กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2637)

เถรี 04-05-2011 01:36

ถาม : บางครั้งตอนหนูนั่งสมาธิมีอาการตัวโยก
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ กำลังจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว เขาเรียกอาการปีติ อย่าไปสนใจและอย่าไปกลัว อย่าอยากให้หายและอย่าอยากให้เป็น เรามีหน้าที่ภาวนาไปเฉย ๆ จนกว่าจะก้าวข้ามไปเอง

ถ้าเราไปบังคับให้หยุดก็จะหยุดได้ แต่ว่าเราจะไม่ผ่าน ทำถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะโยกเมื่อนั้น ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ตึงตังโครมครามไปไม่นาน เดี๋ยวก็เลิกไปเอง

ถาม : เวลาฟังบทสวดมนต์ของเจ้าแม่กวนอิม จะมีน้ำตาไหล
ตอบ : อาการเดียวกัน บางทีก็โยก บางทีก็ขนลุก บางทีก็น้ำตาไหล บางทีก็ลอยไปทั้งตัว บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เหมือนกันหมดจ้ะ เพียงแต่เป็นอาการเริ่มต้นของตัวปีติ ถ้าเป็นนักปฏิบัติเขาบอกว่าจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้

ถาม : หนูเป็นโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว อยากรู้ว่าเมื่อไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะเลิกซะที ?
ตอบ : อีกหลายชาติ

ถาม : อดีตชาติหนูไปทำเขามาหรือคะ ?
ตอบ : ปาณาติบาตไว้มาก ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรม ในเมื่อรับอยู่เต็ม ๆ ก็ไม่ต้องสงสัยหรอก เราต้องทำมาแน่ ๆ

ถาม : หนูเคยทำบุญตักบาตรให้เขาอยู่ เขาก็ไม่ยอมเลิกเสียที
ตอบ : ถ้ามีคนมาฆ่าเรา ถึงเวลาเขาใส่บาตรให้เรา แล้วเราจะเลิกโกรธไหม ?

เถรี 04-05-2011 01:40

ถาม : อย่างนี้ต้องทำอย่างไรจึงจะดีคะ ?
ตอบ : ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปเรื่อย มีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า ทำให้ต่อเนื่องยาวนานพอ เดี๋ยวก็ดีขึ้น

อาตมาปล่อยสัตว์มาจนนับตัวไม่ถ้วน เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ปล่อยทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะ ปล่อยปลาครั้งหนึ่งก็นับตัวไม่ไหวเพราะเหมาหมดตลาดเลย โยมไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ตัวสองตัวก็ได้ สัก ๕๐ ปีเดี๋ยวเขาก็อโหสิกรรมให้เอง..!

ถาม : อย่างหนูนั่งสมาธิคนเดียว นั่งได้ไหมคะ ? ไม่มีอาจารย์มาสอน ไม่มีใครพาไป
ตอบ : ถ้ารอให้อาจารย์สอนก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ต้องมีใจรักทำด้วยตัวเองก่อน

ถาม : เคยมีคนบอกว่า ถ้านั่งคนเดียว ออกไปแล้วเดี๋ยวไม่กลับ
ตอบ : คนบอกเคยนั่งไหม ? ถ้าไม่เคยนั่งก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ถ้าเขาเคยนั่งแล้วเป็นบ้า มาบอกเราก็น่าจะเชื่อได้

เถรี 04-05-2011 01:46

ความจริงที่โยมว่ามา ส่วนใหญ่ก็จะเจออย่างนั้น ก็คือเริ่มปฏิบัติก็จะมีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายมาให้ข้อมูลสารพัด นั่งกรรมฐานเดี๋ยวจะบ้าบ้าง ถ้าหลุดออกไปเดี๋ยวจะกลับไม่ได้บ้าง จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นการขัดขวางของมารอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะพอเราได้ข้อมูลมาก็จะกลัว พอกลัวก็เลิกปฏิบัติ ก็ติดอยู่กับเขาต่อไป

ขอยืนยันว่า ในเรื่องการปฏิบัติ ถ้ากายในหลุดออกไปได้ ไม่มีใครที่จะไม่กลับ ไม่ต้องบังคับก็กลับเอง เพราะไม่มีอะไรที่เรารักมากไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ส่งใจไปพระนิพพาน จะเจอประสบการณ์นี้ประจำเลย ยังไม่ทันคิดจะลงก็ลงมาแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็กองอยู่กับพื้นแล้ว ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ทุกที

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปห่วงหรอกว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ส่วนที่จะต้องห่วงมากที่สุดคือ ทำอย่างไรจะไปให้ได้มากกว่า ถ้าคราวหน้าใครเขามาบอกว่า นั่งกรรมฐานแล้วจะบ้า ให้ถามว่าเขาเคยนั่งหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งแล้วบ้าหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งมาแล้วและบ้ามาแล้วถึงจะเชื่อได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคนบ้ามาบอก เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะสติเขาไม่สมบูรณ์

เป็นเรื่องปกติที่นักปฏิบัติจะต้องเจอ อาตมาจึงได้ยืนยันว่า ถ้าใครปฏิบัติไปแล้วยังไม่มีคนว่าเราบ้า ยังใช้ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีใครสักคนว่าเราบ้าจนได้ การที่ทำอะไรต่างจากคนอื่นเขา เขาก็มักจะว่าบ้า แบบเดียวกับพ่อออกปะไล บ้านหนองบัว รู้นั่นเห็นนี่แล้วก็ไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาก็เรียก "ตาปะไลผีบ้า"

การต่างจากคนอื่น ถ้าเขาไม่เห็นว่าบ้าก็จะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ถ้าเขาเห็นว่าเราเป็นผู้วิเศษ เขาก็มากวนไม่เลิก ถ้าเขาเห็นว่าเราบ้า เขาก็เลิกคบ สรุปแล้วโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

เถรี 04-05-2011 01:52

ถาม : ปกติเวลาปฏิบัติอานาปานสติ เผลอไปบังคับลม เลยเพี้ยนครับ
ตอบ : ก็อย่าไปทำให้เป็นปกติ ถ้าปกติชอบไปบังคับ เลิกปกติก็ไม่ต้องบังคับเอง

บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะการปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าอารมณ์เริ่มทรงตัว พอเราตั้งใจทำ อารมณ์ก็จะวิ่งไปที่จุดเคยชินเลย เหมือนกับเราบังคับลมหายใจ ถ้าไม่รู้สึกว่าเหนื่อย สามารถทรงตัวได้เป็นปกติ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่การบังคับลม แต่เป็นอารมณ์ใจที่ปฏิบัติแล้วเริ่มทรงตัวในระดับนั้น มีความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาแล้วก็เข้าถึงจุดนั้นได้เลย

เถรี 04-05-2011 01:59

ถาม : หนูสงสัยว่าจิตคนเรามีการบังคับให้เข้านอก ออกใน หรือบังคับให้อยู่กับที่ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูเข้าใจว่าบังคับไม่ได้
ตอบ : ความสามารถยังไม่พอ

ถาม : ก่อนหนูกินข้าวจะมีการพิจารณาก่อน อย่างอาหาเรปฏิกูลสัญญา ปฏิกูลก็คือสกปรก จำเป็นไหมว่าจะต้องพิจารณาว่าสกปรก ? เพราะว่าหนูถนัดพิจารณาเป็นธาตุมากกว่า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกให้พิจารณาอาหารว่าเป็นธาตุนี่คะ ?
ตอบ : กรรมฐานทุกกอง ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะประยุกต์รวมกันได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วแต่เรารวมไม่เป็นเอง

เถรี 04-05-2011 02:04

ถาม : อารมณ์การยึดมั่นถือมั่น แก้ยากมากเลยค่ะ
ตอบ : แก้ง่ายก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้วสิ..!

ถาม : อารมณ์อยู่ตรงช่วงนี้ เหมือนเป็นจุดที่เราต้องแก้ กำลังเลาะไปเรื่อย ๆ ค่ะ
ตอบ : ทำต่อไป จนกว่าจะก้าวข้ามไปได้

ถาม : เวลาที่อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันจริง ๆ รู้สึกว่าละความมีตัวตนไป ทำไมการที่เราอยู่กับปัจจุบันตรงนั้น แล้วผลออกมาอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ จิตจะไม่ปรุงแต่ง จะว่าไปแล้วเป็นอารมณ์ที่เบาสบายที่สุด ถ้าหลุดไปในอดีตและอนาคตเมื่อไรก็แปลว่าเริ่มฟุ้งแล้ว

ถาม : ของหนูแค่นี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่รู้ลมหายใจก็แปลว่าไม่รู้ปัจจุบัน

เถรี 04-05-2011 21:51

ถาม : วิธีปฏิบัติทางลัด ?
ตอบ : ไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างเท่านั้น ตั้งใจทำจริงก็ได้ผล ไม่ทำจริงก็ไม่ได้ผล จำไว้ว่าจะลัดกี่ทางก็อ้อมทั้งนั้นแหละ ต้องตรงอย่างเดียว เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ปฏิบัติแค่นี้ยังจะใจร้อนอีก

เถรี 04-05-2011 21:53

ถาม : คำภาวนาระหว่างพุทโธกับนะโมพุทธายะ อย่างไหน..?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด ชอบอย่างไหนใช้อย่างนั้น

ถาม : อานุภาพของคาถาเล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเรา กำลังใจห่วยอานุภาพก็น้อย กำลังใจดี อานุภาพก็มาก

ถาม : มีคนบอกว่า คาถานะโมพุทธายะ พลังจะเยอะกว่า
ตอบ : คนที่บอกเขาทำได้หรือยัง ? คาถาขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ถ้าคนภาวนาพุทโธสมาธิสูงกว่า ก็จะมีผลมากกว่านะโมพุทธายะ

เถรี 04-05-2011 22:00

หลังจากที่พระอาจารย์สวดบังสุกุลเสร็จ ได้กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่กว่าจะตายได้ก็ใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะมนุษย์เรามีอายุหลายสิบปี

เด็กที่เกิดมาใช้เวลาอยู่ในท้องไม่เกินสิบเดือน ยกเว้นพวกที่นอนเพลิน อยู่ในท้อง ๑๒ เดือนก็เคยเจอมาแล้ว แต่มีอีกรายหนึ่งอยู่ในท้อง ๓๙ ปีกว่าจะคลอดออกมา กลายเป็นหินไปเลย แต่ถ้าเหลาจื้ออยู่ในท้องแม่ ๘๐ ปี แม่ยังสาวพริ้งเหมือนสาวอายุ ๑๖ แต่ลูกออกมาแก่ หนวดยาวลากพื้นเลย"


ถาม : เป็นความจริงหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นเรายังไม่เคยเจอ ถ้าเจอเมื่อไรก็จะเป็นไปได้เอง

ถาม : เหลาจื้อมีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วเขาจะมาพูดถึงได้อย่างไร ? แล้วขงจื้อมีตัวตนไหม ? ขงจื้อเคยไปขอความรู้จากเหลาจื้อ

ไม่ว่าเหลาจื้อก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม หรือนักปราชญ์ทางด้านกรีก อย่างเพลโตหรือโซเครตีส เกิดไล่ ๆ กันหมด เหมือนกับโลกยุคนั้นท่านที่บำเพ็ญบารมีมาต่างคนต่างลงมาเกิด อยู่ในจุดที่ต้องสงเคราะห์คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ครบถ้วน จึงจบกิจเข้าพระนิพพานไปเลย คนอื่นรู้ไม่ครบก็ต้องแสวงหากันต่อไป

เถรี 04-05-2011 22:02

ถาม : อริยสัจ..มีอะไรเป็นสัญลักษณ์..?
ตอบ : คำว่าสัญลักษณ์ไม่มีหรอก อริยสัจเป็นการใช้ตัวปัญญาเห็น ไม่ใช่สายตาเห็น ในเมื่อตัวปัญญาเห็น ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาเรามีเท่าไร

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ต้องไล่มาตั้งแต่ศีลเลย ให้รู้ว่าถ้าศีลไม่ทรงตัว ก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าสมาธิไม่ดี ถ้าสมาธิไม่ดีก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าปัญญาไม่พอ ดังนั้น..ถ้าปัญญาไม่พอการรู้เห็นรูปนามก็ไม่ชัดเจน การเห็นอริยสัจก็ยิ่งไม่ชัดเข้าไปใหญ่

เถรี 04-05-2011 22:05

ถาม : ก่อนนอนก็พิจารณาขันธ์ ๕ ตอนเช้ามืดฝันว่าพ่อตัวเองเหลือแค่หัว อยู่ดี ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาเล่าว่าแม่ตายในน้ำเน่า แม่ก็ตายในฝันนะคะ เห็นแม่จมน้ำตาย น้องชายที่เสียไปแล้วงัดประตูขึ้นมาก็เจอแม่ แล้วเขาหัวเราะสนุกสนาน แต่ก่อนวันจะฝันบ่น ๆ ว่าอยากถูกหวย เกี่ยวกันไหม ?
ตอบ : แสดงว่าพิจารณาแล้วได้ผล ถ้าพิจารณาแล้วไม่ได้ผล ก็จะไม่เห็นอย่างนั้น พ่อเหลือแต่หัวก็เห็นชัด ๆ ว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง แทนที่จะมาทั้งตัวก็มาแค่นั้น แม่ก็ตาย น้องก็ตายด้วย แล้วเราตายไหม ? บอกแล้วว่า ตะเถวาหัง มะริสสามิ ท้ายสุดเราก็ตายเหมือนกัน

ถาม : ตีเป็นธรรมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เก่งมากเลย อุตส่าห์พิจารณาร่างกายก่อนนอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดผลแล้ว

เถรี 04-05-2011 22:27

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระวินัยที่เกี่ยวกับอาหารให้ฟังว่า "พระเขามีข้อห้ามอยู่ อันโตวุตถะ ห้ามหุงต้มเอง อันโตปักกะ ห้ามเก็บไว้เอง สามปักกะ ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน"

ถาม : หุงต้มเองผิดพระวินัยเพราะเหตุอันใด ?
ตอบ : ถ้าหุงต้มเอง จะเลือกทำให้อร่อย สรุปว่าทำให้ตัดกิเลสไม่ได้

ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเสียเวลาในการปฏิบัติหรือครับ ?
ตอบ : มีส่วนทั้งนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือทำเองแล้วจะติดในรสอาหาร ห้ามเก็บไว้เองเพราะถ้าเก็บไว้เองเดี๋ยวก็ทำเอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตนเพราะเดี๋ยวก็แอบกิน โดนทุกรูปแบบ

เถรี 06-05-2011 08:34

ถาม : ที่จริงของในโลกนี้เป็นสมมติทั้งหมด ของที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อนเลยนั้น ถ้ายังติดอยู่และคนนั้นมีกำลังใจสูงมาก ๆ จะสร้างขึ้นใหม่เลยได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็บอกอยู่ชัด ๆ แล้วว่ายังติดอยู่ ถ้ายังติดอยู่ก็ไปไหนไม่รอดหรอก เมื่อสร้าง "กรรม" ไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม สิ่งที่คุณ "สร้าง" ย่อมเกิดขึ้นมาสนองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกำลังใจสูงหรือต่ำก็ต้องได้รับทั้งนั้น

ถาม : เวลาทำสมาธิ แล้วฟุ้งเป็นภาพพระเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดีหรือไม่ดีและควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะเอากำลังใจมั่นคง ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคิดว่าเป็นพุทธานุสติก็ไม่เป็นไร ใช้วิธีนี้สิ..เปลี่ยนเองเลย แทนที่จะรอให้ท่านเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนเอง

พอปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ภาพพระก็จะเปลี่ยน ถ้าท่านเปลี่ยนเองแปลว่ากำลังใจเราทรงตัวแล้ว ถึงเวลาท่านมากี่แบบเราก็จำเอาไว้ แล้วเปลี่ยน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ใส่หมายเลขไปเลย เป็นกีฬาสมาธิ ช่วยให้กำลังใจทรงตัวได้ดี

เถรี 06-05-2011 17:29

พระอาจารย์กล่าวถึงลุงหมอว่า "หนังสือของลุงหมอ (พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน) เป็นประโยชน์แก่คนในเว็บมาก แต่ว่าคนเข้าไปอ่านน้อย เพราะธรรมะชั้นสูงคนจะให้ความสนใจน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว

เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลักการปฏิบัติที่เป็นธรรมะชั้นสูง คนไม่ค่อยจะสนใจครับ ?" ท่านบอกว่า "คนเข้าร้านขายเพชร กับคนเข้าร้านขายของชำ อย่างไหนเยอะกว่ากันวะ ?" กราบเรียนท่านว่า "ร้านขายของชำครับ" ท่านบอกว่า "เออ..นั่นแหละ เขาไม่ค่อยซื้อเพชรกันหรอก"

แต่ที่เอาลงไว้เพราะเห็นประโยชน์จริง ๆ จึงให้โยมไปขออนุญาตลุงหมอและเอาลงเว็บของวัดไว้ ทยอยลงเรื่อย ๆ ถ้าลงทีเดียวคนจะไม่อ่านเลย ทยอยลงทีละน้อย ๆ วันละกระทู้สองกระทู้ เป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่เขาตั้งใจปฏิบัติ จะได้ตรวจสอบตัวเองได้เลย ว่าตอนนี้อารมณ์ใจเป็นอย่างไร

ที่เห็นชัดเจนเลยก็คือ คุณหมอสมกับเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ เพราะตอนนั้นท่านเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจลำดับที่ ๕ มีสิทธิ์ที่จะคั่วตำแหน่งอธิบดี เพราะท่านอายุ ๕๕ เท่านั้น ยังมีอายุราชการอีกหลายปี แต่ท่านลาออกมาทำหน้าที่ของตัวเองเกือบจะ ๒๕ ปีเต็มแล้ว"

เถรี 06-05-2011 17:39

มีเสียงดนตรีขับร้องรำต่าง ๆ ในขบวนแห่นาค ดังผ่านบ้านวิริยบารมีไป พระอาจารย์จึงกล่าวกับโยมว่า "ปล่อยไปเถอะ ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าเราไปให้ความสนใจก็จะเป็นโทษแก่ใจเราเอง ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

ต้องบอกว่าเขาชอบของเขาอย่างนั้น โยมลองสังเกตอย่างหนึ่งว่า พอมีพวกดนตรี พวกร้องรำเข้ามา เขาจะกระตือรือร้นคึกคักกัน สิ่งที่เข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะกระตุ้นปีติให้เกิดขึ้น เขาก็จะมีความสุขกันอยู่พักหนึ่ง แต่พอสิ่งกระตุ้นหมด เขาก็จะหมดความสุขไป เขาไม่รู้ว่าทำไมจึงมีความสุข และทำไมจึงหมดไป พวกนี้ก็เลยติดกินติดเที่ยวกัน เพราะทำไปแล้วรู้สึกตัวเองมีความสุข

แต่ความจริงก็คือ เป็นความสุขชั่วคราว แต่ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติ ปีตินั้นเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเราเอง เกิดข้างใน ไม่ต้องอาศัยข้างนอกมากระตุ้น และปีติที่เกิดจากการปฏิบัติจะยั่งยืนมากกว่า ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เราว่าจะรักษาได้ต่อเนื่องหรือไม่ ?"

เถรี 06-05-2011 17:45

"การปฏิบัติพอข้ามปีติไปแล้วจะเป็นฌาน พอเป็นฌานใจก็จะนิ่ง แรก ๆ เราจะรู้สึกว่าการทำบุญเราอิ่มเอิบใจมากเลย เราอยากทำเต็มที่ทุกอย่าง แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วรู้สึกเฉย เฉยนี่ไม่ใช่ว่ากำลังใจลดลง แต่เป็นเพราะกำลังใจเกินไปแล้ว เกินปีติไปเป็นฌานแล้ว

ให้เราสังเกตว่า เรายังทำบุญเป็นปกติหรือไม่ ? ถ้ายังทำเป็นปกติ แสดงว่าเป็นฌานในทานบารมี สูงกว่าตอนแรกเยอะเลย มีหลายคนมาปรารภว่า ทำไมตอนนี้ทำบุญแล้วไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยบอกว่า ให้สังเกตใจตนเองว่ายังอยากทำเป็นปกติไหม ? ถ้ายังอยากทำเป็นปกติ อย่างนั้นคุณทรงฌานในจาคานุสติแล้ว

บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เราไม่ต้องรู้ก็ได้ วิธีที่ต้องรู้ ก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้นิวรณ์ ๕ อย่าง ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา กินใจเราได้ แล้วก็พยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้สติสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการภาวนา จนกระทั่งหลับและตื่นมีสติรู้เท่ากัน เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสกินเรา

หลับและตื่นรู้ตัวเท่ากัน นอนก็เหมือนไม่ได้นอน นอนก็รู้ตัวว่านอน หลับก็รู้ตัวว่าหลับ จะตื่นเมื่อไรก็สั่งตัวเองให้ตื่นได้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเริ่มสู้กิเลสได้แล้ว ถ้าหากไม่ถึงระดับนี้ ก็ยังโดนกิเลสตีอยู่เรื่อย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ค่อย ๆ ทำไป พระธรรมเป็นสมบัติที่พระพุทธเจ้ามอบให้ทุกคน เพียงแต่ใครจะรู้จักไขว่คว้ามาเท่านั้น คว้าไว้เร็วเท่าไรก็เป็นคุณแก่ตัวมากเท่านั้น ถ้ายังทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ก็น่าเสียดายสำหรับเขา อาตมาเคยสรุปง่าย ๆ ว่า วางก่อนสบายก่อน

เถรี 08-05-2011 17:43

พระอาจารย์บอกว่า "วัตถุมงคลที่ใช้วัสดุมีราคา เช่น ทองคำ เทวดาที่รักษายิ่งต้องมีอานุภาพมาก นี่เป็นกฎตายตัวเลย ยิ่งมีราคาสูงเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ยิ่งต้องมีอานุภาพเท่านั้น"

เถรี 08-05-2011 17:46

ถาม : แม่ชีที่เป็นข่าว..?
ตอบ : ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย แม่ชีท่านเป็นพุทธภูมิ เวลาทำบุญอะไรก็อธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณทุกครั้ง เพราะฉะนั้น..คำสอนบางอย่างอาจจะไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ตามวิสัยพระโพธิสัตว์ของท่าน

เถรี 08-05-2011 18:36

ถาม : พระของผมดีไหมครับ ? (เอาพระให้ดู)
ตอบ : องค์นี้ท่าพระจันทร์มีเอาไว้แหกตาคนที่ไม่รู้จักของ แต่หลวงพ่อโต วัดระฆัง ท่านให้พรไว้ว่า พระสมเด็จฯ ไม่ว่าจะเก่าจะใหม่ จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงที่ท่านทำเอง เพราะฉะนั้น..คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าปลอมหรือไม่ปลอม นึกถึงท่านเป็นอันว่าใช้ได้

เรื่องของพระสมเด็จวัดระฆังที่ราคาไปไกลมากเลย ประการแรก พุทธานุภาพเชื่อถือว่าคุ้มครองได้จริง ในยุคนั้นท่านทำเองกับมือ แม้จะทำแจกก็ไม่ใช่เครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ ก็เลยมีไม่มากพอแก่ความต้องการของคน

ประการที่สอง เป็นการฟอกเงินของนักการเมืองอย่างหนึ่ง นักการเมืองไปรับสินบนเขามา แล้วก็ไปบูชาพระ เสร็จแล้วก็เอาพระไปปล่อยต่อ กลายเป็นว่าเงินที่ตัวเองได้มา เป็นเงินที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าได้เอาพระเครื่องไปให้คนอื่นบูชา แล้วรับเงินมา จึงเป็นการปั่นราคาจนแพงลิบโลก

แต่หลวงปู่ท่านก็รู้จริง เวลาไปบิณฑบาตท่านก็เอาพระใส่ฝาบาตรไปแจกโยม โยมก็ทำท่าไม่อยากจะได้ ท่านบอกว่า "รับไว้หน่อยเถอะจ้ะ นานไปจะแพงมาก"

ประการสุดท้ายที่ทำให้พระเครื่องราคาแพงมาก ก็คือ เซียนพระ ถ้าทุกคนสังเกตจะเห็นว่า บรรดาเซียนพระในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็คือบรรดานักเลงเก่า พอเข้ามาในวงการพระ ก็ยังมีนิสัยนักเลงอยู่ วันก่อนก็เพิ่งจะมีข่าวยิงเซียนพระท่าพระจันทร์ตายคาวัด เป็นวัดของพระครูวัชรินทร์ เพื่อนของอาตมาเองด้วย..!

เถรี 08-05-2011 18:51

มีนายทหารอากาศยศนาวาอากาศโทท่านหนึ่ง อยากได้พระสมเด็จวัดระฆังมาก พอดีมีเจ้าของจะปล่อย ราคาสมัยนั้นหกหมื่นบาทถือว่าแพงมาก เขาก็พยายามรวบรวมเงินได้หกหมื่นบาทแล้วก็ไปบูชาพระ เซียนแหกตาให้น่าเชื่อถือ ด้วยการพาไปรับพระที่เชียงใหม่ อ้างว่าเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษของคนขาย พอบูชาสมเด็จวัดระฆังได้มาก็แขวนคอกลับ

ตอนขากลับขับรถแหกโค้ง คนที่ขายพระสมเด็จวัดระฆังให้คอหักตาย ส่วนนายทหารอากาศท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย เขายกมือไหว้ท่วมหัวบอกว่า มีของดีไม่รู้จักรักษา เอามาปล่อยต่อ ตัวเองเลยต้องตาย แต่พอเอาไปเข้าตลาดพระ ใคร ๆ ก็ฟันธงเลยว่าปลอม ปลอมก็ปลอมเถอะ เพราะมีประสบการณ์มากับตัวเองแล้ว เขามั่นใจว่าของเขาแท้

มีพระอยู่แค่สององค์ในปัจจุบันนี้ที่จะใหม่จะเก่า จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านด้วยความเคารพ ท่านจะสงเคราะห์ให้มีอานุภาพเหมือนของจริงอย่างที่ท่านทำเอง ก็คือ หลวงปู่โตวัดระฆัง กับหลวงปู่ปานวัดบางนมโค

พระท่านราคาแพงจนจับไม่ติดแล้ว ลูกหลานที่อยากได้ไว้ก็ไม่มีปัญญาจะไปบูชาหามาได้ ท่านก็เลยต้องสงเคราะห์ให้ เอาพระใหม่ ๆ มา นึกถึงท่านด้วยความเคารพก็ใช้ได้แล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว