ถาม : มีคนที่เขาจะมาปฏิบัติธรรม แล้วสามีถามว่าคุณมีทุกข์อะไรถึงต้องไปปฏิบัติธรรม แล้วตอบไม่ถูก ?
ตอบ : ก็บอกไปว่า “เพราะมีแกเป็นผัว..!” มีอะไรก็ว่าไปตรง ๆ ถาม : มีแบบเบา ๆ กว่านี้หน่อยไหมคะ ? ตอบ : ไม่ได้..ต้องหมัดเดียวอยู่...อย่าเสียเวลาไปต่อยหลายที..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของยศ เรื่องของตำแหน่ง เป็นยศช้างขุนนางพระก็จริง แต่เมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องเรียกตามนั้น โดยเฉพาะพวกพระครูสัญญาบัตรที่ในหลวงพระราชทานให้ ถ้าไม่เรียกตามนั้นถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย
ฉะนั้น..ไม่ใช่เรื่องของการบ้ายศบ้าเห่อหรอก แค่ว่ากันไปตามสมมุติ ในเมื่อทางโลกเขาสมมุติให้มียศ เรารับมาก็ให้มีสติรู้ตัวไว้ บาลีท่านว่า ยะโส ลัทธา นะ มัชเชยยะ บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา แรก ๆ เขิน เดี๋ยวก็หน้าด้าน เอ๊ย..ไม่ใช่ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ...(หัวเราะ)..." |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ที่หน้าวัดท่าขนุนนั้น พระครูวิโรจน์ฯ ท่านบอกงบฯ สามล้านบาทก็อยู่ อาตมาจ่ายไปสิบสองล้านบาทแล้ว ยังเหลือการปูกระเบื้องข้างบนและมุงหลังคาศาลา ๔ ทิศ ตอนแรกศาลา ๔ ทิศกะว่าจะเอาไว้เป็นที่นั่งพักร้อน แต่ดูไปดูมาแล้ว คิดว่าเอาหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ไปตั้งไว้เลยดีไหม ? พอถึงเวลาเขาไหว้หลวงพ่อสมเด็จองค์ใหญ่แล้วเขาจะได้วนไหว้ครูบาอาจารย์ต่อไปเลย
ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่สาย ก็คือหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ ครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤๅษีคือหลวงปู่ปาน ฉะนั้น..ก็คงจะต้องหล่อรูปหลวงปู่เดิม หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤๅษีขึ้นมาจะได้ครบ ๔ ทิศพอดี เอาครูบาอาจารย์ไว้หน้า หลวงปู่เดิมอยู่ซ้าย หลวงปู่ปานอยู่ขวา หลวงพ่อฤๅษีกับหลวงปู่สายอยู่ข้างหลัง รูปหล่อหลวงปู่สายมีอยู่แล้วไม่ต้องทำเพิ่ม" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้ที่ตั้งอยู่ในความนุ่มนวล ตั้งอยู่ในความอ่อนโยนต้องประกอบไปด้วยอปจายนมัย คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้อื่นเขา ไปไหนก็เป็นผู้ที่ไม่กระด้าง มักเป็นผู้ยิ้มก่อน ทักก่อน ไหว้ก่อนเสมอ แต่อาตมาเองเพิ่งจะหน้าแตกกับฝรั่งมา เดินจากการดูงานที่ปากซอยเข้าวัด ฝรั่งเขาเดินสวนมา อาตมาทัก “Hello” เขาก็ “สวัสดีครับ” เสียหมาเลย จะชวนคุยเสียหน่อยมาสวัสดีครับ เล่นเอาหมดอารมณ์เลย
จะว่าไปแล้วฝรั่งเขาไปประเทศไหน เขาพยายามศึกษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ มาแล้วเขาก็ยกมือไหว้อย่างนี้ อาตมาดูก็รู้สึกดี อย่างน้องเมย์ รักชนก ที่ไปแข่งแบดมินตันได้รองแชมป์ออลอิงแลนด์มา ฝรั่งเขาชมว่าเป็นนักกีฬาที่อ่อนน้อมน่ารักมาก เพราะไหว้คนดูทุกครั้ง แล้วเขาก็รู้ว่าการไหว้คือการแสดงออกซึ่งความอ่อนน้อม ลักษณะให้เกียรติคนดู คือไหว้ขอบคุณหลังจากที่แข่งเสร็จแล้ว ขอบคุณที่อุตส่าห์มาดู ทำให้ต่างชาติเขาซึมซับวัฒนธรรมไปด้วย แล้วอีกอย่างหนึ่งน้องเมย์เขายังเด็กอยู่มาก เพิ่งอายุ ๑๗ ปี ยังมีโอกาสพัฒนาฝีมือได้อีกมาก" |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนตอนบิณฑบาต โยมคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงปู่สาย ถามว่า “วันนี้พระอาจารย์อยู่วัดหรือเปล่า ?” อาตมาบอกว่า “อยู่..แต่มีบวชพระนะ ถ้าโยมจะไปให้ไปหลัง ๙ โมง” ปรากฏว่า ๙ โมงกว่า ๆ โยมเขาก็มาเอาซองปัจจัยมา ๔ ซอง ขอร่วมสร้างศาลาด้วย พอโมทนาเสร็จสรรพเขากลับไป
คนที่วัดจึงรายงานว่า เขามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอดีอาจารย์พักอยู่ ไม่ได้พบ บอกให้เขาฝากไว้ก็ไม่ยอมฝาก สรุปว่าดีที่ป้าไม่ตายเสียก่อน ยังมีโอกาสได้ทำ ถ้าป้าตายก่อนพระขาดทุน ป้าตั้งใจทำก็ได้บุญไปแล้ว บางคนยังยึดติดตัวบุคคลอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องศรัทธาเป็นเรื่องแปลก ถ้าเราดูในพระไตรปิฏกจะชัดที่สุดตรงพระสีวลี เทวดาที่เป็นเพื่อนร่วมกองบุญของพระสีวลีในชาติที่ท่านเป็นคนตัดฟืน แล้วเอารวงผึ้งสดมาร่วมปิดกองบุญให้ชาวบ้านเอาชนะพระราชา เทวดาลงมาทำบุญกับพระสิวลี แต่ไม่สนใจพระพุทธเจ้าเลย คนนั้นก็ “พระผู้เป็นเจ้าของเราอยู่นี่” คนนี้ก็ “พระผู้เป็นเจ้าของเราอยู่นี่” พระพุทธเจ้านั่งอยู่ไม่แลเลย พระสีวลีรับไทยธรรมข้าวปลาอาหารเสร็จก็น้อมถวายพระพุทธเจ้า แล้วก็แจกคณะสงฆ์ ได้ครบ ๕๐๐ ท่านพอดี คราวนี้เห็นหรือยังว่าศรัทธานั้นเฉพาะเจาะจงขนาดไหน ถ้าครูบาอาจารย์หลายท่านศึกษาพระไตรปิฏก จะเห็นว่าอย่างพระมหากัจจายนะมาจากกรุงอุชเชนี พาพระภิกษุติดตาม ๒๐๐ รูป พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสรรเสริญว่าพระมหากัจจายนะเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้ อบรมลูกศิษย์ได้ดี ทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา ติดตามบวชเป็นจำนวนมาก พอพระอุรุเวลกัสสปะพาบริวาร ๕๐๐ มา พระพุทธเจ้าก็ตรัสสรรเสริญว่าท่านมีความสามารถ ท่านไม่ได้หวงลูกศิษย์เลย ใครเก่งท่านก็บอกให้รู้ ชาวบ้านจะได้ไปทำบุญ เพราะบางทีก็ร่วมสายบุญกับท่านมา ได้ยินเกิดศรัทธาเลื่อมใสก็จะได้ไปหา" |
"เมื่อเป็นดังนั้นเราจะเห็นว่า บุคคลที่หมดกิเลสจริง ๆ คิดคนละอย่างกับเรา สิ่งที่บุคคลที่หมดกิเลสคิดก็คือ ทำอย่างไรจะเสริมสร้างความดีให้แก่ผู้อื่น ทำอย่างไรจะให้พระศาสนาแผ่กว้างไกลออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่คนที่มีกิเลสจะไปคิดว่า ทั้งหมดจะต้องมารวมศูนย์อยู่ที่ตัวเราเอง ฉะนั้น..แม้ว่าจะเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสริมกัน เพราะเกรงว่าเสริมแล้วลูกศิษย์จะไปใหญ่กว่าหรือมีคนศรัทธาเลื่อมใสมากกว่า ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ทำให้ในเรื่องของพระศาสนาเราไม่ค่อยจะกว้างไกล
อย่างที่อาตมาทำก็คือวัดไหนเขาเดือดร้อนก็นำเอากฐินไปช่วย อย่างน้อย ๆ เราช่วยไม่ได้มาก ก็เอาปีละวัดสองวัดก็ยังดี ถ้าทุกท่านที่มีกำลังทำลักษณะนี้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างที่พูดไปเมื่อเช้าก็คือ “บุคคลที่มีมากก็เฉลี่ยให้ผู้ที่มีน้อย บุคคลที่มีน้อยก็พยายามขวนขวายเพื่อตัวเองบ้าง” ทุกอย่างก็จะไปได้ดี การพระศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรือง ดูอย่างพระครูเอกของเรา ท่านเองก็ยังยืนไม่เต็มสองขาเลย เอากฐินเงินล้านไปช่วยตุ๊ป้อสิงห์แล้ว ในเรื่องอย่างนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า คนที่ทำเพื่อส่วนรวมจะคิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ถ้าคนที่ทำเพื่อตัวเองจะคิดอีกอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง คนที่ทำเพื่อส่วนรวมจะกระจายออก คนที่ทำเพื่อตัวเองก็จะรวบเข้า จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ กำลังของใครแค่ไหนก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ทำแค่นั้น เพียงแต่ว่าเรื่องปกติแบบนี้ สำหรับท่านที่กำลังใจดีแล้ว อาจจะแค่เห็นแล้วแสดงธรรมสังเวชเฉย ๆ ท่านที่กำลังไม่ดีก็อาจจะสร้างเวรสร้างกรรม ด้วยการเอ่ยปากตำหนิว่าเขาไปอีก ก็เลยกลายเป็นแทนที่คนอื่นจะลงต่ำ ก็กลายเป็นโดดลงไปกับเขาด้วย ทั้งสติ ทั้งสมาธิต้องเท่าทัน จะได้ระมัดระวังรักษาตัวเองเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะเผลอโดดลงไปกับเขาด้วย" |
"ถ้าอ่านหนังสือเรื่องเพชรพระอุมา แงซายไม่ค่อยนอนตอนกลางคืน ขนาดรพินทร์ย่องไปแงซายก็ยังรู้ตัวทุกที แอบเตะแงซายก็กันทัน รพินทร์เขาถามว่า “ทำไมไม่หลับไม่นอนบ้างวะ ?” แงซายบอกว่า “หลวงพ่อพระธุดงค์บอกว่า เจ้าจงตื่นขณะที่โลกหลับ” แงซายของเราตีความธรรมะพระพุทธเจ้าเหลือสลึงเดียว เลยไม่ยอมนอน
แทนที่เราเองมีวิชชา มีปัญญาเอาตัวรอดจากกระแสโลก ไม่โดนอวิชชาบดบังจนมืดบอดเหมือนกับบุคคลอื่น ไปตีความว่ากลางคืนให้ตื่น แบบเดียวกับสิงคาลมาณพที่ไปไหว้ทิศ พ่อสอนไว้ก่อนตายว่าจงไหว้ทิศทั้งหก ก็ไปไหว้ซ้าย ไหว้ขวา ไหว้หน้า ไหว้หลัง ไหว้บน ไหว้ล่างทุกวัน พระพุทธเจ้าเดินไปเห็นว่าเคร่งครัดดี ในเมื่อเคร่งครัดดีจึงตรัสสอนว่า การไหว้ทิศตามที่พ่อสอนนั้นเป็นการดี เพราะทำตามคำสั่งของพ่อ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที แต่ถ้าเป็นตถาคต ตถาคตจะไหว้ทิศอย่างนี้ แล้วพระองค์ท่านก็บอกให้ว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่างคือข้าทาสบริวาร ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายมิตรสหาย ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา เราเห็นได้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง ๆ นั้น ประยุกต์เข้ากับยุคสมัย ไม่คัดค้านใคร คล้อยตามเขาแล้วนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่า พระองค์ท่านไปสอนชฎิล ๓ พี่น้องก็เหมือนกัน ชฎิล ๓ พี่น้องท่านบูชาไฟ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสรรเสริญการบูชาไฟเป็นของดี แต่ถ้าตถาคตจะบูชาไฟอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกว่า ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ราคะเป็นไฟ โทสะเป็นไฟ โมหะเป็นไฟ เป็นไฟเผาผลาญให้ร้อน ร้อนด้วยอะไร ร้อนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าใครดับได้ก็เย็นสบาย พอชฎิล ๓ พี่น้องส่งกำลังใจตามคล้อยตามพระธรรมก็บรรลุมรรคผล ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คัดค้าน พระองค์ท่านอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่สุดโต่ง ๒ ด้าน เขาเชื่อว่าทรมานตนแล้วจะบรรลุ กับเชื่อว่าเสพสุขให้เต็มที่จนเบื่อไปเองแล้วจะหลุดพ้นได้ ในเมื่อพระองค์ท่านไปเสนอแนวทางใหม่ ถ้าไปค้านเขาตรง ๆ คนที่เชื่อฝังหัวว่าต้องอย่างนั้นก็จะไม่ยอมรับ ในเมื่อพระองค์ท่านไม่ค้าน แถมชมว่าของเขาดี เขาก็มีกำลังใจ และรู้สึกว่าพระองค์ท่านเป็นพวกเดียวกัน คราวนี้พูดอะไรเขาก็จะฟัง แล้วคนสมัยนั้นปัญญาเขามาก ในเมื่อพูดแล้วฟัง คิดตามไปก็ได้มรรคได้ผลกันไป ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธแผ่กระจายได้กว้างขวางรวดเร็วมาก" |
ถาม : ป่าที่เมืองไทยมีที่ไหนที่เหมาะแก่การปฏิบัติบ้างครับ ?
ตอบ : ป่าสอยดาว ป่าภูกระดึง ที่เหมาะมาก ๆ อีกแห่งหนึ่งก็ป่าน้ำหนาว ป่าสอยดาวอยู่จันทบุรี ป่าน้ำหนาวอยู่เพชรบูรณ์ ส่วนภูกระดึงคงไม่ต้องบอก ไปกันจนปรุแล้ว ที่ภูเขียวก่อนหน้านี้ก็เหมาะมาก ๆ ตอนนี้ป่าเริ่มลดน้อยถอยลง สมัยก่อนมีกระทั่งตัวเบื้อ สมัยนี้ไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่หรือเปล่า ? ตัวเบื้อเป็นมนุษย์ประเภทหนึ่ง แต่มีชีวิตอยู่คล้าย ๆ สัตว์เดรัจฉาน ก็คืออยู่กับป่า กินกับป่า ลักษณะเด่นก็คือไม่มีหัวเข่า ถ้าหกล้มต้องตะกายหาต้นไม้ เกาะแล้วสาวตัวเองให้ยืนถึงวิ่งต่อได้ เพราะขาพับไม่มี สมัยก่อนชาวบ้านเขาล่ามากินด้วยนะ เอาตัวผู้มาย่างกิน เอาตัวเมียมาทำเมีย เราเห็นเขาเป็นสัตว์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนดี ๆ นี่เอง พวกนี้ถ้าเจอพระธุดงค์เขาจะมาขอพวกเกลือ แต่ถ้าเจอชาวบ้านจะวิ่งหนี เพราะเขารู้ว่าขืนอยู่ตายแน่ เขาอยู่ในป่าแล้วขาดเกลือ ก็จะมาขอ แรก ๆ ก็คงไม่ได้เจตนาจะมาขอหรอก พอมาใกล้พระท่านก็เมตตา มีอะไรก็ส่งให้ คราวนี้พอกินเกลือเข้าไปแล้วชอบก็ติดใจ เราจะเห็นว่ารส ก็ทำให้ยึดติดได้ ถาม : ตอนนี้ยังมีไหมคะ ? ตอบ : ไม่แน่หรอก..บางทีอยู่ลึก ๆ ก็มี ผีเสื้อห้วยที่บางคนเรียกว่า กองกอยก็ยังมีอยู่ คุณโจ๋ย บางจากไปถ่ายทำสารคดี บอกว่าพวกนี้เร็วจนถ่ายรูปไม่ทัน ขนาดตั้งกล้องดักไว้ พอกล้องลั่นเขาโดดหนีเร็วขนาดกล้องจับภาพไม่ทัน เห็นแต่ปลายเท้านิดเดียว |
"คุณโจ๋ยเป็นคนลุยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่ตายก็บุญโขแล้ว โดนวัวกระทิงหลอก พาไปให้ต่อหลุมต่อยแทบปางตาย โดนต่อหลุมต่อยหนีจนไม่มีปัญญาจะหนี ในที่สุดลากสังขารโซเซกลับที่พักได้ คว้ายาพาราฯ มากำหนึ่งใส่ปาก กรอกบรั่นดีตามไปครึ่งขวด แล้วก็นอนซม ปรากฏว่าหาย โดนต่อต่อยจนนับไม่ถ้วน คนเราโดนทีเดียวก็แย่แล้ว
คุณโจ๋ยไปตามถ่ายรูปกระทิง กระทิงก็ฉลาด พาหลอกไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็ยืนนิ่งให้ถ่าย ที่ไหนได้พอได้จังหวะกระทิงกระทืบหลุมต่อ แล้วก็วิ่งหนีเลย ปล่อยให้ต่อฮือออกมาเจอคนแทน ไอ้ตัวนี้แสบมาก อะไรจะหลอกคนได้ปานนั้น จริง ๆ แล้วจะว่าไปสัตว์มีความคิดเหมือนคนทุกอย่าง อาตมาเองเคยนิมิตเห็นตัวเองเป็นสัตว์นี่รู้เลย ความคิดเหมือนคนทุกอย่าง โกรธได้ เกลียดได้ รักได้หมด เพียงแต่ว่าพูดภาษาคนไม่ได้เท่านั้นเอง" |
ถาม : ในชาดกต่าง ๆ ที่เขาบอกว่าคนและสัตว์สามารถคุยกันได้ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของสัตว์ เขามีภาษาเสียง ภาษากาย และภาษาใจ ส่วนใหญ่เราพยายามเข้าใจภาษาเสียงกับภาษากายของเขา ภาษาใจเราไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็เลยสื่อกับเขาได้ไม่เต็มที่ ที่เขาบอกว่าสมัยโบราณที่สัตว์พูดได้นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่สัตว์พูดได้หรอก สัตว์พูดตามปกติ แต่คนเข้าใจเขาได้ สมัยนี้กำลังใจของเรามืดขึ้นมาเยอะ ก็เลยทำให้เราไม่เข้าใจเขาเหมือนเมื่อก่อน |
ถาม : เคยลองคุยให้เขาข้ามฝั่งมาฝั่งที่ผมอยู่จะได้ให้อาหาร ปรากฏว่าสัตว์เขาข้ามมาจริง ๆ ครับ
ตอบ : สัตว์ฉลาดกว่าเราจึงเข้าใจเราได้ ถึงเวลาเขาว่าเรากลับไม่เข้าใจเขา อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าช้างรู้ภาษาทุกตัว อาตมาก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? พอเจอเข้าปรากฏว่าเขารู้ภาษาจริง ๆ ตอนอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า พวกช้างเขาหากินเต็มห้วย อาตมาเองไม่ไปก็ไม่ได้ สองฝั่งข้าง ๆ รกหมดออกไม่ได้ ต้องไปตามห้วย ถ้ารอช้างก็ไม่รู้ว่าเขาจะหากินอีกนานเท่าไร ก็เลยพูดว่า “ช้างจ๋า..ขอไปหน่อยจ้ะ” ช้างทั้งหมดหยุดกึก หันมามอง พอเห็นเป็นพระเขาก็ทำตัวลีบติดข้างห้วยให้อาตมาเดินไป อาตมาก็เดินตะแคงข้างมองไป “มึงอย่าขยับนะ..ขยับเมื่อไรกูวิ่งก่อนเลย..!” อีกครั้งหนึ่งก็ซื้ออ้อยใส่รถไป กะว่าเจอช้างที่ไหนก็จะเลี้ยง ปรากฏว่าผ่านตรงพุถ่องเขามีช้าง ๓ เชือก กำลังเดินตามกันอยู่ เขาเลิกรับนักท่องเที่ยวแล้ว กำลังจะกลับที่พัก อาตมาก็ให้คนขับชะลอรถ แล้วตะโกนบอกเขาซึ่งอยู่คนละฝั่งถนนกันว่า “ขอเลี้ยงช้างหน่อยได้ไหม ? มีอ้อยมาครึ่งคันรถ” พอได้ยินว่ามีอ้อยมาครึ่งคันรถ ช้างหยุดกึกแล้วข้ามมาเองเลย ไม่ต้องรอให้เจ้าของบังคับเลย คราวนี้ก็เอาอ้อยเลี้ยงกันสนุกสนาน ปรากฏว่าช้างเชือกหนึ่งพยายามเอางวงล้วงเข้าไปในรถ เจ้าของกระทุ้งด้วยด้ามขอช้างก็ไม่ฟัง อาตมาก็สงสัยว่าอะไร พอเปิดฝาท้าย..ช้างล้วงเอาแตงแคนตาลูปออกมา อาตมาซื้อแคนตาลูปไป ๒ ลูกจากร้านของเจียไต๋ กลิ่นหอมมาก คราวนี้จะทำอย่างไร ? ช้างมี ๓ ตัวแตงแคนตาลูปมีแค่ ๒ ลูก ผ่าแล้วก็ได้ ๔ ชิ้น ไม่รู้จะแบ่งอย่างไรให้ลงตัว เอ็งเอาไปคนละซีกก็แล้วกัน อีกซีกหนึ่งคืนพระมา..! เวลาเห็นเขากินแล้วก็สงสารเขา ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ต้องการอาหารมาก กินทีหนึ่งประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ กิโลกรัม บางทีอาตมาซื้อสับปะรด ๒๐๐ กว่าลูก เต็มรถกระบะเลย เอาไปเลี้ยงเขา คราวนี้ช้างมีจำนวนมาก ลองนับ ๆ ดูได้ตัวหนึ่งประมาณ ๑๐ กว่าลูกเท่านั้น แล้วจะไปพอยาไส้อะไร บางตัวกินไปน้ำตาไหลไป นาน ๆ ถึงจะได้กินของอร่อยแบบนี้ที ถ้ามะละกอที่วัดท่าขนุนออกมาก ๆ แกงเลี้ยงพระเลี้ยงเณรไม่ไหวก็เก็บใส่รถเอาไปเลี้ยงช้าง แล้วช้างฉลาดมากเลย เขาจะเหยียบมะละกอให้แตกก่อนแล้วสะบัดเมล็ดทิ้งค่อยกิน เพราะเมล็ดมะละกอขม เขาเหยียบแตกกร๊อบเลย แล้วเอางวงจับสะบัด ๆ เมล็ดร่วงหมดแล้วค่อยกิน มะละกอดิบ ๆ นี่แหละ จะดิบจะสุกขอให้ทีเถอะ..เขากินได้หมด... |
ถาม : ชาวลับแลบรรลุธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าชาวลับแลที่เป็นมนุษย์ เขาบรรลุธรรมได้ แต่พวกกองกอยอยู่ในภพอสุรกายก็มี ในภพของเดียรัจฉานก็มี บรรลุธรรมไม่ได้ คือภพภูมิต่ำเกินไป ก็เลยทำให้ความมืดบอดมีมาก ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีศีลรองรับ ในเมื่อไม่มีศีลเป็นพื้นฐานรองรับ การก้าวไปสู่ธรรมมะที่แท้จริงก็ไม่มี ถาม : แล้วที่เขาบอกว่าผีกองกอยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่หวงสมบัติจริงหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ใช่..เป็นบริวารของนางพันธุมวดี โดนปุโรหิตมันตรัยสาป ..(หัวเราะ).. ไปอ่านในเพชรพระอุมาสิ เขาอธิบายไว้ชัดเลย พออาณาจักรพันธุมวดีล่มสลาย พวกชาวบ้านก็โดนปุโรหิตมันตรัยสาปกลายเป็นผีกองกอยหมด กรุณาอย่าเชื่อตามนี้นะ..! |
ถาม : คนที่ใช้ทิพจักขุญาณในการเป็นหมอดูเพื่อสงเคราะห์คน ควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก..กำหนดราคาให้แน่ชัด อันดับสอง..รักษาศีลสมาธิและทิพจักขุญาณให้ทรงตัว อันดับที่สาม..อย่าปล่อยให้ลูกค้าซักถามต่อหน้า ถ้าเขาอยากรู้อะไรให้เขียนถามมา แล้วเราก็เขียนตอบไป อย่าเจอหน้ากัน ถ้าให้ลูกค้าซักถามต่อหน้าแล้วสมาธิเราไม่ทรงตัวจริง ๆ เดี๋ยวอารมณ์เสีย พอจิตใจขุ่นมัวแล้วสิ่งที่เรารู้จะผิดพลาด |
ถาม : การรับมือกับอากาศร้อน ?
ตอบ : กินของเย็น คนจีนเขามีน้ำจับเลี้ยง หรือถ้าไม่กลัวไข้จับก็กินแตงโมสักชิ้นใหญ่ ๆ คราวนี้เดินตากแดดยิ้มได้เลย เพราะข้างในร่างกายเย็นแล้วนี่ ไม่เดือดร้อนแล้ว ลองดูได้ ถาม : หากเราไม่สนใจในร่างกาย จะระงับเวทนาได้หรือไม่ ? ตอบ : ระงับไม่ได้ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ร่างกายก็คงเจออาการปกติแต่ทำไม่รับรู้มัน ร้อนก็ทำเป็นไม่ร้อน หนาวก็ทำเป็นไม่หนาว อย่าถามว่าทำได้หรือเปล่า...อาตมาเคยทำให้ทิดตู่ดูตอนสมัยเป็นเณร อาตมาโดนบุ้งคันซะจนตัวเป็นคางคกเลย เขาสงสัยว่าทำไมอาตมาไม่เกา อาตมาก็บอกว่าอย่าไปสนใจมันสิ ทำไม่รู้ไม่ชี้ก็หมดเรื่อง ตอนนั้นบุ้งขึ้นไปกินต้นประดู่ส้ม หรือที่บางคนเรียกว่าประดู่เลือด แล้วทิ้งขนไว้เต็มเลย เวลาลมพัดมาถูกก็คัน เราอยู่กับมันมาหลายปีไม่มีปัญหา ปรากฏว่าครั้งนั้นคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ไปอยู่ปฏิบัติธรรม ถ้ารู้สึกนามสกุลคุ้น ๆ เขาบอกว่าญาติ ๆ กันนั้นแหละ ปรากฏว่าคุณจิราแกเป็นภูมิแพ้อยู่ พอไปโดนขนบุ้งเข้าแกบวมแบบหายใจไม่ออก จะตายเอา เราก็ว่าถึงเวลาจัดการแล้ว ซึ่งไม่มีใครกล้าก็ต้องปีนขึ้นไปตัดเอง คราวนี้บุ้งทั้งดง เราโดนตั้งแต่หัวถึงเท้า ตัดเสร็จลงมานี่เห่อไปทั้งตัว หนังเป็นตุ่มซ้อนตุ่มหนาไปทั้งตัว หัวหูปิดหมด ตอนนั้นทิดตู่เป็นเณรเขาก็สงสัย หลวงพี่ครับ ทำไมไม่เกา ? ถ้าเกาก็ตายสิ ก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ไป |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เราต้องเห็นก่อน พอเห็นแล้วจะเกิดความอยาก แล้วจะทำเอง ตอนแรกให้เห็นก่อนเหมือนกับเห็นเงาในน้ำ ตอนนี้เราล้วงมือไปน้ำแตกกระจายหมดเพราะยังเป็นเงาในน้ำ พยายามรวบรวมเอาไว้ เดี๋ยวพอเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาก็จับได้ต้องได้เอง ก็แปลว่าเราต้องใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเราให้มากกว่านี้ ซักซ้อมให้เข้มข้นกว่านี้ ถาม : ช่วงนี้กำลังศึกษาคำสอนของหลวงพ่อชาอยู่ค่ะ ตอบ : ท่านบอกว่าให้รักษากำลังใจตัวเองเหมือนแมงมุม แมงมุมชักใยออกไปทุกทิศทุกทางแล้วก็นิ่งอยู่ตรงกลาง เวลาอะไรกระทบตรงไหนมันก็รู้ สุดยอดเลย ท่านเปรียบแล้วเห็นชัดดี จริง ๆ แล้วถ้าใจเรานิ่งกิเลสอะไรมากระทบก็รู้ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อ่านภาษาอีสานเป็นภาษากลางได้นี่สุดยอดเลยนะ โดยเฉพาะลูกศิษย์หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่คำคะนิงเทศน์เป็นภาษาลาวพวน แล้วเขาแปลภาษาลาวพวนเป็นภาษาลาวอีสาน จากนั้นเขาแปลจากลาวอีสานมาเป็นไทยกลาง เพราะฉะนั้นประวัติหลวงปู่คำคะนิงก็เลยเพี้ยนจากที่หลวงพ่อท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อท่านเล่าในสมัยหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่คำคะนิงเป็นพระอยู่แล้ว แต่คราวนี้ท่านอยู่ป่าจนจีวรกระรุ่งกระริ่งไม่เหมือนพระ ผมเผ้ายาวเฟื้อยเลย ท่านยังบอกเลยว่า พระอยู่ที่ผมหรือ ? พระอยู่ที่จีวรหรือ ? แล้วท่านก็คืนรูปกลายเป็นพระห่มจีวรเหลืองอร่าม เอาไม้มาวาง ๆ ก็นั่งเป็นเก้าอี้ได้ แต่ในประวัติที่ลูกศิษย์เขียนออกมายังเป็นชีปะขาวอยู่ แล้วข้ามไปให้เจ้ามหาชีวิตบวชให้ที่เวียงจันทน์ ไม่รู้ว่ามีการต่อเติมในระหว่างที่แปลจากภาษาหนึ่งเป็นภาษาหนึ่งเพื่อเป็นการยอเกียรติให้กับครูบาอาจารย์ตัวเองหรือเปล่า ว่าได้บวชจากเจ้ามหาชีวิต ถ้าเป็นพวกเราก็เหมือนกับเป็นนาคหลวง ได้รับพระราชทานกัณฑ์บวชจากในหลวง ฉะนั้น..พอแปลข้ามไปข้ามมาหลายภาษาก็อาจจะมีการตกหล่นต่อเติมกันได้" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรากำลังยังไม่พอ ไม่ทันจะจับก็โดนกิเลสลากไปซะไกลลิบแล้ว แต่ท่านที่กำลังพอท่านหยุดมันทัน พอหยุดแล้วก็มาพิจารณาดู เห็นความไร้สาระและมีแต่โทษ ท่านก็วาง ฉะนั้น..เราเองกำลังไม่พอก็ไม่รู้ว่าจะจับอย่างไร สมัยที่อยู่วัดท่าซุง หลวงพี่สามารถเป็นคนที่ทิพจักขุญาณดี ดูนั่นดูนี่แล้วมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ท่านก็เล่าให้ฟัง เมื่อคืนผมไปหน้าวัด พวกนั้นทำไสยศาสตร์มาอีกแล้ว เสกตะปูพุ่งมาอย่างกับธนูเลย เราก็ถามว่าแล้วเป็นอย่างไร ท่านว่า เทวดาโผล่พรวดมาจากไหนไม่รู้ เอาพระขรรค์ค่อย ๆ เคาะที่ละตัว ๆ หล่นหมดเลย กูเพิ่งจะรู้ว่าความเร็วระดับนั้นยังช้ากว่าท่านตั้งเยอะ เราลองคิดดูสิว่า จิตของเราที่เร็วจนกั้นกิเลสได้ต้องเร็วขนาดไหน ลองดูพี่เขาวิเคราะห์นะ ความเร็วต้องขนาดไหนถึงรู้เท่าทันกิเลสแล้วกันมันทัน ? นั่นเทวดาท่านกันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์มาเร็วขนาดนั้นแต่กลายเป็นช้าของเทวดา ฉะนั้นสภาพจิตของเราที่จะกันกิเลสให้ได้ก็ต้องฝึกหัดให้ได้อย่างเทวดาที่ป้องกันไสยศาสตร์ เอาพระขรรค์ไล่เคาะทีละดอก อยู่ที่รู้ ถ้ารู้ก็สามารถที่จะป้องกันได้ทัน แต่คราวนี้ความเร็วที่จะรับรู้ได้นั้นเร็วแค่ไหน ที่เห็นต่อหน้าต่อตาเลยก็คือหลวงปู่มหาอำพัน ตอนนั้นท่านป่วย ช่วงก่อนจะมรณภาพไม่นาน ท่านเป็นห่วงงานที่โบสถ์วัดสนามรัตนาวาส ท่านอุตส่าห์สร้างแล้วก็ประดับหินอ่อนตั้งแต่พื้นยันเพดานเลย ท่านไปตรวจงานไม่ได้ คราวนี้มีโยมเขาถวายนาฬิกาประดับมุกเรือนใหญ่แบบตั้งพื้นมา ท่านก็เลยบอกลูกศิษย์ให้เอาไป ตั้งไว้ตรงกลางด้านประตูโบสถ์ ตรงข้ามกับพระประธานนะ จัดให้ตรงกลางพอดีเลย ปรากฏว่าลูกศิษย์หายไป วันรุ่งขึ้นมาบอกว่า เอาไปแล้วครับ แต่ว่าพระครูเจ้าอาวาสท่านบอกว่าตั้งตรงนั้นมองไม่ถนัด ถ้าจะมองต้องกลับหลังมาดู ก็เลยย้ายไปตั้งข้างพระประธานแทน หลวงปู่ท่านหลุดออกมา พูดเสียงแข็งว่า อะไรนะ ทำอย่างนั้นได้อย่างไร เสร็จแล้วท่านก็ยกมือไหว้ เออ แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ท่านเถอะ เห็นชัด ๆ เลยว่าจริง ๆ แล้วพระอรหันต์รัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ครบถ้วน แต่ท่านรู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยวาง เร็วขนาดนั้นจริง ๆ นั่นแสดงว่าอารมณ์กระทบเกิด แต่ท่านกองลงทันทีเลย เราทำอย่างนั้นได้ไหม ? ถึงได้เห็นว่ามหัศจรรย์มากเลย เรื่องนี้คนอื่นอาจจะเห็นเป็นธรรมดา ๆ แต่สำหรับเรา ชีวิตนี้จะทำได้อย่างนี้ไหม ? |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทุกอย่างที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านทำให้เราดูถือว่าเป็นการสอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นบางคนคิดว่าเราอยู่กับหลวงปู่หลวงพ่อจะว่าไปแล้วก็ไม่นาน แล้วทำไมได้อะไรมากมายมหาศาล ก็บอกกับแต่ละคนว่า ถ้าคุณมัวแต่รอให้ครูบาอาจารย์สอน คุณจะไม่ได้อะไร ทุกอย่างที่ท่านคิด ท่านพูด ท่านทำ เป็นการสอนอยู่ในตัวแล้ว เราจะรู้จักเก็บเอามาหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถาม : แล้วที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดุล่ะคะ ? ตอบ : ถ้าไม่ทำ ใครจะไปเอาอยู่ ลูกศิษย์แต่ละคนปล่อยออกไปก็โจรดี ๆ นี่เอง |
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ที่วัดให้คุณลูกปุ๊กคอยเอาสตางค์หยอดหลุมเสาเข็ม ตอนแรกเขาถามว่าหยอดทำไม อาตมาตอบไปเล่น ๆ ว่า “หยอดเพราะมี” ตอนหลังก็เลยบอกว่าซื้อที่ เขาฟังแล้วเข้าใจ เห็นต่อหน้าต่อตาเลยนะ เหรียญที่เราโปรยไปหายไปเลย แต่บางรายที่เขาไม่ใจร้ายมากนักเขาก็หล่นอยู่ให้เห็น พวกที่อยากได้มาก โปรยลงไปนี่หายต่อหน้าต่อตาเลย จนกระทั่งคุณลูกเขาสงสัยว่าเรายังไม่ได้ใส่ เขาไปใส่ซ้ำก็หายอีก"
ถาม : เขาจะเอาไปทำอะไรครับ ? ตอบ : เขายึดมั่นว่าเป็นของเขา ในเมื่อเราไปตรงนั้นก็ต้องมีอะไรตอบแทนเขา ถาม : เขาตายแล้วยังยึดอยู่หรือครับ ? ตอบ : โห..ยึดกันไม่เลิกหรอก ยึดกันชั่วฟ้าดินสลายนั้นแหละ โปรยลงไปหลุมละ ๙ เหรียญ ลงปุ๊บหายวับเลย หลุมลึก ๔-๕ เมตรกว้างครึ่งเมตร อย่างไรมองเห็นแน่ถ้าเราโปรยลงไป หายไปต่อหน้าต่อตาเลย ถาม : ใช้เหรียญอะไรโปรยครับ ? ตอบ : ก็ใช้เหรียญในหลวง ๒๕๐๕ มีตราแผ่นดินอยู่ เอาไปขู่พวกเขา พอดีคุณลูกเขาสะสมไว้เยอะ ก็บอกให้เอามา คราวนี้ทุ่มทุนสร้างหน่อย ถาม : ในเมื่อเขาอยู่วัด มีแต่การสร้างบุญกุศล การสวดมนต์ทำวัตรขนาดนั้นเขายังไปในที่ดีไม่ได้อีกหรือครับ ? ตอบ : อย่าว่าแต่อยู่ใกล้ศาลาเลย ต่อให้อยู่ที่ลำโพงธรรมะก็เถอะ บางทีต้องใช้คำว่า "ความมืดบอดหนามาก" ต้องค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ในเมื่อเสียเวลาที่จะรบราฆ่าฟันก็ให้ ๆ เขาไป จริง ๆ แล้วโบราณเวลาเขาไปเช่าที่ หรือไปอยู่ที่ใหม่ เขาจะจัดพานเล็ก ๆ ใส่หมากพลู ๑ คำ ใส่เหรียญสตางค์ ๑ บาท แล้วเอาไปไว้ที่มุมบ้านหรือมุมที่ บอกกับเจ้าที่ว่า นี่เป็นค่าเช่าสถานที่นี้ ขออยู่เป็นระยะเวลาเท่านี้ ๆ ขอให้ช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข ค้าขายดี ทำมาค้าขึ้นอะไรก็ว่าไป แล้วก็จัดอย่างนั้นให้เขาทุกปี เวลาลามา ก็เอาสตางค์ไปถวายเป็นสังฆทาน เราจะใส่มากกว่า ๑ บาทก็ได้ แต่โบราณเขาใส่แค่นั้น เพราะสมัยก่อนบาทหนึ่งนี่เยอะมากเลยนะ |
ถาม : การถวายสังฆทานควรหันพระพุทธรูปเข้าหาเราหรือหันออกดีคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจเราชอบ ถ้าทำแล้วใจเราสบายจะหันทางด้านไหนก็ตามใจเราเถอะ ถาม : ตอนที่ยกพระหันเข้าให้โยม แล้วโยมเขาหันออกมานั่น เขามีความเชื่อกันเช่นไรอยู่หรือไม่คะ ? ตอบ : ก็เขาสบายใจที่จะทำอย่างนั้น ในเรื่องของบุญมีความหมายหนึ่งว่าสบายใจ ในเมื่อเขาสบายใจก็เกิดบุญแล้ว ความดี ความงาม ความสุข ความสบายใจ ฉะนั้น..ทำบุญก็คือทำแล้วเกิดความดี เกิดความงาม เกิดความสุข เกิดความสบายใจ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไม่เป็นไร ก็ปล่อยเขาไปตามใจของเขา ถ้าเราเอามาใส่ใจ ใจเราเองจะหมอง ฉะนั้นบางอย่างก็ต้องวางลงบนหัวคนอื่นบ้าง (หัวเราะ) เอ๊ะ..นี่ตกลงเราสอนถูกหรือเปล่า ? ในเมื่อเขารับไม่ได้ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรก็วางลงบนหัวมัน ก็คือช่างมัน เอาไว้มีโอกาสเมื่อไรแล้วค่อยไปแนะนำกันอีกที |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.