กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2996)

เถรี 15-11-2011 08:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาไม่ได้คิดจะสร้างพระพุทธรูปนาคปรก ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตีเลย เริ่มมาจากพระมหาสันติ (พระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ.๘ รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม) ท่านสร้างพระท่ากระดานน้อย ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี แล้วส่งไปพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน พออาตมาเห็นก็รู้สึกว่าเข้าท่า พุทธชยันตี (วันแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้า)เป็นวาระสำคัญ แล้วจะทำอะไรเป็นที่ระลึกดี ?

ก็เห็นเป็นภาพพระนาคปรกที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศท่านประทานให้ไว้หลายปีแล้ว ตอนที่ประทานให้หลวงพ่อสมเด็จท่านบอกว่า พระแบบนี้เหมาะกับคนที่อยู่ป่าอยู่ดงอย่างคุณ ก็เลยกำหนดจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า พระท่านว่าทำแบบนี้ก็ดี เพราะว่านาคปรกเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพระพุทธศาสนาด้วย พระที่หลวงพ่อสมเด็จท่านประทานมาให้เป็นทรงขอม ก็เลยคิดทำออกมาลักษณะนี้ แล้วก็โชคดีว่าได้ช่างออกแบบฝีมือดี แม้ว่าจะคิดค่าแบบไปเกือบแสนบาทก็คุ้ม

เชื่อไหมว่าค่าแกะแบบพระนาคปรกองค์จิ๋ว องค์เท่านิ้วก้อยเองราคา ๕๐,๐๐๐ บาท..! เป็นพระนาคปรกแกะด้วยหินอ่อน แต่ยอมทำเพราะว่าแบบหินอ่อนเวลาถอดแบบแล้วจะชัดเจน ถ้าหากเป็นอย่างอื่น อย่างขี้ผึ้งเวลาถอดทีหนึ่งลายล้มบ้างอะไรบ้าง ก็เลยยอมจ่ายค่าแกะแบบเขา ตกลงแบบว่าเก้านิ้วนั่นราคา ๘๕,๐๐๐ บาท แต่แบบองค์เล็กแค่นิ้วก้อย ๕๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาแกะอยู่เกือบ ๓ เดือน"

เถรี 15-11-2011 13:35

1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งูเขียวที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ กรีนแมมบ้า งูชนิดนี้ร้ายกว่างูจงอางอีก งูแมมบ้าจะมีสีดำกับสีเขียว พิษร้ายกว่าจงอาง กัดทีเดียวร่วงเลย ของอันตรายอย่างนี้ดันทะลึ่งเอามาเลี้ยงได้ แล้วหน้าตาก็ดูไม่น่ากลัว ไม่มีการชูหัวขึ้นมาแผ่แม่เบี้ยขู่แบบงูเห่างูจงอางของเรา หน้าตาดูแล้วเหมือนงูสิง ตัวเขียว ๆ เขาคงเห็นว่าเขียวสวยดีเลยเอามาเลี้ยง สมควรตายจริง ๆ..!"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1321338776
งูกรีนแมมบ้า

เถรี 15-11-2011 13:53

2 Attachment(s)
"ถ้าเป็นงูงวงช้างที่มากับน้ำท่วมก็ไม่น่ากลัว แค่หน้าตาดูน่าเกลียดเท่านั้นเอง ผิวจะเป็นปุ่ม ๆ สาก ๆ เมื่อตอนอาตมายังเด็ก เวลาไปงมปลา ถ้าวันไหนเจองูงวงช้างแล้วอยากเล่น ก็อุ้มขึ้นมาบนบก งูชนิดนี้ไม่ค่อยไปไหนหรอก เลื้อยช้า เป็นงูที่เชื่องสุด ๆ หน้าตาเหมือนงวงช้าง เด็กบ้านนอกไม่ค่อยมีใครกลัวงูงวงช้างกันหรอก นอกจากจะเอามาเล่น



ส่วนงูเขียวปากจิ้งจกจะเกลียดขี้ควายแฉะ ๆ พอจับมาได้ก็นัดเพื่อน ๔-๕ คน เอาหัวงูไปทิ่มขี้ควายแล้วก็ปล่อย โอ้โห..คราวนี้โดนไล่กัดกระจายเลย แต่งูเขียวปากจิ้งจกกัดอย่างไรก็ไม่เจ็บหรอก เพราะมีฟันอยู่นิดเดียว บางทีถ้ารัดได้กัดไป ๗-๘ ทีก็ไม่ปล่อย แต่ก็แค่เจ็บ ๆ คัน ๆ

ถ้าพวกเราจะเล่นเอาสนุกบ้าง ก็เอาหัวงูเขียวปากจิ้งจกไปจิ้มขี้ควาย ต้องเป็นขี้ควายแฉะ ๆ ด้วยนะ ถ้าหากว่าขี้ควายแห้ง ๆ งูกลับไม่โกรธ เรื่องพวกนี้เด็กบ้านนอกรู้วิธีกันแทบทุกคน ไม่มีอะไรจะเล่นก็เล่นของพวกนี้กัน"

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1321339669
งูเขียวปากจิ้งจก

เถรี 15-11-2011 14:06

"สมัยที่อาตมาอายุ ๔-๕ ขวบ พวกนกแร้งยังมีเยอะอยู่ อีแร้งจะมากินหมาเน่า พวกเราไม่มีอะไรจะเล่น จึงเอาไม้มาตีอีแร้ง แอบไปซุ่มดูอยู่ก่อน พออีแร้งลง ก่อนจะบินขึ้นได้จะต้องมีระยะวิ่งสำหรับออกตัวไกลมาก จะต้องวิ่งโหย่ง ๆ กระพือปีกไปเรื่อยจนกว่าจะลอยตัวได้ พวกเราก็เอาไม้ไล่ตีไปเรื่อย

บางคนร้ายกาจกว่านั้นอีก ไปขุดหัวกลอยมา เอาไปตำคั้นน้ำแล้วก็ไปราดพวกหมาแมวที่ตาย พอแร้งมากินก็เมากลอย บินไปไม่ได้ เราก็จะช่วยกันตี บาปกรรมจริง ๆ นกก็กำลังกินอยู่แท้ ๆ ไปกลั่นไปแกล้งเขาได้

มิน่าเล่า...ชาตินี้อาตมาเมากลอยไป ๒ รอบแล้ว เมาอาเจียนเป็นถังเลย ครั้งแรกเจอพร้อมกับทิดตู่ ตอนนั้นทิดตู่ยังเป็นเณรอยู่ อ้วกเป็นถังจริง ๆ เขาทำถั่วทอดกลอยใหม่ ๆ แล้วเขาทำไม่เป็น กินเข้าไปแล้วเมา ส่วนอีกครั้งหนึ่งรู้ทันเพราะระแวงอยู่แล้ว จึงเมาหน่อยเดียว ถึงว่าเวรกรรมพวกนี้ตามทันจริง ๆ ยังดีว่าระยะหลังนี่พวกอีแร้งไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่หนีเข้าไปในป่าลึก ๆ เพราะว่าในเมืองไม่มีซากสัตว์ให้กิน

สมัยก่อนนี่ถ้าอีแร้งจับหลังคาบ้านใครเขาถือว่าซวยมาก ต้องทำบุญไล่ซวยกันเลย นิมนต์พระ ๙ รูปมาเจริญพุทธมนต์ คนเฒ่าคนแก่ท่านจะไปจุดธูป ปูผ้าขาวกราบขอร้อง “พ่อพญาหงส์ทอง พ่อมาจากไหนก็ไปทางนั้นเถิด”

ถาม : เขาเรียกอีแร้งว่า หงส์ทองหรือครับ ?
ตอบ : ต้องเรียกให้ไพเราะเป็นการแก้เคล็ด เหมือนที่เขาเรียกเหี้ยว่าตัวเงินตัวทอง

เถรี 15-11-2011 14:29

3 Attachment(s)
บ้านเรามีแต่แร้งไก่งวง ส่วนฝรั่งจะมีราชาแร้ง (King Vulture) เป็นแร้งที่หน้าตาเท่มาก

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1321341342
ราชาแร้ง (King Vulture)


แต่ถ้าจะเอาแร้งที่สวยจริง ๆ ลักษณะเหมือนนกอินทรี ต้องเป็นแร้ง Griffon จะมีทั้ง Egyptian Griffon กับ Tibetan Griffon



ถ้า Tibetan Griffon จะกินซากศพของคนตายที่เขาเอาไปเลี้ยงนกแร้ง คนทิเบตเขาถือว่า การเอาซากศพไปเลี้ยงแร้ง คือการสละร่างกายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นอาหารของสัตว์โลก ทำให้คนตายได้บุญมาก สัปเหร่อจะเชือดเนื้อให้นกแร้งกินจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นก็ทุบกระดูกจนป่นผสมแป้งให้แร้งกิน แร้งจะกินจนเกลี้ยง พอก่อไฟควันไฟขึ้นเมื่อไรแร้งจะมากันเป็นฝูงทันที เพราะรู้ว่ามีให้กินแล้ว แร้งชนิดนี้เป็นแร้งที่หน้าตาดูดีมาก เพราะว่าหัวไม่ล้านจนเหลือแต่หนัง ดูเหมือนนกอินทรี เพียงแต่ว่าจงอยปากเป็นแบบแร้งเท่านั้น

อาชีพของสัปเหร่อ เขาเรียกว่า "ผู้ต้องมลทิน" คนยิ่งมีความดีมากเท่าไร เขาถือว่าถึงเวลาตายแล้วก็มีความชั่วร้ายติดกับศพมากเท่านั้น ฟังดูปรัชญาเขาแล้วงงไหม ? เขาบอกว่า ความชั่วร้ายที่จะกลบกลืนคนดีจนตายได้ ต้องใช้ความชั่วมหาศาลมาก แต่ถ้าสำหรับคนชั่วแล้ว ใช้แค่ไม่เท่าไรก็สามารถทำให้ตายได้ เพราะฉะนั้น..เวลาตาย คนดี ๆ จะมีความชั่วร้ายติดกับตัวมากเป็นพิเศษ

ดังนั้น..สัปเหร่อที่ทำศพเขาเรียกว่าผู้ต้องมลทิน ไปไหนก็ต้องพกกระดิ่งสั่นกริ๊ง ๆ ให้คนเขารู้ จะได้หลีกไปไกล ๆ ถ้าเป็นบ้านเราคนขายไอศกรีมก็คงซวย เสียงกระดิ่งดังกริ๊ง ๆ ก็ไม่ต้องขายแล้ว คนหนีกันหมด

เถรี 15-11-2011 17:44

ถาม : การที่เราเจอสถานการณ์น้ำท่วมอย่างนี้เป็นเพราะกรรมใช่ไหมคะ ? แล้วเราทำกรรมมามากขนาดนี้เลยหรือ ? หมายถึงหลาย ๆ คนค่ะ
ตอบ : ตอนไปปล้นบ้านตีเมืองเขาไม่เห็นพูดอย่างนี้นี่..!

ถาม : การที่เราน้ำท่วมเพราะเราเคยทำกรรมผิดศีลข้อ ๒ ?
ตอบ : ก็มีส่วนจ้ะ เพราะการที่เราไปปล้นบ้านตีเมืองเขา ก็ต้องขนทรัพย์สมบัติกวาดต้อนผู้คนและสัตว์เลี้ยงของเขามา ย่อมผิดศีลข้อ ๒ แน่ ๆ จ้ะ แต่เป็นการผิดศีลหมู่ ถึงเวลาช่วยกันทำ ก็ต้องช่วยกันโดน

ถาม : แล้วอย่างนี้เราต้องทำอย่างไรต่อไปดีคะ ?
ตอบ : รอให้น้ำแห้งแล้วล้างบ้าน..!

เถรี 16-11-2011 13:58

1 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากประสบการณ์ผจญกับน้ำท่วมที่เคยผ่านมา ยาแก้น้ำกัดเท้าที่ดีที่สุดก็คือ ขี้ผึ้งเบอร์ ๒๘ ตราม้าคู่ แต่ทาแล้วเหม็นนานหน่อยเพราะผสมกำมะถันมาก

ถ้าหากว่าต้องลุยน้ำทุกวัน แล้วมีบาดแผลตามแข้งตามขาจะทำให้ติดเชื้อ บาดแผลจะหายยาก ให้เอาขี้ผึ้งโปะตรงปากแผลไว้ แล้วเอาพลาสเตอร์แผ่นใหญ่ปิดตายไปเลย ๓-๕ วัน ไม่ต้องไปแกะ พอเชื้อโรคไม่มีอากาศหายใจ ก็จะตาย แผลจะสมานไปเอง นี่จากประสบการณ์คนที่บ้านแช่น้ำมา ๘ เดือน เมื่อปี ๒๕๒๖

โบราณแก้น้ำกัดเท้า โดยใช้เปลือกมังคุดแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสแล้วก็ทา ได้ผลเด็ดขาดดีเหมือนกัน แต่ว่าลุยน้ำไม่ได้ เพราะละลายหมด ขี้ผึ้งเบอร์ ๒๘ นี่ถ้าทามาก ๆ กันน้ำได้ ไม่ได้ค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว แต่ใช้แล้วได้ผลเลยบอกต่อ มีทั้งสีขาว สีน้ำตาล จะสีอะไรก็ใช้ไปเถอะ"


เถรี 16-11-2011 14:11

2 Attachment(s)
"สัตว์ต่างถิ่นที่เอาเข้ามาเลี้ยงแล้วสร้างความลำบากเดือดร้อนให้กับคนไทย ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือหอยเชอรี่ บ้านเรามีแต่หอยโข่ง หอยโข่งมีสีดำ ดูแล้วไม่สวย ส่วนหอยเชอรี่สีออกส้ม ๆ สวยดี จึงสั่งนำเข้ามาเลี้ยงกัน เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เบื่อ ทิ้งลงแหล่งน้ำ คราวนี้หอยเชอรี่ระบาด กินต้นข้าวล้มเป็นแถบ ๆ ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้



ถ้าภาคกลางของเราไม่ได้นกปากห่างของสวนนกท่าเสด็จมาช่วยไว้ นาข้าวจะบรรลัยมากกว่านี้อีกเยอะ แต่นกปากห่างก็ตายไปมาก ไข่ฟักไม่ค่อยเป็นตัว เพราะว่าเขาไปฉีดยาฆ่าแมลง พอฉีดยาแล้วหอยก็สะสมยาไปด้วย แล้วนกปากห่างกินหอยวันละเป็นร้อย ๆ ตัว จึงตายเยอะ"


เถรี 16-11-2011 14:34

3 Attachment(s)
"อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือนากหญ้า เพราะถ้าระบาดนี่พวกนี้กินกระจายเลย พืชผักอะไรที่กินได้โดนกินหมด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาทำลักษณะเหมือนขายตรง รับไปเลี้ยงแล้วก็ขายต่อกันไปเป็นทอด ๆ ราคาสุดท้ายนี่ไม่มีใครซื้อได้หรอก นั่นเป็นการแหกตากันตรง ๆ แต่คนก็เชื่อ เพราะเขาว่ามีตลาดรับซื้อหนังนากหญ้า ให้ราคาสูงมาก แล้วก็เจ๊งไปตาม ๆ กัน..!


แล้วที่เห็นว่าน่ากลัวอีกอย่างคือหนูแฮมสเตอร์ แต่หนูแฮมสเตอร์ดีอยู่ตรงที่ว่าค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าไม่เลี้ยงก็ตายง่าย แต่ขอโทษเถอะ..สถิติเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ๑ คู่ ๔ ปีมีลูกล้านกว่าตัว..! เพราะว่าอุ้มท้องแค่อาทิตย์กว่าเอง พักเดียวตัวที่คลอดออกมาก็เริ่มโตเป็นพ่อเป็นแม่ได้แล้ว ก็กระจายพันธุ์ไปเรื่อย ยังโชคดีที่หน้าตาน่ารักและรสชาติอร่อย..แมวชอบ เพราะฉะนั้น..ระบาดไปเถอะ เดี๋ยวแมวก็จัดการเอง ตัวละคำพอดี ๆ..!

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1321428514
หนูแฮมสเตอร์

ปัจจุบันปัญหาหนักที่สุดก็คือ ปลากดเกราะ เขาเรียกว่า Sucker เลี้ยงไปเลี้ยงมาแล้วเขาทิ้งลงแหล่งน้ำ ระบาดไปทั่ว ไปดูสวนสาธารณะเมืองย่าโม ระบาดถึงขนาดว่าเบียดกันอยู่ จนต้องตะกายขึ้นบกมาแห้งตาย พวกนี้อดทนต่อน้ำเน่ามาก แล้วกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ดูดไปเรื่อย ปลาพื้นบ้านของเรามักจะวางไข่ตามแอ่ง โดนปลากดเกราะกินเสียเกลี้ยง แล้วพวกนี้ก็ระบาดแทน"


เถรี 16-11-2011 15:02

5 Attachment(s)
"ลำตะคองที่เขาใหญ่ ความจริงมาจากคำว่า "ลำตะกอง" ตะกองก็คือกิ้งก่ายักษ์ ตัวประมาณท่อนแขน ยาวเมตรกว่า ๆ บางที่เรียกว่า "รั้ง"

ตะกองหรือรั้งเป็นสัตว์พื้นถิ่น พวกดูนกไปเจอตะกองยักษ์เข้าก็ถ่ายรูปมา ส่งไปถึงนักสัตววิทยา เขามึนมากบอกว่าเป็นอีกัวน่า เพราะอีกัวน่าเป็นกิ้งก่าสีเขียว ๆ คล้าย ๆ ตะกองเหมือนกัน สรุปแล้วชาวบ้านเลี้ยงจนเบื่อ จึงเอาไปปล่อยป่า อีกัวน่าก็เลยไปอยู่ที่ลำตะกองแทน..! สัตว์ที่กินได้คือตะกวด ตัวที่สวย ๆ เอามาเลี้ยงเล่นได้คือตะกอง




การเลี้ยงสัตว์อันตรายไม่ควรเลี้ยงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะบ้านเราไม่มีงูหางกระดิ่งแน่นอน เพราะเป็นคนละพื้นที่กัน แต่ถ้าใครบ้าเอามาเลี้ยงให้ระบาดได้ ก็ให้เขารู้รสชาติของชีวิตไป..!

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1321430176
งูหางกระดิ่ง


งูแมมบ้ามี ๒ สี สีดำเรียกว่า แบล็กแมมบ้า กับสีเขียวเรียกว่า กรีนแมมบ้า เป็นงูที่เลื้อยเร็วกว่าจงอางอีก เขาบอกว่าจงอางเลื้อยเร็วขนาดไล่ม้าได้ทัน แต่งูแมมบ้าเลี้อยเร็วกว่าจงอาง และพิษร้ายแรงกว่าจงอาง ถ้าโดนกัดแล้วไม่ได้เป่ายันต์ไปนี่นอนสวด "อนิจฺจา วต สงฺขารา.." อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก เสียเวลาเคลื่อนย้าย ย้ายไปก็ไม่มีเซรุ่ม..!

พวกสัตว์ป่าต่าง ๆ พอเลี้ยงไปถึงระยะหนึ่ง เขาจะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จะมีการติดสัดหรือตกมัน พวกนี้จะอันตรายทั้งนั้น ขนาดลิงลมตัวเล็ก ๆ น่ารัก ถึงเวลาอาละวาดขึ้นมายังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกเลย



ปัจจุบันนี้เห็นหลายคนเลี้ยงกระรอกบินกันเต็มไปหมด จตุจักรของเรานี่มีสัตว์สารพัด เผลอ ๆ สัตว์สงวนก็หลุดออกมา สัตว์ป่าคุ้มครองก็หลุดออกมา"


เถรี 16-11-2011 17:29

3 Attachment(s)
"อาตมาเคยเลี้ยงเม่นแคระอยู่ ๒ ตัว เป็นพันธุ์ Normal Pinto กับ Apricot



พันธุ์ Apricot ขนจะเป็นสีเหลือง ๆ ขาว ๆ จึงเรียกชื่อว่าทุเรียน ส่วน Normal Pinto นี่ขนขาวสลับม่วง เรียกชื่อว่ามังคุด ตอนแรกให้อยู่ร่วมกัน เดี๋ยวก็ไล่กันไปไล่กันมา ไปเปิดตำราศึกษาดู เขาบอกว่าเม่นแคระเป็นสัตว์สันโดษ ไม่ยอมพักร่วมกัน ไล่ฟัดกันเอง แล้วที่ทองผาภูมิอากาศหนาว ถ้าวันไหน ๒ ตัวนี้ฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ไปกรุรัง ก็แปลว่าหนาวแล้ว

อาตมาต้องยัดกระดาษชำระให้เป็นม้วน ๆ ทั้งสองตัวจะได้เอาไปกรุรัง ไม่อย่างนั้นกระดาษหนังสือพิมพ์ที่รองพื้นกรง จะโดนฉีกเอาไปกรุรังหมด ตอนแรก ๆ เลี้ยงอาหารเม็ด แล้วอาตมาก็ดัดแปลงไปเรื่อย ท้ายสุดจึงรู้ว่าเม่นแคระชอบกินถั่วมากกว่า อะไรที่เขารู้สึกว่าอร่อย ต้องให้ทีละนิด อย่าไปให้เยอะทีเดียว เพราะว่าบางอย่างเขาก็ไม่กิน บางอย่างกินเข้าไปอาจจะเป็นอันตราย

อย่างลูกค่างเกิดใหม่ ๆ ตัวจะเป็นสีทอง ๆ หางยาว ๆ น่ารักมากเลย แต่คนที่ไม่รู้นี่เลี้ยงลูกค่างตายมาเยอะแล้ว ค่างเป็นสัตว์ที่ท้องเสียง่ายมากที่สุด เวลากินก๋วยเตี๋ยวอยู่ เขาอยากกินเราก็ให้ได้ แต่ให้แค่เส้นเดียวก็พอ ถ้ากิน ๒-๓ เส้นเดี๋ยวถ่ายท้องไม่เลิก ถ่ายขนาดต้องให้น้ำเกลือเลย



เลี้ยงสัตว์ต้องระมัดระวังด้วย ใครเลี้ยงพวกสัตว์ตระกูลนกแก้ว นกกระตั้ว ต้องหาที่อุดหูไว้ด้วย ถ้าไม่พอใจพวกนี้จะแผดเสียงแว้ดลั่นบ้าน แล้วเสียงนกแก้วร้องนี่ ประเภทขี้หูเต้นระบำเลย



ถ้าหากว่าเรารักสัตว์เฉพาะตัวเล็ก ๆ นี่อย่าไปเลี้ยงเลย ลูกหมาเล็ก ๆ ก็น่ารัก พอโตมาแล้วเปลี่ยนไป ไม่น่ารักเหมือนเด็ก ๆ เราก็เลิกรักแต่หมานั้นฝังใจ รักใครเขารักคนเดียว คราวนี้หมารักเราเท่าเดิม แต่เราไม่รักเขาแล้ว ถ้าเป็นคนก็ไปโดดตึกตายแล้ว ดีที่เป็นหมา กำลังใจดีกว่าคน จึงไม่ไปโดดตึก..!"

เถรี 16-11-2011 17:41

"ภาพคนไทยหนีน้ำท่วมแล้วหอบหมาไปด้วย นักข่าวต่างชาติตีพิมพ์ไปทั่วโลกเลย บอกว่าปลาบปลื้มแทนคนไทยที่รักสัตว์เลี้ยง แต่คงจะรักมากถึงขนาดบรรจุไว้ในท้อง ส่งไปท่าแร่บ้าง ส่งไปเวียดนามบ้าง (หัวเราะ)

คนจำนวนหนึ่งก็รักหมาเหมือนลูก อีกจำนวนหนึ่งก็รักจนน้ำลายหก ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ถึงเวลาก็ไปไล่จับเอา เพราะในเขตอาเซียนด้วยกัน บ้านเรามีหมาจรจัดมากที่สุด เพราะอยู่ที่ไหนก็มีอาหารกิน

ตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มีหมาอยู่เกือบ ๒,๐๐๐ ตัว มีคุณยายอยู่คนหนึ่งมีหมา ๕๐๐ กว่าตัว แล้วก็ไม่ใช่หมาของคุณยายหรอก เป็นหมาจรจัดนั่นแหละ คุณยายเอารถสามล้อส่งอาหารให้กินอยู่ทุกวัน พอน้ำท่วมก็ต้องพาอพยพไป

ปรากฏว่าบรรดานักการฯ นักศึกษา คณาจารย์วิตกมาก เพราะหมา ๕๐๐ กว่าตัวไม่ใช่ของคุณยาย คุณยายก็ไม่ได้ดูแลอะไร แล้วพอถึงที่นั่นแกก็ไม่มีอาหารจะเลี้ยง วัน ๆ คุณยายก็เอาแต่นั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อน หน้าที่เลี้ยงหมากับเก็บขี้หมาก็เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่ว่ามานั่นแหละ จบด็อกเตอร์มาเก็บขี้หมา ดีเหมือนกัน ลดมานะให้ตัวเองได้

เพราะฉะนั้นบางคนถึงเมตตา แต่เขาก็อุเบกขา ปล่อยวางได้ พอถึงเวลาไปแล้ว ตัวกูยังไม่มีกิน เอ็งก็อดไปแล้วกัน..!"

เถรี 16-11-2011 17:44

"น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีเรื่องดีเหมือนกันนะ อันดับแรก พวกนกหนูงูเงี้ยวคงจะลดน้อยลงไปอย่างมหาศาลเลย เพราะบรรดาหนูกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ในท่อ พอไม่มีท่อจะอยู่ ว่ายน้ำไม่ไหวก็จมตายไป ตัวไหนหนีขึ้นที่สูงได้ ถ้าไม่มีอะไรกินก็อดตายอีก

แต่ส่วนใหญ่สัตว์มีสัญชาตญาณดีกว่าคน ไม่นับสัตว์เลี้ยงที่หมดสัญชาตญาณแล้วนะ พวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง ก็จะอพยพทัน มีเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยก็คือว่า ถ้าเรือลำไหนก็ตาม มีบรรดาหนูและแมลงสาบวิ่งหนีออกไป ไม่ยอมอาศัยในเรือ กัปตันเขาจะรู้เลยว่าให้ทิ้งเรือได้แล้ว ออกทะเลไปก็จม

สัตว์รู้ก่อนว่าเรือลำนั้นจะจม แล้วเป็นอย่างนั้นทุกลำ ทั้ง ๆ ที่เรืออยู่ในท่า ถ้าหนูแมลงสาบวิ่งพลุกพล่านขึ้นมา ไม่ยอมอยู่ด้วย หาทางเผ่นขึ้นบกเมื่อไร ลำนั้นออกทะเลเมื่อไรก็จมแน่"

เถรี 17-11-2011 16:19

ถาม : ถ้าน้ำท่วมมากอย่างนี้ กฐินหลายวัดคงจะเข้าไปทอดไม่ได้ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกรับกฐิน อานิสงส์กฐินช่วยให้พระผ่อนสิกขาบทก็คือ เว้นโทษในสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ๔-๕ ข้อ กับได้ผ้าใหม่เอาไปใช้แทนของเก่าเท่านั้น ก็แค่ไม่ต้องผ่อนเรื่องศีลกับใช้ผ้าเก่าไปก่อน

เถรี 17-11-2011 16:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าไม่ได้ห่วงเรื่องน้ำท่วมหรือเรื่องโลกาวินาศหรอก แต่ให้ห่วงเหตุการณ์สงครามนอกประเทศ และสภาวะเศรษฐกิจนอกประเทศที่จะซ้ำเติมบ้านเราจะดีกว่า

มีใครที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ไปช่วยขยายแนวคิดนี้ให้หน่อย ก็คือข่าวที่ไม่เป็นการสร้างสรรค์ ไม่ช่วยให้บ้านเมืองเจริญขึ้น อย่าไปลงให้ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองที่ด่ากันไปด่ากันมา พอไม่มีกระบอกเสียงให้เดี๋ยวก็เลิกด่ากันไปเอง

ส่วนใครทำดีก็ช่วยกันสนับสนุนเขียนข่าวให้ ส่วนคนไหนที่ทำความชั่วเราก็คว่ำบาตร อย่าไปลงข่าวให้ พอถึงเวลาเขาอยากได้ชื่อเสียง อยากได้คะแนนเสียงจากชาวบ้าน ก็ต้องแย่งกันทำความดีไปเอง"

เถรี 17-11-2011 18:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงกำลังใจในหลวง พระองค์ท่านสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เวลา ๖๐ กว่าปีผ่านมา พระองค์ท่านทำอะไรแทบจะไม่มีคนทำตามเลย พระองค์ท่านก็ทำไปเรื่อย คนอื่นไม่ทำตามก็เรื่องของเขา ทำให้ดูไปเรื่อย ๆ อาตมาจะแต่งกลอนถวาย เริ่มได้บรรทัดเดียวหยุดเลย แต่งต่อไม่ได้ เพราะว่าอเนจอนาถเกินไป

ในหลวงไม่เคยเลือกว่าเป็นพวกใคร ไม่เคยเลือกว่าจะเป็นคนรวยคนจน ไม่เคยเลือกว่าเชื้อชาติศาสนาใด พระองค์ท่านถือว่าเป็นพสกนิกรที่ต้องสงเคราะห์ทั้งหมด แต่บรรดานักการเมืองไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น เขาไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ อะไรก็ต้องตัวกู ของกู พวกพ้องกูไว้ก่อน

ขนาดไปแจกของน้ำท่วม เขายังให้แจกแต่พวกเขา บางพื้นที่ยิ่งทุเรศเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ใส่เสื้อสีแดงมาเขาไม่ให้ อาตมาจึงปรับวิธีการแจกของโดยการแจกด้วยตัวเองก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่อย่างนั้นของก็จะไปตกอยู่แต่พรรคพวกเขาเอง

ในหลวงทรงทำทุกอย่างเพื่อความสุขความเจริญของประเทศชาติ แต่คนที่เห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่พวกพ้องกลับสร้างความแตกแยกมากขึ้น ๆ สถานการณ์แบบนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะสมานสามัคคีคืนดีกันมา แต่แทนที่เขาจะสมานสามัคคีกัน กลับเอาแต่พวกพ้องและตัวกูอีก

น่าจะออกพระราชบัญญัติพิเศษ ห้ามนักการเมืองพูด ๓ ปี แล้วประเทศชาติจะเจริญขึ้น ห้ามพูด ห้ามให้ข่าว ห้ามออกความเห็น หรือไม่ก็งดบริหารราชการไปเลย ให้เอกชนเขาจัดการกันเองสัก ๓ ปี แล้วบ้านเมืองก็จะเจริญเอง"

เถรี 17-11-2011 21:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราเคยชินกับการให้ การบริจาค มาเป็นแสนชาติแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องการให้ การบริจาคของ พวกเราจะไม่หนักใจ แต่ขณะเดียวกันคนที่ให้ไม่เป็น กว่าจะควักเงินแต่ละทีเหมือนจะขาดใจตาย เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวรั้งเอาไว้ ขอให้ดีใจว่า..กำลังที่เราสร้างมานี้ เหลือเฟือเกินพอที่จะตัดกิเลสแล้ว เพียงแต่ว่าต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องจริงจังเท่านั้น

คนที่จะตัดกิเลสได้ต้องสละได้จริง ๆ แล้วกิเลสทุกตัวมีกำลังเท่ากันหมด จะเป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ กำลังเท่ากันหมด เพียงแต่ว่าตัวไหนจะเด่นออกมาเท่านั้น ถ้าเราตัดได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็หมดกำลังไปด้วย เพราะว่ากำลังใจในการตัดละกิเลส ไม่ว่าจะเป็นตัวไหนก็ใช้กำลังใจในการตัดเท่ากัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่า รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับโต๊ะ ๔ ขา ถ้าเราเลื่อยขาออกได้ขาหนึ่ง โต๊ะก็หกคะเมนแล้ว ขาไหนที่ดื้อตั้งอยู่ได้ก็ไม่แข็งแรง พวกเราเคยชินกับการให้ทานมานับชาติไม่ถ้วน ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าจะตัดกิเลสกัน รัก โลภ โกรธ หลง นี่ หั่นตัวโลภไปก่อนเลย ถ้าตัวโลภหมดไปได้ ตัวอื่นก็ไม่มีกำลังแล้ว"

เถรี 17-11-2011 21:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่น้ำท่วมครั้งนี้ พระได้รับผลกระทบแรงกว่าโยมทั่วไปมาก วัดที่น้ำท่วมพระก็เดือดร้อนหาที่อยู่ไม่ได้ ที่ฉันก็ลำบาก ที่อาศัยก็ลำบาก

ส่วนวัดที่โดนน้ำท่วมแล้วสามารถป้องกันไว้ได้ เสียงบประมาณไปเท่าไรก็ไม่รู้ อย่างวัดพนัญเชิงกั้นน้ำได้รอบวัดเลย อาตมาฟังผิดหรือเปล่าไม่รู้ เขาบอกว่าใช้งบไปกว่า ๑๐ ล้าน แต่เขาเอาอยู่จริง ๆ วัดบางนมโคก็เอาอยู่ แปลว่าวัดที่กั้นอยู่ได้นี่ต้องเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวไปประจำ มีรายได้ประจำ

คนไปกราบหลวงปู่ปานอยู่ทุกวัน ไปไหว้หลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิงอยู่ทุกวัน งบประมาณจึงไหลมาเทมา วัดมีทุนสำรองมากพอ ถึงเวลาไม่ว่าทรายจะแพงขนาดไหนเขาก็ซื้อไหว แล้วถ้าวัดพนัญเชิงหมด ๑๐ ล้าน วัดธรรมกายจะหมดเท่าไร ? เพราะมี ๒,๐๐๐ กว่าไร่ เขาก็เอาอยู่ แปลว่าแม้ว่าจะกั้นอยู่ ก็ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล

ท้ายที่สุด วัดที่น้ำไม่ท่วมอย่างวัดท่าขนุน เดือดร้อนกว่าวัดที่น้ำท่วมเยอะเลย เพราะการขอความช่วยเหลือทุกอย่างวิ่งประดังเข้ามาหา คนนั้นก็จะให้ช่วย คนนี้ก็จะให้ช่วย วัดท่าขนุนบิณฑบาตตอนตักบาตรเทโวได้ของมหาศาลเลย เพราะว่าคนทั้งอำเภอจะมารวมกันที่นั่น บรรยากาศน่าตักบาตร เพราะมีพระเดินแถวลงจากยอดเขามา

พอได้ของจากการตักบาตรเทโว เทศบาล อบต. โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ท้ายสุดกระทั่งโรงเรียน ต่างคนต่างมาขอ เอาไปคนละ ๑-๒ รถกระบะ สรุปว่าทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวเมืองกาญจน์

ผู้ว่าราชการจังหวัดท่านขอมา แต่ละหน่วยงานก็ต้องหาไปให้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าแต่ละหน่วยงานที่เอาไป เขาเอาไปจากวัดท่าขนุนที่เดียว ท้ายที่สุดคณะสงฆ์ทองผาภูมิก็ตื่น พอเห็นคนเขาช่วยกันก็เอาบ้าง เพียงแต่ขยับตัวช่วยช้าไปนิดหนึ่ง"

เถรี 18-11-2011 15:45

ถาม : น้ำท่วมเป็นเรื่องของกรรมวิบากส่งผลด้วยใช่ไหมครับ ? แล้วคนที่ต้องมาบริหารประเทศ จะถือว่าเป็นวิบากกรรมอะไรหรือครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นประเภทเคยรบกวนคนอื่นไว้มาก พอถึงเวลาเลยโดนกวนคืนบ้าง

เถรี 18-11-2011 15:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานดี ๆ อย่างเช่นที่พระเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม น่าจะมีหน่วยงานไปช่วยประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นสาธารณะ แต่ทีนี้ไม่มีคนประชาสัมพันธ์ให้ จึงทำให้คนรู้อยู่แค่พื้นที่ที่พระเข้าไปช่วยเท่านั้น ไม่ได้รู้กระจายเป็นวงกว้าง

แต่พอมีข่าวที่พระทำไม่ดี แวบเดียวคนรู้ทั่วประเทศเลย ทั้ง ๆ ที่เราสังเกตดูจะเห็นว่าข่าวแบบนี้นาน ๆ โผล่มาที เฉลี่ยปีละประมาณ ๑๒ ครั้ง ก็ตกเดือนละครั้ง เราลองคิดดูว่าพระที่อยู่เหนือใต้ออกตก สามหมื่นกว่าวัด มีข่าวไม่ดีปีละ ๑๒ ครั้ง นับเปอร์เซนต์ไม่ได้เลยนะ แต่เขาก็ช่วยกันเขย่าจนพระศาสนาจะพังให้ได้ ทีเรื่องที่พระท่านทำดีกันแทบเป็นแทบตายกลับไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:39


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว