กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3877)

เถรี 24-09-2013 12:02

ถาม : เพื่อนหนูไปบ่อนเพราะรู้สึกคล้ายกับมีผีพาไป ?
ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าที่บ่อนทำเอาไว้ ให้เขาหายันต์เกราะเพชรติดตัว แล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ทุกวัน จะกันพวกนี้ได้โดยตรง ถามเขาว่าเคยไปกินข้าวกินน้ำที่นั่นไหม ? ถ้าเคยก็เสร็จเขา เพราะของพวกนี้ส่วนใหญ่เขาทำใส่อาหาร หรือไม่ก็ใช้ผีคุม

ถาม : มีวิธีป้องกันหรือแก้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาผ้ายันต์เกราะเพชรให้เขาติดตัว แล้วสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัก ๓ จบในตอนเช้าทุกวัน

เถรี 25-09-2013 05:47

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปยุโรปมีสองคนพ่อลูกเดินมา ลูกอายุสัก ๗ - ๘ ขวบ เดินถือกิ่งไม้มา ๑ กิ่ง อาตมาเคยอยู่กับเพื่อนที่เป็นอิสลามมาก่อน ช่วงวัยรุ่นนี่อยู่กับอิสลามมาหลายปี ตอนที่ไปอยู่ซอยอ่อนนุชใหม่ ๆ เพื่อนอิสลามเยอะแยะไปหมด รู้ว่าลักษณะนี้ของเขาคือมาขอความช่วยเหลือ ก็เลยทักเขาก่อนว่า "อัสสะลาม มุลัยอากุม"

พอเขาได้ยินนั่งร้องไห้เลย เขาไม่นึกว่าจะมีคนมาทักภาษาเดียวกันได้ ก็เลยถามเขาว่ามีอะไร เขาก็พยายามอธิบาย พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ ก็ปนภาษาเซิร์บของเขาด้วย สรุปได้ว่าเขาหนีสงครามมาจากโคโซโว มาทำงานที่ฝรั่งเศส คราวนี้รัฐบาลปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดี หาว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา เพราะเคยไปก่อจลาจล เจ้านายก็เลยไล่เขาออกจากงาน เขาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ต่างคนต่างก็ลำบาก จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยว

เขาบอกว่าอดข้าวมาวันหนึ่งแล้ว ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกเขากำลังโต เขาสงสารลูก อาตมาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ให้เงินเขาไป ๑๐ ยูโร เอาไปกินข้าวก่อน เขาก็วิ่งเข้าร้านอาหารไป ไม่ได้ไปซื้อข้าวหรอก ไปขอกระดาษจดรายการอาหารเขามา ขอจดชื่อขอที่อยู่ของอาตมาไว้ แล้วบอกกับลูกว่า อาตมาเป็นผู้มีพระคุณ ถึงเวลาสวดมนต์แล้วให้ขอพรจากพระเจ้าให้อาตมาด้วย

เขาบอกว่า เขาเชื่อแล้วที่พระอัลเลาะห์บอกว่า ทุกศาสนาก็คือลูกของพระเจ้าเหมือนกัน เขากำลังจะหมดศรัทธาในพระเจ้าแล้วว่าทอดทิ้งเขา แล้วอยู่ ๆ เจอคนต่างศาสนาแท้ ๆ มาช่วยเขา เป็นอะไรที่พูดง่าย ๆ ว่า อาตมาไปใช้หนี้เขา ไปเจอพวกนี้เยอะแยะไปหมด"


ถาม : เขานิสัยดีมากครับ ที่คิดจะตอบแทน
ตอบ : เขาเองก็ไม่นึกว่าอาตมาจะช่วยเขา คืออาตมาเองพอเห็นก็กวักมือเรียกเขา เพราะถือกิ่งไม้มาลักษณะนั้นคือเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ จำไว้เลยว่าถ้าพี่น้องอิสลามเขาถือกิ่งใบไม้มีใบสด ๆ มาด้วย พวกนี้เขากำลังมาขอความช่วยเหลือจากพวกเดียวกัน ถามเขาว่าภรรยาคุณอยู่ไหน ? เขาบอกว่าตายในสงครามเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว แสดงว่าลูกยังเล็ก ๆ อยู่ ตอนนั้นราว ๓ - ๔ ขวบเอง เลยหนีมา ๒ คนพ่อลูก พ่อเขาชื่อซีดาน ลูกชื่อซีนัส พยายามถามเขา เขาก็พูดได้บ้างไม่ได้บ้าง ปนกันสารพัดภาษากว่าจะรู้เรื่องกัน

เถรี 25-09-2013 09:53

ถาม : ตอนผมบวช ผมกลัวผิดศีลสุดชีวิตเลย นิดเดียวก็กลัว อยู่ ๆ ผมก็คิดว่า เราละโมบบุญนี่หว่า เราอยากได้บุญเยอะ ๆ ถึงได้กลัวขนาดนี้ พอคิดแบบนี้ผมหายกลัวเลย ไม่รู้คิดถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิด...การระมัดระวังศีลเป็นการระมัดระวังเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่การละโมบบุญ คุณตั้งกำลังใจผิดตั้งแต่แรก รักษาศีลก็เพื่อที่จะเอาตัวเรารอดจากอบายภูมิ รักษาศีลเพื่อให้ศีลเป็นบันไดสร้างสมาธิ เมื่อสมาธิมี ปัญญาก็จะได้เกิด เราไปตั้งใจผิดตั้งแรกแล้วว่ารักษาศีลจะเอาบุญ

ถาม : แต่ระวังเรื่องศีลแล้วสมาธิดีจริง ๆ ครับ
ตอบ : แน่นอน...เพราะต้องระวังทุกฝีก้าวเลย

เถรี 25-09-2013 10:29

มีโยมอ่านหนังสือธรรมะไปพร้อมกับขีดเน้นข้อความที่คิดว่าสำคัญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อขีดมาแล้ว เสร็จแล้วพอไปอ่านก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" อ่านใหม่ก็ "เอ๊ะ..ทำไมเราข้ามตรงนี้ไป ?" ตรงที่เราขีดก็คือกำลังใจของเราในตอนนั้น พอกำลังใจของเราละเอียดขึ้น ตรงจุดที่ไม่สะดุดก็จะมาสะดุดใหม่ แล้วก็ต้องขีดทั้งเล่มนั่นแหละ ท้ายสุดอาตมาต้องไปขอขมาพระ บังอาจใช้ความรู้แค่หางอึ่งไปวัดธรรมะของพระพุทธเจ้า

ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเรา พอกำลังใจพัฒนาขึ้นก็จะรู้ว่า "อ้อ...ที่แท้ตรงนี้เป็นอย่างนี้เอง แล้วทำไมคราวที่แล้วเราถึงไม่ได้ขีด ?" เดี๋ยวก็ขีดทั้งเล่มนั่นแหละ หลวงพ่อทำมาแล้ว ต้องบอกว่าโง่มาแล้ว"


ถาม : แล้วหนูต้องขอขมาพระไหมคะ ?
ตอบ : ก็ขอขมาในฐานะที่บังอาจเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบกับดวงอาทิตย์ แล้วมั่นอกมั่นใจด้วยว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่นี้เอง..!

เรื่องของธรรมะเป็นไปตามกำลังใจของตัว แม้กระทั่งฟังคำพูดประโยคเดียวกันก็ตีความต่างกัน ที่เขาไปขอให้อาจารย์เซนเขียนคำที่เป็นมงคลให้ในวันเปิดร้านใหม่ อาจารย์เขาก็เขียนว่า พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย เขาโกรธอาจารย์ไฟแลบเลย อาจารย์บอกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เป็นมงคลที่สุดแล้ว ถ้าลูกตายก่อนคุณ คุณจะทุกข์ใจแค่ไหน ? แล้วถ้าหลานตายก่อนลูกล่ะ ? ฉะนั้น..ที่ท่านให้ก็เรื่องของธรรมชาติ พ่อตาย ลูกตาย หลานตายก็เป็นเรื่องปกติ เจ้านั่นฟังเป็นแช่ง เพราะกำลังใจยังไม่ถึง

ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอไปถึงก็จะรู้ตรงจุดนั้นเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงอย่าเพิ่งเชื่อ..!

เถรี 26-09-2013 17:52

ถาม : มีอยู่ช่วงหนึ่งกำลังใจดี แล้วพอเผลอไม่ได้ปฏิบัติ ยุ่งกับการงาน กำลังใจก็ตก ?
ตอบ : เป็นปกติของทุกคนเลย พอเราเผลอสติ สิ่งที่ไม่ดีก็ดึงเราไป บางทีก็เอาหน้าที่การงานมาให้เราวุ่นวายจนไม่มีเวลาปฏิบัติ ฉะนั้น..ต้องแบ่งเวลาให้ได้ อย่างเช่น ก่อนนอนสักครึ่งชั่วโมง ตื่นนอนสักหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเลย พอเราเริ่มปฏิบัติ เขาก็รู้ว่าเราจะพ้นมือ ก็จะพยายามหาทางดึงให้เราไปทางอื่นแทน เรื่องของลูก เรื่องของครอบครัว เรื่องของหน้าที่การงาน โผล่มามั่วไปหมด นึกขึ้นมาได้ อ้าว..เอาอีกแล้ว

ถาม : แล้วเราอธิษฐานได้ไหมคะ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่ได้อย่างอธิษฐานไหม ? ทำเลยดีกว่า อาตมาเองช่วงปฏิบัติหนัก ๆ ต้องไปเรียนวิชาทหาร เวลาไม่มีจริง ๆ ตีห้าตื่น กว่าจะได้นอนก็ ๓ ทุ่ม ถึง ๔ ทุ่มปลุก กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตี ๒ วนอย่างนี้ไปทุกวัน แต่ด้วยความที่ภาวนาจนชิน ถึงเวลาก็ต้องลุกขึ้นมาภาวนา ถึงจะอดนอนก็ยอม ต้องหาเวลาของตัวเองให้ได้

เถรี 26-09-2013 18:04

ถาม : ถ้ามีวัดที่พรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ?
ตอบ : ถ้าวัดไหนพรมน้ำมนต์เป็นพระบรมสารีริกธาตุก็อย่าไปตื่นเต้น จากประสบการณ์ของอาตมาเอง พอทำพระบรมสารีริกธาตุตกพื้นก็หายวับไปทันที เทวดาท่านรักษา ท่านก็เอาของท่านไป ประเภทถึงเวลาพรมแล้วตกเกลื่อนพื้นเป็นไปได้ไหมเล่า ? ไปดูสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ท่านพรมน้ำมนต์ที่ไหนแล้วไปดู ท่านจะทำท่าอย่างนี้ (พรมแบบคว่ำมือแล้วเขย่า) พรมท่าอื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะโปรยพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้

ถาม : แล้วมาจากไหนละคะ ?
ตอบ : ในกำมือ สังเกตไหมว่าพรมสักพักจะเปลี่ยนมือ หมดกำแล้วก็ต้องกำใหม่ ถามว่ากำอย่างไรเราถึงไม่เห็น จะเห็นได้อย่างไร ก็ผ้าคลุมอยู่

ถาม : เห็นเขาบอกว่าตกเต็มพื้นเลย
ตอบ : นั่นแหละ..แล้วลองคิดดูว่าพระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาให้คนเหยียบเยอะขนาดนั้นเลยหรือ ? แค่เอาปัญญาตรองดูก็รู้แล้วว่าไม่จริง

เถรี 26-09-2013 18:06

ถาม : พระที่สวดพระอภิธรรมในงานหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ทำไมสวดไม่เหมือนงานทั่วไป ?
ตอบ : เป็นพระพิธีธรรมท่านสวดกัน แต่ละวันจะสวดพวกสังคหะ สหัสสะนัย พุทธภาษิตต่าง ๆ

ถาม : แล้วถ้าไปฟังแล้วไม่รู้เรื่องจะได้บุญไหม ?
ตอบ : ก็ได้บุญตรงที่ฟังด้วยความเคารพ ขนาดค้างคาวเขาฟังไม่รู้เรื่องยังไปเกิดเป็นเทวดาเลย

หมายเหตุ : http://www.youtube.com/watch?v=eKfSLGUVb9g พระพิธีธรรม ทำนองหลวง ณ วัดสระเกศ

เถรี 26-09-2013 18:13

ถาม : ผู้หญิงบางคนเวลาไปวัด มีเจตนาจะไปสึกพระ อย่างนี้จะมีผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตบมือข้างเดียวดังที่ไหนเล่า ? ยกเว้นว่าพระท่านไปยื่นหน้าให้เขาตบ..! อาตมาเคยเจอแล้วตั้งแต่อยู่วัดท่าซุง ถามเขาตรง ๆ ว่านึกอย่างไรมาหาผัวในวัด เขาบอกว่า ถ้าบวชตั้งแต่ ๕ - ๖ พรรษาขึ้นไปก็มั่นใจได้ว่าไม่เป็นเอดส์..!

จำไม่ได้ว่าใคร เขาเขียนประวัติแล้วอาตมาไปอ่านเจอ เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นมหาเปรียญ สึกมาแต่งงานกับแม่เขา ทุกมื้อที่กินข้าวแม่ต้องเอาสำรับไปประเคน เขาเคยชินมาอย่างนั้น

เถรี 26-09-2013 18:35

ถาม : ตอนไปยุโรป พระฉันอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ลำบากหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ลำบากหรอก ก็แค่ไปเข้าแถวแล้วจิ้มเอา

ถาม : แล้วไม่ต้องประเคนหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องประเคน เราจ่ายเงินให้เขาแล้ว เท่ากับเราเป็นเจ้าของเอง อาหารที่ต้องประเคนคือที่คนอื่นถวายให้

เถรี 26-09-2013 18:46

ถาม : พอจบปริญญาเอก ผมต้องเรียกว่า ด็อกเตอร์หลวงพี่ หรือหลวงพี่ด็อกเตอร์ครับ ?
ตอบ : โดยปกติพระจะใช้คำว่าด็อกเตอร์ห้อยท้ายไว้ อย่างเช่น พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร. ทางพระถือว่าชื่อที่ในหลวงพระราชทานใหญ่ที่สุด

ปัจจุบันนี้ที่เรียน เห็นประโยชน์อยู่คือว่าได้ไปเป็นอาจารย์สอน แล้วไปคอยกระตุกหางพระนิสิตบางท่าน ให้รู้ว่าหางคุณยาวเกินไปแล้วนะ..!

เถรี 26-09-2013 18:54

ถาม : ควรจะเข้าห้องพระแล้วสวดมนต์มีรูปแบบ หรือแล้วแต่เราสบายใจถึงทำ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้ามีรูปแบบเฉพาะไปเลยก็ดี เพราะกำลังใจของเราถ้ารู้ว่าเหลืองานอะไรอยู่ จะไม่คลายออกมา แต่ถ้ารู้ว่าหมดเมื่อไรจะคลายออกมาทันที บางทีก็ฟุ้งไปเลย ฉะนั้น..เอาเป็นรูปแบบแน่นอนไปเลยดีกว่า เหมือนอย่างกับเราตั้งเวลาไว้ กำลังใจถ้ารู้ว่ายังมีงานของใจอยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย ๆ พอหมดงานเมื่อไรฟุ้งเมื่อนั้นแหละ

เถรี 28-09-2013 14:16

ถาม : บางที่เขาให้ฝึกกรรมฐานในกรงเสือกรงงู ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง การที่เราจะดูความกลัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเข้าไปเสี่ยงถึงขนาดนั้น เพราะอันตรายเกินไป อยากจะดูความกลัวของตัวเอง ที่ซึ่งน่ากลัวมีเยอะแยะไป เอาไปอยู่กับเสือกับงู ถ้าพลาดก็เดี้ยง..!

เถรี 28-09-2013 14:22

ถาม : ที่บอกว่าเข้าสมาธิแล้วถอยกำลังลงมาแล้วฟังธรรมะ ผมยังไม่เข้าใจครับว่าถอยยังอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าฟังแล้วคิดได้ พิจารณาตรองตามไปได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าคิดไม่ได้ พิจารณาตามไม่ได้แสดงว่ากำลังสมาธิสูงเกิน ต้องถอยกำลังลงมา

ถาม : ถอยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ไปวิ่งสักรอบสองรอบ สมาธิที่แน่นเกินไปก็จะคลายลงมา

เถรี 28-09-2013 14:24

ถาม : ขณะที่เรานอน ยังคิดอยู่เรื่อย ?
ตอบ : สภาพจิตยังปรุงอยู่ แต่ว่าบางทีเราก็ไม่รู้ตัว

ถาม : พอเวลาฟุ้งระหว่างหลับ เรายังมีความคิดตลอดเวลา เราควรต้องหยุด ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าคิดอยู่ก็แปลว่าหลุดไปจากลมหายใจแล้ว

เถรี 28-09-2013 19:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ สมัยก่อนเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองมาก เข้าถึงผู้ปกครองทุกระดับชั้น แต่ไม่เคยยึดว่าจะต้องเป็นของตัวเอง ดูแค่ประเทศไทย ตั้งแต่สุโขทัยมาจนถึงบัดนี้ ศาสนาฮินดูเข้าถึงพระมหากษัตริย์ทุกระดับ แต่ศาสนาฮินดูไม่เคยขอให้พระมหากษัตริย์บังคับให้คนในประเทศไทยถือศาสนาฮินดูเลย"

เถรี 28-09-2013 19:36

ถาม : ถ้าเราไม่ได้บูชาวัตถุมงคล แต่นึกบูชาพระรัตนตรัย จะปลอดภัยเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจพอก็ได้

ถาม : กำลังใจพอนี่ต้องเท่าไรครับ ?
ตอบ : สามารถนึกถึงพระท่านได้ตลอดเวลา วัตถุมงคลทุกอย่างเกิดจากพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเรานึกถึงพระได้เป็นปกติ ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าประมาทเกินไป ท่านยกตัวอย่างหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่ปานท่านยังพกวัตถุมงคลของท่านเป็นปกติ แต่วันนั้นจะสรงน้ำ วัตถุมงคลอยู่ในกระเป๋าอังสะ ถอดอังสะเพื่อจะสรงน้ำ โดนเขาเล่นงานเสียล้มตึงเลย..!

ท่านบอกคนเรามีเวลาเผลอขาดสติได้ แต่ถ้าเราอาราธนาวัตถุมงคลป้องกัน พรหมเทวดาท่านไม่เผลอ ท่านรักษาให้ เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดว่าเราสามารถภาวนาได้โดยไม่เผลอเลย ไม่ต้องมีวัตถุมงคลก็ได้ อาตมาเองสมัยก่อนก็ไม่พกเหมือนกัน พอไปเจอ ๒ - ๓ ครั้งก็รู้ว่าเรามีสิทธิ์เผลอได้ ขนาดพกแล้วยังโดนผีบีบคอเสียเกือบตาย สงสัยว่าทำไมวัตถุมงคลไม่ช่วย หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ก็แกไม่อาราธนา ท่านก็นั่งมอง ดูว่าใครจะวางเฉยได้มากกว่า" ในเมื่อไม่ขอให้ท่านช่วยท่านก็นั่งมองเฉย ๆ


ถาม : อย่างนี้ต้องอาราธนา ทุกเช้าและทุกกลางคืน ?
ตอบ : จะเอาให้แน่ก็อาราธนาเช้าเย็น อาราธนาตอนเช้าเผื่อเวลากลางวัน อาราธนาตอนเย็นเผื่อเวลากลางคืน

ถาม : ถ้าอาราธนาแล้วไม่พกติดตัว ?
ตอบ : อาราธนาอย่างนั้นก็ต้องนึกถึงพระตลอด ถ้าพกติดตัวอาราธนาครั้งเดียวก็พอ

เถรี 01-10-2013 12:17

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ เคยปลุกเสกตะกรุดเมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย..ท่านมีแต่จารให้ไม่กี่ดอก

ถาม : มีคนบอกครับว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปลุกเสก
ตอบ : ใครบอกว่าหลวงพ่อทำขนาดปลุกเสก ไม่ต้องไปฟังเขาเลย ในชีวิตอาตมาเห็นท่านจารอยู่ ๒ ครั้งเอง ถ้ารวมกับที่ท่านเล่าตอนทำให้เด็กโดนไสยศาสตร์ที่สมุทรสาครด้วยก็ ๓ ครั้ง แล้ว ๓ ครั้งนั่นเป็นของอาตมาไป ๓ ดอก

วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืดกำลังทำกรรมฐานอยู่ ท่านก็มายื่นพานใส่ตะกรุดให้ บอกว่าแหวนจักรพรรดิก็มี ลูกแก้วมณีรัตนะก็มี ยังจะเอาของอย่างนี้อีก ท้ายสุดก็เลยต้องเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน สรุปว่าเป็นความโง่ของอาตมาเองที่ใช้ของอื่นไม่เป็น แสดงว่าของอื่นมีอานุภาพเหมือนกันนั่นแหละ แต่ตอนนั้นอยากได้แต่ตะกรุด..!

เถรี 01-10-2013 12:25

ถาม : พระที่แจกตอนไปกฐินที่ภาคใต้ครั้งก่อน ชื่อพระอะไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ค่อยได้ตั้งชื่อพระกับใครเขา เดี๋ยวปีหน้า (๒๕๕๗) จะไปใต้อีกรอบ ทิ้งไปนานเดี๋ยวโบสถ์ไม่เสร็จ นาน ๆ ลงไปกินข้าวปักษ์ใต้ทีหนึ่งก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน พวกเรานอนกันสบาย ไม่รู้ว่าทหารทั้งกองร้อยเขาลาดตระเวนกันทั้งคืน เขากลัวแขกบ้านแขกเมืองจะเป็นอันตราย พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นทหารถือปืนก็วิ่งไปขอถ่ายรูป

พระรุ่นที่ลงปักษ์ใต้นั่นตั้งใจทำเป็นมหาอุดนะ ถ้าอยากรู้ว่าเหนียวจริงหรือเปล่าให้ไปลองยิงดู เพราะว่าลงปักษ์ใต้ไม่รู้ว่าจะโดนปืนหรือโดนระเบิด จำเป็นขึ้นมาก็ต้องทำ ปกติแล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ให้ทำมหาอุด ท่านบอกว่าสายของเราที่พอดีไม่มี ส่วนใหญ่จะเกิน ขืนทำมหาอุดถ้าไม่ไปเป็นโจรก็เอาไปรังแกคนอื่นเขา..!

เถรี 01-10-2013 12:30

ถาม : ฝันว่าได้คุยกับท่าน ท่านบอกว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แผ่เมตตา ให้มาเอาตะกรุดหนังเสือของหลวงพ่อ ไม่รู้คิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ตอบ : เสียดาย..ฝันเร็วไปหน่อย ถ้าฝันช้ากว่านี้น่าจะมีให้

พวกตะกรุดหนังเสือ ทำเมื่อไรพวกอนุรักษ์ก็มองตาเขียวเมื่อนั้น ทั้ง ๆ ที่เสือก็ตายไปแล้ว ฟื้นไม่ได้สักหน่อย แล้วที่ได้มาก็ไม่ได้มาจากอะไรหรอก พวกป่าไม้เพิ่งจับมา คดีจบแล้วแล้วเขาก็เอาของกลางมาถวายไว้อาตมาเองไม่มีอารมณ์จะไปนั่งหลังเสือหรอก เลยคิดว่าเก็บไว้ทำตะกรุดดีกว่า

เถรี 01-10-2013 12:38

ถาม : การที่เกิดซาโตริ คือ ศีลสมาธิพอใช้ได้แล้ว ก็เลยทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้นแหละ

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาสิคะ ?
ตอบ : ก็ต้องใช้คำว่าคิดได้ จะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นการพิจารณาเหมือนกัน ก็คือเกิดความเข้าใจขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางคนอาจจะเกิดทีเดียวได้มรรคได้ผลไปเลย บางคนก็ได้เป็นลำดับ ๆ ไป ตามกำลังใจของตัว

ถาม : ปกติเวลาพิจารณาแล้วไม่ค่อยได้อะไร หมายถึงตอนพิจารณาแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะมาได้อีกทีตอนที่ไม่ได้พิจารณา บางทีก็อยู่เฉย ๆ บางทีก็อยู่ในสมาธิ อย่างนี้เน้นเรื่องสมาธิเป็นหลัก ไม่เน้นพิจารณาน่าจะได้เร็วกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : พิจารณาไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนพิจารณากำลังยังไม่พอ ก็จะมาส่งผลให้หลังจากนั้นแล้ว ลองคิดดูซิว่า ถ้าเราไม่ได้พิจารณามาก่อน แล้วเราจะเอาต้นทุนที่ไหนมาเข้าใจได้ ?

ถาม : อย่างถ้าจะเกาะบันไดขั้นแรกก่อน แต่เวลาพิจารณาจะทำตามหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ ซึ่งท่านก็จะบอกยันปลายทุกที การที่พิจารณาตามอย่างนั้นจะเป็นการทำเกินหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เกิน..พอถึงเวลาได้ก็ได้ตามกำลังของเรา ส่วนเราจะพิจารณาขนาดไหนเป็นเรื่องของเราเอง พระพุทธเจ้าเทศน์ทุกครั้งท่านตั้งใจให้คนฟังเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นกันทุกคนไหมเล่า ? ก็ได้กันไปตามกำลังของตน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:45


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว