านก็เสมือนหลวงตาองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ผู้รู้จะเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่อมาก ถวายตัวเป็นลูกศิษย์กันมากมาย รวมทั้งตัวของข้าพเจ้าด้วย

ในขณะที่สอนครูอบรมเพิ่มวุฒิ เรียกว่าอบรม อ.ศ.ร.ชุดพลศึกษาอยู่ มีครูคนหนึ่งได้ถามข้าพเจ้าว่า "เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม?" ความจริงคนละเรื่องกัน เนื้อหาที่สอนนั้นกำลังสอนวิชานันทนาการ เรื่องการจัดค่ายพักแรมอยู่ หรือเพราะเราสอนไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบได้ ข้าพเจ้าตอบว่า "เชื่อ แต่ต้องพิสูจน์ได้นะ" ครูคนนั้นก็เล่าว่า "ที่บ้านเขาอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีหลวงพ่อรูปหนึ่งเก่งมากชื่อ หลวงพ่อริม รัตนมุนี อยู่วัดอุทุมพร เวลาท่านถ่ายรูปจะมีภาพซ้อนเป็นสองกาย บางครั้งก็สามกายอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา" แล้วเอารูปให้ดู ทุกคนสนใจกันมาก เมื่อดูแล้วเกิดความสนใจลึก ๆ อยู่ในใจ อยากไปพบและกราบไหว้ พิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง สอนจนจบชั่วโมง

ครูคนนั้นยังตามไปคุยด้วยและชวนไปกราบไหว้ และเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ความสนใจ ความต้องการ ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนขึ้นตามอุปนิสัยของเรา ชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องเร้นลับ อยากเห็นสิ่งแปลก ๆ เพื่อแก้ความลังเลสงสัยภายในจิตของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงได้นัดแนะกันเพราะอยู่ไม่ไกลกันนัก เดินทางไปเช้าเย็นกลับจะได้ไม่เสียงาน ไปในวันหยุด

การไปพบหลวงพ่อก็ถูกกำหนดขึ้น โดยครูท่านนั้นเอารถมารับเพราะข้าพเจ้าไม่มีรถใช้ โดยเจตนาจริงตั้งใจจะไปลองวิชาหลวงพ่อ ได้เตรียมกล้องถ่ายรูปไปเพื่อขอถ่ายรูป ดูว่าจะเป็นจริงตามที่ครูท่านนั้นบอกเล่าหรือไม่ แต่ต้องถ่ายด้วยตนเอง จะได้ไม่มีข้อสงสัย

ลัก...ยิ้ม 30-06-2010 08:28


เส้นทางจากอำเภอไปถึงวัดประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เป็นเส้นทางทุรกันดาร ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อลึก ๆ รถวิ่งไปติดไปเป็นระยะ ๆ กว่าจะถึงวัดแสนลำบากยากเย็น เป็นวัดเล็ก ๆ มีกุฏิหลังเดียว เป็นทั้งที่พัก เป็นทั้งศาลา ทำด้วยไม้เก่า ๆ มีพระอุโบสถเก่า ๆ มุงด้วยสังกะสี ผนังทำด้วยไม้

เห็นวัดแล้วจิตปรุงแต่ง เอาความมืดมิด ความโง่ เข้าครอบจิต เกิดความไม่ศรัทธา นี่แหละที่เรียกว่า ติดวัตถุ คิดว่าพระเก่ง ๆ ต้องอยู่วัดใหญ่ ๆ ภายในวัดต้องมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างที่เคยอยู่มาแล้วในอดีต กว่าจะรู้ได้ว่า เรานี้แสนโง่จริงหนอ ก็เกือบไม่รู้ว่าโง่เพราะจิตถูกครอบด้วยโลกียวิสัยของสัตว์โลกจนจิตใจมืดมิด เหมือนคนตาบอดมองไม่เห็นแสงสว่าง ไม่มีปัญญา


สมดังที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า “ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ในโลกนี้ จะเสมอด้วยแสงสว่างแห่งปัญญานั้นไม่มี” แสงสว่างมี ๔ ทาง

๑. แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ (สุริยาภา)

๒. แสงสว่างจากดวงจันทร์ (จันทราภา)

๓. แสงสว่างจากดวงไฟ (อัคคยาภา)

๔. แสงสว่างจากปัญญา (ปัญญาภา)

ลัก...ยิ้ม 30-06-2010 10:45

จะเห็นว่าแสงสว่างในข้อ ๑-๓ นั้น เป็นแสงสว่างธรรมดา เห็นด้วยตา เห็นทุกอย่างเป็นวัตถุ ไม่มีความพิสดารแต่อย่างใด เห็นได้ทุกคนเสมอเหมือนกัน แต่ในข้อ ๔ นั้นเป็นแสงสว่างจากดวงจิต หรือเรียกว่าเป็นแสงสว่างแห่งปัญญา สามารถมองเห็นในสิ่งเร้นลับและสิ่งปกปิดของธรรมชาติได้ และนำมาใช้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติได้อย่างสมประโยชน์ อย่างสมดุล

อย่างหมอยาก็รู้ความเร้นลับ และสิ่งปกปิดของสมุนไพรนานาชนิด นำมาปรุงโอสถบำบัดโรคร้ายต่าง ๆ ได้ ก็ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญาทั้งสิ้น เมื่อเรารู้เข้าใจเช่นนี้แล้ว ทำไมเราจะไม่เร่งปฏิบัติ เพิ่มพูนปัญญาของตนเอง เพื่อให้ปัญญาดั้งเดิมที่เรียกว่าสามัญปัญญา ให้กลับเป็นปัญญาอันบริสุทธิ์ จะได้ไม่หลงใหลอยู่กับสิ่งที่เราไม่ได้เอามา แล้วเราไม่ได้เอาไปด้วย ทั้งเป็นทุกข์อยู่กับบุคคลที่ไม่ได้มากับเรา เราก็ไม่ได้มากับเขา ไปกับเขา นั่นคือความหลงผิดของข้าพเจ้า

เมื่อเห็นวัดครั้งแรก จิตที่ห่อหุ้มด้วยโลกธรรมอันมีโลภ โกรธ หลง เหมือนคนทั่วไป อันเป็นพฤติกรรมปกติธรรมดา เพราะเรามองเปลือกนอก เป็นความไม่รู้ในช่วงนั้น คิดว่าคิดถูก ที่แท้ก็คิดผิด

เรามีกายเป็นเรือนที่อยู่ของจิต มีบ้านเป็นเรือนที่อยู่อาศัยรูปกายอันทรงด้วยคุณค่า ให้เป็นที่อาศัยของจิตที่ด้อยด้วยคุณภาพ เป็นจิตที่เจ็บป่วยอมด้วยความทุกข์ ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหาและราคะ ทั้ง ๆ ที่จิตนั้นสามารถจะแสวงหาความสุขและความทุกข์ได้

จิตจะรับทั้งความสุขและความทุกข์ เมื่อจิตมีความสุข ความทุกข์ก็ดับจากจิต เมื่อจิตมีความทุกข์ ความสุขก็ดับจากจิต ทางเลือกที่ดีมีอยู่ ให้โอกาสอยู่ *และมีให้กับทุกคน ไม่กีดกั้นใคร ตัวของเราเท่านั้นที่กีดกั้นตัวเอง เราเป็นผู้เลือกทั้งสิ้น เรามัวแต่เฝ้าติดตามดูผู้อื่นที่กระทำต่อเรา แล้วก็ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี น่าคบ ไม่น่าคบ ไม่ควรสมาคมด้วย นิสัยไม่ดี ชอบอิจฉาริษยา ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ทั้งขี้โกรธ เอาแต่อารมณ์

ในบางครั้งเราก็ยังเก็บรักษาอารมณ์นั้น เอาไว้ในจิตของเรา ไม่ต่างอะไรกับคนที่เราตำหนิ ลองคิดดูสิ ? เราคิดถูกหรือคิดผิด? ใครกันแน่? ใครแย่กว่าใคร?*

ลัก...ยิ้ม 30-06-2010 13:07

เมื่อลงจากรถขึ้นศาลา หลวงพ่อนั่งอยู่ หลวงพ่อเป็นคนร่างเล็ก ท่านฉันหมากเหมือนพระสมัยก่อนทั่วไป นัยน์ตาใสมีประกายอ่อนโยน เหมือนนัยน์ตาเด็กทารก ไม่มีร่องรอยของกิเลสเหมือนคนทั่วไป ผิวสองสีแต่นวลสวยงาม มีตบะบารมีเห็นแล้วเย็น น่าเกรงขามในความสง่างามด้วย

กระแสธรรมที่สถิตอยู่ในจิตของท่าน รอยยิ้มของท่านน่าประหลาดเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ทำให้เรามีความสุขอิ่มใจ ซึ่งผิดกับที่เราพบและกราบไหว้พระองค์อื่น ๆ นึกประหลาดใจอยู่ลึก ๆ แต่ไม่ได้พูด เพียงประทับอยู่ในจิตเหมือนตราประทับกระดาษอย่างไรก็อย่างนั้น เป็นประกายแห่งความศรัทธาเคารพเบื้องต้น จนลืมสภาพของวัด

นี่แหละหนอจิต! มันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เชื่อไม่ได้ เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ เกิดง่ายก็ลืมง่าย ทั้งรักทั้งชังผสมปนเปกันไปไม่สิ้นสุด หากเราปล่อยตามกระแสไม่ควบคุมให้ดี จะหาความสุขไม่ได้เลย *

พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรคงอยู่นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับไปนอกจากทุกข์”* จริงแท้แน่นอนหนอ!


ได้ก้มลงกราบหลวงพ่อสามครั้ง หลวงพ่อทักว่า "ขอบคุณนะ ที่มาเยี่ยม" ท่านพูดเหมือนรู้จักกันมานานพร้อมกับยิ้มให้ ข้าพเจ้าบอกว่า "มาขอพรและขอถ่ายรูป เห็นเขาลือกันว่าถ่ายแล้วมีภาพซ้อน เป็นที่น่าประหลาดใจ" หลวงพ่อเหมือนรู้ใจข้าพเจ้าว่ามาลองท่าน ท่านบอกว่า "เขาลืออย่างนั้น มันบังเอิญ อย่าถ่ายไปเลย ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก *หลวงพ่อเป็นพระแก่ ๆ รูปหนึ่งเท่านั้น* จะกราบก็กราบ จะไม่กราบก็ไม่ต้องกราบ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมาลองหรอก"

ข้าพเจ้าสะดุ้งในใจเหมือนท่านรู้ใจเรา แต่มานะอยากลองเหนือกว่าจึงขอถ่ายรูปอีก หลวงพ่อบอกว่า "ให้เข้าไปในห้อง แล้วจะให้ดูอะไร เข้าคนเดียวนะ" คนที่ร่วมไปอีก ๕ คนไม่ได้เข้า ข้าพเจ้าจึงเข้าไปคิดว่ามีอะไรในห้องท่าน ไม่มีอะไรเลย มีพระพุทธรูปอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา มีเสื่อปูจำวัดอยู่ผืนหนึ่ง และมีเครื่องใช้ส่วนตัวบางอย่างเท่านั้น ดูแล้วท่านเป็นผู้มีชีวิตสมถะ ห้องโล่งเปล่า ไม่มีข้าวของเก็บเลย

หลวงพ่อเดินตามเข้ามาในห้องพร้อมใส่กลอนประตูห้อง ท่านสั่งให้ถอดเสื้อผ้า จิตชั่วของข้าพเจ้าคิดว่า ท่าจะทำอะไรไม่เหมาะสม แต่เหมือนท่านรู้ "อยากลอง ถอดเสื้อผ้าสิ" ข้าพเจ้าอยากลองอยู่แล้ว จึงถอดเสื้อผ้าเหลือกางเกงในตัวเดียว ท่านบอกให้ไปกราบพระสามครั้ง กราบหลวงพ่อสามครั้ง แล้วให้นั่งลงพับเพียบ

ท่านจึงเอาไม้กลม ๆ มีเหล็กแหลมอยู่ที่ปลายไม้ มาเขียนอะไรไม่รู้ แต่คิดว่าเขียนอักขระทั่วตัวของข้าพเจ้า เจ็บมาก ในใจคิดว่าไม่เห็นมีอะไร เขียนเจ็บเป็นบ้าเลย เขียนเสร็จท่านเอาน้ำมันมนต์ในขวดทา จึงถามหลวงพ่อว่า "จะดำเหมือนสักยันต์ตามตัวไหม หากเป็นอย่างนั้นไม่เอา" ท่านตอบว่า "ไม่ดำหรอก เป็นน้ำมันมนต์เท่านั้น" จึงให้ท่านเอาน้ำมันทาทั่วทั้งตัว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเอามือลูบไปทั่วตัว ปากก็ภาวนาอะไรไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าท่านคงปลุกเสก จากนั้นท่านให้ก้มศีรษะลง ท่านเอามือทั้งสองข้างจับศีรษะไว้แน่น พร้อมลดปากของท่านมาจดกลางกระหม่อมเรียกว่า เป่ากระหม่อม อย่างที่เข้าใจกัน

ลัก...ยิ้ม 02-07-2010 08:38

ขณะที่ท่านเป่าลมลงกลางกระหม่อมนั้น มันเย็นเยือกสะท้านไปทั้งตัว หนาวเหน็บถึงกระดูก ใจสั่น มันเหมือนมีเข็มเย็บผ้าหลาย ๆ ล้านเล่ม วิ่งวนไปทั่วกาย หมุนไปมาถึงหน้าอก แล้วหมุนวนเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ

เหมือนเอาปากกามาเขียนวาดเป็นรูปในแผ่นกระดาษ อย่างไรก็อย่างนั้น ท่านเป่าไปพักหนึ่ง ท่านถามว่าเข้าแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอะไรเข้า จึงเฉยอยู่ หลวงพ่อเป่าไปเรื่อย ๆ จนข้าพเจ้าวิงเวียนศีรษะ เหมือนคนจะเป็นลมหน้ามืดในที่สุด

อาการเหลือจะอธิบายให้เข้าใจได้ เสร็จแล้วหลวงพ่อท่านบอกว่า ได้ลงอักขระพร้อมทั้งได้สร้างรูปองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้สถิตอยู่ที่หน้าอกของข้าพเจ้า จะได้เป็นของคู่กาย คอยป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ในอนาคต พร้อมทั้งเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของเรา
ท่านถามว่า "สัมผัสได้ไหม" ตอบว่า "ได้" ท่านตอบว่า "ดีแล้ว สาธุ สาธุ" จากนั้นก็กราบลาท่านกลับเพราะเย็นมากแล้ว

รูปท่านก็ไม่ได้ถ่ายตามที่ตั้งใจไว้ แต่เริ่มบังเกิดความเคารพและศรัทธาในตัวท่าน มีเวลาว่าง ข้าพเจ้าจะไปหาท่านอยู่เสมอ ๆ ไปคุยกับท่าน ไปนอนกับท่านที่วัดอยู่เป็นประจำ ยิ่งอยู่ใกล้ท่านมากเท่าไหร่ ความเคารพเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นทุกขณะ

เหมือนหลวงพ่อค่อย ๆ ปูทางเดินชีวิตของข้าพเจ้าโดยแท้ ท่านสอนให้สวดพุทธมนต์ พานั่งสมาธิทุกครั้งที่ไปนอนกับท่าน ท่านจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ แปลก ๆ ที่ท่านได้พบเห็นจากการเจริญภาวนา เที่ยวไปตามป่า ตามถ้ำ เดินไปทั่วประเทศไทย เข้าไปในประเทศลาว เขมร พม่า

อาจารย์ของหลวงพ่อเป็นฆราวาส ๒ คน คนหนึ่งสอนวิชาอาคม อีกคนหนึ่งสอนกรรมฐาน เดินป่าทั้งสองคนจะไปด้วยกันทุกครั้ง พร้อมสอนวิชาให้ท่านจนหลวงพ่อบรรลุธรรมอันวิเศษ ข้าพเจ้าได้พบกับท่านอาจารย์ของหลวงพ่อทั้งสอง

ส่วนเรื่องต่าง ๆ ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังมากมาย ทั้งในนิมิตและพบจริง ทั้งท่องแดนสวรรค์ แดนมนุษย์ แดนยมโลก เมืองพญานาค ข้าพเจ้าจะไม่เขียนเล่าไว้ในนี้ ต้องไปหาอ่านในประวัติของหลวงพ่อ ซึ่งท่านได้บันทึกเอาไว้ คาดว่าคงอยู่ในวัดเพราะหลวงพ่อได้มรณภาพแล้วตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๘ ข้าพเจ้าจึงไม่อาจล่วงเกินครูบาอาจารย์ได้ ต้องขออภัยไว้ในที่นี้ด้วย


:d16c4689::d16c4689::6f428754:

ลัก...ยิ้ม 02-07-2010 09:37

สำหรับท่านที่อยากรู้เรื่องจากประสบการณ์ของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าได้ฟัง จนจดจำแทบไม่หมด ทั้งพิสดาร ตื่นเต้น สนุก ฟังไม่เบื่อ *ทั้งมีความสงสัยตามประสาคนชอบท้าทายให้ต้องตามพิสูจน์* ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อรู้อุปนิสัยของข้าพเจ้าจากฌานสมาธิของท่าน จึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟังเพื่อปูทาง ชักนำให้ข้าพเจ้าเดินให้ถูกทาง ไม่หลงผิด และจูงใจให้ใคร่อยากรู้ อยากเห็นด้วยตนเอง มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ มันท้าทายความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง อยากเห็นจริง

จากที่หลวงพ่อได้พบกับข้าพเจ้า หลวงพ่อเริ่มออกจากวัดมากขึ้น ไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้านพักอยู่บ่อย ๆ แทบจะทุกเดือนก็ว่าได้ อยู่พักครั้งละหลาย ๆ วัน จึงจะกลับวัด ท่านจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ ให้นำไปปฏิบัติ ล่อหลอกให้เกิดศรัทธา มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ท่านเมตตาให้กับข้าพเจ้ามากที่สุดคือ การลงอักขระในกายให้ทุกครั้งที่พบท่าน ทุกวันที่หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้าน (ก่อนข้าพเจ้าจะไปทำงาน) หลวงพ่อฉันอาหารไม่ยาก จึงไม่เป็นภาระอันใด ตอนเช้าหลวงพ่อถือบาตรออกไปโปรดสัตว์ ท่านอยู่ง่าย พูดน้อย (ยกเว้นเมื่อข้าพเจ้าพบกับท่าน)

เป็นเรื่องแปลกเพราะได้ทราบมาว่า โดยปกติท่านไม่ใคร่ออกจากวัด เคร่งปฏิบัติ ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว อยู่ที่บ้าน เราไปทำงาน ท่านเข้ากรรมฐานทั้งวัน กลับมากี่ครั้งเห็นท่านนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่เคล็ด ไม่เมื่อย เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง บางคืนเห็นท่านนั่งทั้งคืน บางคืนท่านไปเดินหน้าบ้านพักทั้งคืน

อีกเรื่องหนึ่ง ถามชาวบ้านข้างวัดว่า หลวงพ่อเล่าอะไรให้ฟังบ้าง ชาวบ้านบอกท่านไม่พูด ถามคำตอบคำ ท่านเป็นเช่นนี้มาตลอด ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า “ทำไมมาหาข้าพเจ้าบ่อย" ท่านตอบว่า "ต่างคนต่างมีหน้าที่” แล้วท่านไม่พูดอีก ยิ้มให้ด้วยความเมตตา ซึ่งคำตอบนั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจจนบัดนี้

ลัก...ยิ้ม 02-07-2010 16:57

หลวงพ่อแสดงอภิญญา ปราบพยศ

ก่อนอื่น ท่านใดที่พบได้อ่านข้อเขียนต่อไปนี้ อาจเคยได้รู้มาแล้ว อาจไม่เคยรู้มาเลย อาจเคยพบด้วยตนเอง อาจเคยได้อ่านประวัติของครูบาอาจารย์มาบ้าง ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้พานพบต่าง ๆ นานา เหตุการณ์มีทั้งส่วนคล้าย มีทั้งส่วนต่าง ขอให้ท่านจงใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ขอให้ใช้สตินำหน้าปัญญา ใช้ปัญญานำหน้าอารมณ์ อย่าใช้อารมณ์นำหน้าปัญญา อย่าใช้ปัญญานำหน้าสติ จะทำให้คิด กระทำ พูดอะไร ก็จะไม่ผิดพลาด

ส่วนท่านใดจะวิจารณ์ติติงก็เป็นสิทธิของแต่ละคน ที่จะมองกันได้หลายแง่ หลายมุมมอง ล้วนไม่อาจหักห้ามได้ แต่อย่าหลับตาวิจารณ์ ในสิ่งที่ไม่ได้พบเห็น ไม่บังควร เสมือนในโลกใบนี้ มีประเทศต่าง ๆ อยู่มากมาย หลายร้อยประเทศอยู่ทั่วโลก ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ บางประเทศบางคนเคยไปเห็น บางคนไม่เคยไปเห็นเลย คนที่ไม่เคยไปในประเทศนั้นจะวิจารณ์ ไม่ควรทำ จะไม่เป็นการชอบธรรม

ถ้าเราจะวิจารณ์ในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เราไม่เคยรู้จัก เราจะแปลภาษาต่าง ๆ ที่เราฟังไม่รู้ในภาษานั้นได้อย่างไร ว่าเขาต้องการอย่างไร ? เขาพูดว่าอย่างไร ? เขาบอกอะไรกับเรา ? เขาปรารถนาอะไร ? บอกความนัยอย่างไร ? เขาต้องการรู้อะไร ?

เมื่อเราฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ภาษาเรา ถ้าเราจะแปลภาษานั้น ๆ ให้คนอื่นฟัง ก็ย่อมไม่ถูกต้องแน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น เราพูดในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนคนอื่นที่เคยพบเห็นมา หากเราวิจารณ์ลงไป ย่อมเป็นความคับแคบในจิตของเราเอง อย่าทำลายโอกาส จงให้โอกาสกับตนเอง ศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความจริงทั้งมวล

ลัก...ยิ้ม 05-07-2010 08:07

อย่างตั้งความหวังจะให้ลูก ๆ ของเราเรียนเก่ง เป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนเพื่อฝึกอ่านเขียน แต่กลับส่งเด็กคนอื่นเข้าเรียนแทน แล้วให้ลูกเราเก่งดังใจนึก ย่อมไม่บังเกิดผลที่ตั้งใจ

โดยกฎธรรมชาติบุคคลใดทำอะไร ย่อมชำนาญได้อย่างนั้น ใครกินคนนั้นอิ่ม คนหนึ่งกิน อีกคนหนึ่งพลอยอิ่มไปด้วยนั้น ย่อมไม่มีในกฎ เด็กคนหนึ่งเรียน เด็กอีกคนหนึ่งจะอ่านออกเขียนได้ ก็ย่อมไม่มีเช่นกัน

หากท่านสงสัย ขอให้เอาตัวของท่าน เข้ามาทดลองด้วยตัวของตัวเอง อย่าอาศัยคนอื่น แล้วมานั่งจินตนาการเอา แล้ววิจารณ์ในทางนิยมชมชอบ ในทางตำหนิติติง ไม่ถูกทั้งสองประการ เพราะนักปราชญ์ย่อมรู้ว่าบุคคลผู้นี้หาได้เป็นบัณฑิตไม่ “ไม่รู้อย่าชี้ นิ่งเสีย ไม่มีใครรู้ว่าเราโง่

ลัก...ยิ้ม 05-07-2010 08:49

หลวงพ่อแสดงอัศจรรย์ ละสังขาร

วันหนึ่งหลวงพ่อไปบอกข้าพเจ้าว่า จะไปสร้างสำนักสงฆ์ที่เขาแหลมติดชายแดนเขมร ให้ไปช่วยหน่อย นัดวันเวลากันแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปตามกำหนด มีชาวบ้านประมาณสิบกว่าคนไปด้วยกัน ถึงบริเวณที่จะสร้างสำนักตามที่ต้องการ หลวงพ่อทำพิธีบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขา ขอพื้นที่ตามประเพณี

เล่ากันว่า ท่านได้นิมิตให้มาสร้างสำนักสงฆ์บริเวณนี้ เพื่อสืบทอดพระศาสนา เป็นการสั่งสมบารมี และบริเวณนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีความเร้นลับซ่อนเร้นอยู่มากมาย จะพาไปดู ให้พักเหนื่อยกันเสียก่อน ทุกคนได้พักกินอาหาร หายเหนื่อยแล้ว

ท่านก็พาเดินไปที่ก้อนหิน ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ นั่นเอง ก้อนหินลูกนั้น ไม่ได้ตันอย่างที่คิด ข้างในกลวง มีรูเป็นช่องเล็ก ๆ คนเข้าไม่ได้ รูกว้างขนาดลูกบาตรพระขนาดใหญ่เล็กน้อย ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปภายในกว้างพอสมควร ก็ไม่เห็นมีอะไร ข้าพเจ้าได้บอกกับหลวงพ่อ หลวงพ่อยิ้มอย่างสงบตามวิสัยของท่าน

ท่านบอกว่า "มี
เป็นเต่าหิน ๒ ตัว (เต่าที่เป็นหิน)" ส่องไฟเข้าไปสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ไม่เห็น หลวงพ่อจึงไปที่ปากปล่องแล้วพูดว่า "ลูกเอ๋ยออกมาให้เขาเห็นกันหน่อย เป็นบุญตา" ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากภายใน มีเสียงดังมาก น่าตกใจ ได้ส่องไฟเข้าไปดู เห็นเต่าเป็นหินจริง ๆ ได้เคลื่อนไหวไปมาที่ปากปล่อง

หลวงพ่อเอามือเข้าไปลูบคลำ พูดคุยด้วยเหมือนสื่อกันได้ เข้าใจภาษาซึ่งกันและกัน ความอยากรู้ จึงยื่นมือเข้าไปจับดู พร้อมส่องไฟเพื่อให้รู้ชัดว่าเป็นอะไร ไม่ใช่เต่าธรรมดา แต่เป็นเต่าหิน ๒ ตัวที่ประหลาด เต่าหินนั้นเคลื่อนไหวได้ หลวงพ่อบอกเป็นกายสิทธิ์อยู่คู่เขาลูกนี้ เขาเป็นเต่าหินแต่มีฤทธิ์ เขาบำเพ็ญบารมีอยู่หลายพันปี *แล้วอยู่เฝ้ารอองค์พระศรีอาริยเมตไตรยพระพุทธเจ้าในอนาคต* อยากได้อะไรให้ขอเอา ได้ดูกันแล้วกลับมายังที่พัก สิ่งที่พบเห็นจะเป็นอะไรก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าเต่าสองตัวนั้นเป็นหินแน่ ได้บอกแล้วแต่ตอนต้น

ลัก...ยิ้ม 06-07-2010 07:56

หลวงพ่อจะปราบพยศในตัวข้าพเจ้า ให้เดินให้ถูกทางที่กำหนดให้ หลวงพ่อจะรู้อะไร ในชะตาชีวิตของข้าพเจ้าก็เหลือจะเดาได้ ความสัมพันธ์อะไรมาจากอดีตก็เหลือจะหยั่งคิดเช่นกัน ข้อเขียนต่อไปจะเปิดเผยให้รู้เป็นขั้นตอน หากติดตามอ่านจนจบกระบวนความ

จากนั้นพวกเราลงมือเตรียมสถานที่ เก็บกิ่งไม้ที่ล้มอยู่เพื่อทำบริเวณให้สะอาด เก็บไม้แห้งมากองรวมกันไว้เป็นกองใหญ่ ตกกลางคืน ขณะที่นั่งพักผ่อนอยู่หลังกินอาหารค่ำแล้ว หลวงพ่อสั่งให้เผากองไม้ที่สุมอยู่ เพื่อให้ได้แสงสว่างและบรรเทาความหนาว แล้วหลวงพ่อได้ขึ้นไปนั่งบนโขดหินที่ยื่นออกมาเหนือกองไฟที่เผาอยู่ด้านล่าง

ในขณะที่กองไฟลุกโชนอยู่นั้น บังเกิดเหตุให้พวกเราตกใจกันจนทำอะไรไม่ถูก สับสนอลหม่านกันทุกคน บ้างร้องไห้ บ้างทรุดตัวลงกับพื้นส่งเสียงเซ็งแซ่ ฟังไม่เป็นภาษา ไม่เว้นตัวข้าพเจ้าเองก็ตระหนกตกใจ สติขาด คุมอารมณ์ไม่อยู่แม้แต่คนเดียว

เมื่อทุกคนค่อยคุมสติได้ ก็มีแต่ความเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ในตัวหลวงพ่อ นั่งดูร่างกายของหลวงพ่อถูกอัคคีเผาไหม้ เห็นน้ำมันเดือด จีวรถูกไหม้ไม่เหลือจนเห็นกระดูกสีขาว เห็นโครงกระดูกสีขาว เห็นโครงกระดูกหลวงพ่อต้องผจญเพลิง เพลิงเผาไหม้ไม่มีเหลือ จากชิ้นใหญ่ กระดูกค่อยเล็กลงจนเป็นผง เราเห็นกันทุกคน

มันเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กองไฟกำลังลุกโชนนั้น หลวงพ่อที่นั่งสมาธิอยู่บนโขดหินที่ยื่นออกมา ได้ตกลงมาในกองไฟกองใหญ่นั้น ไฟเผาไหม้ร่างหลวงพ่อ แต่แปลกไม่ได้ยินเสียงร้องของหลวงพ่อเลย ท่านตกลงมานอนนิ่ง ให้ไฟเผาจนหมดทั้งร่าง

ทุกคนตกใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น เมื่อไฟมอดแล้ว คณะได้ปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะเก็บกระดูกหลวงพ่อกลับไปวัด ทุกคนลงความเห็นว่า ไฟได้ไหม้หลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ทุกคนเห็นด้วยกัน เห็นพร้อมกัน เวลาเดียวกัน จับกลุ่มดูไฟไหม้ร่างของหลวงพ่อด้วยตาของตัวเอง เห็นตั้งแต่ต้น ท่ามกลางและในที่สุดเหมือนกัน จึงลงความเห็นเหมือนกันว่า หลวงพ่อได้มรณภาพในกองไฟแล้วด้วยการตกจากโขดหินสู่กองไฟ สิ้นชีวิตแน่นอน

ไม่มีใครคนหนึ่งคนใดที่จะสงสัยในข้อนี้ มีแต่อาลัย เสียใจ คิดต่าง ๆ นานา หดหู่ในดวงจิต อาวรณ์ เศร้าหมอง ห่วงหา ได้รับความทุกข์กันทุกคน เพราะทุกคนเคารพรัก ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ เมื่อของรักของหวงต้องจากไป ความเสียใจ ความเศร้าโศก เข้ามาครอบงำเป็นธรรมดา เป็นปกติในโลกธรรม เป็นสัจจะของโลกียวิสัยของปุถุชนสามัญ ย่อมไม่มีอะไรแตกต่าง จากอดีตจนถึงปัจจุบันแม้ต่อไปในอนาคต

ลัก...ยิ้ม 07-07-2010 08:04

หากละอัตตาไม่ได้ อนิจจังก็บังเกิด ทุกขังก็ตามมา อนัตตาก็ดับไปเช่นนี้ เป็นอย่างนี้ตลอดไป เวียนว่ายในวัฏฏะตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด กฎแห่งกรรมนั้นมีความยุติธรรม เที่ยงธรรมเสมอภาคกันทุกคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกเพศวัย ต้องพบปะกับทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องมาถึงเราแน่นอน

จึงสมควรเตรียมใจสร้างสติให้เป็นมหาสติ เตรียมตัวเสียก่อน ก่อนจะถึงวันนั้น จะได้ไม่กลัว จะได้ไม่อาวรณ์กับร่างกายที่เราอาศัยเขาอยู่ พร้อมเสมอที่จะไป พร้อมเสมอที่จะอยู่ พร้อมเสมอที่จะพบเหตุการณ์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเราจะไปไหน รู้แต่ว่า เมื่อเราทำดีย่อมรู้ว่าไปภูมิภพที่ดี เมื่อทำไม่ดีไว้ย่อมไปภูมิภพที่ไม่ดี ไปที่ทุกข์ยากลำบากยากเย็นเข็ญใจ ได้รับทุกข์ทรมานแน่แท้

ถ้ารู้อย่างนี้ เราต้องเตรียมตัวเพื่อตาย เรามีทางเลือก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ดีกับชั่วให้เลือกเอา เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่เราจะเรียกหา เมื่อทำดีย่อมไปดี ทั้งในปัจจุบันและอนาคตภพ เมื่อทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ทั้งปัจจุบันภพและอนาคตภพเช่นกัน

ขอจงใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ อย่ามัวหลงผิด “คิดผิด ให้คิดใหม่” ยังไม่สาย เมื่อรูปนี้ยังไม่แตกดับเรียกว่า มัจจุราชยังให้โอกาสอยู่ กำลังเปิดโอกาสให้ คิดได้แล้ว ลงมือปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐาน อย่ามัวรีรอ เงื้อง่าราคาแพงอยู่ ตัดสินใจให้เด็ดขาด จะไปดี ไปไม่ดี แล้วอย่าเสียใจ เราตัดสินชีวิตของเราเอง เลือกทางเดินเอง อย่าโทษผู้อื่น

ปัจจุบันที่เราพบเหตุการณ์ในชีวิตของเรา ล้วนเป็นการแสดงผลกรรมจากอดีตของเราทั้งสิ้น ไม่มีใครกลั่นแกล้งเรา เราสร้างมันมาเอง เราสะสมกรรมดี กรรมชั่วมาเองทั้งสิ้น เมื่อรู้แล้วรีบแก้ไข ไม่มีคำว่า “สายไปเสียแล้ว คนที่คิดว่าสายไปเสียแล้ว คือ คนตายแล้วเท่านั้น เพราะไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา เรียกก็ไม่ขาน วานก็ไม่ทำ หมดเวลาจริง ๆ พึงระลึกเสมอว่า ชีวิตนี้น้อยนัก จะทำอะไรให้รีบทำเสีย จะได้ไม่เสียใจภายหลัง อย่าเรียกหาให้คนอื่นมาช่วย ขอจงช่วยตนเองเถิด จะบังเกิดผลแน่แท้”

ขณะที่พวกเรานั่งรอบกองไฟ ซึมเศร้า เสียใจ รุ่มร้อน อยู่ในใจกันทุกคน หน้าตาแต่ละคนล้วนบอกอาการต่าง ๆ กันอยู่นั้น พวกเราขนลุกขนพองตกใจกันทั่วหน้า ได้ยินเสียงหลวงพ่อถามว่า "ทำอะไรกันอยู่? ร้องไห้ทำไม?" เราเห็นหลวงพ่อลุกขึ้นจากกองไฟที่กำลังมอดลง เหลือแต่ถ่านลุกแดงอยู่ที่ตัวหลวงพ่อ ควันฟุ้งไปทั่วตัว ทุกคนตะลึงกันไปหมด

ได้ยินเสียงจากกองไฟ ร้องไห้กันทำไม? ไม่ต้องเสียใจ? ท่านย้ำอีกครั้ง หลวงพ่อยังไม่ตายหรอก เพียงแต่อยากเผาสังขารเก่าทิ้ง!!! เอาสังขารใหม่กลับมาเท่านั้น !!!

พวกเราต่างเข้ามากราบแทบเท้าของท่าน เมื่อท่านออกจากกองไฟ น่าประหลาดนัก มันเป็นการแก้ความลังเลสงสัย ทิฏฐิมานะในจิตใจของข้าพเจ้า ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด พยศในจิตเริ่มคลาย แม้จะไม่หมดเสียทีเดียว ทั้งนี้เพราะศรัทธาเข้ามาแทนที่ ความลังเลสงสัยอยากพิสูจน์ของข้าพเจ้าให้ลดน้อยลง เบาบางไป ได้สอบถามหลวงพ่อว่า "ทำได้อย่างไร?" ท่านตอบว่า "จะยากอะไร เมื่อฝึกจิตถึงระดับหนึ่ง จิตก็จะมีอิทธิฤทธิ์ ทำได้ทุกคน หากสามารถเดินฌาน ๑-๔ ได้สมบูรณ์ เจริญวสีได้ สร้างความชำนาญในการเดินฌานได้ดีแล้ว ย่อมทำได้เหมือนกันไม่ว่าพระหรือฆราวาส"

ลัก...ยิ้ม 08-07-2010 09:24

ท่านว่า "คนเราอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง ไม่เชื่อ หัวดื้อ เห็นคนอื่นทำได้ แต่ตัวเองไม่ยอมศึกษา มัวแต่เฉยอยู่ ไม่รักตัว มัวแต่มองคนอื่น จับผิดคนอื่นอยู่ ไม่จับผิดตนเอง ยังจะเป็นคนอยู่หรือ?"

ข้าพเจ้าสะดุ้ง เอาเข้าแล้ว ว่าเราแน่ เริ่มดัดสันดานเราอีกแล้วหรือนี่ ได้รำพึงในใจ แต่ก็วางเฉยไม่พูดไม่โต้ตอบ หลวงพ่อท่านจึงกล่าวต่อว่า "อะไร ๆ ในโลกนี้ มีอีกมากที่คนไม่รู้ ค้นไม่พบแล้วยังอวดรู้ การได้ร่ำเรียนมาสูง ๆ แล้วมานั่งทะนง อวดตัวว่าเก่ง ช่างน่าเสียใจจริง ๆ" หันมาถามข้าพเจ้าว่า "จริงไหม" ได้ตอบหลวงพ่อว่า "จริงกระมัง" ท่านหัวเราะแล้วให้ไปพักผ่อน

แต่เห็นท่านนั่งสมาธิอยู่ที่เดิมทั้งคืน นั่งหลับตาไม่ไหวกายแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้านอนอยู่ข้างท่าน นอนไม่หลับ คิดทั้งคืนในสิ่งที่พบเห็น คิดสับสนไปหมด เราอยู่ที่นั่น ๕ คืน ในคืนหนึ่งข้าพเจ้าแอบกระซิบกับหลวงพ่อว่า เคยได้ยินเขาเล่าว่า "พระเก่ง ๆ ท่านไปบิณฑบาตข้าวทิพย์เทวดาจริงไหม?" ท่านตอบว่า "จริง"

ลัก...ยิ้ม 08-07-2010 12:26

หลวงพ่อไปบิณฑบาตข้าวทิพย์

ข้าพเจ้าจึงถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อทำได้ไหม?" ท่านไม่ตอบ เพียงแต่ถามข้าพเจ้าว่า "อยากกินหรือ?" ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "อยากมากเลย จะมีบุญไหมหนอ?" หลวงพ่อท่านยิ้ม ไม่พูดต่อ แต่ท่านบอกว่า "ตัวของข้าพเจ้านั้น ตั้งแต่อดีตชาตินิสัยไม่เคยเปลี่ยน ชอบลอง ชอบแสวงหาสิ่งแปลก ๆ และขี้เกียจปฏิบัติ เที่ยวไปทั่ว หลวงพ่อเที่ยวตามดูแลไม่ไหว" ข้าพเจ้าฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ท่านพูดเป็นปริศนา เพียงแต่เก็บไปคิดอยู่หลายเดือนว่า หลวงพ่อพูดอะไร? หมายความว่าอย่างไร? เก็บไว้ในใจ จะต้องถามให้รู้ให้ได้

ด้วยความฉลาดของหลวงพ่อ ท่านทิ้งข้อคิดไว้ให้เพื่อเป็นหนทางจะชักนำให้ปฏิบัติธรรมต่อไปคือ ค่อย ๆ สร้างศรัทธาทีละน้อย ดูเหมือนว่าหลวงพ่อค่อย ๆ ขัดเกลาจิตใจของข้าพเจ้า อย่างท้าวสามนให้เสนานำดอกกุหลาบแดง ไปล่อให้เจ้าเงาะเข้าเมืองเพื่อเลือกคู่ ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อกระตุ้นความสนใจในตัวข้าพเจ้า ให้ขับพลังตัวนี้ให้ออกมาจากจิตของข้าพเจ้า ให้ฝึกให้ได้ ม้าพยศก็ยังสามารถปราบได้ สามารถฝึกให้ออกศึกได้ เพราะท่านจะคอยติดตาม ตั้งแต่กราบท่านเป็นครั้งแรก มีอุบายอะไรยากจะเดาใจท่าน แต่ท่านเริ่มออกจากวัดมาพักกับข้าพเจ้า ท่านคิดสร้างสำนักในป่าเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ให้ดู

เช้าวันใหม่ รุ่งอรุณตีห้าหลวงพ่อท่านเริ่มห่มจีวร ได้ถามท่านว่า "หลวงพ่อไปไหน?" ท่านตอบว่า "ไปบิณฑบาต" ถามท่านว่า "ที่ไหน? อยู่ในป่าไม่มีบ้านคน" ท่านตอบสั้น ๆ "บนอากาศ" แล้วท่านก็จัดแจงห่มจีวรให้เป็นระเบียบ เตรียมบาตรไว้พร้อม

เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านนั่งลง ที่แปลกเท่าที่สังเกตได้ เช้าวันนั้นชาวบ้านที่ไปด้วยต่างหลับสนิท โดยปกติคืนก่อน ๆ ตีสี่ทุกคนตื่นเตรียมอาหารแล้ว วันนี้หลับสนิทกันทุกคน เว้นข้าพเจ้าที่ตื่นมาคุยกับหลวงพ่อถึงเรื่องต่าง ๆ จิปาถะที่จะพูดคุย ข้าพเจ้าเก็บความสงสัยไว้ในใจ!!!

ลัก...ยิ้ม 09-07-2010 08:11


จากเหตุการณ์เหมือนหลวงพ่อสะกดเอาไว้เช่นนั้นก็ไม่ปาน หลับกันไม่มีใครตื่นเลย หลวงพ่อบอกว่า "รออยู่นี่นะ" พอแสงแดดอ่อน ๆ เริ่มสว่างมาไล่เอาความมืดในบริเวณนั้น ให้ค่อย ๆ หมดไป ชาวบ้านดูเหมือนไม่มีใครตื่นมาเลยสักคน ตื่นขึ้นมารับอรุณ เหมือนทุก ๆ วันที่มาพักแรม คิดในใจเขาคงเหนื่อยทำงานทั้งวันเพื่อสร้างที่พักให้หลวงพ่อ

หลวงพ่อเดินไปข้าพเจ้ามองตาม ตัวหลวงพ่อลอยขึ้นกลางอากาศ ปะทะกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา แสงแดดอ่อน ๆ ยามรุ่งอรุณทำให้เห็นหลวงพ่อชัดเจน ข้าพเจ้ายืนดูด้วยความตะลึง เข่าอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น ก้มลงกราบสามครั้งอย่างไม่รู้ตัว น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ป่าทั้งป่าเงียบสนิท ไม่มีเสียงจักจั่นส่งเสียงร้อง หากไม่เห็นกับตาของตัวเองในขณะที่ตื่นอยู่ ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝันไป จะไม่เชื่อเลยหากใครมาเล่าให้ฟัง แต่นี่ได้เห็น เห็นกับตาจึงต้องเชื่อ อีกไม่นานนักบริเวณที่พักก็สว่างขึ้นตามลำดับ หลวงพ่อกลับมา ข้าพเจ้าก้มลงกราบ ท่านยิ้มด้วยความเมตตา เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาท่าน ท่านไม่ได้พูดอะไร ท่านเปิดฝาบาตรใช้มือหยิบข้าวมาก้อนหนึ่ง

ข้าวก้อนนั้น ขาวนวลเป็นประกาย มีกลิ่นหอมชวนกิน ความหอมสุดจะอธิบายให้เข้าใจได้ มันปีติมากกว่า หลวงพ่อเอาใส่ปากข้าพเจ้า แค่ข้าวเข้าปากมันซ่านไปทั้งตัว หลวงพ่อบอก "กินเสียข้าวทิพย์ เทวดาเขาใส่บาตรมาให้ กินเสียจะได้เป็นยา สุขภาพจะได้ดี จะได้มีโชคลาภ มีปัญญา ผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นที่ได้กินข้าวทิพย์ มีเฉพาะพระอริยสงฆ์เท่านั้นจะได้ฉันในโอกาสสำคัญ ๆ"

ท่านบอก "เทวดาเขาต้องการทำบุญ ต้องการบารมีเช่นกัน" ข้าวก้อนนั้นไม่มาก แต่พอตกถึงท้องก็รู้สึกอิ่มซ่านไปทั้งตัว เหมือนมีความร้อนวิ่งพล่านไปทั่วกาย อาการปวดเมื่อยจากการทำงานหายไปหมดสิ้นและมีกำลังเพิ่มขึ้น เหมือนกินข้าวมาจนอิ่ม ข้าพเจ้าขอดูในบาตร หลวงพ่อบอกว่าหมดแล้ว และหมดจริง ในบาตรว่างเปล่า ความตั้งใจเพื่อขอให้ทุกคนได้กินด้วย เมื่อหลวงพ่อเปลื้องจีวรออกแล้ว ท่านนั่งลง ชาวบ้านซึ่งหลับกันอยู่ต่างตื่นตกใจว่า พากันตื่นสาย คนหนึ่งบ่นว่าหลับไปเหมือนตายกันหมด หลวงพ่อไม่มีอาหารฉัน เรื่องนี้ขอให้ท่านผู้มีใจเป็นกลาง ได้พิจารณาเอาเองเถิด

ลัก...ยิ้ม 09-07-2010 17:26


ครั้งหนึ่งได้ไปกราบหลวงพ่อที่วัด ได้นอนค้างคืนที่วัด ตกกลางคืนข้าพเจ้าได้บอกหลวงพ่อว่า "อยากกินอาหารจากกรุงเทพฯ" หลวงพ่อบอกว่า "ยังจะลองอีกหรือ?" ข้าพเจ้าแก้ตัวว่า "ไม่ได้ลอง! แต่อยากกิน" หลวงพ่อบอกว่า "พรุ่งนี้จะบิณฑบาตมาให้"

วันรุ่งขึ้น เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นมามีอาหารเต็มบาตร เป็นอาหารจากกรุงเทพฯ ทั้งนั้น เพราะอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวายเป็นอาหารพื้นบ้าน ย่อมแตกต่างจากอาหารจากภาคกลาง นี่คือความพยายามของหลวงพ่อ ที่จะแก้นิสัยของข้าพเจ้านั่นเอง

ท่านบอกว่า "คนจะเกลียดเรา ชังเรา รังเกียจเรา จะตำหนิติติงเรา จะอิจฉาริษยาเรา เป็นศัตรูเรา จะรักเรา ชอบเรา เสน่หาหลงใหลเรา เป็นเพื่อนเรา ปรารถนาดีกับเรา ช่วยเหลือเรา ก็อย่าให้เกิดเวทนา (สุข-ทุกข์) เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้มากับเรา ไม่ได้ไปกับเราแม้แต่คนเดียว ความตายย่อมมาถึงแน่ ๆ ถึงทุกคน และต้องไปคนเดียวเหมือนตอนมา มาคนเดียว อะไร ๆ เราก็ไม่ได้เอามา ไม่ได้เอาไปด้วย ทิ้งไว้กับโลกใบนี้ทั้งนั้น แล้วจะมาติดอะไร? หวงแหนอะไร? มีก็สักแต่ว่ามี อย่าทุกข์-สุขกับสิ่งที่ไม่มีสาระ อย่าทรนง อย่าหน้ามืดตามัวกับโลกธรรมอีกเลย"

เมื่อแรกฟังไม่เข้าใจ !!! ได้แต่รับฟัง ทำไม่ได้ ใจไม่รับ ไม่รู้วิธีกำกับจิต ระงับจิต ตัณหามันมีอำนาจครองจิต มีกำลังมากกว่าที่จะฟังเข้าใจ ไม่มีปัญญามองเห็นหลักธรรม

คำที่หลวงพ่อสอนจริงอย่างที่ “พระพุทธองค์ทรงรำพึงเมื่อทรงตรัสรู้วันแรกว่า ธรรมนี้ช่างลึกซึ้งจริงหนอ ละเอียดจริงหนอ บอบบางจริงหนอ ลึกซึ้งจริงหนอ ยากที่จะเข้าถึงได้”

ข้าพเจ้าพบแล้ว พบกับตัวเอง ไม่รับรู้ ได้แต่รับฟัง กว่าจะรู้เข้าใจอย่างแท้จริง เกือบหมดเวลา ต้องต่อสู้ขัดแย้งกับจิตของตนเอง จิตในจิตมันต่อสู้กัน มันรบกัน มันเถียงกัน เอาชนะซึ่งกันและกัน ระหว่างถูกหรือผิด ละวางหรือยึดมั่นถือมั่น กว่าจะเข้าใจจิตของตัวเรา เรามัวแต่เข้าใจจิตคนอื่น ผูกพันกับคนอื่น ทั้งทุกข์แทบตายในบางครั้ง *ทั้งสุข สนุกสนานสุดเหวี่ยงในบางคราว* มันก็เวียนว่ายอยู่เช่นนี้ตลอดมา หากไม่แก้ หาวิธีแก้ตามคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าค้นไม่พบ เราคงต้องอยู่ในกองทุกข์ไปทุกเช้าค่ำตลอดไปเป็นแน่ หากหลวงพ่อไม่เมตตา เราคงไม่เห็นแสงสว่างเลยชั่วชีวิตนี้



:1894c7a1::1894c7a1::1894c7a1::cebollita_onion-17:

ลัก...ยิ้ม 12-07-2010 09:40

*เรามัวหมกมุ่นเมาหนักอยู่ในสาระของโลก อยู่กับรัก โลภ โกรธ หลง มีแต่ตัณหา ราคะ อันเป็นสมบัติของสัตว์โลกเข้าครอบงำ หลงใหลอยู่กับสิ่งที่เราเอาไปไม่ได้* แม้ร่างกายที่เราได้มา แต่ไม่ได้เอาไป ต้องทิ้งไว้กับโลกใบนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ใครทำให้รักก็รัก ใครทำให้เกลียดก็เกลียด ใครทำให้พอใจก็พอใจ ใครทำให้โกรธก็โกรธ เป็นอยู่เช่นนี้ เวียนว่ายอยู่อย่างนี้ มีความต้องการอย่างคนทั่วไป สร้างมันขึ้นมาเอง ตามใจตัวเอง ผิดหวังไม่ได้ดั่งใจก็ปรุงแต่ง คิดทั้งวันทั้งคืน เวลาควรพักก็ไม่ได้พัก คิดจนนอนไม่หลับเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี มันทรมานอยู่อย่างนั้น วันแล้ววันเล่าไม่จบเรื่อง จบเรื่องนี้คิดเรื่องนั้น

“ที่แท้เราโง่จริง ๆ” เพราะเรื่องราวต่าง ๆ หลั่งไหลมาหาเราทุกเวลา จะให้คนทุกคนรักเราหมด ก็ไม่เคยปรากฏมีมาก่อน จะให้ทุกคนเกลียดเราหมด ก็ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในโลกใบนี้ มันจึงยุ่ง เราไม่รู้จักธรรมชาติ ไปยึดธรรมชาติที่เป็นอนิจจังมาเป็นนิจจัง จึงมองไม่เห็น จิตมืดบังจิตให้มัวหมอง จิตนั้นมีแต่ต้องการ ไม่มีที่ไม่ต้องการ จิตมันเห็นตลอดเวลา เห็นคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อยไป แต่ไม่เห็นตนเอง ไม่พบตนเอง ไม่เห็นวิบากกรรมของตนเอง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่พอใจถ้าคนอื่นได้ไปแล้ว ไม่พึงใจโกรธ เกลียด เป็นศัตรูกัน ไม่คบค้ากัน กลั่นแกล้งกัน ประทุษร้ายกัน ขาดความเที่ยงธรรม ขาดเมตตาต่อกัน ขาดการให้อภัยต่อกัน

กลายมาเป็นโรคร้ายในจิต ทำลายความสันติสุขของตนเอง อยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน มีความพิการทางจิต มองทุกอย่างในมุมมองที่เลวร้ายไปหมด คิดคดทรยศต่ออุดมการณ์ ละเลยคุณธรรม ศีลธรรม ลุ่มหลงอยู่ในวัตถุธรรม จนเกิดความวุ่นวายในสังคม รบราฆ่าฟัน แก่งแย่งผลประโยชน์ ขาดความละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรม

นัยว่าตัวเรานี้โชคดี บุญนำพา นำมาให้พบหลวงพ่อ ที่ท่านได้ดัดนิสัยอันเป็นวิสัยสามัญของมนุษย์ ให้ค่อย ๆ หลุดไปจากจิต ให้มีพลังต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำ ที่มีอยู่ในจิตของเราตลอดเวลา ให้ได้พบความจริงตามคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีศรัทธาในคุณงามความดี แม้จะบกพร่องอยู่บ้าง ก็ค่อย ๆ ขัดเกลาให้หมดไป ไม่หมดก็เบาบาง

เพียงเราคิดดี ทำดี พูดดี ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ส่วนใครจะมองดีมองร้าย เราห้ามกันไม่ได้ ดีก็ใช่ใครต้องมาชมเชย ร้ายก็ไม่ใช่ต้องมาตำหนิ มันดีที่ตัวเราเอง ร้ายก็ที่ตัวเราเองทั้งนั้น ทำไมต้องมาทุกข์ติดอยู่กับคนอื่นที่เขาไม่ชอบเรา ไปยุ่งกับเขาทำไม? เราไปหาเองทั้งนั้น ทำไมไม่ไปหาคนที่เขารักเรา เราก็ชอบพอเขา จะได้ไม่ทุกข์ เป็นสิทธิของเราเองจะเลือกคบหาใคร

ลัก...ยิ้ม 12-07-2010 14:12

เราเป็นผู้ตัดสินใจของเราเอง จะเลือกใคร คบใคร ไว้ใจใคร ผลมันตกที่เราทั้งสิ้น แล้วทำไมไม่ตัดสินใจในทางที่ถูกต้อง คบคนที่เขาเข้าใจเรา แม้มีเพียงคนเดียวก็คบแค่คนเดียว มีมากก็คบมาก จงตัดสินใจให้มีเหตุมีผล ให้เด็ดขาดเพื่อให้พ้นทุกข์ ไม่เดือดร้อน คบแล้วเราเดือดร้อน เราแสวงหาความสุขมิใช่หรือ แล้วจะไปหาความเดือดร้อนทำไม? ใครเป็นผู้แสวงหาก็ตัวเราทั้งสิ้น จิตเราเป็นเหตุ ผลมันจึงออกมา

ข้าพเจ้าจึงเขียนหลักธรรมนี้เพื่อบูชาครู ให้ข้อคิดไว้ในโลกใบนี้ จากประสบการณ์ในชีวิตที่ได้พานพบของคน ๆ หนึ่ง ที่ได้โคจรมาท่องในโลกใบนี้ชั่วขณะหนึ่ง อันมีเวลาน้อยนิดก็จะต้องจากไป จะไปไหนเราเป็นผู้ไป เป็นผู้กำหนดด้วยกฎ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ข้าพเจ้าจึงเลือกกำหนด “ทำดีเพื่อไปภพภูมิที่ดี” ปิดประตูอบายภูมิ ไม่ขอไป มันเป็นเส้นทางตามกฎแห่งกรรม จึงขอเขียนถึงเหตุปัจจัย ที่ทำให้ตัวข้าพเจ้ามีดวงตาสว่าง (ตาใน คือ ปัญญา) ต่อไปหากอยากรู้ ก็ให้ติดตามมา ท่านจะได้รู้ว่าโลกใบนี้วิเศษนัก “ข้อเขียนทั้งมวลเขียนจาก การได้พบเห็นบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น ไม่ได้ไปพบที่ไหนเลย

ลัก...ยิ้ม 13-07-2010 08:18

หลวงพ่อช่วยชีวิต

คำว่าหลวงพ่อในที่นี้หมายถึงหลวงพ่อริม รัตนมุนี กลางพุทธศักราช ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าไปหาหลวงพ่อเพื่อบอกกล่าวอำลา เนื่องจากข้าพเจ้าขอย้ายตัวเองไปรับราชการที่จังหวัดชุมพร เพื่ออยู่ใกล้แม่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี เนื่องจากช่วงนั้นทางกรมพลศึกษามีแผนเปิดวิทยาลัยพลศึกษาที่จังหวัดชุมพร จึงสมัครไปบุกเบิกเปิดวิทยาลัยพลศึกษาชุมพร เพราะเคยไปบุกเบิกที่จังหวัดมหาสารคามมาแล้ว ทางกรมพลศึกษากำลังหาคนจึงไม่ขัดข้อง

เมื่อกราบหลวงพ่อแล้วก็ได้บอกจุดประสงค์กับหลวงพ่อ ท่านไม่พูดว่าอะไร นั่งหลับตาอยู่พักหนึ่งประมาณ ๓๐ วินาที บอกข้าพเจ้าว่า "ไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นหรอก จะไปอยู่แถวภาคกลาง จังหวัดอ่างทอง" น่าแปลกกับคำบอกของหลวงพ่อ เพราะเป็นไปไม่ได้ จังหวัดอ่างทองไม่มีหน่วยงานของกรมพลศึกษา ท่านบอกว่า "มี..คอยดูสิ" ข้าพเจ้าบอกว่า "ไม่เชื่อ..จะไปอยู่จังหวัดชุมพร ได้บอกกล่าวท่านอธิบดีกรมพลศึกษาไปแล้ว ท่านไม่ขัดข้อง" หลวงพ่อบอก "ไม่เชื่อไม่ว่า แต่ในเดือนธันวาคม ให้มาอาบน้ำมนต์เสียก่อน ชะตาไม่ค่อยดี อย่าลืมนะ" ข้าพเจ้าบอกท่านว่า "อาบน้ำ ผมอาบเองก็ได้ อาบทุกวันอยู่แล้ว" ท่านจึงหัวเราะพูดว่า "เรื่องดื้อแล้วไม่มีใครเกิน อย่างไรก็ให้มาอาบเสีย"

บอกตรง ๆ ว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อท่าน ทั้งที่ท่านได้เคยแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นหลายครั้ง มีศรัทธาเป็นทุนอยู่แล้ว แต่คำทำนายของท่าน ข้าพเจ้าไม่เชื่อ ตอนนั้นมองตามกระแสโลก และยังไม่ได้ลึกซึ้งในหลักธรรมหลักปฏิบัติ แม้จะปฏิบัติมาแต่เด็ก หลวงพ่อบอกว่า "นอนกับหลวงพ่อสักคืนนะ" แล้วท่านนั่งหลับตา ไม่พูดคุยอีกเลยจนมืด ท่านก็ทำวัตร สวดมนต์ตามปกติ เมื่อจะเข้านอน ท่านเรียกไปหา ลงอักขระให้แล้วบอกว่า "อย่าดื้อนะ..มาให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ จะได้ปลอดภัย" ตอนเช้ากินข้าวแล้วลากลับ

กลางเดือนธันวาคม ขณะที่ข้าพเจ้าเดินผ่านหน้าบ้านอาจารย์ท่านหนึ่ง ภริยาของอาจารย์ท่านนั้น เห็นข้าพเจ้าเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่มีหัวอยู่บนบ่า เดินไปแต่ตัว จึงมาบอก แล้วขอร้องอย่าไปไหน ให้อยู่ภายในบ้านสัก ๗ วัน เมื่อได้ฟังก็ตกใจอยู่เหมือนกัน จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อ ๆ กันมา หากเห็นใครไม่มีหัว บุคคลนั้นจะตายภายใน ๗ วัน นอนคิดทั้งคืน ทั้งกลัวทั้งกล้าสลับกันไปมา ฟุ้งซ่าน ข่มตาหลับไม่ได้ คิดไม่ตกเพราะกลัวตาย แต่ก็ลืมที่หลวงพ่อสั่งให้ไปรดน้ำมนต์เสียสนิท

ลัก...ยิ้ม 14-07-2010 08:17

ตอนเช้าตัดสินใจลาป่วยเพื่อลงกรุงเทพฯ ตั้งใจจะไปกราบแม่สักครั้ง แม่ลงมาอยู่กับพี่สาว ถึงจะตายก็ตาย ขอกราบแม่ก่อน คิดได้เท่านั้น ตอนนั้นได้ซื้อรถเก่า ๆ ไว้ใช้คันหนึ่ง ก็ขับเข้ากรุงเทพฯ ถึงบ้านค่ำพอดี เข้าบ้านอาบน้ำแล้วกราบแม่ แต่ไม่พูดอะไรเข้าห้องนอนทันที

แต่พอเปิดประตูเข้าห้องนอนข้าพเจ้าลมแทบใส่ หลวงพ่อมานั่งอยู่บนเตียง ท่านบอกว่า "เข้ามาสิ" แล้วยิ้ม ข้าพเจ้าก้มลงกราบท่าน ถามท่านว่า "มาได้อย่างไร?" ท่านยิ้มไม่ตอบ จึงถามต่อ "หลวงพ่อรู้จักบ้านได้อย่างไร? มาอย่างไร? ใครพามา? มาทำไม? มารถอะไร? พบใครบ้างในบ้าน? รู้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามากรุงเทพฯ?" คำถามไหลออกมามากมาย

แต่ท่านไม่ตอบ ท่านจับหัวของข้าพเจ้าลงอักขระเหมือนเดิม พร้อมเป่าหัวให้ แล้วบอกว่า "ไม่ตายแล้ว แต่จะเสียเงินหน่อย อย่าเสียดาย ให้ไปอาบน้ำมนต์ก็ไม่ไป" ข้าพเจ้าปลื้มปีติ น้ำตาไหลตลอดเวลา กอดหลวงพ่อเอาไว้เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่กอดพ่อแม่ ได้เวลาหลวงพ่อบอกว่าจะกลับแล้ว

หลวงพ่อได้ให้ไม้จารอักขระ บอกว่า "ให้เก็บเอาไว้ จะได้เชื่อว่า หลวงพ่อมาจริง" แล้วท่านก็เดินออกจากห้อง ข้าพเจ้าเห็นท่านเดินออกจากประตูห้องโดยไม่ได้เปิดประตู หายไปในอากาศ ข้าพเจ้าวิ่งออกมาดู ถามแม่ที่นั่งอยู่ว่า "เห็นพระเดินออกมาจากห้องไหม?" แม่บอกว่า "ไม่เห็น"

ทำความประหลาดใจให้ข้าพเจ้าไม่น้อย เพราะที่เห็นนั้นตัวจริง จับต้องได้ พูดคุยได้ ลงอักขระตามปกติ ทั้งได้กอดท่านด้วย ไม้จารก็ยังอยู่ในมือของข้าพเจ้า ไม่ได้ฝันไปเพราะยังไม่ได้เข้านอน ยังเดินอยู่ ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ครบทุกประการ

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! มีอะไรเกิดขึ้น! เราได้นอนคิด เราจะไม่ตายจริงหรือ? แต่ก็ต้องบอกว่าจริง!!! ไม่เช่นนั้น ข้าพเจ้าคงไม่สามารถมาเขียนเรื่องให้ได้อ่านกัน เพื่อเตือนสติว่า อย่าประมาท ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอบนโลกใบนี้

ลัก...ยิ้ม 14-07-2010 12:06

ตอนเช้าได้ขับรถออกไปถนนจรัลสนิทวงศ์ เกิดหิวน้ำ จอดรถข้างทางจะลงไปซื้อน้ำดื่ม เปิดประตูไม่ได้ดูด้านหลัง รถสิบล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูง เฉี่ยวเอาประตูรถหลุดไปทั้งแผง ! หากหดมือไม่ทันคงจะเอามือไปด้วย หากก้าวลงก็คงจะตายด้วยรถสิบล้อคันนั้น คนที่อยู่บริเวณนั้นร้องเสียงหลง ! ตัวเราเองก็ตกใจ ! ทำอะไรไม่ถูก ! รถสิบล้อลงมาถามว่า "เป็นอะไรไหม ? เอาเรื่องไหม ?" ตอบว่า "ไม่เอาเรื่อง ไปเถอะ" นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่าต้องเสียเงิน ก็เสียจริง ๆ ซ่อมรถไปหมื่นกว่าบาท

อยู่กับแม่ครบ ๗ วัน ก็เดินทางกลับจังหวัดมหาสารคาม ไปถึงตอนเย็น หลวงพ่อก็ไปถึงเช่นกัน ห่างกันไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ท่านมาจัดพิธีต่อชะตาของข้าพเจ้าตามแบบของหลวงพ่อ ให้นอนคลุมผ้าขาวเหมือนคนตาย ท่านจุดเทียนรอบตัว โปรยข้าวตอกดอกไม้ หลวงพ่อสวดไปโปรยไป เสร็จแล้วท่านให้กลับหัวนอน กลับหมอน ท่านก็สวดพร้อมโปรยข้าวตอกดอกไม้เหมือนเดิม ท่านใช้ธนูที่ท่านทำมา ใช้ลูกดอกที่ปลุกเสกมาแล้ว ยิงใส่ข้าพเจ้า ๓ ดอก เสร็จแล้วท่านก็อาบน้ำมนต์ให้

หลวงพ่อนอนค้างอยู่กับข้าพเจ้า ๕ วัน ท่านเมตตาอาบน้ำมนต์ให้ทุกวันเช้าและเย็น ผ่านพ้นจากวิกฤตชีวิตไปด้วยการช่วยเหลือจากหลวงพ่อ

ลัก...ยิ้ม 15-07-2010 08:57

คำทำนาย

ตอนต้นได้บอกไว้แล้ว หลวงพ่อบอกว่าจะไม่ได้อยู่จังหวัดชุมพร แต่จะไปอยู่จังหวัดอ่างทอง ในเดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ อธิบดีกรมพลศึกษาเรียกข้าพเจ้าไปพบ บอกว่าจะเปิดวิทยาลัยพลศึกษาใหม่อีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดอ่างทอง ไม่มีคน

ข้าพเจ้าขนลุก นึกถึงคำหลวงพ่อแม่นยำ เป็นจริงตามคำทำนายทุกประการ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีแผนมาก่อน ผู้ใหญ่ขอร้อง เราจึงต้องรับปาก จึงได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง มาดำเนินการบุกเบิก สร้างวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดอ่างทอง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาจังหวัดอ่างทอง จริงอีกเช่นกันตามคำของหลวงพ่อ อยู่จังหวัดอ่างทองจะได้เป็นใหญ่ที่นี่

และในปีที่ห้าผู้อำนวยการสมัยนั้นต้องย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่วิทยาลัยพลศึกษาแห่งอื่น ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท แต่มีเหตุการณ์ประหลาด มีเสียงมากระซิบข้างหูว่า "อย่าเพิ่งไปศึกษาต่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง" หากไปศึกษาต่อจะเสียโอกาส

ด้วยความอยากพิสูจน์ความจริง จึงตัดสินใจไม่ไปศึกษาต่อ ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการย้าย ก็ไม่ได้แต่งตั้งใครมาเกือบเดือน มีคนหลายคนวิ่งเต้นเอาตำแหน่ง ล้วนเรียนกันสูง ๆ ทั้งนั้น จบจากต่างประเทศก็มี แต่ในที่สุดก็แต่งตั้งข้าพเจ้าขึ้นรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการ โดยไม่ได้วิ่งเต้นขอใคร นับว่าหลวงพ่อได้ทำนายไว้อย่าง แม่นยำจริง ๆ น่าทึ่งมาก นอกจากนี้ ท่านยังบอกกล่าวอะไรไว้มากมาย ก็เป็นไปตามคำพูดของท่านทุกอย่าง

ลัก...ยิ้ม 15-07-2010 15:58

ลาหลวงพ่อไปอยู่จังหวัดอ่างทอง

ได้รับคำสั่งให้ไปอยู่จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อบอกไม่ต้องมาลาหรอก หลวงพ่อจะไปส่งและจะไปอยู่ด้วย ๓ พรรษา ให้หาวัดให้ท่านอยู่ใกล้ ๆ ข้าพเจ้าดีใจมาก

วันเดินทาง หลวงพ่อได้ร่วมเดินทางไปส่งข้าพเจ้าจริง ๆ จึงได้จัดวัดให้ท่านได้จำพรรษา อยู่หน้าวิทยาลัยพลศึกษานั่นเอง ท่านอยู่อบรมสั่งสอนธรรมให้ข้าพเจ้าตลอด ท่านจะจำวัดที่วัดบ้าง ที่บ้านของข้าพเจ้าบ้างตามโอกาสของท่าน หลวงพ่อจะรักเมตตาต่อข้าพเจ้ามาก

ทุกวันทุกคืน ถ้ามีเวลาว่างจะคุยหลักธรรมกับหลวงพ่อตลอด เรื่องที่ท่านพบในนิมิต เรื่องจริงที่ท่านท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ทุกภูมิภาค สนุกมากทุกเรื่อง ท้าทายต่อการพิสูจน์หาความจริง หากมีเวลาจะเขียนเล่าให้ฟังในตอนหลัง ที่เขียนนี้ จะเขียนเฉพาะที่ได้พบเห็นด้วยตนเองเท่านั้น

ท่านพร่ำสอนหลักธรรมขององค์พระบรมครู เฝ้าจับตามอง คอยระวังไม่ให้เดินทางผิด คอยประคับประคองสำแดงอานุภาพจากอภิญญาธรรม ที่ท่านพร่ำเรียนเพียรภาวนาอยู่ตามป่าเถื่อนถ้ำ ได้ต่อสู้กับจิตของตนเอง แทบจะล้มเลิกความเพียรต่อสู้กับความทุกข์ยากลำบากกาย ลำบากใจ ผจญอันตรายนานาชนิด ทั้งไข้ป่า สิงห์สาราสัตว์ ภูตวิญญาณร้ายต่าง ๆ ผู้คนคิดร้ายจากผู้ไม่มีศาสนาในป่าดงดิบ

ท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง พร้อมกับตอกย้ำข้าพเจ้าว่า "อย่าท้อถอย อดทนต่อการทำคุณงามความดี ไม่ต้องลงทุนทรัพย์ซื้อหา ให้ทำที่ใจแล้วจะออกมาที่กายเอง ใจคิดดี กายก็จะทำดี มันเป็นเช่นนี้"

ลัก...ยิ้ม 15-07-2010 16:23

"ขอให้ตั้งใจอย่าท้อถอยเท่านั้น ให้ซื่อสัตย์สุจริต รักประเทศชาติ รักเพื่อนมนุษย์ กตัญญูต่อผู้มีคุณ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ทำให้ได้ ฝึกบำเพ็ญภาวนา พัฒนาจิตของตนเองให้พ้นจากความเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกให้สิ้นเชิง ให้รักษาใจให้เที่ยงตรง อย่าตกภายใต้อำนาจฝ่ายต่ำคือกิเลสตัณหา ชีวิตจะปลอดภัย" เป็นคำสอนง่าย ๆ ของหลวงพ่อ

ลัก...ยิ้ม 16-07-2010 07:18

หลวงพ่อสำแดงฤทธิ์

คืนหนึ่งเวลาประมาณสามทุ่มเศษ ข้าพเจ้ากลับเข้าบ้านพัก ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ในห้องพระ คิดว่าใครมาหาหลวงพ่อ จึงเปิดประตูเข้าไป ภาพที่อยู่เบื้องหน้าไม่มีใครมาหาหลวงพ่อ แต่มีหลวงพ่อนั่งอยู่ ๓ รูป รูปร่างหน้าตาเหมือนฝาแฝด ๓ รูป ข้าพเจ้าตื่นตกใจ เห็นทุกองค์ยิ้มให้ หลวงพ่อบอก "เข้ามาสิ ปิดประตูด้วย"

พระที่นั่งอยู่ทั้งสามหน้าตาเหมือนกัน แต่ห่มจีวรต่างสีกัน องค์กลางห่มจีวรสีเหลืองสังฆาฏิสีเหลือง(องค์จริงหลวงพ่อ) องค์ที่นั่งทางขวามือห่มจีวรสีเขียวสังฆาฏิสีเขียว องค์ที่นั่งอยู่ทางซ้ายห่มจีวรสีม่วงสังฆาฏิสีม่วง แปลกมาก!!! หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรง หลวงพ่อบอกว่า "ตกใจหรือ ? เข้ามากราบหลวงพ่อสิ"

ข้าพเจ้าก้มกราบ ๙ ครั้ง องค์ละ ๓ ครั้ง หลวงพ่อปฏิบัติเช่นเดิม ลงอักขระเป่ากระหม่อม แล้วองค์ทางขวามือ องค์ทางซ้ายมือก็ทำเช่นกัน แต่พลังแตกต่างกัน มีพลังร้อน พลังเย็น และเป็นแสงที่ร้อนเหมือนเดินผ่านกองไฟ ที่เย็นก็เย็นเหมือนอยู่ในห้องแช่เย็น ที่เป็นแสงก็เป็นแสงสว่างทั้งกาย น่าอัศจรรย์จริง ๆ ที่ได้พบ

เหตุการณ์เช่นนี้ ขอเน้นอีกครั้งเหตุการณ์เช่นนี้ หากใครมาเล่าให้ฟัง คิดว่าคงไม่เชื่อแน่เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะให้เชื่อได้อย่างไร แต่นี่เห็นกับตาของตัวเอง ซ้ำยังจับต้องท่านได้เป็นเนื้อหนังมังสาของคนธรรมดา ทั้งพูดคุยได้ ทำกิจกรรมได้ พูดเสียงก็เหมือนเสียงหลวงพ่อทุกประการ แตกต่างที่พลังจิตเท่านั้น หลวงพ่อบอก "อย่าตื่นเต้นเลย อยากเห็นไม่ใช่หรือ ? นี่แหละอย่าประมาท"

*ในโลกนี้มีอะไรมากกว่านี้อีกมากมาย* หากท่านผู้อ่านข้อความนี้ได้พบเห็น ท่านจะคิดอย่างไร? ท่านจะคิดอะไร? โปรดพิจารณาดูในจิตของท่านเอง เมื่อพูดคุยกันไป ทั้งสามองค์สอนหลักธรรมอันพิสดาร ให้ศีลให้พรเสร็จแล้ว องค์หลวงพ่อที่อยู่ทางขวาและซ้ายมือ บอกข้าพเจ้าว่า "จะกลับแล้ว" ข้าพเจ้าก้มลงกราบ

รูปที่เคยปรากฏต่อหน้าต่อตาของข้าพเจ้า ค่อย ๆ เลือนหายไป จีวรทั้งสองสีคือสีเขียวกับสีม่วงกองอยู่กับพื้น หลวงพ่อจึงบอกว่า "พับเก็บเอาไว้สิ จะได้เป็นอนุสรณ์ จะมีประโยชน์ในวันข้างหน้า" ซึ่งหลักฐานจีวรยังอยู่กับข้าพเจ้าได้ใส่พานบูชาไว้

ลัก...ยิ้ม 16-07-2010 17:51

เรื่องนี้เหลือเชื่อจริง ๆ แต่บังเกิดกับข้าพเจ้าจริง ๆ เช่นกัน แสดงให้เห็นว่า จิตที่ฝึกฝนดีแล้วจนบังเกิดอภิญญา แล้วก็จะสามารถแสดงอภิญญาได้ นั่นเป็นความจริง

อย่างเช่น พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วเสด็จลงทางบันไดแก้ว มีเทวดามาส่งเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ พระองค์ได้แสดงฤทธิ์เปิดให้มนุษย์และเทวดามองเห็นกันได้เป็นต้น

ในปัจจุบัน หลวงพ่อยังแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ จะไม่เชื่ออย่างไร? ท่านตอบว่า "ไม่ยากเย็นอะไร เพียงเล่นแร่แปรธาตุ กำหนดธาตุทั้ง ๔ ได้ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เจริญกสิณฌานจนบังเกิดวสี โดยกำหนดกสิณธาตุก็ทำได้แล้ว" อย่ากลัวเลยทุกคน ฝึกจนถึงที่สุดแล้วก็ทำได้ทั้งนั้น

ดูทีวีสิ ทำได้อย่างไร? วิทยุ ดาวเทียม ทำได้อย่างไร? ภาพลอยมาจากไหน? เมื่อมีเครื่องส่ง ก็ต้องมีเครื่องรับ ไม่มีเครื่องรับก็ลอยอยู่อย่างนั้น จริงไหม? ท่านบอกข้าพเจ้าสร้างเครื่องรับสิ เหนือกว่าเครื่องรับทีวี เครื่องทีวีเป็นของหยาบ ก็ได้หยาบ ๆ

แต่เครื่องรับในจิตเป็นของละเอียด รับภาพจากอดีตของทุกคนตามกระแสกรรม รับภาพจากปัจจุบันอันเป็นผลจากอดีตมาสู่ชีวิตเรา รับภาพในอนาคตอันเป็นผลของปัจจุบัน เครื่องรับในจิตจะรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของบุคคลได้ เพียงแต่เราสร้างพลังอำนาจจิตให้ได้เท่ากันหรือรู้จักกฎหรือไม่?

เหมือนผู้รู้จักกฎของเครื่องรับส่งทีวี หากปฏิบัติตามกฎได้ก็จะปรากฏได้ หากค้นพบเพิ่มก็จะมีวิวัฒนาการก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ หากใครสามารถค้นพบกฎต่าง ๆ ในธรรมชาติ ก็จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ มาสร้างความสนุกสนาน ทำให้หลงใหลในวัตถุจนลบกฎธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนของจิต ที่ทำได้มากกว่า รู้ได้มากกว่า มีประโยชน์มากกว่า สามารถสร้างสันติธรรมของโลกได้ สันติสุขทั้งมวลมนุษยชาติให้บังเกิดขึ้น โลกจะน่าอยู่ น่าชื่นชมมากขึ้น น่าศึกษา น่าทดลอง แต่ก็ถูกปฏิเสธเสียก่อน น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสพบมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ ที่ได้สร้างมหาบุรุษเอกของโลก คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก ทั้งบังเกิดผู้มีความรู้ ความสามารถอีกไม่น้อย สร้างนักบริหารที่เก่งกล้ามาแล้วเหลือคณานับ

ทั้งสร้างบุคคลผู้ทำลายล้างสันติของโลกอย่างมากมาย มีทั้งดีและไม่ดีผสมปนเปกันไป น่าที่จะเป็นแบบให้เลือกสรร แยกแยะอะไรดีจากบุคคลที่ดี สร้างประโยชน์สุขให้กับสังคม เหมือนใช้ตะแกรงร่อนเม็ดทราย หาทรายที่ต้องการ มีคำกล่าวที่ว่า “สิ่งแวดล้อมมันเน่า บัวที่ไหนเล่าจะโผล่” ในตัวเราก็ดี สังคมชุมชนก็ตาม หากมีแต่สิ่งไม่ดี สังคมชุมชนนั้นจะไม่ดีมีแต่ความเดือดร้อน หวาดระแวง ความสงบก็จะไม่เกิด หากตัวเราเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมภายในจิต ที่ถูกกามคุณทั้งห้าครอบงำ มีนิวรณ์ห้าเข้าครองจิตแล้ว จะค้นพบความสุขนั้นหาไม่ได้เลย หาไม่พบหรอก

เมื่อจิตมันมืดมัว เศร้าซึม หมกอยู่กับกิเลส ตัณหา ราคะ สติไม่แข็งพอ มันแข็งเหมือนกัน แต่แข็งอยู่เป็นสหชาติกับจิตที่มัวเมา เลยเมาอารมณ์ทั้งวันทั้งคืน สิ่งแวดล้อมในจิตไม่ดี ความคิดก็ย่อมไม่ดี กลายเป็นภัยต่อตัวเองต่อสังคมไปเรื่อย ๆ หากเราช่วยสังคมไม่ได้ ขอให้ได้ช่วยตัวให้พ้นจากบ่วงกรรมทั้งหลาย อย่างน้อยก็ทำความสุขให้ตนเอง ก็ประเสริฐแล้ว คิดได้แค่นี้ก็พ้นอบายภูมิแน่นอน

ลัก...ยิ้ม 19-07-2010 11:14

เริ่มคิดเดี๋ยวนี้ ก็จะลดความผิดพลาดให้น้อยลง เตรียมตัวพร้อมเสมอจะผจญปัญหาอุปสรรคในชีวิตของเรา ที่จะมีมาอย่างไม่ขาดสาย ต้องสร้างสติให้เกิดปัญญา ให้สติเป็นมหาสติเพื่อให้ปัญญานั้นสุขุม รอบคอบ แก้ไขเหตุการณ์ได้อย่างฉลาด

พึงระลึกอยู่เสมอว่า “ปัญหา คือ สิ่งที่รอการแก้ไข” ผู้ฉลาดจะแก้ไขด้วยปัญญา ผู้เขลาขาดความฉลาดก็จะแก้ไขด้วยอารมณ์ จะมีความแตกต่างกันอย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหา ปัญหาของแต่ละคนจะมีความหลากหลาย กระแสของปัญหามีความแตกต่างกันไป

*ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นหากไม่ถูกกับจริตก็จะไม่พอใจ ไม่ชอบใจ แล้วด่วนตัดสินใจ ไม่ได้ตั้งสติ รับอารมณ์นั้นมาอย่างรวดเร็ว จนเราตั้งตัวไม่ติด ตรงกันข้ามหากเราถูกจริต เราก็ชอบใจ จะไม่กลั่นกรองถูกหรือผิดเช่นกัน แล้วตัดสินใจถูกหรือผิดเอาเอง* ไม่คำนึงถึงความจริงใด ๆ ทั้งสิ้น ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินใจ

จึงบังเกิดความขัดแย้งก่อตัวเป็นศัตรูต่อกัน คิดทำร้ายซึ่งกันและกัน เอารัดเอาเปรียบ ใช้เล่ห์กลเอาชนะกัน จนเกิดความแตกแยกเป็นวงกว้าง ต่างหาพวกเข้าร่วมต่อสู้กันทุกรูปแบบ ทั้งทำร้ายทั้งร่างกาย จิตใจ แย่งผลประโยชน์ ทั้งความคิดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ สันติจึงไม่มี ความแตกแยกปรากฏก่อรูปอย่างเห็นได้ชัด

แล้วตัวเราจะคิดอย่างไร? ทำอย่างไร? อยู่อย่างไร? แก้ไขอย่างไร? เรามีสิทธิในการตัดสินใจ ตกลงปลงใจด้วยตัวเราเอง จะใช้ปัญญาหรือจะใช้อารมณ์ตัดสินใจ ผลที่เกิดก็จะได้กับตัวเราเองทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม 20-07-2010 09:40

อุปสมบทในโลกทิพย์

วันหนึ่งในตอนเย็น ได้ปูเสื่อนั่งสนทนาธรรมอยู่กับหลวงพ่อ คุยกันอยู่หลายเรื่อง ด้วยความอิ่มเอิบในดวงจิต มีความเยือกเย็นสบายใจเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อท่านพร่ำสอนเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอย่างสนุก

ข้าพเจ้าจึงบอกหลวงพ่อว่า “อยากไปเที่ยวข้างบน สวรรค์มีจริงไหม? สวรรค์ที่เป็นวัตถุ” หลวงพ่อบอกว่า “มี อยากไปก็จะพาไป คืนนี้ให้อาบน้ำ ทำตัวให้สะอาด นุ่งขาวห่มขาวให้เรียบร้อย จะพาไปเที่ยว” หลวงพ่อบอกเช่นนั้น ข้าพเจ้าดีใจมาก ทั้งตื่นเต้นจะได้ไป รอเวลาด้วยใจจดใจจ่อ เร่งเวลาให้มืด รีบอาบน้ำ แต่งตัวรอให้ถึงเวลาที่จะได้ไปเที่ยวกับหลวงพ่อ

เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่มเศษ หลวงพ่อก็ชวนเข้าห้องพระ จัดที่ให้เรียบร้อย ท่านบอกให้นั่งสมาธิอยู่ด้านหลังของท่าน ให้เอามือขวาจับชายสังฆาฏิของท่านไว้ สั่งไว้ว่า “เกิดอะไรขึ้น อย่าตกใจกลัว ให้ปล่อยจิตวางเฉย” เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ท่านก็เริ่มจุดเทียน ธูป ท่านเข้าสมาธิ ข้าพเจ้าทำตาม

พักหนึ่ง เห็นตัวเราลอยขึ้นข้างบน มือเกาะชายสังฆาฏิของหลวงพ่อไปยืนอยู่บนอากาศ มองมาข้างล่างเห็นบ้านเรือน เห็นไฟฟ้าสว่างตามถนน เหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินอย่างไรก็อย่างนั้น เพียงแต่เท้าของเรายืนบนอากาศเท่านั้น ตอนต้นก็เสียวกลัวเล็กน้อย ท่านเตือน “อย่ากลัว ไปกันได้แล้ว” ท่านจับมือข้าพเจ้าพาลอยไปข้างหน้า

ไปหยุดที่สถานที่แห่งหนึ่ง ที่ไหนไม่รู้! ที่นั่นเป็นสถานที่ร่มรื่น มีแสงสว่าง แต่ไม่ร้อนไม่หนาว บริเวณสวยงามด้วยดอกไม้ พรรณไม้ต่าง ๆ ถูกจัดไว้เป็นระเบียบ เหมือนถูกออกแบบไว้ด้วยนักตกแต่งสวนชั้นเลิศ ดูไปทางไหน ก็สวยงามไปหมด มีกลิ่นหอมจากดอกไม้ ราวกับว่าภายในสวนถูกฉีดด้วยน้ำหอมราคาแพงอย่างนั้นทีเดียว ต้นไม้ใบไม้สีเขียวสด ดอกไม้หลากพันธุ์ต่างสีเสมือนหนึ่งว่าเป็นแดนสุขาวดี จิตใจเบิกบานมีความสุขอย่างประหลาด ได้เพ่งมองออกไปรอบ ๆ หลวงพ่อไม่สนใจความแตกตื่นของข้าพเจ้า ท่านปล่อยให้ดูไปรอบ ๆ จนพอแล้ว ท่านจึงพาเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ

ได้พบสระน้ำใสสะอาดเป็นประกายเหมือนเกล็ดเพชร ขอบสระประดับด้วยดอกไม้ รอบ ๆ มีดอกไม้นานาชนิด ออกดอกทุกต้น มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ กลางสระมีศาลายอดแหลมแบบปราสาท ไม่มีผนังกั้น เป็นแบบโล่ง ๆ ศาลาสร้างแบบจตุรมุขทำด้วยแก้วใสทั้งหลัง ส่องประกายเมื่อต้องแสงสว่าง สวยละลานตา นึกในใจเป็นบุญจริง ๆ ที่ได้ขึ้นไปเห็น แต่ใจหนึ่งคิดว่า ไม่จริงอาจจะฝันไป ได้ถามหลวงพ่อว่า “ศาลาอะไร? ใครสร้าง?” ท่านตอบว่า “ชื่อศาลาสุธรรมา ถูกเนรมิตขึ้นด้วยผลบุญขององค์สักกะอมรินทร์” ข้าพเจ้าจึงจดจำไว้ตามที่หลวงพ่อบอก


:6f428754::6f428754:

ลัก...ยิ้ม 21-07-2010 11:06

ท่านพาเดินไปอีก พบปราสาททำด้วยทองคำ ลวดลายสวยงาม ส่องประกายท้าทายสายตาของเราอยู่ ปราสาทมีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน มีทางเข้า ๔ ทางเช่นกัน หลวงพ่อพาไปทางด้านทิศเหนือ แล้วบอกให้เข้าไป

แต่ที่แปลกคือ ปราสาทหลังนี้มีผ้าผืนใหญ่คลุมเอาไว้ ประตูที่ทำด้วยแผ่นหยกปิดสนิท รอบ ๆ ระเบียงมีลวดลายที่มองไป จะเห็นภาพเขียนเหมือนวัดพระแก้ว(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) แต่ภาพนั้นเป็นอะไรไม่รู้ เพราะไม่ได้เข้าไปดูใกล้ ๆ

หลวงพ่อบอกว่า “เข้าไปในปราสาทสิ” ข้าพเจ้าบอกว่า “เปิดประตูไม่ได้ ประตูปิด ผ้าก็คลุมอยู่” ท่านบอก “เอาผ้าออกสิ ประตูก็จะเปิด” ข้าพเจ้าบอกว่า “เอาออกไม่ได้ ผ้าผืนใหญ่เหลือเกิน” ผ้าที่คลุมอยู่นั้นทำด้วยใยแก้ว

จึงถามหลวงพ่อว่า “เป็นปราสาทของใคร ?” ท่านบอกว่า “เจ้าของไม่อยู่ จึงถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าใยแก้ว รอเจ้าของกลับมา” ถามว่า “ใครเป็นเจ้าของ ?” หลวงพ่อเฉยไม่ตอบ แต่กลับบอกว่า “ถ้าใครเป็นเจ้าของ กระทำทักษิณาวรรตสามรอบ ผ้าคลุมและประตูจะเปิดออก หากไม่ใช่เจ้าของก็จะไม่เปิด ลองดูไหม ? กระทำทักษิณาวรรตสามรอบดู รอบแรกให้สวดพระพุทธคุณ รอบสองให้สวดพระธรรมคุณ รอบสามให้สวดพระสังฆคุณ ลองดูสิ

ลัก...ยิ้ม 22-07-2010 10:36

ข้าพเจ้ากระทำการเวียนสามรอบปราสาททองคำตามคำบอกของหลวงพ่อ ครบสามรอบมายืนเคียงข้างหลวงพ่อ ปรากฏว่าผ้าใยแก้วค่อย ๆ เปิดออกหายไปในอากาศ พร้อมบานประตูก็เปิดออกทั้ง ๔ ด้าน

มองเข้าไปข้างในสว่างไสว มีประกายแพรวพราวไปหมด มองเห็นบัลลังก์เหมือนที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ยกสูงเป็นบัลลังก์แก้ว ด้านบนมีฉัตรทองคำ มันสวยเหลือคำบรรยายจริง ๆ!!! ใครอยากรู้ว่าสวยอย่างไร!!! ต้องขึ้นไปดูเอง จึงจะตอบได้ว่าสวยอย่างไร? สวยแค่ไหน? วิจิตรตระการตาอย่างไร?

หลวงพ่อบอกต่อไป "เข้าไปชมในปราสาทเสีย" ท่านพาเดินเข้าไป ท่านยืนนิ่ง บอกให้ข้าพเจ้า "ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์" ข้าพเจ้ายืนเฉย ไม่กล้าขึ้นไป ท่านบอกแบบดุ ๆ "ให้ขึ้นไป" จึงเดินขึ้นไปนั่ง มีเสียงมโหรีประโคมดังไพเราะมาก เมื่อเสียงประโคมหยุดลง

หลวงพ่อบอกให้เอาน้ำในคนโฑ ที่วางอยู่ทางขวามือกรวดน้ำให้สัตว์โลก เมื่อข้าพเจ้ายกคนโฑน้ำขึ้น ก้มลงไปดูที่พื้นที่วางเท้าทั้งสองเห็นมีช่องสี่เหลี่ยม มองลงไปเห็นบ้านเมืองในโลกมนุษย์ คนเดินกันพลุกพล่าน ทำมาหากินกันตามปกติ เห็นรถวิ่งตามถนน เห็นการดำเนินชีวิต ความสับสนวุ่นวาย มองเห็นหมดทั้งการทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งทำมาหากิน เหมือนชีวิตปกติประจำวันที่เราพบกันทุกวัน

ตื่นตาตื่นใจ สับสนในจิต ตอนนั้นมีความรู้สึกค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ถามตัวเองว่า "นี่อะไรกันแน่! จริงหรือฝันไป!" ตั้งใจว่ากลับลงมา จะถามไถ่หลวงพ่อดู

จึงกำหนดจิตกรวดน้ำลงมาตามช่วงที่มองเห็น ภาพในโลกมนุษย์ ขณะที่น้ำหยดลง มีเสียงมโหรีดังก้องพร้อมทั้งเสียงสาธุ ดังลั่นจากหมู่เทวดาที่รับส่วนอานิสงส์แห่งบุญที่กรวดน้ำให้ แต่ก้มมองดูหมู่มนุษย์ กลับไม่รู้ไม่เห็นส่วนบุญนั้น ต่างเฉยเมยเพราะไม่รู้ไม่เห็น จึงไม่รับ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เทน้ำลงมานั้น น้ำนั้นส่งกลิ่นหอมกระจายฟุ้งไปทั่วด้วยอำนาจบุญ ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า ผลบุญนั้นมีกลิ่นหอมกระจายฟุ้งไปทั่ว แต่มนุษย์ไม่ได้กลิ่นจึงไม่รับ น่าเสียดายนัก เทวดาจึงรับรู้ส่วนบุญทุกครั้ง

ลัก...ยิ้ม 23-07-2010 09:47

ข้อสังเกต ก่อนจะเขียนต่อไปเพื่อเป็นการเตือนใจให้คิด ในการแผ่อานิสงส์บุญนั้น มีผู้ให้และผู้รับเป็นสองฝ่าย ฝ่ายผู้ให้ คือ ผู้ได้สร้างบารมีกุศล ฝ่ายผู้รับ คือ เวไนยสัตว์ทั่วไปทุกพิภพ ทั้งมนุษย์ สัตว์ โอปปาติกะ สัมภเวสีก็ไม่เว้น *ใครรับอานิสงส์บุญได้ก็รับเอาไป

เหตุที่ต้องใช้น้ำในการแผ่ส่วนบุญ เพราะเมื่อน้ำตกถึงพระแม่ธรณีน้ำก็จะระเหยและมีกลิ่นหอม ทำให้เทวดาได้รับรู้ วิญญาณรับรู้ พวกผู้มีกายละเอียดทั้งหลายรับรู้ทั่วถึง ทั้งนี้ต้องเป็นวิญญาณที่ท่องอยู่ในมนุษย์ภูมิ เทวภูมิ พรหมภูมิเท่านั้น ส่วนยมภูมินั้นจะต้องเจาะจงชื่อสกุล ส่งไปโดยตรงจึงจะได้รับโดยเจาะจง ของใครของมัน เพราะเป็นแดนกักกันดวงวิญญาณที่กระทำกรรมชั่ว เมื่อเสวยชาติเป็นมนุษย์หรือสัตว์ที่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดตามกฏแห่งกรรม*

ส่วนมนุษย์โลกนั้นไม่รับรู้ ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ มัวแต่สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณในกามภพ จึงมักไม่ได้รับ ทั้งเข้าใจผิดคิดว่าการกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญ กระทำได้เฉพาะผู้ตายเท่านั้น ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ผู้มีชีวิตอยู่ก็รับได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฏคือ ต้องตั้งจิตอธิษฐานรับ จึงจะได้ผลบุญที่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่แผ่อานิสงส์มาให้ หากรับทุกวันก็ได้ทุกวันจึงสมควรพิจารณา

ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องหา ไม่ต้องลงทุน เพียงตั้งจิตอันบริสุทธิ์รับเท่านั้น หากทำไม่ได้ก็หมดหนทาง น่าเสียดายโอกาส ไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร ไม่ต้องทะเลาะกับใคร ไม่ต้องขอใคร แต่มีเงื่อนไขว่าจะรับบารมีกุศลนั้น ต้องทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ เสมือนหนึ่งมีน้ำทิพย์จะมอบให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากบุคคลนั้นเอาภาชนะที่ไม่สะอาดมารองรับ ผู้ที่จะให้น้ำทิพย์อันวิเศษนั้น ก็จะไม่เทน้ำทิพย์นั้นให้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้จะรับบารมีก็ต้องมีจิตใจที่สะอาดมารองรับบารมีนั้น จึงจะได้รับบารมีนั้นอย่างเต็มที่ อันจะนำไปช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับตนเองตามเจตนาของผู้ให้

ลัก...ยิ้ม 27-07-2010 11:49

บุญบารมีนั้นเป็นทานละเอียด ล่องลอยมาเหมือนพลังงานของเสียง พลังงานแม่เหล็กและพลังงานของภาพ หากเรามีเครื่องรับที่มีประสิทธิภาพ ภาพเสียงก็คมชัด ผู้ให้มีเจตนาบริสุทธิ์ได้แผ่มาให้ ผู้รับจึงต้องทำใจให้บริสุทธิ์จึงจะรับได้ ไม่ใช่เอาวิทยุไปรับภาพทีวี ก็รับไม่ได้ ต้องกระแสคลื่นเดียวกัน วิทยุรับวิทยุ ทีวีรับทีวี มันเป็นกฎของธรรมชาติฝืนไม่ได้ แต่เป็นอริยสมบัติของทุก ๆ คน ไม่ต้องแย่งกันรับ ให้รับเอาเอง ลงทุนอย่างเดียว ตั้งศรัทธาทำจิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น เป็นทุนในการรับเอาบารมีกุศล

อีกประเด็นหนึ่ง การที่พุทธศาสนิกชน ได้ประกอบกิจการทางศาสนาในวันสำคัญต่าง ๆ ได้จัดพิธีเวียนเทียนรอบอุโบสถเป็นประจำสืบทอดกันมาแต่โบราณ ไม่ใช่ไม่มีเหตุที่มา ผลที่ได้ปฏิบัติกันอยู่จนทุกวันนี้มีเหตุมีผล การเวียนเทียนรอบพระอุโบสถสามรอบนั้น รอบแรกให้สวดพระพุทธคุณ ในรอบสอง รอบสามให้สวดพระธรรมคุณ พระสังฆคุณตามลำดับนั้น

ก็เพื่อขอพรจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประทับอยู่เป็นองค์ประธานในพระอุโบสถ เป็นการเปิดรับบารมีเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันสำคัญ เพื่อทำการสักการะพระพุทธองค์ *เพื่อขออาราธนาพระพุทธบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ และพุทธฉัพพรรณรังสีเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข*

เหมือนตอนข้าพเจ้าได้เวียนรอบปราสาทสามรอบ ผ้าใยแก้วที่คลุมอยู่พร้อมประตูก็เปิดออก ให้ได้ชมภายในปราสาทเป็นทำนองเดียวกัน เป็นกฎเกณฑ์ให้ได้รับพระพุทธพรจึงต้องเวียนสามรอบ ข้อนี้น่าคิด น่าพิจารณาเพื่อว่าเมื่อไปทำพิธีกรรมในการเวียนเทียน จะได้ตั้งจิตให้ตรงกับเหตุผลที่ได้กระทำ ไม่ใช่เห็นเขา เราก็ทำตามเพราะผลมันแตกต่างกัน

ลัก...ยิ้ม 27-07-2010 17:23

ความตั้งใจมีศรัทธาอันบริสุทธิ์ย่อมได้รับผลตามเจตนา ไม่ได้ตั้งใจทำ *สักแต่ทำตามที่เขาทำกัน* ย่อมได้แต่กระทำกริยา ทำไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทำอย่างขัดเขาไม่ได้ ย่อมเกิดความฟุ้งซ่าน ไม่บังเกิดบารมี

จริงแล้วเป็นการชำระวิบากกรรมของตัวเอง เป็นการชำระกายและใจ ตลอดจนผลของอกุศลกรรมที่ติดตัวเราข้ามภพมา เสมือนเราอาบน้ำฟอกสบู่ ชำระความสกปรกที่ติดกายเรา เราจึงอาบน้ำเช้าเย็นตลอดเวลา บางคนอาบวันละหลาย ๆ ครั้งก็มี นั่นเป็นวิธีทำกายให้สะอาด

แต่การบำเพ็ญบุญ เป็นการทำใจให้สะอาด ชำระวิบากกรรม เราเป็นพุทธศาสนิกชนไม่ควรละเลย อยากอยู่สุขสบาย ก็สมควรจะกระทำ โอกาสเป็นของเรา กาลเวลาเป็นของเรา ให้โอกาสเรา

เราเพียงตัดสินใจกระทำด้วยปัญญาอันมีเหตุผล มีคำตอบ ทำไปเพื่ออะไร? มีผลอย่างไร? ผลเกิดจากเหตุที่ได้กระทำลงไป เราอ่านออก เขียนได้ เป็นผลจากอดีตที่เราได้เข้าศึกษาเล่าเรียน เราจึงอ่านเขียนได้คล่อง มันเป็นอย่างนั้น

ขอให้อย่าเพิ่งปฏิเสธ คิดก่อนหาเหตุผลก่อน ทดลองก่อน อาบน้ำขันเดียวร่างกายไม่สะอาดได้ ต้องอาบหลาย ๆ ขันจนเนื้อตัวสะอาด กระทำครั้งเดียวอาจเห็นผลไม่ได้ ต้องทำหลาย ๆ ครั้งต่อเนื่อง ก็จะพบความจริงที่ต้องการคือความสงบสุข


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว