หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ตอนเป็นสามเณรสอบได้ประโยค ป.ธ. ๓ เขาก็เลยตั้งให้เป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรม ด้วยความที่เป็นเณรมหา ก็เลยยืด ไม่คิดจะเรียนกับเขา แต่พอประโยค ๔ อาจารย์บังคับให้ไปสอบ ด้วยความที่ไม่ได้เรียนประโยค ๔ มาก็เลยต้องไปเปิดหนังสืออ่านเอง ท่านก็อ่านไปเรื่อย พออ่านไปถึงเนื้อหาตอนหนึ่ง ความรู้สึกบอกชัดเลยว่าต้องออกตรงนี้ ท่านก็เลยท่องอยู่แค่ตรงนั้น ปรากฏว่าออกจริง ๆ อาจารย์จักรกฤษณ์สอบได้ ส่วนเพื่อนที่คร่ำเคร่งเรียนมาทั้งปีกลับสอบตก ต้องบอกว่าทิพจักขุญาณของท่านใช้ได้เลย เพราะอ่านผ่านตรงนี้ แล้วความรู้สึกบอกว่าต้องออก คนเรียนทั้งปีนี่หน้ามืดไปเลย"
|
หลวงพ่อถามว่า "เมื่อวานมีใครดูในหลวงออกมหาสมาคมบ้าง ? เหมือนท่านไม่มีกำลัง อาตมาลุ้นว่าท่านอยู่ได้อีกสักปีก็สุดยอดแล้ว นั่นเกิดจากว่า สมัยหนุ่ม ๆ ท่านทุ่มเทกับงานหนักมาก พอชราแล้วร่างกายท่านทรุดแล้วทรุดเลย แต่ก็ต้องว่า...สมกับพระบารมี เพราะท่านมาเพื่อปรับพื้นฐานให้ประเทศของเรา"
|
ถาม : ฝันเห็นคนตายบ่อย ๆ
ตอบ : ฝันเห็นคนตายบ่อย ๆ แปลว่า เขาสบายดีจ้ะ ถ้าไม่สบายเขามาไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นทำบุญอะไรไปให้ เขาได้ทั้งหมด ไม่ต้องไปกังวล....ถ้าเขาไม่ได้ชวนไปอยู่ด้วย! (หัวเราะ) |
ถาม : หนังสือการ์ตูนธรรมะ เราเล่าให้ลูกฟัง หนังสือพวกนี้จะใช้ได้ไหมคะ?
ตอบ : ดูเอาแล้วกัน ส่วนไหนที่ไม่ใช่ออกนอกลู่นอกทางจนเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยก็พอได้ อย่างน้อย ๆ ช่วยดึงความสนใจของเด็กได้ |
มีฆราวาสท่านหนึ่ง ถามถึงพระที่บวชกับหลวงพ่อเล็กว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?
หลวงพ่อก็เลยกล่าวให้ฟังว่า "จริง ๆ แล้ว การอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ว่า อย่างน้อย ๆ โดนด่าหูตาก็สว่างบ้าง ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีเท่ากับห่างไปนิดหนึ่ง ถ้าตัวเองไม่ได้มุ่งมั่นจริง ๆ โอกาสที่จะไม่ก้าวหน้าก็มีมาก เพราะมันจะชวนขี้เกียจ ไม่ใช่ว่าเออ....เราบังคับทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ทำกรรมฐานร่วมกัน ปฏิบัติแค่เช้าเย็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งวันปล่อยลอยละล่อง วันหนึ่งขาดทุนไปกี่ชั่วโมง ? แต่พวกเราเป็นประเภทด่าทีหนึ่ง ไฟก็ลุกขึ้นมาทีหนึ่ง พอถึงเวลาเลิกด่าก็ค่อย ๆ มอดไป จริง ๆ อยากจะปล่อยเหมือนสมัยหลวงพ่อ ท่านให้หากินกันเอง ถ้าไม่หากินเองก็อดตาย แต่คราวนี้ลองปล่อยดูแล้วไม่เห็นจะรอดสักราย นึกถึงสมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านปล่อยให้หากินเอง แล้วดูว่าปัจจุบันนี้รอดมาได้กี่คน ส่วนใหญ่ต้องประเภทหลักการมั่นคง ไม่อย่างนั้นท้าย ๆ ก็จะเป๋" |
ถาม : ถ้าบวชชีพราหมณ์สัก ๒-๓ วันจะได้อะไรไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะกอบโกยอะไรได้บ้าง ? ไม่ใช่ไปถามคนอื่นว่าเราจะได้อะไร ถาม : แล้วอานิสงส์ ? ตอบ : สำคัญตรงว่า ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ของเราดี อานิสงส์ก็จะสูงมาก เรื่องของเคราะห์กรรมไม่ดีที่ตามราวีเราอยู่ ก็จะถอยห่างไป เพราะว่ากำลังบุญเราสูงกว่า ถาม : บวช ๒-๓ วัน เวลาแค่นั้นน้อยไปหรือเปล่า ? ตอบ : ถ้ามีเวลาแค่นั้น จะว่าน้อยก็ไม่ได้เพราะดีกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าหากมีเวลาสักหน่อย บวชสัก ๗-๘ วันก็ได้ เพราะถ้าหากไปบวชจริง ๆ ช่วงสามวันแรกมักจะฟุ้งซ่านตลอด กว่าจะสงบได้ก็วันที่ ๔ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่า เราบวชไปแล้ว กอบโกยเอาความฟุ้งซ่านมาทั้งสามวัน |
ถาม : (เล่าเรื่องหนุ่มปิ๊งสาวตั้งแต่แรกพบ)
ตอบ : จริง ๆ ถ้าเขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง เขาจะเห็นว่า รูปร่างหน้าตาเป็นแค่สิ่งฉาบฉวย ถ้าหากอยู่ครองคู่กันไปแล้ว บางทีไม่ได้นึกเสียด้วยว่า ผัวเราเมียเราหน้าตาเป็นอย่างไร ? ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะมีความดีอะไรที่มายึดโยงสภาพครอบครัวให้อยู่ได้ นึกถึงขงเบ้ง ขงเบ้งแต่งงานกับผู้หญิงที่ขี้เหร่มากเลย แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาด ไม่ว่าขงเบ้งจะมีความคิดเห็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกันไปได้ นั่นแสดงว่าขงเบ้งมองเห็นความงามภายใน เขาไม่ได้ดูแค่ภายนอก นักปราชญ์หรืออัจฉริยบุรุษ เขามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น |
ถาม : พวกพี่ ๆ เขาชมว่า หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่ข้างในจริง ๆ ค่ะ
ตอบ : (หัวเราะ) มันชมหรือด่ากันแน่ ? แสดงว่าข้างนอกนี่ไม่มีดีอะไรเลยหรือ ? ด้วยความที่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงเป็นสมบัติที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่โดยธรรมชาติ ถ้าหากว่ายังไม่ได้อยู่ร่วมกันใกล้ชิดจริง ๆ โอกาสที่จะรู้เห็นในด้านมืด...ด้านลบของเขาก็น้อย โดยเฉพาะช่วงที่รักกันอยู่ ก็พยายามที่จะเอาส่วนดี ๆ มาให้คนอื่นเขาเห็น เพราะกลัวเขาจะไม่รักเรา เหมือนกับพรีเซนต์ตัวเอง ต้องเอาด้านดี ๆ ออกมา พออยู่ด้วยกันไป คราวนี้ไม่ต้องแล้ว เป็นของเราแล้ว หางก็จะค่อย ๆ โผล่ คราวนี้ก็เหลือแต่ว่า จะมีอะไรมาโยงครอบครัวให้อยู่ได้ ก็ต้องมีสัจจะ จริงใจต่อกัน ทมะ รู้จักข่มใจ ขันติ อดทนต่อความเหนื่อยยาก จาคะ เสียสละ สละความสุขของเราเพื่อเขา มันเป็นเรื่องที่ยาก นอนคนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายดีกว่า |
ถาม : เรื่องการงานพวกนี้จะราบรื่นดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยทำชั่วก็ราบรื่นดี แต่มีใครบ้างที่ไม่เคยทำชั่ว ? มันก็ดีชั่วกันมาด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง มีปัญหาบ้างเป็นเรื่องปกติ เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องเสียเวลามาถามหรอก |
ถาม : หนูตั้งใจว่าจะบวช แต่ต้องปิดวาจา เพราะพูดทีไรมีเรื่องทุกทีเลย ถ้าหนูปิดวาจาได้ก็จะไม่มีเรื่อง
ตอบ : อย่าถึงขนาดปิด บางอย่างจำเป็นต้องสื่อสารก็พูด อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด วัดที่ไม่มีคนปากมากนี่ก็สงบดีนะ ถาม : หนูว่าน่าจะมีทุกวัดนะคะ เพราะหนูเจอทุกวัดเลย ตอบ : ที่ไหนก็มี คนอยู่ที่ไหนก็เป็นคน อย่าไปตั้งความหวังกับใคร เพราะว่าสถานที่ดีแค่ไหนก็ตาม คำสอนดีแค่ไหนก็ตาม ถ้ากำลังใจคนไม่ได้ดีตาม...ก็เสร็จ ของอย่างนี้ขึ้นอยู่ที่ว่าใครวางได้ก่อนก็สบายก่อน ใครอยากจะแบกก็ให้เขาแบกไป |
ถาม : หนูจับภาพพระที่นิพพาน จากที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไร อยู่ ๆ ก็กลายเป็นมั่นใจว่า ไปนิพพานได้แน่ ๆ ในชาตินี้ ความรู้สึกนี้จะเป็นอุปาทานหลอกเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหลอก ก็ถือว่าหลอกได้ดีมากเลย ขอให้ช่วยหลอกไปนาน ๆ ถ้าหากกำลังใจเริ่มเข้าสู่ส่วนของโคตรภู ใจจะเกาะนิพพานเป็นปกติ ถ้าหากว่าเกาะนิพพานเป็นปกติ ก็มั่นใจว่าอย่างไรเราก็ไปได้ ถาม : แล้วตอนจับพระที่นิพพาน บางทีมีความรู้สึกลอย ๆ คือภาพที่นิพพานยังอยู่ แต่ว่าตัวเรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ (ชี้ตัวเอง) ไม่ได้อยู่ที่ภาพนั้น ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ? ตอบ : รู้สึกพอเมื่อไรก็ตั้งใจไปอยู่ตรงนั้นแล้วกัน จะได้มั่นใจยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นลอยละล่องไป ถาม : ถ้าอย่างนั้นให้มั่นใจว่าอยู่ที่ภาพจะดีกว่าใช่ไหมคะ ? ตอบ : ดีกว่า |
ถาม : มีภาพพระพุทธรูปเก่าแล้ว ควรจะทำอย่างไรดี?
ตอบ : โบราณเขาบอกว่า ถ้าไม่ลอยน้ำไปก็เผาไฟจ้ะ ขอขมาแล้วก็จัดการ เขาเรียกว่า "จำเริญ" แต่ว่าถ้าลอยน้ำไป มันไม่เหมาะสม เผาดีกว่า ขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็เผา ถาม : ถ้าเราจะเอาไปใส่กระถางต้นไม้? ตอบ : ไม่ดีแน่ ถ้าไม่บรรจุไว้ในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ก็ขอขมาพระแล้วเผาไปเลย ถาม : เอาไปลอยน้ำก็กลัวค่ะ ตอบ : ไปใส่กระถางต้นไม้ ก็เห็นภาพพระพุทธเจ้ามีค่าเท่ากับปุ๋ย จะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัยหนักเข้าไปอีก ถาม : ไม่กล้าเผา ไม่กล้าลอยน้ำ ตอบ : ลอยน้ำคงไม่เหมาะ เพราะเป็นภาพพระ ลอยตุ๊บป่องไปไหนก็ไม่รู้ เผาดีกว่า อาตมาเผามาเป็นชุดเลย สมัยที่อยู่วัดท่าซุง มีตึกทหารอากาศสงเคราะห์ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป ตอนนั้นท่านเป็นนาวาตรี ท่านนำทหารอากาศมาช่วยกันสร้างไว้ แรก ๆ จะสร้างเป็นโรงเรียนสอนปริยัติธรรม เพราะว่าหลวงพ่อท่านเป็นมหาเปรียญ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ใช้งาน เอาไว้เก็บของ หลวงตาผ่องกับหลวงตานาก็ยึดเป็นกุฏิที่พักของท่าน พอสิ้นหลวงตาไป ๑๐ ปีไม่มีใครไปดูแล อาตมาขึ้นไปดู ปรากฏว่ามันรกมาก โดยเฉพาะกระป๋องสังฆทานสีเหลือง ๆ มี ๗๐๐ - ๘๐๐ ใบ มันกรอบหมดอายุแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจว่า "ถ้าต้องเป็นหนี้สงฆ์ ข้าพเจ้ายินดีชดใช้เอง" ถ้าอันไหนเผาทิ้งได้เผาทิ้งเลย พอวันที่สามกำลังจัดการอยู่ หลวงพ่อขึ้นไปก็ถามว่า "เฮ้ย..ทำอะไรอยู่วะ ?" กราบเรียนท่านว่า "ทำความสะอาดอยู่ครับ" ท่านก็บอกว่า "เออ...ดี ๆ มันรกมานานแล้ว" |
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อกับแม่และลูกอีก ๔ คน เกิดวันเดียวกันหมด แต่คนละปีเท่านั้น เป็นอะไรที่ประหลาดดี คน ๖ คนเกิดวันเดียวกัน อยู่ครอบครัวเดียวกัน นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ"
ถาม : เขาอธิษฐานมาหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่แน่ใจ ถ้าอธิษฐานมาน่าจะเกิดพร้อมกันแบบสหชาติ พระพุทธเจ้ามีสหชาติ คือ พระอานนท์ พระนางพิมพา นายฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์อีกสี่ทิศ เกิดพร้อมกับท่าน แสดงว่าต้นโพธิ์ต้นนั้นต้องอายุ ๓๕ ปี ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ส่วนกาฬุทายีอำมาตย์ นายฉันนะ และพระนางพิมพา ตอนหลังบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ ส่วนม้ากัณฐกะอยู่ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เสร็จ ให้นายฉันนะเอาผ้ากลับ ม้ากัณฐกะเดินไปหน่อยเดียวก็หัวใจสลาย...ตายเลย เพราะผูกพันกับพระพุทธเจ้ามาก ในปฐมสมโพธิกถา พระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ซึ่งท่านต้องแอบหนี มันเป็นเรื่องประหลาดเพราะบางที่เขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเสด็จออกต่อหน้าพระราชบิดาพระราชมารดา แต่ในเมื่อเขาอธิบายชัดเจนเลยว่าพระองค์กะว่าจะต้องกระโดดข้ามกำแพงเมือง ก็แปลว่าต้องแอบหนีจริง ๆ โดยที่เจ้าชายสิทธัตถะนึกว่า ถ้าหากว่าม้ากัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไม่ได้ ท่านจะอาศัยกำลังของท่านเอง หนีบม้าและจูงนายฉันนะกระโดดข้ามไป กำลังเหลือเฟือขนาดนั้นเลย แสดงว่าวิชาตัวเบาสุดยอดมาก ส่วนนายฉันนะคิดว่า ถ้าหากพาม้ากัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไม่ได้ เราจะแบกม้าและพระลูกเจ้ากระโดดข้ามไป ส่วนม้ากัณฐกะคิดว่า เราจะแบกพระลูกเจ้าพร้อมกับนายฉันนะที่จับหางเราอยู่นี้กระโดดข้ามไป ปรากฏว่าเสียเวลานึกเปล่า เทวดาเขาช่วยสงเคราะห์เปิดประตูให้เลย ไม่ได้เปิดเปล่า ๆ นะ เปิดแบบสะกดทหารที่เฝ้าประตูหลับไปด้วย |
ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ที่บ้านสร้างพ่อปู่ไชยมงคล เวลาถวายของใช้คาถา ?
ตอบ : ใช้ภาษาไทยก็ได้จ้ะ ถาม : ใช้ภาษาไทยก็ได้ เอาง่าย ๆ เลย ? ตอบ : หรือไม่ก็ อิติสุคะโตฯ ถาม : กลัวว่าจะถวายผิด ตอบ : ไม่ผิดหรอกจ้ะ ตั้งใจนึกถึงท่าน ท่านรับอยู่แล้ว ถาม : เมื่อก่อนเช้า ๆ เวลาสวดมนต์ พอปักธูปปั๊บก็จะครึ้มไปเลย พอรู้ตัวอีกทีธูปก็หมด ก้านธูปนี่จะไหม้หมดทุกวันเลย เป็นเพราะอะไรครับ? ตอบ : บางทีถ้าสมาธิทรงตัว มันไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าเราตั้งใจปุ๊บมันก็จะเป็นเลย แสดงว่าพื้นฐานสมาธิแต่ก่อนนี่ดีมาก ๆ เลย ถ้าหากว่าฟื้นสักหน่อยเดียว เดี๋ยวได้อะไรอีกเยอะ |
ถาม : เวลานอนกลางวันเป็นเวลานอนปกติของเรา แล้วเวลากลางคืนกลับมาบ้านทุ่มหนึ่ง เราเหนื่อยเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาประมาณสามสี่ทุ่ม มันจะมีอาการเหมือนกับผวา...งง อารมณ์จิตแรกก็คือ..ที่นี่ที่ไหน ? พ่อแม่เราไปที่ไหน ? พอนึกทีไร อ๋อ..พ่อแม่เราตายหมดแล้ว ทำไมอาการผวา กลัว รู้สึกว้าเหว่มันยังอยู่ในจิต ?
ตอบ : แสดงว่ายังละไม่ได้ ตอนกลางวันเรากดไว้เยอะ มันไปโผล่ตอนกลางคืน ถาม :ต้องวางกำลังใจอย่างไร ? ตอบ : ไม่มีอะไร อยู่กับการภาวนา หลับกับตื่นอารมณ์รู้เท่ากันก็ใช้ได้ |
ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่มีวิญญาณของทางญาติพี่น้องมาเข้า ถ้ากำหนดจิตเพื่อต่อต้านให้เป็นสมาธิ อย่างนี้เขาจะเข้าได้ง่าย ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าจิตมีกำลัง ไม่ต้องการให้เขาเข้า เขาจะเข้าไม่ได้ ยกเว้นว่าจิตมีกำลังน้อยแค่อุปจารสมาธิ นั่นเท่ากับเปิดบ้านรับ ถ้าจะทำต้องทำให้เกิน เอาแค่ปฐมฌานหยาบก็พอ ถ้าทำได้คล่องตัวมันเข้าไม่ได้หรอก ปฐมฌานหยาบกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ ถาม : พอเราแนะนำ เขาก็บอกว่ายิ่งกำหนดใจ ก็ยิ่งเปิดรับเข้าไปใหญ่ ตอบ : เขากำหนดไม่พอ มันต้องกำหนดให้เกินไปเลย ถาม : เหมือนเพื่อนหนูเลยค่ะ เขาไม่ชอบสวดมนต์ เขาบอกว่าสวดมนต์แล้วชอบเห็นผี ตอบ : แสดงว่าตอนเขาสวดมนต์ กำลังใจเขาลงอุปจารสมาธิ ผีก็รอโมทนา เข้ามาทีไร มันเลิกสวดทุกที |
ถาม : หลวงพ่อครับ กำลังใจตอนที่ใช้ในมโนมยิทธิ กับกำลังใจในตอนที่เราวางเรื่องกิเลสที่เข้ามาเกาะกินใจ มันไม่เท่ากัน ?
ตอบ : ไม่เท่ากัน อันหนึ่งอยู่ข้างใน อันหนึ่งอยู่ข้างนอก ถ้าพ้นจากร่างกายไปแล้วกิเลสก็กินยาก ถาม : แต่รู้สึกว่าใช้มโนฯ จะเบากว่า ? ตอบ : ก็ไปแล้วนี่ ถาม : ถูกแล้วใช่ไหมครับ ? ตอบ : อย่าละของง่ายไปทำของยาก ถาม : แต่ผมเอาออกนอกตัวตลอด เพราะมันลำบากกว่า ตอบ : ลำบากสำหรับคนที่ยังทำไม่ได้ คนที่ทำได้แล้วมันง่ายมาก ถาม : ต้องให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่ต้องถึง ๒๔ ชั่วโมงหรอก เอาแค่ ๒๓ ชั่วโมง ๕๙ นาทีก็พอ ก็บอกแล้วให้แบ่งความรู้สึกเป็นสองส่วน พอพลาดก็ไปใหม่...พอพลาดก็ไปใหม่ เดี๋ยวชินเข้า มันก็อยู่ยาว ถาม : ต้องแบ่งสองส่วนให้เท่ากันหรือเปล่า ? ตอบ : เอาส่วนนั้นแค่ ๓๐ % ก็พอ ถ้าเยอะมากเดี๋ยวมันคุมตัวนี้ลำบาก |
ถาม : หนูจำเป็นต้องบวชหรือเปล่า?
ตอบ : ไม่จำเป็น จะชุดขาว โกนหัวหรือไม่โกนหัว..ไม่สำคัญ สำคัญตรงการปฏิบัติว่าเอาจริงหรือเปล่า? โดยเฉพาะหลักการที่บอกไว้ จำไว้แม่น ๆ อย่าลืม ไม่มีใครดลบันดาลให้เราได้ อย่ารีบร้อน...ค่อยเก็บ..ค่อยไป ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็ห้ามหยุด |
ถาม : มีว่านหรือพืชอะไรที่แก้หรือกันยาสั่งได้บ้างไหม ?
ตอบ : สามอย่าง มีรากตำลึง รากฟักข้าว รากรางจืด ฝนกับน้ำซาวข้าว ใครโดนยาสั่งนี่กรอกลงไปเลย ถาม : โดนมาหลายครั้งแล้วค่ะ ตอบ : จ้ะ แต่ว่ารากรางจืดหายาก แล้วใครโดนมา ? ถาม : หนูเองค่ะ ตอบ : พวกโดนยาสั่งนี่ไม่มีโอกาสแก้ตัวหรอก ส่วนมากตายซะก่อน ยกเว้นไปช่วยคนอื่นเขา |
หลวงพ่อกล่าวถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ที่ผ่านมาว่า "เมื่อวานในหลวงนั่งผิดที่ พระองค์ท่านไม่มีกำลังที่จะขึ้นไปนั่งบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ปกติในหลวงออกมหาสมาคมท่านจะนั่งใต้ร่มนพปฎลมหาเศวตฉัตร แต่นี่เขาเอาพระที่นั่งภัทรบิฐมาวางซ้อนข้างหน้าแล้วท่านก็นั่ง ท่านขึ้นข้างบนไม่ไหว ขนาดนั่งยังไม่ไหวเลย ท่านนั่งตัวเอียง ๆ ไม่มีกำลัง สามารถพระราชทานพระบรมราโชวาทได้ขนาดนั้นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ต้องบอกว่าอยู่ด้วยใจจริง ๆ
เกรงอยู่อย่างเดียว ปีนี้ท่านพระชนมายุ ๘๓ แล้ว จากที่รู้มานี่ ๘๓ เป็นปีวิกฤตของท่าน ถ้าท่านไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ประเทศชาติยุ่งน่าดูเลย ประเทศพม่า มีหลวงปู่วัดเขาตามะยะ คนแห่ไปกราบหลวงปู่ท่านวันละเป็นหมื่น รถเมล์เป็นสิบ ๆ สาย มีปลายทางไปที่วัดท่าน ปรากฏว่าท่านมรณภาพไปสองวัน ฟื้นกลับมาใหม่ เพราะไม่มีใครแทนได้..! ลองนึกดูว่าคนอายุ ๘๘ แล้ว ต้องนั่งรับคนวันหนึ่งเป็นหมื่น..! ท่านก็ไม่ไหว มรณภาพไป แต่คราวนี้หาใครแทนไม่ได้ ก็ต้องเข็นท่านกลับมาอีก กลับมาอยู่ได้ปีกว่า ท่านก็มรณภาพอีก คราวนี้...ถ้าฟังไม่ผิด ทางรัฐบาลทหารเขาสั่งฉีดยาเลย กันท่านฟื้นขึ้นมาอีก เพราะคนไปหาท่านวันละเป็นหมื่น และที่อยู่กับท่านอีกเป็นแสน เขากลัวว่าท่านจะพาคนไปล้มรัฐบาล คนเรากำลังใจแค่ไหนมันก็คิดแค่นั้น มันก็พูดแค่นั้น มันก็ทำแค่นั้น มันคิดว่าถ้ามันเองเป็นอย่างนั้นมันก็จะทำอย่างนั้น มันก็เลยเหมาเอาว่าพระจะทำอย่างนั้นด้วย หลวงพ่อวัดเขาตามะยะลงทุนสร้างถนนเอง จากแม่สอดเข้าไปจนถึงวัดท่าน สามวันสองไมล์....สามวันสองไมล์ ปรากฏว่ารัฐบาลทหารไม่ยอมให้ทำ ท่านก็เลยสร้างได้ไม่เท่าไหร่ รัฐบาลกลัวว่าถ้าถนนหนทางดี ชาวบ้านไปมาหาสู่กันสะดวก เห็นความเจริญของต่างประเทศแล้วจะไปเล่นงานมัน เรามานึกถึงในหลวงของพวกเราว่า ในวาระนี้..แม้กระทั่งกำลังที่จะทรงพระวรกายก็ยังยาก แล้วจะเอากำลังที่ไหนมาบริหารประเทศให้มากมาย สำหรับคนอื่นอาตมาไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองอายุ ๕๑ มันเหมือนกับตำข้าวสารกรอกหม้อ มีกำลังทำงานได้วันหนึ่งเท่านั้น ถ้าวันไหนทำงานมากกว่าปกติ ก็จะอยู่ไม่ถึงวัน กำลังมีไม่พอทำวัตรเย็น นั่งทำวัตรเย็นนี่จะพับลงไปเสียให้ได้ แล้วมาคิดว่าเราไม่ได้ทำงานหนักอย่างในหลวง และอายุน้อยกว่าท่าน ๓๑ ปี เรายังแย่ขนาดนี้ แล้วในหลวงท่านทรงงานหนักกว่าเป็นร้อย ๆ เท่า ท่านเอากำลังที่ไหนมา ? ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ พวกเราต้องเร่งทำความดีกันให้พร้อมเพรียงสม่ำเสมอ เพื่อที่กำลังความดีส่วนนี้เมื่ออุทิศไปแล้ว บรรดาเทวดาที่ท่านรักษาในหลวงหรือรักษาประเทศชาติ จะได้นำกำลังนี้ไปใช้ ถ้าหากว่าสามารถยืดพระชนมายุของในหลวงต่อไปได้ ไม่ต้องมากหรอก ให้แค่พ้น ๘๔ ก็พอ อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ผ่อนคลายวาระกรรมของประเทศไปได้" |
หลวงพ่อยังได้กล่าวต่ออีกว่า "เมื่อเช้าปรารภว่า ท่านที่ต้องหักล้างถางพงนี่จะเหนื่อยมาก ในหลวงเราก็เป็นลักษณะอย่างนั้น ท่านวางรากฐานการปกครองประเทศจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ต่อไปรัชกาลที่ ๑๐ รัชกาลที่ ๑๑ จะสบาย คราวนี้ในช่วงก่อนที่จะสบาย เราต้องมาดูว่าคนที่ลำบาก...เขาลำบากกว่าหลายเท่า ก่อนที่ถนนจะเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ ๘ เลน จะต้องถางป่าขุดภูเขาไปสักกี่ลูก จึงจะเป็นถนนขึ้นมาได้ ? ถ้าในหลวงของเราไม่ได้โหมงานหนักตั้งแต่หนุ่ม ๆ ตอนที่อายุขนาดนี้ พระวรกายท่านก็จะไม่โทรมมาก คนเราวันหนึ่งทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ ถ้าเป็นพวกเราคงนอนแผ่หลาสามวันสามคืน เรียกก็ไม่ลุก ปลุกก็ไม่ตื่น ใครมาเรียกใกล้ ๆ อาจจะโดนไล่เตะด้วยซ้ำ แต่ว่าในหลวงท่านต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงงานของท่าน
ลองดูข่าวในพระราชสำนักปัจจุบันนี้ ในหลวงไม่ได้ออกงาน แต่ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ออกงานแทน ลองไปนั่งนับดูสิว่า วันหนึ่งท่านต้องต้อนรับคณะบุคคลเท่าไร ? ต้องออกงานเท่าไร ? ครั้งล่าสุดอาตมาเจอท่านในงานสัปดาห์หนังสือ พอเขาบอกว่าท่านเสด็จ เขาก็ให้หลีกทาง เราก็หลบเข้าไปบูธของบ้านวรรณกรรม เพราะว่าเป็นลูกค้าประจำ พอท่านเปิดงานเสร็จท่านก็เดินมาที่บูธ พออาตมาเห็นหน้าท่านนี่แทบจะบรรลุเลย ดูเหมือนกับว่าความเหนื่อยทั้งโลกมาแบกอยู่ที่ท่าน แต่ก็ยังต้องเสด็จไป ไปให้กำลังใจตามบูธต่าง ๆ เขาก็ถวายหนังสือให้ท่าน ทหารติดตามก็เข็นรถเข็นตาม เพื่อบรรทุกหนังสือ เราก็คิดว่าท่านจะมีเวลาอ่านไหมหนอ ? ฉะนั้น...ท่านทรงงานหนักขนาดนั้น หาเวลาพักผ่อนได้น้อยมาก ๆ การที่สุขภาพพลานามัยทรุดโทรมขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าในส่วนของธรรมะส่วนหนึ่ง ก็คือ มโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ ถ้าหากว่าไพร่ฟ้าประชากร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา มีความสามัคคีกลมเกลียว ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ท่านก็มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้ามัวแบ่งสีทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ เป็นอาตมาก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ท่านจึงได้บอกว่า ถ้าหากประเทศชาติสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์ท่านก็มีความสุข แม้จะเป็นพระราชดำรัสสั้น ๆ แต่ใจความสำคัญก็คือที่ว่ามา แฝงความหมายเอาไว้ว่าเมื่อไรจะเลิกทะเลาะกันเสียที..!" |
มีหญิงสาวท่านหนึ่ง กำลังอุ้มชูลูกน้อยของตนเองอยู่ หลวงพ่อท่านมองไปทางนั้น แล้วกล่าวขึ้นว่า "บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก สิ่งที่คนอื่นเขาไขว่คว้าแสวงหา เราไม่เอายังไม่พอ ยังเห็นโทษของมันอีก มันไม่ได้เห็นแค่นี้ แต่เห็นยาวไปเลยว่า ภาระอีกเท่าไรที่เขาจะต้องแบกไว้ แล้วก็เลยกลายเป็นกลัวไป อันนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าวิสัยทัศน์..? "
|
มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ก็คือ "สมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระสังฆราช ท่านคิดทดลองความสามารถของบรรดาเกจิอาจารย์ จึงได้จัดการแข่งขันที่หน้าลานพระปฐมเจดีย์ โดยนิมนต์เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั่วฟ้าเมืองไทยมาทดสอบกัน
สำหรับวิธีทดสอบนั้น ก็คือ เอาไม้ท่อนหนึ่งมาวางไว้ แล้วเอากบวางไว้ตรงปลายไม้ ทดสอบความสามารถโดยให้แต่ละท่านทำกบนั้นให้เลื่อนขึ้นมาไสไม้ได้ พูดง่าย ๆ ว่าไสไม้จากปลายซุงขึ้นมาที่หัวซุงได้ ปรากฏว่ามีท่านที่ทำได้แค่ ๑๑ รูปเท่านั้น นอกนั้นพอเพ่งกบแล้ว ได้แค่สั่นหรือเคลื่อนที่ได้นิดเดียว สมัยนั้นเขาทำกันอย่างนั้นเลย ปรากฏว่าหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง ท่านทำให้กบไสปรื๊ดเลย คาดว่าถ้ามาสายกสิณ ๑๐ โดยตรง สามารถทำได้ทุกคน แต่มีแค่ ๑๑ รูปเท่านั้นจากที่นิมนต์ไปร้อยกว่า ตำนานนี้ไม่ทราบว่าเป็นจริงเพียงใด เพราะเกิดไม่ทัน" |
ในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ หลวงพ่อท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่ จู่ ๆ ท่านก็อ่านใจความหนึ่งในหนังสือให้ฟังว่า "สัตว์ทั้งหลายแม้พญาสีหราช หากติดบ่วงนายพรานย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด ท่านทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด ถ้าติดบ่วงสิเนหาแล้วย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ มีจิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น"
|
ในขณะที่น้องคนหนึ่งกำลังนั่งถักหมวกอยู่ หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนน้องว่า "....ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นหลาย ๆ อย่าง โบราณเขาบอกว่าพอเป็นแล้ว มันไม่ขอข้าวกินหรอก แต่มันอาจจะช่วยให้เรามีข้าวกิน"
|
ขณะที่ท่านหนึ่งกำลังแสดงอาการดีใจ หลวงพ่อก็ได้เมตตาสอนว่า "หลังจากที่ตื่นเต้นเรียบร้อยแล้วก็ดูกำลังใจตัวเองว่ามันฟูมากไหม ? ฟูมากก็รีบ ๆ หดมันลงก่อนที่มันจะฟุ้ง จะยินดีหรือยินร้ายมันแย่ทั้งคู่"
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.