กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   บรรยายพิเศษ วิชาวิสุทธิมรรคศึกษา (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8189)

เถรี 12-12-2021 00:19

ถัดจากนั้นเขาเรียกว่าทิฏฐิวิสุทธินิเทส ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคยเรียนนักธรรมเอกมา คือ วิสุทธิ ๗ ประการครับ เริ่มตั้งแต่สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งศีล การที่เราระมัดระวังรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เกิดสมาธิขึ้นมา เป็นจิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งจิต ในเมื่อศีลบริสุทธ์ จิตบริสุทธิ์ ก็เกิดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ ความเห็นก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย คือเห็นถูก เห็นต้อง เห็นควร ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ แล้วหลังจากนั้นท่านเห็นทิฏฐิวิสุทธิแล้ว ก็จะเป็นนิเทสต่อไป ก็คือปริจเฉทที่ ๑๙ เรียกว่ากังขาวิตรณวิสุทธินิเทส

ในเมื่อทิฏฐิวิสุทธิ ความเห็นบริสุทธิ์แล้ว กังขาวิตรณ ความลังเลสงสัยก็หมดไป ความลังเลสงสัยตรงนี้พอหมดไป เขาเรียกว่ากังขาวิตรณวิสุทธินิเทส

แล้วก็จะไปเป็นปริจเฉทที่ ๒๐ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทส เมื่อหายสงสัยแล้วย่อมมองเห็นทางว่าจะไปทางไหน มัคคามัคคะ คือ หนทางที่จะไป

เมื่อมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทส เกิดขึ้นก็จะไปเป็นปริจเฉทที่ ๒๑ เรียกว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทส เมื่อเห็นทางแล้วย่อมรู้ว่าจะไปอย่างไร ก็คือปฏิปทาที่จะดำเนินไปตามทางนั้น เขาถึงได้เรียกว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทส

เมื่อไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ก็จะเป็นปริจเฉทที่ ๒๒ เรียกว่าญาณทัสสนวิสุทธินิเทส เมื่อปฏิบัติตามหนทางนั้นแล้ว ย่อมเข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งการรู้เห็นทั้งปวง ญาณทัสสนะ, ทัสสนะ = การรู้เห็น ญาณ = เครื่องรู้

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ ความจริงไม่ต้องไปต่อแล้วนะครับ เห็นแล้วก็คว้ามาเป็นของเราเลย ท่านทั้งหลายอาจจะแยกไม่ออกครับ การที่ท่านเห็น ยังเป็นของคนอื่นอยู่นะครับ เขาเรียกว่ามรรค แต่ถ้าท่านคว้ามาเป็นของตัวเองได้ เขาเรียกว่าผลครับ มรรคกับผลต่างกันแค่นี้เอง เห็นแล้วโกยรีบมาเป็นของเรา อย่าแค่ได้เห็นเฉย ๆ ครับ

เถรี 12-12-2021 00:23

แล้วก็จะไปเป็นปริจเฉทสุดท้ายครับ ปริจเฉทที่ ๒๓ เรียกว่า ปัญญาภาวนานิสังสนิเทส กล่าวถึงอานิสงส์ของปัญญานิเทสทั้งหมด ว่ามีความดีความงามอย่างไรบ้าง ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสารัตถะ คือสิ่งที่ท่านทั้งหลายควรตั้งอกตั้งใจศึกษาจริง ๆ ถ้าจะรู้ขนาดผมนี่ก็ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี จนถึง ๖๔ ปี ครับ ขออภัย ๖๓ ยังไม่ ๖๔ ปีครับ

ตรงจุดนี้แปลว่า ท่านทั้งหลายได้ศึกษาในสิ่งที่เป็นเพชรในพระไตรปิฎก ก็คือวิสุทธิมรรคศึกษา เมื่อท่านศึกษาแล้วอย่าปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นทัพพีที่คาหม้อแกงอยู่ครับ ต่อให้แกงไปกี่ร้อยกี่พันครั้ง ท่านก็ไม่รู้รสแกงนั้นเลย ท่านต้องเริ่มลงมือปฏิบัติด้วยครับ ไม่ได้มากเอาเล็กน้อยก็ยังดี ชำระศีลของเราให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้ตั้งมั่นบ้างเล็กน้อย

ถ้าเอามากไม่ได้ก็ก่อนออกบิณฑบาตครับ ภาวนาพุทโธ ๆ หรือพองหนอ ยุบหนอ สัมมาอะระหัง หรืออะไรก็ได้สัก ๕ นาที ๑๐ นาทีครับ อย่าไปนึกถึงเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ให้มาก เป็นการชำระใจของเราให้บริสุทธิ์ จะได้เป็นเนื้อนาบุญให้แก่ญาติโยมได้มากขึ้น แต่ถ้าใครมีวิสัย มีบารมีที่สั่งสมมาตั้งแต่ปางบรรพ์ เป็นปุพเพกตปุญญตา คือผลบุญที่เราทำมาด้วยดีแต่ปางก่อน ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ส่วนที่ทำง่ายที่สุดก็คืออนุสติทั้ง ๑๐ อย่างครับ ไม่ต้องอะไรมากเลยครับ

นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ได้ไปแล้ว ๓ ข้อครับ

นึกถึงเทวดาว่ามีความดีอย่างไร เราจะปฏิบัติตาม ได้ไปอีกข้อหนึ่ง

นึกถึงศีลว่ามีคุณความดีรักษาไม่ให้เราตกในที่ชั่วอย่างไร ปฏิบัติตามไปได้อีกข้อหนึ่ง

นึกถึงความตาย เพื่อที่จะได้ไม่ประมาทในชีวิต ได้อีกข้อหนึ่ง

นึกถึงความเป็นจริงในร่างกายของเรา ในร่างกายคนอื่น ว่าประกอบไปด้วยเครื่องจักรกลใหญ่น้อยทั้งหลาย ไม่ใช่แท่งทึบ ไม่ใช่สิ่งที่สะอาดตา ได้ไปอีกข้อหนึ่ง

นึกถึงความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวง ได้ไปอีกข้อหนึ่ง

ท้ายสุดที่ทิ้งไม่ได้ก็คือลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องเอามากครับ กองใดกองหนึ่ง ทำจริง ๆ เข้าถึงมรรคผลได้ทั้งหมด

เถรี 12-12-2021 00:26

ตอนนี้โคตรเพชรวางอยู่ตรงหน้าทุกท่านแล้ว แล้วพวกท่านก็เปะปะมาเดินชนจนหัวแม่ตีนบวมแล้ว..! ทำอย่างไรที่จะหอบเอาโคตรเพชรนี้กลับไปใช้งาน เอาไปจำหน่ายให้ได้เงินมา เพื่อที่จะช่วยเหลือเรา เป็นนาวาพาเราพ้นจากวัฏสงสารได้ ก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายจะตัดสินใจ

แต่ในส่วนที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายบวชเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม ในส่วนของความเป็นพระภิกษุสามเณรของเราที่จะลืมไม่ได้ก็คือ อย่างน้อยเราต้องมีศีลครบถ้วน ส่วนในเรื่องของสมาธิ ในเรื่องของปัญญานั้น แล้วแต่ว่าท่านจะปฏิบัติต่อไปได้แค่ไหน

ถ้าท่านมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ท่านเป็นเนื้อนาบุญได้แบบไม่ต้องอายใครแล้วครับ สามารถเดินเชิดหน้ายืดอกไปได้เลยว่า เราแม้จะเป็นสมมติสงฆ์ แต่เราก็ทรงศีลทรงวินัยได้บริสุทธิ์ แม้ว่าตัวเราจะเข้าถึงมรรคถึงผลไม่ได้ แต่เราก็ปฏิบัติตามปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เต็มสติเต็มกำลังของเราแล้ว เราจะเป็นผู้หนึ่งที่เชิดชูพระพุทธศาสนานี้ ไม่ใช่มอด ไม่ใช่ปลวก ไม่ใช่หนอนที่จะมาชอน มาไช มากัด มาแทะต้นไม้แห่งพระพุทธศาสนานี้ให้เสื่อมโทรมลง

ฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วยนะครับ ถ้าเราไม่สามารถช่วยให้ศาสนานี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็อย่าทำให้ศาสนานี้พังลงไปเพราะมือของเรา..!

ท้ายที่สุดของการบรรยายนี้ ก็ขออำนวยอวยพรให้นิสิตทุกท่าน ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่เข้ามาฟังด้วย ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม ปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัย ก็ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสุขความเจริญ สมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
บรรยายพิเศษ วิชาวิสุทธิมรรคศึกษา
วันอังคารที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว