![]() |
คนไข้กับหมอ ดั่ง "พ่อแม่ลูก"
โรงพยาบาลที่ท่านเมตตานำพวกอาหารไปสงเคราะห์ในแต่ละวัน ๆ นั้น โดยมากแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในที่นั้น ๆ จะเคารพท่าน ถือองค์ท่านเป็นเสมือนพ่อแม่ เวลานำข้าวของไปแจกแต่ละครั้ง ๆ หลังจากที่ได้ซักถามว่ามีสิ่งใดขาดหรือไม่แล้ว ในระยะหลังหลายครั้ง องค์ท่านจะถือโอกาสสอนเตือนแก่แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากองค์ท่านก็ถือเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานขององค์ท่านเองเช่นกัน ดังตัวอย่างในคราวหนึ่งที่องค์ท่านนำมาเล่าแบบขำขันให้ฟัง ดังนี้ "คนไข้เข้ามา เขาฝากเป็นฝากตาย ฝากทุกสิ่งทุกอย่าง ครอบครัวเหย้าเรือนเขาฝากมา หาหมอ หายา หาพยาบาลหมด..จะว่าไง ? เขามาหาแล้วหน้าบึ้งใส่เขา..มีอย่างหรือ ? แบบนี้ก็มีแต่แบบหน้าหมาไม่ใช่หน้าคน..! เราว่างั้น..ก็บอกชัด ๆ อย่างนี้แล้ว เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาหัวเราะ อย่าเห็นว่าเราเป็นถึงหมอ คนไข้เป็นทุคตะเข็ญใจ หรือเป็นหมาตัวหนึ่งเข้ามานี้ ต้อม ๆ เข้ามาในโรงพยาบาล ไม่เป็นเช่นนั้นนะ คนไข้มาแต่ละคน ๆ พระเจ้าแผ่นดินแห่มานะ พระเจ้าแผ่นดินไม่แห่มายังไง ? ก็เงินเต็มกระเป๋า ตราพระเจ้าแผ่นดินตีตรามา..เห็นไหมล่ะ ? คนไข้เขามีคุณค่าต่อหมอขนาดไหน..เราต้องคิดบ้างซิ..คนไข้คนหนึ่งกับหมอเป็น "อัญญมัญญัง" อาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าไม่มีคนไข้..หมอก็หมดความหมาย โรงพยาบาลก็ล้มหมด ที่ตั้งกันอยู่ อาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ พอเป็นไปได้ทั้งฝ่ายหมอและฝ่ายคนไข้ ก็เพราะต่างคนต่าง "อัญญมัญญัง" ซึ่งกันและกัน อย่าเห็นว่าทางไหนสูงกว่ากัน ถ้า "อัญญมัญญัง" แล้ว อยู่ด้วยกันได้ เพราะเรื่องคนไข้กับหมอแยกกันไม่ออก เหมือนพ่อแม่กับลูก เราจะว่าเป็นเทวดากับหมาได้ยังไง ? เราก็บอกถึงว่า..เงินในกระเป๋าเขามาแต่ละคน พระเจ้าแผ่นดินแห่มานะ..ว่างั้น คนหนึ่งกระเป๋าเป้ง ๆ มา เขาให้ด้วยน้ำใจ..มีเยอะนะ เขาให้ค่าหยูกค่ายาเป็นธรรมดา เขาให้ด้วยน้ำใจของหมอ น้ำใจของพยาบาล ที่มีคุณแก่คนไข้ของเขา แล้วเขาก็ตั้งใจให้ด้วยน้ำใจ..มากกว่านั้นอีกนะ มีเยอะนะ.." |
จิตแพทย์หมดทางเยียวยา
"ความอยากนั่นละ อยากนั้นอยากนี้ อยากคิด อยากปรุง อยากแต่ง อยากรู้ อยากเห็น อยากได้นั้นได้นี้ อยาก ๆ ๆ ตลอด นี่ตัวมันกวนใจ ภาวนาสติจับปุ๊บเข้าไปตรงนั้น มันจะกวนไปไหน จะสงบลง ๆ สติเข้าตรงไหนสงบตรงนั้น ไม่มีสติแล้วก็เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง..เป็นบ้าได้เลย..! อย่างที่เราเห็นคนบ้าอยู่ตามสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เราไปเห็นด้วยตาเนื้อของเรา รถจะชนกันเพราะหลีกคนบ้าอยู่ในสี่แยกไฟแดง มันทำเฉยนะ หยิบนั้นหยิบนี้ใส่นั้น หยิบอันนี้ออก หยิบอันนั้นเข้า เฉยไม่สนใจกับใคร ก็เราเห็นเองนี่ รถที่หลีกคนนี้หลีกกันไปหลีกกันมาก็จะชนกันซิ..! รถเลยจะเป็นจะตายกับคน พอดีเราก็ไปเจอนั้นด้วย เราก็ได้ดู อ๋อ..นี่ไม่สนใจกับใครเลยนะ รถที่วิ่งขวักไขว่หลีกกันหลบกัน ทั้งจะชนคน ทั้งจะชนกันไม่ได้เรื่องอะไร ยุ่งเราก็ดู โอ้..เป็นอย่างนี้ ทีนี้ก็เอามาพิจารณา นี่ละคือความเคลื่อนไหวไปมา นี้คือคนเป็นมีชิวิตอยู่ ความรู้มีอยู่กับใจ แต่ไม่มีสติเครื่องรับผิดชอบในตัวเอง มันอยากทำอะไรก็ทำ นี่ละ..มีแต่จิตล้วน ๆ อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนไส้เดือนบุ้งกือ มันคืบคลานของมันไป ไม่ใช่ไม่มีความรู้ มันมีความรู้แต่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มันก็เป็นไปแบบนั้น คนเราเมื่อไม่มีสติเครื่องควบคุมตัวเองรับผิดชอบตัวเองแล้ว ก็เหมือนคนบ้าที่อยู่ในสี่แยกไฟเขียวไฟแดง อยากทำอะไรก็ทำ..เฉย คนอื่นจะเป็นจะตาย..รถมา ตอนนั้นตำรวจไม่มี นี่ละเรื่องมีแต่ความรู้อย่างเดียว ไม่มีสติรับผิดชอบเป็นได้อย่างนั้น นั่นละมีแต่ความรู้เป็นอย่างนั้น คือความรู้อันนี้มันมีกิเลสตัวสำคัญที่เรียกว่าอวิชชาครอบอยู่นั้น สติปัญญาที่จะควบคุม คอยรับผิดชอบแก้ไขกันไม่มี มันก็ปล่อยตามเรื่อง ไปไหนก็ไป มีตีความรู้ไม่ทราบว่าผิดไม่ทราบว่าถูก ไม่ทราบว่าควรไม่ควร สิ่งที่จะให้ทราบเหล่านี้คือสติคือปัญญารับผิดชอบในตัวเอง แล้วก็รู้เรื่องคนอื่นคนใดได้เหมือนเรารู้เรื่องของเรา ถ้าไม่มีสติหรือปัญญาเสียอย่างเดียว ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องของตัวเอง คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องของเขา อยากจะทำอะไรก็ทำไปตามความรู้สึก โดยมีอันหนึ่งดันให้อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีความรับผิดชอบคือสติ นักภาวนาพิจารณานะ นี่เราพูดเรื่องสติทั่ว ๆ ไป จิตทั่ว ๆ ไป ถ้าเป็นจิตของนักภาวนาต้องแหลมคมตลอด แย็บ ๆ รู้ ๆ แล้วปัญญาสอดแทรก มองพั้บรู้พั้บ ทะลุปิ๊ง ๆ นั่นละสติปัญญาที่เข้าเป็นธรรมแท่งเดียวกับใจด้วยแล้วเป็นอย่างนั้น ที่มารจะพูด อย่างโลกนี้พูดไม่ได้นะ มันไม่เหมือนโลก โลกมันเป็นโลกสมมุติ อันนั้นแม้แต่อยู่ในขันธ์ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุติแล้ว แสดงลวดลายของวิมุติอยู่ตลอดเวลาในธรรมชาติของตนเองที่บริสุทธิ์นั้น นี้ขันธ์ก็เป็นของขันธ์ ต่างกันนะ.." |
จิตวิญญาณในโรงพยาบาล
"โรงพยาบาลจึงเป็นได้ทั้งสองประเภท ป่าช้าคน โรงพยาบาลรักษาคน มีสองประเภท เตียงนั้นคนไข้คนหาย เตียงนี้คนไข้ตาย อยู่ในนั้นเยอะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนอนโรงพยาบาลดูซิ มาจับแข้งจับขาดึง สัมภเวสีเสาะแสวงหาที่เกิด คือถ้ากรรมหนักจริง ๆ กรรมชั่วหนักจริง ๆ ลงปึ๋งเลย รุนแรง ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าเป็นทางความดีนี้ก็ผึงดีดขึ้นเลย ถ้าเป็นสัมภเวสีเสาะแสวงหาที่เกิด ไม่หนักถึงขนาดนั้นทั้งชั่วทั้งดี เขาเรียกสัมภเวสีแสวงหาที่เกิดเร่ ๆ ร่อน ๆ อยู่ตามโรงพยาบาล เวลาคนไข้ไปนอนที่โรงพยาบาลมันมาทำแบบนั่นแหละ บางทีมาจับขากระตุกเอาบ้าง เวลาคนตายกรรมไม่หนักมากนัก สัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ตามนั้น ใครไปก็มาขอความช่วยเหลือ แต่คนว่าผีหลอก มันไม่ได้หลอก คือมาขอความช่วยเหลือ มาทำแบบไหนที่จะให้เจ้าของตื่นรู้สึกตัวหรืออะไรขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ว่าผีกวนผีหลอกอะไร เขามาขอความช่วยเหลือต่างหากนะ อย่างนั้นละ..เป็นก็อาศัยกัน ตายแล้วก็ต้องมาอาศัยกันอยู่อย่างนั้น ถ้าผู้ที่มีบาปหนัก ๆ ก็จมไปเลย ไม่มีโอกาสที่จะได้มาเกาะมายึดติดนั้นติดนี้ ถ้าผู้มีบุญมากดีดขึ้นเลย ผู้ที่สัมภเวสีจะหนักหรือเบาอะไรมันก็พอคาราคาซัง นี่ละ..มันวกเวียนไปเป็นเปรตเฝ้าโรงพยาบาล เตียงหนึ่ง ๆ ทั้งคนไข้หายไป ทั้งคนไข้ตายไป มีเยอะ แล้วดวงวิญญาณมาเกาะมายึดอยู่ตามนั้นละ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ประชุมหรือชุมนุมของดวงวิญญาณที่ตายไปแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่ง ๆ พอตายแล้วคิดห่วงนั้นห่วงนี้ จิตวิญญาณเกาะอยู่นั้น โรงพยาบาลจึงเป็นทั้งป่าช้า เป็นทั้งโรงพยาบาลรักษาคนไข้ รักษาไม่หายก็ตาย เตียงในนั้นทั้งเตียงคนไข้ทั้งเตียงคนตายอยู่ในนั้นละ สลับซับซ้อนเต็มไปหมด เมื่อจิตมีความรู้สึกกับสิ่งเหล่านี้ จิตวิญญาณอะไรจะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตว์เกิดตาย ที่ลงอยู่ในนรกก็เยอะ เป็นชั้น ๆ ขึ้นมา ไปสวรรค์ พรหมโลก ก็เยอะเหมือนกัน ที่สัมภเวสีเป็นเปรตเป็นผีนี้ก็ยิ่งมาก เวลาทำบุญให้ทานนี้เขาอุทิศส่วนกุศล พวกนี้ไม่มีญาติมาขอทานกินเยอะนะ" |
"ไปตามโรงพยาบาลดูแล้วสลดสังเวชนะ คนไข้เกลื่อนโรงพยาบาล ในโรงพยาบาลมันป่าช้าคนเป็นคนตาย อยู่นั้นหมดเลยละ ที่หายก็ออกมา ที่ไม่หายก็ตายเป็นป่าช้าอยู่นั้นละ ตายแล้ววกเวียนก็มี ไปนรกก็มี ไปสวรรค์ก็มี ที่วกเวียนสัมภเวสีหาที่เกิดที่อะไรก็มีอยู่ในโรงพยาบาล จิตวิญญาณเป็นสัมภเวสี
ถ้าหากว่ากรรมหนัก กรรมดีก็ขึ้นเลย..ดีดเลย ถ้ากรรมชั่วก็ไม่มาก กรรมดีก็ไม่มากเป็นสัมภเวสีหาที่เกิด ในโรงพยาบาลนี่ละ โรงพยาบาลเรียกว่าป่าช้า ป่าช้าผีเป็นผีตาย..อยู่นั้นหมดเลยละ ตายแล้ววกเวียน ไปที่ไหนไม่ไปนะ อยู่ตามนั้นก็มี ถ้าผู้มีกรรมชั่วมากก็ลงนรก ผู้มีกรรมดีมากก็ไปสวรรค์ ในติโรกุฑกัณฑสูตร พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว น่าสงสารมาก คือมาอาศัยอยู่ตามข้างฝา ข้างบ้านของเจ้าของ ติโรกุฑกัณฑสูตรแสดงถึงเรื่องความเสาะแสวงหา ความดิ้นรนของเปรตของผี มาในบ้านในเรือน ไปโรงพยาบาล ไปหมด หาที่พึ่งหาที่อาศัย ตายแล้วไม่มีที่พึ่ง คือ เวลามีชีวิตอยู่นี้หาแต่ความชั่วใส่ตัวเอง เวลาตายลงไปแล้วไปเป็นสัมภเวสี เสาะแสวงหาที่เกิดที่อยู่ ทั้งความทุกข์ร้อนทุกอย่างเต็มตัวนี่ละ จิตวิญญาณไม่เคยมีคำว่าตาย คำว่าสูญ คือในจิตแต่ละดวง ๆ เป็นจิตที่ไม่เคยตาย สัมภเวสีขึ้นลง ๆ สัมภเวสีอย่างนี้ตลอด น่าสังเวชนะ..ความเกิดความตายของสัตว์ น่าสลดสังเวชมากทีเดียว ไม่ใช่ธรรมดา ตายแล้วมันไม่แล้วซี จิตสัมภเวสีหาที่เกิดเพราะทุนรอนไม่มี ถ้ามีทุนมีรอนมีบุญมีกุศลตายแล้วก็ดีดผึง ผู้ที่กรรมหนัก ๆ ก็ลงผึงเหมือนกัน ลงแรงขึ้นแรง ถ้าผู้ที่ไม่ถึงขนาดนั้นซิ พวกกวนบ้านกวนเมืองอยู่ตามโรงพยาบาล เต็มไปหมดนั่นละ แต่เขาไม่ได้ว่านะ คือเขาไม่รู้ เขาก็ว่าแต่ผีมาหลอกบ้างอะไรบ้าง มาขอความช่วยเหลือ ไม่ได้มาหลอกมาหลอนอะไร มาขอความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น..ใครจึงอย่าประมาท จิตดวงนี้ไม่มีคำว่าตายคำว่าสูญ มีแต่เกิดกับตายและสัมภเวสี หาที่เกิดให้เหมาะสมกับกรรมของตน เพราะทุกคนมีกรรมทุกคน แล้วเกิดในที่ต่าง ๆ กัน น่าสลดสังเวชการเกิดการตายของสัตว์โลก เป็นทุกแบบทุกฉบับ ป่วยหนักไม่หายก็ไปเท่านั้นละ เรื่องตายเป็นอย่างนั้น.." |
สงเคราะห์ประชาชน ผู้ด้อยโอกาสและสถานสงเคราะห์
ความเมตตาสงเคราะห์โลกขององค์หลวงตาที่มีมาโดยตลอด ก่อนการช่วยเหลือสงเคราะห์โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ สถานสงเคราะห์ ก็คือ การสงเคราะห์คนทุกข์ คนจน คนเจ็บคนป่วย ผู้ด้อยโอกาสรายย่อยในที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้ประสบพบเห็นหรือรับทราบ และช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเมื่อตั้งวัดป่าบ้านตาด ต่อ ๆ มาท่านก็ให้การส่งเคราะห์อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นอีก ทั้งรายย่อยช่วยทุกภาคทั่วประเทศ ทั้งแบบองค์กร ก็ช่วยเหลือมากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ปากเกร็ด สถานสงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด มูลนิธิธรรมมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย จ.ลำปาง ศูนย์บำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กและเยาวชน มูลนิธิช่วยเหลือคนทุกข์ยากในประเทศลาว เป็นต้น กระทั่งผู้ประสบภัยธรรมชาติร้ายแรงตามภูมิภาคต่าง ๆ ท่านก็ให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหตุผล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วยอุปโภคบริโภค ตลอดจนเป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย อุทกภัย ในภาคต่าง ๆ ภัยจากสึนามิในภาคใต้ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลไร้ญาติที่เสียชีวิตลง (ศพไร้ญาติ) ประเภทของการสงเคราะห์มีหลายแบบแตกต่างกันไป ด้านสถานสงเคราะห์ เช่น เครื่องอุปโภคบริโภค ห้องสมุดและอุปกรณ์ภายใน เครื่องคอมพิวเตอร์ รถตู้ รับผิดชอบค่าจ้างพี่เลี้ยงผู้อภิบาลเด็กพิการทางสมองและปัญญา ซื้อรถให้ รับผิดชอบค่าก่อสร้างอาคารสถานที่ เป็นต้น จำนวนค่าใช้จ่าย แต่ละประเภท ก็มีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักหลายล้าน บางครั้งก็ช่วยเหลือเฉพาะส่วนที่ขาด ซึ่งก็จำนวนเงินไม่น้อย อย่างเช่น การอนุเคราะห์เงินบางส่วนที่ยังขาด ซื้อรถให้กับมูลนิธิธรรมมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย จังหวัดลำปาง ประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ บาทเศษ เป็นต้น ในด้านสาธารณประโยชน์ก็เช่น สร้างและขยายถนน สร้างสะพาน ขุดสระน้ำให้ชาวบ้าน ขุดสระน้ำให้สัตว์ได้ใช้กิน ฯลฯ |
ช่วยเงียบ อยู่ใต้ดิน
ความเมตตาอย่าหาประมาณมิได้ในส่วนนี้ขององค์หลวงตาต่อผู้ประสบทุกภัยต่าง ๆ ยังมีอีกหลายประการแจงไม่หมดสิ้น และยังแผ่ครอบคลุมกว้างขวางทั่วประเทศ ถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ขอยกคำกล่าวของท่านมาแสดงเพียงเล็กน้อย เพื่อบอกถึงที่มาและเหตุผลของการช่วยเหลือบ้าง ดังนี้ "สงเคราะห์สงหาไปเฉพาะ ๆ นี้ทั่วไปหมด ไม่ว่าคนทุกข์คนจน จังหวัดไหนเราไม่ว่านะ มีความจำเป็นอยู่ตรงไหน บางทีเจ้าของไปไม่ถึง ถามเหตุถามผลไป บางทีก็โทรศัพท์ถึงกัน คุยกันเลย โน่น..ภาคใต้ก็มี โทรศัพท์คุยกันเลย ได้เหตุได้ผลเรียบร้อยแล้วส่งเงินไปให้เลย นั่น..อย่างนั้นนะ มันทุกภาคเราช่วยไป ไม่ว่าแต่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ เราก็ให้ เช่น อย่างสถานสงเคราะห์บ้านข้าวสารนี่เราก็ช่วย ที่อื่นเราก็ช่วย ไม่ช่วยแต่ที่แห่งเดียว แล้วคนทุกข์คนจนมีความจำเป็นยังไงบ้างที่ควรจะช่วยเป็นรายบุคคล ๆ นั้นเราช่วยมาตลอด อันนี้กว้างขวางมาก ไปหลายจังหวัด ภาคไหนก็ไปหมด บางทีส่งแต่เงินไปให้ก็มี บางทีเจ้าของไปดูเอง ปลูกบ้านให้ก็มี ซื้อที่ให้ก็มี ทั้งซื้อที่ทั้งปลูกบ้านให้ก็มี นี่เรียกว่าช่วยรายบุคคลที่จำเป็น ช่วยทั่วไป แต่นี้เราไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยประกาศระบุชื่ออะไรแหละ ให้แล้วเงียบไปเลย เพื่อรักษาเกียรติเขา สิ่งที่ควรจะพูดเราก็พูดได้ เช่นรายชื่อออกทางหนังสือพิมพ์แล้วเป็นการเปิดเผยแล้ว เวลาเราช่วยเราก็พูดบ้าง ถ้าเป็นเรื่องไม่มีหนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องมาพูดขอความช่วยเหลือกันโดยเฉพาะ ๆ นี้ เราก็ให้เป็นเรื่องเฉพาะ ๆ ไปเลย แล้วเหมือนไม่ให้ ให้แล้วผ่านไป ๆ เรื่อย ๆ อันนี้ช่วยตลอด นี่หมายถึงเราช่วยคนทุกข์คนจนอย่างนี้ เราจะระบุชื่อไม่ได้นะ เรารักษาศักดิ์ศรีกัน..เข้าใจไหม ถ้าหนังสือพิมพ์เขาออกประกาศบ้างแล้วนั้น เราจะบอกก็ได้ ไม่บอกก็ได้ ส่วนที่เป็นเรื่องโดยเฉพาะอย่างที่ว่านี้ ความจำเป็นอย่างนี้ทั่วประเทศนะ ไม่ใช่เล็กน้อย เป็นล้าน ๆ ก็มีนะ..ที่ช่วยอย่างนี้ ช่วยด้วยความจำเป็น ใครเมื่อจำเป็นไม่อาศัยคนอื่นจะอาศัยใคร คิดดูซิ ในครัวเรือนเรายังอาศัยกันทั้งครอบครัว ใครอยู่เป็นเอกเทศได้เมื่อไร ตั้งแต่พ่อแต่แม่ลงมา อาศัยกันโดยลำดับ ลูกเต้าหลานเหลน แม้หมู หมา เป็ด ไก่ ก็อาศัยเจ้าของ..เข้าใจไหม ทำไมคนทั้งประเทศไม่อาศัยกันหรือ ? เวลาจนตรอกอย่างนี้ จิตมันต้องวิ่งหาที่พึ่งอาศัยละซิ นี่ละ..ให้คิดอย่างนี้ละพี่น้องทั้งหลาย อย่างคนทุกข์คนจนนี้ หมายถึงพวกที่เจ็บไข้ได้ป่วย เรียกว่าไม่มีทางอาศัยได้เลย เป็นอนาถ เจ้าของก็จะตาย นี่เรารับ ๆ ๆ ให้เป็นคนไข้ของเรา ที่ไหนใกล้ไกลเขาส่งมาถึงเรา เราก็รับปุ๊บ ๆ อย่างนั้นมาก นี่เรียกว่าคนจนประการหนึ่ง ประการย่อย ๆ ออกไปอีกนั่นก็คือว่า เป็นคนจนจริง ๆ แต่เป็นคนดี ถูกพวกคดโกงพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง ต้มเอาเสียแหลก กว่ามารู้สึกตัวหมดตัวแล้ว..อย่างนี้ก็มี ถ้าอย่างนี้เราช่วย ให้สืบหาเหตุหาผลชัดเจน เราไม่ใช่ช่วยง่าย ๆ นะ เข้าถึงตัวเลย เป็นยังไง ๆ พอได้ความมาแล้วเรารับปุ๊บเลย มันจะจมจริง ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นคนดี ถูกพวกเปรตพวกผี มันคดโกงเอาละซิ โอ๋..อย่างนี้ก็หลายรายเหมือนกัน แต่อย่างนี้เราจะไม่พูดตามที่เราเคยประกาศแล้ว ช่วยคนทุกข์คนจนนี้ทั่วประเทศไทย ของเล่นเมื่อไร แต่อันใดที่เป็นเรื่องเฉพาะเราจะไม่พูด ระบุชื่อคนนั้นคนนี้ไม่มี ช่วยเงียบ ๆ เงียบไปเลยนะเรา อันใดที่ควรจะเปิดก็เปิดออกมา เช่น เขาออกทางหนังสือพิมพ์แล้วติดตามไปดูทางหนังสือพิมพ์ เพราะเขาบอกบ้านเลขที่ นี่ก็โทรไปถาม บางทีเราเดินทางไปดูเองก็มี ไปเงียบ ๆ อย่างนี้ที่เราปฏิบัติโลก ไปดูถนัดชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เป็นที่เข้าใจแล้วทีนี้ตกลงกันเลย อย่างนี้มีมาก อย่างนี้เราไม่พูดเลย ถ้าหนังสือพิมพ์เขาออกเราอาจพูดบ้าง เราไปดูตามหนังสือพิมพ์เขาประกาศ ถ้าเรารู้ตามเรื่องของเขาโทรมา โทรมาหาเรา เข้ามาถึงเรา เราก็ให้สืบถามอีก ถ้าช่วยก็ช่วยไปเลย มากต่อมาก เมืองไทยเราทุกภาคที่เราช่วยแบบนี้นะ" |
"บอกได้แต่ภาคเท่านั้น บุคคล ๆ เราบอกไม่ได้ เพราะเราพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ความได้ความเสียของการบอก การบอกเหมือนกับเอาไฟไปเผาบ้านเขาอีก สกุลของเขาก็มีศักดิ์ศรีดีงาม เราให้เพื่อเป็นความสุข เย็นใจเย็นกายทุกอย่างของเขา เป็นความสะดวก แล้วเราไปให้แบบโฆษณาป้าง ๆ เอาไปไปเผาเขา ถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัว อย่ามาให้เสียดีกว่า มาประกาศกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้น..เราจึงไม่พูด เอาคอไปตัด ให้ตัดเลย เราสงวนศักดิ์ศรีของคนแต่ละคน ๆ แบบเงียบ ๆ นะที่เราทำ ถ้าลงว่าเงียบ เงียบจริง ไม่ได้บอกใครว่าให้ที่ไหนคนใดคนไหน ถ้าว่าส่วนใหญ่จะระบุก็เช่นภาค..มันทุกภาค จะไปว่าบ้านไหนเราไม่บอก เพราะเราสงวนรักษาศักดิ์ศรีดีงามของเขา ให้แล้วให้เขาเป็นสุขใจไปเลย เงียบไปเลย เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อเอาชื่อเอาเสียงเอาอะไร ๆ เราไม่มีอย่างนั้น มีแต่ความเมตตาล้วน ๆ นี่เราอ่านอยู่นี้ ที่เขาจำได้เขาก็เอามาลง เขาคงจะไปหาเก็บเอาที่ไหนบ้าง อาจจะทราบจากพระจากอะไรที่เราพูดอยู่ภายในวัด แล้วเขาก็ไปเขียนออกอย่างนั้น ส่วนที่เขาไม่ทราบ เช่นอย่างเราไม่ระบุคน ไม่ทราบ..จึงไม่มีมาออกเลย ที่เราไม่ระบุมากต่อมาก ก็ไม่ได้มาออก นี่เห็นไหม..หลวงตาทำประโยชน์ให้โลก ไม่ได้ประกาศเจ้าของเพื่อโอ้อวดนะ เอาเรื่องความเมตตา เรื่องของธรรม แสดงออกจากน้ำใจให้พี่น้องทั้งหลายให้ได้เห็น เมตตาไปที่ไหนเย็นไปหมด ช่วยไปทุกแห่งทุกหน เราช่วยตลอดมา ก็บอกแล้วว่าเราไม่เก็บ เงินเราไม่เคยมีก็บอกแล้ว.." และเพราะเหตุต้องช่วยเหลือกว้างขวางหลายแง่มุมจนไม่อาจประมาณได้เช่นนี้ องค์ท่านจึงไม่มีเงินติดเนื้อติดตัวตลอดมา ดังนี้ "สงเคราะห์คนทุกข์คนจนนี้หลายแห่งหลายหน บางทีเพียงรายเดียวเท่านี้เป็นล้าน ๆ ก็มี ไม่ใช่เล่น ๆ นะ รายละ ๓ แสน ๔ แสน รายละ ๔ หมื่น ๕ หมื่น มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยของเรา บางทีเงินจนจะไม่มีติดธนาคารแหละ แยกออก แจกออก ให้ผู้ที่ทำหน้าที่แทนเรานั้น เป็นหัวใจของเราเอง เรามอบความไว้วางใจแล้ว เขาก็ไปจัดทำตามนั้น ๆ ทุกแห่งทุกหน เขาจะจัดแจกให้ทั่วถึงกันหมด ทางผู้ที่ได้รับแล้วเขาก็ตอบรับมา ๆ เราเป็นที่แน่ใจ ๆ แล้วหายเงียบไปเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ว่า นี่คือวิธีหนึ่งที่เราช่วยชาติไทยของเรา แบบช่วยเงียบ ๆ มีมากนะ ไม่ใช่ธรรมดา ทั่วประเทศไทย การจ่ายเงินนี้จ่ายหลายประเภทนะ บางทีธนาคารเขาอาจจะสงสัยเราก็ได้ แต่เราไม่สงสัยเรานี่ เราเป็นผู้ทำเองใครจะมาสงสัย เราก็ไม่สนใจกับใครเพราะจ่ายเงินมากต่อมาก ท่านจะจ่ายไปมากมายอะไรนักหนา เขาอาจจะคิดไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ก็อาจเป็นได้ เพราะธนาคารเขาเป็นผู้จัดการเงิน จ่ายเงินให้เราที่เสนอเข้าไป ๆ เสนอเข้าไปเท่าไหร่เขาก็ถอนออกมาตามบัญชีของเราที่มีอยู่ เรียกว่าต่ำกว่าบัญชีตลอดไป จ่ายอยู่เรื่อย เขาไม่รู้เรื่องของเราว่าจ่ายเพราะอะไร เงินเราเป็นอย่างนั้นนา มีไม่ได้ หลวงตาบัวนี้มีเงินไม่ได้..หมด มีเท่าไรหมด อย่างนั้นแหละ..พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน ไม่เคยมีเงินติดตัวคือหลวงตาบัวนี้ ประกาศป้างได้เลย เต็มหัวออก ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา เพราะอำนาจความเมตตา มันมีก่อนสร้างวัดอยู่แล้ว.." |
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ครั้งหนึ่งพี่น้องชาวลาวประสบภัยเดือดร้อน มีผู้อพยพจำนวนมากต่างหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่จังหวัดหนองคาย คราวนั้นหน่วยราชการต่างอลหม่าน ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรกับผู้อพยพเหล่านี้ ทั้งจะต้องดูแลเรื่องอาหารการกินการอยู่ ที่พักหลับนอนขับถ่าย เกี่ยวกับสาธารณูปการต่าง ๆ พอได้พักได้อาศัยกันไปก่อน เมื่อองค์ท่านทราบเรื่องก็รีบเข้าช่วยอุ้มภาระของหน่วยราชการ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความเมตตาสงสารพี่น้องชาวลาวซึ่งเป็นพี่เป็นน้องกันตลอดมา สิ่งที่กั้นกลางมีเพียงแม่น้ำโขงเท่านั้น ท่านยังกล่าวด้วยว่า ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อประสบภัยกับความทุกข์อย่างสาหัสทั้งทางกาย และตื่นตระหนกเสียขวัญทางใจเช่นนี้ด้วยแล้ว องค์ท่านจึงรีบเข้าช่วยเหลือทันที "เช่นอย่างพวกเวียงจันทน์ พวกประเทศลาวข้ามมา ก็มาเต็มอยู่นี้ โห..หลายหมื่นเต็มอยู่ที่หนองคาย ดูเหมือนเราไปแจกของถึง ๓ ครั้งด้วยกัน แจกถึง ๒-๓ วัน ถึงหมด แต่ละครั้งนี่นะ ครั้งแรกก็ไม่เท่าไร ครั้งที่ ๒ กับที่ ๓ นี่หนักมาก แจกเอาอย่างเต็มเหนี่ยว คือแจกด้วยความยุติธรรมที่ให้เสมอกันหมด ไปสำรวจเอาตัวเลขมาเลย ไม่เอาครอบครัว เอาตัวเลข มีเท่าไหร่แจก เพราะฉะนั้น..มันถึงนาน คนเขาแจกช่วยกันเยอะนะ อย่างคนที่มารับ มันก็มาก ๒ วัน ๓ วัน รถสิบล้อนี่ โอ้โห..จอดกันเป็นแถวเลย ข้าวเต็มเอี๊ยด ๆ และเครื่องกระป๋องก็เหมือนกันอีก รถสิบล้อ ถ้าหากว่ามันขาดตรงไหน ให้เขาวิ่งไปตลาด โห..ตลาดเขาถามเลย "จะเอาไปไหนนักหนาล่ะ ?" พอว่า "อาจารย์มหาบัว" แล้ว โฮ้ย..คือเขาเสียดายที่ไม่ได้เตรียมเอาไว้ขายนี่ เวลาไปมันไม่พอละซิ เข้าไปร้านนั้นแล้วไปร้านนี้ กว้านเอาร้านนั้นร้านนี้ ให้เขาลงบัญชีเรียบร้อยไว้ ลงบัญชีไว้หมด พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจ่ายตามนั้นเลยทันที นอกนั้นไม่ได้คำนึงละ เรื่องเงินเรื่องทองนี่น่า นี่เท่าไรเอามา ว่างั้นเลย บอกเอามา พอเสร็จแล้วเราค่อยสั่งจ่ายทีเดียวปั๊บเลย หนองคายนี้ก็ ๓ ครั้งนะ.." ขอยกตัวอย่างการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในไทยคราวหนึ่ง ดังนี้ "ไฟไหม้ที่ไหน ๆ เราจะเข้าถึงก่อนทั้งนั้น รถนี้ โถ..รถสิบล้อ ๆ นี่เป็นอัธยาศัยมาดั้งเดิม ไฟไหม้ที่ไหน ๆ อำเภอนั้นอำเภอนี้ เราจะยกขบวนไปเลย ไฟไหม้ที่ไหน ๆ ทางอำเภอบ้านดุงบ้าง ที่ไหนบ้างนะ ก็ให้เขาแจกแบบเดียวกัน เครื่องกระป๋องก็เต็มรถ เต็มรถเลย บ้านดุง (จ.อุดรธานี) นี้ดูว่าเหลือไปทางไหนบ้างนะ ไปทางโรงเรียนอะไรบ้าง... เพราะเราเอาไปแจกมากจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ จนของที่ไปแจกนั้น พวกเครื่องกระป๋องเหลือเลย เขาเลยขอไปทางไหน ๆ บ้าง เราก็ให้ไป เพราะเราตั้งใจเอามาแจกอยู่แล้วนี่ ของเหลือเท่าไร ๆ ก็แยกออกไปตามโรงร่ำโรงเรียน ส่วนนี้เราก็ได้สมบูรณ์ตามจำนวนที่เรากำหนดเอาไว้ ได้เสมอกัน เหลือจากนั้นไปอีก เพราะเราเอาไปเผื่อมากมายนี่ เขาก็แยกไปโรงเรียนอะไรต่ออะไรบ้าง ก็อย่างนี้นะ นี้ก็ไม่ให้ใครลงข่าวนะ ไม่ให้ลง ทำแบบใต้ดินตลอดมา.." |
ช่วยแบบไม่ให้พร่อง
เมื่อองค์ท่านตัดสินใจช่วยรายใดแล้ว ท่านจะตรวจสอบก่อนว่ามีผู้ใดช่วยเหลือก่อนแล้วหรือไม่ ? หากยังไม่มีท่านจึงช่วยเหลือและจากนั้นก็จะติดตามผลว่าเป็นอย่างไรในระยะเวลาหนึ่ง การสังเกตขององค์ท่านถึงขนาดว่า ในระหว่างที่เขาได้รับเงินไปแล้ว เขารักษาเงินด้วยความรอบคอบหรือไม่เพียงใด ดังนี้ "เขาออกหนังสือพิมพ์เรื่องยายแก่อายุ ๖๙ ปี ตาบอด ว่ามีคนช่วยเหลือเยอะ เราก็เป็นอันว่าหมดปัญหาไป เรากำลังเขียนจดหมายไปถาม นี่เห็นเขาออกทางหนังสือพิมพ์แล้วว่ามีคนช่วยเยอะก็หมดปัญหา เขาจะตอบจดหมายหรือไม่ตอบก็ไม่มีปัญหาอะไรละ มีคนช่วยแล้ว อยู่จังหวัดสุโขทัย อำเภอคีรีมาศ ทางจากนี้ไป ๔๖๐ กิโล ไม่ใช่เล่นนะ เมื่อวานนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามา นี่ล่ะ..ที่เราว่าคนจนเพียงเอกเทศรายหนึ่งของรายทั้งหลาย เขามาเมื่อวาน เขามาติดต่อด้วยความจนตรอกจนมุม มีลูกชายคนหนึ่งติดตัวมา ลูกคนที่สองอยู่ในท้อง แม่กับลูกชาย กับลูกอีกคนหนึ่งในท้องมาติดต่อขอเงิน เขามาติดต่อกับพระไว้เรียบร้อยแล้ว พระให้รอเวลาเราออกมา เขาก็รออยู่ที่นั่น มาขอเงิน เมื่อวานนี้ว่าติดหนี้เขา (๖๐,๐๐๐ กว่าบาทครับ หลวงตาให้ไป ๗๐,๐๐๐ บาทครับ) ค่าอะไรต่ออะไร ๆ จะถูกเขาขับไล่ พอถึงอีกสองวันหรือสามวันเขาก็จะขับ เราดูคนก็ไม่มีท่าทางลักษณะจะมาหลอกเรา คือเดี๋ยวนี้คนเรามันหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม เชื่อไม่ได้ง่าย ๆ พอเขามาพูดเราก็ดูด้วย ดูลักษณะทุกสิ่งทุกอย่างเต็มเลยนะ พอเห็นว่าลงไปแล้วแหละ รวมแล้ว ๖๕,๐๐๐ นะ เมื่อวานนี้ รวมทั้งหมด ๖๕,๐๐๐ เราเลยให้ ๗๐,๐๐๐ เมื่อวาน เผื่อไป ๕,๐๐๐ พอตกลงเราก็ให้เขารีบจ่ายเงิน ไปถึงกุฏิยังเป็นอารมณ์อีก ไม่แน่ใจอีกในการเก็บเงินของเขา เวลาเขาไปก็มีลูกคนเดียว ไม่มีเพื่อนมีฝูงเลย กระเป๋านี้ก็มีกระเป๋าหนึ่ง เราเลยรีบลงมาอีก ไปหาเขาอีก เขากำลังติดต่อกับคนที่จ่ายเงินอยู่ ไปก็เอาเงินให้เขาจ่าย แล้วเขาเอาเงินเข้า เราเลยต้องไปสั่งเสียทุกอย่างนะ นั่น..เห็นไหมล่ะ..มันบกพร่องอยู่ เงินที่เศษที่เหลืออะไร กับเงินก้อนที่เราให้นี้ มันเป็นอันเดียวกัน พอลากออกมานี่ก็จะเห็นทั้งหมด..ใช่ไหมล่ะ ? นี่แววมีตา พอเห็นนั้น เราเลยสั่งใหม่ แก้ใหม่ ยืนสั่งอยู่นั้นเลย "ให้เอาปัจจัยที่จะใช้จำเป็นในเวลาออกเดินทางจากนี้ถึงบ้าน จะใช้ประมาณสักเท่าไร แล้วเผื่อเอาไว้พอประมาณ นอกจากนั้นให้เก็บให้ดีให้หมดเลย อย่าออกมาให้ใครเห็นเป็นอันขาด" เราบอก เอาออกดู เขาก็ใส่ในกระเป๋า เขาเอาผ้าห่อยัดเข้าในกระเป๋าของเขา "ไหนปัจจัยที่จะเอาใช้ตามทางเท่าไรดู กะพอไหมจากนี้ถึงบ้าน" "พอ" "แล้วรถล่ะ" ถามถึงเรื่องรถเรื่องรา สุดท้ายเราก็เลยให้ ตชด. เราไปส่งเมื่อวาน เราไม่แน่ใจ ให้ไปส่งขึ้นถึงนู้นเลย ให้ ตชด. ตามส่งไปเลย ไปถึงที่ขึ้นรถไปบ้านเขาเลย เราถึงได้นอนใจ ตายใจได้ เดี๋ยวเอาเงินไปนั้น แล้วเสร็จหมดกลางทางไม่มีเหลือ เพราะความเซ่อซ่า ดูลักษณะก็ไม่ค่อยฉลาดอะไรนัก..เราดูแล้ว ไม่ได้ประมาทเขานะ เราดูเพื่อจะอารักขาเขา ไม่ได้เพื่อทำลายเขา ถึงขนาดไปกุฏิแล้วยังไม่แล้ว ยังลงมาอีก ลงมาก็ไปเห็นจริง ๆ อย่างที่ว่า จึงต้องได้แยกปัจจัยเป็นจำนวน ๆ ออก เขาจะเอาทั้งหมดนี้ออก แล้วจะไปจ่ายนั้นจ่ายนี้ ก็จะลากมาทั้งหมด เห็นหมดเลย เสียหมดเลย เราจึงให้แยกออก เอาไปใช้จากนี้ถึงบ้านเผื่อไว้พอประมาณ ส่วนนี้ห้ามไม่ให้ใครเห็นเด็ดขาด เก็บไว้ให้ดี แล้วสั่งที่เก็บ ให้เขาเก็บให้เราดูด้วย ให้เขาใส่ลงในกระเป๋าของเขา เราเป็นคนยืนดูอยู่ อย่างนั้นแหละ..ไม่แน่ใจ |
"นี่ก็ ๗๐,๐๐๐ เมื่อวาน นี่เรียกว่ารายย่อยในรายทั้งหลาย ที่เรียกว่าเป็นคนจน นี่ประเภทหนึ่ง จนนี้จนกว้างขวางทั่วประเทศไทยนะ ติดต่อกันทางโทรศัพท์ ทางอะไร ๆ ถึงที่ถึงฐาน ให้คนไปสืบถามติดต่อกันจนเป็นที่แน่ใจ ควรจะช่วยเหลือเท่าไร เมื่อลงใจแล้วช่วยเหลือกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่มีความบกพร่องในเรื่องที่จะให้เกิดความเสียหายบกพร่องประการใด อย่างนี้เราช่วยทั่วประเทศนะ ถ้ารายไหนเป็นเรื่องเฉพาะอย่างนี้ เราจะไม่บอกว่าเราช่วยคนนั้นคนนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ ผ่านไปเลย ๆ
นอกจากเขาลงหนังสือพิมพ์ ออกประกาศเราอ่านเราก็ติดตามหนังสือพิมพ์ไปดู ถ้ารายเช่นนั้นเราจะออกชื่อเขาบ้างก็ได้ ไม่ออกก็ได้ แต่ส่วนรายที่ผ่านเลยนี้ยังไงก็ไม่ออก เรียกว่ารักษาศักดิ์ศรีเขา บางแห่งเป็นล้าน ๆ ก็มี ไม่ใช่น้อย ๆ นะ ที่เป็นล้าน ๆ เพราะเหตุไร ความจำเป็นยังไง ๆ ถึงจะต้องช่วยเขาเป็นล้าน ๆ นี่มันก็บ่งบอกชัดเจนว่าสมควร เขาเป็นคนดิบคนดีแล้วถูกเพื่อนฝูงในโรงงานเดียวกันต้มเสียแหลกเลย พลิกตัวไม่ทันจะจม ถูกเขาไล่หนีจากบ้าน เรื่องราวเขาก็ติดต่อมา เราก็ติดต่อไปจนถึงที่ถึงฐาน เรียบร้อยแล้วจัดการสั่งไปทางธนาคารเลย อันนี้จัดการให้ บอกรับรองไว้ไม่ให้ไล่ออก ถึงขนาดนั้น เราเป็นตัวยืนยันไปรับรองทางธนาคาร แล้วส่งเงินตามหลังไปเลย จนกระทั่งเรียบร้อยแล้วปล่อยเลย รายอย่างนี้แล้วเรียกว่าเงียบเลย ๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน ถ้ารายไม่ควรออกชื่อเราจะไม่ออก เพราะทำเพื่อให้มีความร่มเย็นเป็นสุขแก่กัน เป็นสิริมงคลแก่กัน แล้วไปทำลายเขาด้วยประกาศชื่อเสียงเขาเป็นความเสียหาย เราทำไม่ลง สิ่งใดที่ควรจะผ่าน เราจะผ่านเลย ถ้าควรจะบอก เราก็บอก มากนะไม่ใช่น้อย ๆ นี่ประเภทคนจน จนหลายชนิดอีก เข้าใจไหมล่ะ ? จากนั้นก็พวกคนไข้ ให้ตามจังหวัดต่าง ๆ หรือโรงพยาบาลไหนมีความจำเป็นเขาบอกมาหาเรา เราก็สั่งไปถึงโรงพยาบาลเลยว่าให้เป็นคนไข้ของเรา ให้เขาจัดการร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย อย่างนี้เป็นคนจนประเภทหนึ่ง.." |
การช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์รายย่อยขององค์หลวงตามีจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างมาแสดงเพียงบางรายเท่านั้น ดังนี้
หัวหน้าครอบครัวและลูก ๆ ล้มป่วย "สำหรับคนทุกข์คนจนมีอยู่ทั่วไป นี่เราก็เปิดอกได้ทีเดียว เมื่อสองวันมานี้เราก็ส่งเงินไปแล้ว ความทุกข์ความจนนี่เรายกตัวอย่างนะ ครอบครัวนี้อยู่ดี ๆ หัวหน้าครอบครัวก็ไปล้มป่วย ลูกเต้าทั้งหลายก็เจ็บไข้ได้ป่วยออด ๆ แอด ๆ ทีนี้เงินก็ไม่มี ต้องให้ครอบครัวอื่นเขามาช่วย จึงพอได้พ้นวันหนึ่ง ๆ บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเขาก็เชื่อเรานั่นเอง เขาถึงส่งมา เขาส่งมาอ่านรายการให้ฟังแล้วสลดสังเวช ส่งปึ๋งให้เลย บอกว่า "เราไม่มี เรามีเท่านี้ เอาเสียก่อน" ส่งไปให้ ๒ แสน เลยโอนไปเลย โอนไปแล้วก็บอกเดี๋ยวนั้น ๆ บอกว่าให้รับทางโน้น ทางนี้โอนแล้วโทรศัพท์ถึงกันเลย ทางโน้นรับรองเรียบร้อยแล้วสมบูรณ์แบบแล้ว.." |
อนาคตลูกสาวทั้งสามขึ้นกับองค์หลวงตา
"หนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น เราก็เคยติดตาม เราอยู่กรุงเทพฯ เขาเอาหนังสือพิมพ์มานั้นเราเลยอ่าน เขาบอกข่าวว่าครอบครัวที่ยากจนที่สุดในจังหวัดขอนแก่น มีลูกสาวสามคน ขึ้นรถไปเฉียดรถจักรยานคนแก่ เลยต้องรักษาให้เขา ต้องไปกู้เงินมา ๑ หมื่นบาทมารักษาเขา เขาออกทางหนังสือพิมพ์ พอเรากลับมาจากนู้น เราก็ตามไปแหละ ไปจริง ๆ ไปดูบ้านดูเรือน มีลูกสาวสามคน ลูกสาวต้องออกจากโรงเรียนหมดทุกคน ให้ออกจากโรงเรียนหมดทั้งสามคน เรียนชั้นต่าง ๆ แล้วให้ลูกไปทำงาน ได้เงินมาก็เอาไปใช้หนี้เขา พอเราเห็นอย่างนั้น เราก็ตกลงกับพ่อเดี๋ยวนั้นเลย บอกว่า "ให้เรียกลูกกลับมาเรียนหนังสือโดยด่วน ให้มาเดี๋ยวนี้โดยด่วน" อยู่โรงเรียนไหนให้ออกจากโรงเรียนไปทำงาน เพื่อได้เงินนี้มาใช้หนี้เขา พอเราเห็นหนังสือพิมพ์เราก็ตามไป พอไปถึงก็เห็นบ้านหลังหนึ่งเท่ากระต๊อบ เราก็เรียกพ่อกับแม่มาทันที บอกลูกอยู่ที่ไหนให้เอามาเลย กลับมาเรียนทั้งหมด เรียนหนังสืออยู่ชั้นไหนให้รีบกลับไปเรียนตามเดิม บอกตรง ๆ เราจะสงเคราะห์ทั้งหมดเด็กสามคน สงเคราะห์พี่สาวจนจบปริญญาโท (น้อง ๆ จบปริญญาตรี เขาพอพึ่งตัวเองได้ เขาเลยไม่รบกวนหลวงตา) เราไม่เคยได้พบเขาสักที มีแต่เวลาเกี่ยวข้องกับเงินเขาเขินอะไรเขาก็มา เราจ่ายให้ตามนั้น ทั้งหมดทุกคน เด็กสามคนเรียนปริญญาโทก็มี ได้ทำงานหมดแล้วแหละ อย่างนั้นแหละความเมตตา นั่นละ..ที่ว่าเด็กสามคนเรียนหนังสือทั้งหมดทุกคนเลย เราได้สงเคราะห์ให้หมดเลย เห็นหนังสือพิมพ์อยู่กรุงเทพฯ นะ เวลาขากลับมาก็ไปตาม ไปดูบ้านเขา มันมีบ้านเลขที่อยู่ อยู่บ้านไหน ๆ เขาบอกทาง นสพ. เราจึงติดตามไปถึงบ้านเขา เรียกพ่อเรียกแม่มา เด็กไปทำงานอยู่ที่ไหน ได้เงินมาแล้วเอาเงินมาให้พ่อ พ่อติดหนี้เขาอยู่หมื่นหนึ่ง เลยเอาเดี๋ยวนั้น เงินหมื่นเราให้ทันทีนะ ที่ว่าติดหนี้เขาเราให้เลย ให้ลูกกลับมาเรียนหนังสือตามเดิม ให้เรียนไปเรื่อย เราจะดูแลค่าศึกษา ค่าเล่าเรียนลูกเท่าไรสามคนนี้ให้หมดเลย จนกระทั่งเขาได้เป็นปริญญาทงปริญญาโท หมดภาระแล้วเราจึงได้ปล่อยนะ ทั้งสามคนนี้เราเลี้ยงดูตลอดเลย เกี่ยวกับเรื่องการเงินเขาก็มาอยู่ บางทีมากับแม่ก็มี เราก็จ่ายเงินให้ ขัดข้องอะไรจ่ายให้จนเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้เขาทำงานแล้วแหละ อย่างนั้นละ..ความเมตตาโลก เรื่องเมตตานี้จริง ๆ ไม่มีเหลือละกับเรา เราไม่เหลือ เราจึงไม่เคยมีเงิน ในวัดนี้ไม่มีใครจนเท่าหลวงตาบัว เรื่องการเงินการทองมีเท่าไรออกหมด ออกช่วยโลกหมด เขาติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังที่ไหนตามไปใช้หนี้ให้ เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าเต็มกำลังของเราที่ช่วยโลก.." |
โอบอุ้มสองพ่อลูกที่ลพบุรี
"ลพบุรีที่เขาว่าตะกี้นี้เราก็ไปช่วยนะนั่น มีลูกสาวคนเดียวตัวเล็ก ๆ เสียด้วย ดูเหมือนเมียทิ้ง ผัวป่วย เราสลดสังเวช พอมาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วตามไปเลยนะ ไปก็เป็นความจริง นี่เราก็จ่ายให้หมดเลย ที่อยู่ที่บ้านยังขัดข้องอะไรอยู่บ้างซื้อให้เลย ซื้อบ้านให้เลย แล้วให้เงินให้ทองไว้เรียบร้อยหมด โอ๊ย..แกยกมือไหว้แล้วยกมือไหว้เล่า ตอนนั้นแกไม่สบายไปอยู่โรงพยาบาล เราตามเข้าไปโรงพยาบาลโคกสำโรง ไปวันนั้นกลับวันนั้นนะ อยู่โคกสำโรง ไปก็เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล โอ้..น่าสงสาร ตามไปโรงพยาบาลนะ ถามหาแม่เป็นอย่างไร ๆ แม่นับว่าเป็นอัปมงคล พ่อเลี้ยงลูกคนเดียว ลูกอายุ ๘-๙ ปี โอ๊ย..น่าสงสาร เราเอาเงินไปยัดใส่มือพ่อไม่ให้ใครเห็นนะ ให้คนของเราเอาเงินไปยัดใส่มือพ่อหลายหมื่นอยู่นะ อะไรที่ขาดเขินจำเป็นในเวลานั้นเราจ่ายให้หมดเลย นอกจากนั้นเอาเงินใส่มือให้ไม่ให้ใครรู้ จับยัดใส่มือลับ ๆ เป็นหมื่น ๆ นะ นั่นแกก็พอเป็นไปได้ อย่างนั้นละ..ความเมตตาสงสาร ที่ว่าลพบุรีเราก็ไปอย่างนั้นล่ะ อำเภอโคกสำโรง กลับวันนั้นนะ หลายอย่างลพบุรีมีหลายอย่าง แกก็ยกมือไหว้แล้วยกมือไหว้เล่า แกบอกว่า "ไม่มีที่พึ่ง เมียก็ทิ้ง ลูกตอนนี้อยู่ในความดูแลของพ่อ" เราก็เอาเงินไปให้ด้วย แล้วช่วยอะไรอยู่ตรงไหน ความเกี่ยวข้องของแกอยู่ที่ไหนให้หมดเลย ความเมตตาเป็นอย่างนั้นละ.." |
พลิกชีวิตแม่ลูกในกรุงเทพฯ ผู้ถูกดูแคลน
"ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ทุกข์..จนมาก นี่ก็อันหนึ่งของแกเหมือนกัน ไปที่ไหนเขาเบ้ปากเลย เขาไม่อยากให้เข้าไปหน้าร้านเขาเลย เขามาพูดให้ฟัง ไม่ใช่เราเอาคำพูดสุ่มสี่สุ่มห้ามาเล่า ตอนเขาจน "เวลามองเห็นเขากินข้าว โฮ้..น้ำลายไหล มองหาอะไรที่จะกินก็ไม่มี ความจนก็จน ความหิวก็หิว แม่ก็จะตาย ลูกก็จะตาย" เขาเล่าให้ฟัง ทีแรกออกทางหนังสือพิมพ์ก่อนเรื่องผู้หญิงคนนี้ จากนั้นเราก็สืบเสาะไปจนกระทั่งถึงตัว ให้นักหนังสือพิมพ์นักข่าวไปติดต่อให้จนกระทั่งถึงตัว แล้วได้ตัวมาคุยกัน พูดตามความสัตย์ความจริง ทั้งพูดทั้งน้ำตาร่วง พูดตามความเป็นจริง นั่นละ..เวลาแกเสวยกรรมของแกก็เป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนเขาเบ้ปากเลย เขาถ่มน้ำลาย เขาไม่ให้เข้าร้านเขา เขาดูถูก เขามาเล่าให้ฟัง เราก็สงสาร เลยช่วยเลยแหละ ซื้อบ้านให้ทั้งหลังเลย บ้านราคากี่แสน ขัดข้องอะไรให้หมดเลย ผึงผังดีดขึ้นเลย ทีนี้ร้านที่เบ้ปากก็มาประจบประแจง มาเลียแข้งเลียขาแก เห็นว่าแกมีฐานะ อย่างนั้นซี..เวลานั้นก็บุกใส่เขา ถ่มน้ำลายใส่เขา ทีนี้ก็มาเลียแข้งเลียขา นี่เห็นไหม ? โลกสกปรก เห็นเขาอยู่ในสภาพนั้นก็เหยียบย่ำลงไปอีกนะ แทนที่จะยอเขาขึ้นด้วยความเมตตาสงสาร เขากลับเหยียบย่ำลงไปอีก ทีนี้เวลาเห็นเขาดีขึ้นมาแล้ว มาประจบประแจงเลียแข้งเลียขาอีก นี่..เขาก็มาพูดให้ฟัง เห็นประจักษ์อย่างนี้เอง เราช่วยจริง ๆ ช่วยจนฟื้นได้เลย ร้านขายของก็ซื้อให้ เป็นร้านที่ขายของดี เขาจะเซ้งก็ซื้อให้เลย เขาก็เข้าทำหน้าที่แม่ค้าใหญ่ตรงนั้นเลยเทียว บ้านซื้อให้ราคาหลายแสน ได้ฟังสภาพอย่างนั้นแล้วสงสาร เราช่วยทันทีเลย แล้วพวกที่เบ้ปากถ่มน้ำลายใส่เขา กลับมาประจบประแจงเลียแข้งเลียขาแก เห็นไหม..ความหยาบของคน ? มันหยาบทั้งสองด้าน เวลาบ้วนน้ำลายใส่เขา เบ้ปากใส่เขา ก็เป็นต่ำประเภทหนึ่ง ทีนี้มาประจบประแจงเขาอีกก็ต่ำอีกประเภทหนึ่ง นี่ละ..อย่างนี้..เราช่วยโลก เวลามาสัมผัสเราก็พูด ที่ไม่พูดมากกว่านี้นะ ทำนองเดียวกันนี้มีเยอะ.." |
ส่งเสริมอาชีพสตรี
"ไปที่ไหนแม้ที่สุดสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เขามาขายดอกไม้ แต่ผู้ชายเราก็พูดตรง ๆ เราไม่ให้ผู้ชาย ผู้ชายมาแย่งงานผู้หญิง ผู้ชายควรจะหากินไกลกว่านี้ กลับมาหาอย่างนี้เราไม่เสริม..ไม่ให้นะ ถึงเขาจะไปเลี้ยงครอบครัวเขาก็ตามแต่ เราก็ไม่ให้ในตัวของเขาเอง..เราตำหนิ งานอย่างนี้ไม่ใช่งานผู้ชาย เป็นงานผู้หญิง เขาว่างเมื่อไหร่เขากระโดดปุ๊บปั๊บออกมา เขามาขายช่วยระยะหนึ่ง อย่างนี้เราให้ รายละสองร้อย ๆ ให้ผู้หญิง ทำท่าหยิ่ง ๆ นี่คนนี้ไม่รู้ตัวเลย..อย่างนี้ไม่ให้นะ..! ความเมตตามันครอบโลกธาตุ ไปที่ไหน ๆ มันก็เป็นอย่างนั้น แม้ที่สุดไปจอดไฟแดง เห็นเขามาขายดอกไม้ตามสี่แยก งานผู้หญิงเขาอยู่ในครอบครัว เขา พอได้เขาก็วิ่งมา ผู้ชายแทนที่จะไปหาเงินไกล ๆ มาแย่งงานผู้หญิง เพราะอย่างงั้นเราถึงไม่เสริมงานนี้ เราก็รู้ว่าเขาก็เอาไปเลี้ยงครอบครัวเขา แต่เราไม่เสริมงานนี้ ถ้าผู้หญิงให้ ไม่ว่าไปที่ไหนให้หมด ทางด้านธรรมเราก็พอ ด้านวัตถุทุกอย่างเราก็พอ กับโลกที่บกพร่องตลอดมาเราช่วย ไปที่ไหนจนพวกในสี่แยก เขาจำรถเราได้หมด จำได้จริง ๆ เพราะผ่านแล้วผ่านเล่า ไปทีไรไฟเขียวไฟแดงดอกไม้พวงละ ๓๐๐ บาท ให้เขาขายดอกไม้พวงหนึ่ง ๑๐ บาท แต่เราให้รายหนึ่ง ๓๐๐ บาท ดอกไม้ก็ไม่เอา ไปยื่นให้ ให้ไปเรื่อยเลย..อย่างนี้ละ..! เขาจำได้หมด นั่นแหละ..เราไปไหนเขาจำได้หมด นี่ละ..อำนาจเมตตาธรรม..เขาจำได้หมด ไปที่ไหนมีแต่เมตตา..หว่านไปหมด..!" |
สงเคราะห์สัตว์
องค์หลวงตาสอนเสมอ ให้พระเณรฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาสงเคราะห์ช่วยเหลือสัตว์ รู้จักมีความเมตตาสงสาร เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ดังนี้ "ชาติชั้นวรรณะไม่มี ลงในคำเดียวว่า สัพเพ สัตตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น ครอบหมดเลย เสมอภาคเลย เห็นอกเห็นใจกันทั่วทั้งหมดเลย นี่ละ..ธรรมพระพุทธเจ้า..ฟังเอาซิ คือสัตว์ทุกตัวเกิดมาได้ด้วยอำนาจของกรรมทั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของชั้นวรรณะยศถาบรรดาศักดิ์อะไร เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของกรรม กรรมเป็นพื้นฐานให้เกิด นอกนั้นก็แตกเป็นแขนงออกไป สุจริตบ้าง ทุจริตบ้าง แล้วแต่จะเกิด นั่นเป็นเรื่องนอกต่างหาก หลักของกรรมเป็นหลักใหญ่ เพราะฉะนั้น..ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ให้ดูถูกเขา เวลานี้เขาเสวยกรรม อยู่ในวาระของกรรมของเขาอย่างนั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ไปเลย ท่านจึงไม่ให้ประมาท มันเป็นวาระ เวลาพ้นแล้วเขาสูงกว่าเราก็ได้ ก็เหมือนอย่างคนขึ้นมาจากน้ำ จากหลุมจากบ่อขึ้นภูเขา ทีแรกก็อยู่ใต้ก้นบ่อ พอขึ้นมาแล้วเขาขึ้นภูเขาสูงกว่าเราอีก กรรมไม่แน่นอน แล้วแต่สร้างของใครเอาไว้ "เขาก็รักสุข เกลียดทุกข์ มีหิวมีอิ่ม มีเจ็บป่วย มีราคะตัณหา มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์เรา ตัวจิตนี้เองเป็นตัวพาท่องเที่ยว ให้เราไปเวียนว่ายตายเกิด เพราะนี่ขึ้นอยู่กับวาระของกรรม ที่ให้เสวยผลดีชั่วอย่างไรตามวาระที่เราสร้างกรรมมา จึงไม่ควรประมาทเขา ไม่ควรเบียดเบียน ไม่ควรรังแก และไม่ควรฆ่าเขา การเบียดเบียนเขาก็คือเบียดเบียนตัวเรานั่นเอง" ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณขององค์หลวงตาเช่นนี้ จึงปรากฎเป็นรูปธรรม สังเกตจากกิจวัตรหลักอันหนึ่งขององค์ท่าน ซึ่งพระเณรลูกศิษย์ลูกหาทุกจังหวัดทั่วประเทศเห็นตรงกันก็คือ ไม่ว่าองค์ท่านมีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ใด องค์ท่านจะต้องจัดหาอาหารสด อาหารแห้ง ไปแจกจ่ายเป็นทานแก่สัตว์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือจังหวัดใกล้เคียง อาทิ ให้อาหารปลาที่วัดหงษ์ปทุมาวาส ปทุมธานี วัดไร่ขิง นครปฐม สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เขาเขียว ช้างที่อยุธยา ช้างที่ลำปาง ลิงที่ลพบุรี และกุมภวาปี ฟาร์มจระเข้ที่นครปฐมและสมุทรปราการ นกเป็ดน้ำที่วัดต่าง ๆ เสือที่กาญจนบุรี (วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ตลอดจนที่อื่น ๆ อีกจำนวนมาก ชนิดของสัตว์ที่ให้การสงเคราะห์ก็มีหลายประเภท เช่น สุนัข ปลา จระเข้ เสือ เก้ง กวาง ชะนี ลิง ไก่ป่า กระรอก กระแต กระต่าย หมูป่า รวมถึงสัตว์ที่อยู่ตามห้วยหนองคลองบึงทั่วไป ตลอดจนในสวนสัตว์หลายแห่ง ขอยกตัวอย่างความเมตตาในเรื่องนี้มาเพียง ๒ เรื่องสั้น ๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต และในช่วงบั้นปลายชีวิตก่อนมรณภาพเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความเมตตาที่คงเส้นคงวา ต่อเนื่องไม่ผันแปรตลอดไป ดังนี้ "(เมื่อครั้งอดีต) ไปจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงจังหวัดพะเยา รถก็ไปเสียอยู่ตรงนั้น มีหมาตัวหนึ่งมันมาป้วนเปี้ยน ๆ มันไปสัมผัสก็ต้องพูด ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่พูด มันไปป้วนเปี้ยน ๆ หากินตามนั้น พอเห็นมันแล้วดูท้องมันด้วย ท้องก็รู้สึกว่าแฟบไม่ป่องเลย กำลังหิว เห็นมันมาดมนั้นดมนี้เลียบ ๆ คน รถเราก็เสียที่นั่นพอดีเราก็ลงรถ" |
"พอเห็นอย่างนั้นก็ทำมือเป็นสัญญาณให้อาจารย์หมออวย เกตุสิงห์ มา "นี่..เห็นไหม ? หมาตัวนี้กำลังหิวโหย มันกำลังหากิน ไปเอาอาหารมาให้มันหน่อยนะ ให้เขาอิ่มสักทีเถอะ เขาหิวเต็มที่ ไปเอาร้านไหนก็ได้ ไปโรงข้าวแกงเขา เอาเป็นห่อมาเลย"
อาจารย์หมออวยก็ฟังจ้อ พอเข้าใจแล้วปุ๊บปั๊บปึ๋งเลยทีเดียว สักครู่ได้มาห่อขนาดนี้ (ทำมือประกอบ) พอเปิดออกดู อู๊ย..มีแต่อาหารดี ๆ อาหารประเภทของคนร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นแหละ พอวางให้เขา "เอ้า..กิน" เขามองดูหน้า แทนที่เขาจะรีบกินด้วยความหิว..ไม่นะ เขามองดูหน้าเรา เราก็มองดูเขา "เอ้า..กิน" เขาก็กิน พอกินอิ่มแล้ว มันไม่หมดถึงครึ่งแหละ เขากินเต็มที่ของเขา อิ่มแล้วเขาก็ไป ไปนู้นไปนี้แล้วกลับมาดู ๆ คือมันเสียดาย..ท้องมันเต็มเสียก่อน..อาหารยังมี เราก็ดูอย่างนี้แหละ เขาดูเรา สุดท้ายเราก็ว่า "มึงกินอิ่มแล้วเหรอ เอาให้เต็มเหนี่ยว วันนี้เป็นวันของมึงนั่นแหละ" เราก็เดินชิดกับมัน เขาก็ดูเรา แล้วทำหางกระดิก นั่น..เห็นไหมล่ะ ? เราไปคลอเคลียกับเขา พูดกับเขา เขาอดไม่ได้ เขาทำหางกระดิก ๆ อย่างนั้นแหละ เขาเคยเห็นเราเมื่อไร ทำไมเขาหางกระดิก ? นี่ละ..เพราะความประสานกันด้วยการให้ เห็นไหมล่ะ ? ทาน..การให้ ประสานให้หมากับคนสนิทกันได้ เขากระดิกหางใส่เรา เราก็ไม่ลืม อาจารย์หมออวยก็ปิ๊งปั๊งทันที ปุ๊บ ๆ ไปเลย ฟาดมาเสียห่อขนาดนี้ ไปเอาจากโรงข้าวแกงเขามา ก็ยังอยู่นั่นละนะ เขาไปโน้นไปนี้ แล้วกลับมาดู เขาไปดูอาหารของเขา มีหมาตัวเดียว นี่ละ..อำนาจแห่งการเสียสละ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ไปปฏิบัติต่อกัน ต่อสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ความสงบร่มเย็นจะมีทั่วไปหมด เพราะอำนาจแห่งความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน... (อีกคราวเมื่อต้นปี ๒๕๔๙) เมื่อวานนี้ก็ไปให้อาหารปลา ๓ จุดเมื่อวาน ไปทางนครชัยศรีล่ะ เมื่อวานปลาอดอยากขาดแคลน ปลาขึ้นมาเต็ม ผอม เราไปดูใกล้ ๆ ปลามันขึ้นมา มันหิวอาหาร เอาอาหารไปหว่านลง ๆ แล้วมันมา ปลาไม่ได้อ้วน ผอม คืออาหารไม่พอ เมื่อวานนี้ก็ทุ่มลง ค่าอาหารปลาเมื่อวานก็ตั้งแสนกว่าบาท ไม่ใช่เล่น..อย่างนั้นละ..ไปที่ไหนทำอย่างนั้น (เมื่อต้นปี ๒๕๔๓) วันนี้เราไปให้อาหารที่เขาดิน อาหารปลา ปลาไม่ค่อยกินนะ มีแต่ปลาแก่ ๆ ตัวใหญ่ ยาว มันแก่พอแล้ว..ไม่ค่อยกิน เลยให้เล็กน้อย ต้องไปให้วัดลานบุญ อาหารเป็นเม็ดเขาไม่ค่อยชอบเหมือนขนมปัง เขากินเหมือนกัน แต่กินขนมปังมากกว่า เราให้เขามากพอนั่นแหละ จนกระทั่งขนมปังหมดพอดี เอาไปเยอะ ซื้อที่นั่นอีกเยอะ..หมด..อาหารเม็ดเอากลับมาให้ปลาเรา เพราะเราแย่งเอาจากปลาของเราไป มีเท่าไรเอาไปหมด พอเหลือแล้วก็เอากลับคืนมาให้มัน เดี๋ยวมันคิดดอกกับเรา ลำบากนะ เราจะว่าคิดดอกได้แต่คน ปลามันคิดดอกได้เหมือนกัน อ้าว..ถ้าให้ความเป็นธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเห็นใจเขา เรากลับมาต้องเอาเพิ่มให้เขาอีก ถึงเรียกว่าคิดดอกให้เขา เราเตรียมขนมปังไปเยอะก็หมด ซื้อเอาจากนั้นเพิ่ม..หมด สงสารสัตว์จะว่าไง สัตว์หิว..สัตว์ก็เป็นทุกข์เหมือนคน ไม่ว่าคนว่าสัตว์ มีท้องมีปาก มีความหิว แล้วก็ต้องมีความทุกข์เหมือนกัน ควรจะเฉลี่ยเผื่อแผ่กัน ได้อย่างไรก็ต้องเฉลี่ยกัน อย่างไปหาเลี้ยงที่นั่นที่นี่ก็คือเห็นอย่างนี้เอง เห็นภัยแห่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความหิว เมื่อพอเป็นไปได้ ก็ช่วยกันไปอย่างนั้น" |
สัตว์พิการ ไม่ถูกทอดทิ้ง
ความเมตตาสงสารสัตว์ขององค์หลวงตาเช่นนี้เอง ทำให้เมื่อรับทราบปัญหาความทุกข์ความลำบากของสุนัขหลายร้อยชีวิต (ในระยะต้น) ที่บ้านสัตว์พิการ ซอยพระมหาการุณย์ ปากเกร็ด นนทบุรี ซึ่งเป็นสถานที่รับเลี้ยงสัตว์หลายประเภท ทั้งปกติและพิการจำนวนมาก องค์ท่านก็รีบอนุเคราะห์ช่วยเหลือทันทีด้วยการซื้อที่ดิน สร้างอาคาร ขยับขยายกว้างขึ้น และช่วยเหลือต่อเนื่องด้วยการจ่ายค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนสามารถรองรับสุนัขพิการได้เป็นจำนวนมาก ท่านเมตตาเล่าความเป็นมาโดยย่อ ที่ได้เข้าไปช่วยเหลือบ้านสัตว์พิการแห่งนี้ว่า "ที่ปากเกร็ด หมาตั้งสามสี่ร้อยตัว เขาออกทางหนังสือพิมพ์ เราเห็นในหนังสือพิมพ์ก็ตามไปดู โอ้โห..มีแต่หมาพิการ ยั้ว ๆ เยี้ย ๆ ไปดูสภาพของมัน แล้วเป็นยังไง ? ถามสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าของที่เลี้ยงหมา ถามทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งถึงค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริการต่าง ๆ รอบด้าน เกี่ยวกับหมานี้เดือนหนึ่งหมดเท่าไร ? เขาว่าถ้าธรรมดาแล้วก็เดือนละแสน แต่นี้มันไม่มีเงินแสนซิ..ที่จะเลี้ยงหมา..! บางวันเครียดเสียจนกระทั่งนอนไม่หลับ เป็นยังไงถึงเครียด ? โอ๊ย..หมาก็ร้องพอหมา คนก็ทุกข์พอคน หมาร้องหิวโหย ไม่มีอะไรจะให้กิน เจ้าของก็หมด..ไม่มีอะไรจะกิน อาชีพเพียงเป็นครูเท่านั้น เมื่อเห็นหมาก็สงสาร เอามาเลี้ยง ๆ พอคนอื่นเห็นเราเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง เขาก็เอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน แล้วก็เลี้ยงเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งป่านนี้แหละ..! บางวันเครียดเสียจนนอนไม่หลับ หมาก็ร้องพอหมา คนก็ทุกข์พอคน..ว่างั้น เราก็เลยถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ เขาก็บอกว่าหมดเดือนละแสน เราเลยให้เดือนละหนึ่งแสนเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาหลายปีแล้วนะให้เดือนละหนึ่งแสน ๆ ถ้าหากว่าขัดข้องอะไร จำเป็นอะไร ให้บอกอีกนะ สร้างตึกให้หลังหนึ่งให้ ๖ ล้าน แล้วซื้อที่ให้ ๔ ล้าน ๒ แสน เราซื้อให้เลยเพราะที่มันแคบ อันนี้ที่หนึ่งไร่ เราเลยซื้อให้อีกหนึ่งไร่ขยายออกไป รถเราก็จะให้ เขาบอกเขาไม่เอารถ เราให้มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เขาบอกว่าอาศัยรถเพื่อนฝูงได้อยู่..ไม่เป็นไร นอกจากนี้ก็ซื้อที่ให้หนึ่งไร่เลย แต่ก่อนเขามีอยู่หนึ่งไร่ เราซื้อให้อีกหนึ่งไร่ แล้วสร้างตึกให้อีกหนึ่งหลัง สบายทุกวันนี้ หมาปากเกร็ดสบาย.." |
สุนัขปลอดภัย..ไม่จรจัด
บ้านเลี้ยงสุนัขอีกแห่งหนึ่งที่ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ ซึ่งมีสุนัขกว่าร้อยตัวที่ต้องเป็นภาระดูแลอยู่ที่นี่ องค์หลวงตาก็มีเมตตาให้การช่วยเหลืออีก ดังนี้ "ไปกรุงเทพฯ อีคราวนี้ เขาก็เขียนจดหมายมาหาเรา เพราะจดหมายเราเบื่อพอแล้วนะ มันจดหมายอะไร จดหมายยุ่งนี่นะ เอามาอ่าน ใจอ่อนทันที เขาพูดถึงเลี้ยงหมาไม่มีเงิน ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังเพราะการเลี้ยงหมานั่นเอง สงสารหมา..ไม่รู้จะทำยังไง..ก็ไปกู้ยืมเพื่อนฝูงมา ซื้ออาหารให้หมากิน เจ้าของก็จนตรอกจนมุม เวลานี้ติดหนี้ท่วมหัว หมาบางวันก็อิ่ม บางวันก็หิวจะตาย ร้องครวญครางจะตาย แต่เจ้าของก็จะตาย ไม่ทราบจะทำยังไง ถ้าท่านจะเมตตาได้ก็จะเป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง เขาเขียนจดหมายมา พอเห็นเท่านั้นเราให้พระตามไปเลยนะ..วันหลัง เขาบอกบ้านเลขที่ไว้เรียบร้อยที่กรุงเทพฯ ตามไปดู..ยั้วเยี้ย ๆ ตามที่บอก ถามเขาให้ชัดเจนนะ ทุกสิ่งทุกอย่างถามให้ชัดเจน พอถามเสร็จแล้วก็มา เจ้าของเขาก็ตามมา มาถึ เราก็ถามกับเจ้าของเขา ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย เขาบอกว่าติดหนี้อยู่ สำหรับเลี้ยงหมา เลี้ยงหมานี้เดือนหนึ่งหมดประมาณเท่าไร หมดประมาณหมื่นห้า..ว่างั้น เดือนหนึ่งให้พอเหมาะพอดี ประมาณหมื่นห้า หนี้ทั้งหมดนั้น..หามาเลี้ยงหมานะ..เราเห็นใจ เอ้า..เราจะใช้ให้ เดี่ยวนี้ส่งไปแล้ว พอมาถึงปั๊บก็ส่งปุ๊บเลย เดือนละหมื่นห้านั้น เราให้เป็นเดือนละ ๓ หมื่น ประจำทุกเดือนไปเลย ให้เป็นเดือนละ ๓ หมื่น เรียกว่าทบครึ่ง เผื่อเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วใช้หนี้ก็ให้พร้อมไปเลย เราก็จะจ่ายให้ตามนั้นหมดเลย หมาที่สวนแสงธรรมกำลังทุกข์ เราจึงช่วยให้พ้นทุกข์ พออ่านจดหมายว่าหมา ใจอ่อนเลยนะ เลยคำว่าวุ่น วุ่นนี่มายังไงกัน ? หมดเลยคำว่าวุ่น อ่อนทันทีเลย ให้ตามไปดูในวันหลัง ได้ความมาอย่างนั้นละ ก็เป็นอันว่าเปลื้องแล้วหนี้ เราก็จะให้คนนี้ ให้เขาอยู่เลี้ยงหมา ที่ไร่หนึ่งนั้นให้เลี้ยงหมาหมดเลย บุญของเขา บุญของหมา" |
ไม่ลืมสัตว์ในวัด
ความเมตตาส่วนนี้องค์ท่านถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่ไม่ยอมให้บกพร่องเลย นั่นคือความเมตตาสงสารสัตว์ที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาด ซึ่งมีอยู่หลายประเภท เช่น ไก่ป่า กระรอก กระจ้อน กระแต ฯลฯ องค์ท่านสังเกตใส่ใจดูแลเรื่องอาหารน้ำตลอดมา โดยเน้นย้ำตักเตือนพระเณรมิให้มองข้ามหรือเผลอลืมให้อาหารสัตว์ พร้อมให้เหตุผลด้วยว่า เขาอยู่กับเรา เขาก็อาศัยเรา เราจะใจจืดใจดำไม่สนใจการกินอยู่ของเขานั้นไม่ควรอย่างยิ่ง เราก็หิว เขาก็หิว เรามีปากมีท้อง เขาก็มีปากมีท้องเช่นกัน อย่าเป็นพระแบบใจดำ ๆ สิ่งใดพอจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลก็ช่วยเหลือกันไป จึงจะสมกับเป็นลูกศิษย์ตถาคตผู้มีเมตตาธรรม ด้วยเหตุนี้ภายในวัดจึงมีจุดให้น้ำให้อาหารกระรอกกระแต ทำเป็นร้านเล็ก ๆ สูงระดับอกกระจายอยู่ทั่ววัด กะจำนวนได้มากกว่าร้อยจุด องค์ท่านเน้นว่า ร้านกระรอกทุกร้านควรมีข้าวเหนียว กล้วยสุกหรือผลไม้สุกในปริมาณพอดีกับที่เขาต้องการ ไม่มากไปจนบูดเน่าเหม็นหรือน้อยไปจนขาดเขิน ควรเหลือไว้พอดี ๆ เสมอ ขอยกคำกล่าวของท่านที่แสดงถึงความใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์มาแสดงแต่พอสังเขป ดังนี้ "เราเดินเข้าไปทีไรไม่เห็นสับปะรดสักลูกหนึ่งแขวนอยู่นั่นเลย ตรงนี้ละซี ที่ว่ากระรอกร้องห่มร้องไห้ก็ตอนนี้แหละ ขาดสับปะรด ไปทีไรไม่เห็นสักที เราก็เลยปลอบโยนกระรอกว่า "สูกินกล้วยไปก่อนเถอะ อาจารย์สูมาแล้ว สูค่อยกินทีหลัง" ก็มันชอบสับปะรดมากกว่ากล้วย ถ้าสับปะรดมีเท่าไรเอาหมด นอกจากไม่มีสับปะรดแล้วมันค่อยมากินกล้วย ฟาดใส่รถเต็มมา เทปั๊วะเลย ให้พวกสัตว์ ขนุนอยู่ตามริมสระข้างในครัวนั่นน่ะ มันสุกมันแก่ที่ไหนให้ตัดกันลงไปเลี้ยงกัน ๆ ทางโน้น ไม่จำเป็นต้องส่งมานี้ อยู่ทางนี้เราก็แจกกระรอก กระแต อยู่ทางนี้ให้กระรอกกระแต ทางโน้นให้ทางโน้น มันสุกที่ไหน ๆ ตัดออกมา ๆ เอาไปเลี้ยงกัน วัดนี้เหลือเฟือ ผลไม้ขนุนมีอยู่ทั่วไปสำหรับกระรอก" |
ความห่วงใยสัตว์ในลักษณะนี้ไม่เว้นแม้ขณะนั่งรถออกไปสงเคราะห์โรงพยาบาล ท่านก็ยังหวนมานึกถึงปากท้องของสัตว์ในวัด ดังนี้
"ตั้งแต่เราวิ่งรถไปมาตามทาง เห็นผลไม้ที่เขาขายอยู่ตามถนนหนทาง เรายังคิดถึงสัตว์ นี่เอาไปให้พวกสัตว์กระรอกกระแตในวัดคงจะดี เช่นอย่างที่เราไปทางหนองคาย ลงไปทางนู้นมันมีอาหารชนิดต่าง ๆ ผลไม้ที่เขานำมาขายข้างทาง ไปเห็นแล้วคิดถึงสัตว์ ก็เราไปด้วยความอิ่มท้อง ไม่ทราบว่าเขาจะอิ่มเมื่อไร ไม่อิ่มเมื่อไร หรือหิวตลอดเวลาก็ไม่ทราบ ?" ขั้นตอนการให้อาหาร พระเณรจะมาเอากล้วยหรือผลไม้อื่น ๆ จากโรงกล้วยซึ่งเป็นจุดกลาง จากนั้นจะนำไปวางตามจุดให้อาหารที่ตนรับผิดชอบบริเวณใกล้กุฏิ พวกไก่ป่าจะมีกระสอบข้าวสารหักวางไว้ที่จุดกลางเสมอ ๆ เพื่อไว้ให้พระเณรฆราวาสตักใส่ถังแล้วเอาไปหว่านในจุดให้อาหารทั่ววัดตามเขตรับผิดชอบของตน และคอยหมั่นสังเกตน้ำกินของสัตว์ด้วย ไม่ปล่อยให้พร่องไป สำหรับพวกกระต่าย กระจง เต่า นกยูง ฯลฯ พระเณรและญาติโยมจะคอยจัดหาผักบุ้ง กะหล่ำ ผักกาดขาว กล้วย ขนมปัง หรืออาหารอื่น ๆ มาให้อยู่เสมอ ๆ มิให้ขาดตามความชอบของสัตว์แต่ละชนิด สิ่งเหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่พระเณรผู้มาศึกษาอยู่กับองค์หลวงตาทุกระยะ นับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดเป็นต้นมา ต่างองค์ต่างรับผิดชอบใส่ใจดูแลสัตว์ในวัดตลอดมาทุกรุ่นไป เมตตาธรรมอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของท่าน ย่อมไม่อาจบรรยายหรือแจกแจงได้หมดสิ้น สิ่งที่พอจะสื่อได้ชัดเจนที่สุดก็คือคำกล่าวขององค์ท่านเองที่ว่า "ธรรมเป็นธรรมชาติที่นิ่มนวลอ่อนโยน เมื่อเข้าสัมผัสสัมพันธ์กับใจผู้ปฏิบัติผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสแล้ว จิตใจนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่นิ่มนวลอ่อนโยนไปด้วยเมตตาจิต ไม่เคยมีก็มี ความไม่เคยเสียสละก็เสียสละได้ เพื่อผู้อื่นเพราะความเมตตา สามารถมองเห็นเขาเห็นเราว่า มีสาระสำคัญเช่นเดียวกันได้ เพราะความเมตตา เมื่อธรรมมีอยู่ในจิตดวงใดมากน้อย จิตดวงนั้นต้องแสดงออกทางกิริยาให้เห็น ปิดไว้ไม่อยู่ ยิ่งจิตที่บริสุทธิ์ด้วยแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะนิ่มนวล ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าจิตดวงนั้น ให้ความเสมอภาค ให้ความเมตตาแก่สัตว์ทั่ว ๆ ไป ไม่พูดพียงมนุษย์เท่านั้น แม้สัตว์เดรัจฉานชนิดใดก็ตาม ไม่กล้าดูถูกเหยียดหยาม ไม่กล้าทำลาย ให้ความเสมอภาคตามความจริง และเมตตาโดยสม่ำเสมอ ไม่มีคำว่าเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ว่าคราวนั้นมีเมตตา คราวนี้ไม่มี เพราะจิตนั้นเป็นจิตเมตตา ดวงเมตตาทั้งดวงก็คือจิตดวงที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว" |
คุ้มครองและไถ่ถอนชีวิตสัตว์
ความรับผิดชอบสัตว์ภายในวัด มิใช่เพียงการดูแลเรื่องอาหารการกินเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองรักษาชีวิตสัตว์ให้แคล้วคลาดปลอดภัย โดยปกติท่านจะเข้มงวดกับพระเณรอย่างมาก ให้ช่วยกันจับพวกงู แมว อีเห็น (เห็นอ้ม) พังพอน (จอนฟอน) ฯลฯ ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตสัตว์ในวัด และให้นำไปปล่อยที่อื่น เหตุการณ์ในคราวหนึ่งเป็นตัวอย่างที่ทำให้สัตว์ภายในวัดต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เพราะเหตุ "แมวบ้าน" เพียงตัวเดียว ดังนี้ "แมวตัวนี้เป็นมหาโจร พระทั้งวัดจับแมวไม่ได้ ตัวเดียวก็ไม่ได้ ไล่กันอึกทึกเมื่อคืนนี้ เราขบขันจะตาย พระไล่จับแมวตอนกลางคืน ที่จับออกคือว่ามันอยู่ข้างในนี้มันกัดหนู กินหนูแหลก กระจ้อน กระแต สัตว์ต่าง ๆ นี้กินหมด ถ้าได้เข้า (วัด) แล้วไล่ไม่ออก ตัวไหนก็ตามเข้าแล้วไล่ไม่ออก นี่..เราเข้มงวดกวดขันมาก คิดดูซิ..สังกะสีเราตีเกาะกับต้นเสาซีเมนต์รอบวัดหมดเลยนะนี่ เพราะว่าแมวมันขึ้นมาเอาสัตว์ตายไปเกือบหมดนะ เราถึงทำกันใหม่ จึงต้องได้พยายามจับเพื่อรักษาชีวิตสัตว์ที่อยู่ในนี้ให้แคล้วคลาดปลอดภัย เพราะฉะนั้น..จึงได้ถามพระ "ยังไม่ได้เรื่องหรือ ?" ยังไม่ได้ไปตีระฆังประชุมกันทั้งวัด "เอ้า..แมวตัวนี้เป็นยังไง ? พระทั้งวัดจับแมวตัวเดียวนี้ไม่ได้ ก็ควรติดคุกทั้งหมดเลย พวกนี้สู้แมวไม่ได้ ถือเป็นผู้ต้องหาของแมว เอาเข้าติดคุกทั้งหมด ยกเว้นก็ยกเว้นหลวงตาบัวคนเดียว นอกนั้นเข้าคุกทั้งหมดเลย สู้แมวไม่ได้" อู๊ย..ขบขันดีนะ เอามาคิดทั้งนั้นเรา เรื่องแมวเหล่านี้เอามาคิดหมด ความฉลาดของมันเอาจริงเอาจัง ไล่กันทั้งคืน ทุกคืนระยะนี้ ยังไม่ได้นะ ถามเมื่อเช้านี้ก็ยังไม่ได้ พระ ๓๓ องค์ไล่จับแมวตัวเดียวก็ไม่ได้ แสดงว่าใช้ไม่ได้เลย ไล่แมว..ขบขันดี แมวที่เข้ามาอาศัยกินในวัดตั้งแต่สร้างวัดนี้ เราจับไปปล่อยไม่ต่ำกว่าร้อยตัวนะ ถ้ามันเข้ามาเป็นอย่างนี้แหละ สัตว์ตายพินาศ ไม่มีคำว่าอิ่มว่าหิวนะ พอเจอนี้ด้อมใส่เลย ได้ก็เอา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความหิวโดยถ่ายเดียว จับตัวไหนก็เรียกว่าเนรเทศเลย เอาไปปล่อยหนองคายบ้าง เขามาจังหันพวกหนองคายฝากเขาไป สกลนครบ้าง ศรีสะเกษ อุบลฯ เลย จับไปปล่อยหลายจังหวัด แมวถ้าเข้ามาแล้วแล้วละไม่ออก ก็มันมีสัตว์กินเต็ม เมื่อวานเห็นมันคายสัตว์ตัวหนึ่งออกมา ตัวเท่านกเขา ไก่มันจะขึ้นคอนนอน มันก็ไปด้อมเอามากิน แต่ก่อนวัดนี้งูน้อยเมื่อไร งูมาก แล้วเอาไปหมด พยายามจับจงอางนี้ดูเหมือนจับไปได้ ๗ ตัว งูเห่าเหล่านี้จับ สามเหลี่ยมเขาเรียกทำทานจับไป จงอางได้มากกว่าเพื่อน แต่ก่อนทีเดียวเราไม่สนใจกับงูนะ ยั้ว ๆ เยี้ย ๆ ในวัด มันยังไม่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ครั้นต่อมาก็มีผู้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเด็กเล็กเด็กน้อยอะไรทำให้คิด เลยต้องจับงูไปปล่อย ไม่งั้นจะเป็นอันตรายต่อพวกนี้ละ ปล่อยหมด งูจับไปปล่อยหมด เพราะคนเพ่นพ่าน งูเหลือมกับสัตว์เหล่านี้กินเร็วที่สุด ลักษณะใบ้ ๆ นะ แต่เวลากิน..กินได้กระทั่งแมว แมวนี้สติดี รวดเร็ว แต่งูเหลือมก็กินได้ เรียกว่ามันมีวิชารวดเร็วยิ่งกว่าแมวอีก พวกไก่พวกอะไรเต็มอยู่ต้นไม้หมด มันขึ้นไป ๆ กินหมดเลยไก่ กินตามต้องการของมันละ อิ่มแล้วก็ไป เลยต้องจับงูเหลือมนี้ไปปล่อย" |
"เราไปดูจริง ๆ ดูสัตว์ โฮ้..สงสาร เดี๋ยวนี้จับตะกวดไปได้ตั้ง ๑๐ ตัวแล้วนะ ตะกวดที่หากิน ลูกไก่ก็กิน ไข่ไก่ก็กิน ลูกกระต่ายก็กิน พวกนี้กินหมดเลย เวลานี้สั่งพระให้จับ เอาไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล จะบอกสมภารก็ได้ไม่บอกก็ได้ เราคือสมภารใหญ่วัดถ้ำกลองเพล บอกงั้นเลย คือวัดถ้ำกลองเพลกว้าง เนื้อที่มันพันกว่าไร่หรือไง อันนี้ร้อยไร่เท่านั้น ทีนี้เวลาไปปล่อยโน้นพวกสัตว์อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยมี ไม่เหมือนวัดป่าบ้านตาดซึ่งเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ ไปปล่อยนั้นเขาก็อยู่ตามเรื่องของเขา อันตรายก็ไม่ค่อยมี เพราะมีกำแพงกั้นเอาไว้ข้างใน ไม่มีใครไปรบกวน เขาก็หากินได้ตามสบาย ถ้าอยู่ที่นี่หากินแต่สัตว์ในวัด"
ความสังเกตขององค์หลวงตายังพิจารณาไปถึงความผูกพันระหว่างแม่ลูกของสัตว์ในวัดอีกด้วย และความเห็นความผูกพันระหว่างกันของสัตว์เช่นนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงพิษภัยของสัตว์ร้ายที่ต้องรีบช่วยกันจับออกไปปล่อยให้ได้ ดังนี้ "กระต่าย..เวลาเราไปใกล้เขาเฉยนะ แม่ก็เฉย ลูกก็วิ่งรอบแม่ แม่ไม่พาวิ่งลูกก็ไม่ไป วิ่งอ้อมแม่อยู่ คือลูกนั้นกลัว หาที่พึ่ง ก็วิ่งหาแม่ แม่ไม่ไปไหน..แม่เฉย ลูกก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินไป โอ๊..เป็นอย่างนี้นะสัตว์ คือ แม่มันเชื่องกับคนแล้วไม่สนใจ เราไปเขาก็เฉย เขากินอะไรก็กินเฉย ไอ้ลูกก็วิ่งไปโน้นแล้ววิ่งมาหาแม่ วิ่งแอบแม่ เวลาเราไป แอบแม่อยู่นั้นนะ คือแม่ไม่พาวิ่ง เขาก็พึ่งแม่เขา อ๋อ..มันพึ่งแม่มันนะ เราก็ผ่านไป ๆ มันเป็นแบบเดียวกันหมด ตัวเล็ก ๆ มันวิ่งไปไหนมันก็วิ่ง แต่ไม่พ้นที่วิ่งมาหาแม่นะ วิ่งไปแล้ววิ่งกลับมาหาแม่ มาแอบอยู่กับแม่ ทีนี้เวลาเราเดินผ่านไปแม่เฉย เขาก็แอบอยู่กับแม่ เราเดินเฉย แม่เขาก็เฉย จากนี้ไปทั่วไปหมดนะ นี่..สัตว์มันก็พึ่งแม่มัน..เห็นไหมล่ะ ? วิ่งไปไหนก็ไม่ยอมไป วิ่งกลับมาหาแม่ อ๋อ..สัตว์ก็พึ่งแม่ ถ้าแม่พาเผ่นลูกนี้ไปหมดเลย ทีนี้แม่ไม่พาวิ่งละซิ ลูกก็แอบอยู่นี่ เพราะฉะนั้น..จึงว่าให้รีบเร่งวันนี้จะหาแมวให้เห็น ให้หาทั่ววัด.." และอีกตัวอย่างหนึ่งที่พอจะสื่อถึงความเมตตาของท่านต่อชีวิตสัตว์ เพราะสัตว์เหล่านี้ได้ถูกตีตราและกำลังจะถูกนำไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ในไม่ช้านี้ องค์ท่านก็มีความเมตตา พยายามเข้าช่วยเหลือตามกำลัง ดังนี้ "นี่เขากำลังเอาวัวมา จะแจกวัวต่อ นี่ไปเอามาจากโรงฆ่าสัตว์ วัวนี่ตามโรงฆ่าสัตว์ ตามไปกว้านเอามา ๆ จะไปแจกคนทุกข์คนจน ช่วยชีวิตสัตว์ อยู่ไหนกว้านเอามาหมด รถใส่พวกสัตว์พวกโคกระบือ ไปแล้วตีตราแดง ๆ นี่แสดงว่าแน่นอนแล้ว จะต้องถูกฆ่า กำลังจะเข้าไปโรงฆ่าสัตว์ก็ดึงออกมา ๆ ดูจะ ๕๐๐ ตัว มีแต่พวกที่จะตายพวกนี้ ไปดึงออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ กำลังจะเข้าไป เอาออกมา ๆ หมด พ้นภัยพวกนี้ ไม่อย่างนั้นตายหมด เวลานี้กำลังปล่อยสัตว์ สัตว์ถูกฆ่ามาเป็นประจำเป็นกัปป์เป็นกัลป์แล้ว เวลานี้กำลังปล่อย ระยะนี้เป็นระยะปล่อยสัตว์ เรานี้อยากให้ปล่อยเหลือเกิน สัตว์เอาเข้าไปฆ่า ๆ ถอนออกมาพ้นภัย ๆ อย่างพวกวัวนี่น้ำตาไหลนะ เอาลงจากรถเขาไม่อยากลง เขานึกว่าจะเอาเขาไปฆ่า เขาไม่อยากลง..น้ำตาไหล ความจริงจะเอาลงไปปล่อย น่าสารมากนะ ใครจะอยากตาย สัตว์ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเขามากินเรา เช่นยุง เขาก็ไม่อยากตาย แล้วใคร ๆ จะอยากตายล่ะ ?" |
ไล่ขนาบสัตว์
บางครั้งสัตว์ที่ไม่มีพิษไม่เป็นอันตรายก็กลับสร้างปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน โดยปกติไก่ป่าในวัดจะขันเป็นระยะ ๆ ทั้งวันในช่วงกลางวัน แต่หากมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นอันตราย ก็จะตกใจร้องกะต๊ากดังขึ้นและถี่ขึ้น จากนั้นตัวอื่น ๆ ก็จะร้องตาม ๆ กัน ยิ่งหลายตัวเท่าใดก็ยิ่งทำความรำคาญแก่นักปฏิบัติไม่น้อย องค์หลวงตามีมาตรการ ดังนี้ "ไก่ที่กะต๊ากมันมีเหตุการณ์นะ ธรรมดาเราก็เข้าไปดูมันมีอะไร หรือมีงูมีอะไรอยู่นั่นมันถึง "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นตลอด ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งสายไม่หยุด ไปก็เอาใหญ่เลย คว้าได้ก้อนกรวดตามนั้นกำไว้เต็มมือ เอาหนังสะติ๊กติดมือแล้วก็ไป "มึงร้องอะไร ?" มันก็ร้องอยู่นั่นละใกล้ ๆ ก็มันไม่ได้กลัวใครนี่ มันเคยกับพระแล้ว "กะแต๊ก ๆ" อยู่งั้นมึงกลัวอะไร ? เราก็หาดูเหตุการณ์ที่มันกลัว เช่นอย่างมีงู มันทักไว้เพื่อเตือนลูกก็ได้ ลูกมันมี ไปหาดูที่ไหนก็ไม่มี มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" เราเดินเข้าไปนี้มันก็ยัง "กะแต๊ก ๆ" อยู่ไม่ยอมหยุด หาดูหมดไม่มีอะไรแล้ว ทีนี้ตั้งท่ากำก้อนกรวดในมือฟาดทางโน้นทางนี้เลย เปิดทั้งแม่ทั้งลูกเลย..หายเงียบ นั่น..มันชอบอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนั้น..ใช่ไหม ? มันหลายแบบนะ หลวงตาไปหาดูอันตรายก็ไม่มี มันร้องอะไรนักหนานี่นะ ลูกก็อยู่ด้วยกันนั่น ไม่เห็นตื่นเต้น แต่แม่เป็นบ้าอะไร ? นั่นละ..เอาแม่มัน สุดท้ายลูกวิ่งตามแม่ ไล่ขนาบไล่หลงทิศไปเลย เข้าป่านู้นอีกนะ เข้าตามไล่เอาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาเงียบเลย" |
แม้จะวัย ๙๐ ปีชราภาพมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นต้องรักษาชีวิตสัตว์แบบเร่งด่วน ทำให้ท่านต้องจับสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยตนเองก็มีไม่น้อย ดังนี้
"ที่สนใจมากคือสัตว์ ถ้าเห็นสัตว์ตัวไหนจ้องอยู่นั้น เฝ้าดูอยู่นั้น ยิ่งกระแตด้วยแล้วยิ่งรักมาก ไปไหนถามหาแต่กระแต กระแตไปไหน มีแต่กระแตยั้ว ๆ เยี้ย ๆ นี่..ชี้มาหาคน แล้วก็เดินผ่านไป อย่างนั้นแหละ จึงได้บอกว่างูทางมะพร้าว งูสา ใครเจอแล้วให้รีบมาบอกพระ ถ้าเป็นกลางวันให้รีบมาบอกพระ ให้ดูตัวมันไว้ มันเลื้อยไปไหน คนหนึ่งให้เดินตามไป แล้วคนหนึ่งรีบออกมาบอกพระ ให้พระไปจับ นี่ละ..ตัวสำคัญของกระแต ไม่มีเหลือนะ เทียบกับแมวตัวหนึ่ง งูนี้มันหลอกกระแตนี้ของเล่นเมื่อไร พอได้โอกาสปั๊บพันเลย..! เราไปเห็นแล้วอยู่หน้าทางจงกรมเรา กระแตมากินน้ำ งูก็ไปเฝ้าอยู่ในน้ำ หัวจงกรมเราด้วย เราเดินจงกรมก็คอยสังเกตดู เพราะยังไงก็ไม่มีอันตรายถ้าเราอยู่ที่นั่น..ว่างั้นเถอะนะ มันจะทำแบบไหนกัน ก็เราดูอยู่ที่นั่น สักเดี๋ยวมันหลอกกันนะ ทำให้กระแตเผลอ หลอกทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ กระแตก็วิ่งรอบนั้นรอบนี้ พอได้โอกาสปั๊บฉวยมับเลยนะ..พันเลย พอพันเราก็โดดใส่เลย จับได้เลย..งูนี้แหละ กระแตหลุดก็วิ่งชนต้นไม้ต้นอะไรไป แต่ไม่เป็นไรแหละ เราก็จับงูได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ นี่ก็ว่ากลัวงูก็กลัวนะ ธรรมดาแล้วกลัว แต่ทุกวันนี้พูดตามความจริง ไม่ทราบว่ากลัวหรือไม่กลัว เหตุผลเท่านั้น ถ้าเป็นงูไม่เป็นภัยไม่ระวังมากนัก เช่น งูทางมะพร้าว งูเขียว พระฉวยได้ยังไงเราก็ฉวยได้แบบเดียวกัน แน่ะ..คือเหตุผล มันไม่เป็นภัยกลัวหาอะไร ไม่เป็นภัยก็ต้องไม่กลัว ถึงเรียกว่ามีเหตุผล..ใช่ไหม ? มันไม่เป็นภัยยังกลัวอยู่ ก็เรียกว่าบ้ากลัว เข้าใจไหม ? อันนี้ไม่กลัว ฉวยมับเลย จับได้เรื่อยแหละ" |
งูจงอางสัตว์เลี้ยงวัด ปล่อยสัตว์ปลอดภัย
โดยปกติองค์หลวงตาจะไม่เลี้ยงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ตัวใหญ่ ๆ เพราะเกรงอันตรายจะเกิดกับชาวบ้านที่มาวัด ดังนี้ "สัตว์ตัวใหญ่ ๆ เอามาเลี้ยงไม่ได้นะ เป็นอันตราย ทำลายคน พวกหมูนี้ก็ไม่ได้ อีเก้งตัวผู้ก็ไม่ได้ เวลาคึกคะนองนี้ขวิดคน ต้องระวัง อย่างวัด....เขาเอากวางมาเลี้ยงไว้ เราไปเจอเข้าก็สะดุดเลย โอ๊ย..ทำไมเอากวางตัวใหญ่ ๆ มาเลี้ยงไว้ เดี๋ยวชนคนนะ มันทิ่มคน ไม่ได้นะ พอเราพูดจบคำ ท่านก็ว่ามันเคยชนคนมาหลายคนแล้ว ก็อย่างนั้นแล้ว สัตว์เหล่านี้ไม่ได้นะ ผูกโกรธด้วย พวกงูผูกโกรธเก่งนะ" สำหรับวัดป่าบ้านตาดช่วงหนึ่ง ก่อนปี ๒๕๓๐ ยังไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเหมือนสมัยนี้ ครั้งนั้นงูจงอางซึ่งเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง ไม่มีใครอยากพบเห็นหรืออยู่ใกล้ กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของพระประจำวัดป่าบ้านตาดในช่วงเวลานั้น ดังนี้ "งูทุกชนิดในวัดนี้ เราจับทั้งนั้น แต่ก่อนเขาอยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ อย่างจงอางนี้มันเหมือนสัตว์เลี้ยง ไม่แผลงฤทธิ์ เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงเรา อยู่กับพระป้วนเปี้ยน ๆ ไม่แสดงฤทธิ์เดช แต่งูชนิดอื่นเราไม่แน่ แต่สำหรับงูจงอางนี้แน่ว่าไม่แสดงพิษภัยอะไรเลย แต่ก่อนปล่อยให้เขาอยู่กับพระ ก็พระทั้งวัดนี่ งูไปที่ไหนก็เจอพระเรื่อย ๆ องค์ไหนก็แบบเดียวกัน เพราะเราสั่งกับพระไว้เรียบร้อยว่า อย่าไปหยอกไปเล่นเป็นอันขาด ให้เดินผ่านไปเฉย ๆ คือ การหยอกเล่นของเรา เขาจะถือว่าจริงจังกับเขา เพราะสัตว์เหล่านี้ถือมนุษย์นี้เป็นข้าศึก เราไปทำอะไรหยอกเล่นกับเขา เขาจะถือว่าเป็นจริงกับเขา หลังจากนั้นแล้วเขาผูกโกรธผูกแค้น เวลาเห็นเราไปนี้เขาจะเจอเราก่อนไป เราไม่รู้เขาฉกปั๊บ เพราะฉะนั้น..จึงไม่ให้สนใจเลย ใครจะเจอที่ไหนให้เดินผ่านไปธรรมดา แล้วเขาจะชินเอง เขาจะรู้นิสัยของพระเอง และมันก็เป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนวันหนึ่งเจอพระสักกี่องค์ เจอแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครสนใจ เดินผ่านไป บางทีขวางทาง เราไปนี้พอดีเป็นจังหวะเขาออกมาก็ไปเจอเขา เขาก็นิ่ง บางทีเราก็ไปทางหัว เขาก็นิ่ง บางทีก็ไปทางหาง เขานิ่งของเขาอยู่งั้นแหละ ทีนี้พอเราผ่านไปแล้วเขาก็เลื้อยไป เป็นประจำอย่างนั้น ที่ไหนเหมือนกันหมด ทีนี้งูจงอางกับพระเลยเป็นสัตว์เลี้ยงนะ อยู่ในครัวนี่เวลาพระมาฉันน้ำร้อนเขาเลื้อยเข้ามาเฉย พระนั่งอยู่เขาผ่านเข้ามาตรงกลาง "มึงมาอะไรไอ้ขี้ดื้อ ?" พระท่านว่า แต่ท่านไม่หยอกเล่นนะ เขาก็เลื้อยเข้ามาเฉยไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ โอ๊ย..หลายตัว ประมาณสัก ๙ ตัว ๑๐ ตัว เท่าที่เราจำได้นี่ละ จับออกไป ๆ แต่ก่อนไม่จับ ทีนี้เวลาคนมามาก ๆ เข้า คนกับพระมันต่างกัน มาเจอเขาเข้าจะไปหยอกไปเล่นกับเขา ๑ แล้วมาแบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ๑ ซึ่งเป็นภัยทั้งนั้น เลยต้องจับออก ๆ ไปปล่อยในภูเขา ทุกวันนี้ไม่มีแหละ" โดยปกติเวลาที่นำสัตว์ไปปล่อยจะใกล้หรือไกลเพียงใดเป็นไปตามชนิดของสัตว์ และความปลอดภัย ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือไม่ก็ตาม ความปลอดภัยของสัตว์ตัวนั้น ๆ ต้องปลอดภัยที่สุด ส่วนมากองค์หลวงตามักให้พระหรือฝากฆราวาสที่ไว้ใจได้ไปปล่อย แต่ก็มีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านนำไปปล่อยด้วยตัวเอง ดังนี้ |
"มีปล่อยใกล้ตัวเดียว เรายังจำได้ นอกนั้นมีแต่ไกล ๆ ทั้งนั้น อันนี้เราไปเองไปปล่อย ท่านสิงห์ทองไปด้วย ส่วนใหญ่มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ไปปล่อยที่ไหน ? สกลฯ นี่ก็เราไปปล่อยเอง ไปปล่อยแถวใกล้บ้านเขานะ ไปปล่อยที่ไหนให้อยู่ใกล้บ้านเขา เพราะแมวเหล่านี้เป็นแมวบ้าน มันอยู่กับบ้าน มันมาหาลำไพ่กินกับวัดกับวา แล้วจับเนรเทศเข้าในบ้านเขา ตัวใหญ่ทั้งนั้น ตัวไหนก็ดี"
แม้แต่การนำสัตว์ไปปล่อยแต่ละครั้ง ๆ องค์ท่านก็ให้ความสำคัญและจริงจังอย่างมาก ถึงกับกำชับผู้รับผิดชอบให้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตสัตว์ทุกขั้นตอนเลยทีเดียว "(พระ)ไปปล่อยหมู หมูหลุดตกรถ หมู ๒ ตัวตกไป มันเป็นอย่างไรไม่รู้ มันสะดุดจิต สั่งแล้วก็ไม่แน่ใจ..ไปยืนสั่งอีก คือสั่งว่าหมูนี้เอาไปปล่อยตรงนั้น ๆ บอกเรียบร้อยแล้ว แล้วไปมันขวางอยู่ในจิตอีก..มันไม่แน่ใจ เดินเข้าไปอีก..ไปบอกซ้ำเข้าอีก "นี่ถ้าหมูปล่อยหายไป แล้วท่านมานี่..ต้องออกจากวัดทันที..!" บอกอย่างนั้นนะ พอไปก็หายจริง ๆ ก็ต้องออกจริง ๆ ไล่ออกจากวัดเลยทันที..ทันกันละ เป็นอย่างนั้นนะเรา ถ้าว่าอะไรลงจิตมันลงขาดปุ๊ดแล้วมาค้านไม่ได้..พุ่งเลย ไปตกหายทั้งสองตัวเลย มาก็ไล่ออกจากวัด เพราะมีสัญญากันในคำพูดที่ไปสั่งเสีย ถ้าหมูนี้หลุดตกจากรถไปแล้ว ท่านต้องออกจากวัด พอดีไปตกจริง ๆ ท่านก็ออกจริง ๆ ไม่ออกไม่ได้..ไล่เลยแหละ..! มันก็แปลกอยู่นะจิตนี่ ไม่มีอะไรบอกมัน..หากเป็นของมันเอง ถ้าอะไรไม่สนิทใจมันจะมาขวางอยู่นี้ สั่งเรียบร้อย..ไปยืนสั่งจริง ๆ เพราะไม่สนิทใจ ท่านก็เลยออกจากวัด เป็นอย่างนั้นนะเรา คือว่าอะไรต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าของเองก็เหมือนกั้น ถ้าสั่งอะไรผิดไปนี้ ต้องยอมรับโทษแห่งความผิดของเราว่าสั่งผิดไป ผู้ทำทำตามก็จะผิดไปอีก วันนี้เตรียมของไปให้พระที่ถูกไล่ออกจากวัด ก็ไม่ได้ไล่ด้วยความเกลียดความโมโหโทโสอะไร ไล่โดยเหตุโดยผลต่างหาก" |
พ้นเขตวัด คือแดนประหารสัตว์
องค์ท่านเบาใจเมื่อสัตว์ร้ายในวัดถูกนำไปปล่อย เพราะห่วงใยในชีวิตของสัตว์จำนวนมาก ที่จะต้องตายเพียงเพราะสัตว์ตัวสองตัวเท่านั้น ความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง และเห็นคุณค่าของสัตว์แต่ละตัว ๆ ไม่มียกเว้นแม้ในเวลาไปแจกทานระหว่างทาง หลานชายของท่านซึ่งเป็นผู้ขับรถถวายอยู่เป็นประจำจะทราบดี และขับรถด้วยความระมัดระวัง สอดคล้องกับความเมตตาของท่าน ดังนี้ "นี่ค่อยเงียบ ๆ ทางข้างใน (สัตว์ร้ายที่เพิ่งไปปล่อย) ไม่มีแล้วนะเดี๋ยวนี้ ก็แสดงว่าจะค่อยหมดปัญหาไป สัตว์จะได้งอกเงย อู๊ย..สงสารสัตว์มากนะ มองดูตัวไหน แม้แต่จิ้งเหลนกิ้งก่าวิ่งผ่านถนน พอมองเห็นบอกเลยนะ "นั่นกิ้งก่า..!" รถก็หลีกไป ไม่เคยทับเคยเหยียบมัน นอกจากมันสุดวิสัยก็จำเป็น หลีกทั้งนั้นละเรา จิตมันเมตตาขนาดนั้นละ จึงว่าอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นหัวใจนี้ มาพูดเล่น ๆ หรือ ?" ด้วยความเมตตาอันลึกซึ้งของท่านเช่นนี้ วัดป่าบ้านตาดจึงกลายเป็นแดนผาสุกของสัตว์ เพราะมีเมตตาธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งอันแสนสงบสุขและร่มเย็น ดังนี้ "เราไปสร้างวัด ดงนี้ก็ถูกเขาทำลายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอำเภอหนองแสงนู่นนะ สัตว์เหล่านี้ก็เลยตายหมด กระรอกเรายังจำได้มีอยู่ ๒ - ๓ ตัว เขตของวัดที่เราอยู่นี้ กระรอกอยู่ในเขตนี้ ไก่ป่าก็มี ๒ พวก พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ก่อนมันไปยกพวกตีกันเรื่อยละ เขตนั้นกระรอกก็ตายหมด สัตว์อะไร ๆ ตายหมดทั้งนั้นแหละ..! มีอยู่เฉพาะในเขตวัด สัตว์อะไรมีเท่าไรก็ยังอยู่เป็นปรกติ พวกกระรอก พวกกระจง อีเก้ง ถ้ามันออกไปข้างนอกถูกเขาฆ่าตาย แต่ก่อนมันมีอยู่ทั่วไปในวัด พอออกข้างนอกไปก็ถูกเขาฆ่าหมด เก้งก็หมด หมูก็หมด มีแพร่หลายอยู่แต่กระรอก ทีแรกมีอยู่ ๒ - ๓ ตัว มันแพร่พันธุ์มากเต็มวัด ยังเหลือแต่กระรอกกับไก่ เดี๋ยวนี้ไก่ป่าที่ว่า ๒ พวกที่ยกพวกมาตีกันนั่นละ ครั้นต่อไปมันก็มากขึ้น ๆ ไม่ทราบว่าพวกไหนต่อพวกไหน เลยกลายเป็น "ไก่บ้าน" ไป ไม่ได้กลัวคนเลย จาก "ไก่บ้าน" แล้วเป็น "ไก่บ้า" ไปเลย เข้าใจไหม ? ไปดูในครัวซิ มันกลัวคนเมื่อไร ไก่อยู่ในวัด เวลานี้อยู่ในขั้นบ้าทั้งหมดเลย ไม่รู้จักกลัวคน กระรอกก็เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกัน..ไม่กลัว อย่างนั้นละ "ธรรม" ไปอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนสัตว์ตายใจได้ทั้งนั้นละ ไม่ได้กลัวคน สัตว์ในวัดสนุกสนานรื่นเริง อาหารเราก็ให้กิน แล้วความปลอดภัยพระก็รักษาเองโดยหลักธรรมชาติ ใครจะเข้าไปยุ่งไม่มี เขาก็อยู่สบาย ๆ พวกสัตว์อะไรที่อยู่บริเวณวัดนั้น เขาอยู่ผาสุกสบายทั้งนั้นแหละ ออกจากนั้นไปตายหมด..!" |
ป่าช้าหมารอบกุฏิ
องค์หลวงตาเมตตารับสุนัขมาเลี้ยงไว้ที่วัดหลายตัว ให้พระเลี้ยงดูเป็นอย่างดี มีการแบ่งอาหารใส่ถาดแยกเป็นกลุ่ม ๆ ให้กินจนอิ่มทุกตัวไป ท่านจะกำชับพระเณรเสมอ ห้ามสุนัขเหล่านี้เข้าไปทำลายสัตว์อื่นในวัด และคอยกันไม่ให้กัดกันทะเลาะกัน หากตัวใดดื้อท่านสั่งให้พระเณรใช้ไม้เรียวตีสั่งสอนทันที นอกจากนี้ความเมตตาเอ็นดูสุนัขในวัดของท่าน ถึงกับให้ฝังตัวที่ตายแล้วไว้ในบริเวณรอบ ๆ กุฎิของท่านเลยทีเดียว นับเป็นความรักความเมตตาของท่านโดยแท้ "กระต่ายมันมีอยู่ทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้มันออกไปหมด กระแตก็เยอะ โอ๋..เราสงสารสัตว์นะ ไปที่ไหนจะจ้องดูแต่สัตว์ พวกกระแตเชื่องมาก ไม่รู้จักกลัวคน แล้วลูกกระต่ายด้วย หมามันเข้าไปมันกัดเอานะ ข้างในหมาเข้าไปหรือเปล่า ? เห็นหมาเข้าไปไหม ? ถ้าตัวไหนไปอย่าคุ้นกับมัน เว้นแต่ไอ้หยองกับไอ้ปุ๊กกี้เท่านั้น ไอ้นี้มันไม่มีบัญชี มันก็ไม่ทำร้ายสัตว์นะ แต่ไอ้หมี (หมาตัวใหญ่) ให้ระวังให้ดี ไอ้หมีไปมันเอาจริง ๆ ก็มีไอ้หมีตัวเดียว นอกจากนั้นไม่เห็นตัวไหนเข้าไป ทุกคนให้เตือนกันนะ แต่นี้ต่อไปไอ้หมีอย่าไปคุ้นกับมัน มันมีลูกกระต่ายแล้วจะเกิดเหตุ เราเป็นห่วงมากนะ ไปดูเรื่อย กลัวจะบกพร่อง เดี๋ยวมันเอาลูกกระต่ายไปกินแล้ว..ไม่ได้นะ เราเข้มงวดกวดขันมาก มันเข้าไปเรื่อยก็ยิงหนังสะติ๊ก ไม่ได้ยิงหมาแหละ ยิงขู่..ใส่เปี๊ยะ มันวิ่งเลย..มันกลัว ในวัดนี้พระมีหนังสะติ๊กทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เคยยิงถูกหมา เพราะไม่ได้ยิงใส่มัน พวกนี้มันกลัวหนังสะติ๊ก พอยิงแค่นี้ก็ไปเลยเผ่นเลย ต้องมีไว้ขู่ ไม่งั้นไม่ได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของสัตว์ พระท่านมีไว้อย่างนั้นแหละ ส่วนไอ้ปุ๊กกี้ (หมาตัวเล็ก) มันดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ถือสีถือสาเลย จะทำอะไรมีแต่หลบ ๆ แล้วเปิดหนีเลย มันรำคาญท่า ก็ดีอย่างหนึ่ง นิสัยมันดี เวลามันผิดพลาดอะไร เจ้าของตี ไม้เรียวหวด..หมอบ หวดเท่าไรก็ยิ่งหมอบ นี่ก็ดี..รู้ผิดนะ นิสัยมันดีอย่างหนึ่ง มันมีแต่ขู่เขาเท่านั้น แต่ไม่เคยกัด พอขู่เขาแล้วก็วิ่งเลย เพราะพอขู่เขาแล้วไม้เรียวลงข้างหลังละซี มันมัวแต่ขู่เขาไม้เรียวซัดลงหลังก็วิ่ง ทีนี้พอขู่เขาแล้ววิ่ง ไม้เรียวมาไม้มาวิ่งเลย เขาก็ฉลาดเหมือนกันนะ เข้าท่าดี เล่นกับหมาก็น่าดูนะ พูดเรื่องหมา นิสัยหมามันก็มีหัวใจของมัน มันรู้จักผิดถูกเหมือนกัน ตายไปเรื่อย ๆ ตัวหนึ่งก็ตายแล้ว ไอ้จ้ำหลอด (หมาตัวใหญ่มีจุด ๆ) เอาไปฝังไว้ที่กุฏิ บริเวณกุฏิเราป่าช้าหมานะ ตัวไหนตายเราสั่งเอง ให้ไปฝังไว้ที่รอบ ๆ กุฏิของเรา ตายไปอีกตัวหนึ่งแล้ว มันตายเป็นชุดๆ ไป พอมันแก่แล้วก็ตาย.." |
ความเมตตาของวัดป่าหลวงตามหาบัว
ความเมตตาอย่างไม่มีขอบเขตขององค์หลวงตาต่อสัตว์ทั้งหลายนี้ ยังแผ่ออกกระจายอย่างทั่วถึงไปยังวัดต่าง ๆ ที่ท่านรับถวายที่ดิน รวมถึงวัดต่าง ๆ ที่องค์ท่านมักไปเยี่ยมเยียนอยู่เนือง ๆ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง วัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีเพียงแห่งเดียว ซึ่งเด่นเรื่องความเมตตาสัตว์และองค์หลวงตามักกล่าวถึงเป็นพิเศษเสมอ ดังนี้ "ท่านจันทร์นี้เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นคนคลองด่าน สมุทรปราการ อยู่นี่หลายปี ออกจากนี้ไปก็ไปอยู่ทองผาภูมิ เราก็คอยฟังเสียงจากนั้น เขาก็มาถวายที่ที่เป็นวัดเสืออยู่ทุกวันนี้ เนื้อที่ก็กว้างอยู่ เราก็พิจารณาดูย่านกรรมฐานภาวนา เห็นว่าที่นั่นว่างมาก ไม่ค่อยมีพระกรรมฐานไปอยู่ เลยให้ท่านจันทร์ วัดเสือ มาปรึกษาหารือ ท่านก็พอใจรับ ใครจะถวายที่ที่ไหนก็ตาม เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะรับเพื่อประโยชน์แก่ชาติศาสนาจริง ๆ รับที่ไหนแล้วต้องเป็นภาระหนัก ไม่ได้รับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อะไร ก็เลยรับ อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาเหมือนกัน ท่านจันทร์ท่านบวชมา ท่านก็ไม่ได้บวชมาหาสัตว์หาเสืออย่างนี้นะ ท่านบวชมาหาอรรถหาธรรม เข้าเสาะแสวงหาครูอาจารย์ ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านไม่ได้ตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสืออะไร ท่านไม่มีนะ..เจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามา พอรับแล้วพอดีพวกเสือก็เข้ามา พวกเสือพวกสัตว์เข้ามาในวัดนั้น เลยกลายเป็นวัดเสือ ตรงที่ทำเลภาวนามันก็เลยกลายเป็นวัดเสือไปเลย เอ้า..เป็นก็ให้เป็น..! อย่างท่านจันทร์ท่านเมตตาสงสารเอาใจใส่สัตว์ สุดท้ายสัตว์อยู่ข้างบนภูเขาลงมากินอาหารกับท่านหมด หมูเป็นร้อย ๆ นกยูงเป็นร้อย ๆ สุดท้ายวัดเสือนี่กลายเป็นวัดสัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่นั้นละ พวกม้าป่า วัว ควายป่า หมูป่า แพะ นกยูง ฯลฯ มันมากต่อมาก มาเองนะ ลงมาจากภูเขา ท่านจัดอาหารให้ เลี้ยงดูเขา แน่ะ..ก็อย่างนั้นละ เมื่อเขาเคยแล้วเขาก็ลงมา ตอนเช้านั่นละ..หลั่งไหลลงมา พอกินอิ่มแล้วเขาไป เขาไม่รบกวนเรา สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ป่าทั้งหมด เวลามันออกมาจากป่ามาอยู่ในวัดนี้มันเป็นสัตว์ป่า แล้วเอามาเลี้ยงไว้ในบ้านเลยถือว่าเป็นสัตว์บ้านไปเลย ไม่นึกว่าเขาเป็นสัตว์ป่ามาแต่ก่อน นี่ละ..อำนาจแห่งการเสียสละความเมตตา สัตว์เคยรู้จักพระที่ไหน เขาเป็นสัตว์ป่าล้วน ๆ ทำไมมาอยู่กับพระได้อย่างสนิทใจ นี่ก็คือความเมตตา ความเสียสละ สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน การให้เป็นเครื่องประสานกันสำคัญมากนะ การให้นี่ประสานกันได้ดี จิตใจอ่อนนุ่มเลยทันที เมื่อได้รับการสงเคราะห์จากกันและกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถึงยกทานบารมีขึ้นก่อน ทานบารมีคือการให้ การเสียสละ เป็นพื้นฐานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์" |
ที่วัดเสือแห่งนี้สัตว์ป่าต่าง ๆ ชนิดกัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องทำลายชีวิตกัน แต่สัตว์ป่าที่นี่กลับมีความคุ้นเคยกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุกในสถานที่แห่งนี้ ดังนี้
"ทีแรกพวกวัวพวกควายนี้ก็ร้อง "โอ้กอ้าก ๆ" พอเห็นเสือวิ่งเข้าป่าเข้ารก เสือก็ไล่ ไล่ไปก็โดดขึ้นบนหลังวัวหลังควาย ฟังเสียงร้อง "อ้าก ๆ" ขึ้น เขาไม่ใช่อะไรนะ..เขาหยอก เสือหยอกควายนี้ ควายมันจะตาย..มันกลัว หยอกวัว หยอกควาย เสียงร้อง "อ้ากอึ้ก ๆ" ไอ้เสืออยู่บนหลัง มันขบขันดีนะ คือไม่ทำไม แล้วก็ไม่ใช้เล็บ เล็บไม่ใช้ กัดก็ไม่กัด มีแต่หยอกเล่น แต่ควายตั้งแต่เกิดมามันคุ้นเสือเมื่อไร..ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นเขาถึงวิ่ง วิ่ง..เสือก็ไล่ ไล่โดดขึ้นบนหลัง ควายก็หมอบร้อง "อ้าก ๆ" โอ๊ย..ขบขันดี ตัวหนึ่งเล่นตัวหนึ่งกลัว เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้วนะ ที่ว่านี้ว่าแต่เริ่มแรก เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้ว ไม่ว่าเสือว่าวัวว่าควาย อยู่ด้วยกันได้สบายเลย นี่..อำนาจเมตตาธรรม ไม่มีอะไรกันเลย" ก่อนวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ที่กาญจนบุรีจะเป็น "วัดเสือ" ที่เกี่ยวข้องกับการอนุเคราะห์เมตตาสัตว์ ท่านพระอาจารย์ภูษิต (จันทร์) ได้เคยรับหน้าที่ดูแลอาหารน้ำให้สัตว์หลายร้อยตัวในวัดป่าบ้านตาด มาตั้งแต่ครั้งเมื่ออยู่กับองค์หลวงตา แล้วเป็นกิจวัตรเพิ่มเติมจากความรับผิดชอบในกุฏิองค์หลวงตา ซึ่งส่วนหนึ่งของหนังสือน่านฟ้าได้กล่าวถึงเรื่องราวของท่านพระอาจารย์ภูษิตในเหตุการณ์ระยะนั้นว่า "วันนั้นหลวงตาท่านไปข้างนอก กว่าจะกลับก็เกือบมืด ท่านอาจารย์จันทร์มีหน้าที่อีกอย่าง คือ ให้อาหารไก่ทั้งหลายในวัดซึ่งมีอยู่เป็นร้อยตัว วันนั้นท่านก็ลืมให้อาหารไก่ พอหลวงตากลับมาถึง ท่านก็รีบเตรียมต้มน้ำร้อน ใส่กระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกไว้ข้างที่นอนหลวงตา เพราะเป็นหน้าหนาวซึ่งหนาวมาก ท่านก็วางกระเป๋าน้ำร้อนเสร็จออกมาอยู่ด้านนอกของกุฏิ ก็เห็นไก่ทั้งหลายแห่กันมาหาหลวงตาถึงหน้ากุฏิ พร้อมแย่งกันส่งเสียงกันดังแซ่ดเต็มไปหมด ท่านประหลาดใจมาก ทันใดนั้นหลวงตาก็ถามท่านว่า "ท่านจันทร์..วันนี้ไม่ได้เอาอาหารให้พวกไก่หรอกหรือ ?" เท่านั้นแหละ ท่านก็เข้าใจทันทีว่า พวกไก่มันแห่กันมาฟ้องท่าน แต่ไม่เท่านั้น ท่านยังคิดสงสัยต่อไปอีกว่า "เอ.. แล้วท่านพ่อ (ท่านเรียกหลวงตาว่า ท่านพ่อ) รู้ภาษาไก่ได้อย่างไร ?" ทันทีที่คิดจบ กระเป๋าน้ำร้อนก็ปลิวร่อนฟิ้ว ดิ่งตรงออกมาที่หน้าท่านกำลังยืนลังเลอยู่ ถ้าท่านไม่หลบ ก็ฟาดหัวแตกแน่นอน ท่านหลบได้ทัน พร้อมกับของขึ้นคิดว่า "กระเป๋าน้ำร้อนก็อุตส่าห์ทำถวายให้ได้ใช้ตามที่คุณหมออวยถวายไว้ และยังเอามาปาหัวเราเกือบหัวแตก และนี่เราเป็นใคร เราเป็นถึงนักเรียนนอกปริญญาโท มาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมที่นี่ ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทำเราขนาดนี้ ?" ท่านบอกว่าทิฏฐิมันขึ้นขีดสุด กำลังจะเดินออกไป ตัดสินใจว่า "ไปแน่..ไม่อยู่แล้ว ออกจากนี่ไปแล้วก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก" ทันใดนั้นเสียงหลวงตาก็ดังลั่น "แค่ภาษาสัตว์ทำไมจะรู้ไม่ได้ พวกฤๅษีนอกศาสนาเขายังระลึกชาติได้ตั้ง ๗ ชาติ แล้วเราเป็นใคร ? เราเป็นพระในพระพุทธศาสนา ระลึกได้ไม่ถึง ๗ ชาติก็ให้อายพวกฤๅษีนอกศาสนา และสมัยหลวงปู่มั่นน่ะนะ ไม่มีของใช้ดี ๆ (กระเป๋าน้ำร้อน) อย่างที่เราใช้กันนี่หรอกนะจะบอกให้" พอท่านได้ฟังเท่านั้น ท่านถึงกับก้มกราบลงขอขมาท่านหลวงตา นี่คือคำสอนตอนหนึ่งที่หลวงตาท่านปราบทิฏฐิชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว และเมื่อรู้เท่าทันก็ผ่านการทดสอบจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่เมตตาให้ท่านได้อยู่ปฏิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดและตลอดเวลา ครูบาอาจารย์เช่นนี้หาได้ยากในโลก ผู้ใดที่คิดว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่เมตตาที่ทำเช่นนั้นเช่นนี้ ก็ขอจงพิจารณา" |
เมื่อวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน (วัดเสือ) เกิดขึ้นตามความประสงค์ขององค์หลวงตาแล้ว จากนั้นไม่นานมีเหตุทำให้วัดต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ หมูป่าตัวแรกถูกตีมา ท่านเลยรักษาให้จนหาย ส่วนเสือตัวแรกที่เข้ามาที่วัด ก็โดนฉีดฟอร์มาลินเพื่อหวังจะสต๊าฟฟ์ แต่บังเอิญมันไม่ตาย ยังกระดุกกระดิกได้ ชาวบ้านจึงเกิดกลัวบาปขึ้นมา ก็เลยนำมาถวายขอให้พระอาจารย์ภูษิตรับไว้ หากไม่รับก็จะนำไปขายต่อซึ่งก็ต้องตายแน่นอน ท่านจึงยอมรับไว้
ในตอนนั้นขนมันโดนเลาะไปหมดแล้ว แทบหมดสภาพว่านี่คือเสือ ท่านก็หยอดข้าวกับน้ำแกงต้มฟัก อาหารที่พอแบ่งจากบิณฑบาตป้อนมันทุกวันจนสามารถเดินได้ ขนเริ่มขึ้นใหม่ แต่เพราะมันก็ไม่แข็งแรง ร่างกายโดนยาฟอร์มาลินไม่สมบูรณ์ดังเดิม องค์หลวงตากล่าวในเรื่องนี้ไว้เช่นกันว่า "นี่ก็เป็นนิสัยวาสนาของแต่ละองค์หรือแต่ละบุคคล เช่นอย่างวัดเสือ ท่านจันทร์ท่านบวชมาเพื่อมาปฏิบัติบำรุงรักษาเสือเมื่อไร แต่มันหากมีความจำเป็นที่แทรกเข้ามา เบื้องต้นก็มีใครเอาสัตว์อะไรมาปล่อย ท่านก็ไม่หา แต่เขาเอาไปถวายท่าน ท่านก็เห็นว่ามันเป็นที่ว่าง เป็นทำเลที่ปลอดภัยตลอดสัตว์ทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องอาหารก็สะดวก คงจะเป็นอย่างนั้น เขาเอาวัวควายไปถวายท่าน ให้ท่านตั้งใจเสาะแสวงหามาเลี้ยง..ไม่ละ เราเชื่อทันที นี่ก็จำเป็นต้องได้รับ ครั้นรับแล้วสัตว์หลายประเภทเข้ามาที่นั่น ๆ รวมเข้าไปจนกระทั่งสัตว์ในป่าแท้ ๆ ม้าป่าเราก็ไม่เคยเห็น ได้ยินว่ากระทิง วัวแดง อะไรนี่เราก็เคยได้ยิน ในดงบ้านตาดก็มีเยอะ อันนั้นก็ลงมา กระทิงวัวแดงก็มาจากเขานี้..ว่างั้น อันนี้เราเคย แต่ม้าป่าเราไม่เคยได้ยิน ก็อยู่ที่นั่น แล้วถามนี่ก็มาจากป่าลงมาเลย นี่แปลกอยู่นะ ท่านก็เลยเลี้ยงดู ท่านตั้งใจบวชมาหาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสือเมื่อไร ท่านไม่มีนะ..เจตนาเดิม ความจำเป็นมันหากแทรกเข้ามา ๆ ทีแรกก็ดูว่าพวกสัตว์พวกเนื้อ ครั้นต่อมาก็มีพวกเสือ เสือเข้ามาให้ท่านเลี้ยง ทีนี้ค่อยลุกลามไปนะ พวกนกยูง พวกหมู หมูนี่หลายร้อยตัว หมูตอนเช้ามันลงมา แรกจริง ๆ คือ หมูตัวหนึ่งจะถูกเขาทำลายหรืออะไร เขาตีเอวหรืออะไรเป็นบาดเป็นแผล แล้วอะไรบ้าง เป็นสัตว์พิการ หมูตัวเดียวเสียก่อนเป็นต้นเหตุ จึงน่าคิดนะ เขาจะไปส่งข่าวให้ท่านทราบได้อย่างไร หมู..ภาษาสัตว์เขาก็มีประจำเขา เรามาจับจุดนี้ละ แล้วหมูเป็นหมูโทนตัวเดียว ถูกเขาทำลาย มันก็ลงมาวัด ท่านจัดอาหารให้เขากิน ท่านสงสาร..ไปเห็น..โอ้อย่างไรกันนี่ เลยจัดอาหารเลี้ยงหมูตัวนี้ละ หมูโทน..หมูตัวเดียว ท่านก็เลี้ยงดูจนเขาหาย แล้วเขาก็ขึ้นไปจากวัด เพื่อนฝูงไม่ทราบอยู่ที่ไหนมาดั้งเดิมก็ไหลกันลงมา มากินอาหารกับท่าน ท่านเลยต้องจัดเป็นการเป็นงานจริง ๆ มันไหลมาไม่ใช่น้อย ๆ เป็นร้อย ๆ หมูป่าไหลลง ๆ ท่านเลยต้องจัดเอาจริง ๆ นะ จัดเป็นการเป็นงานขึ้นมา จัดอาหารเลี้ยงหมู แล้วหมูเป็นร้อย ๆ เอา ทีนี้นกยูงก็มา อันนั้นก็แบบเดียวกันอีก ยั้วเยี้ย ๆ เลยเลี้ยง แล้วสัตว์อะไรต่ออะไรอยู่ในป่ามาก ๆ จึงได้เห็นสัตว์ป่าธรรมชาติแท้ ๆ นี้เขาอยู่ในป่า เขามาอาศัยคน เวลามีที่อาศัยเขาก็ลงมาอาศัย ถ้าไม่มีที่อาศัยเขาก็อยู่ตามป่าโดยหลักธรรมชาติของเขา ขอสรุปความเลยว่าสัตว์ส่วนมากที่เอามาเลี้ยงไว้นี้มีแต่สัตว์ป่านะ คนเอามาเลี้ยงแล้วก็เลยกลายเป็นสัตว์บ้าน ทีนี้เลยเห็นว่าสัตว์อยู่ในป่าในเขาว่าเป็นสัตว์ป่า ๆ เถื่อน ๆ ที่ไหนได้ ไปแย่งจากป่ามาเป็นบ้าน สัตว์ในบ้านของเราเป็นป่า ๆ เถื่อน ๆ พวกวัวพวกควายเหล่านี้ ควายป่าก็มีเยอะ ธรรมชาติแท้มันเป็นสัตว์ป่าทั้งนั้นแหละ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของท่าน ของเรานะเป็นเอง" |
สละชีวิต...ค้ำชาติไทย
องค์หลวงตาสละชีวิตครั้งแรกเพื่อต่อสู้กับกิเลสภายในใจ ครั้นพอมาถึงปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ชาติบ้านเมืองเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ท่านจึงประกาศตนเป็นผู้นำกอบกู้ชาติมิให้ล่มจมลงต่อหน้าต่อตา เพราะหากชาติพัง พระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ก็ต้องพังลงไปด้วย ท่านจึงยอมสละชีวิตอีกครั้งเพื่อค้ำชาติไทย นับตั้งแต่ก่อตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา องค์หลวงตาเมตตาให้ความสงเคราะห์โลกในด้านวัตถุด้วยประการต่าง ๆ มากมายหลายด้านหลายทาง ชนิดไม่สามารถจะบรรยายได้หมดสิ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ การสงเคราะห์โลกของท่านเป็นแบบเงียบ ไม่ยอมให้ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ยิ่งในอดีตระยะที่ท่านแข็งแรงไปไหนมาไหนองค์เดียวได้ ท่านก็ให้ความเมตตาช่วยเหลือในลักษณะนี้มาโดยตลอดเช่นกัน และไม่เคยสนใจจะประกาศให้โลกรู้ เพราะท่านมุ่งสงเคราะห์จริง ๆ ดังนี้ "เรานี่ก็ไม่เคยคิดนี่นะว่าจะได้มาช่วยโลกอย่างนี้ นี่มันก็เป็นมาเอง เราก็ทำตามนิสัยของเราอยู่อย่างนั้น อยู่ใต้ดิน ใครจะมาออกข่าวออกคราวอะไร หนังสือผอกหนังสือพิมพ์อะไร เราไม่ให้มาทำนะ เราปัดออกทันทีนะ เราทำอะไรจึงไม่มีข่าวมีคราวอะไรทั้งนั้น เราปัดทันทีเลย ไม่ให้มายุ่ง ว่างั้นเลย เราทำตามอัธยาศัยของเรา อย่างสมมุติพวกหนังสือพิมพ์จะเอามาออก ก็เราเอามาทำนี้มันของลูกศิษย์ลูกหามาทำต่างหาก เรามาทำแทนเขานี่นา เครื่องจตุปัจจัยไทยทานเป็นของเขาทั้งนั้นนี่ ถ้าหากว่าจะออกหนังสือพิมพ์ ก็ต้องเอาออกมาหมดซิ เราถึงจะให้ออก ถ้าออกไม่หมดอย่าเอามาออกนะ มาอวดแต่เราคนเดียว ใช้ไม่ได้นะ เราว่างั้นนะ เขาก็ไม่กล้านะซี เพราะพูดอย่างเด็ดซะด้วยนะ บอกห้ามไม่ให้มายุ่ง ว่างั้นเลย ไม่ให้ลง ทำแบบใต้ดิน ๆ ตลอดมา สร้างโรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ ที่ไหนก็ตาม เราไม่ให้มายุ่ง เราทำของเราเอง มันก็อยู่ใต้ดิน ๆ ไม่มีใครทราบละ ภายนอกไม่ค่อยทราบ นอกจากคนใกล้วัดนี้ เขาทราบกัน" |
โครงการช่วยชาติ
สงครามเศรษฐกิจ ๒๕๔๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ชาติไทยของเราประสบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจและความสับสนทางสังคม เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตใจ เผลอลืมสิ่งที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ ลืมเรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องทานศีลภาวนาไปเสีย มัวมุ่งสนใจแต่เพียงวัตถุสิ่งของเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์บริษัทบริวาร มากกว่าความรักชาติด้วยข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อดูจากภาวะจิตใจและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนสภาพบ้านเมืองในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ กล่าวได้ว่า ในชั่วพริบตาเดียว ไม่ทันที่ชาวไทยจะตั้งตัวทัน ประเทศไทยก็ต้องประสบกับวิบากกรรมครั้งใหญ่แทบสูญสิ้น "เอกราช" หนี้สินล้นพ้นตัว หมดทางไป บรรยากาศในเวลานั้นดูมืดมิดปิดตา ผู้คนพากันท้อแท้ประหนึ่งว่าชาติไทยเราจะไม่มีวันพ้นจากหล่มลึกได้อีกต่อไปแล้ว และเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ องค์หลวงตาก็ได้กล่าวถึงชะตากรรมของชาติในครั้งนี้ไว้เช่นกันว่า "นี่ละ..เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ สงครามเงียบเป็นอย่างนี้ละ กินแบบเงียบ ๆ ไม่ได้มีกระโตกกระตากอะไรแหละ..เงียบเลย เราได้วิตกอันนี้ละ จึงได้ปรารภออกมา แล้วเพื่อนบ้านก็เป็นแล้วนี่ ให้เห็นแล้วนี่ เราพูดตรง ๆ เลย ได้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้วถึงได้พูดออกมา ไม่ใช่พูดออกมาแบบด้นแบบเดาเกาหมัดอย่างนั้นนะ พูดออกมาด้วยการพิจารณาแล้ว และเรื่องก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ ไม่ผิด มันน่าคิด เมืองไทยเราเป็นเมืองเอกราชเอกสิทธิ์มากี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ เป็นมาอย่างนี้ เรายังจะมาโดนเอาอย่างนี้ โอ้โห..มันกระอักเลือดตายแล้วเมืองไทยเราน่ะ แบบกลืนเลยไม่ต้องเคี้ยว มันน่าคิดมากนะ เวลานี้เพื่อนบ้านโดนแล้วนะ โดนอย่างที่ว่านี้ โดนอย่างกลืนเงียบเลย ยึดปุ๊บ ๆ เลย เงินตั้งเป็นแสนล้าน ฟังซิ..ว่าแสนล้านกว่า ดอกเบี้ยออกเดือนหนึ่งเท่าไรแล้ว ตั้งแต่ค่าให้ดอกเบี้ยเขาก็จะไม่พอสำหรับประเทศไทยเรา ไหนจะมีปัญญาไปช่วยถึงแสนล้าน คิดดูซิ..ถ้าทั้งประเทศเราไม่ช่วยกันแล้วไปไม่ไหวจริง ๆ นะ ไม่มีความเสียหายอะไรเราพิจารณาแล้ว เรื่องความเสียหายกับประเทศชาตินี้ไม่มี มีแต่ทำประเทศชาติให้มีความแน่นหนามั่นคง ช่วยตัวเองได้ในกาลต่อไปเป็นลำดับตั้งแต่บัดนี้ต่อไป เนื่องจากที่พวกเราทั้งหลายต่างคนต่างช่วยเหลือกัน" |
"ใครก็ตามจะอยู่ได้เพราะชาติ ถ้าชาติจมไปเสียแล้วไม่มีใครอยู่ได้ สูงขนาดไหนต่ำขนาดไหนจมไปด้วยกัน ถ้าชาติอยู่ไม่ได้แล้วเมืองไทยเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะรากแก้วอยู่ที่นี่ ต้นลำอยู่ที่นี่ อยู่ที่ชาตินี่ เพราะฉะนั้น..เราถึงวิตกวิจารณ์มาก มันเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองเรา ต้องรีบพิจารณา เวลากำลังเงียบ ๆ อยู่นี้ให้พิจารณา ครั้นเวลามามันมาเงียบนะ ไม่ได้มาแบบกระโตกกระตากอะไรนะ มาแบบเงียบแล้วพูดอะไรไม่ได้ด้วย กลืนพร้อมไปด้วย ไม่ต้องเคี้ยว นี่เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ..สงครามเงียบ
สงครามนี้ไม่ดังนะ กลืนปุ๊บ ๆ เลย วิตกมากอยู่..เราทราบข่าวว่าเขายึดนั่น..เห็นไหมล่ะ ติดหนี้เขาไม่มีเงินให้เขา เขาเข้ายึดธนาคาร ยึดทั่วประเทศเลย นี่แบบกลืนเงียบ กินเงียบ เขาเรียกสงครามเศรษฐกิจ กินแบบนี้ละ" ผลของวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประสบภาวะขาดทุนจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินถูกสั่งปิด หน่วยงานภาครัฐ เอกชนตลอดจนประชาชน ต่างประสบภาวะหนี้สินพะรุงพะรัง แม้แต่โรงพยาบาลต่าง ๆ ก็ถูกตัดงบประมาณจากรัฐ ข่าวฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรายวันเพราะกิจการล้มละลาย ไม่มีเงินใช้หนี้ โรงงานและกิจการห้างร้านทยอยปิดตัวไป ตึกแถวอาคารพาณิชย์มีแต่ความรกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้อยู่อาศัย โครงการก่อสร้างถนนหนทางกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน ผู้คนต่างพากันตกงาน บัณฑิตจบการศึกษาก็ไม่มีงานทำ ทั่วทุกหัวระแหงจึงมีแต่ภาพแห่งความสลดหดหู่ใจ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ความลำบากยากแค้นดังกล่าวนี้หมุนเข้ามาใกล้ชิดติดพันกับการสงเคราะห์ประจำวันขององค์หลวงตาถึงกับทำให้ท่านต้องกล่าวว่า "ทางโรงพยาบาลเป็นที่หนึ่ง ที่ไปช่วยเต็มกำลังความสามารถ ปีนี้ยิ่งเป็นปีที่หนักเป็นกรณีพิเศษอีก คือ โรงพยาบาลต่าง ๆ วิ่งมาขอเงินไปใช้หนี้ ว่างบประมาณไม่มี ทางรัฐบาลสั่งมาให้ซื้อของในวงเงินเท่านั้น ๆ แล้วจะส่งเงินมา ทีนี้รัฐบาลไม่ได้ส่งมาให้ เลยติดหนี้เขา วิ่งเข้ามาหาวัด เราช่วยแทบเป็นแทบตาย ช่วยเป็นล้าน ๆ แต่ละโรง ๆ ติดหนี้เขา แล้วจะทำยังไง มีเท่าไรก็ทุ่มกันลง บางทีถึงกับบอกว่าจ่ายไม่หมดนะ ให้จ่ายเป็นงวด ๆ งวดที่สองที่สามมีมาแล้วค่อยจ่ายอีก เราว่าอย่างนั้น คือมันไม่ไหว มันมากจริง ๆ ปีนี้เป็นอย่างนั้น ทุกปีมีแต่มาขอเครื่องมือ เราก็ช่วยเครื่องมืออะไรต่ออะไร ปีนี้กลับมาขอใช้หนี้แล้ว มันเป็นยังไงรัฐบาลเราจะไม่จมแล้วเหรอ ปกครองบ้านเมืองกันยังไงถึงปล่อยให้บ้านเมืองจม ? แม้แต่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหัวใจของชาติจริง ๆ ก็ยังจะล้มไป นี่จะทำยังไงกัน ?" แม้ในยามปกติปัญหาเล็กกว่า ท่านยังมีเมตตาช่วยเหลือสงเคราะห์อย่างจริงจัง บัดนี้ปัญหาขยายวงกว้างขึ้นเป็นความทุกข์โดยรวมของคนทั้งชาติ จนอาจถึงขั้นสูญสิ้นอธิปไตยของไทยเลยก็ว่าได้ หากไม่ช่วยกันเยียวยาแก้ไขให้ทันการณ์ ประกอบกับความเมตตาสงสารพี่น้องชาวไทยเป็นล้นพ้น ท่านจึงปรารภขึ้นด้วยความห่วงใยว่า "จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพี่น้องไทยทุกคนให้เสียสละช่วยกันอย่างจริงจัง" |
นิมิตหลวงตา..รู้ทันสนธิสัญญา IMF
ภาวะแห่งความทุกข์ระทมเช่นนี้ สำหรับพระภิกษุผู้ประจักษ์แจ้งในธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาเช่นองค์หลวงตาแล้ว ย่อมเห็นเป็นปกติธรรมดาของโลกและสรรพสัตว์ที่ล้วนต้องประสบกับความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความไม่มีตัวตนพอยึดถือเป็นสาระแก่นสารได้ ในยามที่ชาติไทยต้องประสบกับทุกข์เช่นนี้ องค์หลวงตาย่อมพิจารณาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรม และไม่น่าจะมีสิ่งใดเข้ามากระทบต่อความรู้สึกของท่านได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมขององค์หลวงตาและความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้องค์หลวงตาตัดสินใจ ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั่วทั้งประเทศ ท่านเกิดความรู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง ในวิกฤตการณ์ของชาติในคราวนี้ ซึ่งมิใช่เกิดจากภาพหรือข่าวที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น ภาพแห่งความทุกข์และหนทางเยียวยาแก้ไข ได้แสดงอย่างชัดเจนประจักษ์ใจ จากการอบรมจิตตภาวนามาอย่างช่ำชอง ภาพภายในนี้กระเทือนจิตของท่าน ถึงกับทำให้มิอาจนิ่งดูดายต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ และเริ่มแนะแนวทางเข้าช่วยเหลืออย่างจริงจัง ดังคำกล่าวเมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ว่า "เราพูดจริง ๆ จะขายโง่ขายความฉลาดขายเลวขายดีก็แล้วแต่เถอะ ก็ภาวนาอยู่ธรรมดาทุกคืน เราภาวนาอยู่อย่างนั้น จากนั้นแผ่เมตตาจิตทั่วไปหมด เมื่อคืนนี้มันขึ้น ขึ้นอะไร ? ห่วงโลกห่วงสงสารแล้วก็ย่นเข้ามาก ๆ เข้ามาถึงจุดเมืองไทยเรา ทีนี้เกิดความสงสารขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยเรานี้ติดหนี้ติดสินเมืองนอก ทำยังไงกัน เพื่อกู้ชาตินี่นะ อย่างนี้ละความเมตตามันหากซอกแซกซิกแซ็กไป เมื่อคืนนี้โผล่ขึ้นมาจนได้ เราก็ไม่เคยเป็น เมื่อคืนนี้ออกพุ่งมาตรงนี้ ว่าจะแก้ตรงไหน แก้เราก็ต้องเอาเงินกับลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยนี้มาให้เราเอง พูดง่าย ๆ ไม่ใช่ให้ใครละ มาให้เราเอง ก็มีเท่านั้นละ..จะทำยังไง เราคิดอยากให้ทางรัฐบาลพินิจพิจารณาเรื่องเหล่านี้ จะพิจารณากันยังไง ตามธรรมดาอะไรที่รู้แล้ว ควรไม่ควรนี้ก็เก็บไว้ อันใดควรออกมากน้อย อันไหนไม่ควรก็เก็บไว้ในลิ้นชัก แต่อันนี้ไม่อยู่เสียแล้ว เตะลิ้นชักแตกกระจายเลย..! นี่เป็นนิมิตเราเป็นจริง ๆ เมื่อคืนนี้ จึงได้ออกพูด ก็เราทำของเราทุกคืน เราพูดจริง ๆ จิตใจแผ่ทั่วแดนโลกธาตุ มาว่าอะไรแคบ ๆ เท่านี้ ค่อยวนเข้ามาแคบเข้ามา ๆ เข้ามาถึงเองไทย เมื่อคืนนี้ออกมาติดตรงนี้เสียแล้ว ทุกคืนไม่ติดไม่ออกช่องนี้ มันออกช่องอื่น แต่เมื่อคืนนี้ออกช่องเมืองไทย ช่องเมืองไทยติดหนี้เขา แล้วเมืองไทยเราคนไทยเป็นทุกข์กันมากมายก่ายกอง ฆ่าตัวตายก็มี..โห..! เมื่อพูดถึงจุดนี้แล้วให้พิจารณากัน ต่างคนก็ต่างเป็นไทยด้วยกัน ทำไมจะไม่มีน้ำใจ เราแน่ใจว่ามี หาได้คนละบาทก็เอา ขึ้นตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไป ถึงล้านถึงแสนถึงหมื่นถึงพันถึงร้อยถึงสิบช่างมัน ควรจะได้ยังไงเอา..พรึบเลย เราคิดว่าจะได้นะ เพราะไม่มีอะไรเสียหายนี่ ประกาศน้ำใจเมืองไทยเราอีกด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ติดหนี้เหมือนกัน เมืองอื่นก็ดี แต่เขาไม่แสดงอาการอย่างนั้น เมืองไทยเราแสดงอาการอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อกู้ชาติไทยเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ผาสุกร่มเย็นทั่วหน้ากันเสียหายตรงไหน พิจารณาแล้วไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ทางได้อย่างเดียว บริจาคทางอื่นยังบริจาคได้ ต่างคนต่างเป็นชาติไทยด้วยกัน บริจาคเพื่อกันเองจะเป็นอะไรไป" |
"พากันจำเอานะลูกศิษย์ลูกหา วันนี้เพียงเผดียงเท่านั้น นี่พูดจริง ๆ ออกมาจากหัวใจจริง ๆ เป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ มาข้องตรงนี้ อ้าว..ทำยังไงกัน เกี่ยวกับทางช่วยโลกเราก็ช่วยมากพอ ทางแผ่เมตตาจิตก็แผ่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เมื่อคืนนี้มาข้องตรงนี้แก้ไม่ตก ถ้าแก้อย่างนี้แล้วตกแน่ ๆ หนี้สินในเมืองไทยเราตกพรึบเลย
ทำยังไงมันแน่นหัวอก เมื่อคืนนี้ อ้าว..เอาแล้วทีนี้ มาติดตรงนี้ปึ๋งเลยเทียว ติดไม่ใช่ติดน้อย ๆ ติดปึ๋งเลยเทียว ถ้าออกก็ออกแบบปึ๋งเลยเหมือนกัน ออกได้ ไปติดหนี้เขาก็เมืองไทยเราเองเป็นคนไปติด เรียกว่าทำให้ล่มจม ฟื้นกลับคืนมาก็เป็นเมืองไทยคนไทยเราเอง จะเป็นอะไรไป นี่ละ..วิตกวิจารณ์ แต่เวลามาออกเมื่อคืนนี้ไม่ได้ออกจากการเป็นอารมณ์นะ ไม่ได้เอาอันนี้มาเป็นอารมณ์ พิจารณาตามธรรมดา ๆ วนเข้ามา ๆ แคบเข้ามา ๆ ถึงเมืองไทย คราวนี้อันนี้ออกปึ๋งเสียแล้ว มาถึงเมืองไทยแต่ก่อนก็ธรรมดา เมื่อคืนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ใส่ปึ๋งเลย การติดหนี้เป็นทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดเลย ในธรรมท่านก็บอก ความติดหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านก็บอกไว้มีในธรรมในบาลี อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การติดหนี้เป็นทุกข์มากในโลก ความไม่มีหนี้สินเป็นสุขมากในโลก ท่านแสดงไว้" พระธรรมเทศนานี้จึงเป็นการประกาศเจตนารมณ์แห่งการกู้ชาติขององค์หลวงตาเป็นครั้งแรก สร้างความฉงนแก่บรรดาศิษย์และประชาชนชาวไทยไม่น้อยทีเดียว และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนอกเหนือความรู้ของคนทั่วไปในเวลานั้น นั่นคือก่อนที่องค์หลวงตาจะเล่านิมิตนี้เพียง ๒ วัน คือ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมลงนามเซ็นสัญญากู้เงิน IMF โดยทำหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เป็นครั้งที่ ๒ และได้ทำความตกลงในเงื่อนไขสำคัญระหว่างประเทศไทยกับ IMF ให้ต้องกระทำการตามสัญญา โดยมิได้มาเปิดเผยต่อรัฐสภาหรือสาธารณชนแต่อย่างใด ในเวลานั้นจึงแทบจะไม่มีผู้ใดทราบรายละเอียดของเงื่อนไขดังกล่าวเลย จะมีก็แต่เพียงรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงตาที่อยู่วงนอก ยิ่งไม่มีทางจะล่วงรู้ได้ อย่างไรก็ตาม มหันตภัยในสนธิสัญญาฉบับนี้ ไม่อาจปิดบังญาณความรู้ขององค์หลวงตาไปได้ เงื่อนไขตอนหนึ่งระบุว่ารัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเงินตรา โดยอ้างว่าเพื่อให้ดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยมีความทันสมัยขึ้น ข้อตกลงกับ IMF ในเรื่องนี้ได้ปรากฏชัดเจนในอีก ๓ เดือนต่อมา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือที่ ธปท.ชบ.๑๒๕๙/๒๕๔๑ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ใช้แนวทาง "การรวมบัญชี" ของฝ่ายการธนาคาร และ ฝ่ายออกบัตรเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็น "ร่างกฎหมายรวมบัญชี" ในเวลาต่อมา |
สำหรับมหาภัยของเงื่อนไขตามสนธิสัญญา IMF ในแต่ละฉบับนี้ กล่าวได้ว่าแทบทุกฉบับล้วนส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ และยังมีผลผูกพันต่อสมบัติของชาติและต่อคนไทยทุกคนอีกด้วย ซึ่งกว่าจะรับรู้โดยทั่วกันได้ ก็ล่วงเลยมาหลายต่อหลายปี จนชาติไทยแทบจะสูญสิ้นอธิปไตยและสูญเสียสมบัติของชาติไปมากมายมหาศาล ทั้งยังทำให้มีภาระหนี้สินตามมาอีกจำนวนมาก
ดังนั้น..การเล่านิมิตขององค์หลวงตาที่ถูกจังหวะสอดคล้องกับวันทำสัญญาฉบับที่ ๒ กับ IMF พอดิบพอดีเช่นนี้ จึงเหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ณ จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายมหาภัย ซึ่งจะทำชาติให้ล่มจมได้ และ ณ จุดเดียวกันนี้อีกเช่นกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการกู้ชาติขององค์หลวงตา และยังยืนยันด้วยว่าจะสามารถน่าพาชาติให้พ้นจากภัยได้ ด้วยความรู้จากจิตภาวนาขององค์หลวงตาในครั้งนี้จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ดังนี้ "ได้มาเห็นสภาพการณ์ของเมืองไทยเราอยู่ในขั้นวิกฤตการณ์ ขั้นที่จะเข้าขั้นแห่งความล่มจมได้ ซึ่งเป็นไปด้วยความน่าวิตกวิจารณ์เอามาก ดังที่เราทั้งหลายก็ทราบด้วยกันแล้ว มองไปไหนก็มองไม่เห็นใครจะเป็นผู้นําชาติไทยของเรานี้ให้ขึ้นจากหล่มลึก มองไปที่ไหนก็มีแต่ตีบตันอั้นตู้ ๆ ใครจะเป็นผู้สามารถยกได้ มองไปไหนก็ไม่เห็น ๆ จึงได้หันหน้าเข้ามาสู่ความเป็นหัวหน้า ก่อนที่จะมาเป็นหัวหน้าของพี่น้องทั้งหลาย ก็ได้คิดทบทวนเต็มกําลังความสามารถแล้วว่า ประเทศไทยของเรานี้จะออกพ้นภัยไปได้ในทางใดแง่มุมใด พิจารณาเต็มความสามารถก็ไม่เห็นทางที่จะออกไปได้ เปิดตรงนั้นก็ปิดตรงนี้ เปิดตรงนี้ก็ปิดตรงนั้น เสียรอบด้านหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็วกวนเข้ามาหาหลวงตาบัวเอง มาเห็นช่องแคบ ๆ หลวงตาบัวมีช่องแคบ ๆ เท่านี้ มองดูเอาช่องแคบ ๆ เท่านี้แหละ วาสนาน้อย ไม่ได้กว้างขวางอะไร ช่องนี้คือช่องอะไร ? เห็นช่องแคบ ๆ แต่ช่องนี้เป็นช่องแห่งความปลอดภัยแห่งสมบัติทั้งหลายที่จะไหลเข้ามานี้มีเท่าไร ไหลเข้าสู่คลังหลวงทั้งหมด ไม่มีตกค้างตรงไหนเลย ไอ้ช่องกว้าง ๆ มันลงทะเลหลวง ลงพุงหลวงไปเสียมากต่อมาก จึงได้ประกาศตนออกมาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายดังที่เห็นอยู่นี้" |
หายเพราะยาเทวดา
การที่ประเทศชาดิและประชาชนต้องประสบกับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ทำให้องค์หลวงตาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ แต่เพราะความเมตตาสงสารต่อพี่น้องชาวไทยเป็นล้นพ้น แม้จะชราภาพหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ด้วยวัยขณะนั้นย่างเข้า ๘๕ ปีแล้ว อีกทั้งในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนเข้าพรรษา ธาตุขันธ์ของท่านยังมีโรคภัยเข้าเบียดเบียน อาการคล้ายกับท้องเสีย ต้องถ่ายท้องถึงวันละ ๗ - ๘ ครั้งต่อวัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง ๘ เดือนเต็ม จนถึงต้องเกาะราวระเบียงกุฏิ พยุงสังขารด้วยกําลังเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่ยอมให้สังขารเป็นภาระแก่ผู้ใด และมีหลายครั้งที่เดินจากกุฏิไป ยังไม่ถึงศาลา ระยะทางเพียง ๓๐ - ๔๐ เมตร ก็ยังต้องหยุดถ่ายท้องระหว่างทางก่อน อาการในช่วงนั้นไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใดเลย มีแต่หมดกําลังลงและทรุดลงทุกวัน ในช่วงเวลานั้นองค์ท่านจึงดูซูบผอม หมดเรี่ยวแรง แม้จะเดินจากกุฏิไปศาลาเพียง ๓๐ - ๔๐ เมตร ก็ยังโซเซแทบจะเดินไม่ไหว ถึงกับทำให้ท่านตกลงปลงใจแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ทันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๔๑ นี้อย่างแน่นอน องค์ท่านจึงได้สั่งให้ท่านพระอาจารย์ปัญญาพระฝรั่ง สร้าง "เมรุ" เป็นรอยมือของท่านไว้เรียบร้อย โดยออกแบบให้เป็นกรรมฐาน เรียบง่ายไม่หรูหรา สำหรับเตรียมเผาศพองค์ท่านเอง ดังปรากฏอยู่ใกล้ศาลาใหญ่ที่หน้าวัดป่าบ้านตาดนั่นเอง แม้ธาตุขันธ์ร่างกายของท่านจะทรุดโทรมลงมาก ท่านก็ยังอุตส่าห์ฝืนสังขารจะช่วยโอบอุ้มชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ท่ามกลางความห่วงใยของลูกศิษย์ลูกหา แต่ก็ไม่มีใครสามารถทัดทานความเมตตาของท่านได้ ด้วยเหตุผลดังนี้ "อย่างที่ได้มานําชาติบ้านเมืองนี้ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด มันก็เป็นของมันมาอย่างนี้ จะทำยังไง โอ๊..มันสะดุ้งจิตมากนะ เป็นห่วงเป็นใยชาติไทยของเรา ทั้งร่างกายของเราก็ทรุดมาก ๆ จนเหมือนกับว่าถ้าเราตายไปนี่ เหมือนกับว่าเราจะมองหลัง ๆ ด้วยความเป็นห่วงนะ โอ๊..ทำยังไง ? สุขภาพของเราก็จะเป็นไปไม่ได้แล้ว แล้วบ้านเมืองก็ยิ่งเป็นไปอย่างนี้ ทำยังไงน้า ?" และในระหว่างที่อาการของท่านทรุดหนักลงเช่นนั้น คณะศิษย์ได้กราบขอความเมตตาจากท่าน ขออนุญาตให้คณะแพทย์ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น เข้าตรวจรักษา ซึ่งผลการตรวจพบว่า มีก้อนเนื้อผิดปกติอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย เมื่อพบเช่นนั้นท่านก็ไม่อนุญาตให้คณะแพทย์ท่าการตรวจวินิจฉัยรักษาต่อแต่ประการใด อย่างไรก็ตามบุญของชาติไทยปรากฏแสงแวววาวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านเริ่มฉันยาสมุนไพรและใช้ธรรมโอสถ แล้วปรากฏชัดทันทีว่าอาการต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น และจากนั้นก็ค่อยฟื้นตัวขึ้น ๆ มีกําลังวังชามากขึ้น ๆ เพราะเมื่อฉันอาหารแล้วไม่สูญเสียตกหล่นออกไปหมดเหมือนเมื่อครั้งที่ป่วยด้วยโรคท้องอยู่ทุกขณะคืนวัน ดังนี้ |
"เราพูดไม่ใช่คุย เอาความจริงมาพูด ท้องเสียตั้งแต่พรรษา ๑๐ ออกปฏิบัติพรรษา ๗ ฟัดกันแล้วนั่น ถึงพรรษา ๑๐ ท้องเริ่มเสีย เสียก็ไม่สนใจ ซัดกันเรื่อย เพราะอดอาหารเท่าไร การภาวนายิ่งดี ๆ เดี๋ยวก็ท้องเสีย ถ่าย ๆ จนพรรษา ๑๖ ลงเวทีละนั่น พรรษา ๑๖ พ.ศ. ๒๔๙๓ ลงเวที ท้องเลยเสียไปเรื่อย ๆ เลยกลายเป็นเรื้อรังอยู่ภายใน
ตอนนั้นไม่ได้สนใจกับปากกับท้องอะไร สนใจแต่กับธรรม พอถึงพรรษา ๑๖ แล้วก็ฉันธรรมดา ตั้งแต่นั้นมาฉันธรรมดาเลย ทีนี้ท้องก็เสียไปเรื่อย ๆ จนจะออกช่วยชาติ มันจะไปเอาจริง ๆ..! มันเป็นโรคเรื้อรังแล้ว หมอเขาตรวจคนไหนเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน เป็นอะไร..เป็นถึงขั้นมะรงมะเร็ง เขาไม่กล้าบอก เขาอาจจะกลัวว่าเราจะเสียจงเสียใจ เรามันไม่ได้เสีย เรียนจบแล้วเรื่องเกิดเรื่องตาย ไม่ตื่นไม่เต้นไม่กล้าไม่กลัว เรียนจบแล้ว แต่เขาก็กลัว..อย่างนั้นละ..นิสัยของโลก ถ้าเป็นโรคลึกลับเขาไม่ค่อยบอกแหละ เช่นโรคมะเร็งอย่างนี้ เขาไม่ค่อยบอกกัน สำหรับเราให้ยกโคตรมันมาเลย ถ้ามันมีทั้งโคตรมาอยู่ในท้องเราให้บอกมันมาเลย เราไม่กล้า เราไม่กลัว กล้าก็ไม่มี กลัวก็ไม่มี เรียนจบแล้ว นี่หมอทั้งหลายบอก "เป็นมะเร็งลําไส้ ไปไม่รอด จะตาย อย่าไปประมาทนะ" เราก็จะตายปี ๒๕๔๐ ที่จะช่วยโลกแหละ มันจะตาย..จะไม่ชนพรรษา ก็เดชะดวงชะตาของบ้านเมืองเรามันเกี่ยวโยงกัน ก็เลยพยุงกันอยู่ได้ เลยได้ยาหมอเติ้งมาฉัน เขาบอกว่ายาขนานใดรักษาก็ไม่หายโรคประเภทนี้ เขามาเล่าให้ฟัง ตั้งฮั่วไถ่เล่า..เราไม่ลืมนะ เขาบอกเขารับประทานยานี้แล้ว เดี๋ยวนี้หายเลย "ขอนิมนต์หลวงพ่อฉันเถอะ จะหายอย่างเดียวกัน" หมอเติ้งเอาได้ หมอเติ้งคนจีน เป็นชาวจีน แกกําหนดให้เอง ฉันวันหนึ่งเท่าไร แกบอกไม่ให้เคลื่อนคลาดนะ ให้ฉันวันหนึ่งเท่าไร ฉันกี่ครั้ง แกก็บอกไว้ให้ แกว่า เรื่องถ่ายไม่ต้องตกใจ การถ่ายด้วยโรคนี้ ถ่ายเท่าไรยิ่งอ่อนยิ่งเพลีย การถ่ายด้วยยานี้ ถ่ายเท่าไรก็ไม่อ่อนเพลีย ไม่ต้องตกใจ ทีแรกมันจะถ่ายมากเพราะโรคมาก เอ้า..ถ้างั้นก็ลองดูเป็นครั้งสุดท้ายของยา ถ้าไม่หายนี้เราปล่อยเลย" การทดลองรักษาโรคเป็นครั้งสุดท้ายจากหมอคนสุดท้ายของท่าน ปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ ดังนี้ "มันก็ไม่เคยดีดเคยดิ้นนะ จนกระทั่งป่านนี้จนปรกติ หายเงียบหมดเลย ถึงว่าเป็นฤทธาศักดานุภาพแห่งดวงชะตาของชาติไทยเราจริง ๆ ไม่งั้นเรานําชาติไม่ได้แล้ว จึงได้ดีดขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้ นี่ก็เป็นดวงชะตาอันหนึ่ง เป็นปาฏิหาริย์นะ เราเรียกหมอนี้ว่า หมอเทวดา..หมอปาฏิหาริย์ โรคเราก็เลยกลายเป็นโรคปาฏิหาริย์ไปด้วย" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:37 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.