![]() |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๑
ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไป ก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้ เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัด คนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรติดขัดขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าไม่ได้ คนเราก็ตายได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์) |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๒
เราทุกคนทุกดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ เป็นที่ปฏิบัติบูชา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวช ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์) |
ขอเป็นธรรมทานให้กับบุคคลทั่วไป ด้วยนะครับ
|
อ้างอิง:
|
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๓
ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคน เท่านั้นก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่ จนกิเลสโลภะ อันมันนอนเนื่องอยู่ให้หมดเสีย วันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจนวันตาย...โน้น (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่) |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๔
การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริง ๆ นั้นต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย มีทวารทั้ง ๙ เป็นสถานที่ไหลออก ไหลเข้า ซึ่งของไม่งาม (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่) |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๕
อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจ ตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหน ก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใด จะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๖
วันคืนเดือนปี หมดไปสิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไปเราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนา ใจสงบหรือยัง |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๗
ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติ ตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละ ที่ยึดให้มีทุกข์ ไม่ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย |
คำสอนหลวงปู่สิม ๑๙
ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหน ไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง อย่าเข้าไปยึดถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวของข้า ตัวของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๐
ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละบุญภายใน |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๑
อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงใหล เข้าใจผิดว่าโลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วตกอยู่ในกองทุกข์กองภัย ต้องมีภัยอันตรายรอบด้าน |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๒
ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคนนั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้งหรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงเกิดอสุภเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๓
สงบแต่ปาก ใจไม่สงบก็ไม่ได้ ต้องให้สงบ ใจสงบคือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหนมันก็ทุกข์เท่า ๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๔
เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะได้ ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วยอวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์ มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๕
ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละ ทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ๓ อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น อย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตามมัน จะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไปในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลส ตัณหา ให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๖
ภาวนา ให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่า สูง ก็เหมือนเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำลำคลองหรือที่มหาสมุทร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๗
จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๘
เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า "ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั้น" |
คำสอนหลวงปู่สิม ๒๙
มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย ๆ อันนี้เป็นความประมาท มัว เมา....... |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:56 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.